คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Extra : My secret wish (Gear san's side)
Title: My secret wish
Author: Monochrome bird
Category: Drama เป็นหลัก แต่แบ็คกราวน์อยากให้มีกลิ่นอายฮาเฮ
Pairing: โฮลี่ออดอร์ x คุณเกียร์
Rating: 15+
Disclaimer: ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นของคุณภานุวัฒน์ค่ะ พวกเราแค่ยืมมาจิ้นเล่นเท่านั้น
Author notes: เป็นความคิดของคุณเกียร์ค่ะ กะว่าจะเขียนตอนนี้สั้นๆ ไปๆมาๆ มันไม่สั้นเลยสักนิด
++++++++++
จำไม่ได้ว่า...ครั้งแรกที่เจอกันคือเมื่อไหร่...
จำไม่ได้ว่า...ครั้งแรกที่คุยกันคือตอนไหน...
จำไม่ได้ว่า...ครั้งแรกที่ได้รู้จัก...ผ่านไปนานเพียงใด...
พอรู้ตัวอีกที...ก็มีนายอยู่ข้างๆแล้ว...
++++++++++
ความรู้สึกแรกที่ได้เจอกับคนคนนั้น ก็เป็นเพียงแค่ GM คนหนึ่ง ซึ่งเอาจริงเอาจัง เสียจนดูเหมือนอายุมากกว่าคนอื่น
ทั้งที่อายุจริงก็เพิ่งจะยี่สิบกว่าๆเท่านั้น อาจเพราะคนอื่นคิดว่า การทำงานให้กับเกมที่สุดยอดอย่าง Neo Universe คือ
การเล่นสนุก แต่เขามองว่า งานก็คืองาน แล้วก็ตีหน้าเครียดอยู่เสมอ
แม้จะเดินผ่าน ทักทายกันตามประสาเพื่อนร่วมงาน หรือหัวหน้ากับลูกน้อง แต่ก็ไม่เคยคุยกันเป็นกิจจะลักษณะ
จนกระทั่งวันหนึ่งที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องพยาบาล พร้อมกับอาการปวดหัวตึบๆ ก็เห็นคนคนนั้นนั่งอยู่ข้างๆ
ใบหน้าที่ปกติจะชอบขมวดคิ้ว เคร่งเครียด ตอนนี้ก็ยิ่งแสดงออกถึงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน
ทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่นอนไม่พอนิดหน่อย แย่จัง ทำให้คนอื่นตกใจกันหมดแล้วสิเนี่ย
“คุณน่าจะหาใครที่ไว้ใจได้สักคน มาช่วยงานนะครับ”
ไม่น่าแปลกใจเท่าไรที่ได้ยินประโยคนี้จากปากของคนทำหน้าตาซีเรียส แถมขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา
แม้จะเลือกใช้คำพูดถึงเพื่อนร่วมงานว่า เป็นผู้ใหญ่หัวใจเด็ก แต่ดูท่าทางอยากจะใช้คำแรงกว่านั้น คงเกรงใจหัวหน้า
ที่กำลังนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ ไหนๆก็ออกปากเองว่า อยากให้หาคนมาช่วยงาน งั้นก็เอานายนี่แหละ
“แล้วนายล่ะ ?”
“ไม่มาช่วยงานฉันเหรอ ?”
พอพูดออกไป ก็โดนเอ่ยถามถึงเหตุผลที่เลือกตัวเอง คงบอกออกไปไม่ได้ว่า ข้อแรกคือ นายเป็นคนบอกให้หาคนมาช่วยงาน
ฉะนั้น เอานายนี่แหละ ง่ายดี และสอง รู้สึกอยากลบรอยย่นตรงคิ้ว ที่อยู่บนใบหน้าเครียดๆ ทั้งที่อายุก็เพิ่งเลขสองขึ้นหน้า
แต่ทำตัวยังกับลุง ลองเอามาไว้ใกล้ๆตัวดีกว่า เผื่อจะทำตัวสมอายุขึ้นมาบ้าง
“ก็นายดูเป็นผู้นำดี...ท่าทางจะเป็นคนที่คนอื่นจะเคารพเชื่อฟัง..”
“ถ้าเกิดฉันเป็นอะไรไป นายคงจะเป็นผู้นำทุกคนต่อได้...”
คำตอบนั้นเป็นเหตุผลข้อสาม พูดออกไป เพราะคิดถึงเรื่องร่างกายตัวเอง เขาอาจจะไม่สามารถอยู่ดูแลเกมนี้ได้นาน
แม้ว่าตัวเองจะอยากทำหน้าที่นี้เพียงใดก็ตาม หากไม่ใช่โฮลี่ ออเดอร์แล้ว บริษัทอาจจะหาคนอื่นมาเป็นหัวหน้าแทน
เพราะ GM คนอื่นๆ คงอยากเป็นหัวหน้า ด้วยเหตุผลที่ว่า มันเท่ จะออกคำสั่งหรือควบคุมใครเขาจริงๆ คงเป็นไปไม่ได้
ระเบียบที่มีอยู่น้อยนิด มีหวังป่นปี้ไม่มีเหลือแน่ๆ แต่ถ้าเป็นโฮลี่ ออเดอร์ก็คงจะฟังกันบ้างล่ะนะ
“คุณจะเป็นอะไรหรือครับ ?”
เผลอพูดเรื่องร่างกายตัวเองที่พยายามเก็บเป็นความลับออกไปจนได้ ใครจะไปคิดว่า คนตรงหน้าจะตั้งใจฟัง
เรื่องที่เขาพูดขนาดจับความนัยได้ชัดเจนขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่นก็คงแค่ฟังผ่านๆไปเท่านั้น
อยากเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แต่จะตอบปฏิเสธก็เป็นการโกหก จึงได้แต่พูดเลี่ยงๆไปแทน
แล้วอยู่ๆเจ้าคนตรงหน้าก็ดันลุกขึ้น โน้มตัวลงมากอดเขา แล้วก็บ่นว่าเหนื่อย
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็ไม่ได้รังเกียจหรือลำบากอะไร ก็เลยปล่อยให้กอดอยู่แบบนั้น
รู้สึกว่าอ้อมแขนนั้นกอดเขาแน่นขึ้น เหมือนต้องการซึมซับพลังงานอย่างที่เจ้าตัวพูด
ยังกับเด็กๆเลยแฮะ...
นี่คือการอ้อนหรือเปล่านะ ? โฮลี่ ออเดอร์น่ะหรือ จะอ้อนเขา ?
มีมุมที่เป็นเด็กๆเหมือนกันนะเนี่ย สงสัยจะเหนื่อยจริงๆ ถ้าอยากให้กอดก็จะกอดแล้วกัน
หากกอดแล้ว บรรเทาความเหนื่อย แล้วทำให้ใบหน้านั่นมีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง ฉันก็ยินดี
...อยากรู้ว่า...หากใบหน้านั้นยิ้ม...จะเป็นเช่นไร...
++++++++++
ทุกครั้งที่มองโฮลี่ ออเดอร์ทำงานจะรู้สึกสงสัยว่า เขาคิดผิดหรือเปล่านะที่ชวนอีกฝ่ายมาทำงานด้วยกัน
เพราะนอกจากใบหน้านั้นจะยังคงเต็มไปด้วยความเครียดแล้ว เจ้าตัวยังถอนหายใจบ่อยๆ และบ่นเรื่อง GM คนอื่นๆ
เขียนรายงานไม่ได้เรื่อง แทนที่ฉันจะทำให้นายดีขึ้น กลับทำให้เหนื่อยกว่าเดิมหรือเปล่าเนี่ย
แถมนาย...ยังชอบเอางานฉันไปทำอีก...
“กลับก่อนก็ได้นะ เคลียร์เอกสารตรงนี้อีกนิดหน่อยก็จะกลับแล้ว”
ปากพูดออกไปแบบนั้น แต่ที่จริงคิดเอาไว้ว่า หลังเคลียร์เอกสารตั้งนี้เรียบร้อย จะเข้าไปในเกมเพื่อตรวจดูบางอย่าง
มองดูคนที่กำลังทำงานรับคำว่า จะกลับ แต่เอาเข้าจริงๆก็ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง กว่าเจ้าตัวจะเก็บของกลับบ้านจริงๆ
“จะเข้าไปในเกมหน่อย”
เดินไปบอกคนที่เข้าเวรวันนี้ กะว่าจะตรวจสอบสถานการณ์ในเกมเสียหน่อย เกิดการฆ่ากันถี่ขึ้นมาก คงไม่ใช่เรื่องที่พวก GM
จะจัดการเองได้ ก็เจ้าพวกนั้นเกลียดการต่อสู้กับ player นี่นะ เห็นเอาแต่หลบเลี่ยงแล้ววิ่งมารายงานอย่างเดียว
ถ้าไม่รีบไปจัดการ เดี๋ยวปัญหาจะขยายตัว กลายเป็นเรื่องยุ่งยาก
อ๊ะ !!
ด้วยประสาทสัมผัสเฉียบคม ทำให้เขาหลบพ้นการโจมตีของพวก player มาได้ แม้จะมากันหลายคน
แต่พูดถึงระดับของผู้เล่นในตอนนี้ คงไม่สามารถเทียบได้กับ GM หรอก ดูท่าทางเจ้าพวกนั้นคงไม่รู้ว่า เขาเป็น GM
คิดว่า คนมากกว่าแล้วจะชนะได้เสมอไปเหรอ
ภาพตรงหน้าไหววูบ เหมือนพร่าเลือนไปชั่วขณะ ร่างกายรู้สึกแปลกๆ เหมือนติดขัดและเคลื่อนไหวลำบาก
บ้าชะมัด ทำไมต้องมาเป็นเอาตอนนี้ด้วยนะ ทั้งที่อยากให้การต่อสู้นี้ จบลงเร็วๆ จะได้รีบล็อกเอาท์
ปวดหัว ทำไมทุกอย่างดูสับสนไปหมด แล้วอย่างนี้จะเอาชนะได้หรือ แค่หลบเลี่ยงก็ยังทำได้ลำบากเลย
“โฮลี่ ออเดอร์”
เสียงเรียกชื่อใครคนหนึ่งที่ไม่ได้เข้าเวร แล้วดันโผล่พรวดเข้ามาในเกม คนที่ควรจะนอนหลับอย่างมีความสุขอยู่ที่บ้าน
อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร เพียงแต่ส่งสัญญาณให้สู้ หลังจากนั้นไม่นาน พวกนั้นก็โดนตีแตกกระจุย เพราะ ระดับของ player
ในตอนนี้ ไม่ใช่ระดับที่จะต่อกรกับ GM ได้ เมื่อการต่อสู้จบลง กำลังจะหันไปถามถึงเหตุผลว่า มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
ก็โดนอีกฝ่ายแย่งพูดขึ้นมาก่อน
“รีบล็อกเอาท์เถอะครับ”
มองเวลาในเกม ดูเหมือนว่า เขาจะล็อกอินมาเกิน 7 ชั่วโมงแล้วสินะ ข้างนอกคงแตกตื่นกันใหญ่
ก็อยากล็อกเอาท์อยู่หรอก แต่สถานการณ์แบบนี้ เขาล็อกเอาท์ไม่ได้ ทั้งที่พยายามล็อกเอาท์ แต่ก็ทำไม่ได้
นี่ก็เป็นหนึ่งในเรื่องลำบากของร่างกายนี้ โรคที่ไม่ค่อยมีใครเป็นกัน ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร
ใช้ชีวิตทั่วไปได้เหมือนคนปกติธรรมดาทั่วไป แต่เกี่ยวข้องกับการใช้สมองเชื่อมโยงกับเกม
ถ้าไม่ได้ทำงานแบบนี้ ก็คงไม่มีปัญหา เหมือนพระเจ้าประทานความโชคร้ายมาให้ เกมนี้ดันมารบกวนโรคที่เขาเป็นอยู่
“ฉันล็อกเอาท์ ไม่ได้”
เป็นคำตอบสั้นๆที่ให้ได้ในตอนนี้ เขาคงไม่อาจอธิบายเรื่องอาการที่ต้องเก็บเป็นความลับ
ไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้ กลัวว่า ถ้าบริษัทรู้เข้า มีหวังคงโดนเชิญให้ลาออก คนดูแลเกมที่มีโรคประจำตัวซึ่งได้รับ
ความกระทบกระเทือนจากเกมโดยตรง พวกผู้บริหารคงหวาดเสียวจะมีใครตายคาเกม แล้วสร้างข่าวลือทางลบให้แก่เกม
แม้จะรู้ว่า คนตรงหน้าเป็นห่วงและต้องการคำอธิบายสักแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจพูดเรื่องราวทั้งหมดออกไปได้
พยายามยิ้มให้ พูดปลอบโยนว่าไม่เป็นอะไรหรอก ไม่ต้องห่วง เพราะไม่มีอะไรที่ทำได้ดีกว่านี้
“สำหรับคุณแล้ว...”
“ผมน่ะ...”
ยังได้ยินคำพูดนั้น ไม่ทันจบ ก็เหมือนโดนกระชากอย่างรุนแรง โลกตรงหน้าดับวูบลง กลายเป็นสีดำสนิท
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็เห็นเพดานโรงพยาบาลสีขาว เป็นภาพที่เห็นบ่อย แต่ก็ยังคงรู้สึกเกลียดมันทุกครั้งที่ได้เห็น
ในหัวยังคงปวดไม่หาย มือและขารู้สึกอ่อนแรง แต่ยังขยับได้ เมื่อมองไปยังเตียงข้างๆ ก็เห็นใครคนหนึ่งนอนหลับอยู่
ขอโทษที่ทำให้ลำบากนะ...โฮลี่ ออเดอร์...
โรงพยาบาลคงไม่ใช่สถานที่ที่ใครๆก็อยากเหยียบย่างเข้ามา ลำพังตัวเขาเอง ก็เข้าๆออกๆ บ่อยพอสมควรในช่วงยังเรียนอยู่
มาถึงตอนนี้ เขาดันเป็นต้นเหตุให้คนอื่น ต้องมานอนที่นี่ด้วยกัน
คราวหน้าคงต้องระวังตัวเองดีๆแล้ว เพราะไม่ใช่แค่ตัวเอง แต่ดันทำคนอื่นเดือดร้อนไปด้วยนี่สิ แย่
ต้องยอมรับสภาพตัวเองว่า เล่นเกมนานๆไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เรื่องวุ่นวาย ใหญ่โต ก็อย่าเข้าไปในเกมอีกเลยจะดีกว่า
เผลอถอนหายใจออกมา เพราะรู้สึกว่า ต้องอยู่ห่างจากเกมที่ตัวเอง อยากดูแลให้ดีที่สุด
ท้องฟ้าข้างนอกเริ่มสว่าง จนเห็นเมฆสีขาวลอยอยู่เบื้องบน อยากมองเห็นอะไรมากกว่า ห้องแคบๆของโรงพยาบาล
จึงตัดสินใจลุกขึ้น เดินออกไปที่ระเบียง ถึงอากาศในกรุงเทพฯ ไม่ได้บริสุทธิ์สะอาด จนสูดหายใจได้เต็มปอด
แต่การได้รับลมธรรมชาติ แทนลมจากเครื่องปรับอากาศ ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้น
ใกล้เวลาจะต้องเลิกแล้วสินะ...ถึงจะไม่อยากเลิกเพียงใดก็ตาม...
อยากดูการพัฒนาของเกม...ความเปลี่ยนแปลงของผู้เล่น...
ทำไมร่างกาย...ต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ...
ได้ยินเสียงเปิดประตูเลื่อนของระเบียง เช้าขนาดนี้คงไม่มีใครอื่น นอกจากอีกคนหนึ่งที่เมื่อครู่ยังเห็นนอนหลับอยู่
เขาหันไปยิ้ม นึกอยากขอโทษที่สร้างเรื่องเดือดร้อนให้มากมาย แต่ควรจะพูดว่าอย่างไรดีนะ
ถ้าใช้คำพูดไม่ดี จะเป็นการดูถูกน้ำใจของอีกฝ่ายหรือเปล่านะ ก่อนจะทันได้พูดอะไร ก็โดนถามไถ่เรื่องอาการปวดหัว
ตามด้วยเรื่องเมื่อคืนนี้ คำถามเกี่ยวกับความไว้วางใจ ราวกับร้องขอให้พูดทุกสิ่งทุกอย่าง
คำตอบที่ให้ได้...มีเพียงรอยยิ้มเท่านั้น...
“ทำไม...คุณต้องยิ้ม ถ้าไม่อยากยิ้มล่ะครับ...”
นายนี่นะ ชอบถามแต่เรื่องที่ตอบยากๆทั้งนั้นเลย คำตอบก็คือ เพื่อปกป้องตัวฉันเองยังไงล่ะ
หากยิ้มแล้ว ทุกคนสบายใจ ฉันก็จะรู้สึกยินดีไปด้วย ถ้ามีแต่บรรยากาศอึมครึม ฉันมักจะรู้สึกแย่ตามไปด้วย
“ไม่ยิ้มจะดีกว่าเหรอ ?”
“ถ้าไม่อยากยิ้ม ก็ไม่เห็นต้องยิ้มนี่ครับ...”
“อย่างน้อยก็ต่อหน้าผม...”
ที่พูดเนี่ย หมายความว่าอย่างไร ฉันเข้าใจความหมายที่นายต้องการจะบอกถูกต้องหรือเปล่า
สัมผัสของปลายนิ้ว ทำให้ร่างกายรู้สึกแปลกๆ โดยเฉพาะยามเมื่อมันหยุดลงบริเวณลำคอ
เหมือนในหัวขาวโพลน คิดอะไรไม่ออก ไม่มีรังเกียจสัมผัสนี้ แต่กลับรู้สึกเหมือนถูกตรึงจนขยับตัวไม่ได้
“คุณเกียร์...”
“เหนื่อยเหรอครับ...”
คำถามนั้น ทำให้หลุดออกจากภวังค์ ร่างกายเคลื่อนไหวไปเอง เหมือนโหยหาความอบอุ่นที่มาจากปลายนิ้วนั้น
หากสิ่งที่ฉันเข้าใจถูกต้อง ก็ขอพักสักหน่อยเถอะ อยากเลิกคิดเรื่องวุ่นวายเกี่ยวกับร่างกายตัวเองสักพัก
อยากได้ที่พักพิงและความอบอุ่นจากใครสักคน เพราะตอนนี้ต้องยอมรับเสียทีว่า เหนื่อย
รู้สึกได้ถึงแขนที่โอบกอดร่างกายเขาเอาไว้อย่างทะนุถนอม ความอบอุ่นที่สัมผัสได้ทางร่างกาย
ทำให้ตัวเขาเอง ก็ยกแขนขึ้นกอดร่างนั้นตอบ เพื่อซึมซับความอบอุ่นนี้ให้มากที่สุด
อบอุ่น...และสบายใจ...เมื่อนายอยู่ตรงนี้...
ถึงจะลำบาก...ถึงจะมีเรื่องเดือดร้อนอย่างไร...
อาจเป็นการเห็นแก่ตัว...อาจเป็นการรบกวน...
...แต่อยากให้อยู่ด้วยกัน...อยู่ข้างๆฉันนะ...
++++++++++
เวลาผ่านไปพอสมควรที่ได้ทำงานร่วมกัน ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อมีคนมาช่วยงาน แถมยังเจ้ากี้เจ้าการเข้ามาดูแลชีวิต
ของเขาอีก โดนบังคับให้กินข้าว วันดีคืนดี ก็บ่นว่า หน้าซีด แล้วบังคับให้เลิกงานตรงเวลา ไม่ยอมให้ทำโอที
จนนึกสงสัยแล้วว่า เขามีลูกน้อง หรือมีผู้ปกครองกันแน่เนี่ย หลายคนบอกว่า สิ่งที่โฮลี่ ออเดอร์บังคับให้ทำ
มันเป็นเรื่องปกติทั่วไปที่คนอื่นเขาทำกัน ก็แค่ดูแลให้คุณใช้ชีวิตแบบไม่ทารุณกรรมร่างกายตัวเอง ก็เท่านั้น
ตอนแรกนึกว่า จะเป็นพวกไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ที่ไหนได้ กลายเป็นพวกชอบดูแลคนอื่นซะอย่างนั้น
เช้าวันนี้ นมกับแซนวิชถูกยัดลงมาไว้ในมือ ทันทีที่ตื่นจากการแอบงีบหลับบนโต๊ะทำงานในตอนเช้า
รู้สึกเหมือนไม่อยากอาหารเท่าไร ที่จริงไม่ต้องซื้อมาก็ได้ เป็นการรบกวนเปล่าๆ
แต่ถ้าปฏิเสธน้ำใจ ก็คงจะไม่ดี จึงได้แต่บอกขอบคุณและขอโทษที่ทำให้ลำบาก
“สงสัยต้องหาแฟนแล้วล่ะ”
ปากพูดออกไปแบบนั้น เพราะนึกสงสัยว่า ทำไมคนตรงหน้า ถึงยังไม่มีแฟน หรือเพราะว่า มาดูแลหัวหน้า
จนกระทั่งไม่มีเวลาหาแฟน ถ้าเป็นแบบนั้น ตัวเขาเองนั่นแหละ ที่ต้องหาคนมาดูแล จะได้ไม่ต้องสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น
“คุณเกียร์ ชอบผู้หญิงแบบไหนเหรอครับ”
ถึงจะถามแบบนั้นก็เถอะ แต่ไม่เคยคิดเรื่องนี้อย่างจริงจังเลยสักครั้ง
ระหว่างกำลังนึกคำตอบ ก็โดนโทรศัพท์ตามตัวขึ้นไปประชุมกับฝ่ายเทคนิค เรื่องทดลองระบบใหม่
การเร่งรัดพัฒนาระบบนี้ มีสาเหตุมาจากเขาที่ล็อกอินเกินเวลาแล้วโดนหามส่งโรงพยาบาล
หากมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับ player อาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของบริษัทเป็นอย่างมาก
ระบบที่ติดตั้งนั้น ต้องการตัวทดสอบ เพราะว่าเกมค้างบ่อยมาก หลังจากติดระบบล็อกเอาท์อัตโนมัติ
ตัวเขาเองก็อยากจะเป็นคนทดสอบให้อยู่หรอก แต่รู้ทั้งรู้ว่า ร่างกายตัวเองนั้น ไม่ใช่มาตรฐานที่ดี
เผลอๆฝ่ายเทคนิคจะยิ่งสับสนมากขึ้น เพราะค่าข้อมูลมันออกมาแปลกๆ
ระหว่างที่กำลังตัดสินใจว่า จะให้ GM คนไหนไปดี เพราะเดาได้เลยว่า คนอื่นๆต้องโอดครวญเรื่องไม่ได้เล่นสนุก
การไปเป็นตัวทดสอบนั้น เหมือนถูกจำกัดขอบเขตในการเล่น ใครที่ได้รับเลือกคงบ่นอิดออดว่า น่าเบื่อที่สุด
เผลอๆ จะแอบโดดงาน ไม่ไปทดสอบ แล้วจะยิ่งวุ่นวาย กลายเป็นปัญหาระหว่างแผนกอีก
โชคดีที่พอเล่าออกไป โฮลี่ ออเดอร์ก็รับอาสาทำหน้าที่นี้เอง แม้เจ้าตัวจะทำท่าเหมือนไม่เต็มใจเท่าไรนัก
“ก็ไม่ได้อยากไปหรอกครับ แต่มันเป็นงานนี่ครับ”
“ขอโทษนะ...”
สุดท้ายก็ทำได้แค่พูดขอโทษเท่านั้นแหละ อยากจะไปเองอยู่เหมือนกัน แต่ทำไม่ได้
การที่ฉันเอานายมาไว้ใกล้ๆตัวนี่ ฉันคิดผิดสินะ นอกจากจะไม่สามารถลบความเครียดออกไปจากใบหน้านั่นได้
ยังทำให้นายต้องลำบากมากขึ้นกว่าเดิมอีก ขอโทษนะ แต่ฉันก็ไม่รู้ว่า ควรจะทำอย่างไรดี
“ถ้าจะขอโทษ ขอสิ่งแลกเปลี่ยนแทนได้ไหมครับ...”
แปลกใจอยู่ไม่น้อยที่นายพูดแบบนี้ออกมา แต่ไม่คิดจะปฏิเสธคำขอนั้น
ฉันรบกวนนายมาหลายครั้ง...หากมีสิ่งที่ฉันทำได้...ฉันก็อยากจะทำให้...
กลัวว่า...หากไม่ตอบรับคำขอนั้นแล้ว...นายจะรู้สึกเบื่อ...แล้วก็จากไป...
บอกมาเถอะ...อยากได้อะไร...แล้วฉันจะให้...
...เพราะอยากให้นาย...อยู่ข้างๆกัน...
...เพราะว่านาย...สำคัญ...สำหรับฉัน...
++++++++++
ความสัมพันธ์ของเราดำเนินไปตามแนวทางแปลกประหลาด หลังจากจูบที่ห้องทำงานในครั้งนั้น
มันเป็นจูบครั้งแรก แต่ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เพราะโฮลี่ ออเดอร์ชอบหาทางทำมันทุกทีที่มีโอกาส
รู้สึกโมโหทุกครั้ง เมื่อมองเห็นรอยยิ้มที่ฉาบอบู่บนใบหน้านั้น รอยยิ้มที่แสดงออกถึงความขบขัน หลังขโมยจูบสำเร็จ
แต่พอได้ยินคนคนนั้นฮัมเพลง อย่างอารมณ์ดี แถมรอยยิ้มก็ยังคงติดอยู่บนใบหน้า ก็รู้สึกว่า ยอมให้หน่อยก็ได้
จะได้ทำหน้าตาดีๆ แบบไร้ความเครียดบ้าง ไม่ใช่ตีหน้าซีเรียส ยังกับอายุปาเข้าไปเลขสี่แล้ว
ที่สำคัญ...สัมผัสเวลาจูบ...ก็ไม่เลวทีเดียว...
สิ่งที่กำลังทำอยู่นั้น เป็นการตอบแทนส่วนหนึ่ง แต่ก็เป็นความพึงพอใจอีกส่วนหนึ่ง เพราะไม่เคยรังเกียจสัมผัสนั้น
ทั้งที่เป็นผู้ชายเหมือนกันแท้ๆ แต่กลับอบอุ่นและสบายใจ ทุกครั้งที่อยู่ในอ้อมกอด ทุกครั้งที่ถูกสัมผัส
จนต้องย้ำเตือนตัวเองเสมอว่า นี่เป็นแค่เพียงความพึงพอใจทางร่างกายเท่านั้น สักวันหนึ่งคนคนนั้นก็ต้องแต่งงาน
แล้วสร้างครอบครัวที่อบอุ่น จะอยู่ข้างๆแบบนี้ตลอดไป คงเป็นไปไม่ได้
รู้ทั้งรู้ว่า...เป็นแบบนั้น...
รู้ดีถึง...สิ่งที่บอกตัวเองมาตลอด...
แต่สุดท้ายก็ยังเผลอ...หลงวนเวียนในความสุขนั้น...
...โหยหา...สัมผัสที่แสนอ่อนโยน...
บางครั้งนายก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย ท่ามกลางผู้คนมากมายที่เข้ามามุงดูการทะเลาะเบาะแว้ง
ในตอนที่สถานการณ์สับสนวุ่นวาย กำลังต้องการความช่วยเหลือ นายก็เดินฝ่าผู้คนเดินตรงเข้ามาหา
นายจะรู้บ้างไหมว่า ตอนนั้นฉันประหลาดใจแค่ไหนที่ได้เห็นนายอยู่ตรงนั้น
แล้วก็...รู้สึกโล่งใจด้วย...
ผู้ติดตามของเหล่าทายาทผู้ถือหุ้นเข้ามาถามไถ่อาการเขา เพราะเห็นรีลิสไม่ยอมกลับไปรวมกลุ่ม เกาะติดอยู่กับเขา
พอบอกให้ไปก่อน เธอก็ไม่ยอม จนอีกฝ่ายต้องเกาหัวอย่างลำบากใจ เพราะไม่รู้ว่า ควรทำอย่างไรดี
สายตานั่นมองมาทางนี้ เหมือนจะขอความช่วยเหลือ ก็เลยต้องแอบอ้างชื่อโฮลี่ ออเดอร์
“เดี๋ยวให้โฮลี่ ออเดอร์ไปส่งก็ได้”
ที่จริงไม่ได้กะว่า จะให้ไปส่งจริงๆหรอก ไม่กล้ารบกวนขนาดนั้น ยิ่งเป็นวันเสาร์ เป็นวันพักผ่อนด้วย ยิ่งแล้วใหญ่
แต่ขอใช้ชื่อเป็นข้ออ้าง ให้รีลิสกลับไปประชุมต่อ เดี๋ยวเขาค่อยเรียกแท็กซี่กลับบ้านเองก็ได้
หลังจากสบตากับคนนู้นทีคนนี้ที พยายามยิ้ม เพื่อบอกว่า ไม่เป็นอะไร ไม่ต้องห่วง
สักพักรีลิสถึงหันไปฝากฝังสั้นๆกับโฮลี่ ออเดอร์ แล้วยอมกลับไปประชุม
เมื่อเห็นร่างเพรียวระหงของหญิงสาวถูกกลืนหายไปในฝูงชน ก็หันมากำลังจะอ้าปากบอกว่า ไม่เป็นไร กลับเองได้
เห็นโฮลี่ ออเดอร์กำลังส่งสัญญาณกับหญิงสาวคนหนึ่ง เดาว่า คงเป็นสาวเจ้าที่ควงมาเที่ยวด้วยวันนี้
นี่เขากำลังทำบาปไปแย่งเวลาของคู่รักมาหรือนี่ อย่างนี้ยิ่งต้องรีบไล่ๆให้กลับไปทางโน้น
ถึงสมองจะคิดแบบนั้น...แต่ทำไมในใจมันเจ็บแปลบ...
แม้จะพูดออกไปว่า ให้ไปเที่ยวต่อกับหญิงสาว แต่กลับโดนบังคับพาขึ้นรถแท็กซี่ไปโรงพยาบาลอยู่ดี
ระหว่างที่อยู่ในรถ เขานึกในใจว่า โฮลี่ ออเดอร์เป็นมนุษย์ช่างบังคับแท้ๆ บังคับไปซะทุกเรื่อง
ที่จริง เมื่อกี๊เขาจะคัดค้านให้หนักกว่านี้ก็คงได้ แต่กลับไม่ทำ เพราะอะไรกันนะ
รู้สึกอิจฉางั้นหรือ...เป็นความคิดที่ไม่ดีเลยนะ...
แต่สิ่งที่รู้ชัดก็คือ...ยินดีอย่างประหลาด...ที่มีคนคนนั้นอยู่ข้างๆ...
รู้สึกดีใจที่ได้รับการเอาใจใส่...ดูแล...ดีใจจริงๆ...
เมื่อกลับจากโรงพยาบาล โฮลี่ ออเดอร์ยังคงตามมาส่งที่บ้าน แม้เขาจะบอกแล้วว่า กลับเองได้
แถมตอนลงจากแท็กซี่ ยังอุ้มเขาลงมาอีก ถึงจะดิ้นรนยังไงก็ไม่ยอมวางลง
ไม่ได้พิการ !! ไม่ต้องมาอุ้ม !! มันน่าอายจะตายไป !!
โดนโยนลงไปบนเตียงในห้องนอน ตามด้วยการปะทะคารม ถกเถียงกันเล็กน้อยเรื่องโรงพยาบาล
แต่ทำไมคุยไปคุยมา ถึงกลายเป็นเรื่องรีลิสได้ ก็ไม่รู้ สุดท้ายก็อธิบายไปหมด ทั้งเรื่อง Key master กับเรื่อง GM ใหม่
แล้วอยู่ๆคนตรงหน้าก็ก้มลงมาจูบแก้ม แบบไม่ทันได้ตั้งตัว จนรู้สึกตกใจ
ถ้าเป็นแต่ก่อน...ก็คงเห็นเป็นเรื่องธรรมดา...
แต่วันนี้...ได้เห็นชัดกับตา...ว่านายมีแฟนอยู่แล้ว...
งั้นก็อย่ามา...ล้อเล่นแบบนี้จะได้ไหม...
“ที่ไปเที่ยวด้วยกันน่ะ แฟนเหรอ ?”
พูดออกไปเพื่อหวังให้คนตรงหน้า รู้สึกสำนึกบ้าง แต่หัวใจตัวเองกลับเจ็บแปลบ เหมือนตอนที่เห็นเธอคนนั้น
ราวกับการพูดออกไปนั้น เป็นการย้ำตัวเองว่า สิ่งนั้นคือความเป็นจริงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
พยายามควบคุมสีหน้า ให้เป็นปกติ ไม่อยากให้รู้ว่า ตอนนี้หัวใจตัวเองเต้นเร็วขึ้น
“แล้วคุณรีลิสล่ะครับ ? ดูสนิทกันดีนะครับ ?”
นายไม่ตอบคำถามของฉัน แต่ดันถามกลับ แถมใบหน้าที่เมื่อครู่ยังยิ้มกว้าง เปลี่ยนเป็นไม่พอใจทันที
เดาจากคำถามได้ว่า นายเข้าใจผิด เรื่องความสัมพันธ์ของฉันกับรีลิส ที่จริงก็ไม่แปลกอะไร เพราะมีคนเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ
แต่นึกสงสัยว่า ทำไมนายถึงต้องสนใจเรื่องนี้ด้วย
...ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง...ไปมากกว่านี้...
อธิบายความจริงออกไปว่า ความสัมพันธ์ของเราเป็นแค่เพื่อนตั้งแต่สมัยม.ปลาย จ้องมองใบหน้านั้นที่ดวงตามองกลับมา
เหมือนต้องการค้นหาว่า สิ่งที่เขาพูดออกไปนั้น เป็นความจริงหรือเปล่า
“อยากให้ฉันรีบหาแฟนขนาดนั้นเชียว ?”
พูดออกไปเพียงแค่นั้น แต่ที่จริง อยากจะบอกออกไปว่า ถ้านายอยากให้ฉันรีบหาแฟน เพื่อจะได้ไม่ต้องมานั่งดูแล
หัวหน้าที่ไม่ได้ความแล้วล่ะก็ ขอให้นายเลิกคิดเสีย แล้วก็เลิกดูแลฉันซะ ฉันดูแลตัวเองได้
ถึงจะยอมรับว่า อยากให้นายมาอยู่ใกล้ๆ ไม่อยากยกให้ใคร แต่มันก็เป็นเพียงความเห็นแก่ตัวของฉัน
...นายจะไปกับใคร...ก็เป็นสิทธิของนาย...
ก่อนที่ทันจะได้พูดอะไร ปากก็ถูกลิ้นของคนตรงหน้ารุกล้ำเข้ามาภายใน รวดเร็วและรุนแรง
แม้จะพยายามขัดขืน ถอยห่างออกมาจากอ้อมแขนนั้น แต่กลับถูกรั้งตัวไว้ ไม่ให้ไปไหน
ในที่สุดสมองก็มึนชา เป็นสีขาวโพลน ร่างกายไม่รู้สึกอะไร นอกจากความร้อนรุ่มที่ปะทุขึ้นมาภายใน
เมื่อถูกปล่อยตัวจากอ้อมแขน ก็รู้สึกได้ว่า เรี่ยวแรงหายไปจนหมดสิ้น
“ทำขนาดนี้แล้วยังไม่เข้าใจอีกเหรอครับ...”
“ว่าผมคิดกับคุณแบบไหน...”
ฉันก็อยากรู้คำตอบของคำถามนั้นเหมือนกัน โฮลี่ ออเดอร์
ฉันจะแน่ใจได้อย่างไรว่า สิ่งที่ฉันเข้าใจหรือรู้สึกอยู่ในขณะนี้คือ ความจริง ไม่ใช่แค่เรื่องที่คิดไปเอง
นายสัมผัสฉันอย่างอ่อนโยน...จูบฉันด้วยรสชาติอันหอมหวาน...แต่สิ่งนั้นไม่อาจเป็นเครื่องยืนยัน...
เพราะนายไม่เคยพูดความรู้สึกเลย...สักครั้ง...ไม่เคยเลย แม้แต่ครั้งเดียว...
นายบอกว่า อยากจูบ...นายบอกว่า อยากกอด...
แต่นั่นคือสิ่งที่นายเคยทำลงไป...โดยไม่ขอคำอนุญาตเลยด้วยซ้ำ...
นายต้องการจะพูดอะไรกับฉัน...บอกมาตรงๆได้หรือเปล่า...
“ไม่เข้าใจจริงๆ หรือแกล้งครับเนี่ย...”
“ก็ไม่แน่ใจน่ะสิ กลัวว่าจะคิดไปเอง...”
ภาพของหญิงสาวคนนั้นผุดขึ้นมาในความคิด สาวสวยที่ไปเดินกับชายหนุ่มในวันเสาร์ จะไปอื่นใดไปได้นอกจากเดท
หากสิ่งที่นายกำลังทำกับฉัน เป็นเพียงแค่ตอบสนองความต้องการของร่างกาย ก็หยุดเสียเถอะ
อย่าเล่นสนุกกับฉันไปมากกว่านี้ เพราะมันผูกมัดตัวฉันเอาไว้กับความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้
ดวงตาคู่นั้นมองมาทางนี้ เหมือนต้องการจะบอกคำตอบ แต่ยังคงไม่มีเสียงใดๆ ลอดผ่านจากริมฝีปาก
นายจูบล้ำลึกอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเนิ่นนานและอ่อนโยนมากกว่าครั้งก่อน ราวกับทดแทนคำตอบที่ไม่ได้พูดออกมา
สุดท้ายแล้ว...เรื่องระหว่างเราก็ยังไร้ซึ่งคำพูดใดๆ...
มีเพียงร่างกายที่เชื่อมโยง...สื่อความหมายของความผูกพัน...
ถึงในตอนนี้...ฉันจะยังไม่มั่นใจในความรู้สึกที่แท้จริงของนาย...
...แต่...ฉันจะยกให้...
ขอนายจงประทับตรา...เพื่อตอกย้ำวันเวลาที่ผ่านมา...
ขอนายสร้างสายสัมพันธ์...เพื่อเชื่อมโยงพวกเราเอาไว้...
ขอนายมอบความทรงจำ...ในคืนนี้ที่จะติดตรึงตราบนานเท่านาน...
...แม้สุดท้าย...ฉันอาจจะเป็นคนที่ต้องเสียใจก็ตาม...
++++++++++
ตอนนี้ทุกอย่างในบริษัทเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น ทั้งเรื่อง GM คนใหม่ เรื่อง Key master อาจรวมถึงความสัมพันธ์
ของพวกเรา ดูเผินๆแล้ว ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบง่าย แต่ที่จริงแล้ว มันมีความซับซ้อนและเกิดการเปลี่ยนแปลง
ขึ้นภายใน ไม่ว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี มันก็เป็นเครื่องยืนยันว่า นาฬิกาแห่งชีวิตยังคงเดินต่อไป
“เสาร์นี้ว่างหรือเปล่า ?”
ปกติแล้วโฮลี่ ออเดอร์จะเป็นคนชวนออกไปข้างนอก เลือกสถานที่เที่ยว บางทีก็เช่าหนังมาดูด้วยกันที่บ้าน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อนเลยสักครั้ง จึงไม่แปลกที่คนถูกชวนจะทำหน้าตาแปลกใจปนสงสัย
แล้วถามย้อนกลับมาในเชิงขอรายละเอียด ไม่ยอมตอบว่า ว่างหรือไม่ว่าง
“อยากไปเที่ยวสักหน่อยน่ะ”
เพียงแค่นั้น ก็เห็นใบหน้านั้นเปลี่ยนจากแค่งุนงง เป็นช็อกสุดขีด ปกติทำหน้าตาเครียดอยู่ตลอด นานๆทีจะหลุด
ความเหวอออกมาให้เห็นบ้าง ดูแบบนี้ค่อยน่ารัก น่าเอ็นดู สมอายุจริงๆหน่อย
หลังจากนั้น เจ้าตัวก็ตั้งหลัก ถามต่อว่า จะไปไหนหรือครับ พอตอบกลับว่า จะไปดูหนัง
ก็ยิ่งทำหน้าเหมือนโลกจะแตก จนเขาหลุดขำออกมาเบาๆ แล้วคิดว่า เสาร์นี้ จะสนุกแค่ไหนนะ
แม้จะนัดกับโฮลี่ ออเดอร์ไว้ตอนสิบโมง แต่ก็เป็นมารยาทอันดีที่ควรเผื่อเวลาก่อนสักสิบนาที เผื่อรถติดหรือมีเรื่องอะไรฉุกเฉิน
จะได้ไปได้ทันเวลานัด ในระหว่างล็อกประตูบ้าน ทบทวนว่า ภายในปิดไฟและถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าออกหมดแล้ว
ทุกอย่างเรียบร้อย จึงก้าวออกจากบริเวณบ้าน ตรงไปยังป้ายรถเมล์
ความรู้สึกบางอย่างแล่นริ้วขึ้นมาตามไขสันหลัง ภาพตรงหน้าสั่นไหว ราวกับสมองถูกตีด้วยของแข็ง
ไม่อาจประคองตัวให้ยืนตรงอยู่ได้ ร่างกายทรุดลงกลับพื้น เมื่อโลกตรงหน้าหมุนคว้างและเปลี่ยนเป็นสีเทา
กระเพาะอาหารบีบตัวรุนแรง เหมือนอยากจะอาเจียน แต่กลับไม่มีอะไรออกมา
เจ็บ...บ้าชะมัด ทำไมต้องมาเป็นเอาวันนี้นะ...
ภาพตรงหน้าพร่าเลือน จนเหมือนจะดับวูบลงทุกขณะ พยายามจิกเล็บเข้าไปในมือ เพื่อคงสติของตัวเองเอาไว้
แต่ความรู้สึกสุดท้ายที่รู้คือ น้ำหนักของโทรศัพท์มือถือในมือ ซึ่งเขายังไม่ได้กดโทรหาใคร
จะรออยู่หรือเปล่านะ...
ขอโทษนะ...ที่ไปไม่ได้...
ขอโทษ...โฮลี่ ออเดอร์...
พอลืมตาขึ้นอีกครั้งก็เห็นเพดานสีขาวของโรงพยาบาล เรียกได้ว่า เป็นภาพคุ้นชิน แต่ก็ยังคงเกลียดแสนเกลียด
ทุกครั้งที่เห็นภาพนี้ มันเป็นเครื่องยืนยันความอ่อนแอของตัวเอง ร่างกายที่น่ารำคาญนี้ แขนขาไร้เรี่ยวแรง
ราวกับเส้นประสาทถูกตัดขาด ในหัวยังปวดตุบๆ แต่ไม่รุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้ ขวดน้ำเกลือที่อยู่ข้างๆคงจะลำเลียง
ยาบางอย่างเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด
ผิดนัดจนได้...ต้องโดนโกรธแน่เลย...
นั่นเป็นความคิดถัดมา เมื่อเห็นนาฬิกาบนผนังห้องบอกเวลาสิบเอ็ดโมง จะยังรออยู่หรือเปล่านะ หรือโกรธจนกลับบ้านไปแล้ว
อยากให้เป็นอย่างหลังมากกว่า ไม่อยากให้รอคอยเขาโดยไร้ประโยชน์
ขอโทษนะ...ขอโทษ...
เสียงเปิดประตูเข้ามา โดยไม่มีการเคาะ ทำให้พอเดาได้ว่า เป็นใคร ร่างสูงโปร่งของหญิงสาว เพื่อนตั้งแต่สมัยม.ปลายของเขา
เดินเข้ามาในห้อง แล้วลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ ใบหน้านั้นไม่มีรอยยิ้ม ดวงตาจ้องมองมาทางเขาเหมือนกำลังตำหนิเด็กเล็กๆ
ที่ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาได้แต่ยิ้มตอบ รอฟังคำเทศนาเช่นเคย
“ไม่ต้องมายิ้มเลย ครั้งที่เท่าไรแล้วเนี่ย”
“ไม่กลัวสมองพังบ้างหรือไง”
รู้ดีว่า เธอโกรธ เพราะห่วง ยิ่งโกรธมาก เพราะห่วงมากกว่าคนอื่น เธอจัดแจงเป็นธุระให้ทุกครั้งที่เขาเข้าโรงพยาบาล
แล้วก็เทศนาเขาทุกครั้งเมื่อฟื้นขึ้นมา แต่ถึงจะโกรธมากแค่ไหน เธอก็ปล่อยให้เขาทำตามใจ ยอมให้เขาทำงานตามที่เขา
อยากทำ ทั้งที่เธอสามารถใช้อำนาจเขี่ยเขาออกจากงานที่ต้องการได้ง่ายๆ
“เฮ้อ เอาเถอะ เทศน์มาตั้งแต่อายุสิบหก คงไม่มาเข้าหัวเอาตอนนี้หรอก”
ท่าทีถอนหายใจแบบเบื่อหน่ายนั้น น้อยคนจะได้เห็นจากคุณหนูผู้วางมาดสง่างามตลอดเวลาคนนี้
และเขาก็เป็นหนึ่งในคนเพียงหยิบมือที่ได้เห็น มันทำให้เขามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ก่อนจะถูกตวาดไปอีกรอบว่า ไม่ต้องมายิ้มเลยนะ
“แล้วไปทำอะไรมาล่ะ ?”
“ก็แค่เข้าไปดูอะไรนิดหน่อย”
คิดว่า จะเข้าไปตรวจดูความเรียบร้อยนิดหน่อย แต่ไปๆมาๆ ก็ล็อกอินเกือบจะครบ 7 ชั่วโมงจนได้
รู้ทั้งรู้ว่า ตัวเองเป็นคนที่มีปัญหากับเกมนี้ แต่ก็ยังเข้าไปบ่อยที่สุดเท่าที่เวลาและร่างกายจะอำนวย
ในเมื่อเป็นสิ่งที่เขาเลือกแล้วว่า จะทำ ก็อยากจะทำให้ดีที่สุด
“เมื่อไหร่จะเลิกซะทีล่ะ เกียร์”
น้ำเสียงที่พูดประโยคนี้เจือไปด้วยความอ่อนใจปนกับการขอร้อง เธอเองก็คงรู้ดีถึงความตั้งใจของเขา
แต่การมองเพื่อนตัวเอง ทำงานแบบที่ส่งตัวเองให้ตายเร็วขึ้นทุกวัน เป็นใครก็ต้องรู้สึกไม่ดีทั้งนั้น
แถมเกมนั้น ยังเป็นเกมที่บ้านเธอมีหุ้นอยู่ในนั้นอีกต่างหาก
“ฉันว่า เราเคยคุยเรื่องนี้กันแล้วนะ รีลิส”
“เคยคุยน่ะสิ คุยกันเป็นสิบรอบแล้ว แล้วเมื่อไหร่จะยอมเลิกล่ะ”
เมื่อได้รับรอยยิ้มแทนคำตอบ ก็คงได้แต่ถอนหายใจ เพราะไม่รู้จะพูดยังไงดีแล้ว หญิงสาวลุกขึ้น เอามือข้างหนึ่ง
แตะหน้าผากคนป่วย ส่วนอีกข้างหนึ่งจับที่ฝ่ามือ แล้วบีบเบาๆ
“โชคดีที่ไม่มีไข้ แต่ตัวเย็นชะมัด ขยับนิ้วได้หรือยัง”
“พอได้นะ”
ครั้งนี้ แม้อาการเบื้องต้นจะรุนแรง แต่ผลที่ตามมายังไม่หนักหนาสาหัสเท่าไรนัก หากมีอาการไข้ คงจะต้องยอมนอน
โรงพยาบาลไปอีกสองสามวัน แต่ถ้าเป็นแบบนี้ อีกเดี๋ยวคงได้กลับบ้าน
“จะกลับได้เมื่อไหร่”
“ถ้าอยากรีบกลับ ก็อย่าส่งตัวเองเข้ามาที่นี่บ่อยๆสิ”
แม้ปากจะพูดแบบนั้น แต่เธอก็เดินออกไปถามหมอให้ ตามการคาดคะเนแล้วอีกสัก 30 นาที คงขยับตัวได้เหมือนเดิม
เพียงแต่หมออยากให้นอนดูอาการที่นี่สักคืน ซึ่งได้รับคำปฏิเสธอย่างแข็งขันจากคนป่วย เนื่องจากเคยนอนดูอาการมา
นับครั้งไม่ถ้วนสมัยยังเรียนอยู่ ก็ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลง
“ฉันจะไปส่ง”
“แต่...”
“หรืออยากจะนอนนี่สักคืน ?”
บางครั้งก็ต้องยอมลงให้รีลิสบ้าง ในเรื่องที่เธอเสนอมา ความสัมพันธ์ของพวกเรานั้นแปลกประหลาด มีที่ไหนผู้หญิงไปส่ง
ผู้ชายที่บ้าน แต่มันก็ดำเนินมาเช่นนี้ ตั้งแต่สมัยม.ปลาย
“วันนี้นัดกับหมอนั่นเหรอ ?”
“เอ๋ ? รู้ได้ยังไง”
“คิดว่าตอนตัวเองไม่ได้สติ พูดอะไรออกมาบ้างล่ะ”
หมอนั่น ในความหมายของรีลิสมีเพียงคนเดียว ซึ่งเธอไม่เคยยอมเอ่ยชื่อออกมาตรงๆ
เขาแน่ใจว่า หน้าตัวเองต้องมีสีแดงจางๆปรากฏขึ้น เพราะเธอยิ้มขำ เมื่อมองหน้าเขา แล้วเฉลยว่า เขาเพียงแต่พูดคำว่า
ขอโทษซ้ำไปซ้ำมา เมื่อตอนไม่ได้สติ
“ป่านนี้ คงถูกโกรธแล้วล่ะ”
“ก็ไม่ยอมบอกไปตรงๆนี่นา ไม่ไว้ใจหมอนั่นเหรอ”
เรื่องสภาพร่างกายเขานั้น เป็นความลับกับบริษัท เพราะบริษัทคงไม่อยากรับพนักงานที่มีความเสี่ยงจะตายในหน้าที่
เขาเองก็ยังไม่เคยบอกใคร รีลิสเองก็รู้เรื่องนี้ ตั้งแต่ก่อนเขาเข้าทำงานและช่วยปกปิด
“ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ แต่ว่า...ถ้าบอกออกไป...”
“ต้องโดนห้ามไม่ให้ทำงานแน่”
นึกภาพออกเลยว่า ถ้าพูดจบ โฮลี่ ออเดอร์ต้องห้ามไม่ให้เข้าเหยียบย่างเข้าไปในเกม และถ้าเขาไม่ฟังแล้วล่ะก็
คงจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องผู้บริหารสักคน เพื่อให้เขาออกจากงานที่ทำอยู่ทันที
“ท่าทางจะหลงรักเธอหัวปักหัวปำเลยนะ”
“ไม่หรอก...”
ภาพของใครคนหนึ่งที่มักจะแอบจูบเขาทุกครั้งที่มีโอกาส พอๆกับคอยบ่นว่าเรื่องการดูแลตัวเอง แล้วกอดเขาอย่างอ่อนโยน
เมื่อพวกเรามีสัมพันธ์กัน ทั้งหมดนั่นต่างหากผูกมัดตัวเขาให้จมลึกลงสู่ความรู้สึกนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าจะมีใครสักคน หลงรักแบบหัวปักหัวปำ ก็ไม่ใช่ โฮลี่ ออเดอร์หรอก
เขาต่างหาก...ที่รัก...จนไม่อาจหยุดได้...
++++++++++
พอกลับมาถึงบ้าน ก็เห็นร่างของใครคนหนึ่งยืนรออยู่ คนที่ควรจะโกรธเขาแล้วกลับบ้านไปตั้งนานแล้ว
แม้จะได้รับอนุญาตให้กลับ แต่ร่างกายก็ยังเหนื่อยล้า สมองมึนงงเพราะฤทธิ์ยา จึงได้แต่ทักออกไปสั้นๆ
“อ้าว ?”
ความรู้สึกวิงเวียนและคลื่นเหี้ยนจากภายในท้องไล่เรียงขึ้นมาตามลำคอ เหมือนอยากจะอาเจียนออกมา
คงเป็นอย่างที่หมอว่า กลับบ้านแล้วให้นอนพัก อย่ายืนนาน สมองยังไม่เข้าที่ เดี๋ยวจะล้มหัวฟาดพื้นไป
“เข้ามาข้างในก่อนสิ...”
“ทั้งสองคน...”
พูดได้เพียงเท่านั้น เพราะไม่รู้ว่า จะขอตัวกับโฮลี่ ออเดอร์อย่างไรดี
เหมือนภาพตรงหน้าเริ่มมัวลงเล็กน้อย เป็นสัญญาณที่ไม่ดีเท่าไร เขายังไม่อยากโดนหามส่งโรงพยาบาลอีกรอบ
“ท่าทางพวกคุณจะมีธุระ...งั้นผมขอตัว...”
ฟังน้ำเสียงก็รู้ว่าโกรธ แต่จะให้ทำยังไงได้ จะขอโทษตอนนี้ เดี๋ยวเรื่องก็ยาว ยิ่งถ้าให้รู้เรื่องอาการ ก็ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่
ทำได้เพียงแค่พยักหน้าตอบ เพราะสมองเริ่มสับสน เหมือนกับถูกบีบ คงยืนอยู่แบบนี้ ได้ไม่ถึง 5 นาที
ถ้าไม่บอกความจริงออกไป ก็คงต้องตัดบท หักหาญน้ำใจกันเสียตอนนี้
“ถ้านายมีธุระ กลับก่อนก็ได้นะ...”
แม้จะกล่าวลาอย่างสุภาพ แต่รู้สึกได้ว่า น้ำเสียงนั้นครุกกรุ่นไปด้วยความโกรธ ใบหน้าปรากฏร่องรอยแห่งความไม่พอใจ
ฉาบไล้อยู่บนความสงบนิ่ง หากไม่ใช่คนที่เห็นกันอยู่ทุกวัน อาจไม่สังเกตเห็น
แต่เพราะอาการปวดหัวรุนแรง ทำให้เขาไม่อาจเลือกทำสิ่งอื่นได้ นอกเหนือจากเข้าไปในบ้าน แล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา
ห้องรับแขก ห้องรอบข้างสั่นไหวไปมาน้อยๆ ราวกับเตรียมจะหมุนคว้างไปรอบๆ
“ไหวหรือเปล่า ?”
“ก็ไม่อยากไปโรงพยาบาลนี่นา”
รีลิสมองมาทางเขา กึ่งสงสารกึ่งอ่อนใจในนิสัยเกลียดโรงพยาบาลเข้าไส้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรตอบ
เธอเอามือแตะบริเวณหน้าผาก สัมผัสนั่นราวกับบรรเทาอาการปวดหัวไปได้เล็กน้อย
ถ้าเกิดโฮลี่ ออเดอร์มาเห็นเข้า จะว่าอย่างไรนะ เดาว่า ต้องตกใจมากแน่ๆ
“หลับเถอะนะ เกียร์...”
“อย่าคิดอะไรให้มันวุ่นวายนักเลย”
เธอเลื่อนมือลงมาปิดตาเขา ราวกับบังคับเด็กๆให้นอนหลับ เขาพยายามเลิกคิดเรื่องวุ่นวายในสมอง ปล่อยหัวให้ว่าง
เผื่อว่าอาการปวดจะลดลง แต่ไม่ว่าอย่างไร ภาพของใครคนหนึ่งก็ยังลอยขึ้นมาอยู่ดี ภาพใบหน้าที่คุ้นชินนั้น
มีแววตาที่แฝงไปด้วยความไม่พึงพอใจ และนั่นก็เป็นภาพสุดท้ายที่มองเห็น ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา
เมื่อลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง ก็เห็นแสงสีส้มแดงของดวงอาทิตย์ยามบ่าย ไม่สิ คงใกล้จะเย็นแล้วมากกว่า
รีลิสยังนั่งอยู่ข้างๆเขา อ่านเอกสารอะไรบางอย่างอยู่ เธอเงยหน้าขึ้น เมื่อรู้สึกได้ว่า คนป่วยขยับตัวลุกขึ้น
“ตื่นแล้วเหรอ ? ดีขึ้นหรือเปล่า ?”
ยอมรับว่า หัวตึงๆอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ถึงกับปวด แขนขาไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเท่าไร แต่โดยรวมก็ดีขึ้นมาก
ถ้าได้นอนหลับยาวๆอีกสักตื่น ร่างกายคงกลับคืนเป็นปกติ
“รีลิส กลับเถอะ มีงานรออยู่ไม่ใช่เหรอ ?”
“ช่างเป็นคนป่วยที่ไม่เจียมจริงๆ กล้าไล่คนอื่นเหรอ ?”
“ใครจะกล้าไล่คุณหนูล่ะครับ”
พวกเราหัวเราะกันเล็กน้อย แล้วรีลิสจึงเอ่ยปากออกมาเองว่า จะกลับแล้ว
แม้เธอจะบอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ไม่ต้องไปส่ง แต่มันก็เป็นมารยาทอันดีที่เจ้าบ้านจะเดินออกไปส่งแขก
ล่ำลากันตามปกติ มองรถของเธอขับไกลออกไปเรื่อยๆ แล้วนึกอยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นจะเข้านอน
หวังว่าพรุ่งนี้ คงตื่นมาด้วยสมองที่ปลอดโปร่งพร้อมจะไปทำงานนะ
...พร้อมจะเจอ...โฮลี่ ออเดอร์ด้วย...
คนที่กำลังนึกถึงอยู่ๆก็ปรากฏตัวออกมา ราวกับล่วงรู้ความคิด มองใบหน้านั้นก็รู้ว่า ยังโกรธอยู่
ยังไม่ได้เตรียมคำอธิบาย สำหรับเรื่องราววันนี้เลย คำพูดที่จะหลบเลี่ยงความจริงเกี่ยวกับอาการป่วย
แต่ก็ตัดสินใจเชิญอีกฝ่ายเข้าไปในบ้าน จะเป็นอย่างไรค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน
“คุณลืมนัดหรือเปล่า ?”
แล้วคำถามที่ไม่อยากตอบมากที่สุด ก็เป็นคำถามแรกที่ออกจากปากของคนคนนั้น
รู้ทั้งรู้ว่า อย่างไรก็ต้องโดนถาม แต่ก็ยังภาวนาในใจ ให้มีปาฏิหาริย์ อยู่ๆเรื่องราวในวันนี้ก็ถูกมองข้ามไป
“ไม่ได้ลืม แค่มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นนิดหน่อย...”
“พอดีรีลิสเขามาช่วย ก็เลยเรียบร้อยแล้ว”
เริ่มจากการตอบแบบหลบเลี่ยง ดังเช่นที่ใช้ทุกครั้ง การพูดคลุมเครือที่ไม่ได้โกหก แต่ก็ไม่ได้ใจความอะไร
หากพอใจในคำตอบนั้น เลิกซักไซ้ก็คงดี เรื่องในวันนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะพูดออกไปได้ง่ายๆ อธิบายสั้นๆแล้วจะเข้าใจ
“เออ...คุณลืมพูดอะไรบางอย่างหรือเปล่าครับ ?”
ระหว่างกำลังโดนไล่ต้อน เขาชั่งใจอย่างหนักว่า จะพยายามปกปิดต่อไป หรือบอกความจริงออกไปดี
เขาคลางแคลงใจในความเชื่อมั่นที่โฮลี่ ออเดอร์มีต่อเขา กลัวว่าฟังเรื่องยังไม่ทันจบ ก็จะโวยวายแล้วบังคับให้เลิกเข้าเกม
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ช่วยชีวิตจากสถานการณ์อึดอัด คนโทรมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน รีลิสนั่นเอง
เธอถามถึงโฮลี่ ออเดอร์และสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างพวกเขา ด้วยคำอ้อมๆ อย่างที่พวกเราถนัดกัน
จากนั้นจึงไล่เรียงถึงอาการ และเสนอความช่วยเหลือว่า จะกลับมาช่วยกู้สถานการณ์ให้ดีขึ้น
จะช่วย...หรือยิ่งทำให้แย่ลง...
เป็นที่รู้กันว่า สองคนนั้นไม่ค่อยชอบหน้ากันเท่าไร จึงได้ปฏิเสธไปอย่างนุ่มนวล เหมือนรีลิสเองก็คาดอยู่แล้วว่า
จะได้รับคำปฏิเสธ ก็เพียงแต่กำชับเรื่องเข้าไปในเกมและเรื่องพักผ่อนอีกครั้ง
เมื่อวางโทรศัพท์ ก็เห็นว่า ออร่าความโกรธยิ่งรุนแรงกว่าก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่า เพราะเป็นรีลิสโทรมาด้วยหรือเปล่า
ตอนนี้คงทำได้ แค่พูดขอโทษล่ะนะ เพราะยังไม่ได้ขอโทษจริงๆจังๆ เรื่องผิดนัดเลยนี่นา
“จริงสินะ...”
“อยากให้ขอโทษสินะ...ขอโทษทีที่ผิดนัด”
คำพูดนั้นเป็นตัวจุดชนวนบางอย่างในตัวคนตรงหน้าให้ระเบิดออก คำพูดแห่งความโกรธถูกตะโกนออกมา
เหมือนเป็นการระบายความคับข้องใจที่อดกลั้นเอาไว้ ทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับความลำบากและความกังวล
แต่การถูกตะคอก ก็ยังไม่เจ็บปวดเท่ากับบางสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความโกรธนั้น
เขามองเห็นความเจ็บปวดและไม่เข้าใจในแววตา หลังจากความโกรธระเบิดออกมาสู่ภายนอก
คำถามมากมายที่ไม่เคยได้รับคำตอบ ความสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ริมฝีปากเอ่ยขอคำอธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งที่น้ำเสียงแข็งกร้าว แต่เขากลับฟังเหมือนคำวิงวอน
“ใจเย็นๆก่อน”
ในเวลานี้ไม่ใช่โอกาสเหมาะที่จะอธิบายเรื่องซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยามเมื่อคนตรงหน้ากำลังสับสน
พยายามยิ้มปลอบประโลม ไม่อยากให้ทุกอย่างวุ่นวายไปมากกว่านี้ อย่าเพิ่งรู้ความจริงตอนนี้เลยนะ
ขอให้ใจนายสงบก่อน ยามเมื่อนายไม่ได้ถูกความโกรธบดบังดวงตา ฉันจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง
...ฉัน...สัญญา...
ร่างกายถูกกระชากไปกดลงบนโซฟา ริมฝีปากถูกบดขยี้อย่างรุนแรง จนอึดอัดและหายใจไม่ออก
สาบเสื้อถูกดึงจนกระดุมหลุดออก สัมผัสทั้งหลายไร้ซึ่งความอ่อนโยน เหมือนจะเป็นการระบายอารมณ์โกรธ
ทั้งที่น่าจะหวาดกลัวหรือรังเกียจ แต่กลับรู้สึกว่างเปล่าอย่างน่าประหลาด
หากมันจะทำให้นายบรรเทาความโกรธ หรือความเจ็บปวดในใจลงได้บ้าง ก็ทำเถอะ
เพราะนั่นเป็นแค่ความเจ็บปวดเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับที่ฉันเห็นจากแววตานาย
อยู่ๆข้อมือก็ถูกปล่อย โฮลี่ ออเดอร์ลุกขึ้น แล้วเดินออกไปจากบ้านไปทันที โดยไม่พูดอะไรสักคำ
เขาลุกขึ้นอย่างช้าๆ เอามือไล่เรียงไปตามรอยแดงที่ปรากฏอยู่บนร่างกาย ทั้งบนข้อมือ หน้าอกแล้วก็ลำคอ
เจ็บ....
รอยแผลจากการกัดบนลำคอ มีเลือดไหลซึมออกมา เหมือนตราแห่งการลงโทษ ย้ำเตือนถึงเรื่องราวเมื่อครู่
แต่สิ่งนั้นก็ยังไม่เจ็บ เท่ากับการเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย แม้เพียงชั่วครู่ แต่มันติดตรึงอยู่ในดวงตา
ใบหน้าที่ฉายแววเจ็บปวดอย่างชัดเจน ความเจ็บปวดที่มีสาเหตุมาจากเขา
“ขอโทษ...ขอโทษ...”
คำขอโทษกระซิบแผ่วเบาในอากาศ มันไม่มีทางไปถึงใครได้ ไม่มีใครเลยที่ได้ยิน
รู้สึกเจ็บ ไม่ใช่แผลที่คอ หรือรอยช้ำที่ข้อมือ แต่เป็นความรู้สึกที่อยู่ภายใน
ขอโทษ...ที่ฉันไม่อาจบอกความจริงในตอนนี้...
ขอโทษ...ที่ฉันปิดบังเรื่องสำคัญ...
ถึงอย่างไร...ฉันก็จะเดินต่อไปในเส้นทางนี้...
เพราะมี...สัญญากับคนคนนั้น...
จะทำหน้าที่...จนกว่าร่างกายจะใช้การไม่ได้...
ไม่ว่ายังไงก็ต้อง...รักษาสัญญา...
ถึงจะต้องสูญเสียอะไร...ก็ต้องรักษาไว้...
เพราะมันคือ...สัญญา...
...แม้สิ่งที่จะต้องสูญเสีย...คือนาย...ก็ตาม...
++++++++++
หลังจากเรื่องราวในวันนั้น โฮลี่ ออเดอร์ก็พยายามหลบหน้า ไม่พูดไม่คุยกัน ตอนแรกก็คิดว่า เป็นเรื่องของเวลา
ปล่อยไปสักพัก น่าจะดีขึ้น พอมีเรื่องฝ่ายเทคนิค เรื่องตัว GM ไปช่วยงานอีกครั้ง ก็เห็นรับอาสาอย่างแข็งขัน
คงอยากจะอยู่ห่างๆบ้าง พวกเราทั้งคู่จะได้มีเวลาคิดอะไรคนเดียวมากขึ้น
ไม่นานนัก ข่าวก็แพร่สะพัดถึงเรื่องราวการพบรักของ GM กับสาวจากฝ่ายเทคนิค ทั้งสองคนตกลงเป็นแฟนกัน
ทุกคนต่างก็บอกว่า ทั้งสองคนดูสมกันดี ท่าทางจะไปกันรอด ในครั้งแรกที่ได้ยินก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนในอกมันโหวงๆชอบกล
แต่มันก็เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็นแล้วไม่ใช่หรือ นี่คงจะเป็นผลลัพธ์จากการคิดอะไรคนเดียว
ตอนนี้พวก GM ใหม่ก็ทำงานได้ดี ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย แต่มีเรื่อง key master กับเรื่องอื่นๆที่ทำให้งานเยอะ
ขึ้นนิดหน่อย แต่มีคนมาช่วยเยอะขึ้น ก็เลยไม่เป็นไร ตอนนี้ไม่ค่อยได้ลงมือทำงานเอกสารด้วยตัวเองเท่าไร มีแต่นั่งตรวจงาน
ตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งมากกว่า
ทุกครั้งที่เดินสวนกันไปมาในบริษัท จะพยายามเอ่ยปากทักทายก่อน จนกว่าความรู้สึกเจ็บแปลบลึกๆในอกจะหายไป
สักวันหนึ่งคงจะสามารถยิ้มออกมาได้จากหัวใจ ไม่ใช่แค่ฉาบไว้บนใบหน้า เพื่อให้คนอื่นสบายใจเท่านั้น
เมื่อมองสองคนนั้นเดินไปด้วยกัน เป็นภาพที่น่ารักและใครๆก็ต่างชื่นชม แต่มันทำให้ในตัวรู้สึกปั่นป่วน
เมื่อไหร่นะ...จะแสดงความยินดีได้จากหัวใจ...
เกลียดตัวเองจริงๆ...
หลังจากเลิกประชุมเฉพาะกิจที่จัดขึ้นอย่างเร่งด่วน ก็เป็นเวลาสามทุ่ม เหล่าทายาทผู้ถือหุ้นต่างเดินทางกลับกันด้วยรถส่วนตัว
แน่นอนว่า รีลิสอาสาแกมบังคับจะไปส่ง แต่ดันโดนเรียกตัวเสียก่อน จึงต้องจำยอมปล่อยให้เขากลับเอง
ระหว่างเดินอยู่ริมถนน คิดถึงเรื่องราวสมัยก่อน ตอนที่เลิกงานดึกๆ แล้วมีใครอีกคนเดินอยู่ข้างๆ คอยชวนคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้
ซึ่งเขาเองก็แค่พยักหน้าหรือออกความเห็นสั้นๆเท่านั้น ช่วงเวลาที่แสนปกติธรรมดานั่นแหละที่มีคุณค่า
“คุณเกียร์ครับ...”
เสียงของคนที่กำลังนึกถึงดังแว่วเข้ามาในหู เมื่อหันไปตามเสียงก็เห็นว่า เจ้าตัวกำลังเดินเข้ามาหา
นึกสงสัยว่า มาทำอะไรแถวนี้ แถมยังดึกดื่นป่านนี้แล้วด้วย ก็เลยถามออกไป
แต่แล้วคำตอบก็แว่บเข้ามาในหัว ก่อนอีกฝ่ายจะทันได้ตอบคำถามนั้น
“อ๋อ บ้านแฟนอยู่แถวนี้นี่นะ”
รู้สึกเหมือนว่า เป็นประโยคที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา เพราะใบหน้านั้น ขมวดคิ้วน้อยๆ แต่ก็ดูไม่ได้โกรธจริงจังนัก
เพียงแค่ย้อนถามกลับมาว่า แล้วคุณล่ะครับ มาทำอะไรแถวนี้
นึกลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบ เพราะกลัวจะพูดอะไรไม่ดีออกไป จึงเลือกใช้คำพูดที่สั้นที่สุดและเข้าใจง่ายที่สุด
“มาประชุมน่ะ”
ไม่รอให้ได้มีโอกาสอ้าปากพูดอะไร เพราะเดาได้จากสีหน้าท่าทางว่า อีกฝ่ายกำลังจะโวยวายเรื่องทำงานล่วงเวลา
ก็เลยรีบออกปากชวนกลับบ้านทันที ช่วยไม่ได้นี่นา ฉันก็มีงานต้องทำ ดึกนิดดึกหน่อย ไม่เห็นเป็นไรเลย
เดินไปไม่กี่ก้าว ก็โดนแขนแกร่งปราดเข้ามาประคอง สงสัยจะทำท่าเหม่อลอยให้เป็นห่วงอีกแล้วสินะ
แต่พอร่างกายใกล้ชิดกัน ความอบอุ่นที่สัมผัสได้นั้น ก็ทำให้รู้สึกคิดถึงอย่างประหลาด
“ขอโทษนะ...”
สร้างความลำบากให้ตลอดเลย คงให้ได้แค่คำขอโทษ ไม่รู้ว่า ควรจะพูดอะไรออกไปดี ขืนพูดมากไป มีแต่จะโดนโมโหเปล่าๆ
ขนาดแค่พูดขอโทษ นายยังถอนหายใจเลย ฉันเป็นตัวปัญหาสำหรับนายสินะ
“ผมจะพาไปส่งบ้าน...”
“ไม่ต้องหรอก แค่เหนื่อยนิดหน่อย”
อย่ามาพูดเป็นเล่นนะ ใครจะกล้าให้นายไปส่งบ้าน แฟนก็มีเป็นตัวเป็นตนแล้ว ไปดูแลเธอสิไป
ฉันไม่เป็นอะไรหรอก ที่เบลอ เพราะมัวแต่คิดเรื่องงานเพลินๆ ถึงช่วงนี้จะไม่ค่อยได้กินข้าว แต่ก็นอนเกิน 4 ชั่วโมงนะ
ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันยังสบายดี รับรองว่า ไม่เป็นอะไรแน่ๆ
“ผมไปส่งดีกว่า คุณดูไม่ดีเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก”
“งั้นไปโรงพยาบาลกัน”
ทำไมจากไปส่งบ้าน วกมายังสถานที่เกลียดแสนเกลียดได้เนี่ย จ้องดวงตาคู่นั้นกลับ อยากรู้นักว่า คิดยังไงถึงจะลากไปโรงพยาบาล
ถ้าเป็นอะไรแค่นิดหน่อยก็หิ้วไปโรงพยาบาล หมอคงงานล้นมือกันทั้งประเทศแล้ว หัดประเมินตามความเป็นจริงซะบ้างเถอะ
ฉันก็แค่ช่วงนี้ทำงานเยอะขึ้นเล็กน้อย แล้วก็นอนน้อยกว่าคนอื่นนิดหน่อย
เพื่อไม่ให้ต้องถกเถียง หรือโดนลากไปโรงพยาบาล ก็เลยยอมให้ไปส่งบ้านแต่โดยดี เพราะถ้าจะบังคับกันจริงๆแล้ว
โฮลี่ ออเดอร์เป็นพวกไม่เลือกวิธีการ กลัวว่า จะถูกรวบตัว อุ้มขึ้นแท็กซี่เหมือนที่เคยโดนแบกเข้าบ้านครั้งนั้น
เรื่องน่าอายแบบนั้น เจอครั้งเดียวก็เกินพอ !! ยอมให้ไปส่งบ้านน่าจะดีกว่า
พอแท็กซี่มาส่งถึงหน้าบ้าน ก็เป็นมารยาทที่จะชวนแขกเข้าไป แม้จะรีบหลบหน้าไปชงกาแฟในครัวก็ตาม
ถามสารทุกข์สุขดิบ ตามปกติทั่วไป หาเรื่องคุยไม่ให้อึดอัด แต่ไปๆมาๆ ทำไมกลายเป็นโฮลี่ ออเดอร์ถามเอา ถามเอา
แถมยังทำท่าเหมือนเป็นกังวลแบบสุด จนรู้สึกผิดที่ไม่ดูแลตัวเอง
“ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก”
“ฉันสบายดี”
ตอบออกไป เพื่อให้สบายใจ เพราะคงไม่กล้าบอกความจริงว่า ข้าวก็กินไม่ค่อยครบ นอนประมาณ 4-5 ชั่วโมง
มีหวังโดนลากไปโรงพยาบาล ไม่ก็โดนบ่นแหงๆ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกดีใจที่ยังเป็นห่วง
ระหว่างที่กำลังลูบหัวปลอบโยนคนที่ทำท่าเหมือนเด็กขี้กังวล ก็ถูกดึงตัวเข้าไปกอดแน่น
รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นอยู่ในอกของอีกฝ่ายและความอบอุ่นจากอ้อมแขนที่มักจะประคองเขาเสมอ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า โหยหาสัมผัสและความอบอุ่นนี้เหลือเกิน อยากให้เวลาหยุดลงตรงนี้
รู้ดีว่า เป็นไปไม่ได้ กลับมาสู่ความจริงเสียทีเถอะว่า คนคนนี้มีเจ้าของแล้ว เป็นคนสวยที่เหมาะสมกันอย่างยิ่ง
“อย่างนี้ เขาถือว่า นอกใจหรือเปล่า ?”
พูดติดตลก เพื่อให้บรรยากาศเปลี่ยนไป อย่ามาทำให้จิตใจที่เริ่มแข็งแกร่ง หวั่นไหวอีกครั้งเลย
นายเองก็มีคนที่สนใจแล้ว กำลังคบหาดูใจอยู่ อย่ามาทำแบบนี้เลยนะ มันไม่ดีกับทั้งเราและเธอคนนั้น
ตัวนายอาจไม่ได้คิดอะไร เพียงแค่นึกเป็นห่วงฉันเท่านั้น แต่ในใจของฉัน มันไม่ใช่แค่นั้น
มันอยากได้ช่วงเวลาเดิมกลับคืนมา อยากให้นายมายืนอยู่ข้างๆดังเดิม...สัมผัสฉันอย่างเคย...
นอกจากอ้อมแขนนั้นจะไม่ปล่อยแล้ว ยังกระชับแน่นขึ้น เหมือนเต็มไปด้วยความกังวล
ได้ยินเสียงทุ้มนั้นพูดแผ่วเบา ราวกับมันเป็นเรื่องที่ยากลำบาก ในการพูดออกไป
“คุณก็อย่าทำให้ผมเป็นห่วงสิครับ...”
อย่าพูดด้วยน้ำเสียงแบบนั้นได้ไหม...อย่ากอดฉันด้วยความอบอุ่นแบบนี้ได้ไหม...
รู้สึกได้ว่าหัวใจของฉันกำลังสั่นไหว...ด้วยความยินดีที่ได้สัมผัสนาย...
มันไม่ใช่เรื่องสมควรที่จะเกิดขึ้น...นายคงแค่เป็นห่วง...แต่ฉันคิดไปมากกว่านั้น...
...ปล่อยมือเถอะนะ...
...อย่าให้ใจฉัน...ต้องการนายไปมากกว่านี้...
++++++++++
“คุณเกียร์ กลับกันเถอะครับ”
เสียงของ GM คนใหม่ แต่เป็นผู้ช่วยฝีมือดีทำให้ตัวเขา เงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่บอกเวลาหนึ่งทุ่ม
เลยเวลาเลิกงานมานานพอดู จะลากลูกน้องมาทรมาทรกรรมก็ไม่ใช่เรื่อง แถมบอกให้กลับไปก่อนก็ไม่ฟัง
เขาไม่กลับก็ไม่มีใครยอมกลับ แต่ก็ยังดีที่ไม่ใช้วิธีบังคับกันตรงๆแบบโฮลี่ ออเดอร์ ที่ชอบมาดึงเอกสารจากมือของเขาไปเก็บ
แล้วหยิบกระเป๋า พร้อมลากตัวเขากลับบ้าน
“งั้นกลับกันเถอะ...”
เมื่อเก็บข้าวของเรียบร้อย ก็พากันลงลิฟท์มาถึงชั้นล่างสุด พบว่าวันนี้ฝ่ายเทคนิคเลิกงานช้าที่สุด ในประวัติศาสตร์
เพราะทุกคนเพิ่งทยอยกันลงมา ทำให้ชั้น G นั้นเต็มไปด้วยพนักงานเงินเดือนที่กำลังหลั่งไหลจะกลับบ้าน
แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงดังสนั่นคล้ายเสียงระเบิด ก่อนไฟในตึกจะดับลง ตามด้วยเสียงโวยวายของผู้คน
บางอย่างกำลังร่วงลงมาจากเพดานข้างบน เขารู้สึกเหมือนถูกกระแทก แล้วสติก็ดับวูบไป
“จะต้องทำให้เป็นห่วงแค่ไหน ถึงจะพอใจ”
เป็นเสียงแรกที่ได้ยินเมื่อเขาลืมตาขึ้น แล้วยิ้มให้กับคนที่นั่งข้างเตียง หญิงสาวอยู่ในชุดลำลอง ไร้เครื่องประดับใดๆ
ดูท่าทางเธอคงกำลังพักผ่อนอยู่กับบ้าน แล้วรีบร้อนออกมา เมื่อได้ยินข่าว
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ ?”
คราวนี้ ไม่ใช่ความผิดของเขา ก็เลยถามได้เต็มปากว่า เกิดอะไรขึ้น จากคำอธิบายว่า หม้อแปลงไฟระเบิด ไฟก็เลยดับ
แต่เรื่องที่มีอะไรร่วงลงมาจากเพดาน เกิดจากมีคนปาหินใส่กระจกที่บริษัท ไม่มีอะไรรุนแรง บาดแผลส่วนใหญ่เกิดจาก
การแตกตื่น ชนกันไปมา เลยกระแทกนู้นนี่ แขนหักบ้าง หัวแตกบ้าง ส่วนใหญ่ก็มีแค่แผลกระจกบาดนิดหน่อย
“ว่าแต่ ทำไมถึงหมดสติอีกแล้วล่ะ มันเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเลยนะ”
อย่างที่เธอว่า หากเป็นคนปกติ แค่โดนกระแทกนิดหน่อย ไม่ได้ล้มหัวฟาดพื้น โดนเหยียบเสียหน่อย ไม่น่าจะหมดสติ
เหมือนสมองพยายามจะปิดตัวเอง เพื่อกั้นความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น เป็นสัญญาณอันตรายสำหรับโรคของเขา
เพราะสิ่งต่อมาที่จะเกิดขึ้นก็คือ สมองเขาอาจจะปิดตัวเองไปดื้อๆ แม้เกิดความเจ็บปวดเล็กน้อย เช่น โดนกระดาษบาด
“ไม่เป็นไรน่า”
คงตอบได้เพียงเท่านั้น เมื่อสำรวจตัวเองก็พบว่า สิ่งที่บาดเจ็บมีเพียงแค่ ข้อมือเคล็ดเล็กน้อย ร่างกายยังเป็นปกติ
ไม่มีความเหนื่อยอ่อน ไร้เรี่ยวแรง เหมือนตอนอาการกำเริบ คงเป็นแค่สัญญาณอย่างที่เธอว่า
เธอไม่ยอมให้กลับบ้านเอง กำชับให้รอ หลังจากเธอเคลียร์เรื่องค่าใช้จ่ายของทุกคน รวมทั้งคดีความเรื่องการปาหิน
ซึ่งจับตัวการได้แล้ว เป็นแค่เด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่นึกสนุก แต่ดูท่าทางจะได้เห็นนรก เพราะดันมายุ่งกับบริษัทของรีลิส
เขาจึงเปลี่ยนมานั่งรออีกห้องหนึ่ง ระหว่างที่เธอกำลังโทรศัพท์ติดต่อ
แล้วอยู่ๆ คนที่ไม่คาดคิดว่าจะเจอ ก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง
โฮลี่ ออเดอร์นั้น...มักปรากฏตัวในสถานการณ์ที่เขาไม่คาดคิดเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน
แต่ยังไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไร รีลิสก็ดันลากตัวออกไปข้างนอก เหมือนอยากไปคุยกันส่วนตัว
เขาก็คงทำได้แค่นั่งรอ ใครจะกล้าขัดราชโองการของเจ้าหญิงกันล่ะ
ไม่นานนัก โฮลี่ ออเดอร์ก็กลับเข้ามาในห้อง ถามไถ่อาการตามมารยาท แต่ดวงตาคู่นั้นกลับมองมาทางเขาอย่างพินิจพิจารณา
เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่พูดออกมา สุดท้ายก็มีเพียงแค่ประโยคที่ได้ยินจนเคยชิน
“อย่าทำให้คนอื่นเป็นห่วงสิครับ”
แล้วคนตรงหน้าก็เดินเข้ามากอดร่างเอาไว้แน่น จนได้ยินเสียงหัวใจเต้น เหมือนจังหวะของมันเร็วขึ้นเรื่อยๆ
เช่นเดียวกับจังหวะของหัวใจเขา สัมผัสที่แสนโหยหา แต่ต้องดึงรั้งความรู้สึกของตัวเองไม่ให้เตลิดไปมากกว่านี้
ย้ำกับตัวเองที่อยู่ภายในอ้อมกอดอันแสนอ่อนโยนว่า คนคนนี้ไม่ใช่ของเรา...
“อย่าทำให้...ผมเป็นห่วงสิครับ...”
เป็นคำพูดที่ทำให้ความรู้สึกภายในสั่นไหว อย่างไม่อาจควบคุม อย่าพูดแบบนั้นได้ไหม เพราะฉันคงไม่อาจตัดใจ
หัวใจร่ำร้องบอกว่า อยากเป็นเจ้าของอ้อมแขนนี้ อยากให้โอบกอดร่างกายนี้ตลอดไป อย่าได้จากไปไหน
“ขอโทษ...”
ถ้อยคำแผ่วเบาที่ลอดผ่านริมฝีปากสู่อากาศเบื้องบน แล้วถูกความเงียบกลืนหาย สิ่งที่หลงเหลือมีเพียงความอบอุ่นซึ่งถ่ายทอด
ผ่านทางอ้อมแขน ยามเมื่อร่างกายได้สัมผัสชิดใกล้
ขอโทษนะ...ที่ทำให้เป็นห่วง...
ขอโทษนะ...ที่ทำให้วุ่นวาย...
ขอโทษนะ...ที่ทำให้ลำบาก...
...ขอโทษ...ที่ฉันยังรักนาย...
++++++++++
หลังจากฟังคำเทศนายาวเหยียดของรีลิสจนจบไปหนึ่งรอบ ก็ได้ฟังคำบ่นว่าของแพทย์ผู้รักษาอีกหนึ่งรอบ การเข้าโรงพยาบาล
ในครั้งนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโรคประจำตัวเท่าไรนัก ส่วนใหญ่มาจากการทำงานหนัก นอนน้อย ไม่ค่อยได้รับสารอาหารอย่าง
เพียงพอ ซึ่งอาจส่งผลต่อโรคที่เป็นอยู่ คิดว่า หมอพูดประมาณนี้นะ
“ฉันว่า ใส่สายน้ำเกลือถาวรไปเลยดีกว่า”
“ถ้าทำได้ ผมคงทำไปแล้วครับ”
นี่เป็นการสนทนาระหว่างคุณหนูผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ในโรงพยาบาลกับแพทย์เจ้าของไข้ที่มีความสนิทสนมกับพวกเราทั้งสองคน
จะไม่สนิทได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อตอนม.ปลาย ถูกหามส่งมาแทบทุกเดือน
“ห้ามไปทำงาน 3 วัน นี่เป็นคำสั่งของผู้หญิงเอาแต่ใจ”
“แล้วก็คำสั่งของหมอด้วย”
ลงท้ายก็เลยนอนอยู่ในโรงพยาบาล 3 วัน อย่างไร้คำโต้แย้งใดๆ ถูกจับตรวจตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียด ราวกับกลัวว่า
หากมีเศษเสี้ยวไหนที่มองข้ามไป แล้วจะถูกคุณหนูรีลิสถลกหนังหัว
เขาคงจะอยู่โรงพยาบาลจนครบ 3 วันอย่างที่ถูกสั่ง ถ้าไม่ได้ยินข่าวเรื่องการแต่งงงานเสียก่อน
จำไม่ได้ว่า ฟังมาจากใครเป็นคนแรก แต่ที่รู้คือ รีลิสทำท่า อยากจะไล่ล่าตามหาตัวคนปากพล่อยมาลงโทษ
ความรู้สึกตอนที่รู้ชัดว่า เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่แค่ข่าวลือนั้น บางเบากว่าที่คิด
จินตนาการไว้ว่า ตัวเองคงจะเจ็บปวดหรือรู้สึกเหมือนถูกกระแทกด้วยท่อนไม้ใหญ่ยักษ์
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ความกลวงโบ๋ ว่างเปล่าในตัว โดยเฉพาะในอก เหมือนกับว่า ภายใต้ชั้นผิวหนังมีเพียงอากาศ
ตัวตนเลือนหายไป ราวกับไม่เคยมีอยู่ ไม่มีคำพูดใดๆ ไม่มีความคิดใดๆ โลกนี้กำลังหยุดนิ่งไป
หากยังนั่งอยู่ตรงนี้ หากไม่เคลื่อนไหว หรือทำอะไรสักอย่าง จะต้องนั่งเหม่อลอยไปตลอดชีวิตแน่ๆ
ถึงหาทางกลับไปทำงาน ทั้งที่ยังไม่ครบสามวัน ทั้งสองคนที่ตอนแรกออกปากห้ามอย่างแข็งขัน ก็ใจอ่อน
เขากลับไปทำงานด้วยท่าทีปกติ แถมยังรู้สึกด้วยว่า ตัวเองทำงานได้ดีขึ้น เร็วขึ้น
เหมือนความรู้สึกทั้งหลาย ทั้งปวงมันหายไปจากร่างกายจนหมดสิ้น ไม่มีอะไรเป็นภาระอีกแล้ว
“ยินดีด้วยนะ”
คำพูดแสดงความยินดีที่รู้สึกว่า ตัวเองไม่ได้ใส่ความจริงใจลงไปเลย แม้แต่น้อย
เพราะสิ่งที่อยู่ภายในตัวมันกลวงโบ๋ ไม่มีเศษเสี้ยวของสิ่งที่เรียกว่า ความยินดีหรือความสุข
แต่ยามเมื่อถูกดวงตาคู่นั้นจ้องมอง เหมือนบางอย่างในตัว มันค่อยๆกลับคืนมา
ความรู้สึก...บางอย่างที่ลืมไปแล้ว...
ไม่ก็...พยายามที่จะลืม...
วันหนึ่ง เขาโดนรีลิสลากตัวออกมากินข้าวเย็นที่บ้านของเธอ พวกเขาพูดคุยกันตามปกติ พูดเรื่องเก่าๆ เรื่องเพื่อน
แล้วก็เรื่องที่ทำงาน เรื่องเกม ทุกอย่างไหลลื่นตามที่มันควรจะเป็นจนกระทั่งเธอหยุดพูด เอาแต่จ้องเขาเขม็ง
“อย่าทำแบบนี้จะได้ไหม”
“ฉันเกลียดเธอ ตอนนี้ชะมัด”
ทำแบบนี้ มันแบบไหนหรือ ทุกอย่างกำลังจะเป็นไปในทางที่ถูกต้องแล้วไม่ใช่หรือ
ฉันทำอะไรแปลกเหรอ ? มีอะไรผิดไปจากที่ควรจะเป็น บอกฉันสิ ฉันจะแก้ไขมัน
“ถ้าเสียใจ ก็ยอมรับกับตัวเองเถอะว่า เสียใจ”
“จะกล้ำกลืนไปทำไม เกียร์...”
“เธอดูเหมือนหุ่นกระบอก ทำทุกอย่างไปตามที่ควรจะเป็น”
แล้วมันไม่ดีหรือรีลิส ถ้าทุกคนทำเรื่องที่ควรจะเป็น ทุกอย่างจะได้เรียบร้อยสมบูรณ์ ไม่มีเรื่องวุ่นวายยุ่งยาก
ตอนนี้ฉันทำงานตามปกติ กินข้าวตรงเวลา นอนหลับเพียงพอ ดูแลตัวเองแล้ว มีอะไรไม่ดีงั้นหรือ
ทำไมเธอถึงยังมองฉันด้วยสายตาตำหนิแบบนั้นล่ะ รีลิส ?
“เหมือนเธอไม่มีหัวใจอีกแล้ว...”
พอพูดออกไป คุณหนูผู้สง่างามก็เหมือนสติขาดผึง เธอเอามือเรียวงามทุบโต๊ะเสียงดัง ราวกับต้องการระบายอารมณ์ที่สะกดกลั้นไว้
เป็นเวลานาน เสียงทุบโต๊ะดังก้องไปทั่วห้อง จนคนรับใช้ต้องแอบเข้ามาชำเลืองดู
“ฉันเกลียดหมอนั่น !!”
“เกลียดที่มันทำให้เพื่อนฉันเป็นแบบนี้ !!”
“อยากจะถลกหนังหัวมันมา ใช้แทนพรมเช็ดเท้าที่บ้าน...”
ความมีเหตุผลที่ยังเหลืออยู่ในตัว ทำให้รีลิสไม่กวาดสิ่งของบนโต๊ะลงไปที่พื้น เพื่อระบายอารมณ์โกรธ
เธอลุกขึ้นยืน เดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปข้างนอก ราวกับกำลังพยายามสงบสติอารมณ์
“แต่ฉันก็ทำไม่ได้...เพราะเธอ...”
“เธอยังรักอยู่...เธอยังรักหมอนั่น…”
คำพูดนั้นปลุกอะไรบางอย่างในตัว ที่เลือนหายไปเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทำให้ตัวตนที่อยู่ภายในกลับคืน
แม้หัวใจจะเจ็บปวด แต่ก็อย่าได้ลืมเลือนความรู้สึกนี้ เพราะว่า มันเป็นเครื่องยืนยันว่า ยังคงมีชีวิต
ไม่อาจจะบังคับฝืนใจให้ใครเป็นอย่างที่ตัวเราคาดหวัง ไม่อาจเหนี่ยวรั้งผู้คนให้มาอยู่เคียงข้างตราบจนนิรันดร์
แต่หากเลือกที่จะรักแล้ว...อย่าได้เสียใจ...อย่าลืมเลือนความรู้สึกนั้น...
“ขอโทษ...”
“ฉันทำให้เป็นห่วงอีกแล้วสินะ...”
คราวนี้เธอหมุนตัวกลับมา ก้าวเร็วๆมายืนตรงหน้าเขา แล้วเอานิ้วเรียวงามจิ้มไปตรงหน้าผากแรงๆ
เหมือนต้องการจะลงโทษเด็กดื้อ แต่ริมฝีปากนั้นปรากฏรอยยิ้มจางๆ เหมือนเธอเริ่มเบาใจ
“รู้ตัวก็ดีแล้ว”
“ช่างหัว หมอนั่นเถอะ เอาไว้ฉันจะหาคนที่ดีกว่านี้ให้”
“รับรองว่าดีกว่า หมอนั่น ร้อยเท่า พันเท่าเลย”
สิ่งที่ตัวเองพยายามกลบฝังไว้ แกล้งทำเป็นลืม เพราะกลัวจะเจ็บปวดจากสิ่งที่ปรากฏขึ้นในใจ
แต่มาตอนนี้ เขารู้ดีแล้วว่า ไม่ควรหนี เพราะความจริงก็คือความจริง แม้มันจะไม่สมบูรณ์ ไม่ได้งดงามหมดจด
เพราะมันเป็นเช่นนั้น จึงได้ถูกเรียกว่า มนุษย์ และเป็นมนุษย์ที่มีหัวใจ
...เพราะมีหัวใจ...จึงได้รัก...
++++++++++
วันนี้เป็นวันมงคล มีงานเลี้ยงใหญ่โตเพื่อแสดงความยินดีกับคู่รักคู่แรกของบริษัท ทุกคนต่างฉลองกันอย่างสนุกสนาน
แม้จะไม่มีพิธีอะไร แต่ก็มีผู้คนมาเป็นสักขีพยานมากมาย เขามองคู่บ่าวสาวที่ทักทายคนนู้นทีคนนี้ที
ฝ่ายเจ้าสาวยิ้มอย่างมีความสุข การแต่งงงานเป็นความฝันของผู้หญิงนี่นะ แถมยังได้สามีที่ดีขนาดนั้น
ส่วนเจ้าบ่าวนั้น แม้จะยิ้มเสแสร้งไปบ้าง เพราะคงเกลียดการต้องพบปะกับผู้คนเยอะๆ แต่ดวงตาคู่นั้นก็เต็มไปด้วย
ประกายแห่งความยินดี ต่อไปนี้จะได้สร้างครอบครัวที่เปี่ยมไปด้วยความรักแล้วสินะ
หลังจากแสดงความยินดีกับคู่บ่าวสาว ทักทายผู้ใหญ่ในบริษัทแล้วพูดคุยกับคนรู้จักอีกเล็กน้อย
เขาก็ตัดสินใจหลีกหนีความวุ่นวาย หลบไปอยู่ในส่วนอื่นของบริษัท ส่วนหนึ่งเพราะอยากอยู่เงียบๆบ้าง
อีกส่วนหนึ่งเขาคิดว่า เป็นเพราะลึกๆแล้วหัวใจยังคงเจ็บแปลบ
บริษัทเรามีที่ตรงนี้ด้วยรึ ?
ระเบียงที่มีโต๊ะเก้าอี้สีขาวสองสามชุดวางอยู่ พร้อมกับร้านกาแฟเล็กๆซึ่งวันนี้ปิดให้บริการ
รอบข้างเต็มไปด้วยกระถางต้นไม้สีเขียว บางต้นออกดอกเล็กๆสีสันสดใส แต่งแต้มบรรยากาศได้เป็นอย่างดี
สถานที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ ซึ่งเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่า มีอยู่ในที่ทำงาน เขาคงเป็นมนุษย์บ้างานจริงๆ
แถม...ยังวิวสวยอีกต่างหาก...
มองจากระเบียงลงไป เห็นกรุงเทพมหานครไกลสุดสายตา แม้ทัศนียภาพจะถูกบดบังด้วยตึกสูง
แต่ก็นับเป็นภาพที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ชม ถ้าเป็นยามกลางคืนที่มีแสงไฟระยิบระยับ คงจะสวยยิ่งกว่านี้
ไม่ได้ยืนมองกรุงเทพฯ แบบนี้ นานแค่ไหนแล้วนะ
ตั้งแต่เริ่มทำงาน...เขาไม่เคยหยุดมองรอบข้างเลยสักครั้ง...
เขาพลาดโอกาส...จะมองเห็นสิ่งสวยงามไปตั้งหลายอย่าง...
หากก่อนหน้านี้...เขาหยุดวิ่ง...แล้วสังเกตสิ่งรอบตัว...
...ทุกอย่าง...จะเปลี่ยนแปลงไปไหม...
ได้ยินเสียงเหมือนมีคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ แต่คิดว่า คงเป็นพนักงานร้านกาแฟ ไม่ก็ผู้ร่วมงานหนีออกมาสูบบุหรี่
แต่พอได้ยินเสียงแล้วรู้ว่าเป็นใคร ก็รู้สึกแปลกใจ ปนกับเหนื่อยใจพิกล
“คุณเกียร์ มาทำอะไรตรงนี้ครับ ?”
“นายนั่นแหละ ออกมาตรงนี้ทำไม ? วันนี้นายเป็นตัวเอกของงานนะ”
“ตัวเอกก็ต้องมีเหนื่อย อยากหลบมาพักบ้างสิครับ”
ท่าทางจะเกลียดงานสังคมมากสินะ แต่งานแต่งตัวเองก็ไม่น่าจะมีอะไรอึดอัดนี่นา
ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ โฮลี่ ออเดอร์ก็เดินมายืนข้างๆ มองทิวทัศน์ที่อยู่ตรงหน้าพวกเรา
มันเป็นช่วงเวลาของความเงียบ มีเพียงภาพตรงหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวต่างๆของโลกนี้ให้ฟัง
“ผมขอถามอะไรคุณอย่างหนึ่งได้ไหมครับ...”
“อะไรล่ะ ?”
“คุณเคยรักผมหรือเปล่าครับ ?”
ความรู้สึกบางอย่างที่อยู่ในหัวใจ พยายามกักเก็บไว้ในส่วนลึกที่สุด ไม่ต้องการให้ใครเห็น
แล้วมาตอนนี้ นายถามคำถามนี้ เพื่ออะไร ? ทำให้ฉันหวนระลึกถึงความรู้สึกนั้น ทำไม ?
อย่าให้ฉันพูดความจริงออกมาเลย เพราะเมื่อมันผ่านริมฝีปาก ความรู้สึกทั้งหลายจะเด่นชัดขึ้นมา
...แล้วฉันคงไม่อาจซ่อนมันไว้ได้อีก...
ระหว่างเรานั้น เป็นความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาด เหมือนจะมั่นคงหนักแน่น แต่ที่จริงนั้นแสนเปราะบาง
อาจเพราะไม่มีใครพูดอะไรออกมา พวกเราถึงไร้สิ่งยึดเหนี่ยว ยามเมื่อเกิดความลังเลใจ ทุกอย่างก็พังทลาย
อาจเพราะมันผิดเพี้ยน และไม่สมควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก มันถึงได้แตกหักอย่างง่ายดาย
“มันไม่ใช่คำถามที่สมควรเอามาถามตอนนี้นะ”
“ผมรู้ครับ...”
รู้แล้ว ยังจะถามอีก พิลึกคนจริงๆ วันนี้วันแต่งงานของตัวเอง แต่ดันมาถามหาความรักกับคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าสาว
แบบนี้ เรียกว่า นอกใจหรือเปล่านะ เขานึกสงสัยอยู่ในใจ
ก่อนที่ทันจะได้คิดอะไร ริมฝีปากของคนตรงหน้าก็สัมผัสเบาๆตรงหน้าผาก แล้วเลื่อนลงมาที่ริมฝีปาก
นี่มัน นอกใจ ชัดๆ !!
แต่ถึงกระนั้นร่างกายกลับไม่อยากขัดขืนอะไร เพราะรสจูบที่อยู่ในปากนั้น เป็นรสชาติอันแสนคิดถึง
ไม่อยากจะคิดอะไรให้วุ่นวายอีกแล้ว เพราะรู้ดีว่าตัวเองคิดถึงสัมผัสนี้มากเพียงใด
“ผมรักคุณ...”
ดวงตาที่จ้องมองมา ยืนยันว่า สิ่งที่พูดนั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่นในวันแต่ง แต่เป็นสิ่งที่อยากจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย
คำพูดสั้นๆที่ตัวเขาเอง ก็อยากฟังมาตลอด อยากได้มันมาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ยามเมื่อตัวเองไม่แน่ใจ
แม้จะไม่มีประโยชน์ที่มาพูดเอาตอนนี้ แม้จะได้ยิน ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป แต่ในใจนั้น กลับยินดีอย่างประหลาด
...เจ้าบ้า...มาพูดตอนนี้ทำไม...
“โอ๊ย”
เอื้อมมือไปดีดหน้าผาก แล้วขยี้ผมสั่งสอน ข้อหามาพูดเรื่องบ้าๆ ในวันแต่งงานของตัวเอง แถมยังทำคนอื่นเขารู้สึกแปลกๆไปด้วย
แม้ความรู้สึกจริงๆในตอนนี้ จะอยากให้เวลาหยุดนิ่งตราบจนชั่วนิรันดร์ ช่วงเวลาที่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่สงสัยมาตลอด
ราวกับเงื่อนปมที่ผูกทับซ่อนในความสัมพันธ์ของพวกเรา ถูกแก้ออกอย่างง่ายดาย
“ขอให้มีความสุขนะ...”
คำพูดนี้ ไม่ได้ถูกปั้นแต่งขึ้นมา แต่ออกมาจากหัวใจอย่างแท้จริง อยากให้นายมีความสุข ถ้านั่นเป็นทางที่นายเลือก
ถึงหัวใจจะเจ็บ จากการที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่เมื่อคิดว่า นายจะมีความสุขมากกว่า อยู่ตรงนี้ ฉันก็ยินดี
ในที่สุด ฉันก็สามารถอวยพรนายได้จากใจ และยอมรับความรู้สึกของตัวเอง ว่าครั้งหนึ่งเคยรัก
...ฉันก็รักนาย...
จากนั้นจึงออกปากไล่เจ้าบ่าวให้กลับเข้าไปในงาน ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมกลับไปอย่างง่ายดายกว่าที่คิด
เขามองแผ่นหลังในชุดเสื้อสูทสีดำ ค่อยๆเดินห่างออกไป จนกระทั่งลับสายตา
แล้วน้ำตามันก็ไหลลงมา น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ตลอด ไม่รู้ว่า มันคือน้ำตาของความยินดีหรือความเจ็บปวด
ที่รู้แน่ชัดคือ...รัก...รักนาย...
รักมากกว่าที่ตัวเองคิดว่า...จะรักได้...
รักจน...เพียงแค่อยากเห็นนายมีความสุข...
...แม้นาย...จะไม่ได้อยู่ข้างๆ...แล้วก็ตาม...
++++++++++
ต้องกล่าวขอบคุณทุกท่านที่อ่านกันมาจนถึงตอนนี้ ไม่น่าเชื่อว่า แต่งมาได้ 7 ตอนแล้ว
ตอนนี้ เป็นเหมือนเขียนไล่เหตุการณ์สำคัญๆ ของทุกตอน แต่เปลี่ยนมุมมอง ก็เลยยาวกว่าที่คิดไว้
เขียนรอบแรกไป มานั่งอ่านทวน รู้สึกคาแรกเตอร์คุณเกียร์งงๆ ก็เลยนั่งรีไรท์ ออกมาได้เยี่ยงนี้
รอบนี้แทนที่จะโพสติดๆกับตอนที่แล้ว สุดท้าย ก็ห่างกันเดือนหนึ่งอยู่ดี (ตอนแรกกะว่าจะห่างสัก 2 อาทิตย์)
เขียนตอนนี้แล้ว ก็ยังมีเรื่องมั่วมากขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกว่าออกห่างจากมังงะจริงๆมากขึ้นทุกที - -“ รู้สึกผิดต่อคนเขียนจริงๆ
(แถมมีคนบอกว่า โฮลี่ ออเดอร์มันเคะจะตาย แกจิ้นยังไงให้มันเมะได้ ฮือๆ ก็จิ้นไปแล้วอ่ะ ทำไงได้)
ต้องบอกก่อนว่า โรคคุณเกียร์ไม่มีจริงนะคะ มั่วขึ้นเอง โดยได้ความคิดมาจาก Phenylketonuria
ซึ่งในความคิดเรา เป็นโรคที่น้อยคนจะเป็น มีผลกระทบต่อชีวิตส่วนหนึ่ง แต่ถ้าไม่ไปวุ่นวายกับสารที่มีผล
ก็จะดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข แต่ถ้าวุ่นวาย ก็จะมีผลต่อสมอง (เพราะสารมัน toxic ต่อสมองได้)
เดา (มั่ว ?) เอาเองว่า เกมนี้เชื่อมต่อโดยตรงกับสมอง หากคนเราสัก 1 ในล้านคน เกิดมีระบบสมองที่ต่างจากคนอื่น
การเล่นเกมนี้ อาจจะกระตุ้นสิ่งแปลกๆขึ้นมา ทำให้เกิดความผิดปกติขึ้นได้ เช่นเดียวกับร่างกายที่มีผลต่อ phenylalanin
ที่จริงมันก็แค่โรคมั่วๆ ไม่ต้องสนใจหรอกค่ะ 55+ แค่เป็นโรคเกี่ยวกับสมอง เอาแค่นั้นแล้วกันค่ะ
ตอนหน้าก็ยังกลับมาโฟกัสที่โฮลี่ ออเดอร์เหมือนเดิม บางคนอาจจะงงๆว่า ยังมีอะไรให้เขียนอีกเหรอ (วะ)
แต่อยากจะเขียนจนกว่า จะมาจบที่ปัจจุบัน ก็จะพยายามค่ะ ตอนนี้ปั่นไปได้หลายหน้าอยู่ กลัวงานเข้าเหมือนกัน
ยังไงถ้าแวะเวียนเข้ามา ก็อย่าลืมทิ้งคอมเมนต์เป็นกำลังใจไว้ด้วยนะคะ
แล้วพบกันตอนหน้าค่ะ
ตอบท่าน TRipLE333
เล่ม 15 ค่ะ ไม่รู้สิคะ โดยส่วนตัว ที่ผ่านมามองว่าเคะนะ ยกเว้น เล่มนั้นเป็นเล่มแรก ที่ทำเอาสะอึกไปพอควร
แต่ถ้าถามว่า รับเมะได้ไหม ก็คงได้มั้งคะ (เสียงอ่อยๆ) เพราะที่จริง คาแรกเตอร์ก็ดูเมะนะ
แต่ทำไมเราดันผ่าไปจิ้นเคะก็ไม่รู้ ^_^” เนื่องจากจิ้นไปแล้ว ก็ขอเชียร์เกียร์เคะต่อไปแล้วกันค่ะ
ส่วนเรื่อง แครอท x โฮลี่ออเดอร์ ที่จริงเราอยากให้สองคนนี้มีซัมติงกันบ้างอยู่แล้ว แต่จะฝั่งไหนก็แล้วแต่ศรัทธา
ความคิดเห็น