คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : I wish you would be still around
Title: I wish you would be still around
Author: Monochrome bird
Category: Drama เป็นหลัก แต่แบ็คกราวน์อยากให้มีกลิ่นอายฮาเฮ
Pairing: โฮลี่ออดอร์ x คุณเกียร์
Rating: PG-13 ล่ะมั้ง ??
Disclaimer: ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นของคุณภานุวัฒน์ค่ะ พวกเราแค่ยืมมาจิ้นเล่นเท่านั้น
Author notes: ที่จริงตอนนี้เขียนเสร็จนานแล้ว แต่ยังไม่อยากโพส อยากโพสติดกับตอนพิเศษครั้งหน้า
แต่คนตรวจคำให้ ยังไม่ยอมอ่านตอนพิเศษ ก็เลยเอามาโพสก่อน
++++++++++
ในบ้านที่ได้ชื่อว่าแสนสงบสุขนั้น เช้านี้กลับมีเสียงเอะอะ จากการถกเถียงกัน ผู้ที่กำลังปะทะคารมกันอย่างเผ็ดร้อนคือ พี่สาวและ
น้องชายที่ต่างฝ่ายต่างงัดเหตุผลขึ้นมารองรับสิ่งที่ตัวเองกำลังพูด ส่วนผมก็ได้แต่นั่งมอง หุบปากนิ่งไม่กล้าพูดอะไรออกมา
เพราะเพียงแค่อ้าปาก จะขัดขึ้นนิดหน่อย ทั้งคู่ก็หันมามองผมด้วยสายตาเขียวปั๊ด จนไม่กล้าเอ่ยอะไร
“ทำไมพี่ถึงไม่มีเหตุผลแบบนี้ครับ”
“เธอนั่นแหละที่ไม่มีเหตุผล พี่ไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย”
ถ้าสงสัยว่าประเด็นที่ถกเถียงคืออะไร ก็มีอยู่เรื่องเดียวนั่นแหละ...เรื่องสุขภาพของคุณพี่สาว...
พ่อน้องชายอยากให้พี่สาวไปรักษาตัวที่อเมริกา เรื่องเงินทองก็ไม่ได้ขัดสน แถมคุณพ่อและครอบครัวใหม่ที่อยู่ทางโน้น
ยังยินดีอย่างยิ่งที่จะให้ไปพักอยู่ด้วยกัน รับปากแล้วว่า จะดูแลเป็นอย่างดี แต่ฝ่ายพี่สาวยังคงดื้อดึง ไม่ยอมไป
แม้ว่าผมจะเกลี่ยกล่อมอย่างไรก็ไม่เป็นผล จึงต้องปล่อยให้พี่น้องใช้ไม้แข็งฟาดฟันกันเอง
“งั้นผมไปทำงานก่อนนะขอรับ”
จะนั่งมองพี่น้องเถียงกันต่อไป ก็ไม่มีประโยชน์ สู้เอาเวลาไปทำงานดีกว่า ที่จริงอีก 5 นาทีก็ควรออกจากบ้านแล้ว
ตอนนี้ก็ไปเลยแล้วกัน จะได้หลบออกจากพื้นที่สงครามคำพูด ซึ่งเต็มไปด้วยความห่วงใยฟุ้งกระจายอยู่ จนแทบสำลัก
ผมไม่ถนัดการบังคับจริงๆสินะ...
ตั้งแต่เกิดมา เป็นคนไม่ชอบบังคับใครเท่าไร เพราะมันทำให้ตัวเองลำบาก ต้องตะโกน ต้องตะคอก แถมยังเหนื่อยใจอีกต่างหาก
หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือ ยังไม่มีใครที่สำคัญถึงขนาด ผมต้องพยายามแล้วพยายามเล่า เพื่อฝืนใจให้เป็นไปตามต้องการ
ผมมันก็แค่มนุษย์เฉื่อยๆที่ไม่ชอบให้ชีวิตยุ่งวุ่นวายจนเกินไป
“สวัสดีครับ คุณรีลิส”
ผมเอ่ยทักทันที เมื่อเห็นร่างของหญิงสาวยืนเด่นอยู่ที่ประตูทางเข้าของบริษัท ผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปมาต่างพากันก้มหัว
พร้อมเอ่ยทักทาย คุณจะมายืนเกะกะตรงนี้ทำไมครับ ดูสิ คนอื่นเขาเกร็งกันหมดแล้ว
เธอไม่พูดอะไรตอบ ไม่คิดแม้จะชายตามองมาทางนี้ แต่ถ้าเป็นคนอื่นทักแล้วล่ะก็ จะยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มที่งดงามบาดใจ
ทำเอาพวกพนักงานตาพร่าด้วยรัศมีความเป็นผู้ดีที่เจิดจ้าออกมา
ระหว่างที่ผมกำลังนึกสงสัยว่า คุณหนูมายืนทำอะไรตรงนี้ ผมก็ได้คำตอบ
ร่างในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็คสีดำก้าวผ่านประตูเข้ามา มี GM หน้าตาบูดบึ้งเดินตามหลังมา
คงเพิ่งมาจากโรงพยาบาลสินะ แม้ว่าใบหน้าจะมีรอยยิ้มสดใส แต่ผมว่าสีหน้าคุณยังไม่ดีเท่าไรเลยนะครับ
คุณรีลิสเดินผ่านผมไป ราวกับผมไม่มีตัวตน ตรงเข้าไปบ่นว่า คนที่ดื้ออยากจะกลับมาทำงาน
“ไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย”
คำพูดนั้น ทำให้นึกถึงใครอีกคนหนึ่งที่ดื้อไม่แพ้กัน ในเรื่องสุขภาพ อยากจะถอนหายใจสักล้านหน
ทำไมไม่คิดถึงคนที่เป็นห่วงพวกคุณกันบ้างครับ ยิ่งทำตัวแบบนี้ พวกเราก็ยิ่งห่วงนะครับ
“ไปทำงานก่อนนะ”
“อย่าหนีนะ เกียร์”
ผมเห็นคุณเกียร์ก้าวเท้าเร็วๆ ไปทางลิฟท์ แต่มือข้างหนึ่งดันคว้าแขนผม แล้วลากให้เดินไปพร้อมกัน
เกิดอะไรขึ้นครับ ? ลากผมไปด้วยทำไม ? เอาผมไป ก็ช่วยให้คุณหนีจากคุณรีลิสไม่ได้หรอกครับ
น่าแปลกที่คุณหนูไม่เดินตามมาบ่น พวกเราจึงขึ้นลิฟท์กันสองคน ไปยังชั้นทำงานของ GM
มองด้านหลังของคนคนนั้น ยิ่งรู้สึกว่า ทำไมตัวถึงได้ผอมลงขนาดนี้ ถ้ามองจากที่ไกลๆอาจจะไม่รู้
แต่พอมองใกล้ๆจะเห็นชัดถึงกระดูกที่ปูดโปนขึ้นมา
“คุณมีพยาธิหรือเปล่าครับ ?”
อยู่ๆผมก็พูดจาทำลายความเงียบขึ้นมา ทำเอาคุณเกียร์หันมามองผมแบบงง แล้วหัวเราะ
ใช่สิ ผมมันพูดจาไม่ดูสถานการณ์ ที่จริงผมอยากจะถามว่า คุณเป็นมะเร็งหรือเปล่ามากกว่า แต่มันคงจะแรงเกินไป
มองใบหน้านั้นตอนหัวเราะ แล้วรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด ราวกับออร่าความน่ากลัวและความเหงาจางลงไปจนแทบจะสัมผัสไม่ได้
หลงเหลือเพียงตัวตนที่แสนอ่อนโยนและใจดี เหมือนเมื่อก่อน
“ก็ไม่มีคนบังคับให้กินข้าวนี่นา”
คำพูดนั้น รู้ว่า เป็นการล้อเล่น แต่ทำไมรู้สึกว่า หัวใจกระตุกวูบ ราวกับรู้สึกผิด ยิ่งเห็นคนคนนั้นหัวเราะสนุกสนาน
เพราะคิดว่า ผมจะขำไปกับคำพูดนั้น ก็ยิ่งรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนผิดชอบกล
“โฮลี่ออเดอร์ ?”
ผมยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบแก้มของคนตรงหน้า รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่ต่ำกว่าคนปกติเล็กน้อย เป็นคนตัวเย็นสินะ
แล้วผมก็ดึงร่างนั้นมากอดแน่น โดยไม่ฟังเสียงประท้วง ด้วยความงุนงงว่า จะทำอะไรน่ะ
“เป็นอะไรไป ?”
ผมได้ยินคำถามนี้ด้วยเสียงอู้อี้ไม่ชัดเจน เพราะคนพูดกำลังถูกผมกอดแน่น ใบหน้าแนบชิดอยู่กับอกของผม
ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันครับว่า ตัวเองเป็นอะไร ? ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ ?
...เวลาไม่มีอีกแล้ว...
คำพูดของคุณรีลิสดังก้องอยู่ในหัว แม้จะไม่เข้าใจความหมายอย่างแน่ชัด แต่ในใจกลับรู้สึกกลัวอย่างน่าประหลาด
ราวกับ หากไม่เอื้อมมือให้ถึง หากไม่กอดเอาไว้แน่นๆ คุณอาจจะหายไปจากตรงนี้ หายตัวไปยังที่ที่ผมไม่รู้จัก
เวลาที่ผ่านพ้นไป พร้อมกับพวกเราที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งความต้องการและความรู้สึกข้างใน
ผมไม่ได้ต้องการจะครอบครองหรือ...เป็นเจ้าของคุณ...
แค่อยากเห็นคุณยิ้ม...อยากเห็นคุณมีความสุข...
ได้โปรด...อยู่ในที่ที่ผมมองเห็น...ที่ที่มือผมเอื้อมไปถึง...
...อย่าหายไปนะครับ...อย่าจากไปยังที่ไกลแสนไกล...
เมื่อได้ยินเสียงลิฟท์บอกว่าถึงชั้นที่ต้องการ ผมก็ปล่อยร่างนั้นอย่างรวดเร็ว พยายามยิ้มให้ดูเหมือนเป็นแค่เรื่องล้อเล่น
แต่แล้วก็ต้องกัดริมฝีปากสะกดกลั้นความรู้สึกผิดที่พวยพุ่งขึ้นมา เมื่อเห็นใบหน้าของคนคนนั้น
ใบหน้านั้นไม่ยิ้มอีกแล้ว มันกลับไปนิ่งเฉยจนดูเหมือนไร้ความรู้สึก มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่แสดงออกถึงความเจ็บปวด
เหมือนกับผมทำให้คุณอยากจะร้องไห้ ราวกับดวงตานั่นกำลังถามว่า นายทำอะไร นายต้องการอะไรอีก
ผมเอื้อมมือไปกดปุ่มลิฟท์ให้ประตูที่กำลังจะเปิดออกปิดลงอีกครั้ง
“ทำอะไรของนาย ?”
พอจบประโยคนั้นผมก็ตรึงร่างนั้นไว้กับกำแพง แนบริมฝีปากลงไปตามลำคอ พยายามอย่างยิ่งไม่ให้ตัวเองเผลอทิ้งร่องรอยไว้ได้
กลิ่นหอมอ่อนๆที่ไม่รู้จัก เดี๋ยวนี้ คุณใส่น้ำหอม หรือมันเป็นกลิ่นที่ติดมาจากคนอื่น
ผมมองเข้าไปในดวงตาสีดำสนิท ใบหน้านั้นยังคงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แววตามองผมเหมือนผู้ใหญ่ตำหนิเด็ก
“นายไม่ควรทำแบบนี้”
ผมปิดริมฝีปากนั้นด้วยจูบ กวาดไล้ไปทั่วทุกสัมผัสในโพรงปาก ค้นหาสิ่งที่เฝ้าคิดถึงมานานแสนนาน
รสชาติหอมหวานของการจูบกับคนที่หลงใหลยังคงอยู่ ย้ำเตือนให้ผมรู้เลยว่า 4 ปีที่ผ่านมานั้น
ผมไม่ได้รักคนคนนี้น้อยลงเลยแม้แต่นิดเดียว ทุกความต้องการเพียงแค่ฝังลึกอยู่ในจิตใจ แต่ไม่ได้สูญหาย
คนตรงหน้าขัดขืนอย่างสุดกำลัง แต่มีหรือที่ร่างกายผ่ายผอมเหลือแต่กระดูกจะดิ้นรนหนีไปจากผมได้
จากที่ต้องใช้กำลังบังคับ ร่างกายในอ้อมแขนก็ค่อยๆโอนอ่อนตาม มือที่ผลักไส ยอมกอดผมตอบ
ในตอนนั้นเอง ผมรู้สึกว่าวันเวลาที่เคยเลือนหาย ได้หวนกลับมาอยู่ในมืออีกครั้ง
ผมยังรู้สึก..คุณก็ยังรู้สึก...
ผมยังคิด...คุณก็ยังคิด...
ผมอยากจูบคุณ...อยากกอดคุณ...
...แม้รู้ว่ามันเป็นเรื่องผิด...แต่ผมก็รู้สึกแบบนี้...
++++++++++
ผมกลับบ้านมาด้วยเรื่องราวมากมายเต็มสมอง ทั้งเรื่องงาน เรื่องที่บ้าน และเรื่องใครคนหนึ่งซึ่งที่จริง ผมไม่ควรไปยุ่ง
อย่างน้อยสองพี่น้องก็เลิกปะทะคารมใส่กันแล้ว ดูเหมือนว่า พี่สาวจะเป็นฝ่ายกำชัยชนะเช่นเคย ผมถอนหายใจยาว
เมื่อเห็นพ่อน้องชายหิ้วกระเป๋า จะตรงดิ่งกลับหอ เพราะงอนพี่ ทำไมถึงได้มีแต่คนนิสัยเป็นเด็กนะ
“ไม่อยู่กินข้าวเย็นก่อนเหรอ ?”
คุณพี่สาวคนสวยก็ถามยังกับไม่รู้ว่า ถูกงอน แถมยังทำหน้ายิ้มแย้ม ดูท่าจะไม่รู้จริงๆแฮะ เพราะเรื่องพวกนี้ เธอช้ากว่าใครเพื่อน
แต่ครั้นจะบอกไปตรงๆก็ใช่ที่ จึงใช้วิธีหุบปากเหมือนเดิม แต่สายตาจับจ้องไปที่ผู้เป็นน้อง อยากรู้ว่า จะปฏิเสธอย่างไร
พี่สาวแสนรักของนาย ชวนกินข้าวเย็นน่ะ
“ผมจะรีบกลับไปทำรายงาน”
โอ้ งอนจริงแฮะ คราวนี้ ไม่ใจอ่อน ยอมอยู่กินข้าวด้วย เห็นปกติถึงจะโกรธกันแค่นั้น ก็ยังยอมอยู่กินข้าวด้วยกันนี่นา
ครั้งนี้งอนจริงจัง แถมยังไม่ยอมมองหน้า ไม่ยอมพูดจาสุภาพเรียบร้อยดังปกติ เด็กเอ๋ยเด็ก แค่เถียงแพ้ จะงอนไปไหน
ว่าแล้วก็ทำท่าจะเดินออกไปนอกบ้าน พี่สาวเรียกเอาไว้อีกครั้ง ก่อนจะส่งห่อขนมให้
“เค้กแครอท เผื่อตอนทำรายงานจะหิว”
เธอยิ้มกว้าง ดูท่าทางจะไม่รู้จริงๆว่า น้องชายกำลังเข้าโหมดงอนอย่างหนัก ซึ่งเจ้าตัวก็คว้ามายัดใส่กระเป๋า
ไม่เอ่ยคำขอบคุณดังเช่นปกติ แล้วก้าวเร็วๆ เดินออกจากบริเวณบ้านไป
“งอนซะแล้ว”
อ้าว ก็รู้นี่นา ถ้ารู้แล้วก็ง้อให้มันดีกว่า ใช้ข้าวกับขนมสิ ไม่ก็ยอมไปเถอะ แค่ไปต่างประเทศจะอะไรนักหนา
ที่นู้นก็มีคนอยู่ด้วย ไม่ได้ไปอยู่คนเดียว ไม่เหงาเสียหน่อย
ผมพูดความคิดในหัวออกไป แต่ปรับให้สละสลวยขึ้น โดยยกเรื่องน้องชายเธองอนด้วยความเป็นห่วง เป็นสำคัญ
แน่นอนว่า เธอยิ้มรับว่า เธอรู้ แต่เธอก็ยังกลัวอยู่ดี ไม่อยากไปอยู่ที่นั่น แม้จะมีพ่ออยู่ก็ตาม
“เดี๋ยวฉันบินไปหาบ่อยๆ สักเดือนละหน เป็นไง”
เพราะเงินเดือนมันพอแค่นั้น จะตัดค่าใช้จ่ายไร้สาระส่วนอื่นทิ้งให้หมด เก็บไว้เป็นค่าตั๋วไปหาเธอให้บ่อยที่สุดเลย
ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่ทิ้งเธอแน่ๆ ถ้าวันไหนมีการรักษาน่ากลัว จะลางานไปอยู่เป็นเพื่อนเลย
ผมพูดจนเธอหัวเราะว่า ไม่ใช่เด็กนะ ไม่ต้องหลอกกันขนาดนั้นก็ได้ สิ่งที่กลัวน่ะ ไม่ใช่เรื่องเหงาอย่างเดียวหรอก
“ฉันกลัวที่จะตายในที่ที่ไม่รู้จัก”
“กลัวที่จะตายเพียงลำพัง ไม่สิ...”
“กลัวที่จะตายโดยไม่มีคุณสามีและน้องชายสุดที่รักอยู่ข้างๆต่างหาก”
เธอพูดไปพลางหัวเราะไปพลาง ราวกับล้อเล่น แต่ผมรู้สึกว่า นั่นคือสิ่งที่เธอคิดจริงๆ
คนรอบข้างไม่เคยเข้าใจเธอจริงๆ ไม่เคยหยุดฟังว่า เธอต้องการอะไร เธอกำลังคิดอะไร เอาแต่ยัดเยียดความห่วงใยให้
ผมแตะมือเธอ แล้วบีบเบาๆเป็นเชิงปลอบ ก่อนจะดึงร่างนั้นมากอดแน่น หวังจะให้คลายความกังวล
“ไม่ต้องกลัว เธอจะไม่ตายหรอก...”
“เธอไปเพื่อรักษาตัวนะ ไม่ได้ไปเพื่อรอความตาย”
“เธอจะต้องหายสิ สัญญากับฉันนะว่า จะพยายาม”
“สัญญานะ ?”
ตัวเธอสั่นอยู่ในอ้อมแขนผม น้ำตาไหลรินลงมาจนรู้สึกได้ว่า เสื้อเปียก ผมปล่อยให้เธอร้องไห้อยู่แบบนั้น
ฟังเธอตอบรับผมซ้ำๆว่า สัญญา แม้มันจะเป็นแค่คำมั่นว่า จะพยายาม
แต่สำหรับพวกเรานั้น มันเหมือนกับแทนคำสาบานว่า...จะไม่ตาย...จะมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยกัน...จะแก่เฒ่าไปด้วยกัน...
...จะไม่มีใครผิดสัญญาใช่ไหม...
++++++++++
เช้าวันนี้เป็นเช้าวันจันทร์ที่หลายคนคงบ่นโอดครวญว่าต้องมาทำงานอีกแล้วหรือ น่าเบื่อเป็นที่สุด
แต่ผมเริ่มต้นสัปดาห์ด้วยความเบิกบาน ยิ่งเมื่อคืนได้รับโทรศัพท์จากพ่อน้องชายที่โทรมาขอบคุณเรื่องพี่สาว
แน่นอนว่า ไม่ใช่คำว่า ขอบคุณครับ ตามที่คนทั่วไปเขาพูดกัน แต่เป็นคำด่าว่า ชักช้าชะมัด ทำไมไม่ยอมพูดเสียตั้งแต่ทีแรก
ยังไงพี่สาวก็ยอมฟังนายอยู่แล้ว อาจฟังดูประหลาด แต่ผมกลับรับรู้ได้ว่า นั่นคือ คำขอบคุณ
อีกประมาณสองสามวัน เธอจะเดินทางไปต่างประเทศ จากที่ทำงานเล็กๆน้อยๆให้กับฝ่ายเทคนิคอยู่ จึงต้องไปขอยกเลิก
พวกผู้คนในฝ่ายก็เข้าใจ ต่างให้กำลังใจแล้วก็บอกให้กลับมาเร็วๆ ไม่มีใครพูดออกมาว่า ขอให้ปลอดภัย หรือขอให้โชคดีนะ
เหมือนทุกคนเชื่อมั่นว่า เธอจะต้องหายและกลับมาแน่นอน
“ฝากที”
ผมนิ่งไปเล็กน้อย เมื่อเงยหน้ามาเห็นว่า ใครเป็นคนเอาเอกสารมาโยนไว้ที่โต๊ะผม แต่ไม่กล้าเอ่ยปากถาม
ชายหนุ่มผู้มีโค้ดเนมว่า ราดิช ยอมถือเอกสารมาให้ แถมไม่พูดจากวนโมโหดังปกติ แม้ว่าหน้าตาจะยังบูดบึ้งไม่เปลี่ยนก็เถอะ
จะว่าไป ช่วงนี้ก็เห็นเดินเข้าออกห้องหัวหน้าบ่อย สงสัยโดนจับไปใช้งานแล้วล่ะมั้ง
“เข้าเกม ไปตรวจตรากันไหม ?”
“กับนายเหรอ ?”
เดี๋ยวนะ ทำไมต้องทำน้ำเสียงเหยียดๆ เหมือนฉันเป็นตัวน่ารังเกียจ ไม่อยากยุ่งด้วย
ยังไม่ทันจะอ้าปากบอกว่า ช่างเถอะ ฉันไปคนเดียวก็ได้ อีกฝ่ายก็ดันตอบตกลงเสียนี่
“ไปก็ไป”
แถมยังหมุนตัวกลับ เดินนำลิ่วๆไปยังห้องเล่นเกม ตกลงนี่เป็นมนุษย์ปากไม่ตรงกับใจ หรือมีลักษณะนิสัยกวนตีนคนอื่น
โดยกำเนิด ทั้งเสียง ทั้งหน้า ถึงได้แสดงออกว่า ไม่พอใจ แต่ดันตอบตกลงซะนี่
“รอก่อน นัดสถานที่เจอก่อนสิวะ แล้วตัวนายอยู่ตรงไหนในเกมเนี่ย”
“ถามแปลกๆ ก็ต้องอยู่ฐานของ GM สิ”
ผมคงทำหน้าเหมือนโลกจะแตก คนอย่างราดิชเนี่ยนะ !! ยอมเข้าฐานที่มีพวกลิงทโมนจอมน่ารำคาญสิงสู่เต็มไปหมด
คนที่ไม่ยอมลงให้กับใคร ดูหยิ่งทระนงคนนั้น ยอมเดินเข้าฐาน GM จริงๆเหรอ ? นึกว่า จะแค่รับคำสั่งเป็น missionไป
แล้วใบหน้ายิ้มแย้มของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในความคิด
คงเป็นเพราะคุณสินะ...คุณเกียร์...
คุณเปลี่ยนคนรอบข้าง...
ไม่สิ...ดึงดูดคนรอบข้างต่างหาก...
ผมล็อกอินเข้าไปในเกม แล้วเดินทางออกไปสำรวจดันเจี้ยนพร้อมกับราดิช แม้ว่าจะอยู่ในเกม GM ผู้นี้ก็ยังคงคอนเซ็ปท์
ทำหน้าตาโหดและหาเรื่อง คนอ่อนแอเห็นต้องขวัญกระเจิง คนทั่วไปเห็นคนอยากรุมยำตีน เวลาเดินด้วยก็รู้สึกเสียวๆว่า
จะมีใครดักตีหัว เพราะความหมั่นไส้หรือเปล่า
“ได้ยินว่า นายจะไปเมืองนอกเหรอ”
“แฟนฉันต่างหาก”
ผมก็เหมือนคนทั่วไปที่หลบเลี่ยงใช้คำว่า แฟน แทนคำว่า เมีย จะให้พูดภรรยาก็ดูสุภาพเกินไป กระดากปากที่จะพูด
ราดิชเลิกคิ้วขึ้นเหมือนนึกสงสัย แต่ท่าทางสงสัยนั้น ดูน่าต่อยมากกว่าน่ารัก ก่อนจะถามคำถามที่ผมอยากจะเอาหัวโขกพื้นให้ตายตรงนั้น
“แฟน ? เกียร์น่ะเหรอ ?”
“หมายถึงเมียฉันโว้ย !!”
พอตะโกนออกไปชัดๆ สติก็เริ่มกลับคืนมา สมองประมวลผลคำถามของอีกฝ่าย แล้วเปลี่ยนเป็นถามกลับด้วยสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ
“เกี่ยวอะไรกับคุณเกียร์ด้วย ?”
ผมไม่คิดว่าการมาออกตรวจตรากับหมอนี่ จะกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก ต้องตอบคำถามแปลกๆ เห็นเป็นคนไม่ค่อยพูด
แต่ฝีมือชั้นหนึ่ง เลยชวนมาด้วยกันแท้ๆ กลายเป็นว่า ชวนคนฝีมือดี แต่ปากถามอะไรก็ไม่รู้ ไม่อยากตอบเลยสักคำถาม
“อ้าว ? พวกนายไม่ได้เป็นคนรักกันเหรอ ?”
“ฉันแต่งงานแล้วนะโว้ย !!”
แต่งมาตั้ง 4 ปีแล้ว งานเลี้ยงก็จัดที่บริษัท เอ็งเป็นกบในกะลาครอบหรือไง ถึงไม่รู้ ฉันว่า ตั้งแต่ท่านประธาน ยันพนักงานทำความสะอาด
ยังมาร่วมยินดีเลยนะ แกไปอยู่ไหนของแกมาวะ !!
“แต่งก็ส่วนแต่งสิ พวกนายสองคนไม่ได้มีความสัมพันธ์กันเหรอ ?”
ผมอยากจะโดดลงจากยานที่กำลังทะยานไปยังดันเจี้ยน แต่ขืนกระโดดตอนนี้ ศพไม่สวยแน่ ถึงจะเป็นในเกม
แต่ก็ยังอดหวาดเสียวไม่ได้ ผมจึงไม่สามารถหนีจากสถานการณ์คับขันตอนนี้ได้
“ก็เคยมี...”
“ตอนนี้ไม่แล้วเหรอ ?”
เฮ้ย !! อย่าไล่ต้อนกันได้ป่ะ !! ต้องการให้ฉันตอบว่าอะไรวะ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันแทบไม่ได้เจอคุณเกียร์เลยนะเว้ย
ยอมรับก็ได้วะ เพิ่งมีช่วงนี้ที่กลับมาแตะต้องนิดๆหน่อยๆ แต่ก็แค่ช่วงนี้เท่านั้นแหละ !!
“ถ้าไม่...ก็ดีแล้วล่ะ...”
จากที่ในหัวผมกำลังปั่นป่วน เพราะต้องการหาคำตอบที่ดีที่สุดมาตอบ ราดิชก็ดันไม่อยากดันคำตอบเสียดื้อๆ
น้ำเสียงที่ใช้พูดประโยคนั้น ฟังดูแผ่วเบาและอ่อนโยน จนไม่น่าเชื่อว่า เป็นคนคนนี้พูด
ใบหน้านั้นมองขึ้นไปด้านบน ทั้งที่ไม่มีอะไร นอกจากห้วงอวกาศสีดำสนิท ซึ่งพวกเรากำลังข้ามผ่านด้วยความเร็วสูง
“ในวันงานแต่งงานนาย...”
อ้าว ? ตกลงนายไปเรอะ ? ถ้าไป ทำไมยังแกล้งโง่อีกวะเนี่ย ฉันแต่งงานแล้วนะ หรือจะมาสืบเรื่องนอกใจ
หรือจะหาทางแบล็คเมลล์ฉัน ? หรือจะหาทางแบล็คเมลล์คุณเกียร์ ? เดาไม่ถูกเลยแฮะ
“ฉันออกไปที่ระเบียงกะว่า จะไปสูบบุหรี่ ก็เห็นคนคนหนึ่งยืนอยู่”
ปกติเห็นเงียบๆ วันนี้พูดเป็นต่อยหอยเชียว แถมยังพูดด้วยเสียงเนิบๆ ฟังแล้วขนลุก
พูดจากระโชกโฮกฮากดีกว่านะ สบายใจกว่าเยอะ อยู่ดีๆ นายเป็นบ้าอะไรของนายวะ ราดิช
แถมยังมาเล่าเรื่องตัวเอง ไม่ได้ถาม ไม่ได้อยากฟัง
“พอเห็นว่า เป็นใครก็ยิ่งอารมณ์เสีย เพราะรู้ว่าคนที่เจอชอบยิ้มน่ารำคาญ”
ยิ้มน่ารำคาญเลยเรอะ คนที่เจอคงไม่พ้นคุณเกียร์สินะ เพราะคงไม่มีใครยอมพลาดโอกาสสวาปามอาหารหรู
ไปยืนเหม่ออยู่แถวระเบียงนอกจากคุณเกียร์ กับคนแปลกๆอย่างราดิชหรอก
“ตอนแรกก็นึกว่า ตาฝาด แต่เห็นจริงๆว่า ใบหน้าที่ยิ้มให้ฉันนั้น....”
“มีน้ำตา”
แล้วความเงียบก็เข้าปกคลุมที่ตรงนั้นทันที ผมไม่อาจคิดอะไรได้อีก พอๆกับที่ราดิชไม่ยอมเล่าอะไรเพิ่มเติม
หัวของผมว่างเปล่า สิ่งที่ผุดขึ้นมาอย่างแรกก็คือ ภาพของคุณเกียร์ที่ยิ้มให้ผม หลังจากผมบอกความรู้สึกออกไป
ในตอนนั้นผมรู้สึกว่า สบายใจ ทุกอย่างจบสิ้นลงอย่างแท้จริง ไม่มีอะไรค้างคาแล้ว
...แต่มัน...ไม่ใช่สินะ...
อย่างน้อยก็ไม่ใช่สำหรับคุณ ผมทิ้งสิ่งใดไว้ให้คุณแบกรับกันนะ ผมทำอะไรลงไป
ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณเจ็บปวด ไม่ได้อยากทำให้คุณเสียใจ อยากให้มันจบลงตรงนั้น
พวกเราเลือกทางเดินที่แยกห่างออกจากกัน ดิ้นรนที่จะหนีจากความรู้สึกของตัวเอง
ไม่สิ...คนที่หนีคือ...ผมต่างหาก...
++++++++++
เย็นวันนั้น ผมโทรไปบอกที่บ้านว่า จะทำโอที ที่จริงไม่ได้มีงานเร่งอะไร แต่ไม่อยากกลับไปเจอเธอ ด้วยความรู้สึกวุ่นวายสับสน
ผมอยากให้เธอรู้สึกสบายใจ ก่อนเดินทาง ไม่อยากให้มีเรื่องอะไรมากวนใจอีก
เหตุผลที่วางใจให้เธออยู่บ้าน เพราะน้องชายกลับมาอยู่บ้านหลายวันแล้ว ส่วนหนึ่ง เพราะคงอยากจะไปส่ง
แต่อีกส่วนหนึ่ง คงเพราะตัวเองก็เหงาที่พี่สาวกำลังจะไปอยู่ในที่ไกลๆ
“แล้วรีบกลับมานะ เย็นนี้มีเค้กแครอทด้วย”
ผมได้แต่หัวเราะตอบ จะว่าไป ยังไม่เคยบอกเธอเลยว่า เกลียดแครอทจนเข้าไส้ เพราะมีแต่แอบเขี่ยบ้าง ฝืนกลืนลงคอไปบ้าง
ถ้าพูดตามตรงก็เกรงว่า ท่านหญิงจะบ่นและเทศนาเรื่องประโยชน์ของเบต้าแคโรทีน เลยทำเนียนไว้ดีกว่า
หลังคุยกับเธอ ผมก็สบายใจขึ้นมาบ้าง ความรู้สึกปั่นป่วนในตัวลดลง จึงหันกลับมาตั้งใจเคลียร์งาน
“เอาล่ะ เผื่องานเสร็จ จะได้ลางานสักสองสามวัน ไปด้วยกัน”
แม้จะเป็นการพูดคนเดียวเหมือนกับคนบ้า แต่ก็เป็นการย้ำเตือนตัวเองถึงวัตถุประสงค์ที่อยู่ตรงนี้
ไม่อยากให้ไขว้เขวออกจากทางที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว การลังเลมีแต่จะสร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้อื่นเท่านั้น
เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ มารู้ตัวอีกที ก็ตอนได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือ ผมเงยหน้ามองนาฬิกา ตอนนี้เกือบจะหนึ่งทุ่มแล้ว
ยังไม่ได้ดึกอะไรมากมาย จนต้องมีใครโทรมาตามนี่นา
“อยู่ไหนวะ !! มานี่เดี๋ยวนี้เลย !!”
เสียงแปดหลอดของน้องชายกระแทกใส่หูอย่างจัง แต่ยังไม่ทันถามไถ่ เจ้าตัวก็รีบตะโกนบอกเหตุผลที่รีบโทรมาหา
แม้น้ำเสียงจะร้อนรนและโวยวายไปบ้าง แต่เนื้อหาที่พูดก็ยังฟังรู้เรื่องไม่สับสน ทำให้เข้าใจได้ในทันทีว่า
อยู่ๆพี่สาวก็เป็นอะไรไม่รู้ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว ให้ไปหาเดี๋ยวนี้ !!
ผมคว้ากระเป๋า ไม่ปิดคอมพิวเตอร์หรือเก็บของ แม้แต่ชิ้นเดียว แล้ววิ่งไปยังลานจอดรถ
ตอนนี้เป็นช่วงรถติดมหาโหดของถนน แต่ก็ไม่มีทางที่เร็วกว่านี้ในการไปให้ถึงโรงพยาบาลนั้น
ผมเฝ้าสวดภาวนาในรถว่า ขอให้เธอปลอดภัย แล้วก็ ขอให้ไฟข้างหน้าเป็นสีเขียวซะที
เร็วสิ...เร็ว...ช่วยขยับที...
ทำไมรถต้องติดด้วยนะ...ทำไมต้องติดเอาตอนนี้...
อยากไปให้ถึงเร็วๆ...อยากเจอ...อยากเจอ...
โถ่เว้ย !! ทำอะไรไม่ได้เลยรึ !!
เวลาสองชั่วโมง ยาวนานจนรู้สึกสิ้นหวัง ไม่มีเสียงโทรศัพท์มาเร่ง ไม่รู้ว่าปลายสายเป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย
เธออาจปลอดภัย หรืออาจจากไปแล้ว ไม่กล้าโทรไปถาม อยากไปดูให้เห็นกับตาตัวเองมากกว่า
ในที่สุดก็ถึง กำลังจะเลี้ยวรถเข้าสู่ลานจอดรถที่โรงพยาบาล แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
ผมสะดุ้งสุดตัว แต่ก็รีบรับทันที โดยไม่มองว่า ใครโทรมา
“โฮลี่ออเดอร์...”
เสียงของราดิชดังมาตามสาย ผมนึกสงสัยว่า โทรมาทำอะไรตอนนี้วะ แต่ยังไม่ทันจะบอกว่า กำลังยุ่ง
ปลายสายก็พูดประโยคที่ทำให้สมองเขาปวดตุบอีกครั้ง
“นายอยู่ไหน ? ช่วยมาที่นี่ที”
“เกียร์กำลังแย่มาก...”
น้ำเสียงของราดิชฟังดูแล้วเย็นเยียบ ราวกับต้องการสั่ง หากแต่พอจับความรู้สึกลึกๆได้ว่า มันเป็นการร้องขอ
ผมตัดสินใจว่า จะบอกปัดไปตรงๆ เนื่องจากมีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นต้องทำตอนนี้
แล้วอยู่ๆปลายสายก็มีเสียงดัง เหมือนของหล่นแตกกระจาย ผมได้ยินเสียงราดิชสบถ ก่อนจะเรียกชื่ออีกคน
สิ่งที่หลงเหลืออยู่คือ เสียงตรู๊ดๆ ของโทรศัพท์หลังโดนตัดสาย แต่ที่ยังดังก้องอยู่ในหัวคือเสียงตะโกนเรียกชื่อ
ผมไม่เคยได้ยินราดิชทำเสียงตกใจขนาดนั้นเลย ทางนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่ก็ช่างเถอะ มีคนอยู่ด้วยคงไม่มีปัญหาอะไรหรอก ผมไม่มีความจำเป็นอะไร ไม่จำเป็นต้องไปหรอก
ผมถอยรถจอดแล้วดับเครื่องยนต์ แต่ร่างกายกลับไม่ขยับ เหมือนในตัวเองกำลังมีบางอย่างต่อสู้กันอยู่
ถ้าคิดตามเหตุผล ผมควรจะวิ่งเข้าไปในอาคาร ถามหาสถานที่ที่ภรรยาผมอยู่ แล้วรีบไปหาในทันที
แต่ถ้าเอาตามความรู้สึกที่ปรากฏชัดขึ้นมาในตอนนี้ ผมอยากสตาร์ทรถแล้วขับฝ่ากลับไปที่บริษัท
คุณเกียร์...คุณเป็นอะไรไปครับ...
...ไม่ต้องห่วงหรอก...มีคนอยู่ด้วย...แล้วเดี๋ยวคุณรีลิสก็จะมา...
แต่ก็ยังอยากไปดูให้เห็นกับตาตัวเองอยู่ดี...
...หน้าที่ของนายคืออะไร...คนที่นายควรดูแลคือใคร...
แต่ว่า...ฉันรู้สึกเป็นห่วงคนคนนั้น...
...เจ้าโง่เอ๊ย...จำได้หรือเปล่า...ความลังเลสับสน...ยิ่งทำให้คนอื่นเจ็บปวด...
ผมก้าวลงจากรถ แล้วออกวิ่งทันที...
++++++++++
ผมยืนอยู่ในสภาพเหนื่อยหอบ เหงื่อท่วมตัว จนคนที่ผ่านไปผ่านมามองด้วยความสงสัย บ้างก็เป็นสายตาตำหนิ
ผมรู้ดีว่า ควรวิ่งไปมาในสถานที่แบบนี้ แต่ทำยังไงได้ ตอนนี้ผมสับสนไม่รู้ว่า ควรจะทำอย่างไรดีแล้ว
โทรศัพท์มือถือของผมส่งเสียงอีกครั้ง ผมมองหน้าจอ พอเดาได้อยู่แล้วล่ะว่า เป็นใคร
กลั้นใจ แล้วกดตัดสายไป แม้รู้ว่า ปลายสายต้องโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่ก็ช่วยไม่ได้
...ผมได้เลือกแล้ว...
หลังจากผลักประตูเข้าไปในห้อง กวาดสายตามองผู้คนที่อยู่ด้านใน ก็พบร่างที่นอนนิ่งอยู่
ใบหน้านั้นขาวซีด จนน่าตกใจ แต่ก็ดูปลอดภัยดี โล่งใจไปได้ส่วนหนึ่ง
ผมก้าวเท้าเร็วๆเข้าไปหา ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ จับมือนั้นไว้แล้วบีบแน่น
“คุณเกียร์...”
ผมเอ่ยเรียกชื่อนั้นออกมาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอามืออีกข้างหนึ่งลูบแก้มที่ไร้สีเลือด อุณหภูมิจากผิวสัมผัสนั้นราวกับ
อยู่ในที่อากาศเย็นจัดเป็นเวลานาน ทั้งที่ห้องนี้ก็ไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศ ออกจะร้อนนิดๆเสียด้วยซ้ำ
ดวงตาสีดำนั้นเปิดขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะมองผมเหมือนต้องการถามว่า มาที่นี่ได้อย่างไร
“ทำไม ถึงไม่ไปโรงพยาบาลครับ”
ถึงผมจะคิดว่า คุณเป็นคนหัวดื้อ แต่ไม่คิดว่า อาการแย่ขนาดนี้ แล้วยังจะไม่ยอมอีก
คนคนนั้นยิ้มตอบ แม้มันจะเป็นรอยยิ้มที่ดูไร้เรี่ยวแรง เอื้อมมือมาแตะที่มือผมแล้วบีบเบาๆ ราวกับจะปลอบ
คนที่ควรจะได้รับการปลอบโยนไม่ใช่ผมหรอก แต่เป็นคุณต่างหากล่ะ
แล้วอยู่ๆคนตรงหน้าก็มีสีหน้าบิดเบี้ยวเหมือนกับได้รับความเจ็บปวด มือทั้งสองกำแน่น แต่ไม่ส่งเสียงใดๆออกมา
ผมเรียกชื่อคนตรงหน้าซ้ำๆ ด้วยความตกใจ เมื่อไม่รู้ว่า จะต้องทำอย่างไร จึงได้แต่กอดคนคนนั้นเอาไว้
ร่างในอ้อมแขนเกร็งจนรู้สึกได้ว่า ความเจ็บปวดที่เขาไม่ทราบสาเหตุคงยากจนเกินจะทน
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มือคู่นั้น กำเสื้อของเขาแน่น ราวกับต้องการที่ยึดเกาะ แต่ถึงจะดูทรมานเพียงใด
ก็ไม่มีเสียงแห่งความเจ็บปวดหรือน้ำตาใดๆปรากฏให้เห็นแม้แต่น้อย
“ไปโรงพยาบาลกันเถอะครับ”
ผมไม่คิดว่า คุณเกียร์จะมีแรงทักท้วงใดๆ ในตอนที่ผมคิดว่า จะช้อนตัวขึ้น เพื่ออุ้มลงไปเรียกแท็กซี่
ประตูห้องก็เปิดออก แล้วราดิชก็ก้าวเข้ามาในห้อง ทรงผมที่ไม่ค่อยจะเป็นทรง วันนี้ดูยุ่งเหยิงยิ่งกว่าเดิม เหมือนเจ้าตัว
คงจะหัวปั่น เลยเผลอขยี้มันไปหลายต่อหลายหน ดวงตาคมกริบมองมาทางผม พร้อมถามเสียงเข้มว่า
“จะพาไปไหน ?”
ก็ต้องโรงพยาบาลสิ ผมตอบไปในทันที แต่เจ้าตัวอธิบายกลับมาว่า เรียกรถพยาบาลตั้งนานแล้ว ยังไม่มาเลย
เนื่องจากมีวันหยุดยาวประจำสัปดาห์ บรรดาผู้คนในกรุงเทพฯจึงหลั่งไหลออกสู่ต่างจังหวัด ทำให้รถติดอภิมหาโหด
แถมยังติดต่อคุณรีลิสไม่ได้ จนถึงเมื่อกี๊ ดูเหมือนเธอก็ร้อนใจอยู่เหมือนกัน บอกว่า จะหาทางทำอะไรสักอย่าง
พอได้ยินดังนั้น ผมก็เข้าใจว่า ทำไมถึงปล่อยให้คุณเกียร์นอนอยู่แถวนี้ ทั้งที่อาการดูแย่มาก เพราะถึงขนขึ้นแท็กซี่ไป
ก็ต้องไปเจอกับรถติดอยู่กลางถนน สู้รอให้รถพยาบาลที่มีไซเรนและระบบสื่อสารกับฝ่ายจราจรมารับจะดีกว่า
สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ คงเป็นแค่การกอดคนคนนี้เอาไว้ เพื่อเป็นกำลังใจในการต่อสู้กับความเจ็บปวด
คุณเป็นอะไรกันแน่ครับ ?
ผมไม่รู้ว่า เวลาผ่านไปนานเท่าใดที่ผมกอดร่างกายที่เย็นเฉียบ ต่างจากคนอื่นๆที่เหงื่อเริ่มออก เพราะไม่มีใครกล้าเปิดเครื่องปรับอากาศ
ถึงร่างกายจะไม่ได้หนาวสั่น แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้สึกทรมาน จากอะไรบางอย่าง
จะให้ทำอะไรได้ นอกเสียจาก อยู่ข้างๆ ไม่สามารถทำอะไรได้เลย นอกจากกระซิบถ้อยคำปลอบโยน
แล้วประตูก็เปิดออก หญิงสาวยืนอยู่ตรงนั้น พร้อมหน่วยอะไรสักอย่าง ที่ดูมีเครื่องมือครบครัน
พวกเขาวิ่งเข้ามาดูอาการ จัดการต่อสายอะไรบางอย่างกันวุ่นวาย แล้วคลายกระดุมและเข็มขัด
เอาของที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อออก ยัดใส่มือผมเอาไว้ ก่อนจะพาตัวออกไป
ผมเหลือบมองคุณรีลิสที่ไม่หันมามองผม แม้แต่น้อย เหมือนร่างกายถูกตรึงจนขยับไม่ได้ ระหว่างที่คนอื่นๆสาละวนกัน
ช่วยชีวิตที่เมื่อครู่ผมยังโอบกอดไว้ในอ้อมแขน อยากจะถาม และอยากจะพูดอะไรหลายอย่าง แต่กลับพูดไม่ออก
ได้แต่เฝ้ามองการทำงานอย่างรวดเร็วและเฉียบคมของเหล่าผู้ช่วยชีวิต
“นายอยู่ที่นี่ก่อนนะ ที่ไม่พอให้ไปด้วยกัน”
ไม่รู้ว่า ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คุณรีลิสมายืนอยู่ข้างหลังผม เอามือแตะไหล่ผมสั่นน้อยๆ เช่นเดียวกับเสียงที่พูดกับผม
ช่างแตกต่างจากคุณหนูที่ผมรู้จัก แสดงให้เห็นว่า สถานการณ์มันน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้
“แล้วตามไปด้วยนะ...”
เธอเดินตามทีมช่วยชีวิตออกไป ทิ้งให้ผมนั่งนิ่ง เหมือนคนหมดแรง ไม่รู้ว่า ควรจะทำอย่างไรดี
ผมมองข้าวของในมือ ซึ่งถูกยัดเยียดให้ เพราะอยู่ใกล้ที่สุด กระเป๋าตังค์ บัตรประจำตัว นาฬิกา
ของธรรมดาทั่วไปซึ่งพบเห็นได้ ก็คุณเกียร์ไม่ใช่พวกชอบพกอะไรไร้สาระนี่นา
เอ๊ะ ? นั่นมัน ?
หลายคนคงนึกแปลกใจที่ผมสะดุดตากับเจ้าปากกาหน้าตาธรรมดาๆ ซึ่งไม่ว่า ใครก็คงจะพกอยู่ในกระเป๋าได้
มันจะไม่ใช่เรื่องประหลาดเลย หากปากกานั่น ไม่ได้เป็นเจ้าปากกาสีเขียวที่เคยเป็นของเขา
เมื่อตอนปีใหม่ที่มีการจับฉลาก สอยดาวของบริษัท
ผมจับฉลากได้ปากกาอันเล็กๆ ดูท่าทางไร้ประโยชน์ ลายก็น่าเกลียดจนสุดจะทนดูได้
ในกล่องของขวัญ มีลายมือหวัดๆเขียนว่า ปากกาที่มีแท่งเดียวในโลก เก็บเอาไว้ให้ดีนะ
ผมคงทำหน้าตาปูเลี่ยน เมื่อเห็นข้อความนั้น เพราะคุณเกียร์เอาแต่หัวเราะ แล้วก็บอกว่า ดีแล้วนี่นา ได้ของใช้
“เอ้า ผมให้”
เมื่อเห็นว่า ปากกาที่เจ้าตัวใช้ประจำเกิดหมด ในตอนที่กำลังจะจดข้อความบางอย่างให้
คุณเกียร์รับมาเขียนแล้ว พบว่า หัวปากกามันแตก เขียนไม่ได้แล้ว ทำเอาผมยิ่งรู้สึกรังเกียจเจ้าปากกานั่น
นี่มันขยะชัดๆ เอาขยะมาเป็นรางวัลจับฉลากทำไม
“เฮ้ย !! จดเบอร์ติดต่อคุณรีลิสหน่อย”
ผมเดินไปที่โต๊ะทำงานเก่าของตัวเอง คว้ากระดาษแถวนั้น แล้วจรดเจ้าปากกานั่น เตรียมตัวจดเบอร์โทรส่วนตัวของคุณหนูที่คง
มีคนรู้เพียงแค่หยิบมือเดียว แต่เมื่อลากปากกานั้น ก็พบว่า หัวมันแตก หมึกแห้งหมดแล้วด้วย
“มัวมองปากกาอะไรของแกอยู่วะ”
ราดิชเดินมาคว้าปากกาและกระดาษแถวนั้นไปจดเอง ขณะที่ผมยังมองปากกาสีเขียวในมือ แล้วนึกสงสัยว่า ความบังเอิญ
จะมีในโลกไหม ผมไม่ได้กำลังคิดไปเองใช่หรือเปล่า ? เรื่องราวทั้งหมด มันก็เป็นแค่เรื่องง่ายๆใช่ไหม
“เลิกเหม่อ แถวโต๊ะเก็บเอกสาร แล้วตามมาได้แล้ว !!”
“โต๊ะเก็บเอกสาร ?”
“ก็ใช่ดิ มีเอกสารเยอะขนาดนั้น แกคิดว่า เป็นโต๊ะชงกาแฟหรือไง”
ผมมองไปรอบๆ จะว่าไป ก็ไม่มีร่องรอยของคนนั่ง ไม่อย่างนั้นคงมีถ้วยกาแฟ หรือที่ใส่เครื่องเขียน ไม่ก็อุปกรณ์เครื่องใช้ส่วนตัวบ้าง
แต่นี่มีแต่กระดาษ กระดาษ แล้วก็กระดาษเท่านั้น
“ทำไม ถึงไม่มีใครมานั่งทำงานตรงนี้ ?”
ที่ตรงนี้มันอาถรรพ์ ทำเลไม่ดีหรืออย่างไร เจ้าพวกคนใหม่ที่ติดสอยห้อยตามถึงไม่ยอมมานั่ง จนแปรสภาพกลายเป็นคลังเก็บเอกสาร
แล้วมันทำงานกันตรงไหนเนี่ย ? พื้นเหรอ ?
“จะไปรู้เรอะ !! ไปถามเกียร์ดูเองสิวะ !! เห็นบอกว่า ไม่อยากให้ใครนั่ง แถมไม่ยอมบอกเหตุผล”
ผมกลืนก้อนแข็งๆลงคอไป หลังจากฟังราดิชพูดประโยคนั้น สิ่งที่ผมถามตัวเองมาตลอด เฝ้าบอกตัวเองเสมอว่า
ในสายตาของคนคนนั้น ผมคงเป็นแค่เรื่องเล็ก ไม่น่าสนใจ ไม่น่าจดใจ ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องใส่ใจอะไร
คนคนนั้นไม่ได้รักผม เขาเป็นแค่เพียงคนใจดีที่ปฏิเสธใครไม่เป็นเท่านั้นเอง จึงยอมให้ผมมาอยู่ใกล้ๆ
...แล้วนี่มันอะไร...
ปากกาสีเขียวที่ผมกำแน่นในมือนั้น หนักอึ้งทั้งที่เป็นแค่พลาสติกไร้ค่า แต่มันกลับอัดแน่นด้วยสิ่งที่สัมผัสได้จากความรู้สึก
มันเป็นสิ่งที่ผมมองไม่เห็น หรืออาจมองข้ามมาตลอด เพราะคิดว่า ตัวเองเป็นฝ่ายไล่ตามคุณ
ผมปิดตาและปิดหัวใจตัวเอง เอาแต่คิดว่า คุณไม่ได้รัก ไม่ได้มีความรู้สึกใดๆกับผม
เก็บมันไว้ตลอดหรือครับ...ขยะพรรค์นี้...
ที่ของผม...ไม่ให้ใครเข้าไปแทนที่หรือครับ...
จะคิดไปเองหรือเปล่า...ก็ช่างมัน...ผมเลือกที่จะเชื่อ...
...คุณยังรักผม...ใช่ไหมครับ...
++++++++++
“หายหัวไปไหนมาวะ !!”
ไม่แปลกใจที่จะถูกโกรธ สายโทรเข้าเกือบร้อยสาย ตลอดเวลาที่อยู่ตรงนั้น แม้จะปิดเสียงมือถือ แม้จะทำเป็นไม่สนใจ
แต่ก็รู้ดีว่า คนที่อยู่ทางนี้ จะต้องร้อนใจและโกรธมากแน่ๆ ถึงอย่างนั้น ก็ได้เลือกไปแล้ว
“แก...แก...แกหายไหน...”
“พี่เรียกหาแกตลอดเลยนะ...จน...”
ประโยคที่เหลือถูกกลืนหายไปในลำคอ เพราะต้องการกลั้นเสียงสะอื้น น้ำตาหยดใสๆที่พรั่งพรูลงมาไม่หยุด
มือซึ่งกระชากคอเสื้อมานั้น ค่อยๆคลายออก สุดท้ายเจ้าตัวก็แค่ผลักผมออกไป
“ไอ้บ้าเอ๊ย...”
กำปั้นที่ทุบลงไปยังกำแพงซ้ำๆ เพราะต้องการระบายอารมณ์โศกเศร้าที่ท่วมท้นมาจากข้างใน
ผมเดินผ่านไปโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เพราะรู้ดีว่า คำพูดใดๆก็ไม่อาจเยียวยาจิตใจได้
ร่างที่นอนสงบนิ่งอยู่ในห้องนั้น ราวกับเพียงแค่หลับไปเท่านั้น เมื่อสัมผัสร่างกายก็ยังอุ่น
ผมเอามือเกลี่ยเส้นผมออกจากใบหน้านั้น แล้วจูบที่หน้าผากเป็นการอำลา
ขอโทษนะ...ที่ไม่ได้มาหา...
แล้วก็ขอบคุณที่ได้ร่วมชีวิตกันมา...
เหมือนได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาผ่านอากาศ อาจเป็นเพียงแค่จินตนาการของตัวเอง
แต่นั่นก็ทำให้น้ำตาที่กล้ำกลืนเอาไว้อย่างสุดกำลัง หยดลงมาจนได้
ขอบคุณเช่นกัน...ที่ผ่านมาฉันมีความสุขมากเลย...
ผมลากตัวพ่อน้องชายกลับมาบ้าน เพราะไม่อยากรบกวนที่โรงพยาบาลมากไปกว่านี้ ต้องจัดการเอกสารบางอย่าง
ก่อนจะไปรับศพได้ ยังมีเรื่องอีกมากมายต้องจัดการ แถมเจ้าตัว ควรจะกลับไปมหาวิทยาลัยด้วย
ระหว่างทางกลับบ้านไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ ไม่มีเสียงสะอื้น ไม่มีการร้องไห้อีกแล้ว มีแต่ความเงียบที่น่าอึดอัด
ในบ้านยังดูเป็นปกติ เหมือนเธอยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง สักพักก็จะออกมาเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม
ผมมองไปที่เค้กแครอทซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะอาหาร มีจานใบเล็กๆและส้อมเตรียมไว้พร้อม สำหรับตักแบ่ง
ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมนั่งลงตรงนั้น แล้วตัดเค้กออกมาชิ้นหนึ่ง จัดใส่จาน ก่อนจะตักเข้าปาก
รสชาติของแครอทกระจายไปทั่วปาก แต่กลับไม่รู้สึกแย่ แต่อย่างใด มันเป็นเค้กแครอทที่อร่อยที่สุด
ถึงจะแห้งจากการโดนลม เพราะทิ้งไว้เป็นเวลานาน ถึงอย่างนั้น มันก็ยังอร่อย
อีกคนหนึ่งในบ้าน นั่งลงตรงกันข้าม ตัดเค้กออกมากินอย่างเงียบเชียบ
พวกเรานั่งกินเค้กกันทีละคำ ทีละชิ้น จนกระทั่งหมด ทั้งที่ปกติกินไปแค่ชิ้นเดียว ก็บ่นว่าอิ่มแล้ว
น่าแปลกที่คราวนี้ รสชาติของมันอร่อยจนกระทั่ง น้ำตาไหล อร่อยจนต้องร้องไห้
เค้กแครอท...ที่แกล้มกับน้ำตา...
++++++++++
สุดทางเดินที่ทอดยาว ผมเห็นร่างของหญิงสาวที่กำลังแหงนหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบน เธอค่อยๆหันหน้ากลับมามองผม
ก่อนจะเดินนำออกไปยังสวนด้านนอก ตอนนี้คงเป็นเวลาประมาณตีสี่ ไม่มีใครอยู่แถวนั้น มีเพียงพวกเราสองคน
“กะแล้วว่า นายต้องกลับมา”
“ช่วยเล่าให้ผมฟังเถอะครับ”
ตอนนี้สภาพผมคงดูไม่จืด มีเรื่องวุ่นวายตั้งแต่หนึ่งทุ่ม จนตอนนี้ทุกอย่างในหัวก็ยังขาวโพลน ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร
ในวินาทีที่เขาตัดสินใจวิ่งจากที่นั่น ตรงกลับไปยังบริษัท ทั้งที่ราดิชเองก็ไม่ได้บอกสถานที่ชัดๆ ทั้งที่มีคนสำคัญรออยู่
แต่ก็ยังตัดสินใจ จะวิ่งไปยังปลายทาง เพื่อไปหาคนคนนั้น
...ที่สุดแล้ว...ผมก็เลือกคุณ...
คุณรีลิสนั่งลงบนม้านั่ง แล้วถอนหายใจ ดูท่าทางจะเหนื่อยอ่อน คงยังไม่ได้หลับสักงีบ เพราะมีเรื่องให้คิดวุ่นวายเหมือนเขา
เธอตบที่ว่างข้างๆตัว เป็นเชิงให้มานั่งด้วยกัน
“เกียร์น่ะ เป็นโรคที่หนึ่งในล้านคนจะเป็น แล้วที่จริงก็ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร”
“ถ้าไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับ neo universe ก็สามารถใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาได้”
หลังจากนั้น ผมก็ได้ฟังเรื่องราวของโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท ซึ่งเมื่อคลื่นจากการเล่นเกม Neo universe เข้าไปสู่สมอง
จะเกิดการรบกวนขึ้น แน่นอนว่า กับคนทั่วไปไม่มีผลอะไร แต่กับคนเพียงหยิบมือนั้น เหมือนระบบประสาทจะเกิดการปั่นป่วน
ในการส่งกระแสประสาท จนกลายเป็นความรู้สึกเจ็บปวดได้
“เลิกเล่น ก็จะหายหรือครับ ?”
“อืม แต่เกียร์ไม่ยอมหรอก”
คุณรีลิสเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง เหมือนจะพูดกับใครบางคนมากกว่าพูดกับผม ทั้งสองคนผ่านเรื่องราวต่างๆมาด้วยกัน
ผ่านสิ่งที่ผมไม่เข้าใจและไม่รู้จักมากมาย บางอย่างคุณรีลิสคงไม่มีทางเล่าให้ผมฟัง
“เพราะมีสัญญาเอาไว้...”
“เกียร์เป็นคนรักษาสัญญา”
ผมไม่คิดจะถามไปมากกว่านั้น เพราะรู้ดีว่า คนตรงหน้าไม่มีทางจะพูดไปมากกว่านี้ จึงได้แต่เอ่ยคำขอบคุณที่ยอมเล่า
หญิงสาวก็เพียงพยักหน้าตอบว่า รับรู้ แต่ไม่ได้พูดอะไร ดูท่าทาง เธอก็คงมีเรื่องให้คิดเหมือนกัน
“แล้วคุณเกียร์ ?”
“อืม ปลอดภัยดี แค่ตอนนี้นะ”
“สักวันสมองอาจจะได้พังจริงๆ”
เธอลุกขึ้นยืน บิดขี้เกียจแบบไม่รักษามาด จากนั้นก็พูดอะไรบางอย่าง ที่ผมยังไม่ทันจะถามย้ำอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจ
เธอก็ก้าวเร็วๆ เดินกลับเข้าไปยังอาคารดังเดิม ทิ้งให้ผมนั่งนิ่ง ทบทวนว่า สิ่งที่ได้ยิน เป็นเรื่องจริงใช่ไหม
“ถ้าเป็นนาย...น่าจะทำได้...”
“ช่วยหยุดเกียร์ที...”
มันเป็นคืนที่ยาวนาน เพราะเรื่องราวหลายอย่างเกิดขึ้นในคืนนั้น ความจริงที่เพิ่งรับรู้ และหลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไป
ผมมองร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง มีสายน้ำเกลือต่อยาวออกจากแขน เสียงของเครื่องมือทางการแพทย์ส่งเสียงสัญญาณ
อยู่ภายในห้องที่เงียบสนิท ที่จริงยังไม่ถึงเวลาเยี่ยม แต่ผมได้รับสิทธิพิเศษ จากคำสั่งของคุณหนู จึงผ่านเข้ามาได้
ไม่ว่าที่ผ่านมาจะเป็นอย่างไร...มีสิ่งใดยังปิดบังอยู่...ก็ช่าง...
ในตอนนี้รู้แล้วว่า...ตัวเองจะเลือกใครเป็นคนแรก...และคนแรกเสมอไป...
ถึงจะหลอกตัวเอง...ให้หลงวนเวียนไปในทางอื่น...มานาน...
แต่ตอนนี้...จะมุ่งไปตามที่ตัวเองต้องการ...
...จะปกป้อง...คนคนนี้...
ผมแตะมือที่วางอยู่ข้างตัว แล้วบีบเบาๆ ฝ่ามือนั้นอุ่นขึ้นมานิดหน่อย ไม่เย็นเฉียบดังตอนที่อยู่ในช่วงวิกฤต
อีกไม่นานคงลืมตาขึ้น แล้วเรียกร้องอยากจะออกจากโรงพยาบาล กลับไปทำงานแน่ๆ
เหตุผลที่คุณรักงาน ยิ่งกว่าชีวิตตัวเองคืออะไร ผมไม่สนใจ รู้แต่เพียงตอนนี้ ผมจะหยุดคุณให้ได้
หากพูดขอร้องตรงๆ คุณคงไม่ฟัง ต้องลองหาคำพูดหว่านล้อม บอกอ้อมๆถึงอันตรายของเกม
ไม่สิ คุณต้องรู้อยู่แล้วล่ะ เพียงแต่ไม่ยอมหยุด อาจต้องยกเหตุผลอื่นๆมาประกอบ ใช้คำลวงและความจริงผสมปนเป
จะทำอย่างไรก็ได้ ขอเพียงคุณยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ถึงจะต้องทำร้ายคุณให้เจ็บปวดอีกครั้ง
...ถึงจะต้องทำให้...คุณเกลียดผม...ก็ตาม...
ยกมือของคนที่กำลังหลับสนิทขึ้นแตะริมฝีปาก ก่อนจะถอนหายใจ ในความงี่เง่าของตัวเอง
กำลังคิดอะไรอยู่นะ อยากสัมผัสคนคนนี้ แต่กลับไม่กล้าในเวลาเดียวกัน รู้สึกเหมือนกลายเป็นสิ่งที่ไม่กล้าแตะต้อง
หากพูดอีกครั้ง คุณจะฟังที่ผมพูดหรือเปล่า คุณจะฟังประโยคนั้นอีกครั้งไหมครับ
“ผมรักคุณ”
เสียงที่ลอดผ่านจากริมฝีปากนั้น ขณะที่ตัวเองโน้มตัวลง จูบลงยังหน้าผาก รู้ทั้งรู้ว่า อีกฝ่ายไม่ได้ยิน
แต่ก็ดีแล้วล่ะ ไม่ต้องได้ยินหรอก เพราะจะยิ่งทำให้รู้สึกทรมานทั้งสองฝ่าย
ความรู้สึกผิดบาปน่ะ ผมแบกรับคนเดียวก็พอ คุณใช้ชีวิตอย่างที่คุณเลือกเถอะ
คุณทำอย่างดีที่สุดแล้ว ในการรักษาสัญญาที่ผมไม่รู้ว่าคือ สัญญาอะไร แต่คุณได้พยายามแล้ว
เพียงแต่มีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้มาขัดขวาง ทำให้คุณไม่อาจทำได้ดังที่ตั้งใจเอาไว้
...ความผิดทั้งหลายนั้น...เป็นของผม...แต่เพียงคนเดียว...
ผมได้ยินเสียงเปิดประตูอย่างแผ่วเบา ก่อนที่จะเห็นคุณรีลิสกวักมือเรียกผมออกจากห้องพักพิเศษ
เธอไม่อยากย่างเท้าเข้ามาคุยข้างใน เดี๋ยวจะเป็นการรบกวนการพักผ่อน ผมวางมือที่จับไว้ลงอย่างแผ่วเบา
ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง เครื่องมือทั้งหลายยังส่งเสียงเป็นจังหวะ ไม่มีวี่แววว่าคนที่หลับใหลอยู่จะตื่น
ดีแล้วล่ะ เพราะผมไม่อยากให้เขารู้ว่า มีสิ่งใดเกิดขึ้นเมื่อครู่
“มีอะไรหรือครับ ?”
ผมเห็นหน้าตาเคร่งเครียดของเธอ ก็รู้สึกแย่ตามไปด้วย เพราะเรื่องเดียวที่ทำให้คุณรีลิสเครียดได้คือเรื่องคุณเกียร์
แต่ครั้งนี้ กลับผิดไปจากที่คาด คำพูดที่ออกจากปากของเธอ ทำให้ผมนึกแปลกใจที่เธอสนใจเรื่องนี้ด้วย
“ภรรยานายเสียชีวิตเมื่อวานนี้หรือ ?”
หลายคนอาจคิดว่า เป็นการเสียมารยาทที่ถามเรื่องแบบนี้ตรงๆ แต่ผมคิดว่า การอ้อมค้อมยิ่งจะทำให้บาดแผลเจ็บหนัก
ถ้าจะถามถึง ยังไงก็ต้องเจ็บอยู่ดี พูดมาตรงๆรวดเดียวดีกว่า บทสนทนาจะได้จบเร็วๆ
“ใช่ครับ”
“แล้วนาย...”
แม้แต่คุณหนูผู้ทรงเกียรติซึ่งเป็นคนตรงไปตรงมา ยังไม่อาจพูดออกมาได้ตรงๆ เธอจ้องมองผมราวกับอยากถาม
แต่ไม่กล้าพูดออกมา เพราะทุกคนรู้ดีว่า อยู่แล้วว่า มันไม่ใช่เรื่องที่แก้ไขได้ ทุกอย่างผ่านไปแล้วและชีวิตก็จากไป
สิ่งที่เลือกแล้วนั้น ไม่อาจย้อนกลับ ถึงจะเสียใจเพียงใด หรืออยากเปลี่ยนแปลงมันสักแค่ไหน
แต่ถึงจะเลือกอีกกี่ครั้ง...ผมก็คงยังออกวิ่งเพื่อกลับมาหาคนคนนั้น...
โอบกอดร่างกายที่เฝ้าปรารถนา...เอาไว้ในอ้อมแขน...
ถึงมันจะเป็นเรื่องผิด...เรื่องที่ไม่สมควร...ก็ยังจะเลือกสิ่งนั้น...
“อย่าบอกใครนะครับ ผมขอร้อง”
ผมก้มหัวลงต่ำเท่าที่จะทำได้ เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเธอทำหน้างงๆปนกับไม่พอใจ คงคิดว่า ผมอยากปิดบังความผิดของตัวเอง
เรื่องที่เลือกใครคนหนึ่งมากกว่าภรรยาที่ตัวเองมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบ แต่แท้ที่จริงมันไม่ใช่หรอก เรื่องแบบนั้นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง
จะถูกด่า ถูกตำหนิอย่างไรก็ยังทนรับได้ ขอเพียงแค่...
“อย่าให้คุณเกียร์รู้นะครับ...”
ใบหน้าที่อยู่ตรงหน้านั้นยากจะบรรยายความรู้สึก เธอคงอยากด่าผมออกมาตรงๆ แต่ก็เข้าใจเกินกว่าจะพูดออกได้
คนที่พวกเราทั้งสองคนเห็นว่า สำคัญ คนที่ไม่อยากให้รู้สึกเจ็บปวด อยากปกป้องความสุขเอาไว้
หากมีใครสักคนรู้เรื่องราวของผม สุดท้ายแล้วคนคนนั้นก็จะรู้เช่นกัน และก็คงโทษตัวเอง
เพราะนิสัยของคุณเป็นแบบนั้น นิสัยที่ชอบแบกรับเรื่องราวต่างๆเอาไว้ที่ตัวเองเพียงคนเดียว
“ก็ได้...”
“ฉันจะไม่บอกใคร...”
หญิงสาวถอนหายใจอีกครั้ง เธอเองก็คงรู้สึกผิด เหมือนมีส่วนช่วยปกปิดการกระทำผิดของใครบางคน
ถึงจะเพื่อคนสำคัญ เพื่อคนที่ตัวเองไม่อยากให้ร้องไห้ แต่สุดท้ายในใจก็ยังหลงเหลือความรู้สึกผิดอยู่ดี
“ยังไงก็ขอบใจนะที่มาหาเกียร์”
“ถ้าไม่ได้นาย เขาอาจจะทนไม่ไหวก็ได้”
ความเจ็บปวดที่สามารถทำให้ชีวิตผู้คนหลุดลอยไปได้ สิ่งที่เหนี่ยวรั้งวิญญาณไว้กับร่างนั้นคือผมจริงหรือ
ถ้าเป็นอย่างนั้น สิ่งที่ผมเลือก ก็คงไม่เลวร้ายเกินไปล่ะมั้ง เพราะอย่างน้อย ก็ได้ช่วยชีวิตคนคนหนึ่ง
...คนที่ผมรักที่สุด...
++++++++++
แสงแดดอ่อนๆของยามเช้าในต่างแดน ช่างแตกต่างจากแดดร้อนจ้าของกรุงเทพมหานคร ผมออกไปเดินเล่นรับลมเย็นสบาย
พร้อมกับมองทัศนียภาพเบื้องหน้าที่สวยงาม ทุ่งดอกไม้หลากสีสันที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ เธอคงยิ้มอย่างยินดี หากได้มาเห็นด้วยตัวเอง
“ยืนบื้ออะไรอยู่ ทำไมไม่ไปเก็บของ”
“เก็บเสร็จเรียบร้อยแล้วน่า”
ผมและน้องชายได้นำเถ้ากระดูกของเธอมายังบ้านของพ่อเธอ เพื่อโปรยมันลงจากเนินเขาที่เธอเคยเล่าให้ฟัง
ปล่อยให้มันลอยไปตามลม อย่างที่เจ้าตัวเคยพูดเอาไว้ เพื่อให้สายลมพาเธอเดินทางท่องเที่ยวไปยังที่ไกลแสนไกล
คนอื่นๆ คงคิดว่า ผมเดินทางไปส่งเธอ เพื่อรักษาตัว ไม่มีใครล่วงรู้ว่า หญิงสาวได้จากไปแล้ว
ส่วนหนึ่งคงเพราะคุณรีลิสช่วยจัดการอยู่เบื้องหลัง เรื่องทุกอย่างถึงดำเนินไปได้อย่างเรียบร้อย
ตอนแรกผมนึกว่า น้องชายเธอจะโวยวาย เรื่องที่ไม่บอกใคร เพราะผมเองก็ไปก้มหัวขอร้องไม่ให้บอกใครเหมือนกัน
เตรียมใจว่า จะโดนต่อยสักสองสามหมัด เผลอๆจะไม่ยอมฟังคำขอร้องด้วยซ้ำ แต่เด็กหนุ่มกลับรับคำสั้นๆ
ผมไม่รู้ว่า เกิดอะไรขึ้นระหว่างสองพี่น้อง ตอนที่ผมไม่อยู่ ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเธอ
แต่ผมรู้สึกได้ว่า ในใจเขา กำลังต่อสู่ระหว่างความคิดของตัวเอง กับสิ่งที่พี่สาวได้บอกเอาไว้
ไม่ใช่เรื่องที่ควรถาม...รอให้อีกฝ่ายพูดออกมาเองจะดีกว่า...
“นี่...นายรักพี่บ้างหรือเปล่า ?”
“รักสิ ทำไมถามแบบนั้น”
“ก็นาย...เอาเถอะ...ช่างมันเถอะ...”
ผมไม่รู้ว่า เขาอยากจะพูดอะไรกันแน่ เพราะเจ้าตัวดูหงุดหงิดขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่ยอมกลับไปพูดเรื่องเดิม
เขาบอกผมว่า เรียนจบจะสมัครเขาทำงานที่บริษัท จะเป็น GM จะเข้ามาช่วยในแผนการของผม
แน่นอนว่า ผมตกใจ รีบปฏิเสธ บอกให้ไปทำสิ่งที่ตัวเองชอบ จะดีกว่า ไม่ต้องห่วงผมหรอก
“ใครห่วงแก ?”
โอ้ สรรพนามของผมได้รับการเลื่อนชั้นทันที จากนายเป็นแก เพื่อบ่งบอกถึงอารมณ์หงุดหงิดที่พุ่งปรี๊ด
ก่อนที่คุณน้องชายจะบอกว่า เขาทำเรื่องนี้ เพื่อพี่สาวต่างหาก ไม่อยากให้มีใครต้องมาโชคร้ายเหมือนพี่สาวอีก
ส่วนแผนการของผม ก็ไม่มีอะไรมากครับ ก็แค่แผนการเคลียร์เกมและล้มระบบ GM เดิมให้สิ้นซาก
เหตุผลอีกอย่างที่พวกผมมาต่างประเทศ เพื่อพบกับออลสัน ผู้บริหารที่เคยมาชวนผมค้นหาสมบัติในเกม
ครั้งนี้พวกเราคุยกันเป็นการเป็นงานมากขึ้น ทำให้ได้รู้ว่า โรคที่ภรรยาผมเป็นนั้น เพิ่งได้รับการเรียกชื่อว่า
ESP เป็นพิษ ซึ่งเกมก็เป็นส่วนหนึ่งที่กระตุ้นให้โรคนี้เกิดขึ้น เพราะมีการดึงเอา ESP ออกมาใช้
รายละเอียดของสิ่งต่างๆนั้น ผมได้บอกกับเด็กหนุ่มจนหมด เพราะรู้สึกว่า เขาควรได้รับรู้ในฐานะน้องชาย
แต่ไม่คิดว่า จะยอมเอาตัวเข้ามายุ่งเกี่ยวกับแผนการนี้ด้วย นึกว่าจะเกลียดไอ้เกมนี้ เข้ากระดูกดำเสียอีก
“ฉันทำเพื่อพี่ต่างหาก...”
นั่นสินะ...เพื่อคนที่เรารัก ซึ่งพวกเราจะทำได้ทุกอย่าง แม้จะต้องฝืนใจตัวเอง หรือพบกับความยากลำบากใดๆก็ตาม
ก็จะก้าวต่อไปข้างหน้า วิ่งไปเรื่อยๆ แม้หนทางจะเต็มไปด้วยขวากหนาม ก็ยังจะวิ่งต่อไป
เพราะนั่น...เป็นสิ่งที่เลือกแล้ว...
++++++++++
ได้ยินเสียงเคาะประตู ก็เลยวางหนังสือในมือลง เพื่อรอว่า ใครจะเปิดประตูเข้ามาในห้อง
สิ่งที่เห็นก่อนคือ ดอกไม้หลากสีสันจำนวนมากถูกขนเข้ามาในห้อง พร้อมกับเหล่า GM ที่มาเยี่ยม
เสียงเซ็งแซ่ของผู้ใหญ่ที่นิสัยเด็ก ทำให้คนป่วยต้องห้ามปรามให้ลดเสียงลง เพราะกลัวจะรบกวนคนอื่น
“นี่ของคุณรีลิสฝากมาให้ครับ”
รีลิสเองก็มีงานด่วน ต้องบินไปต่างประเทศ ถึงอย่างนั้นก็ยังโทรกลับมาหาบ่อยๆ ไม่รู้จะเป็นห่วงอะไรหนักหนา
เขาโตแล้วนะ ดูแลตัวเองได้ แถมยังอยู่ในโรงพยาบาลด้วย ไม่ได้หนีไปไหนเสียหน่อย
“นี่ของ...”
“ส่วนนี่ก็...”
ชื่อของผู้คนที่ฝากของเยี่ยมมามากมาย ที่จริงก็รู้สึกว่า สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ แต่มันเป็นน้ำใจก็ต้องรับไว้
รายชื่อของผู้ส่งของเยี่ยมยาวเหยียด จนสุดท้าย ก็ได้ยินชื่อที่ทำให้นิ่งไป
“อันนี้ของโฮลี่ ออเดอร์”
ภาพที่เห็นตอนตัวเองกึ่งจะหมดสตินั้น เป็นความฝันหรือความจริงกันแน่ ไออุ่นจากร่างกายซึ่งโอบกอดไว้
ถ้อยคำที่กระซิบบอกข้างหูให้อดทนและพยายามนั้น เป็นแค่ภาพมายาที่มาจากความต้องการของตัวเองหรือเปล่า
แม้จะรู้ว่า เป็นเรื่องไม่สมควรที่จะรู้สึกแบบนี้ แต่ก็ดีใจ ที่ได้สัมผัส ได้ใกล้ชิดกันอีกครั้ง
“กลับก่อนนะครับ เดี๋ยวจะโดนกินหัว เพราะเข้างานสาย”
พวกลิงทโมนเดินขบวนกลับ ทิ้งของเยี่ยมและดอกไม้เอาไว้มากมาย จนคนป่วยไม่รู้ว่า ควรจะจัดการอย่างไร
โชคดีที่พยาบาลเข้ามาช่วยเหลือ เอาดอกไม้ไปใส่แจกัน ยกตะกร้าไปวางไว้ที่โต๊ะ
“อ๊ะ ขอโทษครับ ขอกล่องนั่นได้ไหมครับ”
“ค่ะ”
พยาบาลคนสวยยิ้มหวาน แล้วส่งกล่องที่หุ้มด้วยไหมสีน้ำเงินเข้ม ดูเหมือนของขวัญมากกว่าของเยี่ยม
ผมแกะห่อของที่โฮลี่ ออเดอร์ฝากมาให้ ส่วนหนึ่งเพราะนึกสงสัยว่า ข้างในมีอะไร ย่อมไม่ใช่ของกินหรือดอกไม้แน่ๆ
อีกอย่างหนึ่งคือ ผมรู้สึกติดใจมันอย่างประหลาด ราวกับว่าคำตอบของสิ่งที่อยากรู้นั้น อยู่ภายใน
ในกล่องมีปากกาด้ามสีเงินเป็นประกายแวววับ สลักชื่อผมอย่างสวยงาม มีกระดาษเล็กๆถูกพับสอดเอาไว้ในนั้น
ผมคลี่มันอ่าน แล้วก็ต้องยิ้มให้กับข้อความในนั้น
เจ้าปากกาสีเขียวน่าเกลียดนั่น มันเขียนไม่ออก ผมก็เลยโยนทิ้งไปแล้วนะครับ
ช่วยใช้อันนี้แทนเถอะครับ สวยกว่ากันตั้งเยอะ
โฮลี่ ออเดอร์
ระหว่างกำลังมองปากกาสีเงินแวววับในกล่อง เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เขาดูชื่อคนโทรเข้าก็นึกในใจว่า
ตายยากชะมัด กำลังแกะของที่ให้อยู่พอดีเลย
“ฮัลโหล...”
“ฮัลโหล เห็นของที่ผมให้หรือยังครับ”
เสียงของปลายสาย ท่าทางอารมณ์ดีแบบสุดๆ นี่อยู่ในเวลางานไม่ใช่เหรอ โทรมาได้ยังไงเนี่ย
ชอบบ่นว่า คนอื่นโดดงาน เอาเวลางานไปเล่น ตัวเองก็ใช้เวลางาน คุยโทรศัพท์เหมือนกันนั่นแหละ
“ท่าทางจะแพงนะ...ฉันว่า...”
“รับไปเถอะครับ ถือว่าแทนคำขอโทษที่ผมโยนอันเก่าทิ้งไป”
“จะว่าไป แล้วนายเอาของฉันไปทิ้งตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”
ไม่ต้องนิ่งคิดคำตอบของสิ่งที่อยากรู้ จากการจ้องมองเจ้าปากกาสีเงินนั่นแล้ว
ในเมื่อเจ้าตัวโทรมาหา ก็ถามมันเสียเลย แม้ว่าจะไม่ใช่คำถามตรงๆ แต่ก็คงได้รู้คำตอบที่อยากรู้
“เมื่อไหร่ ? ก็คืนที่คุณสลบอยู่ที่บริษัทน่ะสิครับ”
“หน่วยกู้ชีวิต เขาเอาของคุณยัดใส่มือผมหมดเลย นี่ถ้าผมเป็นโจร คุณโดนรูดบัตรจนหมดวงเงินแน่ๆ”
ทางนู้นกำลังหัวเราะรื่นเริงเพราะ พูดเรื่องล้อเล่น แต่ในใจกลับรู้สึกแปลกๆ มันเป็นสิ่งที่ยากจะบรรยาย
คำตอบออกมาแล้วว่า คืนนั้นเขาอยู่ที่นั่นด้วย ทั้งที่คิดเอาไว้ว่า รู้เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว แต่ตอนนี้กลับอยากรู้
อยากได้คำตอบที่ชัดเจนว่า ความอบอุ่นนั้นคือความจริงหรือความฝัน อยากรู้ แม้มันจะเป็นแค่เรื่องไร้สาระ
“คุณเกียร์ครับ ?”
เมื่อเห็นเงียบไป ปลายสายจึงเรียกชื่อ ดูน้ำเสียงแตกตื่นเล็กน้อย อาจคิดว่า ทางนี้โกรธจากเรื่องล้อเล่น
ที่จริงกำลังคิดหาคำถามอยู่ต่างหาก เพื่อให้ตัวเองได้คำตอบที่อยากรู้มากที่สุดในตอนนี้
“คืนนั้น นาย...อยู่กับฉันตลอดเลยเหรอ...”
“ครับ จนคุณรีลิสมา”
“นาย...”
สุดท้ายแล้วสิ่งที่อยากถาม ก็ไม่ออกจากปาก ทำให้การสนทนาทางโทรศัพท์เงียบไปพักหนึ่ง
น่าแปลกที่อีกฝ่าย ดันพูดขึ้นมา เหมือนจะรู้ว่า เขาอยากถามอะไร
“คุณตัวเย็นเฉียบเลยนะครับ วันนั้น ผมนึกว่า คุณจะไม่รอดซะแล้ว”
“ตอนที่จะอุ้มคุณลงไปเรียกแท็กซี่ ดีนะครับที่ราดิชมาห้ามไว้ ไม่งั้นคงติดแหงกอยู่กลางถนน”
ไม่ว่า จะรู้หรือไม่ มันทดแทนคำตอบแล้วว่า คนที่อยู่ด้วยคืนนั้น คนที่กระซิบปลอบโยนให้เข้มแข็ง
มิใช่แค่เพียงภาพมายาแห่งความฝัน แต่เป็นความจริงที่มาอยู่เคียงข้าง และโอบกอดเอาไว้
แล้วจะให้ฉันเลิกคิดถึงนายได้อย่างไร ในเมื่อนายชอบโผล่มา ในช่วงเวลาที่ต้องการใครสักคนเสมอ
...สุดท้าย...ฉันก็ยังรักนาย...
หลังจากนั้นโฮลี่ ออเดอร์ก็บ่นเรื่องที่ทำงานนิดหน่อย ตามด้วยดักคอไม่ให้ออกจากโรงพยาบาลก่อนกำหนด
บอกว่า ช่วงนี้ คงไปเยี่ยมไม่ได้ แต่ถ้าไม่ดื้อออกมาก่อน ก็คงหาเวลาไปเยี่ยมได้ในที่สุด
นั่นทำให้ ต้องรีบบอกว่า ไม่เห็นต้องมาเลย ไว้เจอกันที่บริษัทก็ได้นี่นา
“ก็ผมอยากไปเยี่ยมคุณนี่ครับ”
เอาเข้าไป บทจะดื้อก็ดื้อขึ้นมาเฉยๆ ไม่สนใจที่คนอื่นเขาพูดเลย แม้แต่นิดเดียว จะมาเยี่ยมทำไมให้เสียเวลา
แถมยังต้องซื้อของเยี่ยมมาให้เปลืองเงินทองอีก สู้กลับบ้านไปนอน ไปพักผ่อน หรือไปโทรหาเมียไป
“นายนี่นะ...”
ยังไม่ทันจะพูดจบ ปลายสายก็พึมพำอะไรบางอย่างเบาๆ แล้วสายก็ถูกตัดไป ราวกับว่า ปลายสายกดวาง
เขานั่งนิ่ง ทบทวนสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ แม้จะแผ่วเบา แต่ก็พอจับความได้ว่า พูดอะไร
ไม่น่าจะเป็นไปได้ ประโยคเดียวกับที่เขาได้ยินในความฝัน เมื่อไม่สามารถขยับแขนขาหรือส่วนใดได้
แต่กลับรู้สึกว่าตัวเบาหวิว ราวกับจะล่องลอยขึ้นสู่เบื้องบน ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ถ้อยคำที่กระซิบแผ่วเบา
และรู้สึกถึงสัมผัสอันอ่อนโยนตรงหน้าผาก
...ผมรักคุณ...
คำพูดนี้ คงมีแต่ในความฝันเท่านั้น จึงมีโอกาสได้ยิน...อีกครั้ง...
++++++++++
เขียนเรื่องนี้จนมาถึง ตอน 7 (ของเนื้อเรื่องหลัก) แล้ว ไม่น่าเชื่อเลย ยังไงก็ขอขอบคุณท่าน 1234 สำหรับคอมเมนต์นะคะ
และขอบคุณทุกท่านที่คลิกเข้ามาอ่านคู่แรร์แสนแรร์ที่แต่งเข้าไปได้ตั้ง 9 ตอน (รวมตอนพิเศษ)
มาตอนนี้ในที่สุด โฮลี่ ออเดอร์ก็นอกใจเต็มที่และตกอยู่ในสถานการณ์ต้องเลือกจนได้
ตอนหน้าจะเริ่มเชื่อมกับตอนปัจจุบันของ ExE จะพยายามให้จบภายในตอนหน้านะคะ
อย่างไรก็ตาม ตอนที่จะโพสต่อไป ก็จะเป็นตอนพิเศษ ส่วนจะเป็นตอนของใคร ก็ติดตามกันนะคะ
ถ้าใครแวะเวียนมา ก็ช่วยทิ้งคอมเมนต์ไว้บ้างนะคะ ^0^ ใกล้จะจบแล้ว
ความคิดเห็น