ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yuri] Dark Daisy แรกรักเพียงนิรันดร์

    ลำดับตอนที่ #11 : BONDAGE part 1

    • อัปเดตล่าสุด 3 พ.ย. 66




     

                    ความรู้สึกแรกเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาคือร่างกายหนักอึ้งและร้าวระบม ฉันยกมือลูบสัมผัสร่องรอยบาดแผลที่ยังคงทิ้งรอยจางๆ ไว้บนผิวก่อนกวาดสายตาหาเจ้าของห้อง ทว่านอกจากคาเรนที่ยืนประสานมือรอเก็บเตียงให้ ภายในห้องนี้ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดอาศัยอยู่เลย

                    “คาเรน เจ้านายคุณไปไหน”

                    “หมายถึงคุณท่านหรือเจ้าคะ” นางเอียงคอถามกลับมา

                    “ไม่ค่ะ หมายถึงผู้หญิง...คุณเรียกเธอว่าท่านประมุข”

                    “อ้อ” คาเรนเม้มปากก่อนทอดสายตาจ้องมาแถวลำคอของฉัน สายตาที่เคยราบเรียบเบิกกว้างเพียงครู่เดียวก่อนจะกลับมาเรียบสงบเช่นเดิม คาเรนขยับเข้ามาก่อนย่อกายเคารพฉัน

                    “เกิดอะไรขึ้นเหรอคาเรน”

                    “คุณท่านอยู่ในลำดับสูงกว่าดิฉัน” นางก้มหน้าและไม่ยอมสบตาฉันอีกเลย

                    “เดี๋ยวก่อนสิ คุณไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น” ฉันพาร่างอันสะบักสะบอมก้าวลงจากเตียงและจับประคองให้นางยืดตัวขึ้น “ฉันไม่ได้มีลำดับขั้นอะไรเลย”

                    “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ในปราสาทหลังนี้คุณท่านมีตำแหน่งเป็นรองเพียงคุณท่าน  คามิลเท่านั้น”

                    “เห?” คาเรนค้อมกายและผายมือออกเพื่อเชื้อเชิญให้ฉันเดินไปนั่งพัก แม้จะยังงุนงงสับสนแต่สองเท้าก็ก้าวเดินไปตามที่นางเชิญอย่างว่าง่าย ระหว่างรอให้อีกฝ่ายเก็บและทำความสะอาดเตียงอยู่นั้น ฉันจึงเอ่ยถามออกไป “คุณช่วยอธิบายให้ฟังได้หรือเปล่าว่าอะไรทำให้ฉันอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า”

                    เอ่ยถามพลางโคลงศีรษะเบาๆ จนคาเรนระบายยิ้มบาง นางพับผ้าเสร็จเรียบร้อยก่อนหมุนกลับมาเผชิญหน้า “รอยบนคอของคุณบ่งบอกถึงตำแหน่งภายในฝูง- หมายถึงพวกที่อยู่ในปราสาทหลังนี้”

                    สีหน้านางดูไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรนักจนฉันต้องเอ่ยออกไป “ไม่ต้องกังวล มิสเตอร์เฮลก้าอธิบายให้ฉันฟังบ้างแล้ว พูดตามที่คุณถนัดเถอะ”

                    “เจ้าค่ะ” นางพยักหน้าและเริ่มอธิบายให้ฟัง

                    ร่องรอยบนต้นคอที่ฉันยังไม่มีโอกาสเห็นเป็นสัญลักษณ์ประจำฝูงของพวกนาง โดยส่วนใหญ่มิสเตอร์เฮลก้าจะเป็นคนทำพันธนาการ แต่ด้วยความที่เขาไม่ใช่จ่าฝูง สัญลักษณ์ที่เกิดขึ้นจึงมีเพียงครึ่งเดียว และจากการก่อเกิดสัญลักษณ์นี้แหละที่กลายเป็นตัวชี้วัดถึงระดับหรือตำแหน่งของพวกที่อยู่ภายในฝูง พวกมนุษย์หมาป่าที่อยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลเฮลก้าจะมีสัญลักษณ์นี้ทุกคน เพื่อบ่งบอกถึงฐานะและพันธสัญญาระหว่างตนกับตระกูล

                    สัญลักษณ์ของดอกเดซี่ที่หมายถึงความรักอันซื่อสัตย์และจงรักภักดีไม่เพียงแต่บ่งบอกถึงพันธะ แต่ยังทำหน้าที่คล้ายคำพิพากษาสำหรับคนทรยศ เมื่อใดสีของดอกเดซี่เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท มนตราที่ถูกฝังลงพร้อมกับตราประดับจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ ‘บุปผาหวนคืน’ คือชื่อเวทมนตร์นั้น

                    คาเรนเล่าให้ฉันฟังคร่าวๆ ว่าเพราะสีของดอกเดซี่ถูกเปลี่ยนจากสีแดงกลายเป็นสีดำ เวทมนตร์บุปผาหวนคืนจะทำหน้าที่ย้อมสีดอกเดซี่ให้กลายเป็นสีแดงอีกครั้งด้วยเลือดของผู้ถูกพันธนาการ นั่นจึงหมายความว่า ผู้ที่คิดทรยศตระกูลเฮลก้าจะถูกสังหารทั้งสิ้น  

                    เป็นเรื่องที่น่ายินดีเหลือเกิน...

                เฮ้อ!

                    “คาเรน นอกจากฉันและมิสเตอร์เฮลก้าแล้ว มีใครอีกบ้างที่มีสัญลักษณ์นี้สมบูรณ์” ฉันเงยมองอย่างรอคอยคำตอบ

                    ทว่าเพราะอะไรก็ไม่รู้ที่จู่ๆ มือของนางก็สั่นไหว คาเรนแสดงพิรุธและหลบสายตาของฉันอย่างรวดเร็ว “ม-ไม่มีเจ้าค่ะ”

                    “คาเรน--” คำพูดของฉันหยุดชะงักเพราะมีเสียงเปิดประตูออกมา บริเวณรูปวาดขนาดใหญ่ปรากฏร่างของท่านประมุขของปราสาทหลังนี้ยืนจ้องเขม็ง

                    “ไปทำงานได้แล้วคาเรน” เสียงเย็นยะเยือกเอ่ยจนเจ้าของชื่อรีบค้อมกายก่อนยกถาดอาหารออกไปอย่างรวดเร็ว ทั้งห้องจึงเหลือเพียงฉันกับอีกฝ่ายเพียงเท่านั้น

                    ท่านประมุขหรืออีกชื่อหนึ่งคือวิเวียน่า เฮลก้า นางสาวเท้าเข้ามาด้วยท่าทีไม่รีบร้อน ทว่าทุกย่างก้าวกลับแผ่ความกดดันจนฉันแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้ ฉับพลันภาพเหตุการณ์เมื่อคืนก็ผุดเข้ามาจนต้องเป็นฝ่ายก้มหน้าหลบสายตาก่อน

                    “บางเรื่องก็ไม่สมควรรู้” เสียงเฉยชาเอ่ยออกมาหนึ่งประโยค แต่อนุภาพของมันกลับทำฉันหน้าชาดิก

                    “ฉ-ฉันขอโทษ”

                    “...” นางไม่พูดอะไร เพียงแค่หยุดยืนนิ่งเว้นระยะห่างจากฉันหนึ่งช่วงตัว

                    ท่าทีห่างเหินคล้ายคนไม่รู้จักกันทำให้คลื่นความผิดหวังถาโถมเข้าใส่ ฉันหยัดกายลุกยืนอย่างยากลำบากเพื่อประจันหน้ากัน ดวงตาสีแดงทับทิมหลุบมองโดยไร้คำพูดใดๆ ฉันจ้องหน้านางเพียงแวบเดียวก่อนเบนสายตามองทางอื่น เป็นเช่นนี้อยู่สักพักจนเจ้าของห้องเอ่ยไล่ออกไป

                    “หากเจ้าตื่นแล้วก็กลับห้องไปเสีย”

                    “ด-เดี๋ยวสิ!” ฉันร้องท้วงอย่างรวดเร็วพร้อมถลาตัวเข้าไปใกล้ ทว่าการขยับก้าวถอยหนีของท่านวิเวียน่าทำให้ทั้งมือและร่างกายชะงักค้าง ฉันจ้องมองการระมัดระวังตัวของนางด้วยหัวใจที่ปวดหน่วง

                    เป็นเพราะเมื่อคืนฉันทำให้เธอเสียใจใช่ไหม เธอถึงได้ตั้งท่าทีรังเกียจเช่นนี้

                    “ขอโทษ...ฉันขอโทษ”

                    “...” คำขอโทษได้รับเพียงความเงียบตอบกลับมาเท่านั้น

                    “ท่านประมุข ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณไม่พอใจ” ฉันกล่าวด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด ลำคอหดลงคล้ายเจ้าเต่ายามหลบหนีศัตรู “ฉันเสียใจ เรื่องเมื่อคืนคงจะทำให้คุณไม่พอใจ แต่ว่าได้โปรด...อย่าตั้งท่ารังเกียจฉันเช่นนั้น”

                    “...”

                    “...” สิ้นคำพูดความเงียบก็เข้าปกคลุมทั่วทั้งห้อง เราสองคนยืนประจันหน้าแต่กลับไร้ถ้อยคำใดต่อกัน บรรยากาศอึมครึมที่แผ่กระจายพานทำให้ร่างกายหนักอึ้ง ฉันยกมือกอดตัวเองพลางเม้มปากไว้แน่น

                    ความเจ็บปวดบนร่างกายเริ่มแผลงฤทธิ์ใส่จนขาทั้งสองข้างเริ่มสั่นไหว ฉันสะกดกลั้นความเจ็บปวดนั้นไว้กระทั่งลมสายหนึ่งหมุนวนรอบร่างกาย ฉันเพ่งมองไอหมอกสีแดงอ่อนก่อนเบนกลับไปยังคนตรงหน้า ทันใดนั้นความเจ็บปวดก็ค่อยทุเลาลง

                    “ขอบคุณ” มือเรียวตวัดเพียงครั้งเดียวสายลมนั้นก็สลายไป ฉันหลุบสายตามองสำรวจทั่วร่างกายแต่ก็ไม่พบร่องรอยบาดแผลใดๆ หลงเหลืออยู่

                    “กลับห้องเจ้าได้แล้ว” นางเอ่ยออกมาอีกครั้ง ใบหน้างดงามยังคงฉายแววเฉยชาไว้เช่นเดิม

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×