ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yuri] Dark Daisy แรกรักเพียงนิรันดร์

    ลำดับตอนที่ #12 : BONDAGE part 2

    • อัปเดตล่าสุด 3 พ.ย. 66



     

     

                    “กลับห้องเจ้าได้แล้ว” นางเอ่ยออกมาอีกครั้ง ใบหน้างดงามยังคงฉายแววเฉยชาไว้เช่นเดิม

                    ฉันพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนเตรียมหมุนตัวเดินออกไป ทว่าหางตาพลันเหลือบมองเห็นร่องรอยบาดแผลเหวอะหวะภายใต้ร่มผ้าของนาง แม้บาดแผลไม่ได้ลึกมากแต่การไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีอาจทำให้แผลติดเชื้อได้

                    “ท่านประมุข...บาดแผลของคุณ” ฉันชี้ไปยังบาดแผลเหนือเนินอก

                    “ไม่ต้องสนใจ”

                    “หากคุณปล่อยไว้เช่นนั้น แผลอาจติดเชื้อได้”

                    “...”

                    “ให้ฉันทำแผลให้ดีไหม”

                    “กลับห้องเจ้าไปเสีย” นางยังคงสงบนิ่ง ทว่าลางสังหรณ์ของฉันกลับร้องเตือนว่าไม่ให้เชื่อในสิ่งที่นางกำลังแสดงออก

                    “ให้ฉันทำแผลให้เถอะนะ”

                    “...”

                    “ท่านประมุข” ฉันเว้าวอนจนอีกฝ่ายเบือนหน้าหนี ท่านประมุขหมุนตัวเดินไปยังเตียงกว้างและทิ้งกายลงนั่ง นางตวัดสายตากลับมามองฉันก่อนเอ่ยออกมาเสียงราบเรียบว่า

                    “ไปขอสมุนไพรจากคาเรน” ฉันยืนนิ่งครุ่นคิดตามจนกระทั่งดวงตาคู่นั้นฉายแววตำหนิ ร่างกายจึงรีบหมุนและออกวิ่งไปทางประตูห้องอย่างรวดเร็ว

                ให้ตายเถอะ! ฉันคล้ายย้อนกลับไปสมัยเรียนประถมอีกครั้ง

                    ก้าวเท้ายังไม่ทันพ้นจากกรอบประตู ถาดกระเบื้องก็ถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมกลิ่นสมุนไพรลอยโชยมาแตะปลายจมูก คาเรนค้อมกายและยัดถาดยาใส่มือของฉัน ทั้งยังกำชับเสียงเข้มว่า

                    “สมุนไพรเหล่านี้ใช้พอกบาดแผล ส่วนในถ้วยกระเบื้องเป็นยาระงับความเจ็บปวด เอาให้ท่านประมุขดื่มด้วยนะเจ้าคะ”

                    ฉันรับถาดยาและเดินกลับเข้ามาในห้องอย่างงุนงง ทว่าพอเงยหน้าขึ้น หัวใจก็ต้องหล่นวูบเพราะสตรีสูงศักดิ์คนนั้นดันถอดชุดของตัวเองออกจนเหลือเพียงเสื้อเกาะอกตัวบางปกปิดร่างกายส่วนบนไว้เท่านั้น

                    “เหตุใดยังยืนเฉยอยู่ มาทายาให้ข้าสิ” ใบหน้าหวานเงยมองตำหนิและเร่งรัดให้ฉันเข้าไปทายาให้

                    “ร-รับทราบค่ะ” ฉันขานรับเสียงตะกุกตะกักพร้อมทั้งเดินอย่างระมัดระวังตรงไปยังเตียงนอน ท่านประมุขจดจ้องมองฉันทุกฝีก้าวจนกระทั่งเดินไปหยุดตรงหน้า นางขยับตัวเล็กน้อยจนมีที่ว่างมากพอให้ฉันนั่งลงไป

                    “เอ่อ-คาเรนบอกว่ายาถ้วยนี้ช่วยระงับอาการเจ็บปวด” ฉันยื่นถ้วยยาส่งให้ ท่านประมุขเพียงหลุบตามองแต่ไม่มีท่าทีจะยื่นมือรับ “ท่าน-ท่านประมุข”

                    “ข้ามีนามว่าวิเวียน่า เจ้าเรียกข้าว่าวิเวียน่าเถิด”

                    “อ-ค่ะ...ท่าน-วิเวียน่า” นัยน์ตาสีแดงทับทิมฉายประกายพึงพอใจเล็กน้อย หากแต่ไม่ยอมยื่นมือมารับถ้วยยาเลยสักนิด ฉันจ้องสบตากับนางกระทั่งแว่วเสียงหวานสั่งให้วางถ้วยยาลงแล้วหยิบสมุนไพรมาทาบาดแผลให้นางก่อน

                    “ความจริงฉันมียาบรรเทาความเจ็บปวด หากคุณไม่รังเกียจ...”

                    หมับ! ยังไม่ทันยืนขึ้น มือบางก็ยื่นมารั้งข้อมือของฉันไว้พร้อมทั้งฉุดให้นั่งลงตามเดิม

                    “เพียงแค่สมุนไพรนี้ก็พอ”

                    “แต่บาดแผลของท่าน...” ทุกครั้งที่คุยกับหญิงสาว ฉันแทบไม่เคยเอ่ยพูดจนจบประโยคเลย หลายๆ ครั้งนางก็คอยตัดบทและเปลี่ยนคุยเรื่องอื่นอย่างรวดเร็ว

                    “ข้ามีเวทมนตร์ สมานแผลเองได้”

                    “แล้วทำไม- เมื่อกี้คุณรักษาให้ฉัน ใช่ไหม?” แม้ไม่มีคำตอบใดจากคนตรงหน้าแต่ฉันก็คิดเข้าข้างตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่ามันเป็นเช่นนั้น “งั้นคุณก็รักษาบาดแผลของคุณสิ”

                    “...ตอนนี้ไม่ได้” นางส่ายหน้าและขยับเอนกายลงนอนราบไปบนเตียงทั้งที่มือยังรั้งข้อมือฉันเอาไว้

                    ฉันหลุบสายตาลงมองมือที่ยังแตะต้องข้อมือตัวเองก่อนไล่สายตามองไปยังใบหน้างดงามที่วันนี้คล้ายกับจะซีดเซียวมากกว่าปกติ ทันใดนั้น ห้วงความคิดหนึ่งก็ผุดเข้ามาในสมอง ฉันรีบขยับเข้าไปใกล้ร่างกายของนางและแตะสัมผัสที่หน้าผากแผ่วเบา ภายนอกของนางดูปกติมากก็จริง แต่ว่าร่างกายกลับร้อนผ่าวราวมีใครสุมเปลวไฟไว้ข้างใน ทั้งใบหน้าและกลีบปากก็ดูซีดเผือดคล้ายคนกำลังไม่สบาย

                    “คุณไม่สบาย”

                    “ข้าเพลียนิดหน่อย” นางตอบก่อนปิดเปลือกตาลง

                    “เรื่องเมื่อคืน...”

                    “ลืมมันไปเสีย” ท่านวิเวียน่าลืมตาพรึบอย่างรวดเร็วจนฉันผงะถอย สีหน้านางมีแววไม่พอใจแสดงออกอย่างชัดเจน “เจ้าไม่จำเป็นต้องหวนนึกถึงมันอีก”

                    ลมหายใจของนางหอบกระชั้นก่อนเปลือกตาบางจะปิดลงอีกครั้ง ฉันลอบถอนหายใจก่อนขยับกายอย่างกล้าๆ กลัวๆ เข้าไปใกล้ สอดส่องสายตามองสำรวจบาดแผลอย่างถี่ถ้วนจึงเห็นว่ามันเป็นรอยเขี้ยวขย้ำกัด แผลของนางฉีกออกจนแทบเห็นกระดูกด้านใน

                    “เจ็บหรือเปล่า” ฉันเอ่ยถามพร้อมกับยื่นมือเข้าไปใกล้แต่ไม่กล้าแม้แต่จะสัมผัสเพราะกลัวจะสร้างความเจ็บปวดให้อีกฝ่าย

                    “ข้าชินแล้ว”

                    “คุณไม่ควรชินชากับเรื่องพรรค์นี้เลย” ฉันบอกและเอี้ยวกลับไปหยิบกระปุกยามาถือไว้ ยามที่ละเลงป้ายสมุนไพรพอกลงบนบาดแผล เรือนร่างของอีกฝ่ายก็พลันสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ฉันไม่รู้ว่าคนตรงหน้าต้องใช้ความพยายามมากเพียงใดถึงไม่ปริปากบ่นสักคำ ความเจ็บปวดใดๆ ที่นางได้รับแทบไม่ถูกแสดงออกมาให้เห็น

                    การกระทำเหล่านี้กลับสร้างความทรมานแก่หัวใจจนฉันกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว ฉันโน้มตัวลงไปใกล้และซบใบหน้ากับท่อนแขนนุ่มนิ่ม ซุกฝังใบหน้าลงไปแล้วปล่อยหยาดน้ำตาไหลลงช้าๆ โดยไร้เสียงสะอื้น

                    “เจ้าไม่จำเป็นต้องร้องไห้”

                    “หากคุณไม่อยากร้อง ฉันจะร้องไห้แทนคุณเอง” ฉันกล่าวและเอื้อมมือโอบกอดนางไว้อย่างระมัดระวัง

                    “งี่เง่า” เสียงหวานปรามาสเบาๆ แต่กลับนิ่งเฉย ปล่อยให้ฉันนอนซุกกอดอยู่แบบนั้นจนกระทั่งผล็อยหลับไป

                    ...

                    นลินผล็อยหลับไปทั้งที่ใบหน้ายังมีคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนอยู่ จมูกโด่งรั้นขึ้นสีแดงระเรื่อเพราะเจ้าตัวเพิ่งผ่านการร้องไห้มาหมาดๆ วิเวียน่าจ้องมองนลินอย่างเงียบงัน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนที่นางลุกจากเตียงแล้วย้ายไปนั่งบนเก้าอี้จิบยาระงับความเจ็บปวดและเฝ้ามองอีกฝ่ายหลับ นัยน์ตาสีแดงทับทิบทอดมองตราสัญลักษณ์บนต้นคอของนลินพร้อมกับลอบถอนหายใจออกมา

                    นางไม่อยากลากมนุษย์เข้ามาเกี่ยวพันในสงครามหมาป่า แต่เพราะคำสาปบ้าบอนั่นทำให้ขาดสติ ชีวิตนางเกิดมาเพื่อสังหารผู้คน ทุกชีวิตที่เผลอเข้ามาข้องเกี่ยวล้วนมีอันดับสิ้นด้วยน้ำมือของนางทั้งนั้น การคลุ้มคลั่งในแต่ละครั้งรุนแรงจนไม่อาจจินตนาการได้ กว่านางจะฟื้นคืนสติกลับมา เบื้องหน้าก็เต็มไปด้วยแอ่งเลือดเจิ่งนองพื้นพร้อมซากศพเละเทะกองอยู่ข้างกาย เป็นแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนนางชาชิน

                    เหมือนเช่นเมื่อคืน นางเกือบปลิดชีพสตรีบอบบางคนนี้ไปแล้วหากชั่วขณะหนึ่งตนเองไม่ได้สติกลับคืนมา แต่ว่าร่างกายบอบช้ำพร้อมลมหายใจรวยรินก็ทำให้นางคิดหาหนทางช่วยชีวิตของมนุษย์ผู้น่าสงสารคนนี้ไม่ออกนอกจากการสร้างพันธนาการและถ่ายโอนพลังเวทย์ส่วนหนึ่งของนางให้เท่านั้นจึงจะสามารถรักษาชีวิตของนลินไว้ได้ แต่วิธีนี้กลับต้องแลกด้วยการยินยอมยกชีวิตวางไว้ในมือของนางเช่นเดียวกัน

     

                    วันต่อมา...

                    “แผลคุณเป็นยังไงบ้างคะ” นลินเดินมาเคาะประตูห้องของอีกฝ่ายเพื่อถามไถ่ถึงอาการบาดเจ็บ เช้าวันนี้นางตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกกระฉับกระเฉง พละกำลังจากที่ใดก็ไม่ทราบอาบท่วมร่างจนนางลุกจากเตียงตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์นอกระเบียง ก่อนจะเร่งอาบน้ำชำระกายแล้วลงไปยังห้องครัวข้างล่างเพื่อยกถาดยาติดมือมา

                    “ดีขึ้นแล้ว” เสียงหวานเอ่ยตอบและหมุนตัวกลับโดยปล่อยให้นางยืนเลิ่กลั่กอยู่หน้าประตู นลินไม่กล้าก้าวเท้าเข้าไป นางจึงยังคงยืนถือถาดยาอยู่ตรงหน้าประตูแบบนั้น

                    “เข้ามาสิ” วิเวียน่าหมุนกลับไปออกคำสั่งให้นางเดินตามเข้าไปข้างใน นลินจึงเผลอยกยิ้มกรุ้มกริ่มและขานรับอย่างขยันขันแข็ง ท่าทางของนางตกอยู่ในสายตาของวิเวียน่าตลอดเวลา ไม่ว่าจะขยับกายด้วยท่วงท่ากิริยาไหนล้วนไม่อาจรอดพ้นสายตาของเจ้าของปราสาท

                    “ให้ฉันทายาให้ไหม” นลินเอ่ยถามพร้อมยกกระปุกสมุนไพรให้อีกฝ่ายดู

                    “อืม” วิเวียน่าพยักหน้ารับและทิ้งกายลงนั่งบนเตียง นางทำเหมือนเช่นเมื่อวานคือถอดเสื้อออก เหลือไว้เพียงเกาะอกที่สวมปิดบังร่างกายส่วนบนไว้

                    นลินพยายามไม่มองจ้องอย่างจริงจังเพราะเกรงว่าจะถูกดุ นางพยายามสนใจเพียงการทายาลงบนบาดแผลให้เท่านั้น

                    “ไหนคุณบอกว่ามันดีขึ้นแล้ว แต่ทำไมบาดแผลจึงไม่สมานเลยล่ะ” นางเงยหน้าขึ้นถาม ประจวบกับอีกฝ่ายหลุบสายตาลงพอดี ทั้งสองคนจึงประสานสายตาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

                    “ข้าคงไม่ได้ระวัง” เจ้าของร่างตอบกลับราวกับไม่ใคร่สนใจ

                    “ไม่ได้นะคะ บาดแผลคุณจะติดเชื้อได้” นลินจำต้องเอ่ยเตือนอีกครั้ง “หากแผลคุณไม่สมานตัวอีก บางทีอาจจะต้องลองใช้ยาของฉัน”

                    ใบหน้าหวานฉายแววเคร่งเครียดขณะเป่าลมหายใจร้อนลงบนบาดแผลราวกับจะให้ลมหายใจตนเองช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้

                    การกระทำของนางล้วนอยู่ในสายตาของวิเวียน่าทั้งสิ้น หญิงสาวไม่ตอบแต่มือบางกลับยกขึ้นสัมผัสดอกเดซี่สีแดงสดบนต้นคอของอีกฝ่าย สีแดงสดของมันทำให้มุมปากอวบอิ่มเผลอยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว

                    “คุณชอบมันเหรอ” นลินเอ่ยถามเมื่อทันเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย

                    “ดอกไม้ของข้า เหตุใดจะไม่ชื่นชอบมันเล่า” วิเวียน่าตอบก่อนเลื่อนสายตาหลุบมองสบ “เจ้ารู้ความหมายของมันดีใช่หรือไม่”

                    “ฉันทราบค่ะ”

                    “กระนั้นก็ยังยินดีจะเป็นคนของข้าเช่นนั้นหรือ” คิ้วเรียวเลิกขึ้น หากแต่นลินกลับฉีกยิ้มกว้าง นางยืดตัวขึ้นก่อนประคองใบหน้างดงามไว้อย่างทะนุถนอม ใบหน้าหวานล้ำไม่ต่างกันโน้มเข้าหา แนบหน้าผากชิดกับอีกฝ่าย

                    “ฉันเป็นของคุณแล้ว วิเวียน่า” กล่าวจบก็บรรจงแนบริมฝีปากแตะสัมผัสเบาๆ แล้วผละออก นลินจ้องอีกฝ่ายได้เพียงครู่เดียวก่อนผละออก นางเก็บความเขินอายหลบซ่อนไว้จนมิด จากนั้นจึงเอี้ยวตัวไปหยิบถ้วยยาส่งให้อีกฝ่ายดื่ม

                    “หึ” วิเวียน่าเค้นเสียงหัวเราะเพียงครั้งเดียวก่อนจะเบนสายตามองทางอื่น

                    ทว่าเพียงการกระทำนั้น กลับทำให้กำแพงบางอย่างที่ขวางกั้นค่อยๆ เกิดรอยร้าวขึ้นโดยไม่รู้ตัว


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×