ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จะตายทั้งทีขอมีสตอรีหน่อยได้ไหม

    ลำดับตอนที่ #2 : เจฟฟรีย์ บราวน์

    • อัปเดตล่าสุด 22 มี.ค. 65


    ตัวละคร สถานที่ องค์กร และเหตุการณ์ต่างๆ

    ในนิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องสมมติ

     

    โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    "ตื่นเถิดเพคะองค์ชาย เราต้องไปกันแล้ว"

     

    น้ำเสียงที่ไม่คุ้นหู ภาษาที่ไม่คุ้นเคย จากใครบางคนซึ่งแน่นอนว่าคงไม่รู้จักเช่นเดียวกัน

     

    "องค์ชายเพคะ ได้โปรด ไม่เหลือเวลาให้อ้อยอิ่งอีกต่อไปแล้วเพคะ"

     

    เสียงสั่นจวนสะอื้นไห้ของใครคนนั้นทำให้เขายอมลืมตาขึ้นในที่สุด ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะไม่มีเรื่องราวอะไรที่ทำให้เขาประหลาดใจได้อีกต่อไปแล้วก็ตาม

     

    "คนที่อ้อยอิ่งอยู่ก็เห็นจะมีแต่เธอไม่ใช่หรือซิลเวียร์ มัวทำอะไรอยู่ ขออนุญาตพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย"

     

    เขาคิดอย่างนั้นจนกระทั่งมีเสียงของใครอีกคนพูดขึ้น พร้อมกับความรู้สึกเบาหวิวราวกับตัวเขากำลังลอยอยู่ในอากาศ

    แล้วก็ใช่ เขาลอยอยู่จริง ๆ

    เจ้าของน้ำเสียงทุ้มต่ำคนเมื่อครู่กำลังแบกร่างของเขาขึ้นพาดไว้บนบ่าราวกับเป็นแค่หมอนยัดนุ่นใบหนึ่งไม่มีผิด ความเงียบและบรรยากาศรอบตัวท่ามกลางความมืดชวนให้ขนลุกขนชันนั้นทำให้เขาเริ่มจะสังเกตเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น ดวงตาสีโกเมนอยู่ไม่สุขเมื่อกวาดตามองไปรอบ ๆ ด้วยความประหลาดใจ ภาพที่เห็นตรงหน้าต่างไปจากทุกครั้งก่อนหน้านี้มากเสียจนตื่นตระหนกอยู่ลำพัง ซ้ำร่างกายยังเริ่มประท้วงจากการที่ถูกแผ่นเหล็กเย็น ๆ บนไหล่ใครบางคนกระแทกที่หน้าท้องทุกทีที่คนนั้นก้าวเท้าเดิน

     

    "พากูมาที่ไหนอีกแล้วเนี่ยยย"

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    แนช ฟากัส หรือที่ก่อนหน้านี้คือ เบล ฟรังโก้ ก่อนนั้นอีกหน่อยก็ เอมิลี่ คอร์เนล ถัดไปอีกเป็น เอเดรียน เกรย์ และที่ใช้มาตลอดจนถึงวันที่เกิดเรื่องบ้าบอพวกนี้ขึ้น เขาเคยเป็นแค่ เจฟฟรีย์ บราวน์ ธรรมดา ๆ คนนึง

     

    ความจริงเกี่ยวกับตัวตนทั้งหลายของเขานั้นเกิดขึ้นจากเรื่องราวที่เหนือจินตนาการเกินกว่าจะเล่าให้ใครเชื่อได้ เขาไม่ใช่คนไม่ดี ไม่ใช่อาชญากรที่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนชื่อไปเรื่อย ๆ เพื่อหนีจากความผิดอะไรก็ตามแต่ เขาก็แค่ เจฟฟรีย์ บราวน์ พนักงานขนส่งพัสดุของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในวัยยี่สิบต้น ๆ เท่านั้นเอง

    เจฟฟรีย์ธรรมดา ๆ คนนั้นใช้ชีวิตทั้งวันไปกับการขับรถบรรทุกขนาดเล็กเพื่อส่งของตามบ้านในแถบชนบทของประเทศหนึ่ง เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยแถบ ๆ นั้นก่อนจะมาขับรถส่งของระหว่างรอหางานอย่างอื่นที่อาจจะเหมาะกับเขามากกว่าในอนาคต พูดอีกอย่างก็คือเขายังหางานที่ตัวเองอยากทำไม่ได้นั่นแหละ

    ชีวิตอันเรียบง่ายของเจฟฟรีย์ในทุกวันดำเนินไปแบบนั้นอย่างเป็นกิจวัตร เขาตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อเดินทางไปยังโกดังกระจายพัสดุและเตรียมออกจัดส่งในพื้นที่ที่เขารับผิดชอบ รถบรรทุกขนาดเล็กสีขาวตู้ทึบล้อหมุนไปตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ ตามเส้นทางที่คุ้นเคยอย่างไม่คิดจะรีบร้อน พร้อมกับข่าวรอบเช้าที่ถูกเปิดคลออยู่คอยเป็นเพื่อนตลอดทาง

    นอกจากเรื่องครอบครัว เพื่อนฝูง และการงานของเขาแล้ว เจฟฟรีย์ไม่คิดจะสนใจอย่างอื่นเลยตราบเท่าที่ตัวเองไม่เดือดร้อนหรือได้รับผลกระทบ เขาเป็นคนที่รักตัวเองแบบนั้นเข้าขั้นเห็นแก่ตัวในบางครั้ง จนกระทั่งเดือนธันวาคมในปีหนึ่งได้เกิดการระบาดครั้งใหญ่ของไข้หวัดชนิดหนึ่ง ที่กลายพันธุ์ไปเป็นเชื้อไวรัสที่สามารถติดต่อได้ง่าย ๆ เพียงแค่การสัมผัส หรือสูดซับเอาละอองของเชื้อที่ลอยอยู่ในอากาศเข้าสู่ร่างกายจนทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ การระบาดของเชื้อไวรัสที่ว่านั้นแพร่กระจายไปเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว จากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมือง จากรัฐเล็ก ๆ ขยายไปยังรัฐใหญ่ ๆ จนกระจายไปทั่วทั้งประเทศได้ในเพียงเวลาไม่กี่เดือน

    เจฟฟรีย์เองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยงจากอาชีพการงานของเขา แต่ถึงแม้ว่าทางบริษัทจำเป็นต้องหยุดให้บริการไประยะหนึ่งเพื่อให้เป็นไปตามมาตรการการป้องกันเบื้องต้น และท่ามกลางความวิตกกังวลของผู้คนทั่วโลก เจฟฟรีย์กลับไม่ได้รู้สึกว่าตัวเขาจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ เขาคิดว่าดีเสียอีกที่ไม่ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้าแถมยังได้รับเงินช่วยเหลือจากทางรัฐบาลด้วย ชีวิตในแต่ละวันในช่วงที่คนอื่นเรียกกันว่าวิกฤตนี้เขากลับยกให้เป็นวันหยุดยาวอันแสนสุขซะอย่างนั้น แต่พอเวลาผ่านไปสัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า ผลกระทบที่ว่าก็เริ่มคืบคลานเข้ามารายล้อมคนรอบตัวเขาทีละนิด เพื่อนฝูง ญาติมิตร หลายชีวิตจากผู้คนเหล่านั้นต่างพากันโหวกเหวกโวยวายจากวิกฤตที่เกิดขึ้น แต่ถึงกระนั้นเจฟฟรีย์เองก็ได้แค่รับฟังแล้วปล่อยให้ความทุกข์ของเพื่อนเขาพวกนั้นผ่านหูไปโดยไม่ใส่ใจจะคิดตาม

     

    สมกับความเห็นแก่ตัวที่เป็นนิสัยเสียของเขาจริง ๆ

     

    วันหนึ่งในขณะที่เจฟฟรีย์กำลังเดินตามทางเท้าเพื่อไปยังซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้านเพื่อตุนเสบียงประจำสัปดาห์ กลางสี่แยกใหญ่ในเมืองที่เขาอาศัยอยู่มีผู้คนไม่น้อยที่คำนวณจากสายตาแล้วไม่น่าต่ำกว่าร้อยคนยืนชุมนุมประท้วงกันอยู่อย่างไม่แคร์แม้แต่สัญญาณไฟจราจร เขาเดินเลี่ยงออกจากผู้คนพวกนั้นมากเท่าที่จะทำได้เพื่อที่จะไม่ถูกเหมารวมเข้าไปด้วย แต่เพราะจุดหมายที่เขาต้องไปนั้นจำเป็นต้องเดินข้ามแยกที่ว่านี้ไปอยู่ดี เจฟฟรีย์ดึงหูฟังที่คล้องอยู่คอขึ้นสวมครอบปิดหูไว้ทั้งสองข้างเพื่อโฟกัสแค่จุดหมายและอยู่กับตัวเอง เขาแตะเปิดเล่นเพลงจากสมาร์ตโฟนในเพลย์ลิสต์ที่เคยฟังประจำก่อนจะยัดมันเข้ากระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตพร้อมเก็บมือทั้งสองข้าง สองขาหยุดยืนอยู่ริมทางเท้าเมื่อเห็นไฟสัญญาณข้ามถนนเปลี่ยนเป็นสีแดง ภายในใจภาวนาให้เขาพ้นจากจุดนี้ไปเร็ว ๆ ก่อนที่ใครสักคนในพวกนั้นจะสังเกตเห็นแล้วเข้ามาทักทาย

     

    "เจฟฟรีย์" ราวกับว่าเทพพระเจ้านั้นทำหูทวนลม

     

    ไม่น่าแปลกใจนักที่คำภาวนาในใจของเขานั้นไม่สัมฤทธิ์ผล เจฟฟรีย์แทบจะไม่เข้าโบสถ์อีกเลยตั้งแต่เข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ไม่เคยแม้แต่จะสรรเสริญเทพพระเจ้าองค์ไหน ๆ ถึงไม่น่าแปลกใจที่จะไม่เป็นไปตามคำที่เขาขอ ตอนนี้จึงต้องเนียนฟังเพลงราวกับว่าเขาไม่ได้ยินอะไรภายนอกเลย

     

    กรี๊ดดด

     

    เสียงกรีดร้องจากใครสักคนดึงความสนใจจากเหล่าผู้ชุมนุมเคล้าอีกเสียงที่บอกได้ว่าดังยิ่งกว่า ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่หล่นลงมาทับร่างของเจฟฟรีย์จนเลือดสาดไปทั่วพื้นถนน โดยที่ร่างแน่นิ่งของเขามีดวงตานับร้อยคู่อยู่ร่วมเป็นพยานในเหตุการณ์ครั้งนั้นอย่างจำใจ...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    "เจฟฟรีย์ บราวน์"

     

    "..."

     

    "ผู้ไม่แยแสต่อสิ่งใด"

     

    "..."

     

    "ช่างจบชีวิตได้น่าอนาถใจเสียจริง"

     

    พื้นที่สีขาวโพลนไร้จุดสิ้นสุดสว่างจ้าซะจนดวงตาอาจพร่ามัวได้ เสียงปริศนาก้องกังวานไปทั่วทั้งโสตประสาทราวกับอยู่ในถ้ำแต่ไร้เงาเจ้าของเสียง นอกจากสีขาวที่สุดลูกหูลูกตาแล้วเจฟฟรีย์มองไม่เห็นสิ่งแปลกปลอมอื่นอีกเลย แม้แต่ตอนที่ก้มมองร่างกายของตัวเองก็ไม่เห็นเช่นเดียวกัน ความสับสนวุ่นวายอะไรต่อมิอะไรประเดประดังเข้ามาในความคิดเขาไม่หยุด จากที่ไม่ค่อยได้ใช้มันเท่าไหร่ตอนนี้กลับยุ่งเหยิงราวกับหยากไย่ที่รอวันปัดฝุ่น

     

    "นี่มันเกิดอะไรขึ้น" เสียงของเจฟฟรีย์ก้องกังวานไม่แพ้กัน

    นัยน์ตาสั่นไหวกวาดมองไปทั่วทุกพื้นที่ซึ่งก็มีแต่ขาวโพลนไปทั้งหมดราวถูกทิ้งอยู่ใจกลางขั้วโลกที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งแผ่นยักษ์ทอดไกลจนสุดสายตา แม้แต่ความทรงจำครั้งสุดท้าย ก็ให้คำตอบที่ชัดเจนในเรื่องนี้กับเขาไม่ได้เลย

     

    "แกซี้แล้วไง เจฟฟรีย์" 

     

    "ใคร แกเป็นใคร แกอยู่ไหน" ความสับสนระคนตกใจเผยออกมาผ่านน้ำเสียงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อได้ยินคำตอบที่ชวนให้ยิ่งยุ่งเหยิงเข้าไปใหญ่

     

    "เจฟฟรีย์ บราวน์ เกิดวันที่ 13 กรกฎาคม ปี1997 ขณะที่กำลังยืนโง่ ๆ ฟังเพลงของวงควีนรอข้ามถนนที่แยกแดนสตรีท ก็ดันซวยถูกแผ่นป้ายโฆษณาหน้าร้านขายยาเฟิร์สเอดหล่นทับจนซี้แหงแก๋คาที่ ในวันที่ 3 มีนาคม ปีนี้ เวลา 10.13am โดยมีอายุขัยแค่ 24..."

     

    "ห้ะ พอ ๆ ตายเนี่ยนะ เชื่อก็บ้า มันไม่ใช่เรื่องจริง" แม้ร่างกายจะถูกบดบังไว้จากบางสิ่ง แต่ความรู้สึกหนักอึ้งภายในอกกำลังก่อตัวขึ้นอย่างแน่นอน เจฟฟรีย์ไม่อยากเชื่อสิ่งที่กำลังได้ยินจากใครสักคนที่ไม่มีตัวตนต่อหน้าเขา เขาคิดว่ามันเป็นแค่ความฝันเพียงเท่านั้น เขาแค่ต้องทำให้ตัวเองตื่น เพื่อจะได้หนีออกจากความฝันอันขาวโพลนและความรู้สึกที่เริ่มจะหนาวเหน็บแห่งนี้ไป

     

    "ฉันรู้ว่ามันน่าเศร้าเจฟฟรีย์ แต่ชีวิตของแกน่ะมันสั้นจุ๊ดจู๋เหมือนกระเจี๊ยวแกเลยนะ"

     

    "ไม่ นี่เป็นแค่ความฝัน ฉันต้องตื่น ฉันต้องตื่นได้แล้ว" คำพูดที่ดังก้องในพื้นที่แห่งนี้ไม่เพียงแค่ออกจากปากเขาไปเท่านั้น คำเหล่านั้นมันยังสะท้อนซัดกลับมาราวกับคลื่นในทะเล ยิ่งเขาพูดดังมากเท่าไหร่ เสียงที่ถูกดูดกลืนออกไปก็ซัดคลื่นยักษ์กลับมาแรงเป็นเท่าตัว จนทำให้ความกลัวเข้าครอบงำเจฟฟรีย์อย่างไม่มีทางหนีได้เลย

     

    "เจฟฟรีย์น้อยเอ๋ย ความตายไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น แกอย่าได้กลัวไปเลย"

     

    "แกเป็นใครกันแน่ ต้องการอะไร" คำพูดทีเล่นที่จริงของเสียงที่ไม่เปิดเผยตัวตนทำเจฟฟรีย์เริ่มหัวเสีย ถึงเขาจะคิดว่ามันเป็นแค่ความฝัน แต่เขาตายแล้วเนี่ยนะ ในขณะที่เชื้อไวรัสระบาดจนคร่าชีวิตคนไปทั่วโลกแต่เขาดันมาตายง่าย ๆ แค่ป้ายโฆษณาหล่นมาใส่หัวแค่นั้นเหรอ ไร้สาระสิ้นดี

     

    "ฉันเหรอ ก็เป็นคนที่เกือบช่วยแกไว้ได้แล้วไงล่ะ"

     

    "ห้ะ ช่วยฉัน"

     

    "ใช่ ฉันเกือบช่วยแกได้แล้ว ถ้าแกไม่ทำตัวโง่ ๆ เมินเสียงรอบข้างแบบโนสนโนแคร์โลกใบนี้ แกก็คงไม่ตายอนาถเป็นหมาข้างถนนอย่างนี้หรอก"

     

    "ห้ะ"

     

    "ห้ะบ้า ห้ะบออะไรวะ ตายแล้วยังไม่เลิกโง่อีกเหรอ นี่แกลืมสมองไว้ในท้องแม่หรือไง"

    คำพูดจิกกัดจุดอารมณ์โทสะของเจฟฟรีย์เผาไหม้ถึงขีดสุด เขาไม่ได้คำตอบที่ต้องการไม่พอยังถูกด่าซึ่ง ๆ หน้าอีก จะความฝันหรืออะไรก็แล้วแต่ เขาอยากกระชากหัวไอ้บ้านี่กระแทกลงที่พื้นแล้วเหยียบให้จมดินซะเต็มที "ถ้าอยากเหยียบหน้าฉันก็ขอบอกไว้ตรงนี้แล้วกันนะ ว่าฝันเอา"

     

    แม้แต่ในความคิด เจฟฟรีย์ก็ยังถูกมันจับได้ซะอยู่หมัด มันเป็นใคร หรือเป็นตัวอะไรกันแน่ แล้วต้องการอะไรจากเขา นี่ต่างหากคำตอบที่ต้องการ

     

    "ถ้าอยากช่วยฉันจริง ๆ ละก็ได้โปรด จะตายทั้งทีขอแบบมีสตอรีหน่อยได้ไหมล่ะ นี่มันตายง่ายเกินไป ไม่มีอะไรให้คนได้จดจำ ฮ่า ๆ ๆ"

    เจฟฟรีย์ที่ยังคงปักใจเชื่อว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นแค่เพียงความฝันของเขา จึงพูดออกไปเล่น ๆ แบบนั้นโดยหารู้ไม่ว่ากำลังขออะไรบ้า ๆ ต่อหน้าเทพแห่งความตาย ที่สามารถบันดาลให้คำขอนั้นเป็นจริงได้เพียงแค่นึกสนุกอยากกลั่นแกล้งดวงวิญญาณในครอบครอง

     

    "กำลังรออยู่เลย เจฟฟรีย์ บราวน์"

     

     

     

     

     

    to be continue

     

    #จะตายทั้งทีขอมีสตอรีหน่อยได้ไหม

    คิดว่าแท็กมันอาจจะยาวไป แต่เรานั่งคิดนอนคิดมาทั้งอาทิตย์แล้วก็ยังไม่ได้ที่ถูกใจเลยค่ะ เอาเป็นว่าใช้ตามนี้ไปเลยแล้วกันนะคะ แห่ะๆๆ

    สวัสดีค่ะ ชื่อชาร์นะคะ เป็นนักเขียนหน้าใหม่ในวงการออริจินัล ชอบอ่าน+เขียนแนวแฟนตาซี อีกทั้งยังไม่เก่งด้วยค่ะ ช่วยเป็นกำลังใจให้เราด้วยนะคะ

     

     

     - ชาร์ลอตต์ -

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×