ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KnB fic] You are my angel (AoKaga)

    ลำดับตอนที่ #7 : Extra : Angel without wings (ครึ่งหลัง)

    • อัปเดตล่าสุด 20 พ.ย. 56


    Title: Angel without wings
    Author: Monochrome bird
    Category: 
    Drama  ไร้สาระ
    Pairing: คิเสะ x คาซามัตสึ
    Rating: PG-13
    Disclaimer: ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นของอาจารย์ฟูจิมากิค่ะ พวกเราแค่ยืมมาจิ้นเล่นเท่านั้น 
    Author notes: สาบานได้ว่า ตอนแรกกะจะแต่งแค่ 20 กว่าหน้า ทำไมมันจบที่ 49 หน้า - -"


    +++++++++

    “คิเสะ นายไปทำบ้าอะไรกับคาซามัตสึซังมาเนี่ย”

    เสียงหงุดหงิดของโรเบิร์ตดังมาตามสาย อีกสามวันจะถึงเวลาที่พวกเขานัดกันว่าจะถ่ายแบบคอเล็กชั่นเกี่ยวกับบาสเก็ตบอลซึ่งเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้คิเสะยอมถ่ายคอเล็กชั่นนี้ก็คือ การได้พบกับคาซามัตสึซัง โรเบิร์ตเองก็จัดแจงนัดแนะ ใช้สารพัดวิธี จนคาซามัตสึซังตกลง แต่แล้วอยู่ๆ เจ้าตัวก็โทรมาบอกว่า ไม่อยากร่วมงานกับคิเสะ เรียวตะอีก แม้ว่าคาซามัตสึซังจะไม่ชอบทำงานกับนายแบบ แต่ก็ไม่เคยที่จะปฏิเสธคนไหนแบบจริงจังขนาดนี้ ถ้าจะว่ากันจริงๆ คาซามัตสึซังไม่เคยจำชื่อนายแบบคนไหนได้เลย นี่คงจะต้องไม่พอใจจริงๆ ถึงจำได้ทั้งชื่อ ทั้งนามสกุล

    “ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”

    “ฉันไม่เชื่อ บอกมาเดี๋ยวนี้ !!

    “จะให้บอกอะไรล่ะ ก็มันไม่มีอะไร”

    “งั้นนายเล่ามาให้หมดว่า วันนั้นที่ไปถ่ายงานของยามาโตะ เกิดอะไรขึ้นบ้าง”

    คิเสะจึงเริ่มเล่าตั้งแต่เจอกัน คุยงาน พูดคุยเรื่องบ้านเกิด ไปจนถึงตอนสุดท้ายที่ได้พูดความในใจออกไปจนหมดสิ้น หลังจากนั้นคาซามัตสึก็เดินหนีไป เดินไปเลยโดยไม่พูดอะไรสักคำ ยามาโตะก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วตะโกนเรียกชื่อเพื่อนไปพร้อมๆกับวิ่งตามไป ทิ้งให้ตัวเขางุนงงว่า เมื่อกี๊เขาพูดอะไรผิดไปหรือ เขาก็แค่พูดความจริงตามที่คิดเท่านั้น

    ...ไอ้งี่เง่า...

    นั่นคือคำเดียวที่โรเบิร์ตนึกออก หากคิเสะนั่งอยู่ตรงนี้ เขาคงจะต้องหาอะไรสักอย่างเขวี้ยงหัวเพื่อน เพื่อเรียกสติ พูดมาได้ว่าไม่ได้ทำอะไร แกทำเรื่องใหญ่แล้วต่างหาก ทีนี้จะทำยังไงกับงานถ่ายแบบดีล่ะเนี่ย อะไรๆก็เตรียมไว้พร้อมแล้ว แต่คาซามัตสึซังดันไม่ยอมมา เพราะความงี่เง่าของเจ้าคิเสะ

    “แล้วนายคิดบ้าอะไร ถึงไปพูดแบบนั้น”

    “ก็ยามาโตะซังถามนี่”

    ไอ้บ้านี่ มันโง่รึเปล่า !!! นั่นเขาแค่แซวเฉยๆ ไม่ได้จะให้นายตอบโว้ย สารภาพรักทั้งทีให้มันมีมาดหน่อยได้ไหม ไม่รู้ติดอันดับชายหนุ่มที่สาวๆอยากเป็นแฟนด้วยได้ยังไง งี่เง่าขนาดนี้ ส่วนเรื่องงานถ่ายแบบ ถ้าเกลี้ยกล่อมดีๆ หว่านล้อมว่าถ้าไม่มาเขาจะลำบากเรื่องงาน คาซามัตสึซังก็น่าจะยอมมา เพียงแต่ต้องคอยกันไม่ให้เจ้าคิเสะพูดอะไรบ้าๆอีก

    “คิเสะ...”

    “หือ ?”

    “วันถ่ายแบบน่ะ...”

    มีเสียงตอบรับเบาๆว่า ฟังอยู่ จากปลายสาย ก่อนที่โรเบิร์ตจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและจริงจังว่า

    “ห้ามนายพูดกับคาซามัตสึซัง แม้แต่คำเดียว !!!

    แน่นอนว่า มีเสียงอุทานออกมาดังลั่น พร้อมกับคำถามสารพัดและการโอดครวญโวยวายผสมกับการขู่ว่าจะไม่ยอมมาทำงาน โรเบิร์ตโต้กลับว่า ไม่กลัวงานยกเลิกหรอก เพราะถ้าไม่ทำแบบนี้ คาซามัตสึซังก็ไม่ยอมมาแน่ๆ แล้วงานก็ต้องยกเลิกอยู่ดี เพราะนายคงไม่มีทางยอมให้ฉันถ่ายคอเล็กชั่นนี้โดยไม่มีคาซามัตสึซัง

    “แต่นายบอกว่าจะช่วยฉัน...”

    “ฉันบอกว่า จะให้พวกนายเจอกัน...”

    “แต่ไม่ได้บอกว่า จะให้คุยกันสักหน่อย”

    โรเบิร์ตพยายามไม่ใส่ใจการโวยวายของคิเสะ ในตอนแรกเขาก็คิดจะช่วยเพื่อนอย่างบริสุทธิ์ใจ อยากให้เพื่อนได้ใกล้ชิดคนที่ตัวเองชอบ แต่พอเรื่องมาเป็นแบบนี้แล้ว โรเบิร์ตผู้ให้ความสำคัญกับงานมาเป็นอันดับหนึ่ง ก็เปลี่ยนใจในทันที เรื่องราวความรักของคิเสะจะเป็นอย่างไรก็ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่า งานของเขาสำเร็จเรียบร้อยก็แล้วกัน

    “ตกลงจะรับงานหรือไม่รับงาน”

    โรเบิร์ตถามขึ้น ทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว คิเสะเป็นคนที่อยากได้อะไรแล้วต้องได้ อยากทำอะไรก็จะทำเต็มที่ เพราะฉะนั้นอีกฝ่ายไม่มีทางถอยด้วยเรื่องแค่นี้หรอก ยิ่งเป็นคนที่เจ้าตัวสนใจ ถึงขนาดไปเที่ยวถามข้อมูลกับคนอื่นว่าคนคนนี้เป็นใคร ยิ่งไม่มีทางที่จะล้มเลิกความคิดที่จะได้เจออย่างแน่นอน

    “รับสิ !!

    “ดี งั้นเงื่อนไขมีสามข้อ”

    “ทำไมมีตั้งสามข้อ !!

    “หนึ่ง...”

    โรเบิร์ตยังคงพูดต่อไปโดยไม่สนใจการโวยวายของคิเสะ เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายฟังอยู่และตั้งใจฟังด้วย แค่โวยวายไปอย่างนั้นเอง นิสัยนี้เป็นนิสัยที่ผู้จัดการและบรรดาผู้ร่วมงานทั้งหลายที่ผ่านมา ดูไม่ออก แต่โรเบิร์ตมองเห็นได้อย่างชัดเจน คิเสะแค่ชอบโวยวาย แต่ไม่ได้เรื่องมากอะไรจริงๆเท่าไรหรอก ทุกคนแค่แตกตื่นแล้วก็คิดไปเองว่า จะต้องเอาอกเอาใจมัน

    “หนึ่ง...ห้ามคุยกับคาซามัตสึซัง”

     “รู้แล้วน่า !!

    “สอง...ห้ามแตะตัวคาซามัตสึซัง”

    “เคยได้แตะที่ไหนเล่า !!

    “สาม...ห้ามทำให้คาซามัตสึซังโกรธ”

    “ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย !!

    “สี่...”

    “ทำไมมีสี่ แค่สามข้อไม่ใช่เหรอ !!

    แน่นอนว่า โรเบิร์ตยังคงไม่สนใจเสียงคัดค้านของคิเสะและพูดต่อไป กฎข้อสี่ ห้า หกและข้ออื่นๆนั้น เป็นเรื่องไร้สาระเล็กๆน้อยๆ ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เช่น ห้ามถ่ายรูป ห้ามขอเบอร์ ห้ามตามไปบ้าน ห้ามเก็บเส้นผมไปเป็นของที่ระลึก

    “ห้ามเข้าใกล้เกินระยะหนึ่งเมตร !!!

    แล้วกฎข้อสุดท้ายก็ออกมา พูดง่ายๆก็คือ ให้เขายุ่งเกี่ยวกับคาซามัตสึซังให้น้อยที่สุดนั่นเอง โชคดีที่โรเบิร์ตยังไม่จับเขาขังเอาไว้ในห้องที่มีเครื่องฟอกอากาศ เพราะกลัวว่าอากาศที่เขาหายใจจะไปปะปนกับของคาซามัตสึซัง

    “โอเค เข้าใจแล้วน่า”

    คิเสะรับปากไปเพื่อตัดรำคาญ แต่ที่จริงแล้วเจ้าตัวไม่คิดจะทำตามสัญญาหรอก โอกาสเจอกับคาซามัตสึซังนั้นหาง่ายๆที่ไหน ยิ่งได้ยินว่าอีกฝ่ายกำลังโกรธเขาอยู่ ต้องหาทางแก้ไขปัญหานั้นให้ได้ ไม่งั้นความรักในครั้งนี้ของเขาคงไม่มีวันสำเร็จแน่ๆ

    “เข้าใจก็ดี งั้นเจอกันตอนแปดโมง”

    “อย่าสายล่ะ”

    “คาซามัตสึซัง...ไม่ชอบคนมาสาย...”

    ++++++++++

    ฉากที่ถ่ายทำคอเล็กชั่นในครั้งนี้เป็นโรงยิมที่มีเครื่องทำความร้อนอย่างครบครัน ทำให้คิเสะที่ต้องเปลี่ยนเป็นชุดกีฬา ไม่ต้องทนหนาวในอุณหภูมิที่เป็นเลขหลักเดียวของฤดูหนาว ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆอย่างคิดถึง บรรยากาศนั้นไม่แตกต่างจากที่ไคโจวมากนัก และทำให้คิดถึงใครอีกคน

    ...สักวัน นายจะต้องเจอคนที่นายรักจริงๆแน่...

    คำพูดของคนคนนั้นดังแว่วเข้ามาในห้วงความคิด ทำไมถึงรู้ได้ล่ะคากามิจจิ ว่าฉันจะได้เจอคนคนนั้น จะหลงรักจนยอมทำทุกอย่าง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้มันดูไร้เหตุผลเสียจนน่าหัวเราะ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เกิดขึ้นแล้วและส่วนลึกในใจฉันก็รู้ดีว่า มันไม่มีวันจางหาย

    ...ฉันจะรักคนคนนี้...ไปจนชั่วนิรันดร์...

    เมื่อเซ็ทฉากเรียบร้อยแล้ว โรเบิร์ตก็โบกไม้โบกมือให้เขาเข้ามา ทีมงานมีจำนวนน้อยมาก มีแค่ช่างแต่งหน้าหนึ่งคน ช่างไฟอีกหนึ่งคนและตากล้องอีกหนึ่งคน ซึ่งคนที่รับบทเป็นช่างแต่งหน้านั้นก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน เป็นผู้จัดการของเขาเอง เพิ่งมารู้จากโรเบิร์ตว่า ผู้จัดการของเขา มีความสามารถในการแต่งหน้าอยู่ไม่น้อย เพียงแต่เธอรักที่จะทำอาชีพผู้จัดการมากกว่า ส่วนช่างไฟหรือที่โรเบิร์ตบอกให้เขาเรียกว่า ผู้ช่วยช่างภาพนั้น ก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกเหนือจากเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่ทำให้เขามายืนอยู่ตรงนี้

    “คาซามัตสึซัง รบกวนขยับอันนั้นถอยไปอีกหน่อย”

    “ได้”

    คาซามัตสึซังนั้นแสดงท่าทีปกติกับเขา ทั้งการทักทาย การพูดจา และลักษณะของการทำงานก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิมเลยสักนิด แต่ไม่รู้ทำไม เขาถึงรู้สึกได้ถึงความห่างเหินเสียจนในใจนั้นเจ็บแปลบ เขาเผลอมองตามอีกฝ่ายที่เดินไปรอบๆเพื่อจัดมุมแสงไฟตรงนู้นตรงนี้ จนเสียสมาธิไปหลายครั้ง โรเบิร์ตเองก็ถอนหายใจแทบจะทุกครั้งที่ต้องตะโกนเรียกชื่อเขา เพื่อดึงสติกลับคืนมา

    “เป็นอะไรไป ถึงได้ทำหน้าอย่างนั้น”

    คำพูดนั้นจะดูแสดงความเป็นห่วงเป็นใย หากไม่ต่อด้วยคำว่า จะเป็นอะไรก็รอหลังงานเสร็จสิ ตอนนี้ทำหน้าตาให้มันดีๆหน่อย คิเสะยังไม่ทันจะอ้าปากตอบโต้เพื่อน คาซามัตสึซังก็เดินตรงเข้ามา พูดคุยอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องแสงและฉาก ช่างภาพทั้งสองพูดคุยกันด้วยศัพท์แสงที่เขาฟังไม่ค่อยเข้าใจ ก่อนที่คาซามัตสึซังจะเดินกลับไปจัดไฟต่อ

    “นี่...นายเอาคาซามัตสึซังมาเป็นผู้ช่วยเหรอ”

    “ใช่ ไม่งั้นจะให้เขาทำอะไรล่ะ”

    คิเสะลืมนึกไปว่า โรเบิร์ตเป็นช่างถ่ายภาพ ไม่ใช่ผู้รับผิดชอบหรือผู้ออกไอเดียการถ่ายแบบ เหมือนอย่างยามาโตะ สิ่งที่โรเบิร์ตอยากทำหรืออยากได้นั้น จะต้องผ่านทางปลายนิ้วของตัวเอง ในรูปแบบของตัวเอง เพื่อให้ได้ออกมาตามที่ตัวเองต้องการมากที่สุด

    “นึกว่า คาซามัตสึซังจะเป็นคนถ่ายซะอีก”

    ไม่พูดเปล่า แถมยังเบะปากไปข้างๆแบบเด็กๆเสียจนหมดหล่อ โรเบิร์ตหัวเราะเพราะนึกขำกับท่าทางแบบนั้น แล้วก็แอบเอาสมุดที่อยู่แถวนั้นตีหัวไปแรงๆหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ เจ้าบ้านี่เป็นโรคคาซามัตสึซังลิซึ่มไปเสียแล้ว อะไรๆก็คาซามัตสึซังตลอด เดี๋ยวนี้โลกของนาย หมุนได้ด้วยคาซามัตสึซังแล้วหรือไง

    “งานของฉันเว้ย !! จะให้คนอื่นถ่ายได้ยังไงเล่า”

    ถึงจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนดุดัน แต่ที่จริงโรเบิร์ตออกแนวขำมากกว่า ไม่รู้เกิดมีกามเทพหรืออะไร ยิงศรรักมาปักอก เพื่อนเขาถึงได้ตกอยู่ในห้วงรักถึงขนาดนี้ ตอนแรกคิดว่า เป็นความท้าทาย เพราะปกติจะมีแต่คนเข้าหา พอเจอคนเฉยๆอย่างคาซามัตสึซังก็เลยสนใจขึ้นมา แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ นี่มันเกินระดับคำว่า ท้าทายไปแล้ว

    “ตั้งใจทำงานด้วยล่ะ คิเสะ”

    “แล้วจะตบรางวัล บอกความลับของคาซามัตสึซังให้อย่างหนึ่ง”

    ระหว่างที่คิเสะกำลังหูผึ่งกับคำว่าความลับของคาซามัตสึซัง ก็มีใครบางคนมาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย คนที่ก้าวเข้ามาในโรงยิมคือยามาโตะ ชายหนุ่มเอ่ยทักทายคาซามัตสึอย่างสนิทสนม ก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้กับผู้จัดการซึ่งตอบรับด้วยการหันหน้าหนี โรเบิร์ตลุกขึ้น เดินไปทักทายตามมารยาท ก่อนที่ยามาโตะจะเฉลยว่า ตัวเองมาที่นี่ตามคำชวนของคาซามัตสึ

    “ไม่ได้ชวนเสียหน่อย”

    คนที่ถูกยกมากล่าวอ้างว่าชวน ปฏิเสธในทันทีที่ได้ยินชื่อของตนเอง พร้อมกับสำทับว่า แค่เล่าให้ฟังเฉยๆว่ามีงานอะไร อยู่ๆก็ตามมาเอง ว่าแต่หาสถานที่เจอได้ยังไง ไม่ได้บอกสถานที่เสียหน่อย ยามาโตะขยิบตาให้ก่อนจะตอบคำถามนั้นว่า เขามีเครือข่ายอยู่ เรื่องแค่นี้สบายมาก

    “ก็อยากมาดูคิเสะ เรียวตะในคอเล็กชั่นบาสเก็ตบอลนี่นา”

    “เมื่อก่อนจะขอร้องยังไงก็ไม่ยอม”

    “อยากรู้จังเลยน้า ว่าทำยังไง”

    ที่จริงยามาโตะเองก็เคยพยายามใช้คิเสะเป็นนายแบบ เกี่ยวกับอุปกรณ์กีฬา ซึ่งในตอนนั้นฉากเป็นการแข่งขันบาสเก็ตบอล ไม่ว่าจะหว่านล้อม หลอกล่ออย่างไร คิเสะก็ปฏิเสธท่าเดียว นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตยามาโตะที่ไม่สามารถทำให้คิเสะตกลงยินยอมตามที่ต้องการได้

    “ขอสังเกตการณ์สักหน่อย ไม่รู้จะรบกวนไหม”

    “ได้ครับ ไม่มีปัญหา”

    โรเบิร์ตเว้นจังหวะ ก่อนจะขยับยิ้มที่มุมปาก มันเป็นรอยยิ้มทางการค้าของชายหนุ่มที่สาวๆหลายคนหลงใหล แต่หากเคยทำงานด้วยกันแล้ว จะรู้ว่า มันเป็นรอยยิ้ม ยามเมื่อโรเบิร์ตกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง ที่เจ้าตัวคิดว่า จะต้องทำให้รอบข้างนิ่งอึ้งตะลึงงันไปตามๆกัน

    “เพียงแต่ทีมงานเราคนน้อย”

    “อยากให้ช่วยงานหน่อย ไม่รู้จะรบกวนไหม”

    ฟังยังไงก็รู้ว่า เป็นการเลียนแบบคำพูดของยามาโตะ ซึ่งเจ้าตัวก็ดูไม่ได้โกรธเคืองอะไร ซ้ำยังหัวเราะชอบใจ บอกว่า ได้เลย ถ้าทำได้ล่ะก็นะ แต่เรื่องแสงเงา ไม่ค่อยเก่ง งานแบกหาม งานกุลี ไม่ใช้สมองทำได้ ขอแค่สั่งมาให้ชัดเจนเท่านั้นเอง

    คิเสะลอบมองทั้งสามคนพูดคุยและถกเถียงกันอย่างออกรส คนที่ดูอารมณ์เสียที่สุดน่าจะเป็นคาซามัตสึซัง เพราะริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง คิ้วขมวดผูกเป็นโบว์ ส่วนโรเบิร์ตยังรักษาแบบฉบับไว้ด้วยรอยยิ้มบางๆ พูดจาสุภาพ แต่แอบจิกกัดหรือปล่อยมุกตลก แล้วแต่วาระโอกาส คนที่ดูสนุกที่สุดคงเป็นตัวแถมอย่างยามาโตะ ที่ทั้งหัวเราะ ทั้งตบมือ แล้วก็พูดเสียงดังด้วยความรู้สึกร่าเริงสนุกสนาน คนสามคนที่ไม่เหมือนกันเลยสักนิด กลับดูผสมกลมกลืน ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ

    การทำงานนั้นเป็นไปด้วยดีขึ้น เมื่อยามาโตะเข้ามาร่วมด้วย คงเพราะเจ้าตัวมีประสบการณ์ในการทำงานด้านนี้มามากมายในฐานะผู้รับผิดชอบหลัก ต่างจากโรเบิร์ตที่เป็นแค่ช่างถ่ายภาพ แม้จะรู้ดีว่า ถึงวิธีการถ่ายภาพว่าจะให้แสงเงาออกมาเป็นอย่างไร แต่การจัดองค์ประกอบและลูกเล่นอื่นๆนั้น ยามาโตะดูจะเชี่ยวชาญกว่า

    “นี่ ลองให้คาซามัตสึถ่ายสักเซ็ทสิ”

    “ไม่เอาหรอกครับ”

    โรเบิร์ตปฏิเสธทันควันจนคิเสะเองยังรู้สึกแปลกใจ

    “ขืนให้คาซามัตสึซังถ่าย รูปที่ผมถ่ายก็หมดราคาสิครับ”

    “น่าๆ รูปเดียวก็ได้”

    ไม่นานนักคาซามัตสึก็ถูกลากเข้าไปในวงของการรบเร้าและการต่อรองที่มีท่าทีว่าจะไม่จบลงง่ายๆ คิเสะรู้สึกเบื่อๆ ประกอบกับคิดถึงการเล่นบาสเก็ตบอล เจ้าตัวจึงนำลูกบาสในมือมาเล่น เลี้ยงไปมาในสนาม แล้วกระโดดขึ้นดังค์ลูกลงไปในห่วง คงเพราะไม่ได้เล่นมานาน วิ่งแค่แป๊บเดียวก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว แถมยังมีเหงื่อไหลออกมาอีก

    “สุดยอด !!!

    คิเสะหันไปมองตามเสียงนั้น ปกติแล้วคำเอ่ยชมหลังมีคนดังค์ลูกลงไปในห่วงอย่างสวยงามจะต้องไปของนักกีฬา แต่ครั้งนี้คำชมนั้นตกเป็นของตากล้องร่างเล็กผู้มีผมสีดำสนิท คิเสะไม่รู้ตัวเลยว่าถูกถ่ายรูปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พอมาไล่ดูภาพแล้วก็พบว่า เขาถูกถ่ายรูปไปหลายต่อหลายครั้ง ระหว่างที่กำลังเล่นบาสแก้เบื่อ ทั้งที่เป็นเวลาไม่นานเท่าไร แต่กลับถ่ายภาพของเขาได้มากมาย

    “สมกับเป็นคาซามัตสึซามะ”

    ยามาโตะตั้งใจเปลี่ยนคำตามหลังให้กลายเป็น “ซามะ” เพื่อเป็นการแซวเพื่อนของตัวเอง แต่ทุกคนที่อยู่ที่นั้นเอง ก็ได้ประจักษ์แก่สายตาถึงฝีมือของคนคนนี้ เพราะทุกภาพนั้น เป็นการดึงพลังของคิเสะออกมาอย่างชัดเจน ราวกับว่าภาพถ่ายเหล่านั้นสามารถเคลื่อนไหวได้ เหมือนคิเสะกำลังพุ่งทะยาน กำลังกระโดดหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำอยู่ ยิ่งเป็นภาพที่ดังค์ด้วยแล้วล่ะก็ ยิ่งดูสุดยอดเข้าไปใหญ่

    “สงสัยต้องแยกเล่มกันแล้วล่ะมั้ง เดี๋ยวรูปผมหมองหมด”

    ถึงโรเบิร์ตจะพูดอย่างนั้น แต่ที่จริงรูปของเขามีเสน่ห์ในมุมที่แตกต่างออกไป มันดูสบายๆเหมือนคิเสะเป็นนักกีฬาที่แอบมาซ้อมในวันหยุด โอบล้อมไปด้วยความสดใสร่าเริงและสนุกสนาน ราวกับว่า เด็กหนุ่มในภาพนั้น รักบาสเก็ตบอลยิ่งกว่าสิ่งใด หากจะบอกว่าเซ็ทไหนดีกว่า ก็คงจะตอบยาก เพราะมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

    “ขอฉันทำโปรเจคนี้ต่อได้ไหม ?”

    ยามาโตะดูจะสนอกสนใจโปรเจค คอเล็กชั่นภาพถ่ายนี้เป็นอย่างมาก ที่จริงโรเบิร์ตตั้งใจให้ออกเป็นหนังสือรวมภาพที่กะว่าสาวๆจะต้องซื้อมาเก็บสะสมเอาไว้ แต่ดูเหมือนยามาโตะจะมีแผนที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ซึ่งโรเบิร์ตเองก็ดูจะเห็นด้วยอยู่เหมือนกัน ถึงไม่ได้คัดค้านอะไร ระหว่างที่คนทั้งสองกำลังวางแผนกันอยู่ คาซามัตสึก็ขอตัวกลับ

    “อ้าว ? กลับเร็วจังเลยนะ”

    “ก็ไม่มีอะไรแล้วไม่ใช่เหรอ”

    ดวงตาสีดำคมกริบนั้น หันมาสบสายตากับเขา ก่อนที่จะเอ่ยลาเป็นคำสั้นๆ แทนที่เขาจะกล่าวคำอำลาแต่โดยดี คิเสะกลับถามคำถามที่ทำให้ทุกคนต้องหันมามองหน้าเขาอีกครั้ง

    “เราจะได้เจอกันอีกหรือเปล่าครับ ?”

    “ทำไมนายถึงต้องอยากเจอฉันด้วยล่ะ ?”

    ดวงตาสีดำที่กำลังจ้องมองมานั้น เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่าง สิ่งที่ทำให้ผมหลงใหลได้เพียงแค่ชั่วพริบตาที่มองเห็น คำถามที่คุณถามผมนั้น ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันครับ คาซามัตสึซัง ว่าทำไมผมถึงอยากเจอคุณ ผมถึงคิดถึงคุณอยู่ตลอดเวลา ทำไมผมถึงได้ตกหลุมรักคุณ ตั้งแต่แรกเห็น

    “เพราะผม...”

    แม้จะรู้สึกได้ถึงไอสังหารแห่งความไม่พอใจที่แผ่พุ่งออกมาจากโรเบิร์ต แถมยังจ้องผมเขม็งราวกับอยากจะหักคอซะให้ได้ อย่างไรก็ตามผมก็จะพูดในสิ่งที่หัวใจผมพูด ในสิ่งที่ผมคิดและในสิ่งที่ผมรู้สึก ผมจะไม่โกหกตัวเองและคนที่ผมรัก ฉะนั้นสิ่งที่หลุดลอดออกจากริมฝีปากไปนั้นก็คือ

    “เพราะผม...รักคุณ...”

    การสารภาพครั้งที่สองของคิเสะ เรียวตะนั้น ช่างเรียบง่ายไม่แตกต่างจากครั้งแรก เพียงแต่มีประจักษ์พยานเพิ่มขึ้นจากหนึ่งเป็นสอง เท่านั้นเอง ครั้งนี้คาซามัตสึไม่ได้เดินหนีไป แต่จ้องหน้าคิเสะเขม็ง เหมือนต้องการจะมองให้ทะลุเข้าไปเห็นถึงจิตใจภายในว่า แท้ที่จริงแล้ว คนตรงหน้าต้องการอะไรกันแน่

    “นายพูดจริงเหรอ ?”

    คิเสะพยักหน้าเร็วๆแทนคำตอบ จากนั้นบรรยากาศรอบข้างก็ถูกความเงียบเข้ากัดกิน มันช่างมืดมัวและลึกลับเหมือนท้องฟ้าก่อนฝนตก ที่จะมีฟ้าผ่าลงมาได้ทุกเมื่อ ประจักษ์พยานทั้งสองเริ่มอยากถอยห่างเข้าสู่ฐานทัพที่มีสายล่อฟ้าคุ้มกัน เพื่อไม่ให้โดนลูกหลงไปด้วย

    “พวกนายแบบ...มันก็เป็นซะอย่างนี้แหละ...”

    หลังจากเล่นเกมจ้องตาในความเงียบกันอยู่พักหนึ่ง คาซามัตสึก็เป็นฝ่ายพูดก่อน ก่อนที่จะเดินหนีไปไม่ต่างจากครั้งก่อน แต่คราวนี้คิเสะเอื้อมมือไปจับแขนของอีกฝ่ายเอาไว้ แล้วกระชากตัวกลับมาอย่างแรง ท่ามกลางความตกใจของทุกคนที่อยู่ในที่ตรงนั้น

    “พูดแบบนั้นหมายความว่ายังไงครับ”

    น้ำเสียงดุดันที่น้อยครั้งจะได้ยินจากปากของคนทื่ชื่อคิเสะ เรียวตะ ดวงตาสีทองคู่นั้นเป็นประกายวาวโรจน์อย่างน่ากลัว ริมฝีปากที่ไม่มีรอยยิ้มแต่งแต้ม ดูเฉยชาเสียจนน่ากลัว ราวกับว่าคนที่อยู่ตรงนั้นไม่ใช่คิเสะ เรียวตะที่ทุกคนเคยรู้จัก แต่คาซามัตสึนั้นไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวเลยสักนิด ชายหนุ่มขยับยิ้มที่มุมปากราวกับได้รับชัยชนะ

    “ก็นายแบบอย่างพวกนาย มันเชื่อถือได้ที่ไหนล่ะ”

    “เที่ยวโปรยคำหวานใส่คนนู้นคนนี้”

    “คำว่าชอบ คำว่ารักน่ะ คงพูดอยู่ทุกวันเลยล่ะสิ”

    คำพูดมากมายที่ออกจากริมฝีปากนั้น ทุกคำล้วนแต่เป็นคำกล่าวหาอันเลวร้าย ตั้งใจจะสร้างความเจ็บปวดให้แก่อีกฝ่าย แต่ไม่รู้ว่าทำไม คิเสะถึงได้รู้สึกว่า คนที่เจ็บปวดกับคำพูดเหล่านั้นมากที่สุดก็คือ ตัวคนพูดเอง

    “คนที่พูดคำว่ารักออกมาได้ง่ายๆน่ะ...”

    “ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นจริงๆหรอก...”

    นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตของคิเสะ เรียวตะที่รู้สึกว่า สิ่งที่ตัวเองทำลงไปนั้นผิดพลาดอย่างมหันต์ เขาไม่คิดว่า การแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา จะสร้างความเจ็บปวดให้แก่คนตรงหน้าได้มากขนาดนี้ ถึงจะไม่เข้าใจว่า ทำไมคาซามัตสึถึงคิดหรือรู้สึกเช่นนั้น แต่คิเสะมั่นใจว่า มันคือความเจ็บปวดอย่างแน่นอน

    “ถ้าเข้าใจ...ก็ปล่อยได้แล้ว”

    คาซามัตสึแกะมือของคิเสะออกจากแขนอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินจากไป คนที่ก้าวไวๆตามหลังไปในทันทีคือยามาโตะ คิเสะไม่รู้แล้วว่า ตรงหน้ามีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น เพราะภาพทั้งหมดพร่ามัวไปด้วยหยดน้ำตา

    ++++++++++

    นับตั้งแต่วันนั้น คิเสะก็เฝ้าแต่ถามตัวเองว่า ควรจะทำอย่างไรต่อไปดี เพราะสิ่งที่เขาคิดและเขาเชื่อว่าตัวเองควรจะทำทั้งหมด กลับทำลายความสัมพันธ์ ก่อกำแพงแห่งความเกลียดชังระหว่างเขาและคาซามัตสึซัง จากนี้ไปเขาควรจะทำอย่างไร ถึงจะเชื่อมโยงความสัมพันธ์กลับคืนมาได้ หรือว่า เขาควรจะตัดใจ

    ...ถ้าตัดใจได้...ก็ดีสิ...

    เขาคิดมาเป็นล้านๆหนว่า เรื่องนี้คงไม่มีทางออกอื่น นอกจากตัดใจ เพราะว่า เขาคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทัศนคติของตัวเองได้ภายในเวลาแค่แป๊บเดียว ในทางกลับกันหากเขาเปลี่ยนแปลงตัวเองไปแล้ว จะมีอะไรหลงเหลืออยู่อีก เขาจะกลายเป็นเช่นไร มันไม่ยิ่งกลายเป็นการลวงหลอกหรอกหรือ

    หากแต่สุดท้าย...เขาก็ยังคิดถึงคนคนนั้น...

    คิเสะรู้สึกเหมือนตัวเองเดินอยู่ในทางวงกตที่ไร้แสงสว่าง มองไปทางใดก็ไม่มีทางออกจากความทุกข์นี้ ไม่ว่าจะพยายามเพียงใดก็ไม่อาจตัดใจได้ ไม่ว่าจะตื่นหรือจะนอน จะมองไปทางใด ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงคนคนนั้น มันเป็นเรื่องที่แสนงี่เง่า งี่เง่าเหลือเกินจนแทบทนตัวเองไม่ได้ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ จะให้ทำอย่างไร

    “สภาพดูไม่จืดเลยนะ...”

    โรเบิร์ตมาหาเขาที่มหาวิทยาลัย พร้อมเอ่ยทักทายด้วยคำพูดไม่ค่อยน่าฟัง เขารู้ตัวว่า ตอนนี้ดูแลตัวเองไม่ดีเท่าไร เพราะมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับปัญหาที่ไร้ทางออก อย่างไรก็ตามเขาก็รู้ดีว่า โรเบิร์ตมาหาเพราะความเป็นห่วง เนื่องจากเขาปฏิเสธไม่รับงานเป็นเวลานานเกือบสองเดือน ได้ยินจากผู้จัดการว่า เริ่มมีข่าวลือว่าเขาป่วยหนักใกล้ตาย

    “ไง ช่วงนี้ฉันไม่รับงานนะ”

    “เหอะ รู้แล้วล่ะน่า ไม่ได้มาเพราะเรื่องนั้นหรอก”

    มีอะไรบางอย่างถูกยัดใส่มือของคิเสะ เป็นซองจดหมายสีขาวสะอาดตา พลิกข้างหน้ามีการพิมพ์ด้วยตัวหนังสือสวยงามเป็นชื่องานแฟชั่นโชว์ที่จะจัดขึ้นยังมิลาน ณ กรุงปารีส เป็นงานแฟชั่นของแบรนด์หน้าใหม่ที่กำลังโด่งดังอยู่ในขณะนี้ ไม่ว่าใคร ถ้าอยู่วงการนี้ก็ต้องรู้จัก

    “นี่อะไร ?”

    “บัตรผ่าน”

    คิเสะกำลังจะอ้าปากบ่นว่า นี่มันก็เรื่องงานชัดๆ แต่โรเบิร์ตขัดขึ้นมาก่อนว่า งานนี้เป็นงานดังมากเลยนะ ไม่ว่านิตยสารไหนก็ต้องเดินทางไปทำข่าวถ่ายรูป แล้วใครบางคนก็โดนบังคับให้ไปถ่ายรูปในงานนี้ ทั้งที่เจ้าตัวต่อรอง ขอร้อง ขู่เข็ญ แต่ยังไงหัวหน้าก็ยังบังคับให้ไปให้ได้ เพราะเห็นฝีมือที่ถ่ายรูปนาย

    ภายในหัวคิเสะหมุนติ้ว พยายามประมวลผลสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่และสรุปใจความได้สั้นๆว่า นั่นคือการช่วยเหลือของโรเบิร์ต เพื่อให้เขาได้เจอคาซามัตสึซัง เพราะถึงเขาจะมีชื่อเสียงอย่างไร ก็ยังเป็นนายแบบโนเนม ระดับเบบี้สำหรับเวทีใหญ่ขนาดนี้

    “นายจะช่วยฉันเหรอ ?”

    “ใช่ ถึงนายจะละเมิดกฎทุกข้อที่ฉันตั้ง ทั้งพูดคุย ทั้งแตะตัว ทั้งทำให้โกรธ แต่ว่า...”

    “ฉันจะช่วยนาย...”

    ที่จริงโรเบิร์ตก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่ทั้งสองคนมีเรื่องทะเลาะกันในช่วงที่ถ่ายแบบงานของเขา ถึงสาเหตุสำคัญจะมาจากคิเสะเองก็เถอะ แต่โรเบิร์ตก็ยังรู้สึกว่า ตัวเองมีส่วนที่จะต้องชดใช้

    “แล้วฉันจะเข้าไปในฐานะอะไรล่ะ ?”

    หากเป็นบัตรผ่านจากโรเบิร์ต ก็คงไม่พ้นเรื่องการเป็นตากล้องแน่ๆ ซึ่งคิเสะไม่มีความสามารถในด้านนี้เลยแม้แต่นิดเดียว หรือว่าโรเบิร์ตจะใจดีให้เขาติดสอยห้อยตามไปโดยไม่ต้องทำอะไร

    “ก็ลองเปิดในซองดูสิ”

    คิเสะค่อยๆเปิดซองออกดูอย่างทนุถนอม ภายในเขียนลายมืออย่างสวยงาม เขียนด้วยภาษาอันไพเราะ แต่แปลได้ใจความได้อย่างเดียวว่า อยากให้คิเสะไปทำงานเดินแบบที่งานนี้ โดยมีกำหนดการเรื่องวันเวลาซ้อมเขียนไว้อย่างชัดเจน ซึ่งเจ้าตัวก็ค่อยๆเงยหน้ามองดูโรเบิร์ตอย่างช้าๆ เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังส่งยิ้มมาให้

    “เผอิญเพื่อนฉันที่เป็นดีไซน์เนอร์ของแบรนด์นี้ เขาเห็นนายแล้วถูกใจมากๆ ก็เลยขอร้องให้ฉันช่วยน่ะ”

    สุดท้ายแล้วโรเบิร์ตก็ยังคงเป็นโรเบิร์ต และสิ่งที่อยู่ในซองก็เป็น...

    ...งาน...นั่นเอง...

    ++++++++++

    นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของคิเสะ เรียวตะที่จะได้เดินแบบ ถึงจะถ่ายแบบมาหลายต่อหลายหน แต่ก็ไม่เคยเดินแบบเลยสักครั้ง เมื่ออยู่ท่ามกลางนายแบบมืออาชีพ คิเสะรู้สึกได้เลยว่า ตัวเองช่างอ่อนด้อยเพียงใดในวงการนี้ โชคยังดีที่เพื่อนของโรเบิร์ตที่เป็นดีไซน์เนอร์หลัก อยากได้ตัวเขามาก จนยอมสละเวลาอันมีค่าลงมาสอนเขาเดินแบบด้วยตัวเอง

    ดีไซน์เนอร์ครั้งนี้เป็นชายหนุ่มผิวสีเข้มที่ย้อมผมเป็นสีเทาอ่อน แต่งหน้าด้วยสีมุกเป็นประกายวิบวับ ตัดกับสีผิวอย่างสิ้นเชิง เสื้อผ้าที่ใส่นั้นถูกออกแบบและตัดเย็บมาอย่างดี สมกับเป็นดีไซน์เนอร์ เพียงแต่สีของมันฉูดฉาดเสียจนคิเสะนึกสงสัย ว่าจะมีสักกี่คนบนโลกที่กล้าใส่มัน

    “นั่นแหละๆ คิเสะจัง”

    “ก้าวไปเรื่อยๆ เชิดหน้าขึ้นไว้ วันจริงอาจจะแสบตาหน่อยเพราะแสงแฟลช แต่อย่าหลับตาเด็ดขาด”

    คำว่า คิเสะจัง ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่า คนตรงหน้าไม่ใช่ชายหนุ่มมาดแมน แต่เป็นหญิงสาวในร่างของผู้ชาย แม้จะถูกโรเบิร์ต เรียกว่าเดวิด แต่คนรอบข้างทั้งหมดจะเรียกเธอว่า แดฟเน่ ซึ่งแม้ดูเธอหรือเขาจะชอบชื่อหลังมากกว่า แต่ก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรกับการถูกเรียกว่า เดวิด

    “เก่งมาก หัวไว สมกับที่ฉันหมายตาไว้”

    ถึงจะได้รับคำเอ่ยชม แต่ที่จริงช่วงแรกของการซ้อมคิเสะปวดไปทั้งตัว เพียงแค่เดิน หมุนตัวแล้วก็ยิ้ม กลับสร้างภาระให้บรรดากล้ามเนื้อของร่างกายอย่างมหาศาล ทั้งๆที่เขาก็เป็นคนชอบเล่นกีฬาและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่พอผ่านไปได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ ร่างกายก็เริ่มปรับตัว อาการปวดทั้งหลายก็เบาบางลงจนตอนนี้แทบไม่รู้สึก

    “แดฟเน่”

    ทีมงานคนหนึ่งเรียกชื่อ แล้วกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหู ใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นในทันที ก่อนที่เธอจะทันได้สั่งการอะไร ใครคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาในห้องโถง พร้อมด้วยเสียงผิวปากอันเป็นเอกลักษณ์

    ยามาโตะกำลังยืนอยู่ที่บริเวณประตู ผิวปากเป็นจังหวะที่เขาจะทำต่อเมื่อ ถูกใจอะไรบางอย่างมากๆ ดูท่าทางเขาจะเป็นปลื้มกับสถานที่แห่งนี้อยู่ไม่น้อย แม้ว่ามันจะเต็มไปด้วยความโกลาหลของการซ้อม ตกแต่งและปรับปรุง ชายหนุ่มเดินมาทางแดฟเน่ แล้วก้มลงจูบที่แก้มเบาๆเป็นการทักทาย

    “ไฮ แดฟเน่ ไม่ได้เจอกันนานนะ”

    “ดีใจที่คุณมานะ ยามาโตะ”

    “เป็นคำขอร้องของคุณทั้งที ผมจะไม่ตกลงได้ยังไงล่ะ”

    “ปากหวานเหมือนเคยนะ”

    จากนั้นแดฟเน่จึงแนะนำตัวยามาโตะกับทีมงานทุกคน บอกว่าเขาคนนี้จะมารับผิดชอบการจัดงานให้เป็นไปตามธีมที่ตั้งเอาไว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจระคนยินดี เพราะปกติแล้วยามาโตะไม่รับงานออแกไนซ์ที่ไหน เจ้าตัวชื่นชอบที่จะกำหนดธีมด้วยตัวเอง งานที่ถนัดที่สุดคงเป็นการทำโฆษณาสินค้าชนิดต่างๆ

    “ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ ทุกคน”

    ปากก็พูดไปอย่างนั้นแหละแล้วจะได้เห็นปีศาจจอมเอาแต่ใจ ถึงทีมงานจะเป็นสาวกลัทธิยามาโตะก็เถอะ แต่ครั้งนี้เป็นงานออแกไนซ์ ฉะนั้นคงต้องมีปะทะกับทีมงานตัวจริงบ้างแหละ ตอนนี้อาจจะหลงใหลได้ปลื้มไปกับรอยยิ้มอันเป็นมิตร แต่เดี๋ยวก็จะได้เห็นว่า คนคนนั้นดื้อรั้นจะเอาอย่างที่ตัวเองอยากได้ขนาดไหน

    “เห็นว่า ช่วงนี้ไม่รับงานไม่ใช่เหรอ”

    ยามาโตะเอ่ยถามเขาแทนคำทักทาย หลังจากที่กล่าวแนะนำตัวและทักทายคนอื่นๆที่เพิ่งรู้จักกันเป็นครั้งแรกเรียบร้อยแล้ว คิเสะแอบเหล่ตาไปมองดีไซน์เนอร์คนสำคัญ พอมั่นใจว่า อยู่ไกลเกินระยะได้ยิน จึงค่อยตอบคำถามนั้น

    “ก็คาซามัตสึซังจะมานี่ครับ”

    พอได้ยินประโยคนั้นดวงตายามาโตะก็มีประกายยินดีอยู่วูบหนึ่ง ก่อนที่เจ้าตัวจะถอนหายใจ เขาหันไปตะโกนบอกแดฟเน่ว่า อยากจะยืมตัวนายแบบสักครู่หนึ่งได้ไหม ยังไม่ทันที่เจ้าของงานจะตัดสินใจ ก็มีเรื่องเข้ามา จนเจ้าตัวจำเป็นต้องโบกมือส่งๆเป็นเชิงอนุญาต ชายหนุ่มจึงหันมาบอกเขาว่า ออกไปคุยกันข้างนอกแป๊บนึงสิ

    ยามาโตะลากตัวเขาไปคุยกันข้างนอก ห่างไกลจากผู้คนที่อาจบังเอิญมาได้ยิน คิเสะนึกสงสัยเหมือนกันว่า ยามาโตะต้องการจะคุยเรื่องอะไรกันแน่

    “นี่คิเสะ...”

    “นายชอบคาซามัตสึจริงๆเหรอ”

    คิเสะไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมใครต่อใครจะต้องสงสัยในเรื่องนี้ โรเบิร์ตเองก็ถามเขาหลายต่อหลายครั้ง แถมหลังจากที่ได้ยินคำตอบของเขา เจ้าตัวจะต้องถอนหายใจยาว พอถามว่า มีอะไรเหรอ ก็ตอบเพียงแค่ว่า เดี๋ยวนายก็รู้เองแหละ

    “ครับ ผมชอบคาซามัตสึซัง”

    “ทุกคนอาจจะคิดว่า มันเป็นแค่ความรู้สึกชั่วครู่ เพราะพวกเราเพิ่งพบกันไม่นาน”

    “แต่ผมรู้ครับว่า...ไม่ใช่...ผมไม่รู้เหตุผลหรอกครับว่า ทำไมถึงเป็นแบบนั้น”

    “รู้แต่ว่า มันเป็นแบบนั้น”

    คำพูดของคิเสะทำให้ยามาโตะนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะลูบหัวที่มีเส้นผมสีทองด้วยความแรงที่ทำให้เจ้าของนั้นเกือบล้มหัวทิ่มหน้ากระแทกพื้น เสียงหัวเราะของยามาโตะนั้นฟังดูเหมือนจะพึงพอใจ แต่กลับแฝงด้วยความเจ็บปวดอยู่ลึกๆ อะไรบางอย่างที่คิเสะสัมผัสได้อย่างบางเบา มันไม่เหมือนเสียงหัวเราะตามปกติของผู้ชายคนนี้

    “ถ้าเป็นนาย ฉันคงจะวางใจได้ล่ะมั้ง”

    “ฉันจะเล่าเรื่องของคาซามัตสึให้ฟัง...”

    ย้อนกลับไปเมื่อประมาณสิบปีก่อน ตอนนั้นคาซามัตสึเพิ่งอายุ 12 ปีและยังอาศัยอยู่ในญี่ปุ่น เขามีพี่สาวคนหนึ่งซึ่งอายุห่างกันมาก ในตอนนั้นพี่สาวของเขาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับฉัน เป็นรุ่นพี่ของฉัน 2 ปี เป็นคนสดใสร่าเริง มีมนุษยสัมพันธ์ดี เป็นที่รักของทุกคน

    ตอนนั้นฉันถูกรุ่นพี่คนหนึ่งชวนมาร่วมทีมทำงาน เพราะฉันมีไอเดียแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร ทีมของพวกเรานั้นทำงานถ่ายโฆษณา ทั้งแบบวีดีโอ แบบภาพนิ่งและแบบต่างๆ ส่วนใหญ่คนที่ร่วมทีมก็จะเป็นคนที่ชอบทำงานเบื้องหลังกันทั้งนั้น ฉะนั้นจุดที่ยากที่สุดก็คือ การหาคนมาเป็นแบบหรือตัวแสดงในการถ่ายทำ

    ใครเล่าจะรู้ว่า...นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของโศกนากฎกรรมครั้งใหญ่..

    พี่สาวของคาซามัตสึพยายามไปทาบทามชายหนุ่มคนหนึ่ง เป็นคนหน้าตาดี ค่อนข้างโด่งดังในมหาวิทยาลัย ทำงานถ่ายแบบเป็นอาชีพเสริม ให้มาร่วมทีมกับเรา ในตอนแรกไม่มีใครคิดว่าจะสำเร็จ แต่ผู้ชายคนนั้นกลับมาเป็นหนึ่งในพวกเราได้อย่างเป็นธรรมชาติและกลมกลืน ช่วงเวลาในตอนนั้นสนุกสนานเสียจนเราลืมไปเลยว่า เขาไม่ใช่หนึ่งในพวกเราอย่างแท้จริง

    ทั้งสองคนใกล้ชิดกันมาก เนื่องด้วยการทำงานของกลุ่มเรา จนใครๆก็นึกว่า ทั้งสองคนตกลงคบกันเป็นแฟนเรียบร้อยแล้ว แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น พวกเราไม่รู้เลยสักนิด ไม่รู้เลยจนกระทั่งงานชิ้นสุดท้ายของพวกเรา งานที่ทำให้หัวใจของเธอคนนั้นแตกสลายไม่มีชิ้นดี งานที่พวกเราไปถ่ายทำยังบ้านเกิดของคาซามัตสึ

    งานครั้งนั้นออกมาดีมาก พวกเราดื่มฉลองกันจนเมามายและสนุกสนานจนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งสองคนทะเลาะกันอย่างรุนแรงท่ามกลางความงุนงงของพวกเรา มารู้เอาทีหลังว่า คืนนั้นเป็นคืนแรกที่ทั้งสองใกล้ชิดกันจนมีอะไรเกินเลยกว่าความสัมพันธ์ของเพื่อน หากแต่เมื่อรุ่งเช้ามาเยือน ความฝันของสาวน้อยก็จบลง ชายหนุ่มปฏิเสธว่า มันเป็นเพียงแค่สัมพันธ์ทางกายเท่านั้น

    ผู้หญิงหลายคนอาจมีความสัมพันธ์กับชายหนุ่มเพื่อความสนุกชั่วครั้งชั่วคราว แต่กับเธอนั้นต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง นั่นคือสิ่งสำคัญเทียบเท่ากับชีวิต ซึ่งเธอจะยกให้กับคนที่เธอรักมั่นอย่างจริงใจเท่านั้น แต่ร่างกายยังไม่สำคัญเท่ากับจิตใจ ซึ่งแหลกสลายจากคำพูดของชายหนุ่ม เขาบอกว่า เขาไม่เคยรักเธอ อย่าได้หลงตัวเองไปหน่อยเลย เขามีหญิงสาวมากมายรายล้อมจะสนใจอะไรกับแค่ผู้หญิงธรรมดาอย่างเธอ

    “นั่นทำให้คาซามัตสึซังเกลียดพวกนายแบบสินะครับ”

    “มันยังไม่จบแค่นั้นน่ะสิ”

    ยามาโตะทำหน้าบิดเบี้ยวเหมือนกำลังกลืนยาขม ยากนักที่จะเห็นชายหนุ่มทำหน้าแบบนี้ คิเสะเคยคิดว่า คงไม่มีอะไรในโลกนี้สร้างความเครียดหรือความกดดันให้แก่ยามาโตะได้ แต่ดูเหมือนว่า เขาจะคิดผิด

    “พี่สาวเขา ฆ่าตัวตาย”

    เสียงของยามาโตะนั้นทุ้มต่ำและเรียบเฉยเสียจนคิเสะรู้สึกว่า เจ้าตัวพยายามกลบฝังความเศร้าและความโกรธเกรี้ยวนั้นเอาไว้ ไม่ให้แสดงออกมา การเล่าเรื่องต่อไปนั้นดำเนินด้วยเสียงราบเรียบเสียจนน่าขนลุก

    หลังจากผ่านการร้องไห้ครั้งแล้วครั้งเล่า ผ่านการทะเลาะและทุ่มเถียงอีกหลายต่อหลายครั้ง เขาปฏิเสธเธอซ้ำแล้วซ้ำอีก เพิ่มบาดแผลด้วยคำพูดร้ายกาจมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเรารู้ดีว่า เธอหลงรักเขามากแค่ไหน แต่ไม่คิดเลยว่า เขาจะไม่ไยดีเธอเลยสักนิด เพราะพวกเราเองก็นึกว่า เขาหลงรักเธอเช่นเดียวกัน คำพูดอ่อนหวานออกจากริมฝีปากของเขาเสมอ พวกเราทุกคนคิดว่า มันคือความรัก แต่สำหรับเขามันคือคำพูดทักทาย คำที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ได้มีความหมายอะไรสลักสำคัญ

    คนแรกที่พบเธอนอนนิ่งอยู่นั้นคือ คาซามัตสึ ยูคิโอะ เด็กชายไม่ยอมปริปากพูดอะไรเป็นเวลาเกือบสองวัน และคนคนแรกกับประโยคแรกที่พูดนั้นก็คือ คำถามที่ถามแก่ผู้ชายคนนั้น คนที่พรากพี่สาวของเขาไป

    “คุณรักพี่สาวของผมบ้างหรือเปล่า ?”

    เราทุกคนนิ่งเงียบด้วยความตกตะลึง ทั้งจากคำถามและจากการไม่ได้ยินเสียงของเด็กชายมานาน แต่เขาคนนั้นต่างออกไป เขาเพียงแค่ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ยิ้มให้เหมือนรอยยิ้มทางการค้าที่ชอบใช้เวลาถ่ายแบบโฆษณา แล้วตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอันแสนไพเราะว่า

    “ฉันจะหลงรักคนที่ไม่มีปีกได้อย่างไร”

    มันเป็นคำพูดที่คนทั่วไปฟังแล้วคงจะงุนงงสงสัย ไม่เข้าใจว่า มันหมายความว่าอย่างไร แต่สำหรับพวกเราแล้ว พวกเราเข้าใจดีเลยล่ะ คำว่าปีกนั้น เป็นคำศัพท์ที่พวกเราใช้ในการเปรียบเทียบกับพรสวรรค์หรือเสน่ห์ของอะไรบางอย่าง หากพวกเราพูดว่าอะไรมีปีกแล้วล่ะก็ แปลว่า มีความประทับใจในทางที่ดีอย่างใดอย่างหนึ่งกับสิ่งนั้น ในทางกลับกัน หากใช้คำว่า ไม่มีปีกแล้วล่ะก็ แปลว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งดาษดื่น ไม่น่าสนใจเลยแม้แต่นิดเดียว

    หรืออาจหมายถึง...ไม่อยู่ในสายตา...ก็เป็นได้...

    สำหรับพวกเราที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยกันแล้ว ก็พอจะทำใจกับความขมขื่นของโชคชะตานี้ได้ แต่เด็กชายนั้นต่างออกไป เขาเพิ่งอายุ 12 ปี ยังรู้จักโลกไม่มากนัก ฉะนั้นนั่นคือครั้งแรกที่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับคนที่เป็นนายแบบ ความทรงจำในครั้งนั้นฝังแน่นและกรีดลึกลงไปจนเวลาไม่อาจเยียวยาให้จางหาย

    “เมื่อก่อนยิ่งกว่านี้อีกนะ แค่เจอผู้ชายหน้าตาดี ก็จะไม่ค่อยอยากเข้าใกล้แล้ว”

    นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่คาซามัตสึพยายามไม่ทำงานเกี่ยวกับแฟชั่น ไม่ทำงานกับนายแบบหรือถ่ายรูปคน เพราะยังไงเสียก็ต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกลียดแสนเกลียด สิ่งที่ตอกย้ำรอยแผลในอดีต ความเจ็บปวดที่ไม่เคยบรรเทาเบาบางลงเลย

    “แต่ผมไม่เหมือนคนคนนั้น”

    “ฉันรู้ดี คิเสะ เราทุกคนรู้ดี”

    คิเสะเห็นว่าดวงตาสีดำสนิทนั้นหลุบลงมองต่ำลง มือกำแน่นขึ้น เหมือนต้องการสะกดกลั้นอารมณ์ มันเป็นสิ่งที่ผสมผสานระหว่างความโกรธและความเศร้า เป็นอารมณ์ที่ยามาโตะแทบไม่แสดงให้เห็น ปกติแล้วชายหนุ่มจะร่าเริงเบิกบาน ช่างออกคำสั่ง แม้จะโดนขัดใจก็ไม่เคยโกรธ เพียงแต่จะยืนกรานคำเดิม จนกว่าจะได้ ด้วยอารมณ์ที่สดใสเหมือนพระอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ

    “ฉันคิดว่า คาซามัตสึเองก็รู้...”

    “แต่เขา...ก็ยังทำใจให้เชื่อนายไม่ได้”

    ยามาโตะนึกถึงเด็กชายที่เคยเป็นคนเปิดเผยขี้โวยวาย กลับกลายเป็นเงียบขรึมหลังการจากไปของพี่สาว แม้ว่าเวลาจะช่วยเยียวยาอะไรหลายๆอย่างให้ดีขึ้น ตอนนี้พวกเขากลับมาสนิทสนมกันเหมือนเดิม ดูจากที่คาซามัตสึกล้าใช้กำลังกับเขา เวลาที่รู้สึกรำคาญหรือโมโห ชายหนุ่มจะทำแบบนั้นเฉพาะกับคนที่ตัวเองสนิทใจด้วยเท่านั้น

    “ฉันว่า นายตัดใจดีกว่านะ”

    “คาซามัตสึไม่มีทางชอบนายได้หรอก”

    เพราะมันเป็นสิ่งที่ตอกย้ำลงไปในบาดแผล...เหมือนกับการเรียกชื่อ ซึ่งยามาโตะต้องพยายามบังคับให้ตัวเองเปลี่ยนวิธีเรียกอยู่เป็นเวลานาน เพื่อจะได้ไม่ทำร้ายหัวใจดวงน้อยๆนั้น เมื่อก่อน พวกเราทั้งกลุ่มจะเรียกเด็กชายว่า ยูคิน้อย เป็นการล้อเลียนที่พี่สาวเรียกเขาว่า ยูคิจัง แต่ที่จริงแล้วคนแรกที่เรียกคาซามัตสึแบบนั้นก็คือ ผู้ชายคนนั้น แถมยังเป็นการเรียกด้วยกริยาที่ให้ความรู้สึกเหมือนเอ็นดูเสียมากกว่าจะล้อเลียนอย่างพวกเรา มาจนถึงตอนนี้ ฉันก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนจากคาซามัตสึกลับเป็นยูคิโอะได้

    ...และอาจไม่มีวันกลับเป็นเหมือนเดิมได้...

    ดวงตาสีทองของคิเสะนิ่งสนิท เขาจ้องมองใบหน้าของคนที่เล่าเรื่องราวให้ฟัง มองลึกเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น ยามาโตะรู้สึกว่า คนตรงหน้าสงบกว่าที่คิด เขาคิดว่า จะได้ยินคำโวยวาย ก่นด่าโชคชะตา หรือไม่เชื่อเรื่องที่เขาเล่า แต่ไม่เลยสักนิด คิเสะเงียบและฟังอย่างตั้งใจ มาถึงตอนนี้ เขาคิดว่า คิเสะอาจจะยอมถอย เลิกปั่นหัวเพื่อนของเขาเสียที

    “แค่นั้นเองเหรอครับ ?”

    “คาซามัตสึซังแค่เกลียดนายแบบใช่ไหมครับ”

    ยามาโตะไม่เข้าใจคำพูดนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ทำไมคิเสะถึงได้ถามแบบนั้นออกมา หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมด ไม่เข้าใจหรืออย่างไรว่า คาซามัตสึเกลียดนายแบบขนาดไหน เกลียดจนไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากพูดกันด้วยซ้ำ ในเมื่อเป็นแบบนี้ นายจะยังใช้คำว่า แค่ อีกเหรอ

    “ผมเข้าใจทุกอย่างแล้วล่ะครับ ขอบคุณนะครับที่เล่าให้ผมฟัง”

    “เดี๋ยว คิเสะ นายคิดจะทำอะไร”

    เขาเล่าทั้งหมดให้คิเสะฟัง เพื่อที่จะได้ตัดใจ เพื่อที่จะได้เห็นใจในความทุกข์ ในบาดแผลอันเจ็บปวดนั้น เพื่อที่ทั้งสองคนจะได้ไม่ต้องทรมานกับเรื่องนี้ แต่ปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มนั้นแตกต่างจากที่เขาคิดเอาไว้มาก

    “ผมจะเลิกเป็นนายแบบ”

    “งานนี้จะเป็นงานสุดท้าย”

    ยามาโตะเผลอเอามือกระชากคอเสื้อคิเสะโดยไม่รู้ตัว เขาตะโกนด้วยเสียงอันดังจนอีกไม่นาน คงจะมีผู้คนมากมายวิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ชายหนุ่มร่างยักษ์คำรามอย่างดุดัน ก่นด่าว่า คิเสะจะทิ้งขว้างพรสวรรค์ของตัวเองไปง่ายๆอย่างนั้นหรือ ที่ตรงนี้ไม่ใช่ว่าใครนึกอยากจะมาก็มาได้นะ แล้วอยู่ๆมาทำแบบนี้ได้อย่างไร

    “ผมไม่สนใจเรื่องนั้นหรอกครับ ที่จริงไม่เคยคิดจะตั้งใจทำงานนี้เลยสักนิด”

    “ในชีวิตของผมเคยตั้งใจอยู่แค่สองเรื่อง เรื่องแรกคือบาสเก็ตบอล”

    ...เพื่อไล่ตามคากามิจจิ...คิเสะคิดอยู่ในใจแต่ไม่ได้พูดออกมา มันเป็นสิ่งที่เขาทุ่มเททั้งชีวิต เพียงเพื่ออยากให้คนคนนั้นได้มองเห็นและจดจำเขา คนที่เขาเคยคิดว่า ตัวเองหลงรัก แต่มาตอนนี้เขารู้แล้วว่า มันไม่ใช่เลยสักนิด ความรู้สึกที่มีให้กับคากามิจจินั้นยังห่างไกลกับคำว่า รัก อยู่มาก เมื่อเทียบกับความรู้สึกที่มีให้กับคาซามัตสึซังในตอนนี้

    “เรื่องที่สองคือ เรื่องของคาซามัตสึซัง”

    “ผมไม่สนใจหรอกว่า จะต้องเสียอะไรไปบ้าง”

    “หากนั่นทำให้คนคนนั้นยอมรับผมได้มากขึ้น แม้เพียงแค่นิดเดียว”

    “ผมก็จะทำ”

    คำพูดเหล่านั้นทำให้โทสะของยามาโตะเบาบางลง แต่เขาก็ยังรู้สึกโมโหอยู่ดี มีคนมากมายอยากจะมายืนอยู่ในจุดเดียวกับที่คิเสะยืนอยู่ ชายหนุ่มไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลยในการเดินมาถึงจุดนี้ ในขณะที่บางคนปีนป่ายแทบตายก็ยังมาไม่ถึง มันคือความสามารถ มันคือเสน่ห์ที่ไม่อาจลอกเลียนแบบ ไม่อาจฝึกฝน มันอยู่ในตัวของมนุษย์บางคน เป็นเหมือนแขนขาหรืออวัยวะอะไรสักอย่าง และนั่นคือเหตุผลที่พวกเขาเรียกมันว่า ปีก

    ปีกของคิเสะนั้นยิ่งใหญ่และเด่นชัดเสียจนไม่อาจปฏิเสธได้ ไม่ว่าใครก็อยากได้เสน่ห์ของผู้ชายคนนี้ไปช่วยเสริมในงานที่ทำอยู่ ยามาโตะเชื่อว่าอีกไม่เกินสองปี คิเสะจะต้องก้าวขึ้นสู่ระดับแนวหน้า โดยไม่ต้องเหนื่อยแรงเลยสักนิด มีแต่คนเสนองานมาให้ แล้วอยู่ๆเจ้าตัวก็ดันมาทิ้งเส้นทางที่พระเจ้าประทานพรสวรรค์มาให้ ด้วยเหตุผลเพียงแค่ว่า หลงรักใครคนหนึ่ง

    “นายมันบ้าชัดๆเลย”

    “ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับ”

    ตั้งแต่เขาได้พบกับคาซามัตสึซังในวันนั้น ก็ไม่มีอะไรสำคัญอีกต่อไปแล้ว นอกจากเจ้าของดวงตาสีดำสนิทอันเฉียบคม ผู้ที่เขาคิดถึงอยู่ทุกลมหายใจ...ผู้ที่เขารู้ดีว่าตัวเองจะยอมทำทุกอย่าง...

    ขอเพียงแค่...ได้อยู่ร่วมกับคนคนนั้น...

    ++++++++++

    งานแสดงแฟชั่นโชว์ในครั้งนี้ มีผู้คนมากันอย่างเนืองแน่น ส่วนใหญ่เป็นทีมนักข่าวและนักวิจารณ์ ซึ่งแดฟเน่ดูไม่เครียดเลยสักนิด ออกจะพอใจเสียด้วยซ้ำ เธอฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี พลางลากคนนู้นคนนี้ให้ไปอยู่ในตำแหน่งที่เธอเห็นว่าเหมาะสม คิเสะแอบมองจากหลังม่านของเวที เขากวาดสายตาไปรอบๆเพื่อค้นหาใครคนหนึ่ง แต่ยังไม่ทันจะเจอก็ถูกลากตัวกลับไปยังห้องแต่งตัวเสียก่อน

    “นี่พ่อหนุ่ม ขอความกรุณาอย่ากระโดดจากเวทีลงไปหาคนรักนะ”

    คำพูดและท่าทางของแดฟเน่เหมือนการล้อเล่นมากกว่าเตือนอย่างจริงจัง ซึ่งนั่นทำให้คิเสะหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง ดีไซน์เนอร์คนดังมีความสามารถในการทำให้คนอื่นรอบตัวไม่เครียด ไม่ตื่นเต้น หลายคนเล่าให้เขาฟังว่า คำพูดของแดฟเน่เหมือนมีเวทมนต์ที่สามารถรักษาอาการตื่นเวทีได้ เพียงแต่ตอนนี้คิเสะไม่ได้กำลังตื่นเต้นกับการเดินแบบ แต่กำลังตื่นเต้นเพราะลุ้นระทึกเรื่องความรักของตัวเองต่างหาก

    “ผมจะห้ามใจตัวเองไว้อย่างสุดความสามารถครับ”

    การต่อปากต่อคำนั้นเป็นสัญญาณที่ดี แสดงให้เห็นว่า นายแบบยังไม่สติแตกก่อนเริ่มงาน แม้ว่านี่จะเป็นงานครั้งแรก ดีไซน์เนอร์สาวในร่างชายหนุ่ม จึงนั่งลงตรงเก้าอี้ใกล้ๆ ยกขาขึ้นไขว่ห้างอย่างสวยงาม ก่อนจะโน้มตัวลงมาใกล้เขา ริมฝีปากที่ทาสีมุกเป็นประกายนั้นค่อยๆขยับอย่างช้าๆ

    “นี่รู้ไหม ทำไมฉันถึงอยากได้เธอมาเดินแฟชั่นโชว์ชุดนี้”

    “ไม่รู้ครับ”

    “ธีมของเสื้อผ้าคราวนี้ เกี่ยวข้องกับความรัก...”

    แดฟเน่หยุดเพื่อเพ็งมองชุดที่คิเสะกำลังสวมใส่อยู่ มันรับกับเส้นผมและดวงตาสีทองของเขาได้เป็นอย่างดี พอเหมาะราวกับออกแบบมาเพื่อให้เขาใส่โดยเฉพาะ ทีมงานต่างก็ชมกันไม่หยุดปากและพากันแซวว่า ที่จริงแดฟเน่เป็นแฟนคลับของคิเสะใช่หรือไม่ ที่จริงชุดนี้ตั้งใจออกแบบมาให้คิเสะใส่ใช่หรือเปล่า

    “ฉันเลือกเธอ...เพราะเธอมีดวงตาของผู้ตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก...”

    “โรเบิร์ตขายผมให้คุณไปเยอะแค่ไหนแล้วครับเนี่ย”

    แต่แดฟเน่ส่ายหน้าแทนคำตอบ เธอบอกว่า โรเบิร์ตไม่ได้เล่าอะไรทั้งนั้น แต่เธอสังเกตได้เองจากที่เขามักจะมองหาใครสักคนเสมอ เวลาซ้อมเดินแบบ ทั้งที่แทบไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้น เหมือนเขาจินตนาการภาพฝูงชนที่รายล้อมอยู่รอบเวที หนึ่งในนั้นมีใครคนหนึ่งที่เขาอยากเจอและพยายามที่จะมองหา

    “ฉันเห็นความรักในดวงตาของเธอ ตั้งแต่ภาพนี้”

    แดฟเน่เอาภาพหนึ่งให้เขาดู มันคือโฆษณาแชมพูที่เขาถูกยามาโตะบังคับให้ถ่ายแบบ แม้จะมีเรื่องแปลกๆที่ทำให้ลำบากลำบนไปบ้าง แต่งานชิ้นนั้นก็มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่สนใจของคนทั่วไป ได้ยินมาว่า แชมพูเองก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าจนทางผู้ว่าจ้างถึงกับเดินทางมาขอบคุณด้วยตัวเองและเพิ่มเงินให้ด้วยซ้ำ

    ภาพนั้นคือภาพที่เขาได้รับบทเป็นเจ้าชายผู้ฟื้นคืนจากคำสาป ด้วยสายน้ำแห่งรุ่งอรุณอันสวยงาม ทุกคนมักจะกล่าวถึงร่างกายที่เปียกปอน เส้นผมซึ่งมีหยดน้ำเกาะพร่างพราว สีทองของแสงตะวันซึ่งรับกับดวงตาและเส้นผมของเขา แต่ไม่มีใครเคยบอกเขาว่า ดวงตาในภาพนี้ของเขาเป็นดวงตาแห่งความรัก

    ...ก็แน่ล่ะ...คนที่ถ่ายภาพนี้เป็นคนที่เขารักนี่นา...

    คิเสะนึกอยากจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้คนตรงหน้าฟัง แต่ก็เปลี่ยนใจไม่เล่าด้วยเหตุผลสองอย่าง อย่างแรกก็คือแดฟเน่จะต้องออกปากห้ามเขาเหมือนอย่างยามาโตะแน่ๆ เขารู้ดีว่า ตัวเองคือเครื่องมือทำมาหากินสำคัญของคนในวงการนี้ อย่างที่สองคือ เวลามีไม่พอ เขากำลังจะต้องไปตั้งแถวเตรียมตัวก้าวออกไปที่เวทีแล้ว

    แดฟเน่พูดคุยสั้นๆกับนายแบบแต่ละคน ส่วนใหญ่เป็นการให้คำแนะนำ เพราะเธอคัดมาเฉพาะแต่พวกมือใหม่ โดยให้เหตุผลว่า อำนาจต่อรองมีน้อย จึงไม่เรื่องมากจนน่ารำคาญ

    “แล้วคำแนะนำของผมล่ะครับ”

    คิเสะถามขึ้น เมื่อเห็นว่าแดฟเน่ไม่พูดอะไรกับเขาเลยสักนิด ทั้งที่พูดกับทุกคนครบแล้ว เธอเดินไปคุยกับพวกทีมงาน ทวนลำดับสิ่งที่พวกเขาต้องทำและกำชับให้ระวังอะไรหลายๆอย่าง คิเสะเหลือบมองภาพนั้นอยู่สักพัก ก่อนจะอ้าปากถามว่า ไม่มีคำแนะนำอะไรสำหรับเขาบ้างหรือ เขาเป็นคนแรกของขบวนนะ

    “แหม เธอไม่ต้องการคำแนะนำอะไรหรอกจ้ะ”

    “เพราะเธอเป็นชายหนุ่มผู้มีความรักอยู่แล้วนี่นา”

    ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางแสงแฟลชของบรรดาช่างภาพ คิเสะก็ยังมองเห็นคนคนนั้นได้อย่างชัดเจน คาซามัตสึซังกำลังกดชัตเตอร์อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับช่างภาพคนอื่นๆ นี่เป็นเพียงช่วงเวลาเดียวที่คิเสะมั่นใจว่า ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นจะจ้องมองมาที่เขา โดยไม่ละสายตาไปแม้แต่วินาทีเดียว

    การโชว์ดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนมาถึงชุดสุดท้าย บรรดานายแบบที่ใส่เสื้อผ้าอันสุดแสนอลังการ ออกไปยืนโพสท่าเรียงเป็นแถวหน้ากระดานบนเวที หลังจากเดินหมุนตัวไปตามแคทวอล์ก อวดเสื้อผ้าที่กำลังสวมใส่เรียบร้อยแล้ว เมื่อพิธีกรประกาศชื่อดีไซน์เนอร์ผู้ทำผลงานในครั้งนี้ แดฟเน่ก็ก้าวออกมาจากด้านหลังเวที โค้งคำนับแทนการขอบคุณเสียงปรบมือและตะโกนโห่ร้องด้วยความชื่นชมยินดี

    ตามธรรมเนียมแล้ว หลังแฟชั่นโชว์จบ จะมีงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จของบรรดานายแบบและทีมงานทุกคน  แต่ครั้งนี้พิเศษหน่อยที่แดฟเน่ถึงกับประกาศชวนให้บรรดาช่างภาพและนักวิจารณ์อยู่ร่วมงานด้วยกันก่อน คิเสะคิดว่า ตัวเองไม่ได้ตาฝาด ที่เห็นดีไซน์เนอร์คนดังหันมาขยิบตาให้ การเชิญชวนบรรดาผู้มาร่วมงานในครั้งนี้คงจะเป็นการซื้อเวลาให้กับเขา

    คิเสะนึกขอบคุณแดฟเน่อยู่ในใจเงียบๆ แต่ก็รู้ดีว่า มันไม่มีประโยชน์อะไร เพราะเขามองเห็นคาซามัตสึซังกำลังเดินฝ่าฝูงชนออกไป โชคดีของคิเสะที่ผู้คนส่วนใหญ่พยายามขยับเข้ามาใกล้เวทีให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยแรงผลักและดันของพวกเขา คาซามัตสึซังจึงไม่สามารถออกไปจากห้องได้

    “ผมขอตัวสักเดี๋ยวนะครับ”

    พอเหยียบเข้าด้านหลังเวที คิเสะก็รีบตะโกนบอกประโยคนั้นกับใครสักคน แล้ววิ่งถลาออกไปที่ด้านนอก คนเพียงคนเดียวที่เดินอยู่บริเวณโถงทางเดินคือคาซามัตสึซัง คนอื่นๆนั้นคงจะตั้งใจอยู่ร่วมงานเลี้ยงของแดฟเน่ นั่นทำให้คิเสะนึกขอบคุณเธออีกครั้งและพูดขอโทษเบาๆที่เผลอคิดไปว่า สิ่งที่เธอทำนั้นไม่มีประโยชน์

    “คาซามัตสึซัง !!

    คิเสะเคยวิ่งไล่ตามคนคนนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง เพียงแต่ครั้งนั้น เขาไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของอีกฝ่าย จึงต้องใช้วิธีวิ่งไปดักข้างหน้า แต่คราวนี้ไม่ใช่ คิเสะรู้สึกได้ว่าคนข้างหน้าพยายามเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเขา

    “คาซามัตสึซัง รอก่อนสิครับ”

    พอวิ่งตามทัน ก็เลยถือวิสาสะกระชากแขนให้หันมาคุยกัน สิ่งเดียวที่แสดงอารมณ์บนใบหน้าที่เรียบเฉยของอีกฝ่ายก็คือ ดวงตาสีดำสนิทที่คมกริบราวกับจะแทงทะลุตัวเขาได้ มันเป็นเครื่องบ่งบอกอย่างชัดเจน ถึงอารมณ์ขุ่นมัวที่ถูกกักเก็บเอาไว้ เพื่อรักษามารยาทอันดี เป็นการเคารพต่อสถานที่และเจ้าของงาน

    “ผมจะเลิกเป็นนายแบบ”

    คำพูดนั้นทำให้คาซามัตสึซังขมวดคิ้วในทันที และก่อนที่อีกฝ่ายจะได้เอ่ยปากถามถึงสาหตุของเรื่องนี้ คิเสะก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า ยามาโตะซังเล่าเรื่องราวของคุณให้ผมฟังทั้งหมดแล้ว ผมจึงตัดสินใจว่า จะเลิกและจะพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกับวงการนี้ให้มากที่สุด

    “สรุปว่านายทำแบบนั้น เพราะฉันใช่ไหม ?”

    “ผมทำแบบนั้น เพราะผมรักคุณ”

    คาซามัตสึก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เพื่อเว้นระยะห่าง ทำให้คิเสะยิ่งกำรอบข้อมือของอีกฝ่ายแน่นขึ้น เพราะกลัวว่าคนตรงหน้าจะเดินหนีไป ก่อนที่จะคุยจบ

    “นายไม่ได้รักฉันหรอก...”

    “คุณรู้ได้ยังไง”

    คิเสะพาลนึกไปถึงตอนที่คากามิพูดประโยคเดียวกัน แล้วรู้สึกโมโหขึ้นมา ทำไมใครๆต้องพากันบอกเขาว่า ความรักของเขานั้นไม่ใช่ของจริง คนอื่นจะรู้ดีกว่าตัวเขาเองได้อย่างไร หากต้องการจะปฏิเสธความรู้สึกของเขา ก็ปฏิเสธมาเถอะ แต่อย่ามาพูดเหมือนกับเข้าใจดีว่า ตัวเขารู้สึกอย่างไร

    “เพราะฉัน...ไม่มีปีก...”

    เหตุผลนั้นทำให้การสนทนาหยุดชะงักลง ทั้งสองคนยืนนิ่ง จ้องมองดวงตาของกันและกัน ใช่ว่ารอบข้างไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว ใช่ว่ารอบข้างไม่มีเสียงใดๆ หากแต่บรรยากาศรอบตัวของคนทั้งสองนั้น เหมือนเป็นอีกห้วงเวลาหนึ่งที่ทุกอย่างหยุดนิ่งและเงียบงันเสียจนน่าหวาดหวั่น

    “ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้นล่ะครับ”

    “เพราะมันคือความจริงน่ะสิ”

    เสียงที่ตอบกลับมานั้น ช่างเรียบเฉยจนดูเย็นชา อีกฝ่ายเริ่มออกแรงรั้งแขนตัวเอง เหมือนแทนความหมายว่าให้ปล่อยมือได้แล้ว แต่คิเสะแกล้งทำเป็นเฉย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    “จะบอกให้นะ คิเสะ...”

    “คนที่พวกฉันเรียกว่า มีปีกน่ะ ต้องมีเสน่ห์หรือความสามารถที่โดดเด่นเสียจนรู้สึกได้ถึงความเจิดจรัส”

    “ในโลกของเรา มีคนแบบนั้นเพียงแค่หยิบมือ...”

    ระยะห่างระหว่างเขาสองคนนั้นห่างกันไม่ถึงสามก้าว แต่ยิ่งพูดคุยเรื่องราวต่างๆมากขึ้นเท่าไร คิเสะยิ่งรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายนั้นอยู่ห่างไกลออกไปมากขึ้นเท่านั้น สิ่งเดียวที่เชื่อมโยงเขาสองคนเอาไว้ก็คือ มือข้างขวาของเขาที่กำลังจับข้อมือซ้ายของคาซามัตสึซังเอาไว้แน่น

    “แต่นาย..ก็เป็นหนึ่งในนั้น...”

    คิเสะพยายามอธิบายว่า เขาไม่สนใจหรอกว่า ตัวเองจะมีปีกหรือไม่ จะมีความสามารถหรือเสน่ห์มากมายแค่ไหน หากทั้งหมดนั่น ทำให้เขาต้องอยู่ห่างจากคนที่เขารัก เขาก็ยินดีทิ้งทั้งหมด เพื่อไปเป็นคนธรรมดาทั่วไป

    คำตอบของคิเสะทำให้ใบหน้าของคาซามัตสึเคร่งเครียดขึ้น ชายหนุ่มเตือนอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย หากแต่หนักแน่นและเน้นย้ำให้คิดถึงอนาคตของตัวเอง บอกกับเขาว่า สักวันเขาจะเสียใจที่เขาทิ้งขว้างความสามารถและโอกาสดีๆในชีวิตไป เพื่อพยายามที่จะพิสูจน์ความรักจอมปลอม ให้คนธรรมดาๆคนหนึ่งเห็น

    ถึงจะรู้สึกฉุนที่ถูกหาว่า ความรักของเขานั้นเป็นของปลอม แต่คิเสะก็พยายามสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ ถึงจะพูดหรืออธิบายมากมายเพียงใด คนตรงหน้าก็ไม่มีวันเข้าใจได้หรอก ประตูที่เข้าไปสู่หัวใจบานนั้นปิดสนิท ลงกลอนเอาไว้ด้วยคำว่า ปีก ซึ่งเจ้าของหัวใจทั้งเกลียดชังและหลงใหลเสียจนเหมือนถูกพันธนาการไว้

    “ผมจะเลิกเป็นนายแบบ...เพราะสิ่งนั้นทำให้คุณนึกถึงความทรงจำที่เจ็บปวด...”

    “แต่ผมจะไม่ถอนปีกของตัวเอง...เพราะผมไม่ต้องการให้คุณรู้สึกผิดกับสิ่งที่ผมตัดสินใจทำลงไป”

    คิเสะค่อยๆปล่อยมือคนตรงหน้าอย่างช้าๆ เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังสูดลมหายใจเข้าไปในปอดให้มากที่สุด เพื่อกระโดดลงสระน้ำที่เย็นเฉียบ สิ่งเชื่อมโยงสุดท้ายของเขาและคาซามัตสึซังกำลังจะถูกปลดออก พร้อมๆกับคำพูดสุดท้ายที่เขาอยากจะบอกให้รู้ มันเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจแล้วว่าจะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้มันเป็นจริง เพราะเขารู้ว่านั่นคือทางออกเดียวที่จะทำให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี

    “ผมจะยังคงเป็นมนุษย์ผู้มีปีก มีความสามารถโดดเด่น มีชื่อเสียง มีความก้าวหน้า มีโอกาสที่ดี”

    “แต่ไม่ใช่ความสามารถในการเป็นนายแบบ ไม่ใช่ในวงการนี้”

    คาซามัตสึซังจ้องมองดวงตาของเขาอยู่ตลอดเวลาที่คุยกัน บางทีอีกฝ่ายอาจจะพยายามหาคำโกหกหลอกลวงที่ฉายชัดขึ้นมาในแววตาก็เป็นได้ โชคดีที่ทุกคำพูดของเขานั้น ไม่มีสิ่งใดที่เป็นคำโกหก ทุกอย่างล้วนเป็นความจริงจากใจ

    “เป็นไปไม่ได้หรอก ปีกที่พวกฉันพูดถึงน่ะ ไม่ใช่สิ่งที่จะฝึกกันได้”

    นั่นเป็นสิ่งที่คิเสะรู้ดี เพราะยามาโตะได้อธิบายถึงความหมายของคำๆนี้ให้เขาฟังหลายต่อหลายครั้ง ส่วนหนึ่งเพราะแค่อยากจะหาคนคุยด้วย แต่เหตุผลหลักคงเป็นเพราะ ลึกๆยามาโตะเองก็ภาวนาให้คาซามัตสึหลุดออกจากโซ่ที่ล่ามดวงวิญญาณไว้กับความทรงจำอันเจ็บปวด อยากให้ใครสักคนมาปลดปล่อยเพื่อนของเขาให้เป็นอิสระ

    “แล้วคุณจะได้เห็นครับ...คาซามัตสึซัง...”

    ++++++++++

    “เข้าใจแล้วว่า ทำไมคาซามัตสึซัง ถึงได้ชอบบ่นว่า นายทำอะไรโอเวอร์ตลอด”

    อาโอมิเนะพูด ขณะที่อ้าปากหาวโดยไม่ยกมือขึ้นปิดปาก ทั้งที่เป็นคนบอกว่า อยากฟังเองแท้ๆ แต่กลับทำหน้าเหมือนเบื่อหน่ายเสียเต็มประดา ตรงข้ามกับคนเล่าที่ดูจะสนุกกับการได้รำลึกความหลัง

    “แต่จะว่าไป ถ้าฉันเป็นนาย...ฉันก็คงทำแบบนั้นเหมือนกัน....”

    คิเสะรู้ดีว่า สิ่งที่อาโอมิเนะพูดนั้น ไม่ได้เกินเลยไปจากความจริงเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกที่อาโอมิเนะมีต่อคากามิ ไม่แตกต่างจากที่เขามีต่อยูคิโอะซังเลยแม้แต่น้อย พวกเรายินดีจะทำทุกสิ่งทุกอย่าง หากนั่นหมายถึงรอยยิ้มและความสุขของคนที่พวกเรารัก เพียงแต่อาโอมิเนะโชคดีหน่อยตรงที่ว่า ไม่ต้องไปวิ่งไล่ตามคนที่รักเหมือนอย่างเขา แค่นั่งอยู่เฉยๆคากามิก็จะเป็นฝ่ายมาหาเอง

    คิเสะหูผึ่งเมื่อได้ยินเสียงประตูหน้าบ้าน แต่ยังช้ากว่าอาโอมิเนะซึ่งลุกจากท่านอนเอกเขนก แล้วพุ่งตัวไปทางประตูอย่างรวดเร็ว ตอนแรกเขาก็นึกสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้น เด็กหนุ่มถึงได้กระตือรือร้น อยากจะไปรับยูคิโอะซังที่หน้าบ้าน แต่ความจริงแล้ว ไม่ใช่ยูคิโอะซังหรอกที่อาโอมิเนะอยากเจอ เป็นแขกอีกคนที่มาด้วยกันต่างหาก

    “โย่ คากามิจจิ”

    วันนี้ชายหนุ่มผมแดงอยู่ในชุดสูทที่หาดูได้ยากยิ่ง หากไม่เป็นงานสำคัญจริงๆ คากามิจะไม่ลงทุนใส่ชุดเต็มยศขนาดนี้ เพราะเจ้าตัวบ่นนักบ่นหนาว่า ทั้งร้อน ทั้งอึดอัด ยิ่งต้องผูกเนคไทด์ก็ยิ่งอึดอัดเข้าไปใหญ่ แต่สิ่งที่คิเสะเห็นว่า น่าจะทำให้คากามิร้อนและอึดอัดมากที่สุดในตอนนี้ก็คือ อาโอมิเนะ เด็กหนุ่มกอดอีกฝ่ายแน่นจนคนเห็นยังรู้สึกอึดอัดแทน ถ้าเป็นตอนที่ยังตัวเล็กก็คงน่ารักดีอยู่หรอก แต่นี่ตัวโตยังกะยักษ์ ดูแล้วเหมือนภัยคุกคามมากกว่าการอ้อน

    “เจอกันตอนขากลับจากซุปเปอร์น่ะ”

     “ก็เลยชวนมากินหม้อไฟด้วยกัน”

    จากคำอธิบายนั้น ทำให้คิเสะเข้าใจในทันทีว่า ทำไมถุงพลาสติกที่เขารับมาจากมือของยูคิโอะซังถึงได้มีจำนวนมากกว่าปกติถึงสองเท่า เนื่องจากยูคิโอะซังถือคติว่า เมื่อมีแขกมาเยือน จะต้องเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี ไม่ให้มีอะไรขาดตกบกพร่อง คิเสะจึงพอเดาได้ว่า ในถุงเหล่านั้น คงมีวัตถุดิบนานาชนิด ทั้งเนื้อทั้งผักในปริมาณที่พวกเขาไม่มีวันกินลงไปได้หมด

    แต่แล้วแผนการที่เหมือนวางไว้ซะดิบดี ก็ล่มไม่เป็นท่า เมื่อเด็กหนุ่มจอมเอาแต่ใจที่ยังคงกอดคากามิไม่ยอมปล่อย โอดครวญว่าอยากกลับบ้าน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งเจ้าของบ้านทั้งสองต้องมองหน้ากัน

    คำว่า “บ้าน” ของอาโอมิเนะนั้น ไม่ใช่บ้านจริงๆของเด็กหนุ่มหรอก แต่เป็น “บ้านของคากามิ” ต่างหาก เป็นสถานที่ที่อาโอมิเนะเคยบอกว่า อยู่แล้วสบายใจมากกว่าที่ไหนๆ ปกติแล้วก็ไม่ได้ติดบ้าน จนงอแงอยากกลับขนาดนี้หรอก แต่วันนี้คากามิบอกว่า มีธุระเรื่องงาน ซึ่งไปสะกิดบาดแผลเก่าที่ยังฝังใจของอาโอมิเนะ เด็กหนุ่มคงอยากรีบกลับไปยังสถานที่ที่ให้ความรู้สึกสบายใจและมั่นคง

    “งั้นเอาไว้วันหลัง...มาเที่ยวใหม่แล้วกันนะ”

    สุดท้ายแล้ว พวกเราก็ตามใจอาโอมิเนะอย่างเคย บางทีนิสัยเอาแต่ใจของเด็กหนุ่ม อาจจะเกิดขึ้นจากการกระทำของพวกเราก็ได้ พอคิดอย่างนั้นแล้ว คิเสะก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ

    “มีอะไรเหรอ ?”

    “เปล่าครับ”

    คิเสะถือโอกาสที่คาซามัตสึเผลอขโมยจูบเบาๆที่ริมฝีปาก สิ่งที่ได้รับตอบแทนกลับมาอย่างรวดเร็วก็คือ ความหนักหน่วงของฝ่าเท้าที่ปะทะเข้ากับบริเวณหัวเข่า ก่อนที่เจ้าตัวจะคว้าถุงพลาสติกจำนวนหนึ่งจากมือเขา แล้วเดินเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว

    “เจ็บเป็นบ้าเลย”

    ครั้งแรกที่เขาโดนลูกเตะนี้ เขารู้สึกเจ็บจนน้ำตาแทบไหล นึกสงสัยว่า ยามาโตะซังหัวเราะร่วนได้อย่างไร เมื่อโดนเตะ แต่อีกเสี้ยวหนึ่งในใจ เขาก็คิดถึงคำพูดของยามาโตะที่ว่า คาซามัตสึน่ะ จะไล่เตะเฉพาะคนที่รู้สึกสนิทใจด้วยจริงๆ ไม่ว่าจะโกรธหรือโมโหแค่ไหน คาซามัตสึก็ควบคุมตัวเองได้เสมอ ที่ไล่เตะน่ะ เป็นแค่การซ่อนความอายอย่างหนึ่ง

    “เรียวตะ !! โทรศัพท์ !!

    คิเสะก้าวเร็วๆเข้าไปหาคนตรงหน้าที่ยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้ อดใจไม่จูบลงไปที่ริมฝีปากนั้นอีกครั้ง เพราะกลัวว่าจะถูกต่อยจนคุยเรื่องงานไม่ได้ แต่เมื่อเห็นเบอร์ที่ปรากฏขึ้น เขาก็รู้ทันทีว่าปลายสายเป็นใคร

    “ไง คิเสะ ตอนนี้อยู่ไหน ?”

    “บ้าน”

    คนที่โทรมาคือยามาโตะ ชายหนุ่มผู้เป็นเพื่อนสนิทต่างวัยของคาซามัตสึและกลายมาเป็นเพื่อนสนิทของเขาเช่นกัน หลังจากยามาโตะรู้ว่า ห้ามคิเสะไม่สำเร็จ จึงเปลี่ยนใจมาช่วยเชียร์ความรักของทั้งคู่แทน ยามาโตะเป็นคนช่วยผลักดันให้คิเสะค้นหาตัวเอง เพื่อทำงานที่สามารถประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้

    “งั้นแสดงว่า ยุกกี้ก็อยู่ข้างๆน่ะสิ”

    “อยู่ในครัว”

    ยามาโตะซังเปลี่ยนจากการเรียกนามสกุลมาเป็นเรียกชื่อเล่นนี้ ตอนที่เขาเลิกเป็นนายแบบและมุ่งมั่นจะเอาชนะใจยูคิโอะซังให้ได้ เขาคิดว่า มันเป็นอีกทางหนึ่งที่ยามาโตะพยายามช่วยเขา โดยการบีบบังคับให้ยูคิโอะซังต้องครุ่นคิดและไตร่ตรองให้รู้ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนนั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องราวในตอนนี้

    ไม่ใช่ยูคิน้อย...แต่เป็นยุกกี้ต่างหาก...

    คำพูดของยามาโตะซังนั้นเหมือนจะเป็นเรื่องตลก แต่มันแฝงด้วยการเตือน แฝงด้วยความนัยที่ชายหนุ่มรู้ดีว่า อีกฝ่ายจะต้องเก็บไปคิดว่า มันหมายความว่าอย่างไร เขาไม่รู้หรอกว่า ยูคิโอะซังได้ข้อสรุปจากการกระทำนี้อย่างไร แต่เขาก็รู้สึกขอบคุณยามาโตะซังจากใจในความช่วยเหลือนี้

    “เดือนหน้านายว่างไหม”

    “ช่วงไหนล่ะ ?”

    ยามาโตะบอกวันเวลาและสถานที่ รวมถึงสิ่งที่อยากให้คิเสะช่วย ชายหนุ่มเช็คตารางงานของตัวเองแล้วตอบตกลง หากไม่มีธุระอะไร คิเสะก็ไม่ลังเลที่จะให้ความช่วยเหลือแก่เพื่อนคนนี้ เพราะตัวเขาเองได้รับความช่วยเหลือมาอย่างมากมายจนตอบแทนไม่หมด

    “แหม ดีจริงที่นายจบสถาปัตย์”

    ตอนที่เขาเลิกเป็นนายแบบนั้น ยามาโตะซังเป็นคนที่แนะนำว่า ให้เขาลองตั้งใจเรียนในมหาวิทยาลัยดู โดยให้เหตุผลว่า ขนาดนายเข้าเรียนบ้างไม่เข้าเรียนบ้าง แถมยังไม่ค่อยสนใจ ยังสอบผ่าน แถมคะแนนก็ใช้ได้ ลองตั้งใจเรียนดู อาจจะรุ่งก็เป็นได้ เขาจึงทำตามที่แนะนำ ปรากฏว่าได้ผลตอบรับดีเกินคาด

    หลังจากนั้นเขาจึงทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้กับการเรียนในมหาวิทยาลัย ตั้งใจว่าจะต้องจบไปเป็นสถาปนิกมือหนึ่ง แม้จะไม่ได้เรียนจบด้วยคะแนนสูงสุด เพราะสองปีแรกเขาเอื่อยเฉื่อย ไม่ค่อยสนใจการเรียนในมหาวิทยาลัย แต่ในปีสุดท้ายผลงานของเขาโดดเด่นเป็นที่จับตามอง มีบริษัทมาทาบทามมากมาย

    “พายุกกี้มาด้วยนะ”

    “พาไปทำไม ?”

    “ก็พามาเจอฉันน่ะสิ อย่างกสิวะ นายคิดจะเก็บยุกกี้ไว้เชยชมคนเดียวหรือไง”

    คิเสะไม่เคยคิดจะกีดกันยามาโตะซังเลยแม้แต่นิดเดียว ที่จริงก็เป็นบุญคุณของคนคนนี้อีกแหละที่พาเขาไปเจอยูคิโอะซังหลังเรียนจบ ให้เขาได้บอกกับอีกฝ่ายว่า เขาเรียนจบแล้ว ได้เข้าทำงานในบริษัทชื่อดัง และต่อไปจะสร้างผลงานให้เป็นที่ยอมรับ จะทำผลงานที่ยิ่งใหญ่จนใครๆก็ต้องยอมรับว่า เขามีปีก

    หลังจากนั้นครึ่งปี เขาก็ทำสำเร็จแล้วหลังจากนั้นอีกหนึ่งปี เขาก็แยกตัวออกมาทำงานโดยอิสระ ระหว่างนั้นเขาขอความรักจากยูคิโอะซังครั้งแล้วครั้งเล่า แม้รู้ดีถึงกำแพงที่เบาบางลง แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ตอบรับความรักของเขาอยู่ดี จนกระทั่งวันหนึ่งที่ยามาโตะซังทำเรื่องใหญ่

    ยามาโตะซัง...บอกรักยูคิโอะซัง...

    ตอนนั้นยามาโตะซังพูดว่า หากนายไม่ได้รักใคร ก็ช่วยคบกับฉันเถอะ ฉันชอบนายมาตลอด ชอบจนไม่อาจทนเก็บไว้ได้อีกต่อไปแล้ว นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เห็นสีหน้าตกตะลึงของยูคิโอะซัง แล้วค่อยๆเปลี่ยนเป็นความลำบากใจ น้ำตาหยดใสๆไหลลงมา ก่อนที่คำขอโทษจะพรั่งพรูออกมาจากปาก

    รู้ตัวซะทีนะ...ยุกกี้....ยามาโตะซังพูดแค่นั้นแล้วกอดยูคิโอะซังเอาไว้ แม้ตอนหลังยามาโตะซังจะบอกว่า นั่นเป็นแผนที่จะทำให้ยูคิโอะซังรู้ใจตัวเอง แต่ตัวเขาเองก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง สีหน้าและแววตาของยามาโตะซังในตอนนั้น มันดูสมจริงเกินกว่าจะเป็นแค่การแสดงได้ การต้องกล้ำกลืนความปรารถนาในตัวคนที่รักแล้วพยายามช่วยเหลือคู่แข่งนั้น มันเจ็บปวดเพียงใดกันนะ

    “จะคุยกับยูคิโอะซังไหมครับ”

    “คุยสิคุย”

    คิเสะถือโทรศัพท์ไปส่งให้คนที่อยู่ในห้องครัว พอบอกว่าเป็นยามาโตะซัง อีกฝ่ายก็มีสีหน้าดีใจขึ้นมาแว่บนึง จนแอบรู้สึกอิจฉาอยู่นิดๆ คุยกันไปได้ยังไม่ถึงห้านาที คาซามัตสึก็ส่งโทรศัพท์คืนมาให้

    “เคลียร์คิวงานให้ดีแล้วกัน ถ้านายลืม ฉันจะหนีไปเที่ยวกับยุกกี้กันสองคน”

    “ไม่ลืมแน่ๆครับ”

    หลังจากวางโทรศัพท์ คิเสะก็เดินไปถามว่า มีอะไรให้เขาช่วยไหม คาซามัตสึส่ายหน้าแทนคำตอบ แล้วไล่อีกฝ่ายให้ไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่น แต่คิเสะยังคงยืนอ้อยอิ่งอยู่ในครัว

    “เมื่อวานนี้ โรเบิร์ตโทรมาชวนไปทำงานอีกแล้วล่ะ”

    “อีกแล้วเหรอครับ”

    โรเบิร์ตเป็นจอมตื้อที่บ่นเสียอกเสียดายฝีมือถ่ายภาพของคาซามัตสึ และมักจะโทรมาเสนองานนู้นงานนี้ให้ทำอยู่เสมอ แน่นอนว่าคาซามัตสึปฏิเสธ เพราะมีสัญญากับคิเสะแล้วว่า จะไม่รับงาน เพื่อใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากที่สุด แต่ถึงจะพูดแบบนั้น โรเบิร์ตก็มักจะใช้มุกว่า มันไม่ใช่งาน เป็นแค่งานอดิเรกชั่วครั้งชั่วคราว

    “อย่าได้หลวมตัวตอบตกลงไปนะครับ”

    “มีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สอง ที่สาม ไปเรื่อยๆ”

    คิเสะเดินเข้าไปกอดทางด้านหลังเป็นการออดอ้อน ในขณะที่สมองจดบันทึกเอาไว้ว่า วันพรุ่งนี้จะต้องโทรไปด่าเพื่อนแต่เช้า โทษฐานมายุ่งวุ่นวายพยายามจะลากตัวคนรักของเขากลับไปทำงาน

    “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันไม่ได้มีปีกเหมือนอย่างนาย”

    “งานฉันไม่ได้น่าสนใจขนาดนั้นหรอก”

    ไม่ได้มีปีกที่ไหนล่ะครับ คุณน่ะเทวดาตัวจริงเลยต่างหาก ไม่อย่างนั้นช่างภาพชื่อดังอย่างโรเบิร์ตคงไม่สนอกสนใจในตัวคุณและพยายามเอางานมาหลอกล่อคุณแทบทุกเดือน

    “ว่าแต่นายเถอะ รับงานให้มันน้อยๆหน่อยเถอะ”

    “รู้หรอกนะว่า นายมีปีก นายเก่ง ทำงานเร็วและดี”

    “แต่คนเรามันก็ต้องพักผ่อนบ้าง”

    คิเสะไม่ค่อยปฏิเสธงานที่มีคนเสนอมาให้ เพียงแต่อาจจะต่อรองอะไรหลายๆอย่าง ที่จริงเขาไม่ได้ชอบทำงานหรอก แต่อยากสร้างหลักประกันให้มั่นใจว่า ยูคิโอะซังจะอยู่ได้โดยไม่ลำบาก เขาจะไม่มีวันยอมให้ยูคิโอะซังกลับไปทำงาน ดังนั้นคิเสะจึงขยันเติมตัวเลขในบัญชี จนจำนวนหลักนั้นขึ้นยาวเป็นหางว่าว

    พอบอกเหตุผลออกไป ก็โดนคนตรงหน้าดีดหน้าผากเข้าให้ เขาพูดผิดตรงไหน ??

    “นายเห็นฉันใช้เงินเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ ?”

    ใช้เงินเยอะ ?? แทบไม่ใช้เลยมากกว่า นอกจากค่าสาธารณูปโภคและค่ากับข้าวแล้ว ยูคิโอะซังจะใช้เงินก็ต่อเมื่อ จำเป็นต้องซื้อของใช้เล็กๆน้อยๆเข้าบ้าน เช่น หลอดไฟสำหรับเปลี่ยน หรือถ้วยชาสำหรับแขก นอกจากนั้นยูคิโอะแทบไม่เคยซื้ออะไร ไม่สิ ไม่เคยซื้ออะไรเลยต่างหาก ขนาดเสื้อผ้า เขายังเป็นคนซื้อมาใส่เอาไว้ในตู้ให้เลย

    “ก็ผมคิดว่าคุณไม่ใช้...เพราะเรายังมีเก็บไม่มากพอ”

    “งี่เง่าจริงๆเลยนะ นายเนี่ย”

    คาซามัตสึเอามือโอบรอบคอ แล้วดึงตัวอีกฝ่ายลงมา จูบเบาๆที่หน้าผากซึ่งเขาเพิ่งดีดไปเมื่อครู่ รอยแดงนั้นยังอยู่ แต่เหมือนว่าคนตรงหน้าจะดีใจ เสียจนลืมเจ็บ มันน่าหมั่นไส้จนอยากถ่องศอกเข้าใส่สักหน

    “ฉันไม่ได้แต่งงานกับนาย เพราะเงินนะ”

    “ผมรู้...ผมก็แค่อยากทำทุกอย่างให้เต็มที่...”

    ผมคิดอยู่เสมอว่า การที่ผมบังคับให้คุณเลิกทำงานแล้วมาอยู่บ้านเฉยๆนั้น เป็นการทำลายชีวิตของคุณหรือเปล่า มันเป็นการกักขังคุณเอาไว้ เพื่อความพอใจของผมฝ่ายเดียวใช่ไหม คุณรู้สึกเบื่อหน่ายและรู้สึกว่าตัวเองไร้คุณค่าหรือเปล่า ?? และหากวันหนึ่งผมต้องจากโลกนี้ไป ก่อนเวลาอันควร คุณจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร

    คุณอาจจะกลับไปทำงาน...แต่เมื่อถึงตอนนั้นมันอาจจะกลายเป็นเรื่องลำบากสำหรับคุณไปแล้วก็ได้ ฉะนั้นผมจึงต้องเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้มากที่สุด เพื่อวันใดวันหนึ่งที่ผมไม่อยู่แล้ว คุณจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขมากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้

    “ผมรักคุณครับ...ยูคิโอะซัง...”

    ไม่มีคำบอกรักตอบกลับมา มีเพียงรสจูบหวานหอมที่แผ่ซ่านไปทั่วปากและความรู้สึกอบอุ่นจากอ้อมแขนที่โอบกอดผมเอาไว้ คนรักของผมนั้นไม่ชอบแสดงออกด้วยคำพูด เขาเป็นคนขี้อายเกินกว่าจะพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาได้ แต่ผมรู้ว่าเขารักผมมากแค่ไหน จากทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำเพื่อผม

    ...มันคือคำบอกรักที่ไร้เสียง...จากเทวดาผู้ไร้ปีกของผม...

    ++++++++++

    ยาวมาก...ในที่สุดก็เขียนจบ จะได้เริ่มโครงการ COF ต่อสักที ข้อมูลยังไมได้หาเลย แถม COF เป็นฟิคที่เขียนด้วยสปีดหอยทากมาก
    (เพราะแก้แล้วแก้อีก ก็ยังไม่ได้คำที่สวย พล็อตที่ดี บางทีก็แอบเหวี่ยงปล่อยออกมาทั้งที่ยังไม่พอใจ ฮา)
    เรื่องนี้เสียดายอยุ่อย่างหนึ่งคือ คิเสะไม่มีโอกาสเรียกคาซามัตสึว่า "รุ่นพี่" เหมือนในเรื่องจริง แหมน่าเสียดาย

    พล็อตของตอนนี้คือ หมาไล่ตามรุ่นพี่อย่างเอาเป็นเอาตาย ถ้าทุกคนยังจำกันได้ หมาเป็นเทวดาที่ยอมทิ้งปีกเพื่อมาอยู่กับรุ่นพี่
    และเผอิญหมาเป็นเทวดา ก็เลยยังรักปักใจกะรุ่นพี่ เพราะเทวดาจะรักคนได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ชีวิต
    แต่รุ่นพี่จำหมาไม่ได้นะคะ และไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย เพราะรุ่นพี่เป็นมนุษย์ธรรมดา
    (ที่จริงหมาก็จำเรื่องในอดีตไม่ได้ค่ะ แค่ตกหลุมรักแบบถอนตัวไม่ขึ้น)
    ที่จริงฉากถ่ายแบบ หมาเปียกปอนนั้นมีที่ไปที่มา แต่หาจุดยัดลงฟิคไม่ได้ นั่นคือที่จริงหมากับรุ่นพี่เจอกันในชีวิตก่อนนู้น หลายพันปีก่อน
    หมาตกน้ำค่ะ หมาเป็นเทวดาที่ตกน้ำ แล้วบังเอิญรุ่นพี่ที่ยืนอยู่แถวนั้นไปเห็นเข้าพอดี ไม่ได้ไปช่วยจากน้ำนะคะ เพราะน้ำตื้น หมาแค่ล้ม
    ภาพตอนนั้นไม่ได้สวยเหมือนตอนถ่ายแบบ แต่ที่รุ่นพี่พูดขึ้นมาเรื่องน้ำกับตัวเปียก เพราะส่วนหนึ่งของวิญญาณรุ่นพี่จำได้ค่ะ
    ก็เลยรู้สึกว่า คิเสะน่าจะเหมาะกับฉากตัวเปียกน้ำ แต่ยามาโตะเอาความคิดมาดัดแปลงเสียใหม่ จนเกิดการถ่ายแบบชึ้น
    สรุปคือ ที่จริงเศษเสี้ยววิญญาณของรุ่นพี่จำความโก๊ะของหมาได้ (หัวเราะ)

    อยากสารภาพอีกเรื่องคือ ผู้เขียนเพิ่งไปฟัง character song ของรุ่นพี่ (หลังเขามาก เพิ่งจะได้ฟัง) แล้วบ้ามาก !!
    นึกอยากแต่งฟิค สร้างไหใหม่คู่นี้ในบัดดล แต่เนื่องจากกลัวไหล่ม จึงคิดว่า กลับไปแต่ง COF เถอะ (หัวเราะ)
    อีกอย่างเจอหมากับรุ่นพี่บ่อยๆ เดี๋ยวเอียน สลับกลับไปกินอะไรฟ้าๆแดงๆบ้าง เพื่อเปลี่ยนรสชาติ

    เกือบลืมขอบคุณคนเมนต์ทุกท่านนะคะ นึกว่าจะไม่มีใครเมนต์ เป็นวัตถุแรร์ เนื่องจากเป็นฟิคคิเสะคาซะที่แอบอยู่ในฟิคฟ้าไฟ (แอบฮา)
    งั้นขอตอบคอมเมนต์เลยนะคะ
    arij-joint : คิเสะมันเป็นเมะใจกล้าหน้าด้านอีกคนหนึ่งในความคิดเราเลยค่ะ แต่ความกล้าของนายทำให้นายได้รุ่นพี่มาเชยชมแล้วนะ คิเสะ
    หมีฟันเหล็ก ^[+++]^ : ที่จริงเราติดคู่นี้ก่อน ฟ้าไฟ แต่ไม่รู้ทำไมเขียนแล้วมันล่มตลอด ฟิคเลยเกิดช้ากว่าฟ้าไฟ
    terewasabi : พอจะตอบคอมเมนต์ตัว เพิ่งนึกได้ว่า ลืมเขียนเหตุผลที่รุ่นพีย้ายไปอังกฤษ ช่างมันเถอะ งั้นเอาเป็นว่า รุ่นพี่บ้านรวยก็ได้
    hnee : ตอนแรกก็แอบคิดเหมือนกันว่า ท่านหนีอาจจะไม่อ่าน เพราะไม่ใช่คู่โปรด ครั้งหน้าคงจะได้แต่งฟ้าไฟแล้วล่ะ รอก่อนนะคะ


    สาบานเลยว่า หมาเขียนง่ายมาก เขียนเร็วมาก แต่ยาว เขียนเท่าไรก็ไม่จบ ต่อจากนี้คงได้เขียน COF จริงๆจังๆแล้วล่ะ
    ใครที่เข้ามาอ่าน ร่วมลุ้นและเชียร์ (ยังกะผลบอล) ความรักของหมา ก็อย่าลืมมาคอมเมนต์กันนะคะว่าอ่านตอนจบแล้วรู้สึกยังไงกันบ้าง
    ผิดเพี้ยนแปลกประหลาด พล็อตไม่เข้าท่า ภาษาห่วย บอกได้ตลอดนะคะ คนเขียนจะพยายามเอาไปปรับปรุงเท่าที่สมองน้อยนิดจะอำนวย
    แล้วพบกันเรื่องหน้าจ้า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×