ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yuri] Dark Daisy แรกรักเพียงนิรันดร์

    ลำดับตอนที่ #2 : IN THE FOREST part 2

    • อัปเดตล่าสุด 21 ต.ค. 66


     

     

     

     

     

     

                    ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิดก่อนรีบดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ ยามตัวเลขบนหน้าปัดแสดงเวลาสามทุ่มกว่า หัวใจของฉันก็เริ่มห่อเหี่ยวขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ในห้วงนิทราอันยาวนานที่หลับไปนั้นเพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงเอง ฉันขยับตัวด้วยความเมื่อยล้าและมองฝ่าความมืดออกไป บรรยากาศภายในป่าแห่งนี้เงียบวังเวงจนรู้สึกว่าแต่ละวินาทีเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า โดยเฉพาะจุดที่ฉันอยู่มันเงียบมากจนสามารถได้ยินเสียงการเต้นของหัวใจดังชัดเจน 

                    แกรก!

                    ยิ่งป่าเงียบสงัดมากเท่าไร แว่วเสียงต่างๆ รอบกายก็คล้ายจะยิ่งดังก้องมากเท่านั้น แม้แต่เสียงใบไม้หล่นพื้นก็ยังดังชัดเจนราวมันหล่นอยู่ใกล้หู

                    สวบ!

                    ดวงตาฉันเบิกโพลงเมื่อมีเสียงแปลกประหลาดดังจากใต้ต้นไม้ที่ฉันผูกเปลนอน ฉันขยับพลิกตัวและชะโงกหน้าลงไปดูด้วยความสงสัย ทว่าความมืดมิดที่แผ่ปกคลุมกลับบดบังสายตาจนทำให้มองไม่เห็นอะไร ฉันเพ่งสายตามองอยู่นานจนได้ยินเสียงของมันชัดเจน

                    อู๊ดๆ 

                    แค่หมูป่าเองน่า...นลิน แกอย่าตื่นเต้นไปหน่อยเลย

                ฉันปลอบประโลมตัวเองก่อนกลับซุกเข้าไปในเปลนอนอีกครั้ง เมื่อดวงตาปิดลงประสาทหูก็คล้ายจะทำงานได้ดีขึ้น ฉันนอนฟังเสียงหมูป่าคุ้ยหาของกินจนกระทั่งผล็อยหลับไปอีกครั้ง

                ตึก...ตึก

                    อู๊ดๆ

                    จวนจะหลับลึกอยู่แล้วแต่จู่ๆ หมูป่าข้างล่างนั่นก็ส่งเสียงร้องคล้ายกำลังหวาดกลัวบางอย่าง พวกมันวิ่งกระสับกระส่ายวนรอบต้นไม้ก่อนวิ่งพรวดจากไปอย่างรวดเร็ว ฉันนอนฟังเสียงพวกมันจนกระทั่งความเงียบมาเยือน บรรยากาศในตอนนี้แตกต่างจากบรรยากาศก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง ฉันรู้สึกว่าทุกอย่างรอบกายถูกสะกดให้หยุดนิ่งแม้แต่เสียงร้องของแมลงก็ยังไม่ได้ยิน ความเงียบอันน่าพิศวงนี้ทำให้ต้องแง้มผ้าเปลออกเพื่อชะโงกลงไปดูให้แน่ใจ

                    กรร!

                    เสียงคำรามทุ้มต่ำดังลอดเข้ามากระทบโสตประสาท แม้จะมองไม่เห็นแต่ฉันรับรู้ว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวนั้นกำลังเงยหน้าคำรามใส่ฉันอยู่

                    กรร!

                    มีดพกในมือถูกกระชับแน่นขึ้น เลือดในกายแล่นพล่านตามความกดดันที่เริ่มก่อตัวขึ้นภายในความมืดมิด ฉันขบริมฝีปากแน่นพลางจ้องลงไปตรงนั้น ไฟฉายในมือค่อยๆ สาดไล่ลงไปข้างล่างจนกระทั่งสะท้อนนัยน์ตาแวววาวของสัตว์ป่าเบื้องล่าง...เสือโคร่ง เจ้าเสือร้ายกระดิกหางและเดินวนรอบต้นไม้ที่ฉันผูกเปลนอน ฉันกวาดสายตามองตามการเคลื่อนไหวของมันด้วยใจเต้นระทึก

                    พระเจ้า! มันคงไม่ได้กำลังหาทางกระโจนขึ้นมาหรอกใช่ไหม

                    ความกลัวเกาะกินหัวใจอย่างรวดเร็วจนสติแทบหลุดออกจากร่าง ฉันพยายามคิดทบทวนวิธีการรับมือกับสัตว์ป่าตามที่ได้อ่านมาจากหนังสือพิชิตสัตว์ร้าย กว่าร้อยตำราเขียนบันทึกไว้ว่า หากเจอเสือให้ยืนตัวตรงแล้วจ้องเข้าไปในดวงตาของมัน อย่าหลบสายตาหรือแสดงอาการหวาดกลัวให้มันเห็นเด็ดขาด ฉันทวนเนื้อหาอีกครั้งก่อนสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด จากนั้นจึงขึงดวงตาดุดันมองจ้องมันกลับไป ขณะเดียวกันก็ต้องสะกดจิตตัวเองว่าไม่กลัว...ไม่กลัวมันเด็ดขาด

                    กรร! 

                    เสียงขู่คำรามแผ่วเบาลง เสือโคร่งตัวดังกล่าวเริ่มก้าวถอยออกไปอย่างระมัดระวัง มันจ้องสบตาฉันก่อนล่าถอยและเดินหายเข้าไปในเงามืด

                    ฟู่! ไม่คิดว่าตำราข่มขวัญสัตว์ร้ายจะใช้ได้ผล

                ฉันพรูลมหายใจด้วยความโล่งอก สถานการณ์ตึงเครียดเริ่มผ่อนคลายลงก่อนทุกอย่างจะกลับคืนสู่สภาวะปกติ ฉันกวาดสายตามองสำรวจด้านล่างอีกครั้งจนแน่ใจว่าไม่มีสัตว์ร้ายเข้ามารบกวนจึงยอมปิดดวงตาลงและผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า

                    ...

                    สามวันผ่านไป

                    ฉันยังคงเดินวนเวียนในป่ารกทึบราวคนติดอยู่ในเขาวงกต ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็พบเจอแต่ป่าและต้นไม้สูงชะลูดปกคลุมหนาตา ความเหนื่อยล้าและความหวาดกลัวค่อยๆ เพิ่มพูนจนกลืนกินกำลังใจแทบหมดสิ้น

                    แกรก! ความเงียบที่ปกคลุมทำให้ฉันหวาดระแวงทุกย่างก้าว แม้มีเพียงเสียงแตกหักของกิ่งไม้ก็จะรีบหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว ภายในสถานการณ์เช่นนี้ฉันไม่ชอบเลย 

                    ฉันพยายามข่มกลั้นความหวาดกลัวเอาไว้ในใจก่อนเดินย่ำฝ่าม่านหมอกที่จู่ๆ ก็ลงหนาทึบจนแทบหายใจไม่ออก สายตามองฝ่าไอขาวโพลนไปได้ไม่ไกลนักจนต้องระมัดระวังขึ้นอีกเท่าตัว เมื่อผ่านพ้นจุดนั้นมาได้สักพักก็เดินมาถึงริมหน้าผาแห่งหนึ่ง บริเวณนี้มีลมโกรกเข้ามาตลอดเวลาจนพัดสายหมอกไปรวมยังจุดที่ฉันเพิ่งเดินผ่านมา

                    ดวงตาคู่นี้กวาดมองทิวทัศน์แปลกตาเบื้องหน้า ป่าสนสูงลิ่วเบื้องล่างเขียวชอุ่ม ไกลออกไปเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลตัดผ่านป่าสนซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากน้ำตกจากหน้าผาฝั่งตรงข้าม ฉันกวาดสายตามองไปยังทิศสิบนาฬิกาพร้อมทั้งเพ่งสายตามองฝ่าม่านหมอกจางๆ ไป ณ บริเวณนั้นมีบางสิ่งตั้งเด่นตระหง่านโดดเด่นขึ้นมา

                   ~~ 

                    แว่วเสียงผะแผ่วของดนตรีดังมาจากทิศทางนั้น จู่ๆ ในใจที่หมดสิ้นความหวังแล้วก็ถูกจุดไฟขึ้นมาอีกครั้ง ฉันเผยยิ้มออกกว้างและกวาดสายตามองสำรวจทิศทางเพื่อมุ่งตรงไปยังที่นั่น

                    หากเดินทางแบบไม่หยุดพักอาจถึงที่นั่นช่วงเย็นพอดี

                    คิดและคาดการณ์คร่าวๆ เสร็จก็เติมเต็มความกระหายและความหิวจนกลับมามีพลังอีกครั้ง สองเท้าเริ่มก้าวเดินอย่างมั่นคงเมื่อพบเจอเป้าหมายในการเดินทางแล้ว

                    บางที ฉันอาจขอความช่วยเหลือจากคนที่อยู่ที่นั่นได้

                    ความหวังที่ถูกจุดอีกครั้งทำให้การเดินทางเต็มไปด้วยความมั่นใจ ฉันก้าวเดินฝ่าความมืดทึบของป่าเขาอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย กระทั่งความพยายามทั้งหมดก็ปรากฏออกมาให้เห็น

                    สองเท้าเหยียบย่ำลงบนเศษใบไม้แห้งซึ่งทับถมจนมองไม่เห็นผืนแผ่นดิน เบื้องหน้าไม่ไกลออกไปปรากฏเงาเลือนรางของปราสาทตั้งสูงตระหง่านอยู่ใกล้หน้าผา ยิ่งย่างเท้าเข้าไปใกล้ปราสาทหลังนั้นมากเท่าไหร่ ม่านหมอกก็ยิ่งลงจัดจนแทบมองไม่เห็น แว่วเสียงดนตรียังคงได้ยินแว่วๆ มาจากปราสาทหลังนั้น บทเพลงบรรเลงอันหม่นเศร้าพานทำให้บรรยากาศรอบกายพลอยเย็นยะเยือก

                    ฉันชะงักฝีเท้าและกวาดสายตามองอย่างพิจารณา น่าแปลกที่ตลอดเส้นทางกลับรกชัฏราวกับไม่มีใครเดินผ่านสัญจรไปมา ทั้งๆ ที่ปราสาทหลังนี้มีคนอาศัยอยู่แท้ๆ 

                    ¯~~ 

                    เสียงเพลงที่แฝงไว้ซึ่งความหม่นเศร้าและความเจ็บปวดอันน่าอึดอัดเริ่มบีบคั้น จังหวะบรรเลงเริ่มเร็วขึ้นจนหัวใจพลอยสั่นไหว ฉันกลั้นลมหายใจยามโน้ตดนตรีถูกสับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดเสียงบรรเลงนั้นก็หยุดลงกะทันหัน

                    ตึง!

                    สวบ! 

                    พร้อมเสียงบางอย่างเคลื่อนที่เข้ามาอย่างรวดเร็วจากทิศของปราสาท ฉันห่อร่างกายและขยับแอบหลังต้นไม้ใหญ่ สายตาจดจ้องไปยังเบื้องหน้าเขม็ง มือข้างหนึ่งกำกระบอกไฟฉายส่วนอีกข้างกำด้ามมีดพกไว้แน่น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดที่พุ่งเข้ามา หากมีความมุ่งร้ายฉันก็พร้อมจะปลิดชีพมันซะ

                    สวบ!

                    ระหว่างครุ่นคิดอยู่นั้นเงาดำทะมึนของบางอย่างก็ลอยพุ่งเข้าหา มันรวดเร็วมากจนสายตายังมองตามไม่ทัน

                    ตึก! ฉับพลันนั้นลมหายใจกรุ่นร้อนก็เป่ารินรดหลังต้นคอพร้อมกลิ่นแปลกประหลาดลอยโชยมาแตะปลายจมูก ความอันตรายที่แผ่ฟุ้งออกมาทำให้ร่างกายพลอยสั่นไหวไปด้วย ฉันกลั้นลมหายใจขณะกำมีดในมือไว้แน่น เพียงแต่ยามนี้ความกลัวมีมากล้นจนร่างกายไม่ยอมทำตามคำสั่ง ฉันไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวได้ตามใจนึกคิด   

                    ฟุดฟิด!

                    “มนุษย์-หึๆ กลิ่นช่างหอมหวาน” แว่วเสียงเย็นยะเยือกกระซิบข้างหูก่อนสติของฉันจะดับวูบลง! 

                    ตึง!

                    ร่างกายสูงใหญ่ค่อยๆ ถอยออกห่างจากหญิงสาว นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนทอประกายถูกใจก่อนหันมองสหายของตน

                    “ข้าพากลับไปที่ปราสาทได้หรือไม่” ปากเอ่ยถามสหายแต่แววตากลับฉายแววนึกสนุกอย่างน่าหวาดหวั่น

                    “ข้ามีอำนาจสั่งการซะที่ไหนเล่า” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลประกายทองโต้กลับ “หากเจ้าอยากพานางกลับไป มีผู้ใดเอ่ยห้ามได้บ้าง”

                    “ฮ่าๆ” ชายหนุ่มผมลอนสลวยสีทองแดงอ้าปากกว้างหัวเราะขบขัน เขาพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของอีกฝ่ายแล้วจึงก้มมองสตรีเบื้องหน้า

                    นางช่างใจกล้าบ้าบิ่นนักที่สามารถฝ่าด่านเขาวงกตจนมาถึงที่นี่ได้

                    “ข้าถูกใจนางยิ่งนัก พากลับไปให้ท่านพี่ดูดีกว่า” เขาหัวเราะอีกครั้งก่อนก้มลงช้อนร่างบอบบางไว้ในอ้อมแขน ด้วยพละกำลังมากมายของชายหนุ่มทำให้เขาดูเหมือนกำลังอุ้มตุ๊กตาอยู่ก็ไม่ปาน

                    “เจ้าควรระมัดระวังมากกว่านี้ นางเปราะบางกว่าที่เจ้าคิด”

                    “เจ้ากังวลเกินไปแล้วเจเรด” เขาไหวไหล่ก่อนพุ่งตัววิ่งกลับไปยังปราสาทด้วยความเร็วเหนือมนุษย์

                    “เฮ้! เจ้าไม่ควรวิ่งเร็วเช่นนั้น” เจเรดรีบวิ่งตาม เขาพยายามเอ่ยปรามสหายของตนอีกครั้งแต่ก็ไม่ได้นำพา “คาม! ข้าเตือนเจ้าแล้ว”

                    “หุบปากของเจ้าเสีย” อีกฝ่ายหันกลับไปโวยวายและเร่งฝีเท้าวิ่งนำสหายของตนจนมาถึงประตูเหล็กกล้า

                    ชายหนุ่มใช้เพียงฝ่าเท้าข้างเดียวก็สามารถถีบบานประตูจนมันแยกออกจากกัน เขาอุ้มหญิงสาวตรงเข้าไปยังห้องโถงกลางพร้อมทั้งตะโกนลั่นเพื่อเรียกร้องความสนใจจากทุกคน

                    “ดูนี่สิ!” เขาชูร่างบอบบางเหนือศีรษะ “วันนี้ข้าพามนุษย์มาด้วย”

                    “เล่นอะไรของเจ้าน่ะคาม” ชายวัยกลางคนเดินออกมาด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม เขาหรี่ดวงตาสีเหลืองอำพันของตนเพ่งมองใบหน้าชายหนุ่มก่อนลากสายตาขึ้นไปยังสิ่งมีชีวิตอันแสนเปราะบางในมืออีกฝ่าย

                    ‘มนุษย์’ สิ่งมีชีวิตพันธุ์นี้เขาไม่ได้เห็นมานานมากแล้ว

                    “แล้วเหตุใดเจ้าจึงพามนุษย์กลับมาที่นี่ด้วย”

                    “ไม่เอาน่าแฮร์รี่ ท่านอย่าวิตกกังวลเกินไป” คามบุ้ยปากก่อนลดสองมือลง เขาอุ้มหญิงสาวแนบแผ่นอกอีกครั้งก่อนรีบถามหาประมุขของบ้าน “แล้วท่านพี่อยู่ที่ใด”

                    “ท่านประมุขพักผ่อนอยู่ในห้องดนตรี”

                    “ข้าจะพานางไปมอบให้ท่านพี่”

                    “เจ้ากำลังรบกวนท่านประมุข” แฮร์รี่ผู้ดำรงตำแหน่งพ่อบ้านและผู้อาวุโสเอ่ยทักท้วง

                    “รบกวนเมื่อใดกัน ข้าหาของเล่นสนุกๆ มาให้ท่านพี่ใช้คลายเหงาต่างหาก” คามไม่สนใจเสียงทักท้วง เขารีบอุ้มหญิงสาวก่อนกระโจนขึ้นบันไดไปที่ละสามขั้นจนผลุบหายไปยังชั้นสอง

                    “หวั่นแต่เจ้าจะถูกท่านประมุขไล่ตะเพิดมาน่ะสิ” พ่อบ้านกล่าวและเลื่อนสายตามองไปยังสหายของคามด้วยความสงสารและเห็นใจ “หากข้าเป็นเจ้าคงปวดหัววันละหลายรอบ”

                    เจเรดหัวเราะร่วนก่อนเดินหายกลับไปยังห้องพักของตน เมื่อสถานการณ์ต่างๆ คลี่คลายทุกคนก็แยกย้ายจนห้องโถงเงียบสนิทลง

                    ต่างจากบนชั้นสองที่พายุลูกเล็กๆ กำลังก่อตัวขึ้นภายในห้องดนตรี

                    “ท่านพี่ ข้ากลับมาแล้ว” ประตูห้องถูกเปิดเข้าไปอย่างถือวิสาสะจนผู้เป็นเจ้าของชำเลืองมองอย่างเหนื่อยหน่าย

                    “ไปเล่นซุกซนที่ใดมาอีกเล่า” แว่วเสียงหวานแต่ดุดันและทรงอำนาจเอ่ยถาม เบื้องหลังเปียโนหลังใหญ่มีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น 

                    ชุดสีแดงเพลิงอันวิจิตรลากยาวไปบนพื้นพรมขยับไหวตามร่างอรชรที่ลุกเยื้องย่างออกมา ใบหน้างดงามแต่กลับไร้ชีวิตเบือนมองน้องชายฝาแฝดของตน ฉับพลันคิ้วเรียวสวยก็ต้องขมวดยุ่งเมื่อเห็นบางสิ่งในอ้อมแขนของอีกฝ่าย

                    “นั่นเจ้านำสิ่งใดมา” นัยน์ตาสีแดงทอประกายดุดันอย่างชัดเจน

                    “โธ่ท่านพี่ อย่าเพิ่งโกรธข้าสิ” ชายหนุ่มโอดครวญก่อนวางร่างหญิงสาวลงบนพื้นพรมจนเกิดเสียง ‘ตุบ’ หนึ่งครั้ง จากนั้นร่างองอาจของเขาก็พุ่งเข้าไปประจบสอพลอพี่สาวของตน “ข้าทำเพื่อท่านเลยนะ เห็นว่านางมีกลิ่นน่าสนใจท่านพี่อาจพอใจให้นางเป็นของเล่นแก้เหงา”

                    “สิ้นคิด” นางตำหนิน้องชายอย่างไม่ไว้หน้า 

                    “ท่านพี่...” ชายหนุ่มโอดครวญแผ่วเบาไม่ต่างจากลูกสุนัขร้องคราง

                    “พานางกลับไปส่ง”

                    “แต่ข้าเจอนางตรงทางมาปราสาทนะ ข้าไม่รู้ว่านางผ่านเข้ามาถึงป่าชั้นในได้อย่างไร”

                    “ปราการของเจ้าหละหลวม ยังไม่คิดแก้ไขอีกหรือ” ถ้อยคำตำหนิและใบหน้าเย็นชาทำให้หมาน้อยหงอยสลด นัยน์ตาสีฟ้าเริ่มหม่นประกายแสงลงอย่างน่าสงสาร

                    “ท่านกำลังตำหนิข้า”

                    “ไปลาดตระเวนและจัดการพวกบุกรุกเดี๋ยวนี้”

                    “ก็ได้!” ใบหน้าหวานคล้ายคลึงกับนางบูดบึ้งเพราะถูกขัดใจ คามสะบัดเชิดหน้าและวิ่งพรวดจากไปโดยไม่รอฟังคำสั่งต่อไปของนาง

                เจ้าน้องบ้า! เหตุใดเจ้าไม่พานางกลับไปด้วย...

     

     

     

    ++++++++++++++++++++++

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×