คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : I wish everything hadn’t changed
Title: I wish everything hadn’t changed
Author: Monochrome bird
Category: Drama เป็นหลัก แต่แบ็คกราวน์อยากให้มีกลิ่นอายฮาเฮ
Pairing: โฮลี่ออดอร์ x คุณเกียร์
Rating: PG-13 ใสกิ๊ก
Disclaimer: ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นของคุณภานุวัฒน์ค่ะ พวกเราแค่ยืมมาจิ้นเล่นเท่านั้น
Author notes: เขียนตอนนี้เสร็จเร็วจริงๆ ไม่รู้ว่า ทำไม
++++++++++
เรื่องราวทุกอย่างเริ่มขึ้น...และจบลง...
มีเริ่มก็ต้องจบ...เมื่อจบก็เริ่มอีกครั้ง...
สำหรับตัวผมเองในตอนนี้...
...ไม่เคยคิดว่าเลยว่า...ความวุ่นวายจะเริ่มต้นอีกครั้ง...
++++++++++
ที่จริงชีวิตของผมก็สงบสุขดีมาเป็นเวลาเกือบสี่ปี หลังจากแต่งงาน หน้าที่การงานก็ยุ่งวุ่นวาย เหมือนเดิม
เพราะที่บริษัทชอบให้มีการพัฒนา แต่โดยรวมก็เป็นไปอย่างราบรื่น การย้ายมาอยู่บ้านกับศรีภรรยาที่แม้จะชอบจู้จี้
แต่ก็เป็นคนละเอียดอ่อนและเอาใจใส่ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้น้องชายเธอจะกวนประสาทไปบ้าง แต่ที่จริงก็แค่หวงพี่
แถมยังเป็นคู่แข่งในการเล่นเกมตัวฉกาจ จนเล่นเกมด้วยกันทีไรต้องลืมเวลา ไม่ยอมเลิกจนโดนคุณนายเขามาดุ
“โฮลี่ ออเดอร์ อันนี้เอกสารที่ขอไป”
“ขอบใจ”
ผมรับเอกสารมาจาก GM รุ่นสอง ไม่ใช่พวกแรกๆที่เข้ามาพร้อมกันกับผม แต่เป็นพวกหลังๆที่เอาการเอางานมากขึ้นกว่า
ฝูงลิงทโมนผู้ไม่ยอมทำงานเอกสาร เมื่อก่อนจะชอบเรียกกันว่า GM หน้าใหม่ แต่ตอนนี้ทำงานมา 4 ปีแล้ว
ไม่เรียกว่า หน้าใหม่แล้วล่ะมั้ง
ผมเปิดเอกสารในซอง เพื่อสำรวจดูความเรียบร้อยทั้งหมดอีกครั้ง ลายเซ็นของหัวหน้านั้นปรากฏครบทุกหน้าที่ต้องการ
จะว่าไป พวกเขาเองก็แทบไม่ได้คุยกันนอกเกมเลย พักหลังๆ เจอกันแค่ที่ฐานทัพของ GM เท่านั้น
ถ้าเป็นเรื่องเอกสารที่ต้องให้เซ็นแล้ว ก็จะฝากคนอื่นไป ไม่เคยพบหน้าตรงๆกันสักครั้ง
...เรียกว่า...กลัว ได้หรือเปล่านะ...
ถึงเวลาจะผ่านมานานเท่าไร เขาก็เชื่อว่า ตัวเองยังไม่กล้าพอจะอยู่กับคนคนนั้นสองต่อสอง
เพราะกลัวจะมีอะไรไม่ดีไม่งามเกิดขึ้น แถมไม่อยากไปเจอหน้าเท่าไร กลัวเห็นสภาพผอมๆโทรมๆ แล้วจะหงุดหงิด
พาลอยากจะลากตัวไปกินข้าวกินปลาซะบ้าง หรือไม่ก็ลากไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจเช็ค
ส่วนคุณรีลิสเอง พวกเราก็คุยกันตามปกติ เหมือนคนรู้จัก เพียงแต่ห่างเหินกันมาสักหน่อย เพราะไม่ค่อยมีเหตุให้ได้คุยกัน
ไม่แปลกอะไร เพราะเมื่อก่อน เธอมักจะถามผมเรื่องคุณเกียร์เสมอ ตอนนี้ผมไม่มีข้อมูลเรื่องนั้นแล้ว
พวกเราก็เลยไม่ได้ติดต่อกันอีก ทักทายกันในฐานะ key master กับ Game master เท่านั้นเอง
“โฮลี่ ออเดอร์ เย็นนี้ไปก๊งกันหน่อยไหม ?”
“ไม่ล่ะ เย็นนี้ไม่ได้”
“เป็นเด็กดี กลับบ้านเร็วอีกแล้วนะ คุณภรรยาไม่หายไปไหนหรอก”
ผมหัวเราะ เพราะหลายคนชอบเข้าใจว่า ผมเป็นสามีที่ดี รีบกลับบ้านทุกครั้งที่งานเลิก แต่จริงๆแล้วไม่ใช่หรอก
ผมไม่ค่อยอยากพบปะผู้คนสักเท่าไร ไปงานเลี้ยงสังสรรค์ ถึงจะแค่กินเหล้าในหมู่เพื่อน ก็รู้สึกอึดอัดแปลกๆ
เพราะฉะนั้น ผมก็เลยขอตัวกลับบ้านทุกครั้ง ที่จริงแต่งงานนี่มันก็สะดวกดีนะ หาข้ออ้างง่าย
“จะว่าไป เธอคนนั้นก็อุตส่าห์ลาออกไปทำหน้าที่แม่บ้านเชียวนะ”
นั่นทำให้ผมแค่นยิ้มฝืนๆอีกครั้ง เพราะไม่มีใครรู้ความจริงว่า ประมาณครึ่งปีก่อน ภรรยาผมสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง
หมอเองก็งงๆกับสาเหตุของความอ่อนเพลีย เลยโดนผมและน้องชายเธอ ขอร้องแกมบังคับให้มาพักอยู่กับบ้าน
จนกว่าจะแข็งแรงอย่างเดิม ซึ่งเธอก็บ่นเช้าเย็นว่าเบื่อ แต่ที่จริงเธอก็ทำงานอดิเรกหลายอย่าง ทั้งปลูกต้นไม้ดอกไม้
ทำงานประดิษฐ์นู้นนี่ ไม่น่าจะมีเวลาว่าง ให้เบื่อด้วยซ้ำ
“แล้วเมื่อไหร่จะทำการบ้านให้สัมฤทธิ์ผล ?”
การแซวเรื่องนี้ดำเนินมานาน จนจำไม่ได้ว่า ถูกถามเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว บางคนก็แค่แซวเอาสนุก แต่บางคนก็บอกผมว่า
มันเป็นเรื่องสำคัญจริงๆนะ ลูกจะทำให้ครอบครัวสมบูรณ์ เป็นสายโซ่ที่คล้องใจพ่อกับแม่เอาไว้ให้อยู่กันนานๆ
ที่จริงโดยส่วนตัว ผมยังไงก็ได้ แต่เธอยังไม่อยากมีในตอนนี้ พวกเราก็เลยคุมกำเนิดอยู่ เธอบอกว่า รอให้น้องชายเรียนจบ
หางานทำให้เรียบร้อย ถึงจะพร้อมเลี้ยงใครอีกคนหนึ่ง ที่จริงมันก็อยู่ตั้งปี 4 แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงมากก็ได้
แต่ผมไม่อยากคัดค้านอะไร ให้เธอทำหน้าที่ของพี่สาวให้ดีที่สุดก็แล้วกัน
“ปล่อยๆมันกลับบ้านไปเถอะ ดูดิยืนนิ่งตอบอะไรไม่ถูกแล้วนั่น”
“เดี๋ยวเมียมันตามมาแหกอกแกที่นี่นะเว้ย โทษฐานไปรังแกสามีเขา”
ผมขอตัวกลับก่อนอีกครั้ง แล้วตรงกลับบ้านไป ระหว่างรอลิฟท์ ผมมองไปยังบานประตูไม้สีน้ำตาลที่เป็นห้องทำงานของ
หัวหน้า GM แล้วนึกถึงช่วงเวลาที่เคยนั่งทำงานอยู่ในนั้นทุกวัน ไม่เว้นแม้กระทั่งเสาร์อาทิตย์
บานประตูนั้นอยู่ๆ ก็ถูกเปิดออก ผมรู้สึกได้ว่า ตัวเองกลั้นหายใจเล็กน้อย ราวกับลุ้นระทึก
แต่คนที่ก้าวออกมานั้น ก็เป็นคนที่ผมเห็นหน้าอยู่ทุกวัน เมื่อเช้าก็เพิ่งรับเอกสารมา
“คิดบ้าอะไรของเราเนี่ย...”
หลบหน้า แต่ก็อยากเจอ...เหมือนรอโชคชะตาลิขิต...
ทั้งที่เรื่องราวมันก็ผ่านมาตั้งเกือบ 4 ปีแล้ว ทำไมทุกครั้งที่มองเห็นประตูห้องนั้น ทุกครั้งที่ได้คุย
รู้สึกเหมือนยังหลงเหลืออะไรบางอย่างอยู่ในใจ เป็นสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ว่า มันคืออะไร
ประตูลิฟท์เปิดออกทำให้ความคิดฟุ้งซ่านของเขาหยุดลง เอาล่ะ กลับดีกว่า
++++++++++
พอเปิดประตูเข้ามาในบ้าน ก็เห็นใครคนหนึ่งนั่งกินกาแฟอยู่ในห้องรับแขก พร้อมกับดูทีวีไปด้วย แน่นอนว่า ไม่ใช่แขก
เป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดีของบ้านนี้ เพียงแต่ไม่ได้เจอกันทุกวัน เพราะเจ้าตัวไปอยู่หอพัก
“กลับมาเร็วจังนะ งานไม่มีทำเหรอ ?”
แม้แต่คำทักทายกวนๆ ก็ยังเป็นมารยาทระหว่างเราสองคน ถ้าวันหนึ่งพูดจากันดีๆก็คงรู้สึกจั๊กจี้พิลึก
เพราะงั้นกัดกันแบบนี้ไปตลอดชีวิตที่ยังเหลืออยู่ล่ะ ดีแล้ว
“มากันพร้อมหน้าแล้ว กินข้าวเลยไหม”
หญิงสาวคนเดียวของบ้าน เดินออกมาจากครัว พร้อมเอ่ยถาม แน่นอนว่าสองหนุ่มส่ายหน้าทันที
นี่มันเพิ่งห้าโมงครึ่งเท่านั้นเองนะ ขืนกินไปตอนนี้ เดี๋ยวก็ต้องหาอะไรใส่ท้องตอนดึกๆ แล้วตัวก็จะเจริญเติบโตออกทางด้านข้าง
“งั้นก็ห้ามเล่นเกมนะ เล่นกันทีไร ไม่ยอมเลิกทุกที”
ก่อนที่พวกผมจะอ้าปากเถียง เรียกร้องสิทธิของบุรุษอันพึงมีในบ้านอันมีสตรีเป็นผู้ปกครอง โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
ฟังเสียงเรียกเข้าเฉพาะตัว ก็รู้ว่า เป็นที่ทำงาน ผมรับสายอย่างเหนื่อยหน่าย แล้วก็รับทราบมาว่า มีงานด่วนนิดหน่อย
ถ้าทางนู้นพูดว่า นิดหน่อย แปลว่ากินเวลาสัก 4-5 ชั่วโมง ผมคงไม่ได้กินข้าวพร้อมกับสองพี่น้องแล้วล่ะ
“มีงาน โทษทีนะ”
ผมบอกภรรยา แล้วจูบเบาๆที่กลางหน้าผาก ส่วนเกินอีกคนในห้อง ยิ้มแบบหมั่นไส้ แต่เนื่องจากรักพี่สาวมาก ก็เลยไม่ออกปากแซว
อะไรที่พี่ตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้อง ผมหันไปท้าแข่งเกมตอนวันหยุด ซึ่งที่จริงในความหมายของพวกเรา มันก็คือการพูดเชิงบอกลา
หรือขอตัวนั่นแหละ แต่พวกเราไม่เคยพูดกันดีๆได้
“ระวังตัวนะ อย่าหักโหมล่ะ”
ภรรยาของผมก็เป็นภรรยาที่ดี คอยเป็นห่วงสารพัด กลัวว่าผมจะทำงานหนักจนล้มป่วย เพราะเมื่อก่อน เธอไม่รู้ว่า แผนก GM
ชอบทำงานล่วงเวลาจนเป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นจากเมื่อก่อนมาก พวกเราทำงานกันเหมือนคนทั่วไป
เพราะได้คนมาช่วยงานเยอะ แต่ก็ไม่แน่ เหตุผลที่งานลดลง อาจเป็นเพราะหัวหน้าโกยงานไปทำเองก็ได้
...คนคนนั้น...มีนิสัยแบบนั้นนี่นา...
ผมถอนหายใจอีกครั้ง ให้กับนิสัยชวนให้เป็นห่วงของใครคนหนึ่งและถอนหายใจให้กับตัวเองที่ยังคิดถึงคนคนนั้นอยู่นั่นแหละ
เมื่อไหร่ชีวิตหรือความทรงจำที่เกี่ยวกับคนคนนั้นจะไม่มีผลต่อความคิดของผมเสียที
คิดไปคิดมา ผมก็ขับรถมาจนถึงบริษัท เลี้ยวรถเข้าไปจอดในที่ประจำ ก่อนจะรีบเดินเข้าตึก
งานที่ว่าคือ การประชุมด่วน ซึ่งพวกเราแทบไม่ได้ประชุมกันโดยใช้ตัวจริงมานาน เพราะส่วนใหญ่ถ้าจะเรียกประชุมนอกเวลางาน
มักให้ล็อกอินเข้าไปประชุมในเกม จะได้ไม่ต้องถ่อร่างมาถึงบริษัท ผมมองไปรอบๆก็เห็นผู้คนจากหลายแผนก
ดูท่าทางนี่คงไม่ใช่เรื่องของ GM เพียงอย่างเดียวแล้ว
ร่างที่มีผมสีดำสนิทคุ้นตา ยังอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตกับเนคไทแบบเดิม ต้องยอมรับว่า ไม่ได้เห็นตัวจริงที่ไม่ใช่ตัวละครในเกมมานาน
จนรู้สึกแปลกตาที่ไม่ได้เห็นอีกฝ่ายสวมเครื่องแบบของ GM ผมจ้องมองร่างนั้นสั่งงานคนนู้นคนนี้ แล้วรู้สึกแปลกใจขึ้นมา
เพราะไม่เห็นบางอย่างที่คุ้นเคย
รอยยิ้ม...เลือนหายไป...
นอกจากจะไม่มีรอยยิ้มประดับอยู่บนริมฝีปากแล้ว ก็ยังเห็นขมวดคิ้ว แถมท่าทางการสั่งงานก็ดูแข็งๆมีอำนาจ มากกว่าจะใช้
ความใจดี ดังแต่ก่อน น้ำเสียงที่คุณพูดนั้น ยังเป็นเสียงทุ้มต่ำลื่นหู หากแต่มันไม่ได้อ่อนโยนเช่นที่เคยได้ยิน
คุณเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ...
ผมเอง...ก็ไม่ได้สังเกตสีหน้าท่าทางของคุณมานานเท่าไรแล้วนะ...
ทั้งที่พวกเราไม่ได้มี...ความสัมพันธ์พิเศษใดๆต่อกัน...
แต่ทำไม...ผมรู้สึกโหวงๆในตัว...เมื่อเห็นคุณเปลี่ยนแปลงไป...
...มันคล้ายจะเป็น...ความรู้สึกผิด...
กราฟเส้นและแผนภูมิต่างๆ อยู่ในเอกสารปึกหนาที่ทุกคนได้รับแจก มันเป็นรายงานรวมของหลายแผนกที่กล่าวถึง
ความเคลื่อนไหวของเกมในแต่ละมุมมอง ผมพลิกหน้าเร็วๆไปอ่านเอกสารชี้แจงของ GM มันทำได้ครบถ้วนและ
สวยงามกว่าที่คิดเอาไว้ คงเป็นเพราะ GM ในตอนนี้ มีพวกเอาการเอางานอยู่มากขึ้น
“ขอโทษที่ต้องเรียกทุกคนมากลางดึก เผอิญมีเรื่องด่วน”
“พรุ่งนี้จะมีคนจากส่วนกลางมาตรวจงาน”
เสียงของผู้คนที่แสดงความตกใจ นานๆครั้งจะมีคนจากต่างประเทศบินตรงมาตรวจสอบงาน ส่วนมากก็ปล่อยให้บริหารกันเอง
แต่บางครั้งบางคราวก็จะแวะมาเยี่ยมเยียนโดยไม่บอกล่วงหน้า ไม่ก็บอกกะทันหันเหมือนคราวนี้
หลังจากฝ่ายบริหารชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการดูแลผู้ตรวจการและการตระเตรียมข้อมูล สำหรับรายงาน
เวลาก็ผ่านไปเกือบ 6 ชั่วโมง แล้วการประชุมก็ยุติลง
ผมมองนาฬิกาที่เข็มสั้นเกือบจะแตะเลขสิบสอง บริษัทที่ไหนเขาใช้งานพนักงานหนักขนาดนี้กันนะ
แต่เอาเถอะ นานๆครั้ง ถ้าเรียกประชุมบ่อยขนาดนี้ คงต้องขอขึ้นค่าโอทีแล้วล่ะ คิดจะโทรกลับไปบอกที่บ้านว่า กำลังจะกลับ
แต่ก็ชั่งใจ เพราะกลัวว่า จะเข้านอนกันหมดแล้ว ระหว่างที่นิ่งคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงทักทาย
“โฮลี่ ออเดอร์ใช่ไหม ?”
ผมมองผู้ชายตรงหน้าแล้วพยายามนึกว่า คนคนนี้เป็นใคร แต่ก็นึกไม่ออก จึงได้แต่ยิ้มแล้วกล่าวทักทายออกไปสั้นๆ
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นว่า ผมนึกไม่ออกว่าเขาเป็นใคร ก็เลยแนะนำตัวเองสั้นๆ
“ฉัน ออลสัน”
พอพูดชื่อก็นึกขึ้นมาได้ว่า เคยเจอกันในงานเลี้ยงใหญ่ของบริษัทหลายครั้ง แต่ก็คุยกันไปแค่สองสามประโยค ทักทายตามมารยาท
ที่พึงมี ใครจะไปคิดว่า อีกฝ่ายจะดันจำชื่อผมได้ แถมยังเข้ามาทักก่อน
“พอมีเวลาไหม ?”
จะเที่ยงคืนแล้วนะครับ คุณน่าจะพอเดาได้ว่า ผมมีหรือไม่มีเวลา แน่นอนว่า ผมไม่ติดธุระอะไรตอนเที่ยงคืนหรอก
แต่มันควรจะเป็นเวลาที่พวกเราแยกย้ายกันกลับไปนอนไม่ใช่หรือครับ
“ครับ มีธุระอะไรกับผมหรือครับ”
“เราเดินไปคุยไปเถอะ จะได้รีบกลับบ้าน”
ผมรีบก้าวเท้าตามท่านผู้บริหารที่เดินจ้ำพรวดๆ เหมือนเสียดายเวลา
ถ้าท่านรีบกลับบ้านขนาดนั้น วันพรุ่งนี้ เราค่อยมาคุยกันก็ได้ครับ ผมไม่หนีไปไหนหรอก พรุ่งนี้ผมก็ยังต้องมาทำงานเหมือนเดิม
“นายรู้จักปณิธานของผู้สร้างไหม”
“ผู้สร้างเกมหรือครับ ?”
“ใช่ เกมที่สุดยอดอย่าง Neo universe ไม่ใช่แค่การเล่นสนุก”
จากที่ก้าวเร็วๆเหมือนจะรีบไปไล่ควายที่ไหน เจ้าตัวก็ดันหยุดเดิน จนคนตามหลังแทบจะเดินชน โชคดีที่เบรกตัวเองไว้ทัน
อีกฝ่ายแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ราวกับว่ามีอะไรบางอย่าง บรรยากาศเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง จนน่าอึดอัด
“มันมีอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น อยู่ข้างใน”
“ไม่สนใจ ค้นหามันพร้อมกับฉันหรือ”
ผมไม่แน่ใจว่า กาแฟของการประชุมที่เสิร์ฟเมื่อครู่ ผสมยาบ้า เพื่อกระตุ้นสมองของพนักงานด้วยหรือเปล่า คุณท่านถึงได้หลอน
พูดจาแปลกๆออกมา เกมก็คือเกม พวกเรามาทำงานให้กับเกม จะค้นหาสมบัติสุดขอบโลกอะไรกัน
“ผมว่า คืนนี้ก็ดึกแล้ว พวกเราแยกย้ายกันกลับบ้านเถอะครับ”
“นายคิดว่า มันไร้สาระสินะ”
คิดสิครับ เอ๊ย เปล่าครับ ผมแค่คิดว่า คุณเมาหรือเปล่า ไม่ก็ทำงานหนักเกินไปจนหลอนตัวเองไปต่างๆนานา
มันก็แค่เกมครับ ไม่ต้องรัก ไม่ต้องผูกพัน คิดถึงมันลึกซึ้งมากก็ได้
“แล้วสักวัน นายก็จะรู้ว่ามันล้ำลึก ยิ่งใหญ่”
“แล้วก็...อันตราย...”
ผมเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของคนพูดที่ยังคงมองขึ้นไปยังท้องฟ้าเบื้องบน ราวกับคนที่เขาพูดด้วยนั้น ไม่ใช่ผม
แต่เป็นใครสักคนที่อยู่ข้างบนนั้น ดวงตาที่สงบนิ่ง ทำให้รู้สึกว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่แทนที่ในหัวผมจะคิดถึงสมบัติหรือ
สิ่งยิ่งใหญ่ที่คนตรงหน้ากล่าวถึง คำที่ดังก้องอยู่ในหัว กลับเป็นแค่คำสั้นๆ
...อันตราย...
...ทำไมเขาถึงรู้สึกติดใจกับคำคำนี้...
พอหลุดพ้นจากการสนทนาอันแปลกประหลาดกับท่านผู้บริหาร ผมก็รีบตรงดิ่งลงมายังลานจอดรถ เพื่อขับรถกลับบ้าน
หงายนาฬิกาข้อมือดู ก็พบว่า ปาเข้าไปเที่ยงคืนครึ่งแล้ว พรุ่งนี้ผมลางาน เนื่องจากง่วงนอนได้ไหมครับ
แล้วขาทั้งสองก็ชะงัก เมื่อเห็นใครคนหนึ่งกำลังยืนอยู่แถวนั้น คนที่เขาไม่อยากเจอที่สุดในโลก ด้วยเหตุผลหลายอย่าง
“ยังไม่กลับเหรอครับ คุณเกียร์”
แทนที่จะทำเฉยๆ หลบเลี่ยงไป ปากดันเอ่ยทักทายออกไปเสียอย่างนั้น เบื่อตัวเองจริงๆเลย
ร่างนั้นหันหน้ามาอย่างช้าๆ ผมนึกในใจว่า คงเป็นตัวจริงนะ ไม่ใช่หันมาหน้าเละ เหมือนในหนังสยองขวัญ
แล้วผมก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยหันกลับมามองผม แต่เป็นการมองนิ่งเหมือนไม่ได้มีความรู้สึกอะไร
หายไปจริงๆด้วย...มันหายไปแล้ว...
รอยยิ้มที่มักแจกจ่ายให้กับคนรอบข้าง ทุกครั้งที่มีคนเอ่ยทักทาย ในตอนนี้กลับไม่มีให้เห็น แม้เศษเสี้ยว
คงเพราะเหนื่อยสินะ ต้องเป็นเพราะเหนื่อยแน่ๆ ผมถึงได้รู้สึกว่า คุณมีออร่าดำทะมึนมากกว่าเจิดจ้าแบบเมื่อก่อน
“นายนั่นแหละ ยังไม่กลับอีกเหรอ ?”
แต่นิสัยตอบคำถามคนอื่นด้วยคำถามนี่ก็ยังเหมือนเดิม เพียงแต่น้ำเสียงและสีหน้าเวลาถาม น่ากลัวกว่าเดิมขึ้นหลายเท่า
ผมกำลังโดนผีหลอกอยู่หรือเปล่า ตัวจริงแน่นะ ? ผมว่า ตอนผมทักทายคุณในเกม คุณไม่ได้เปลี่ยนไปขนาดนี้
“กำลังจะกลับแล้วครับ คุณล่ะครับ ?”
“ลงมาเอาของที่รถ เดี๋ยวจะกลับขึ้นไปทำงานต่อ”
ส่วนนิสัยบ้างานก็ยังแก้ไม่หายเหมือนเดิม เพียงแต่รูปประโยคที่ใช้ มันดูห้วนๆเหมือนตัดรอนกันชอบกล
ตอนที่พวกเราเจอกันในเกม ไม่เห็นคุณพูดจาน่ากลัวแบบนี้เลยครับ วันนี้เกิดอะไรขึ้นหรือครับ
ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้น คนตรงหน้าก็เอ่ยปากขอตัว กำลังจะเดินผ่านผมไป เพื่อกดลิฟท์ไปยังชั้นบน
ผมมองตามร่างนั้นแล้วนึกในใจ ทำ...ไม่ทำ...ทำ...ไม่ทำ จากนั้นก็กลั้นใจ เอาวะ !! ตายเป็นตาย !!
ช่วงเวลาที่คุณเกียร์เดินผ่านไป ผมดึงตัวคนคนนั้นมากอดจากทางด้านหลัง
“โฮลี่ออเดอร์ !!”
เสียงนั้นแสดงถึงความตกใจมากกว่าโมโห ทำให้นึกถึงแต่ก่อนที่ผมเคยได้ยินคนคนนี้เรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงแบบนี้
โดยเฉพาะเวลาที่ถูกขโมยจูบ มันเหมือนเป็นการตำหนิติเตียน แต่ไม่ได้จริงจังนัก ครั้งนี้แค่กอดคุณ คงไม่เป็นอะไรมั้ง
“คุณเป็นอะไรครับ”
“ไม่ได้เป็นอะไร !!”
“คุณเป็นอะไรครับ”
“บอกว่า ไม่ได้เป็นอะไรไง !!”
ผมกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น เมื่ออีกฝ่ายดิ้นรนเล็กน้อย ทำไมผมถึงรู้สึกว่า คุณกำลังร้องขอความช่วยเหลือ
เหมือนคุณกำลังเหนื่อย และต้องการคนดูแล ผมไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมครับ
“ปล่อย...”
“ไม่ครับ...จนกว่าคุณจะยอมบอก...”
“คุณเป็นอะไรครับ ?”
เหมือนคนบ้าที่ยืนยันคำถามเดิมซ้ำๆ ทั้งที่อีกฝ่ายตอบมาอย่างชัดเจนแล้วว่า ไม่เป็นอะไร
เหมือนคนโง่ที่เฝ้าถาม เพื่อให้ได้คำตอบที่ตัวเองอยากได้ โดยไม่สนใจว่า ความจริงคืออะไร
“เขาบอกให้ปล่อย ก็ปล่อยสิ”
เสียงเรียบๆแต่ทรงอำนาจ มาพร้อมกับปึกม้วนกระดาษในมือที่ฟาดเข้าให้บริเวณหัวของผม
คุณหนูผู้ดำรงตำแหน่ง key master ยืนสงบนิ่ง จ้องมองเขาด้วยท่วงท่าสง่างาม หากแต่ปล่อยออร่าคุกคามอย่างยิ่ง
ระหว่างที่กำลังงุนงงว่า คุณรีลิสโผล่มาจากไหน คนในอ้อมแขนก็อาศัยจังหวะ หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
“คุณรีลิสไม่น่ามาขัดจังหวะเลย ผมกำลังจะได้คำตอบอยู่แล้วเชียว”
“คำตอบอะไรของนาย”
“คุณไม่รู้สึกเหรอครับว่า คุณเกียร์แปลกๆ”
หลังจากอธิบายความรู้สึกที่เห็นความเปลี่ยนแปลง ทั้งน้ำเสียง สีหน้า ท่าทาง รวมทั้งรอยยิ้ม ผมก็เห็นเธอถอนหายใจออกมาตรงๆ
แล้วตวัดสายตาจ้องผมเหมือนจะโมโห
“นายมันก็ดีตรงนี้แหละ สังเกตเห็นเรื่องแบบนี้เร็วกว่าคนอื่น”
“แต่อย่าลืมว่า นายไม่มีสิทธิไปยุ่งอะไรกับเขาอีกแล้ว”
คำพูดนี้ของรีลิสทำให้ผมสะอึกไปเหมือนกัน จะว่าไปผมทำอะไรอยู่ ทำไมไม่รีบกลับบ้านเสียที
เพราะว่าตอนนั้นในหัวมันมีแต่เรื่องของคุณ อยากจะกอดคุณเอาไว้ ลากคุณกลับบ้านให้ไปพักผ่อน
แต่ใช่ คุณรีลิสพูดถูก นั่นไม่ใช่เรื่องของผมอีกแล้ว ผมไม่มีสิทธิจะทำแบบนั้น
“เข้าใจแล้วครับ งั้นผมขอตัว”
“แต่ยังไงพรุ่งนี้ก็ช่วยดูๆเกียร์หน่อยนะ”
คำพูดนั้นทำให้ผมนึกสงสัย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามออกไปเป็นคำพูด เพียงแค่ยืนนิ่ง แล้วมองตรงไปข้างหน้าราวกับต้องการคำอธิบาย
เพิ่มเติม ซึ่งโชคดีที่หญิงสาวตอบออกมาตรงๆ
“ช่วงนี้ทำงานหนัก กลัวว่าจะวูบไปอีก”
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ดูแลทีนะ”
นั่นสิครับ...แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหรือครับ...
ทำไมผมถึงรู้สึกว่า...คุณรู้...
เพียงแค่คุณ...ไม่บอกเท่านั้นเอง...
++++++++++
ตอนผมกลับมาถึงบ้าน ก็เห็นไฟยังเปิดสว่างอยู่ นี่มันเลยตีหนึ่งแล้วนะ ยังไม่นอนกันอีกเหรอ
เมื่อเปิดประตูเข้าไปในบ้าน ก็เห็นพ่อน้องชายนอนเอกเขนกดูรายการโทรทัศน์อยู่บนโซฟา
ยังไม่ทันได้ทักทายด้วยการปะทะคารมตามธรรมเนียม คนที่นอนดูทีวีอยู่ ก็เอานิ้วชี้ขึ้นไปด้านบน
ผมพยักหน้ารับว่า เข้าใจ แล้วรีบเดินขึ้นไปที่ชั้นสองของบ้าน
การที่พวกเราไม่พูดกัน บางครั้งก็เป็นการหลีกเลี่ยง การต่อปากต่อคำที่ทำให้เสียเวลา เพราะลองได้มีใครเริ่มพูดแล้ว
คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ตอบกลับ แล้วมันก็จะกินเวลายาวนานพอสมควร กว่าจะสงบศึกกันได้
ฉะนั้นเมื่อใช้สัญญาณมือแทนการคุย มันบ่งบอกถึงสถานการณ์รีบด่วน
“ยังไม่นอนอีกเหรอ”
ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องนอน แล้วเห็นคุณภรรยายังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง เธอหันมายิ้มให้ผม เอ่ยแก้ตัวว่า มันสนุก
อ่านแล้ววางไม่ลง แต่ความจริงพวกเราทุกคนก็รู้ว่า เธอนั่งรอผมกลับบ้านอยู่ ส่วนคุณน้องที่นั่งถ่างตาดูทีวีอยู่ข้างล่าง
ก็แค่จะหาข้ออ้างอะไรสักอย่าง เพื่ออยู่เป็นเพื่อนพี่สาว
“แผนก GM นี่ใช้งานกันหนักจริงๆ”
แน่ล่ะ เพราะฝ่ายเทคนิคที่เธอเคยอยู่ เป็นแผนกที่เลิกงานและเข้างาน ตรงเวลาที่สุดในบริษัท แต่ยังไงซะ วันนี้ก็พิเศษ
เพราะผมเองก็เห็นฝ่ายเทคนิคมานั่งง่วงๆในที่ประชุมหลายคนอยู่
“ระวังจะไม่สบายนะ”
เธอเขย่งตัวขึ้น เอามืออังหน้าผากผมเหมือนต้องการตรวจดูว่า ยังปกติดีไหม ซึ่งผมก็ถือโอกาสรวบตัวเธอเข้ามากอด แล้วจูบที่
หน้าผากด้วยความรักใคร่ แล้วไล่ให้ไปนอนก่อน เดี๋ยวผมอาบน้ำเสร็จ ก็จะเข้านอนเหมือนกัน
ถึงปากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ใจก็รู้ดีกว่า เธอต้องนั่งรอผมแน่ๆ ก็เลยรีบๆอาบน้ำ จะได้เข้านอนกันเสียที
“พรุ่งนี้มีคนมาตรวจงานน่ะ”
“จริงเหรอ ?”
เธอดูตื่นเต้นไม่น้อย เพราะอย่างที่บอกไป นานๆครั้งถึงจะมีคนมาตรวจงานสักหน เธอรีบบอกว่า ฝ่ายเทคนิคต้องดีใจมากแน่ๆ
เพราะผู้ตรวจการมักมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ ที่ทำให้เกมสนุกสนานยิ่งขึ้น แต่ที่น่าเบื่อก็คือ ผู้ตรวจการจะมีปรับแต่งเกม ให้
เป็นไปตามที่กำหนดไว้
“ระบบ local ไม่ได้ทำให้พวกเราปรับแต่งได้อย่างอิสระรึ ?”
ผมถามด้วยความสนอกสนใจ เธออธิบายให้ฟังว่า ฝ่ายเทคนิคมีหน้าที่หาลูกเล่นแปลกๆใหม่ๆ เติมลงไปในเกมให้มีสีสันมากขึ้
ก็จริงอยู่ แต่ส่วนหลักๆของเกมก็ยังต้องคงไว้ และที่จริงจะปรับเปลี่ยนตามปณิธานของผู้สร้างที่ฝังอยู่ในเกมด้วย
เพราะฉะนั้นหัวใจของเกมจึงไม่มีการเปลี่ยนแปลง เราเพียงแค่เสริม option เท่านั้น
คำพูดนั้น ทำให้ผมนึกถึงคำพูดแปลกประหลาดที่ได้ยินในวันนี้ สิ่งที่ถูกฝังอยู่ในเกมนั้น มันจะเป็นอะไรที่มนุษย์ต้องการได้อย่างไร
มันจะแลกเปลี่ยนเป็นสมบัติอันล้ำค่าได้อย่างไร มันก็เป็นแค่เจตจำนงที่ทำให้เกมดำเนินไปเท่านั้น
“อันตราย...”
“เอ๋ ? ว่าอะไรนะ ?”
“เปล่า...ไม่มีอะไร นอนเถอะ”
ทำไมอยู่ๆคำคำนั้นถึงแว่บเข้ามาในหัวอีกแล้ว อะไรคือสิ่งที่ทำให้กังวลใจนะ อะไรคือสิ่งที่รบกวนจิตใจในตอนนี้
เมื่อหลับตาลง ผมก็เห็นภาพของใครคนหนึ่งที่ไม่ได้เห็นมานานแล้ว เมื่อยามหลับฝัน ไม่ใช่ภาพยามเมื่อคนคนนั้นหันมายิ้มให้
ผมอย่างเคย แต่กลับเป็นภาพร่างที่นอนนิ่ง ใบหน้าขาวซีด
...ราวกับ...ไม่มีชีวิต...
++++++++++
พอผมมาถึงที่ทำงานในวันรุ่งขึ้น ผมก็นึกสงสัยว่า มาผิดที่หรือเปล่า เพราะทุกอย่างดูเรียบร้อยจนผิดปกติ
จากบรรยากาศสบายๆ กลายเป็นดูทางการขึ้นมาทันที ทำเอารู้สึกขำนิดหน่อย ที่จริงแบบเดิม ผมว่าก็ดีอยู่แล้วนะ
ผู้ตรวจการนัดว่า จะมาแปดโมง แต่จากประสบการณ์ครั้งก่อน มักจะมาช้า 1-2 ชั่วโมง แล้วอ้างว่า เครื่องบินดีเลย์
เข็มยาวของนาฬิกาชี้อยู่ที่เลขเก้า เพื่อเป็นการเตรียมพร้อม ผมจึงรีบขึ้นไปที่โต๊ะทำงานตัวเอง
ผู้ตรวจการก็ยังเป็นดังที่ผ่านมา กว่าจะมาถึงที่นี่ ก็ปาเข้าไป 9 โมงกว่า เดินกันมาเป็นขบวน ราวกับจะแห่อะไรสักอย่าง
ผมแอบเหลือบมองจากโต๊ะไป ก็เห็นคุณหนู เจ้าของตำแหน่ง key master กำลังพูดภาษาอังกฤษไฟแล่บ
ดูท่าทางทุกคนจะสนอกสนใจเธอไม่น้อย แต่บางครั้งเธอก็โยนงานอธิบายบางเรื่องไปทางหัวหน้า GM
“ที่นี่ปรับแต่งได้อย่างน่าสนใจมาก”
คำพูดภาษาไทยที่ชัดถ้อยชัดคำออกมาจากปากของผู้ตรวจการ ดูเหมือนว่า เขาจะเข้าใจภาษาไทย แต่หยั่งเชิงทดสอบ
หลังจากนั้นผมก็ได้ยินคุณรีลิสพูดภาษาไทยเร็วจนคนไทยด้วยกันเอง อาจจะต้องถามว่า เมื่อกี๊พูดว่าอะไรนะ
แต่ดูจากรอยยิ้ม น่าจะตั้งใจ โต้กลับมากกว่า ที่เมื่อครู่หลอกให้พูดภาษาอังกฤษ เพื่อทดสอบกัน
ไม่นานนัก ผมก็ถูกเรียกขึ้นไปอธิบายเรื่องการล็อกเอาท์อัตโนมัติ เกี่ยวกับเรื่องความรู้สึกขณะเล่นเกม
เมื่อปรับแต่งแล้วกับหลังปรับแต่งมีอะไรแตกต่างกันบ้างไหม เหล่าผู้ตรวจการทั้งหลายก็ปรึกษากัน
แล้วสรุปผลได้ว่า เขาชอบการปรับแต่งนี้มาก อาจจะมีการส่งไปให้ปรับทั่วโลก เพื่อให้ผู้เล่นทุกคนปลอดภัย
“อยากจะดูสนามประลอง GM”
ผมแอบเห็นฝ่ายเทคนิคกลืนน้ำลายกัน เพราะสนามประลองนั้น ถึงจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ก็ยังเหลือการทดสอบอีกหลายขั้น
เพื่อความมั่นใจ แต่เหล่าผู้บริหารคงรอไม่ไหว ถึงต้องรีบเอาไปเสนอเป็นผลงานเอาหน้ากันอย่างรีบเร่ง
“งั้นก็เชิญครับ”
แล้วก็ย้ายกันจากห้องประชุมสวยหรู เป็นห้องปฏิบัติงานของ GM นับจำนวนหูฟังกับเตียงนอน เพียงพออย่างฉิวเฉียด
ผมเห็นคุณรีลิสเดินไปพูดอะไรกับคุณเกียร์นิดนึง หลังจากเถียงกันสักพัก เหมือนท่านหญิงจะเป็นฝ่ายแพ้
พอมาสังเกตดูดีๆแล้ว หน้าคุณเกียร์ก็ซีดยิ่งกว่าเมื่อวาน แม้ใบหน้านั้นจะมีรอยยิ้มดังเช่นปกติ
เอาเถอะ...เกิดอะไรขึ้น ก็หามส่งโรงพยาบาลแล้วกัน...
ผมสวมหูฟัง ปิดตา แล้วเข้าสู่โลกของ Neo Universe
ลานประลองปรากฏขึ้นตรงหน้าราวกับโกหก เดี๋ยวนะ ตัวผมไม่ได้อยู่ตรงนี้นี่นา พอสังเกตดูดีๆแล้วพบว่า นี่มันเป็นตัวทดสอบที่
ไม่รู้พวกฝ่ายเทคนิคแอบทำไว้ตอนไหน เพราะมี
พอมองตัวของพวกผู้ตรวจการก็เห็นเลเวลสูงปรี๊ด เฮ้ยๆ จะเอาใจกันไปไหน
“งั้นเริ่มการทดสอบเถอะครับ”
ผู้ตรวจการคนหนึ่งลงไปในสนามประลอง อีกฝั่งหนึ่งคือ GM คนหนึ่งที่เลเวลสิบกว่าๆ เดี๋ยวสิ ทำไมเลเวลผมถึงได้ต่ำเตี้ยติดดิน
อยู่คนเดียวล่ะ ส่วนท่านผู้ตรวจการที่มีเลเวลถึง 82 ก็ออกคำสั่งให้กดเลเวลเหลือพอๆกัน
หลังจากเคลื่อนไหวเพื่อต่อสู้กันสักครู่ ดูเหมือนว่า ฝ่ายมาเยือนจะสนุกและตื่นเต้นกับสนามประลองนี้ไม่น้อย
เมื่อจบการต่อสู้ ก็เอ่ยปากชมทันที ทำเอาคนอื่นๆเหมือนอยากจะลงไปทดสอบด้วย แต่ยังมีเรื่องอื่นต้องตรวจสอบ
ผมเดินตามในขบวนแห่ท่านผู้ตรวจการทั้งหลายตลอดทั้งวัน โดยที่ตัวเองแทบไม่มีโอกาสได้อ้าปากพูด
ราวกับว่า เป็นแค่คนที่ตามไปประดับบารมี ให้ดูยิ่งใหญ่เฉยๆ พอถึงตอนเย็น ทุกคนก็ล่ำลากันยาวนานตามมารยาทของผู้ดีที่จะ
สวมหน้ากากเข้าหากัน ผมรู้นะว่า ภายใต้ใบหน้ายิ้มๆของหลายคน อยากจะเตะเจ้าพวกนี้กลับประเทศเต็มแก่
ก่อนจะกลับ ผมเห็นผู้ตรวจการคนหนึ่ง เดินมาคุยบางอย่างกับคุณเกียร์เป็นการส่วนตัว ก่อนที่ทั้งสองคนจะหัวเราะรื่นเริง
ราวกับเพิ่งเล่าเรื่องขำขัน เรื่องนั้นไม่ได้สำคัญอะไร เพียงแต่ไอ้หมอนั่นก้มลงมาหอมแก้มคุณเกียร์ !!
ส่วนหัวหน้าผมก็มีท่าทีเฉยๆ แถมยังกอดกัน ตอนกล่าวคำอำลาอีกครั้ง
ในใจรู้สึกโมโหขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล รู้ทั้งรู้ว่า ไม่ใช่เรื่องของเรา แต่ก็หงุดหงิด จนอยากต่อยสักเปรี้ยง
ทำไมถึงได้รู้สึกแบบนี้นะ แต่ก็หยุดไม่ได้ อยากต่อยหน้ามัน อยากชกหน้ามัน
ทำไมโมโหได้ขนาดนี้เนี่ย !! แค่เห็นไอ้บ้านั่นอำลาตามมารยาทแบบตะวันตกเท่านั้นเอง !!
สาเหตุที่มั่นใจว่าเป็นการอำลาแบบตะวันตก ไม่ใช่ความพิศวาสส่วนบุคคล เพราะไอ้บ้านั่น ก็หันไปหอมแก้มคุณรีลิสเหมือนกัน
ซึ่งเธอก็ทำอย่างเดียวกันตอบ แล้วเอ่ยคำอำลา ดูท่าทางสามคนนั้นจะมีความสัมพันธ์พิเศษ คงไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงานแน่ๆ
แต่ยังไงมันก็ยังหงุดหงิด ช่วยไปให้พ้นๆสายตาที รีบๆบินกลับประเทศไปเลย
พอทุกอย่างเรียบร้อย ผมก็นึกอยากกลับบ้านเต็มแก่ อยากจะไปกอดภรรยาที่รัก แล้วนอนหลับยาวๆสักตื่น
โชคดีที่พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ ผมตั้งใจจะนอนตื่นให้สายโด่ แล้วเล่นเกมอยู่กับบ้าน ไม่ไปไหนเด็ดขาด
โดยเฉพาะมาทำโอที !! คอยดูนะ จะปิดเครื่องไม่ให้ใครโทรเข้ามาตามตัวได้ !!
“ประชุมสรุปงานด้วย...”
ประโยคสั้นๆ ที่ทำเอาผมสติแตก อยากกลับบ้านแล้วโว้ย อยากกลับบ้าน ทำไมต้องทำงานอีกวะ ไม่อยากได้ค่าโอที
อยากกลับบ้านไปนอน เข้าใจไหม ใช้งานกันให้มีขอบเขตหน่อยสิ ผมเหนื่อยเป็นนะครับ !!
ระหว่างที่ในหัว มีแต่คำว่า อยากกลับบ้าน ลอยเต็มไปหมด แต่ก็ยังเดินเบลอๆไปทางห้องประชุม
สายตาเจ้ากรรมของผม ดันเหลือบไปเห็นการคุกคามแปลกๆของ GM ที่ได้ฉายาว่า จอมโหดหัวผักกาด
“ถ้าไม่ไหว ก็ไสหัวกลับบ้านไปซะ”
โอ้โห เป็นการแสดงถึงความรักและความเป็นห่วงเป็นใยหัวหน้าแบบสุดๆ เดาได้เลยว่า คนฟังคงซึ้งจนแทบน้ำตาไหล
แถมยังไม่รอให้อีกฝ่ายตอบอะไร ก็เดินหนีไปเสียอย่างนั้น เดี๋ยวๆ ไล่หัวหน้ากลับบ้าน แล้วจะประชุมได้ไง
ผมมองใบหน้าขาวซีดนั้นแล้ว ถอนหายใจออกมา นึกเบื่อตัวเองที่ตัดสินใจทำแบบนี้ แต่ก็ช่วยไม่ได้นะ
“คุณเกียร์ครับ ไหวหรือเปล่าครับ”
ไม่ต้องรอฟังคำตอบก็รู้ว่า ไหวสิ แค่ถามไปงั้นๆแหละ จะได้เดินไปห้องประชุมด้วยกัน เผื่อล้มหัวฟาดพื้นจะได้เก็บไปส่ง
โรงพยาบาลได้ทันการ แต่แล้วก็เห็นคนตรงหน้าควักยาเม็ดขาวๆออกมา แล้วใส่ปาก กลืนลงไปโดยไม่ต้องใช้น้ำ
จากนั้นก็ยังมือขึ้นนวดขมับตัวเอง นั่นยาอะไรครับ ? ยาแก้ปวดเหรอครับ ?
“ปวดหัวเหรอครับ ?”
“นิดหน่อยน่ะ”
ผมว่า...นิดหน่อยของคุณ มันไม่นิดหน่อยแล้วล่ะ ไปโรงพยาบาลกันเลยดีไหมครับ ?
ยกมือขึ้นอังหน้าผาก ก็รู้สึกว่า เย็นมากกว่าร้อน แตะลงมาตามลำคอและแขนขา ก็รู้สึกว่าเย็นแปลกๆ
พอรู้สึกตัวว่า กำลังแตะตัวอีกฝ่ายอยู่ ก็รีบเอ่ยปากขอโทษทันที ท่าทีของผมมันคงลุกลี้ลุกลน จนคนตรงหน้าหลุดขำ
“ไม่เป็นไร ไปประชุมกันเถอะ”
คุณเกียร์ลุกขึ้น เดินนำไปยังห้องประชุม ผมมองตามแผ่นหลังของใครคนหนึ่งที่ผมต้องยอมรับว่า เคยรักมาก
ในตอนนี้แผ่นหลังนั้นยังดูเหมือนเดิม เพียงแค่รัศมีที่เปล่งประกายที่หม่นหมองลง ความอ้างว้างแผ่ปกคลุมร่างนั้น
มันทำให้ผมเกิดความรู้สึกที่ไม่ควรจะรู้สึกขึ้นมา สิ่งที่ไม่ได้ปรากฏขึ้นในใจมานานแสนนานแล้ว
...ผมอยากจะกอดคนคนนั้น...
.
++++++++++
เช้าวันเสาร์มีเรื่องเอะอะนิดหน่อย เพราะพี่สาวคนสวย ทะเลาะกับน้องชายเรื่องที่เธอ จะไปทำงานเล็กๆน้อยๆที่ฝ่ายเทคนิค
เหมือนหญิงสาวเริ่มเบื่อการอยู่บ้านเฉยๆ และตัดสินใจว่า จะล็อกอินเข้าไปทำงานบางอย่างในเกม แม้จะเป็นการทำงานจากที่บ้าน
แต่น้องชายจอมหวงพี่ ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยนัก
แน่นอนว่า เขาถอยห่างออกมาเป็นคนดูเหตุการณ์ ไม่เสี่ยงเข้าไปในการทะเลาะกันระหว่างพี่น้อง
ที่สำคัญ เขาพอเดาได้อยู่แล้วว่า ใครจะเป็นฝ่ายได้ชัยชนะ จะเป็นใครได้ล่ะ ถ้าไม่ใช่คนที่ใหญ่ที่สุดในบ้านนี้
แล้วก็เป็นดังคาด มีหรือพ่อน้องติดพี่ จะเอาชนะพี่สาวที่เติบโตด้วยกันมา ตั้งแต่เด็กได้
“อย่าหักโหมก็แล้วกัน”
นั่นเป็นแค่คำบ่นทิ้งท้าย ก่อนเจ้าตัวจะหอบข้าวของกลับไปยังหอพัก เพื่อตั้งใจเรียนปีสุดท้าย จะได้ออกมาทำงาน กลับมาอยู่บ้าน
กับพี่สาวที่แสนรักและแสนหวง แล้วก็หาเรื่องกวนประสาทผมอย่างสนุกสนานทุกวัน
วันเสาร์มันควรจะเป็นวันที่แสนสงบ ห่างไกลจากเรื่องปวดหัวทั้งหลาย แต่ดันลืมไปว่าวันเสาร์นี้ เป็นเสาร์แรกของเดือน
ซึ่งมีกิจกรรมพิเศษที่เหล่า GM จะต้องไปทำที่สนามประลอง เป็นประจำทุกเดือน เพื่อตัดสินตำแหน่งและฝึกฝน เขาจึงต้องล็อกอิน
เข้าไปในเกมตามเวลาที่กำหนด เพื่อไปยังสนามประลอง
“คราวนี้ ไม่แพ้นายแน่ โฮลี่ ออเดอร์”
ผมฟังประโยคนี้มานับสิบรอบ ตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาในเกม ถ้าเป็นการต่อสู้แบบตะลุมบอล ผมว่าผมคงโดนเสียบตาย
ตั้งแต่มีสัญญาณให้เริ่มต่อสู้ เพราะหลายคนเล็งจะเอาชนะผมให้ได้
พอเข้าสู่สนามประลอง ก็เห็นหญิงสาวผู้มีตำแหน่งเป็นหัวหน้า key master เป็นแขกรับเชิญในการประลองครั้งนี้
ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นที่ว่างตรงไหน เลยจำใจ เดินไปนั่งใกล้ๆกับเธอ
“วันนี้ฉันจะรอดูนายโดนยำนะ”
อวยพรแบบนี้มาก็หลายครั้ง แต่ผมก็ยังไม่เคยแพ้ใครจริงๆจังๆ โอเค อาจจะยกเว้นอยู่คนหนึ่งที่ผมไม่ยอมสู้ด้วย
เอาแต่ยกธงขาว ก่อนลงสนามจริง เพราะกลัวใจตัวเอง นอกจากคนคนนั้น ผมมั่นใจนะว่า จะไม่แพ้ใคร
ถึงสกิลจะไม่ใช่สายต่อสู้โดยตรง แต่ด้วยลูกเล่นและความเข้าใจในเกมที่มีมากกว่า ผมย่อมได้เปรียบ
อย่าลืมว่า ผมเป็นต้องทดสอบเจ้าสนามนี้เป็นร้อยครั้ง เหมือนกับเลี้ยงดูมันมาจนโต ก็เรียกได้ว่า ได้เปรียบทางชัยภูมิ
“ไง วันนี้ก็ไม่ลงสนามเหรอ เกียร์ ?”
ผมแทบจะกระโดด เมื่อคุณเกียร์นั่งลงอีกข้างหนึ่ง กลายเป็นว่า ผมหนีไปไหนไม่ได้ ถูกขนาบด้วยคนสองคนที่ผมรู้สึกหวั่นๆ
เวลาอยู่ใกล้ แต่ก็เอาเถอะ อีกไม่นาน ก็คงถึงตาผมลงสนามประลอง
“คิดว่า จะไม่ลงนะ”
ใบหน้านั้น ไม่มีร่องรอยของความอิดโรย แน่ล่ะ ก็นี่มันตัวในเกม ไม่ใช่ตัวจริงนี่นา
พอจบประชุมเมื่อคืน คุณกลับบ้านไปนอนหรือเปล่าครับ หรือว่ายังอยู่ทำงานต่อ ผมล่ะสงสัยจริงๆว่า ร่างกายคุณทำจากอะไร
ไม่รู้สึกเหนื่อย รู้สึกอยากนอนบ้างหรือครับ ทำไมจะต้องทุ่มเททำงานขนาดนี้
“เมื่อวาน คุณได้กลับบ้านกี่โมงครับ ?”
คำถามนั้นทำให้คุณรีลิสหันควับจากเวทีประลอง มาจ้องผมด้วยสายตาเขียวปั๊ด เหมือนจะแหกอกผมเสียตรงนั้น ถ้าไม่ติดว่า
จะมีพยานการฆาตกรรมอยู่เต็มสนาม แต่คุณเกียร์กลับหัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า
“ก็กลับหลังนายนิดหน่อย”
นิดหน่อย ? นิดหน่อยอีกแล้ว ช่วยระบุให้ชัดเจน เป็นตัวเลขไม่ได้เหรอครับ นิดหน่อยของคุณนี่มันเมื่อไหร่ครับ
ตอนผมกลับบ้านก็ปาเข้าไปสี่ทุ่ม ถ้านิดหน่อยคือ สัก4-5 ชั่วโมง ก็ปาเข้าไปตีสองตีสามแล้วนะครับ
ถ้าผมเป็นหมอที่รักษาคุณ จะต้องปวดหัวมากแน่ๆ ช่วยดูแลตัวเองบ้างเถอะครับ สงสารคนรอบข้างคุณบ้าง
“เริ่มแล้ว...”
คุณเกียร์หันกลับไปสนใจบนสนามประลองที่เหล่า GM ต่างขึ้นมาฟาดฟัน งัดเอาความสามารถต่างๆขึ้นมาต่อสู้
หลังจากหลายคู่จบไป ทุกคนต่างจัดเรียงลำดับความเก่งกันใหม่ มีทั้งคนที่ดีใจจากการคว้าเอาชัยชนะ มีทั้งคนที่บ่นอุบว่า
คราวหน้าจะต้องกลับมาแก้มือให้ได้ แต่ทุกคนก็ดูสนุกสนานดี
จนกระทั่ง...หมอนั่นก้าวขึ้นมาบนเวที...
ชายหนุ่มที่ถือเคียวอยู่ในมือ ใบหน้าทะมึงถึง ราวกับว่ามีใครเพิ่งไปเหยียบตีนมา เหล่าพวก GM รุ่นลิงทโมน ต่างทำท่าหวาดกลัว
จนน่าหมั่นไส้ กระซิบกระซาบฉายากันแผ่วเบา ราวกับกลัวว่า คนคนนั้นจะรู้ ทั้งที่คนทั้งแผนก ไม่สิ ทั้งบริษัทก็รู้ว่า เจ้าพวกนั้น
ตั้งฉายาอะไรให้แก่ ชายหนุ่มคนนี้
GM ผู้มีโค้ดเนมว่า ราดิช ก้าวขึ้นมาบนเวทีประลอง กวาดสายตามองไปรอบๆเหมือนจะดูถูกเหยียดหยาม
ผู้คนทั้งหลายต่างจับจ้อง เพราะไม่เคยเห็นฝีมือมาก่อน เจ้าตัวบอกว่า น่ารำคาญ แล้วก็ไม่ยอมมาร่วมแข่งขัน
ทั้งที่มีฝีมือเฉียบขาด แต่ลำดับใน GM นั้น กลับอยู่ล่างๆ เพราะไม่ยอมมารับการทดสอบ
ไม่รู้คราวนี้ ลมอะไรพัดมา ถึงยอมมาเข้าร่วมได้ แต่ดูจากสีหน้าท่าทางแล้ว คงไม่เต็มใจเท่าไรนัก
คู่ต่อสู้คนแรกก้าวขึ้นสนามประลองด้วยความมั่นใจ คิดว่าจะล้มคนตรงหน้าได้ง่ายๆ แต่การต่อสู้ก็จบลงในเวลาไม่นานนัก
การเคลื่อนไหวของราดิชนั้นเฉียบคมกว่าแต่ก่อน ไม่ได้สู้แบบทื่อๆอย่างที่เคยเจอกันครั้งแรก
แม้จะยังติดขัด เพราะไม่ชินพื้นที่อยู่บ้าง แต่ก็เรียกได้ว่า ฝีมือดี น่าจะอยู่ในตำแหน่งสูง
เพียงแค่เห็นคนแรกล้มลงไปกองบนพื้น แทนที่จะนึกกลัว พวก GM คนอื่นดันเข้าคิวขอสู้ต่อ
อาจเพราะเป็นพวกรักสนุก ไม่ก็หมั่นไส้ในท่าทีหยิ่งผยอง เมื่อได้รับชัยชนะ
“จะกี่คน ก็รีบๆเข้ามา น่ารำคาญชะมัด”
คู่ต่อสู้คนแล้วคนเล่า แม้แต่ผู้ที่ได้รับการนับถือว่า มีชั้นเชิงในการต่อสู้ที่เก่งกาจ ก็ยังไม่อาจเอาชนะ GM คนนี้ได้
แม้แต่ตัวผมเองก็รู้สึกสนใจในตัวของคนคนนี้ จากครั้งแรกที่ชวนมาเป็น GM ด้วยกัน จนมาถึงตอนนี้
การพัฒนาตัวเองจัดอยู่ในระดับที่ดีมาก ใครจะไปรู้ว่า คนคนนี้มีศักยภาพที่น่าสนใจถึงเพียงนี้
“ไม่อยากจะเชื่อว่า จะยอมมาร่วมการประลองนะ”
“ถ้าลองคุยดีๆ ก็ยอมมานะ”
“คุณไปคุยมาเหรอครับ ?”
คุณเกียร์พยักหน้าตอบ แล้วหันไปปรบมือ เมื่อคู่ต่อสู้ถูกปราบลงได้อีกคนหนึ่ง แม้เสียงปรบมือในสนามจะดังกึกก้อง
แต่เสียงซุบซิบนินทา ถึงความโหดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆของเจ้าตัว ก็ดังไม่แพ้กัน ท่าทางจะเกลียดงานประลองมากจริงๆ
เพราะท่าทางดูหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งหงุดหงิด ความโหดก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
คนแบบนั้น...ยอมมา...เพราะคำขอร้องจริงรึ ??
แต่นึกสงสัยได้ไม่นานนัก คู่ต่อสู้อีกคน ก็กระเด็นออกนอกสนามไป เหลือเพียงผู้ชนะยืนอยู่ด้วยสีหน้าเบื่อๆ
ผมมองสนามประลอง แล้วนึกอยากลงไปท้าสู้ด้วยเหมือนกัน ทีตอนทดสอบสนามประลอง ไม่เห็นฝีมือดีอย่างนี้เลย
ตอนสู้กันครั้งนั้น นายเล่นโจมตีตรงๆ ใช้แรงเป็นหลัก เวลากดเลเวลให้เท่ากัน มันก็ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไร
มาตอนนี้ นายรู้จักจัดระเบียบร่างกายได้ดีขึ้น มีการนำเอาสกิลต่างๆมาใช้ในจังหวะที่เหมาะสม
น่าสนใจ...เป็นคนที่น่าสนใจ...
“น่าจะปรับช่วงฐานให้มั่นคงหน่อย”
ผมหันควับไปตามเสียงพูด ก็เห็นว่า หัวหน้าผมกำลังแนะนำบางอย่างด้วยเจตนาดี แต่เดาได้เลยว่า มันต้องทำให้ราดิชหงุดหงิด
มากขึ้นแน่ๆ แล้วก็เป็นดังคาด ราดิชเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสายตาข่มขู่คุกคามเต็มที่ โชคดีที่ตอนนี้อยู่ในเกม
ไม่อย่างนั้นราดิชอาจเดินมาชกหน้าคุณ ข้อหาดูถูกฝีมือเขา ด้วยการให้คำแนะนำ
“ฉันไม่คิดว่าจะแพ้ใคร รวมทั้งนายด้วย”
โอ๊ะ ช่างกล้าที่พูดออกมาแบบนั้น นายรู้ฝีมือคนที่นายกำลังขู่หรือเปล่า ราดิช
โชคดีนะที่เป็นคุณเกียร์ คงไม่ถือสาหาความ เห็น GM เป็นเหมือนเด็กที่ต้องดูแล ก็คงยิ้มแล้วพูดจาอ่อนหวาน
“งั้นฉันขอต่อคิว...”
อ้าวเฮ้ย !! ทำไมวันนี้มาแปลก ไม่ยอมๆมันหน่อยเหรอครับ คุณเกียร์ !!
ไหนบอกว่า วันนี้จะไม่ลงสนามไงครับ แล้วจะลงไปทำไม !!
ยังไม่ทันจะว่าอะไร เจ้าตัวก็กระโดดลงไปสู่สนามประลอง ใบหน้านั้นไร้ซึ่งรอยยิ้ม ไม่สิ ควรบอกว่า กำลังโกรธมากกว่า
รู้สึกถึงความน่ากลัวที่แผ่ออกมา ไม่สิ ควรเรียกว่า ความน่าเกรงขามมากกว่า ท่วงท่าที่ก้าวลงสู่สนาม สายตาที่จ้องมองไปยังคู่ต่อสู้
ตัวตนที่แท้จริงของหัวหน้า GM ผู้มีความสามารถมากกว่าใครๆ
“กดเลเวลในสนามของฉันให้ต่ำกว่าเขาสิบเลเวล”
เฮ้ย !! เอาจริงเหรอครับ คุณเกียร์ !! ราดิชไม่ใช่เด็กน้อยที่คุณจะต่อให้ได้ขนาดนั้นนะครับ
ผมมองใบหน้าที่โกรธยิ่งกว่าเดิมของ GM จอมโหด คงรู้สึกเหมือนโดนดูถูกสินะ
กวาดสายตากลับมามองทางคุณเกียร์ที่ควงอาวุธประจำตัวลงสู่สนาม ตั้งท่าเตรียมต่อสู้
แววตานั้น ไม่มีประกายของการเล่นสนุก แม้แต่นิดเดียว
เฮ้อ...ราดิช นายคงเป็น GM คนแรกในประวัติศาสตร์ของ Neo Universe ที่คนคนนั้น ไม่เอ็นดู
จะว่าไป คุณเกียร์ก็คงสู้เต็มฝีมือสินะ ผมก็อยากเห็นฝีมือจริงๆของคุณเหมือนกัน
“เริ่มได้ !!”
ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น เมื่อทุกคนมองการต่อสู้ของคนสองคนที่มีฝีมือสูง
ในสนามนั้นไม่มีเสียงใดๆ นอกเหนือจากเสียงการปะทะของทั้งคู่ ผู้คนต่างจ้องมอง ราวกับตกในมนต์สะกด
ไม่มีใครพูดหรือเอ่ยสิ่งใดออกมา ทุกคนต่างจ้องมอง เพราะกลัวว่าตัวเองจะพลาดบางอย่างไป
มันเกินกว่าที่คิดเอาไว้...
ความสามารถของคุณเกียร์ เหนือกว่าที่ผมเคยคาดไว้ สมัยที่ยังไม่เห็นฝีมือกันจริงๆ
ทั้งการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วราวกับใช้ร่างกายตัวเอง การคำนวณฝ่ายตรงข้าม แล้วดึงสถานการณ์มาใช้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นสกิลเล็กน้อยแค่นั้น ก็นำมาปรับใช้ได้อย่างยอดเยี่ยม
“ราดิชมันแพ้แล้วว่ะ...”
เมื่อการต่อสู้จบลง นักสู้จอมโหดในวันนี้ ก็ถูกโค่นแชมป์โดยหัวหน้าของเหล่า GM ที่ยังคงยืนนิ่งมองไปทางราดิช
ดวงตาคู่นั้นสงบจนน่ากลัว ราวกับว่า มันกำลังระแวดระวัง กลัวอีกฝ่ายจะลุกขึ้นมาตอบโต้ ทั้งที่การต่อสู้จบแล้ว
ฝ่ายที่แพ้ลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกไปจากสนามประลอง ก็คงเสียหน้าไม่น้อย เพราะดูหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม
นึกสงสารมอนสเตอร์หรืออาจเป็น Player โชคร้ายที่เจอกับราดิชตอนอารมณ์เสียสุดขีด
ผมหันกลับไปมอง คนที่ยืนอยู่บนเวที ทั้งที่สู้ไปแค่คนเดียว แต่ทำไมผมกลับเห็นเขายืนนิ่ง ราวกับราชาไร้พ่ายผู้ผ่านศึกมามากมาย
คนที่ยิ่งต่อสู้ ก็ยิ่งโดดเดี่ยว หัวใจถูกกัดกินด้วยความเย็นชาจากการเอาชนะผู้คน ส่วนลึกภายในใจเรียกร้องหาใครสักคนที่จะเชื่อใจได้
และอยู่เคียงข้าง แม้วันคืนจะโหดร้ายเพียงใด
...ทำไมคุณถึงแปรเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ได้ครับ...คุณเกียร์...
++++++++++
พอกลับมาถึงบ้าน ก็ได้กลิ่นหอมฉุยของเค้กแครอท ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า เจ้าตัวแสบนั่นกลับมาบ้าน
เพราะพี่สาวคนสวยมักจะทำขนมของชอบไว้ต้อนรับเสมอ และเจ้าขนมนั่น ก็ชอบเป็นเค้กแครอท
ที่จริงเมื่อก่อนพ่อน้องชาย ก็ไม่ได้พิศวาสอะไรเค้กแครอท แต่เมื่อรู้ว่า เขาเกลียดแครอทเข้าไส้
ไม่ว่าจะสด หรือแปรรูปแล้ว เขาก็ไม่อยากกินทั้งนั้น น้องชายคนดีก็เรียกร้องเค้กแครอทเสมอ
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอ ?”
“นี่มันวันอังคาร ไม่ใช่เหรอ”
ปกติแล้วคุณน้องชายจะกลับมาในวันศุกร์ ตามสไตล์ของเด็กหอทั่วไป ไม่ค่อยกลับมาให้เห็นหน้าในวันอื่น
แต่ถ้าให้เดา สาเหตุก็เป็นเพราะว่า พี่สาวกำลังเริ่มล็อกอินเข้าไปทำงานบางอย่างในเกม ก็เลยกลับมาดูความเรียบร้อย
ทั้งที่การเล่นเกม Neo Universe เป็นการพักผ่อนในเชิงสรีรวิทยา เพราะเหมือนได้นอนหลับพักผ่อน แต่สำหรับคนที่ทำงานใกล้ชิด
กับเกม มันให้ความรู้สึกว่า ทำงานก็คือทำงาน เหมือนเวลานอน ก็ยังต้องเครียดอีก
“ก็นี่บ้านฉัน จะกลับวันไหนก็เรื่องของฉัน”
นั่นไง เสียงทักทายด้วยความรักและคิดถึงพี่เขยคนนี้มาแล้ว ช่างซาบซึ้งถึงทรวงจนอยากจะถีบสักหน
พอเห็นเข้าไปกอดพี่สาว ก็ดูอ้อนเป็นเด็ก ทำหน้าตาน่ารักกับเขาเป็นเหมือนกัน แต่หันกลับมามองหน้าเขาทีไร
ต้องทำหน้านิ่ง ปั้นปากบึ้งตึง แล้วก็พูดวาจาเสียดสีกันตลอด
“ทำงานเป็นยังไงบ้าง”
“ก็สนุกดี”
ผมยอมรับว่า เธอคงสนุกจริงดังว่า จึงไม่อยากขวาง แต่ก็ห่วงไม่น้อยไปกว่าน้องชายเธอหรอก รู้สึกเหมือนอาการป่วยแย่ลง
จะลากไปหาหมอก็ไม่ยอม เถียงกันทีไรก็แพ้ บอกแค่ว่า ไม่เป็นไร
เธอดูสนุกสนานกับการใช้ชีวิตทุกวัน แม้ตัวเองจะดูอ่อนแอลง บางครั้งผมสังเกตเห็นว่า เธอชอบเผลอหลับไปเหมือนเหนื่อยอ่อน
ทั้งที่เธอเป็นคนดูแลตัวเองดี ทั้งเรื่องอาหารการกิน การพักผ่อน การออกกำลังกาย เธอทำอย่างครบถ้วน จนผมนึกสงสัยว่า
ทำไมร่างกายเธอถึงอ่อนแอ
“อ้าว ? ข้าวยังไม่ได้หุงนี่”
“จริงด้วย ลืมไปเลย”
ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นเธอลนลาน แค่ไม่หุงข้าว ไม่เป็นไรหรอก หิ้วท้องรออีกสักนิดนึงจะเป็นไรไป
เธอคงรู้ว่า พวกผมคงจะใช้เวลาว่างนี้ ไปนั่งดวลเกมกันอย่างเคย จึงออกปากห้ามไว้ก่อน
สุดท้ายพวกเราก็เลยถูกใช้ให้ไปตัดแต่งกิ่งก้านของต้นไม้และกวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นในสวน
“พี่ดูไม่ค่อยดีเลย”
“โทษที แต่บังคับให้ไปหาหมอไม่ได้”
มีเรื่องภรรยาผมเพียงเรื่องเดียวที่ทำให้พวกเรามีบทสนทนาเยี่ยงปุถุชน ไม่ต้องจิกกัดกันทุกประโยคที่คุย
ผมเห็นอีกฝ่ายเหม่อมองไปทางครัวของบ้าน เหมือนนึกเป็นห่วง แต่ถ้ากลับเข้าไปทั้งที่งานไม่เสร็จ ก็โดนตะเพิดออกมาอยู่ดี
สู้รีบๆทำ รีบๆกลับเข้าไปดีกว่า
“รีบ...”
ยังไม่ทันจะเอ่ยจบประโยค ก็ได้ยินเสียงของหล่น เป็นเสียงข้าวของแตกกระจาย สองหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปในบ้าน
ตรงเข้าไปในครัวทันที หญิงสาวนั่งทรุดอยู่กับพื้น รอบข้างมีจานชามแตกกระจายบางส่วน เธอกำลังตัวสั่น
ผมรีบตรงเข้าไปกอด ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงว่าเป็นยังไงบ้าง
“ไปโรงพยาบาลเถอะ”
“ไม่เป็นไร...”
“พี่จะทำให้คนอื่นเขาเป็นห่วงไปถึงไหน !!”
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ยินเด็กหนุ่มขึ้นเสียงกับพี่สาว ปกติถึงจะเถียงกันรุนแรงแค่ไหน ก็ไม่เคยเสียงดังใส่
คำพูดนั้นทำให้ทั้งเธอและผมนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนที่เธอจะยอมให้ผมอุ้ม พาไปโรงพยาบาล
ระหว่างกำลังขับรถไปโรงพยาบาลนั้น ผมนึกถึงใครบางคนที่ชอบพูดกับผมว่า ไม่เป็นไร
คนที่เกลียดแสนเกลียดโรงพยาบาล บอกปัดทุกครั้งที่พูดถึง ต้องใช้การบังคับกันเสมอ
บังคับ...จะว่าไป...ทำไมผมถึงไม่เคยบังคับเธอจริงๆจังๆสักครั้ง...
ถึงจะเอ่ยปากบอกให้เธอไปโรงพยาบาล แต่ก็ไม่เคยถึงขนาดเป็นประเด็นถกเถียงกันแบบที่พี่น้องทำอยู่เสมอ
ถึงจะคิดว่า ห่วง แต่สุดท้ายก็ปล่อยเลยตามเลย ถ้าเธอไม่ยอม นั่นสินะ ทำไมผมถึงไม่ลากตัวเธอไปโรงพยาบาล
แบบที่ทำกับคนคนนั้น มันเหมือนกับว่า ผมไม่ได้ใส่ใจเรื่องของเธออย่างจริงจังเท่ากับเรื่องของ...
โธ่เว้ย !! คิดอะไรรกสมองไปได้
เขาเลี้ยวรถเข้าสู่โรงพยาบาล ปล่อยให้น้องชายพาพี่สาวเข้าไปก่อน ส่วนเขาก็ไปหาที่จอดรถแล้วรีบตามไป
เนื่องจากมาทีหลัง ผมจึงยืนรออยู่ข้างนอก ไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะการอธิบาย เพราะดูท่าทางในห้องจะมีศึกสงครามเล็กๆ
ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยจอมดื้อ ถ้าให้เดา ต้องเป็นเรื่องการนอนดูอาการที่โรงพยาบาลแน่ๆ
ผมนึกหาคำเกลี้ยกล่อมเธอ หรือว่าจะใช้วิธีการบังคับดี ? หากพูดอย่างหนักแน่นและจริงจังสักหน น่าจะฟังกันบ้าง
ระหว่างที่ความคิดทั้งหลายกำลังวิ่งไปมาในหัว ก็เห็นร่างของใครคนหนึ่งที่ทำให้สมองผมว่างเปล่าทันที
“คุณเกียร์ !!”
การเจอคุณเกียร์ในโรงพยาบาลไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเจ้าตัวมีแนวโน้มจะโดนหามส่งอยู่ทุกวัน ด้วยสกิลพิเศษ ชอบทำลายตัวเอง
ด้วยการทำงานหนักและนอนน้อย แต่วันนี้ต่างออกไป ผมไม่ได้เห็นคุณกำลังเดินถือถุงยาเตรียมกลับบ้าน แต่กำลังเห็นคุณนั่งอยู่
บนรถเข็น ในชุดคนป่วยของโรงพยาบาล
“อ้าว ? มาทำอะไรที่นี่เหรอ ?”
อีกฝ่ายทักผมกลับ ด้วยท่าทางปกติ เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อ ผมก้าวเท้าเร็วๆเพื่อเข้าไปหา เมื่อมองใกล้ก็รู้สึกว่า สภาพโทรมเสียยิ่งกว่า
ที่พบกันคืนนั้น ไม่ได้ดูแลตัวเองให้ดีขึ้นเลยสักนิด เอาแต่ทำงานล่ะสิท่า
“คุณนั่นแหละครับ เป็นอะไร”
แต่ถึงร่างกายจะแย่อย่างไร ผมก็ไม่เคยได้ยินว่า คุณเกียร์จะต้องเข้าโรงพยาบาล หรือว่าคุณตรวจเจอมะเร็ง !!
คุณเป็นมะเร็งใช่ไหมครับ ? ถึงได้ผอม แล้วก็ไม่อยากอาหาร สารภาพกับผมมาตามตรงนะครับ
“ก็นิดหน่อยน่ะ ทุกคนทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้”
เอาอีกแล้ว เจ้าคำตอบแบบครอบจักรวาลที่ไม่มีใครเข้าใจว่า ตกลงหมายความว่าอย่างไร
ผมอ้าปากอยากจะถามต่อ แต่ก็ต้องตกใจ เมื่อเพิ่งสังเกตเห็นว่า คนที่มาด้วยกันเป็นใคร
GM ผู้มีโค้ดเนมว่า ราดิช กำลังยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง คงจะเป็นคนที่ติดตามมาด้วยจากบริษัท
ดูจากนิสัยไม่เอาใคร ไม่น่าเชื่อว่าจะยอมพามาโรงพยาบาล ที่สำคัญคือ เก่งมากที่ลากคุณเกียร์มาได้
ถึงหน้าตาจะหงุดหงิดเหมือนต้องมายุ่งเรื่องที่ไม่ใช่ธุระของตน แต่ผมเชื่อว่า ถ้าเจ้าตัวไม่มีศักยภาพในการบังคับผู้คน
คุณเกียร์ไม่มีทางเหยียบย่างเข้ามายังสถานที่แห่งนี้แน่ นายเยี่ยมมาก ราดิช
“นายมานี่ได้ยังไง”
ส่วนเสียงแหลมปรี๊ดที่ได้ยินทีหลัง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า เป็นใคร คุณหนูคนงามก้าวฉับๆเข้ามาหา เธอหยุดยืนตรงหน้าผม
เหมือนต้องการจะเป็นโล่ป้องกันคุณเกียร์ ใจเย็นนะครับ คุณหนู ผมไม่ใช่คนร้ายที่จะเอามีดมาแทงเพื่อนคุณนะครับ
“ไปไกลๆเลยไป เห็นหน้านายแล้วหงุดหงิด”
โห วันนี้พูดตรงจนซึ้งแทบน้ำตาไหลเลย ปกตินี่ยังมีรักษามาดบ้าง วันนี้เกิดอะไรขึ้นหรือครับ
ยังไม่ทันคิดจะอ้าปากตอบอะไร คุณรีลิสก็หันกลับไปเทศนาสั่งสอนคุณเกียร์ เรื่องดูแลตัวเอง
ผมจึงค่อยๆถอยร่นกลับมาที่เดิม ก็พบว่า พ่อน้องชายกำลังยืนคอยอยู่แล้ว
“โทษทีๆ”
“ถ้าห่วงมากนัก ก็ไปกับทางนู้นเลยไป”
ทำไมวันนี้ ผมจะต้องเป็นคนโดนด่าตลอด เข้าใจแล้วครับ ผมมันเลว ผมมันผิดตลอด ขอเชิญทุกท่านก่นด่าตามสบาย
เนื่องจากผมไม่ตอบโต้ คนที่หงุดหงิดจึงเพียงแค่ถอนหายใจ แล้วชี้แจงอาการของพี่สาวให้ฟัง
มันเป็นโรคใหม่ที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน เห็นว่า กำเนิดในวงการแพทย์ได้ไม่นาน
คนที่เป็นก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างน่าสงสัยว่า สิ่งใดเป็นต้นเหตุของโรคนี้
แต่ไม่ว่า จะเป็นอะไรก็ตาม การแพทย์ของเมืองไทย ก็ยังมีข้อจำกัดค่อนข้างมากในการรักษา
คุณหมอแนะนำว่า หากเป็นที่ต่างประเทศ จะมีการรักษาที่ประสิทธิภาพสูงขึ้นมากกว่านี้ และอาจจะหายขาด
“โรคนี้ มันเริ่มมากขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”
“จะไปรู้เรอะ”
ทำไมเขาถึงนึกเชื่อมโยงระหว่างคุณเกียร์กับภรรยาของเขา แล้วก็เรื่องเกม รวมทั้งคำพูดแปลกๆของผู้บริหาร
หรือว่า สิ่งที่พวกเขากำลังทำงานด้วยนั้น อันตรายเกินกว่าจะคาดเดาได้จริงๆ ไม่ใช่แค่จินตนาการไร้สาระของตาแก่
ผมรู้สึกร้อนใจขึ้นมา จึงขอตัวไปโทรศัพท์ ไม่คิดจะสนใจฟังคำบ่นว่าของน้องชาย เรื่องไม่ไปเจอหน้าพี่สาวก่อน
เมื่อออกมาในที่ปลอดผู้คน ผมหานามบัตรที่ได้รับมาในคืนนั้นแบบงงๆ ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจใส่ใจอะไร
แทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าได้รับมา ผมกดเบอร์โทรศัพท์ทีละตัว รู้สึกว่า หัวใจตัวเองเต้นระรัว เร็วขึ้นเรื่อยๆ
แม้ว่าปลายสายจะว่าง แต่กลับไม่มีคนรับ เดี๋ยวนะ เป็นผู้บริหาร ทำไมปล่อยให้โทรศัพท์อยู่ห่างตัวได้
อยากจะขว้างโทรศัพท์ทิ้ง เพราะหงุดหงิดและโมโหที่ไม่อาจค้นหาคำตอบของคำถามที่อยากรู้
ระหว่างกำลังสงบสติอารมณ์ ปรับอารมณ์ให้สดชื่น ใบหน้าต้องมีรอยยิ้ม เพื่อเป็นกำลังใจให้คนป่วย
“นายจะเข้ามาใกล้เกียร์อีก ทำไม ?”
ผมนึกสงสัยว่า บ้านคุณรีลิสเป็นเจ้าของดาวเทียมคุณภาพสูงหรือเปล่า ถึงนึกจะโผล่มาโผล่มาได้ถูกที่ถูกเวลาเสมอ
ราวกับว่า สามารถรู้ความเคลื่อนไหวของทุกคนบนโลกนี้ได้ ผมไม่ตอบอะไร เพียงแค่มองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น
ผมเห็นความกังวลและความโกรธปะปนกันอยู่ภายใน
“อย่าเข้ามาใกล้อีก ปล่อยเกียร์ไปเถอะ”
“อย่าทำให้มันแย่ลงไปยิ่งกว่านี้”
อาจเพราะเป็นตอนกลางคืน ผมถึงรู้สึกว่า คุณรีลิสดูลึกลับและมีอำนาจราวกับเป็นราชินีแห่งทวยเทพ
น้ำเสียงของเธอสงบนิ่ง อ่อนหวาน แต่กลับเต็มไปด้วยพลังอำนาจ สายลมที่พัดผ่าน ทำให้ผมไม่แน่ใจว่า
เธอพูดบางอย่างออกมาหรือเปล่า แต่ผมได้ยินเหมือนเป็นคำพูดที่ว่า
“เวลา...ไม่มีอีกแล้ว”
++++++++++
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่าน แล้วตอน 7 ก็คลอดออกมาแล้วค่ะ (ถ้านับตอนพิเศษก็เป็น 8)
ที่เคยบอกว่า มีอีกสองตอนจะจบ ตอนนี้มันไม่ได้ตามพล็อตค่ะ สงสัยจะต้องอีกสามหรือสี่แน่ๆ
เขียนมันมือกับรายละเอียดไปนิดนึง คราวหน้าจะพยายามให้อยู่ในลู่ทางที่กำหนดแล้วกันค่ะ
ขอบคุณทุกท่านเช่นเคย สำหรับการคลิกเข้ามาอ่าน มองเคาน์เตอร์ทีไร ก็รู้สึกว่า มีคนอ่านด้วยแฮะ
หวังว่า คงไม่มีใครอ่านไป ด่าคนเขียนไปนะคะ เพราะถึงฝีมือจะไม่ได้ดี คาแรกเตอร์เพี้ยนไปบ้าง
แต่ก็ขอบคุณจริงๆนะคะ ที่แวะเข้ามาอ่านคู่แรร์ ทำให้มีกำลังใจในการเขียนขึ้นเยอะ
สำหรับคอมเมนต์ ก็ขอบคุณมากจริงๆค่ะ การแสดงตัวด้วยการคอมเมนต์นั้น ยิ่งทำให้มีกำลังใจมากขึ้น
แบบว่า รู้แน่ๆว่า อ่าน ไม่ใช่คลิกเข้ามา อ่านไปได้ สองบรรทัดแล้วปิดอะไรอย่างนี้
เราก็ไม่รู้ว่า เรื่องเรามันมีเสน่ห์พอให้คนอ่านจนจบไหม ยิ่งเอาคู่แรร์มาเขียนด้วย
ส่วนเรื่องจะจบ Happy ไหม ก็ขอให้ติดตามกันต่อไปแล้วกันนะคะ เพราะว่า พล็อตมีจนสุดปลายทางแล้ว
คงไม่มีการแก้พล็อตให้ออกทะเลไปมากกว่านี้ ถึงจะมีแผนเขียนอะไรแปลกๆอยู่เต็มหัวก็เถอะ
มีตอนพิเศษที่อยากเขียนอีกสักตอนสองตอน แต่เพื่อนที่อ่านตรวจทานให้ บอกว่า เอาเรื่องหลักให้รอดก่อน
นั่นสินะ เอาไว้จะพยายามต่อไปค่ะ จะเขียนให้เร็วที่สุด จะได้ปิดเรื่องสักที ไม่ดองแน่นอน
สุดท้าย ก็ใครที่แวะเวียนมา ก็ช่วยคอมเมนต์ทิ้งเอาไว้ด้วยนะคะ หรือถ้าติชม เนื้อเรื่องได้ก็จะเป็นพระคุณ
จะได้นำไปปรับปรุงแก้ไขฝีมือในการเขียน แล้วพบกันตอนหน้าค่ะ
ความคิดเห็น