อาหารลดความอ้วน
อยากลดน้ำหนักก็ต้องลดให้ถูกวิธี
ผู้เข้าชมรวม
173
ผู้เข้าชมเดือนนี้
6
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เป็นผลไม้ยอดนิยมชนิดหนึ่งของโลก ต้นแอ๊ปเปิ้ลสูงประมาณ 5-12 เมตร ผลมีเปลือกสีแดง ชมพู เขียว และเหลืองตามสายพันธุ์ เนื้อในเป็นเนื้อทรายละเอียดสีขาวนวล
คุณค่าโภชนาการ เมื่อกินโดยไม่ปอกเปลือก จะมีพลังงาน 80 แคลอรี วิตามินบี 6 เท่ากับ 0.1 มิลลิกรัม วิตามินซี 7.9 มิลลิกรัม เหล็ก 0.2 มิลลิกรัม ทองแดง 0.1 มิลลิกรัม และโพแทสเซียม 158.7 มิลลิกรัม หากปอกเปลือกปริมาณสารสำคัญต่างๆ ก็จะลดลงไปจากที่กล่าวไว้
แอ๊ปเปิ้ลมีสารสำคัญคือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ คือ
เพคติน มีกรด 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน นอกจากนั้นยังมีการกล่าวถึงสรรพคุณ บำรุงหัวใจ ลดคลอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส
บทความในวารสารการแพทย์สหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2470 ยกให้แอ๊ปเปิ้ลเป็นผลไม้เหมาะสำหรับผู้ป่วยภาวะเลือดเป็นกรด ไขข้อรูมาติก เกาต์ ดีซ่าน และอื่นๆ
แอ๊ปเปิ้ลยังช่วยควบคุมน้ำหนัก เพราะมีแป้งและน้ำตาลถึง 75% ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลง ทั้งทำให้ไม่รู้สึกหงุดหงิดและอ่อนเพลียระหว่างรอเวลาอาหารมื้อใหญ่ แต่แอปเปิ้ลผลสดๆ เท่านั้นที่มีสรรพคุณนี้ การดื่มน้ำแอปเปิ้ลไม่ทำให้หายหิว แต่จะทำให้น้ำหนักเพิ่มด้วย
กินแอ๊ปเปิ้ลวันละ 2-3 ผลช่วยลดปริมาณคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือด แต่จะได้ผลมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แอ๊ปเปิ้ลลดคลอเลสเตอรอลในผู้หญิงได้ดีกว่าผู้ชาย
คณะวิจัยมหาวิทยาลัยพอลซาบาทิเอร์ เมืองตูลูส ฝรั่งเศส ทดลองในอาสาสมัครวัยกลางคนทั้งผู้หญิงและผู้ชาย 30 คน โดยให้กินอาหารเหมือนเดิมทุกประการ แต่กินแอปเปิ้ลด้วยวันละ 3 ผล ทุกวัน เป็นเวลา 1 เดือน พบว่าอาสาสมัคร 24 คน มีปริมาณคลอเลสเตอรอลในเลือดลดลง บางคนลดมากกว่า 10% และเมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมันแยกคลอเลสเตอรอลออกมาแล้ว เพคตินจะคอยดักจับคลอเลสเตอรอลเหล่านั้นนำไปทิ้งก่อนจะถูกดูดกลับเข้าสู่ร่างกาย เป็นการขจัดคลอเรสเตอรอลออกไป
แอ๊ปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ต้องการควบคุมน้ำตาลในเลือด ปกติเมื่อกินอาหารเข้าไป อาหารแต่ละชนิดจะย่อยสลายและดูดซึมผ่านผนังกระเพาะลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะเพิ่มช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของอาหารนั้น เช่น ถ้ากินน้ำผึ้ง น้ำตาลในเลือดจะขึ้นฮวบฮาบทันที แต่สำหรับแอ๊ปเปิ้ล ถึงจะมีน้ำตาลธรรมชาติในเนื้อแอปเปิ้ลมาก แต่ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ เท่านั้น และยังพบว่าคนที่กินอาหารที่มีไฟเบอร์มากๆ มีโอกาสเกิดเบาหวานต่ำกว่าคนที่กินน้อย และสำหรับคนที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ไฟเบอร์จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดด้วย แอปเปิ้ลมีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำสูงมาก
**น้ำลิ้นจี่**
ประโยชน์
สรรพคุณของลิ้นจี่ตามที่ใช้ในประเทศจีนเป็นส่วนใหญ่ นับมาแต่โบราณ เนื้อในผล กินเป็นยาบำรุง แก้อาการไอเรื้อรัง แก้อาการคัดจมูก รักษาอาการท้องเดิน ลดกรดในกระ-เพาะอาหาร และบรรเทาอาการไม่ปกติของระบบทางเดินอาหาร ในประเทศจีนใช้เปลือกผลลิ้นจี่ทำเป็นชา ใช้ชงเพื่อบรรเทาอาการหวัด แก้การติดเชื้อในลำคอ อาการท้องเสียอย่างอ่อน และโรคจากการติดเชื้อไวรัส ตำรายาจีนกล่าวว่าสรรพคุณของลิ้นจี่เฉพาะเมล็ดลิ้นจี่ ว่ามีรสหวาน ขมเล็กน้อย สรรพคุณอุ่น ทำให้พลังชี่ขับเคลื่อน ลดอาการปวด ใช้กรณีปวดท้อง ปวดไส้เลื่อน ปวดบวมของอัณฑะ ใช้ขนาด 5-10 กรัม โดยมักผสมกับสมุนไพรอื่นอีก หนึ่งหรือสองชนิด เมล็ดลิ้นจี่ ที่แห้ง ควรนำมาบด คั่วให้แห้งโดยผสมด้วยน้ำเกลือ แล้วจึงเติมน้ำลงไปต้ม น้ำดื่ม หรือทำเป็นผง รับประทานหรือใช้ ผงยาพอกบริเวณมีอาการปวดบวม รากลิ้นจี่หรือเปลือกต้นใช้แก้อาการติดเชื้อ ไวรัส อีสุกอีใส และเพิ่มความสามารถระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสำหรับ งานวิจัยซึ่ง ยังต้องการพิสูจน์ซ้ำเพื่อให้ได้ผลยืนยัน พบว่า สารสกัดเมล็ด ด้วยน้ำขนาด 0.6 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ให้แก่ผู้ที่เป็นพาหะโรคไวรัสตับชนิด บี ใช้ได้ผลดีในการยับยั้งเอ็นไซม์ตับที่สูงขึ้น
**น้ำใบเตย**
ประโยชน์
อากาศร้อนๆ ได้เครื่องดื่มเย็นๆ ดีๆ สักแก้วคงจะแจ่มน่าดู ซึ่งเครื่องดื่มก็มีอยู่มากมายหลายประเภท ส่วนที่เราจะพูดถึงกันนี้ก็คือเครื่องดื่มที่ทำจากสมุนไพรนั่นเอง เครื่องดื่มสมุนไพรนั้นมีมากมายหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะทำมาจากสมุนไพรไทย,สมุนไพรจีน ฯลฯ แถมสมุนไพรแต่ละชนิดก็มีสรรพคุณโดดเด่นแตกต่างกันออกไป นอกจากจะหาดื่มได้ง่ายยังเปี่ยมไปด้วยคุณค่าของสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก สดชื่นแถมประโยชน์เพียบแบบนี้ลองให้น้ำสมุนไพรเป็นตัวเลือกอีกทางหนึ่งของคุณกันดูนะครับ รับรองว่าคุณจะได้ทั้งความอร่อยและได้ทั้งสุขภาพที่ดีตามมาอย่างแน่นอน
สมุนไพรไทยที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นในเรื่องของกลิ่น เพราะมีกลิ่นที่หอมชื่นใจ สามารถนำมาทำเป็นเครื่องดื่มได้ ซึ่งน้ำใบเตยนั้นมีสรรพคุณหลักคือช่วยดับกระหายและบำรุงหัวใจนั่นเอง ทั้งนี้ใบเตยยังถูกนำมาปรุงอาหารทั้งคาวและหวานได้อีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่นิยมนำมาใช้เป็นสีผสมอาหารอย่างเช่น ขนมไทย ฯลฯ เป็นต้น
**สลัดผลไม้**
ประโยชน์
“ผัก” เป็นส่วนประกอบหลักของสลัดที่ให้คาร์โบไฮเดรท วิตามิน และเกลือแร่ต่างๆ เพื่อให้ได้สารอาหารและพลังงานอย่างครบถ้วน ควรเลือกทานผักให้หลากหลายชนิดอย่างละเล็กละน้อยคละเคล้ากันไป ทั้งผักสีเขียวเข้ม สีเขียวอ่อน สีส้ม และสีแดง เป็นต้น เพราะผักแต่ละชนิดล้วนมีสัดส่วนของวิตามินที่ไม่เท่ากัน โดยเราเรียกสารที่ให้สีในผักนี้ว่า แคโรทีน“เบต้าแคโรทีน” ที่ร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ มักพบมากใน มะละกอ แครอท ฟักทอง ผักขม และผักกาดหอม ฯลฯ เพราะเบต้าแคโรทีนสามารถช่วยลดอัตราความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งในปอด และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) อีกทั้งในใยผักยังมีเส้นใยอาหารหรือไฟเบอร์ที่ทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ป้องกันท้องผูก และดูดซับคลอเรสเตอรอลบางส่วนในร่างกายออกไป แต่การทานผักอย่างเดียวอาจให้พลังงานไม่เพียงพอต่อร่างกาย ดังนั้นผู้ที่นิยมทานสลัดจึงควรเติมสารอาหารที่ให้พลังงานสำคัญจำพวกแป้ง เช่น ขนมปัง มักโรนี มันฝรั่งต้ม ฯลฯ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของกล้ามเนื้อและต่อมต่างๆสำหรับใครที่ชอบทานไข่นกกระทา อกไก่ กุ้ง แฮม และถั่ว ฯลฯ อาจเลือกทานเพียงอย่างหนึ่งอย่างใด ก็จะได้รับโปรตีน ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต และยังทำให้ร่างกายได้รับกรดอะมิโนที่สำคัญ 10 ชนิดที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้อย่างครบถ้วนอีกด้วย
**ขนมปัง**
ประโยชน์
หัวหน้าทีมวิจัยได้ตรวจสอบขอบขนมปัง เนื้อขนมปัง และแป้งธรรมดา พบว่าขอบขนมปังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่เรียกว่า โพรนิลไลซีน (pronyl-lysine) มากกว่าในส่วนเป็นขนมปังสีขาวถึง 8 เท่า ส่วนแป้งธรรมดานั้นกลับไม่มีเอาเสียเลย หมายความว่าสารต้านอนุมูลอิสระที่ว่านี้ จะเกิดขึ้นต่อเมื่อขนมปัง ได้ผ่านกระบวนการอบมาเรียบร้อยแล้วเท่านั้น
สารโพรนิลไลซีนนี้เกิดขึ้นมาจาก ปฏิกิริยาของกรดอะมิโนแอล-ไลซีน แป้ง และน้ำตาลในขั้นตอนการอบ ปฏิกิริยานี้เรียกว่า ปฏิกิริยามิลลาร์ด (Maliiard reaction) ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดสีน้ำตาล บนผิวหน้าของขนมปังที่ผ่านการอบแล้ว นอกจากนั้น กระบวนการนี้ยังเป็นตัวสร้างสาร ให้กลิ่นรสชาติให้กับขนมปัง รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่น ๆ อีกด้วย กระบวนการนี้สามารถเกิดได้ ทั้งในขนมปังที่ใช้ยีสต์และไม่ใช้ยีสต์ งานวิจัยยังบอกด้วยว่าขนมปังที่มีสีน้ำตาลเข้มเช่น ขนมปังโฮลวีท จะมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าขนมปังสีขาว นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระจะยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น หากก้อนขนมปังที่เข้าเตาอบมีขนาดเล็ก เพราะชิ้นขนมปังเล็ก ๆ นั้นจะมีพื้นผิวที่มากขึ้นในการเกิดปฏิกิริยาในกระบวนการนี้ หากเทียบกับขนมปังที่เป็นก้อนใหญ่ ๆ หรือเป็นปอนด์ แต่ ดร.โทมัสแกก็เตือนเอาไว้ว่า ถ้าหากพยายามอบขนมปังให้เป็นสีน้ำตาลจนเกรียมมากไป สารเคมีที่มีประโยชน์ก็จะอันตรธานไปได้ง่าย ๆ เหมือนกัน
ผลงานอื่นๆ ของ mononly2 ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ mononly2
ความคิดเห็น