ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO-BTS] PSYCHOSIS 'ความจิตตระกูลปาร์ค' || CHANBAEK-YOONMIN

    ลำดับตอนที่ #2 : PSYCHOSIS :: CHAPTER 01

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.ค. 59



    CHAPTER   01


     



     

     

                “คะ..คุณชานยอล!  ผมสัญญาว่าผมจะไม่ทำเรื่องแบบนี้อีก  ได้โปรดไว้ชีวิตผมเถอะครับ” ชายแก่ร่างท้วมกราบกรานแทบเท้าคนที่อายุน้อยกว่าตัวเองโดยไม่นึกถึงอะไรทั้งสิ้นนอกจากการเอาตัวรอด  ร่างสูงมองคนของตัวเองด้วยความสมเพช  ก่อนที่เขาจะแสยะยิ้มออกมาให้

     

                “คุณคิดว่าคนอย่างผมจะไว้ชีวิตนกสองหัวแบบคุณเหรอครับ..”

     

                “มันจะไม่มีครั้งต่อไปจริงๆนะครับคุณชานยอล!  ได้โปรดเถอะ  ผมยังไม่อยากตาย..” ประโยคเสียงแผ่วสุดท้ายนั้น ทำให้ชานยอลหัวเราะขำออกมาทันที

     
     

     

    มนุษย์ก็อย่างนี้  หวงชีวิตกันทั้งนั้น...

     

     

                ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งชานยอลที่เขาเองก็รักชีวิตตัวเองเหมือนกัน  หากแต่ถ้าเขาเป็นแบบไอ้แก่นี่เขาจะไม่ทรยศเจ้านายตัวเองตั้งแต่แรกยังไงล่ะ..

     

                “อยู่ด้วยกันมาก็ตั้งนาน  คุณไม่น่าจบชีวิตด้วยเรื่องแบบนี้เลยนะ” ร่างสูงค่อยๆนั่งยองๆแล้วจับไหล่คนตรงหน้า  “มีปัญหาเรื่องเงินก็น่าจะบอกผมตั้งแต่ทีแรก..” น้ำเสียงเย็นชาของชานยอลบวกกับรอยยิ้มมุมปาก  มันทำให้ชายวัยใหญ่ร้องไห้ตัวสั่นเทาขึ้นมา  ความหวาดกลัวภายในจิตใจแล่นผ่านเต็มไปหมดจนตั้งสติไม่ถูก..  ถ้าให้รอด ต่อให้ต้องกราบอ้อนวอนต่อคนตรงหน้าอีกเป็นพันครั้งเขาก็ยอม..

     

                “คราวหน้าก็อย่าเอาข้อมูลของตระกูลปาร์คไปเปิดเผยอีกก็แล้วกันนะครับ..” คำพูดของชานยอลทำให้ชายแก่เงยหน้ามองด้วยความงุนงง  เขากำลังจะรอดใช่มั้ย..เขากำลังจะรอดจริงๆใช่มั้ย!

     

    “ผมขอบคุณคุณชานยอลจริงๆนะครับที่ให้โอกาสผมอีกครั้ง  ขอบพระคุณจริงๆ” ยกมือขึ้นไหว้คนอายุน้อยกว่าด้วยความดีใจ  ชานยอลค่อยๆเหยียดตัวลุกขึ้นก้มมองคนตรงหน้าด้วยความสมเพชอีกครั้ง  เขาบอกแล้วไงว่าใครๆก็รักชีวิตตัวเองกันทุกคน  รักขนาดที่ยอมไหว้คนรุ่นลูกตัวเองเลยก็มี..

     

    “แต่เสียดายที่มันจะไม่มีครั้งต่อไปน่ะสิ”

     

    “คะ..คุณชานยอล  หมายความว่ายังไงครับ?” ชายแก่ร่างท้วมเงยหน้ามองด้วยความรู้สึกประหลาดเหมือนหายใจไม่ทั่วท้องที่จู่ๆเจ้านายของเขาก็ชักปืนออกมาแล้วจ่อเข้าที่ข้างขมับจนรับรู้ได้ถึงความเย็นปลายกระบอกปืน..

     

    “แล้วเจอกันที่นรกนะครับคุณคิม..”

     

     

    “ไม่!!!!!!!

     

     

     .

     

     .

     

     .

             

     

    นี่แหละ  วิถีชีวิตของมาเฟีย...

                                                                                                                                                               

                ทุกๆวันเขาก็ต้องเจอสภาพนี้ตลอด  ทั้งการฆ่าศัตรู  ฆ่าตำรวจ  ฆ่าทุกคนที่ขวางหน้า  แต่คนที่เขากลัวที่สุดนั่นก็คือการฆ่าคนของตัวเองที่ทรยศนั่นเอง..

     

     

    แต่ชานยอลก็ต้องเจอแบบนั้นมาตลอด  ซึ่งตอนนี้มันก็กลับกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว..

     

     

                “วันนี้ที่คาสิโนทางเหนือเป็นไงบ้าง?” ร่างสูงในรถคันหรูที่ติดฟิล์มทึบทุกด้านเอ่ยถามลูกน้องขึ้นด้วยเสียงนิ่ง

     

                “เรียบร้อยดีครับคุณชานยอล  ไม่มีปัญหา”

     

                “ก็ดี..” ถอนหายใจโล่งให้กับอีกหนึ่งธุรกิจของตัวเองด้วยสบายใจ   คาสิโนของเขาแต่ละที่มีปัญหาไม่เหมือนกันถึงแม้ว่ามันจะถูกกฏหมายแล้วก็ตาม  พวกตำรวจที่คอยตอแยตลอดจนน่ารำคาญมันทำให้ชานยอลรู้สึกเบื่อหน่าย  แต่ก็นั่นแหละพวกถูกกฎหมายแต่ก็ยังมีพวกนกพวกกามาคอยหาเบาะแสอยู่เรื่อยใครจะเข้ากัน   ชานยอลเป็นห่วงพวกคาสิโนที่เขาแอบเปิดลับๆต่างหาก..

     

     

    ก็แหงล่ะ  นั่นมันแหล่งหาเงินชั้นดีเลยนี่...

     

             

                เขาต้องลงทุนลงแรงเป็นกี่ปีกับการแอบสร้างคาสิโนเถื่อนไว้ทางเหนือของเกาหลีใต้โดยไม่ให้พวกตำรวจรู้เรื่องสักคน  เปิดลับๆ  เล่นลับๆ  ในสถานที่ลับๆและก็รับเงินอย่างลับๆแบบนี้... เรียกได้ว่าคาสิโนที่ตรงนั้นสร้างเงินมากมายมหาศาลกว่าพวกที่เขาเปิดถูกกฎหมายเสียอีก เพราะอย่างนี้ร่างสูงจึงได้ใส่ใจและดูแลระบบเรื่องความปลอดภัยด้วยตัวเองเสียมากกว่า...

     

                “แล้วเรื่อง ผู้ชายคนนั้นไปถึงไหน?” เอ่ยถามลูกน้องอีกครั้งทันทีที่นึกถึง  ใช่แล้วล่ะ..ชานยอลยังไม่ลืมคำสัญญาที่เขาให้ไว้กับจีมิน  เขายังจำมันได้ดี..

     

                “รู้ที่อยู่แล้วครับคุณชานยอล”

     

                “งั้นก็จับตัวมาได้เลย..” ลูกน้องคนสนิทเบิกตาโพลงขึ้นให้กับคำสั่งเจ้านายตัวเองด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย  ก่อนที่เขาจะค่อยๆแสดงความคิดเห็น

     

                “แต่เราไม่เคยมีปัญหากับผู้ชายคนนั้นมาก่อนนะครับ  ผมเกรงว่าถ้าจั--

     

                “ฉันไม่ชอบให้ใครมาขัดความคิดของฉัน..” น้ำเสียงนิ่งๆบวกกับแววตาดุดันที่มองผ่านเลนส์กระจกมองหลัง  นั่นทำให้ลูกน้องที่นั่งข้างคนขับรถต้องรีบก้มหน้ายอมรับคำสั่งแต่โดยดี

     

                “จับตัวยุนกิมาให้ได้และอย่าทำให้มันมีแผลเป็นอันขาด แม้แต่นิดเดียวก็ห้ามมี..”

     

                “ครับ?

     

                “ก็ของเล่นใหม่จีมินทั้งที  ฉันก็ต้องให้น้องในสภาพดีๆไม่ใช่เหรอ..

     

     

     

     

     

    “อีกไม่ถึงครึ่งชม.ก็ถึงแล้วน่า..เสียงทุ้มเอ่ยตอบกลับคนในสายด้วยใบหน้านิ่งๆแต่กลับดูอารมณ์ดีสุดๆ  ทั้งยังมืออีกข้างที่คอยบังคับรถก็ได้เคาะพวงมาลัยรถเป็นจังหวะไปมาตลอดทาง “เร่งขนาดนี้.. คิดถึงเหรอจ้ะ?”

     

    ( คิดถึงบ้าอะไรเล่า  ฉันจะฝากนายซื้อของให้ต่างหากยุนกิ )

     

    “คนสมัยนี้ใจร้ายเป็นบ้าจังนะ..” ยุนกิบ่นหน้าหงิกให้คนในสายทันที “ฉันอุตส่าห์รีบขับรถยังไม่ได้พักสักนิด  ก็เพื่อเจอนายเลยนะแบคฮยอนอา  ไม่เจอกันตั้งเดือนกว่าแหนะ..”

     

    ( นี่สรุปฉันควรดีใจใช่มั้ย? ) ปลายสายเอ่ยถามหยั่งเชิงยุนกิเล่นๆ  เจ้าของเสียงทุ้มยักไหล่คนเดียวด้วยความน้อยใจก่อนจะเอ่ยออกมา

     

    “แหงดิ.. กว่าจะได้เพลงล่าสุดแค่ฮาร์โมนิคต่างกันก็เล่นเอาแทบตาย  พอเสร็จก็รีบบึ่งรถมาเลยนะเนี่ย”

     

    ( ถ้างั้นก็อย่าเถลไถล เดี๋ยวฉันจะทำอาหารรอ.. )

     

    “ที่บอกไปเมื่อกี้เนี่ยไม่ได้บ่นหิวนะเว้ย..”  ยุนกิบ่นให้คนในสายด้วยความเซ็งสุดๆที่ดูเหมือนแบคฮยอนจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยว่าเขาต้องการอะไรกันแน่  เสียงถอนหายใจหน่ายๆดังเล็ดลอดออกมาจากสายนิดๆแล้วแบคฮยอนจึงค่อยๆเอ่ยขึ้น

     

    ( โคตรคิดถึงเลยว่ะไอ้หน้าเต้าหู้ยี้  รีบกลับมาซะ  ไม่งั้นฉันได้ปิดประตูบ้านก่อนนายมาถึงแน่ๆ..  ถ้าพอใจแล้วก็แค่นี้นะ ) แบคฮยอนเล่นบทกดตัดสายหน้าตาเฉยโดยที่ไม่รอยุนกิเอ่ยลาแม้แต่น้อย  แต่นั่นก็ไม่จำเป็นเท่าไรสำหรับเขา  เพราะถึงจะตัดสายดื้อๆไปแบบนี้เขาก็รู้อยู่ดีว่าแบคฮยอนกำลังเขินแน่ๆ 

     

     

    เพราะเขาเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน..

     

     

    .

    อมยิ้มอยู่บนรถคนเดียวยังกับคนบ้าพร้อมกับความคิดที่อยากจะถึงบ้านแบคฮยอนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  ยุนกิรีบเร่งเครื่องยนต์ทันทีแต่จู่ๆเขาก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของรถคันหลัง..

     

    รถตู้คันสีดำหรูไล่จี้เขาตั้งแต่หนึ่งชม.ที่แล้วจนถึงตอนนี้..  ตอนแรกยุนกิก็พยายามคิดในแง่ดีว่ามันไม่มีอะไรทั้งนั้น  แต่หลังๆเขาก็ชักไม่แน่ใจซะแล้วสิ  รถคันนี้พยายามจี้หลังเขาให้เสียหลักอยู่ตลอดเวลา  ทั้งเบียดข้างบ้าง  พยายามแซงบ้าง  แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พยายามเร่งเครื่องและออกห่างตลอด   

     

    ถนนสายยาวพาเขาเข้าสู่ทางอุโมงค์อย่างช่วยไม่ได้  นี่เป็นช่วงเวลาที่เขารู้สึกเกลียดที่สุดอย่างบอกไม่ถูก  ถึงแม้ว่าบรรยากาศมันจะเหมือนหนังบู๊ แอคชั่นกระจาย  แต่เขากลับรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในหนังสยองขวัญที่หนีตายมากกว่า

     

     

    ถ้ายุนกิหยุดรถ  เขาต้องตายแน่ๆ...

     

     

     

     

    ปัง!!

               

    เอี๊ยด!!!!!!

     

    “เชี่ยเอ้ย!

     

    จู่ๆรถก็ส่ายไปมาอย่างควบคุมไม่ได้มันถึงกับทำให้ยุนกิสบถออกมา  เขาพยายามประคับประคองและเหยียบเบรคให้หยุดช้าลง   และจังหวะนั่นเอง ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เขามองไปทางกระจกมองหลัง  หนึ่งในไอ้พวกที่นั่งอยู่ในรถคันนั้น  ยกปลายกระบอกปืนเล็งมาที่รถของเขา..

     

     

    โดนยิงที่ล้องั้นเหรอ??

     

     

    ให้ทายว่าถ้ายุนกิสติหลุดและบังคับรถเมื่อกี้ไม่ได้  โอกาสที่รถจะเสียหลักหมุนเป็นวงกลมแล้วไปกระแทกเข้ากับกำแพงข้างทาง  เขาจะมีสภาพเป็นยังไง..

     

     

    ไม่ต้องเดามาก  ไอ้พวกห่าพวกนี้กำลังจับตายเขาแน่ๆ...

     

     

    ทันทีที่รถค่อยๆหยุดในสภาพที่ไม่ดีสักเท่าไรนัก  ยุนกิก็รีบเปิดประตูรถออกมาและประจันหน้ากับไอ้รถคันนั้นด้วยความหงุดหงิด   สาบานได้ว่าตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยมีเรื่องหนักถึงขั้นเอาให้ตายกันขนาดนี้  แต่เหตุการณ์เมื่อกี้เรียกว่าวินาทีชีวิตชัดๆ!

     

    “พวกมึงแม่งเป็นเหี้ยอะไรวะ!  เมื่อกี้กะจะฆ่ากูหรือไง!!!” ตะคอกเสียงหนักพร้อมกับเข้าไปกระชากคอเสื้อหนึ่งในคนพวกนั้น แต่ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัว  ยุนกิก็โดนจับตัวไว้ไม่ให้ไปไหนก่อนที่พวกมันจะหยิบเข็มฉีดยาออกมา  และปลายเข็มแหลมก็ได้จิ้มเข้าไปที่ต้นแขนทันทีอย่างไม่รีรอ..

     

    ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก  เร็วเสียจนยุนกิตั้งหลักไม่ถูกพูดอะไรไม่ได้   เขาพยายามเตะ พยายามต่อยคนพวกนี้ที่ไม่รู้จักด้วยแรงทั้งหมดที่มีอยู่  แต่ทำไมยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกเหนื่อยขึ้นมากขึ้นเท่านั้น  ไม่มีพละกำลัง  ไม่มีแรงพูด  หรือแม้แต่กระทั่งแรงลืมตาเสียด้วยซ้ำ..

     

    และทุกๆอย่างหลังจากนั้น  เขาก็ไม่ได้สติอีกเลย..

     

     

     

    นี่สินะ..คือความรู้สึกของคนที่โดนฉีดยาสลบเข้าไปเต็มๆ



     

     

     

     

              ร่างบางหิ้วถุงอาหารสดหลังจากที่ไปซื้อมาในห้าง วางใส่ในรถด้วยความทะมัดทะแมงพร้อมกับคิดเมนูอาหารที่จะทำให้คนที่เดินทางมาไกลในคืนนี้..   รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าบ่งบอกถึงความสุขของเขาได้เป็นอย่างดีก่อนที่แบคฮยอนจะขับรถกลับไปที่บ้านของเขา..

               

                ในขณะที่ขับรถแบคฮยอนก็คิดถึงเรื่องราวในสมัยก่อนไปอย่างเรื่อยเปื่อยด้วยความอารมณ์ดี  ในตอนที่เขาและยุนกิยังเรียนที่มหาลัย  ตัวแทบจะติดตลอดเวลาถึงแม้ว่าจะไม่ได้เรียนคณะเดียวกันก็ตาม   มันอาจจะดูเป็นเรื่องตลกนิดหน่อยที่คุณอาจจะคิดว่าแบคฮยอนและยุนกินั้นคบหากันมานาน  แต่นั่นไม่ใช่...  ถ้าย้อนกลับไปช่วงแรกๆที่รู้จักกันเลยล่ะก็  ความบังเอิญต่างหากที่ทำให้พวกเขาได้มารู้จักกันในฐานะรูมเมท..

     

                บังเอิญยังไงแบคฮยอนก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน  แต่สิ่งที่เขาจำได้ดีนั่นก็คือใบหน้าเรียบนิ่ง พร้อมกับเสียงทุ้มต่ำที่เหมือนคนเมาเหล้าอยู่ตลอดเวลาของยุนกิ  บางครั้งที่พูดจาไม่รู้เรื่องหรือแม้กระทั่งบางครั้งก็เหมือนจะเป็นใบ้ไปซะอย่างนั้นซึ่งตอนแรกมันก็อาจจะอึดอัดเล็กน้อย  แต่พอได้รู้จักไปนานๆเข้า  ยุนกิก็กลับมีหลายมุมที่น่าแปลกใจซะเหลือเกินสำหรับแบคฮยอน...

     

    และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกประทับใจคือยุนกิดูแลคนรอบข้างอย่างเงียบๆมากกว่าที่จะทำให้โจ้งแจ้งเสียมากกว่า.. 

     

    จากที่ในหอก็แทบจะเหมือนคนไม่รู้จักก็เริ่มสนิทมากขึ้นเรื่อยๆเพราะค่อยๆปรับตัวเข้าหากัน   จนในที่สุดความสัมพันธ์จากเพื่อนสนิทก็ได้เปลี่ยนเป็นคู่รักเมื่อห้าเดือนที่แล้ว...

     

     

    บยอน แบคฮยอนยังจำเวลานั้นได้ดี...

     

     

     

              “ฝีมือทำอาหารเหมือนแฟนกูในอนาคตเลย..”  ก็แค่กำลังนั่งกินข้าวเย็นด้วยกันแล้วพูดออกมาอย่างนั้นหน้าตาเฉย  ตอนนั้นสีหน้าของแบคฮยอนทั้งอึ้งทั้งงุนงงในการเลือกใช้คำของคนตรงหน้าที่ยังคงกินข้าวต่อไปไม่ท่าทีว่าจะเดือดร้อนอะไรเล็กน้อย  

     

                “เมื่อกี้พูดอะไร?

     

              “ก็อย่างที่ได้ยินไง..”

     

              “...”

     

    “ไม่ปฏิเสธก็แปลว่าเป็นแฟนกันแล้วดิ  ทำหน้าโง่อยู่ได้..”

     

     

     

    โคตรไร้ชีวิตชีวา  โคตรฮาร์ดคอร์  และก็โคตรจะไม่มีความโรแมนติกสักนิด..

     

     

     

    แต่อย่างนั้นแล้วพอได้ขึ้นชื่อว่าคบกับยุนกิ  แบคฮยอนก็ว่ามันมีความสุขดีมาตลอดจนพวกเขาต่างคนต่างเรียนจบเมื่อสองเดือนที่ผ่านมาและก็ได้ทำงาน   ทั้งยังคอยติดต่อหากันประจำ..

     

    คิดเพลินมาตลอดทางแบคฮยอนก็ย่นคิ้วในทันทีเมื่อเห็นรถออดี้สีดำคันหรูจอดอยู่หน้าบ้านตัวเองพร้อมกับมีผู้ชายยืนรออยู่สองสามคน   คิดได้อย่างนั้นแบคฮยอนก็ค่อยๆลงจากรถแล้วเดินเข้าไปหา

     

    “มาหาใครครับ?” หนึ่งในชายร่างสูงหันหน้ามาหาเขาพร้อมกับรอยยิ้มแปลกๆจนร่างบางตัวสั่นนิดๆแต่ก็พยายามยิ้มเห่ยๆให้   ร่างสูงจ้องคนตรงหน้าด้วยท่าทางนิ่งๆอยู่ครู่นึงก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้นมา

     

    “แบคฮยอน?

     

    “ฮะ..เอ่อ  ครับ?” แบคฮยอนเกาหลังคอเงาะๆงะๆด้วยความงุนงงที่ร่างสูงหน้าขรึมเอาแต่จ้องเขา  “คุณมาหาผมเหรอครับ”  คนตรงหน้ายกยิ้มขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆแบคฮยอน  แววตาคมเข้มดูน่ากลัวแปลกๆจดจ้องมาที่คนตรงหน้าเต็มๆจนร่างบางทำตัวอะไรไม่ถูก  อยากจะผลักตัวออกไปแต่พอเห็นไอ้สองคนที่อยู่ข้างๆทำหน้าโหดไม่แพ้กันแบคฮยออนก็รู้สึกหวั่นๆไปทั้งตัวแล้ว...

     

     
     

    ดูก็รู้ว่าไอ้พวกนี้ไม่ใช่คนดีแน่ๆ...

     

     

                “เปล่าหรอก..”  ร่างสูงปฏิเสธหน้าตายก่อนที่เขาจะค่อยๆเลื่อนใบหน้าออกห่างแบคฮยอน  “นายไม่มีความจำเป็นที่ฉันจะต้องมาหา..”

     

                “ขนาดไม่มีความจำเป็นคุณก็ยังอุตส่าห์ผ่านมาทางบ้านผมและก็บังเอิญจอดรถรอตรงนี้เลยนะครับ..” เถียงตอบกลับไปทันทีที่คำตอบของคนแปลกหน้ามันพิลึกจนน่าปวดหัว  “ถ้ามีความจำเป็นจะขนาดไหนกันเชียว?”  ร่างสูงหัวเราะเสียงทุ้มในลำคอจนแบคฮยอนต้องขมวดคิ้วให้ด้วยความสงสัยกับท่าทีของเขา

     

                “งั้นนายลองเป็นความจำเป็นของฉันมั้ยล่ะแบคฮยอน? คนตรงหน้าที่เอาแต่ยิ้มทำให้แบคฮยอนอึดอัดจนอกจะแตก  เขาไม่ได้รู้จักไอ้คนตรงหน้าเลยแม้แต่นิดเดียวแต่ทำไมผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะรู้จักเขา..   ร่างบางถอนหายใจเฮือกด้วยความหงุดหงิดก่อนที่เขาจะผายมือให้ชายแปลกหน้า

     

                “ผมว่าความจำเป็นของคุณคือออกไปจากหน้าบ้านผมจะดีกว่านะครับ  เชิญ..”

     

                “นี่แกไล่คุณชานยอลอย่างนั้นเหรอ!” ชายชุดดำด้านหลังร่างสูงเดินเข้ามาพร้อมกับล้วงมือเอาไปในเสื้อทำท่าจะหยิบปืนออกมาแต่ก็โดนคนเป็นเจ้านายห้ามไว้ทันท่วงที 

     

                “ฉันบอกแล้วไงว่าอย่ายุ่ง..” ชายชุดดำก้มหน้าลงรับผิดทันทีก่อนจะกลับไปยืนที่เดิม  เหตุการณ์เมื่อกี้ทำให้สติแบคฮยอนแทบตกไปอยู่ตาตุ่มเสียด้วยซ้ำ  ไอ้พวกนี้เป็นใครกันคงเป็นคำถามที่เขาถามในใจตัวเองเป็นรอบที่สิบแล้วล่ะมั้งในตอนนี้..  แบคฮยอนพยายามปรับสีหน้าวางมาดไม่ให้ตัวเองดูหวาดกลัวจนเกินไปก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้น

     

                “เชิญเอาลูกน้องที่มีท่าทางทุเรศแบบนี้ของคุณกลับไปด้วยนะครับ  และก็หวังว่าเราจะไม่ได้พบกันอีก” คนตรงหน้าหัวเราะในลำคอให้แบคฮยอนอีกครั้ง  ก่อนที่เขาจะจงใจโน้มหน้าเข้าไปใกล้ๆร่างบางแล้วเอ่ยขึ้นข้างๆกกหู

     

                “แต่ฉันคิดว่าเราจะได้เจอกันอีกนะ..”  ชายแปลกหน้าพูดเสร็จก็เดินหนีขึ้นรถในทันที   แต่รอยยิ้มนั้นยังคงทำให้แบคฮยอนจำได้แม่น  ร่างบางถอนหายใจเฮือกแรงด้วยความโล่งใจเมื่อเห็นรถคันสีดำได้ไปไกลจนสุดสายตา  ไอ้คนเมื่อกี้มันประสาทชัดๆ  มันทั้งรู้จักชื่อเขา ที่อยู่ พูดจาแปลกๆจนจะบ้า   ได้แต่หวังต่อพระเจ้าจริงๆว่าคงจะไม่ให้เขาเจอคนแบบนี้อีกแต่ถ้ามันได้เจอกันอีกจริงๆล่ะก็...

     

     

    แบคฮยอนนี่แหละ  ที่จะทำให้มันไม่กล้าเจอเขาอีกเลย..

     

     

     

     

               

                เจ้าของเสียงทุ้มสลบไสลอยู่บนเตียงของร่างบางอยู่ตลอดทั้งคืนโดยที่มีจีมินนั่งมองอยู่ข้างๆ   ที่ยิ่งมองเขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตกอยู่ในห้วงอะไรสักอย่างที่ไม่สามารถละสายตาหนีออกไปได้   ผู้ชายที่เคยมองผ่านรูปภาพมาตลอดหลายเดือนในตอนนี้ได้อยู่แค่เอื้อมมือของจีมินแล้ว..

               

                อาจจะเพราะจีมินที่แทบไม่เคยออกจากบ้าน ทำให้เขาต้องรอคอยเวลาทุกวันที่จะออกจากคุกบ้าๆนี่อยู่ตลอด  ใช่..บางครั้งเขาก็เข้าใจว่าทำไมชานยอลถึงให้เขาอยู่แต่ในห้องนี้   แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ใช่นักโทษที่ต้องอยู่ในคุกตลอดเวลา   จีมินรู้ดีว่าโลกนี้มันอันตราย  มันโหดร้ายและไร้ความยุติธรรม  แต่เขาเป็นถึงน้องมาเฟียเลยนะ  น้องชายแท้ๆของชานยอลที่ครอบครองด้านมืดทุกๆอย่าง   ร่างสูงคนนั้นจะขังไว้ที่นี่ไปตลอดชีวิตไม่ได้..

     

                ความคิดของเด็กที่ถูกพี่ชายเลี้ยงไว้เหมือนไข่ในหินก็เหมือนความคิดโง่เง่าที่หาเหาใส่ตัวเอง  ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาวางแผนหนีออกจากบ้าน  วิ่งไปตามทาง  วิ่งโดยที่ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างหน้าบ้างที่เขาก็คิดที่จะเลือกหนี   จนในที่สุดถนนที่เขาเลือกให้นำทางมันก็พาเขามาเจอกับผู้ชายเสียงทุ้มคนนั้น  ผู้ชายที่ชื่อว่ามินยุนกิ..

     

                “เฮ้! ทำไมหน้าซีดแบบนั้นล่ะ  วิ่งหนีใครมารึเปล่า?

     

              “.....”

     

              “ให้ช่วยมั้ย?

     

              “....”

     

              “ถ้าไม่พูดก็แปลว่าตกลง  งั้นรีบมาหลบในรถแล้วกัน...”

     

     

     

    จีมินยังจำเหตุการณ์ครั้งแรกที่เขาเจอยุนกิได้ดี...

     

     

                เขารีบก้าวเข้าไปหลบในรถทันทีด้วยความรีบเร่งพร้อมกับคอยดูเหตุการณ์ผ่านกระจก  พวกลูกน้องสี่ห้าคนที่ตามกันมาไม่ห่าง  สอดส่ายสายตาหาจนทั่วก่อนที่มันจะวิ่งมาหายุนกิที่กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่นอกรถด้วยท่าทางไม่มีพิรุธ  นั้นทำให้จีมินต้องรีบก้มหัวลงให้ต่ำที่สุดในทันที

     

              “เห็นคนวิ่งมาทางนี้บ้างมั้ย?

     

              “อ้อ..แต่เห็นวิ่งไปทางนู้นแล้วนะ..”

     

                จับใจความคร่าวๆได้แค่นี้ก่อนที่จีมินจะได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งไปทางอื่น  ออกห่างไปเรื่อยๆจนไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย  ทันใดนั้นนั่นเองจู่ๆประตูรถที่เขาใช้กำบังก็ถูกเปิดออก

     

                “มันไปแล้ว..”

     

              “....”

     

              “หลบอยู่ตรงนั้นไปตลอดไม่ได้หรอกนะ  ลงมาคุยกันดิ..”

     

     

     

     

     

     

     

     

              “โอ้ย..”

     

    เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาเบาๆฉุดจีมินออกจากภวังค์ในทันที  ร่างบางรีบขึ้นไปนั่งบนเตียงพร้อมกับจดจ้องอยู่กับใบหน้าของคนที่นอนอยู่  ยุนกิอยู่ในสภาพที่ถูกมัดมือติดไว้กับหัวเตียงทั้งยังโดนผ้าปิดตาไว้มิดไม่ให้เห็นแสง   เมื่อรู้สึกตัวได้ยุนกิจึงหงุดหงิดให้กับสิ่งที่เป็นอยู่ในทันที

     

    “พวกมึงจับกูมาทำเหี้ยอะไรวะ!!” เสียงทุ้มตะคอกแข็งกร้าวด้วยความโมโหจนจีมินสะดุ้งแต่ก็กลับมีแต่รอยยิ้มกว้างบนใบหน้า  ยุนกิพยายามดีดดิ้นตัวออกจากสิ่งที่รัดกุมมือเขาไว้  แต่ยิ่งดิ้นมากเท่าไร เชือกมันก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นมากเท่านั้น

     

    “ผมไม่ฆ่าพี่หรอก..”

     

    “แต่ถ้ากูเห็นหน้ามึงกูฆ่ามึงแน่ๆแม่งเอ้ยจับมาทำเหี้ยอะไรวะ!!”  ยุนกิยิ่งแทบโมโหขึ้นเรื่อยๆกับความมืดมิดใต้ผ้าปิดตา  ก่อนที่เขาจะรับรู้ถึงน้ำหนักของใครสักคนที่ขึ้นมานั่งทับบนตัวเขา   และหลังจากนั้นเองผ้าปิดตาของเขาก็ถูกเจ้าของเสียงหวานปลดออกให้ในทันที

    ใบหน้าขาวผ่องชมพูนวลแต่ดูซีด  ริมฝีปากอวบอิ่ม  ทั้งยังแววตาที่ดูใสซื่อมองมาหาเขาพร้อมกับรอยยิ้มแต่กลับน่าขนลุกแปลกๆ  มือบางนั้นค่อยๆลูบไล้ใบหน้ายุนกิอย่างเบามือก่อนจะเอ่ยออกมา

     

    “พี่ยุนกิ..พี่จำผมได้มั้ยครับ..”

     

    “....” ไร้เสียงตอบรับใดๆทั้งสิ้นนอกจากการขมวดคิ้วให้แทนคำตอบ  ยุนกิพยายามจดจ้องใบหน้าหวานได้รูปนั้นพร้อมกับใช้สมองนึกคิด  แต่ไม่ว่าเขาจะนึกยังไง  คนตรงหน้าก็กลับไม่ได้อยู่ในส่วนของความจำสักนิด...

     

    “ผม..จีมินไงครับ..”

     

    “จำไม่ได้..”

     

    “....”

     

    “ฉันว่าแกจับคนมาผิดแล้วล่ะ..”

     

    “ผมไม่ได้จับใครมาผิดทั้งนั้นพี่ยุนกิ!!” ร่างบางกำหมัดกระชากเสื้อยุนกิด้วยความโมโหพร้อมกับแวตาที่แข็งกร้าว “ทำไมพี่ถึงจำผมไม่ได้ล่ะ!  ทำไมพี่ถึงตอบแทนสิ่งที่ผมรอแบบนี้!! นึกหน้าผมดีๆสินึกเดี๋ยวนี้!!!  ตะคอกใส่ยุนกิด้วยความผิดหวังในคำตอบ  คนตรงหน้าที่ถูกตรึงแขนไว้พยายามนึกถึงจีมินว่าเขาเคยบังเอิญเจออะไรที่ไหนรึเปล่าในชีวิต  จนในที่สุด..ยุนกิก็จำได้เสียที..

     

    “แกมันเด็กที่เคยหนีออกไปจากบ้านนี่..”

     

    “.....”

     

    “ใช่จริงๆด้วย...ไอ้เด็กที่เคยหนีออกจากบ้าน!”  เบิกตาโพลงทันทีเมื่อจำจีมินได้  แต่เท่าที่ยุนกินึกถึงเขาเจอเด็กคนนี้ไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ  จีมินในวันนั้นที่วิ่งหนีอะไรสักอย่างในสภาพที่เหงื่อโชกทั่วตัว  เขาก็แค่ยื่นมือเข้าไปช่วยอย่างไม่มีเหตุผลก็แค่นั้น  แถมอีกอย่างเด็กนี่ก็วิ่งหนีไปเลยเมื่อเขาช่วยเสร็จซะด้วยซ้ำ  แล้วแบบนี้จะให้ยุนกิจำคนตรงหน้าได้อย่างไรกัน.. “มึงจับกูมาทำไมปล่อยเดี๋ยวนี้นะเว้ย!!” แม้ว่ายุนกิจะมีสีหน้าที่ไม่พอใจมากแค่ไหนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  จีมินก็ยังคงยิ้มให้กับคนตรงหน้าเขาด้วยใบหน้าระรื่น..

     

    ถึงแม้จะรู้ว่าตัวเองไม่ได้สำคัญอะไรกับคนตรงหน้า แต่พอรู้ว่าอย่างน้อยเขาได้อยู่ในความจำของยุนกิบ้าง  แค่นี้จีมินก็พอใจแล้ว..

     

    “พี่ไม่ต้องกลัวนะครับ..ผมบอกแล้วไงว่าไม่ได้จับพี่มาฆ่า...”

     

    “ไม่ได้มาฆ่าแล้วเอามาทำอะไรวะมึงปล่อยกูเดี๋ยวนี้!!!” ไม่ว่าเสียงทุ้มจะตะคอกดังมากแค่ไหนจีมินก็ยังคงยิ้มกว้างให้อยู่แบบนั้น  มือบางที่กำเสื้อของยุนกิค่อยๆเลื่อนขึ้นมาบีบแก้มร่างโปร่ง  จากที่บีบเบาๆก็ค่อยทวีความแน่นขึ้นมาเรื่อยๆจนยุนกิหน้าชาไปหมดแต่คนตรงหน้าก็กลับยกยิ้มให้เหมือนเดิม..

     

    “พี่รู้มั้ยว่าตั้งแต่วันนั้น  ผมก็ให้คนไปสืบประวัติพี่มาตลอด..”

     

    “....”

     

    “สืบตั้งแต่พี่ยังไม่ออกจากมหาลัย..”

     

    “....”

     

    “จนตอนนี้พี่มีแฟนแล้ว.. ” ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของจีมินเปลี่ยนไปในทันทีเมื่อพูดถึงประโยคนั้น  เขากัดฟันกรอดด้วยความความคับแค้นใจก่อนก้มหน้าลงมาพูดข้างๆหูยุนกิ “ผมรอพี่มาก่อนมัน  แต่ทำไมพี่ถึงไปคบกับมันล่ะครับ?

     

    “แกมันประสาท..”

     

    “แต่ก็ช่างมันเถอะ..  เพราะไม่ว่าพี่จะมีเจ้าของอีกกี่คนยังไง..”

     

    “....”

     

    “ผมก็ยังชอบพี่อยู่ดี..”

     

    “มึงโรคจิตแน่ๆ..” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาเบาๆ  คนตรงหน้าเขาทั้งแววตาและคำพูดดูไม่เหมือนคนปกติเลยสักนิดนั่นยิ่งทำให้ยุนกิมั่นใจว่าจีมินต้องมีปัญหาแน่ๆ.. ร่างบางยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจกับคนที่เขานั่งทับบนตัวอยู่ตอนนี้ถูกมัดไม่มีทางสู้ได้ก่อนที่จีมินจะก้มลงไปพูดที่ข้างๆหูอีกครั้ง

     

    “แค่รูปพี่ยังทำให้ผมคลั่งแทบบ้า...”

     

    “...”

     

    “แล้วถ้าเป็นตัวเป็นๆตรงนี้ล่ะ  จะทำให้ผมคลั่งไคล้ขนาดไหน..”

     

    “มึงมันโรคจิตชัดๆเอามือมึงออกไปจากตัวกูเดี๋ยวนี้!!” ยุนกิพยายามเบี่ยงใบหน้าออกจากการถูกบีบเค้นแต่ก็ไม่ได้ผล  จีมินใช้มืออีกข้างปลดกระดุมเสื้อร่างโปร่งจนหมดอย่างยากลำบากแต่นั่นยิ่งทำให้ยุนกิรู้สึกหงุดหงิดกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น  ก่อนที่จีมินจะค่อยๆจงใจก้มลงไปหายใจรดต้นคอคนใต้ร่างด้วยความกระหาย..

     

    “ผมเป็นแค่คนๆหนึ่งที่คลั่งพี่ก็แค่นั้น...”

     

    “อย่าคิดทำอะไรบ้าๆนะไอ้เด็กเวร..”

     

    “ไม่บ้าหรอกครับพี่ยุนกิ..ความสุขของผมมันไม่ใช่เรื่องบ้า”  จีมินปล่อยมือออกจากแก้มยุนกิก่อนที่เขาจะค่อยๆลูบไล้หน้าท้องร่างโปร่งอย่างเบามือและยั่วอารมณ์พร้อมกับรอยยิ้ม “ผมขอร้องนะพี่ยุนกิ..”

     

    “....”

     

    “ช่วยทำให้ผมเป็นของพี่นะครับ ...”








     

    วาร์ปได้ที่ไบโอทวิตค่ะ







    TBC


     



      ตอนแรกอาจจะบรรยายเยอะหน่อยนะคะ เพราะพูดถึงเรื่องอดีตทั้งแบคฮยอนและยุนกิ แล้วก็จีมิน ทั้งยังความเป็นอยู่ของชานยอลพอสมควร  แต่ปมยังไม่ได้มีแค่นี้เนอะ... ขอบคุณทุกคนที่รอจริงๆ จะพยายามอัพบ่อยๆให้ได้นะคะ 

    T
    B

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×