คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Extra : Angel without wings (ครึ่งแรก)
Author: Monochrome bird
Category:
Pairing: คิเสะ x คาซามัตสึ
Rating: PG-13
Disclaimer: ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นของอาจารย์ฟูจิมากิค่ะ พวกเราแค่ยืมมาจิ้นเล่นเท่านั้น
Author notes: หมาพาออกทะลเก่งมากกกกกกกกกกกก เขียนๆไปออกทะเลตลอด ไม่ต้องตั้งใจพายนักก็ได้นะ หมา
+++++++++
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่อากาศแจ่มใส มีลมพัดเย็นสบายไม่ให้รู้สึกร้อน แต่สิ่งที่กำลังร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆคือการแข่งขันบาสเก็ตบอลระหว่างคิเสะกับอาโอมิเนะ ในตอนเด็กนั้นอาโอมิเนะมักจะแพ้ให้กับคิเสะอยู่เสมอ เด็กชายพยายามฝึกฝนตนเองอยู่ทุกวัน จนในตอนนี้สามารถที่จะเอาชนะคิเสะได้บ้าง ไม่ได้แพ้รวดเหมือนสมัย
“เก่งขึ้นเยอะนี่”
“เหอะ”
ถึงจะบอกว่าเก่งขึ้นเยอะก็ตามที แต่อาโอมิเนะก็ยังไม่สามารถขอสัญญาเรื่องเรียกชื่อตัวกับคากามิได้ เพราะในการแข่งขันหนึ่งต่อหนึ่งที่เอาการเรียกชื่อเป็นเดิมพันนั้น อาโอมิเนะยังคงแพ้ให้กับคากามิอยู่เสมอ ที่จริงฝีมือการเล่นบาสเก็ตบอลของคากามิก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก ขนาดเล่นกับคิเสะ เจ้าตัวยังแพ้อยู่บ่อยครั้ง ไม่เข้าใจจริงๆว่า ทำไมเขาถึงเอาชนะไม่ได้สักที
“ยังไม่เลิกเล่นกันอีกเหรอ เล่นกันได้ไม่มีเบื่อจริงๆ”
คนที่พูดประโยคนี้คือเจ้าของบ้านอีกคน คาซามัตสึ ยูคิโอะซัง คนรักของคิเสะ ซึ่งทำหน้าที่พ่อบ้านควบกับเลขาส่วนตัวของคิเสะ ทั้งสองตำแหน่งนั้นเป็นชื่อที่เขาและคิเสะแอบตั้งให้เล่นๆ เพราะตอนนี้คาซามัตสึซังดูแลทั้งเรื่องในบ้านทั้งตารางเวลางานของคิเสะ
“งั้นฉันออกไปซื้อของหน่อยนะ”
“รอแป๊บนึง เดี๋ยวผมไปช่วย”
ปกติแล้วคิเสะจะไม่ค่อยอยู่ที่ญี่ปุ่นสักเท่าไรนัก เรื่องทุกอย่างในบ้านจึงเป็นหน้าที่ของคาซามัตสึ อย่างไรก็ตามหากคิเสะมีโอกาสแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะพยายามช่วยเหลืองานต่างๆเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นไปช่วยหิ้วของ พับเสื้อผ้าเก็บลงตู้ เตรียมวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร ตลอดจนถึงล้างจานหรือทำความสะอาดบ้าน
ในครั้งแรกๆคาซามัตสึจะปฏิเสธความช่วยเหลือทุกครั้ง ไล่ให้ไปนั่งพักผ่อนดูทีวี หรือทำอย่างอื่นที่อยากทำ แต่คิเสะก็ตื้อเสียจนอีกฝ่ายรำคาญ สุดท้ายก็ปล่อยเลยตามเลย อยากช่วยทำอะไรก็ให้ทำ เพื่อเป็นการตัดปัญหา
“ไม่ต้องหรอก อยู่นี่แหละ”
“ไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้วนี่”
คิเสะเหมือนลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ ช่วงที่คากามิหายตัวไปนั้น อาโอมิเนะมักจะไปนอนกลิ้งเล่นอยู่ที่บ้านของคิเสะเสมอและนั่นก็ทำให้พวกเขามีเวลาคุยกัน ถึงเรื่องราวต่างๆในชีวิต หลายต่อหลายครั้งที่พวกเขากินข้าวเย็นด้วยกัน ใช้เวลาเล่นบาสเก็ตบอลด้วยกันและทำสิ่งต่างๆมากมาย แต่พอคากามิกลับมา เจ้าเด็กบ้านี่ก็แทบไม่มาให้เขาเห็นหน้าเลย คงเอาแต่ขลุกอยู่ในบ้านคากามิ กินเยลลี่สีแดงล่ะสิท่า
“งั้นก็อยู่กันดีๆนะ อย่าทำลายข้าวของล่ะ”
เรื่องที่คาซามัตสึพูดนั้น เป็นการล้อเล่นครึ่งหนึ่ง แต่ก็จริงจังอยู่ครึ่งหนึ่งเช่นกัน ตั้งแต่ขึ้นมัธยมต้น ตัวของอาโอมิเนะก็สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนตอนนี้สูงแซงหน้าคิเสะไปแล้ว เวลาทั้งสองคนเล่นบาสเก็ตบอลด้วยกันอย่างเอาเป็นเอาตาย มักลืมตัวกระโดดเหนี่ยวแป้นซ้ำๆ กันจนแป้นบาสเก็ตบอลที่บ้านเคยหักไปแล้วถึงสองครั้ง
“คาซามัตสึซังเนี่ย ดูเป็นผู้ใหญ่จังเลยนะ”
“นายจะบอกว่า ฉันไม่เป็นผู้ใหญ่งั้นสิ”
“อ้าว ? นายคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่หรอกเหรอ ?”
การต่อปากต่อคำก็เป็นอีกหนึ่งความสนุกสนานของพวกเขาทั้งคู่ เมื่อก่อนนั้นอาโอมิเนะมักจะวิ่งไปหลบหลังคากามิ เพราะไม่อยากโดนเขาแกล้ง แต่พอไม่มีคากามิอยู่แล้ว ทั้งคู่จึงต้องฟาดปากกันด้วยคำพูดกันตรงๆ จนสร้างความสนิทสนมใกล้ชิด ดังที่เห็นในปัจจุบัน
“แล้ววันนี้ คากามิไปไหนล่ะ ? ทำไมถึงได้มาขลุกอยู่บ้านฉัน”
ตั้งแต่คากามิกลับมา อาโอมิเนะก็แทบไม่โผล่มาให้เห็นหน้าเลยสักครั้ง ที่จริงยูคิโอะซังก็บอกว่า มีแวะมาทักทายบ้าง แต่คงเพราะเขาทำงานอยู่ต่างประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่ก็เลยไม่ได้เจอ ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของเพื่อนเขากับเจ้าเด็กแสบนี่ ไปถึงไหนกันแล้ว
“วันนี้คากามิไม่อยู่บ้าน มีธุระเรื่องงาน”
ดูจากสีหน้าที่เหมือนจะงอนสนิทของเด็กหนุ่มแล้ว คิเสะก็แอบนึกขำขึ้นมานิดๆ ไม่รู้ว่า ถ้าพวกสาวๆที่แอบปลื้มอยู่นั้น มาเห็นเข้าจะรู้สึกอย่างไร พอเป็นเรื่องของคากามิแล้ว ชอบทำตัวเป็นเด็กทุกทีสิน่า ไม่เท่เลยนะ อาโอมิเนะคุง
“อย่างอนเลยน่า คนเราก็ต้องมีธุระกันบ้างสิ”
ที่จริงอาโอมิเนะมีปมกับคำว่าเรื่องงาน เพราะคากามิเคยหายตัวไปหกปี โดยไม่มีข่าวคราวใดๆเลย ในตอนนั้นชายหนุ่มบอกว่าไปด้วยเรื่องงาน แต่คิเสะรู้ดีว่า มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น ถึงทำให้เพื่อนของเขา ทิ้งอาโอมิเนะไปได้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เหตุการณ์ทั้งหลายดูจะปกติ คงมีแต่อาโอมิเนะเท่านั้นแหละที่ยังติดใจกับเรื่องเก่าๆอยู่
“แล้วทีตัวเองล่ะ ตอนคาซามัตสึซังไม่อยู่แป๊บเดียว ทำจะเป็นจะตาย”
“จะว่าไป นายคบกับคาซามัตสึซังได้ยังไง ?”
ตอนเด็กๆอาโอมิเนะคิดว่า คิเสะรู้จักคาซามัตสึซังผ่านทางคากามิ เพราะเห็นทั้งสองคนสนิทสนมกันดี ความรู้สึกในตอนนั้นเขาคิดว่า คากามิสนิทกับคาซามัตสึซังยิ่งกว่าคิเสะเสียอีก เพิ่งมารู้เอาตอนหลังว่า ที่จริงแล้วคากามิมารู้จักคาซามัตสึซังหลังจากทั้งคู่คบกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้อาโอมิเนะนึกสงสัยว่า ทั้งสองคนรู้จักกันได้อย่างไร
ด้วยหน้าที่การงานคิเสะนั้นเป็นสถาปนิก ส่วนคาซามัตสึซังทำงานเกี่ยวกับนิตยสาร ถึงคิเสะจะมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างไร แต่ดูแล้วก็ไม่น่าจะมาเจอกันได้ เพราะนิตยสารที่คาซามัตซึซังดูแลรับผิดชอบเกี่ยวข้องกับเรื่องการท่องเที่ยวและแฟชั่นเป็นส่วนใหญ่ ไม่เห็นมีตรงไหนน่าจะเกี่ยวโยงกับสถาปนิกได้เลยสักนิด
“จะว่าไปเรื่องมันก็ยาวนะ อยากฟังเหรอ ?”
คิเสะเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งในตอนที่ถาม กะว่าจะได้ยินคำปฏิเสธดังลั่นของเด็กหนุ่ม แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น อาโอมิเนะพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงบนสนามบาสอย่างไม่กลัวเสื้อผ้าสกปรก คิเสะเห็นอย่างนั้น จึงนั่งลงข้างๆ แล้วเริ่มต้นเล่าเรื่องราว ตั้งแต่การเจอกันครั้งแรกของทั้งสองคน
+++++++++
คิเสะ เรียวตะในตอนนั้นถือว่าเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีที่โด่งดังพอสมควร เพราะเจ้าตัวได้รับการทาบทามให้ไปถ่ายแบบนิตยสารหลายต่อหลายครั้ง จนเป็นที่รู้จักในวงการ จากนิสัยที่เข้ากับคนอื่นง่าย ทำให้ใครต่อใครต่างก็รู้สึกเอ็นดู จึงมีงานเข้ามาไม่ได้ขาด แต่ใครเล่าจะนึกว่า คิเสะ เรียวตะที่ดูจะมีพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตาและความสามารถ กลับถูกใครคนหนึ่งปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
คนคนนั้นคือ...คากามิ ไทกะ...
ชายหนุ่มผมแดงผู้มีฝีมือในการเล่นบาสเก็ตบอลที่เก่งกาจ เป็นความประทับใจในวัยเยาว์ของคิเสะ ความรู้สึกอยากเจอนั้นเพิ่มพูนสะสมขึ้นทุกวัน จนกระทั่งได้เจอกันจริงๆเมื่อตอนมัธยมปลาย คนคนนั้นเปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งตัวใหญ่ขึ้น สูงขึ้น แต่มองแค่แว่บเดียวก็รู้ว่า เป็นคนคนเดียวกับที่เขาเคยเจอในตอนนั้น
ไม่รู้ว่า เมื่อไหร่ที่ความประทับใจนั้น ค่อยๆกลายเป็นความรัก เขารู้สึกเป็นห่วงเป็นใย อยากอยู่ใกล้ๆ อยากจะสัมผัส บางครั้งถึงกับรู้สึกทรมานด้วยความคิดถึง เมื่อสรุปได้ว่า สิ่งนี้เป็นอาการของความรัก คิเสะจึงเดินหน้าเพื่อไปสารภาพความในใจกับคากามิ ในปีสุดท้ายของการเรียนชั้นมัธยมปลาย
“นายไม่ได้รักฉันจริงๆหรอก เชื่อฉันสิ”
“สักวัน นายจะต้องเจอคนที่นายรักจริงๆแน่”
“อดทนรออีกสักพักนะ”
มันเป็นคำปฏิเสธที่บาดลึกเข้าไปในจิตใจ เป็นคำปฏิเสธที่ทำให้งุนงงสงสัยว่า อีกฝ่ายหมายถึงอะไรกันแน่ มันไม่ใช่คำปฏิเสธแบบที่เขานึกเอาไว้ เช่น ฉันเป็นผู้ชายนะ หรือว่า ฉันไม่ได้ชอบนายในความหมายแบบนั้น แต่คากามิกลับพูดเหมือนกับรู้ว่า คนที่เขารักจริงๆนั้นเป็นใคร ส่วนตัวเขานั้นไม่รู้หรอก
“คากามิจจิ จะรู้ดีกว่าฉันได้ยังไงล่ะ”
“สักวันนายจะเข้าใจเองล่ะ คิเสะ”
ในตอนนั้นเขาไม่เข้าใจคากามิเลยสักนิด รู้แต่เพียงว่า เพื่อนของเขาออกเดินทางไปทั่วโลก หลังจากจบชั้นมัธยมปลาย จากการติดต่อกันทางอีเมลล์นานๆครั้ง เขารู้สึกได้ว่า คากามิกำลังตามหาใครบางคนอยู่ ใครสักคนที่สำคัญมาก บางทีอาจจะเป็นคนรักที่หนีหายไปก็เป็นได้ ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะบอกกันตรงๆ มาพูดให้กำกวมทำไม
แล้วนั่นก็คือ...ประสบการณ์อกหักครั้งแรก...
จากนั้นคิเสะก็ทำงานถ่ายแบบ พ่วงกับการเรียนมหาวิทยาลัยไปพร้อมๆกัน เขาไม่จริงจังกับทั้งสองอย่าง การทำงานนั้นก็ทำได้เรื่อยๆ ไม่ได้อยากโด่งดังอะไร การเรียนก็อยู่กลางๆ ไม่ได้โดดเด่นแม้แต่น้อย บางครั้งเขาก็สงสัยว่า ชีวิตของเขานั้นต้องการอะไรกันแน่ เขาควรจะทำงานนายแบบให้จริงจังมากขึ้น หรือควรจะหันไปประกอบอาชีพอื่นๆที่มั่นคงกว่า ในตอนที่ยังสับสนอยู่นั้น ก็มีใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาในชีวิต
แล้ว...ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนแปลงไป...
วันนั้นเป็นวันที่เขายังคงจำได้ดี วันที่เขารู้สึกว่าโลกหยุดหมุนไปเกือบหนึ่งนาที เพียงแค่ได้เห็นใบหน้าของคนคนนั้น คิเสะอยู่ในช่วงของการถ่ายแบบที่ประเทศอังกฤษ ในคอเล็กชั่นฤดูหนาว ตามปกติแล้วชายหนุ่มไม่ค่อยสนใจวิวทิวทัศน์หรือว่าบรรดาเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ การถ่ายแบบนั้นก็เป็นการฆ่าเวลาอย่างหนึ่ง ไม่ให้เบื่อ ไม่ให้คิดถึงเรื่องเก่าๆ ทำให้ความเจ็บปวดจากการถูกหักอก บรรเทาเบาบางลงในชั่วขณะหนึ่ง
“กะทันหันอย่างนี้ ทางเราก็แย่สิ”
“ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
ตามปกติแล้วคิเสะจะไม่ค่อยสนใจการถกเถียงกันของบรรดาผู้ร่วมงานเท่าไรนัก เพราะเป็นปกติที่การทำงานจะต้องมีอุปสรรคสักอย่างสองอย่างให้ขัดแย้ง แต่เป็นเพราะโดนผู้จัดการส่วนตัวเรียกให้เข้าไปหา เหมือนต้องการจะไกล่เกลี่ยเรื่องราวที่เกิดขึ้น คิเสะจึงต้องเข้าไปร่วมวงอย่างเลี่ยงไม่ได้
คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นมีอยู่สามคน หนึ่งในนั้นคือผู้จัดการของเขา อีกคนคือผู้รับผิดชอบหลักของการถ่ายแบบในครั้งนี้ ส่วนอีกคนหนึ่งไม่เคยเห็นหน้า เป็นชายหนุ่มผู้มีผมสีดำขลับ มองปราดเดียวก็รู้ว่า เป็นคนญี่ปุ่น เป็นคนบุคลิกลักษณะดี แววตาเข้มแข็งและเฉียบคม หากจะถามว่า เป็นคนหน้าตาดีหรือไม่ ก็คงต้องตอบว่าไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่ในชั่ววินาทีที่ได้สบสายตากัน เหมือนทุกอย่างรอบตัวหยุดนิ่ง สิ่งที่เขามองเห็น สิ่งที่เขาได้ยิน มีเพียงคนคนนี้เท่านั้น
“คิเสะคุง เผอิญช่างกล้องขาประจำของเราป่วยกะทันหัน”
“เขาเลยส่งคนคนนี้มาแทน”
ไม่แปลกอะไรที่ทั้งผู้จัดการและผู้รับผิดชอบจะเรียกเขามาคุยด้วย เพราะเขาเป็นคนที่ขอระบุตัวไปเองว่า อยากได้โรเบิร์ตเป็นช่างกล้อง เนื่องจากเคยร่วมงานกันมาหลายครั้งจนมีความสนิทสนม ทั้งอายุก็เท่ากัน จึงพูดคุยและทำงานด้วยกันได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ ซึ่งทางผู้รับผิดชอบก็ไม่ได้ทัดทาน เพราะรู้ดีถึงฝีไม้ลายมือ เพียงลำบากหน่อยตรงที่งานยุ่ง ต้องเสียเวลาทาบทามนัดวันเวลากันอยู่นาน ก็ไม่น่าแปลกหรอกที่จะรู้สึกอารมณ์เสีย
“คิเสะคุง โอเคไหม ?”
ในยามปกติคิเสะอาจจะอยากไล่มองคนคนนี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า เพื่อพิจารณาดูให้ชัดๆ แต่เขากลับถูกดวงตาคู่นั้นดึงดูดจนไม่อาจถอนสายตาได้ หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นและเหมือนมีอะไรบางอย่างบิดมวนอยู่ในท้อง ไม่ใช่ความรู้สึกที่ไม่ดี แต่คล้ายกับอาการตื่นเต้น ก่อนจะเดินขึ้นเวทีไปแสดงโชว์อะไรสักอย่าง
“คิเสะคุง ?”
“มาแนวนี้ ไม่ไหวแหงเลย”
ปกติแล้ว หากเขาไม่อยากร่วมงานกับใครก็จะปฏิเสธแบบอ้อมๆ ไม่ก็เงียบๆไป เพราะไม่อยากชวนทะเลาะ แต่ก็ไม่ได้จำเป็นต้องง้องอนของาน บรรดาผู้รับผิดชอบถึงต้องปวดหัวมาเดากับท่าทีของเขาว่า นี่คือการเฉยๆ หรือปฏิเสธทางอ้อมกันแน่ แต่สำหรับคราวนี้ เขาไม่ได้คิดปฏิเสธเลยแม้แต่นิดเดียว เพียงแต่เหมือนตกอยู่ในภวังค์อะไรบางอย่าง
“อ่ะเปล่าครับ ผมยังไงก็ได้ครับ”
“หา ?”
คิเสะ เรียวตะ นายแบบหนุ่มผู้ขึ้นชื่อในเรื่องไม่แคร์ใคร หากเป็นเรื่องที่เจ้าตัวเอ่ยปากว่า อยากได้แล้ว ยากนักที่จะยอมลงให้ หรือถึงยอมลงก็ต้องมีเงื่อนไขร้อยแปดพันประการตามมา แทบจะไม่เคยมีสักครั้งที่ยอมพูดคำว่า ยังไงก็ได้ ออกมา แล้วมีหรือที่ผู้จัดการและผู้รับผิดชอบ จะไม่รู้สึกตกใจกับประโยคนั้น
“คนนี้ก็ได้ครับ”
“ถ้าคิเสะคุงโอเค ก็ไม่มีปัญหา”
ผู้รับผิดชอบที่ตั้งสติได้ก่อน รีบตกปากรับคำอย่างรวดเร็ว จะได้รีบทำงานกันต่อ การถ่ายรูปจึงเริ่มต้นขึ้น บรรยากาศในการถ่ายภาพนั้นแตกต่างจากช่างกล้องคนเดิมอย่างสิ้นเชิง หากเป็นโรเบิร์ต ภาพจะเต็มไปด้วยความร้อนแรง สนุกสนานเฮฮา และอารมณ์ผ่อนคลาย ส่วนคนคนนี้ จะเป็นรูปแบบที่สงบนิ่ง แต่แฝงด้วยความเฉียบคม เข้มแข็ง ราวกับมีแรงกดดันแผ่ออกมาจากรูป สไตล์ของทั้งคู่จึงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“จะว่าสวย มันก็สวยนะ”
พอทุกคนมุงดูรูปที่ปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์ ก็ต้องรู้สึกประหลาดใจ ไม่มีใครเคยเห็นคิเสะในมุมมองนี้มาก่อน มันเป็นมุมที่เหมือนยืนโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางสวนที่กลายเป็นสีน้ำตาลแดง ใบไม้ใกล้จะร่วงหล่นจนหมด เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ฤดูหนาว มันเป็นความเหงาที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้ แต่ถึงกระนั้น กลับเห็นความเข้มแข็งและพลังที่แฝงเร้นอยู่ในตัว
“เสื้อผ้า...โดดเด่นมาก...”
คอเล็กชั่นของฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวนั้น มักใช้โทนสีเข้ม ออกไปทางดำ เทา น้ำตาล เป็นโทนที่ให้ความรู้สึกเศร้า แต่ก็เข้มแข็ง ซึ่งในการถ่ายแบบนั้น แม้ว่านายแบบจะมีความสำคัญเพียงใด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเสื้อผ้า จะต้องสื่ออารมณ์ออกมาให้ได้ว่า หากใส่เสื้อผ้านี้แล้ว จะดูดีขนาดไหน ฉะนั้นการถ่ายแบบให้ได้ยอดเยี่ยมนั้น ควรจะโดดเด่นที่เสื้อผ้า ไม่ใช่ตัวบุคคล
“แต่ไม่ค่อยเข้ากับอิมเมจที่ลูกค้าอยากได้น่ะสิ”
“ลูกค้าอยากได้ที่มันสดใสกว่านี้หน่อย”
แม้จะไม่ใช่คอเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน แต่ทางลูกค้าก็อยากให้สื่อออกมาในแนวอบอุ่นและอ่อนโยน ตามสไตล์ของคิเสะ เรียวตะ อยากให้เจ้าตัวแสดงท่าทีเหมือนแฟนหนุ่มที่มายืนรอหญิงสาวอยู่ในสวน รอเพื่อจะกอดเธอให้คลายจากความหนาวเย็น มันเป็นธีมที่แตกต่างจากรูปที่อยู่บนหน้าจอมากนัก
“ถ่ายใหม่ดีไหมครับ”
ปกติพวกช่างกล้องจะมีสไตล์เป็นของตัวเอง แล้วก็ค่อนข้างยึดติดกับสไตล์นั้น บางคนถึงกับไม่ยอมเปลี่ยนแนว จนทีมงานต้องลำบากไปตามๆกัน แต่คนคนนี้ดูแตกต่างออกไปสักหน่อย เหมือนไม่ค่อยยึดติดอะไรจนนึกว่า อาจจะไม่ได้ถ่ายรูปเป็นอาชีพหลักก็เป็นได้
“เอาล่ะ ใช้ได้แล้วล่ะ”
“ขอบคุณทุกคนมาก”
เมื่องานเสร็จ ทุกคนจึงเก็บข้าวของ เตรียมตัวกลับ คิเสะที่กำลังจะถอดเสื้ออยู่นั้น เหลือบมองไปเห็นช่างกล้องคนนั้นกำลังก้มหัวลง เป็นเชิงเอ่ยลาแก่ผู้รับผิดชอบ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป พอเห็นดังนั้น เขาก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเดิม แล้ววิ่งตามหลังไป
“ขอโทษครับ คือว่า...”
อยากจะเรียกชื่อ แต่ก็ไม่รู้ ก็เลยต้องใช้วิธีวิ่งไปดักทางข้างหน้า ทำเอาคนคนนั้นขมวดคิ้วใส่ พร้อมกับถามว่า มีอะไร ? เป็นคำถามสั้นห้วนที่ฟังดูก็รู้ว่า กำลังไม่พอใจ ที่จริงคิเสะเองก็ไม่รู้ว่า ที่วิ่งตามมานั้นต้องการจะพูดอะไร เขารู้แต่เพียงว่า ถ้าพลาดโอกาสนี้ไปแล้ว ก็อาจจะไม่ได้เจอกันอีก
“คือว่า...”
“คือ....ว่า....”
การอ้ำๆอึ้งๆ ทำให้คนตรงหน้ายิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้น คงจะรำคาญจนอยากเดินหนีไปเต็มทน คิเสะพยายามคิดคำถามร้อยแปดพันเก้า แต่ก็คิดอะไรดีๆไม่ได้เลย สุดท้ายจึงถามสิ่งที่อยากรู้ที่สุดในใจ แม้มันจะเป็นคำถามที่งี่เง่าที่สุดก็ตาม
“คุณชื่ออะไรหรือครับ ?”
คำถามนั้นทำให้อีกฝ่ายเลิกคิ้วด้วยความสงสัย เหมือนจะบอกว่า แค่นี้เหรอ ? ที่ทำให้นายวิ่งหน้าตั้งตามฉันมา ชายหนุ่มผมทองยืนนิ่ง ในใจเต้นระรัว นึกสงสัยว่าคนตรงหน้าจะตอบเขาว่าอย่างไร ท่ามกลางความเงียบงันที่แสนอึดอัด แล้วอยู่ๆก็มีเสียงกรี๊ดดังขึ้น
“ว้าย นั่นมันคิเสะ เรียวตะนี่”
“จริงด้วยๆ โชคดีจัง”
แม้จะอยู่ในประเทศอังกฤษ แต่ประโยคเมื่อครู่เป็นภาษาญี่ปุ่นแน่นอนไม่มีบิดพลิ้ว มองไปตามเสียงก็เห็นสาวน้อยสองคนกำลังยืนกรี๊ดกร๊าด พร้อมกับยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูป คิเสะรู้ดีว่า อีกไม่นานพวกเธอจะตรงเข้ามาหาและพยายามชวนพูดคุย หรือขอลายเซ็น แล้วโอกาสพูดคุยกับคนตรงหน้าก็จะหมดลง ความคิดนั้นทำให้ชายหนุ่มทำเรื่องที่ไม่คาดคิด...
เขาจับแขนของอีกฝ่ายแน่นแล้วลากตัวให้วิ่งตามมาด้วยกัน ห่างออกจากหญิงสาวทั้งสองคน เขาวิ่งและวิ่งจนกระทั่งรู้สึกได้ถึงแรงต่อต้านของอีกฝ่าย จึงได้หยุด จากนั้นเข่าของเขาก็ถูกกระแทกอย่างแรงโดยฝ่าเท้าของคนที่เขาลากตัวมาด้วย พร้อมกับเสียงทุ้มต่ำที่เต็มไปด้วยความโกรธว่า
“ทำบ้าอะไรของนาย !!”
คิเสะเจ็บจนน้ำตาแทบไหล เพราะอีกฝ่ายเตะเข่าของเขาเสียเต็มแรง แต่อย่างว่าแหละ โดนใครที่ไหนไม่รู้ลากตัวมา ก็ต้องโมโหเป็นธรรมดา พอคิดถึงการกระทำของตัวเองแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิด เขาปล่อยให้ความรู้สึกเข้าครอบงำความคิด ปล่อยตัวไปกับสิ่งแปลกๆที่เกิดขึ้นในจิตใจ โดยไม่คำนึงถึงอีกฝ่ายหนึ่งเลย
“ขอโทษครับ”
คิเสะคิดได้เพียงเท่านั้น เขาไม่รู้จริงๆว่าควรจะพูดอะไร น่าแปลกที่สีหน้าของอีกฝ่ายดูเหมือนจะคลายความโกรธลงไปบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังซักไซ้ไล่เรียงเขา ถามว่าทำไมถึงทำแบบนี้ ต้องการอะไรกันแน่ หรือว่า ไม่พอใจอะไรก็บอกกันดีๆก็ได้ ที่จริงถ้าไม่อยากให้เขาถ่ายภาพตั้งแต่แรก ก็ไม่จำเป็นต้องฝืนตกลงก็ได้
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ !!”
คิเสะรีบค้านขึ้นในทันที ชายหนุ่มพยายามเรียบเรียงความคิดของตัวเองออกมาเป็นคำพูด แม้ว่ามันจะไม่ค่อยปะติดปะต่อกันก็ตาม เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ตัวเองเป็นอะไร รู้แต่ว่า หัวใจเต้นแรงขึ้น ทุกอย่างในร่างกายดูจะเรรวนผิดปกติ เพียงแค่สบสายตา ก็รู้สึกตื่นเต้น อยากจะอยู่ใกล้ๆ อยากจะพูดคุยด้วย
...อยากจะพบกัน...อีกสักครั้ง...
คนตรงหน้าทำท่าเหมือนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับคำพูดนั้น ก็แน่ล่ะ ขนาดตัวเขาเองยังรู้สึกว่ามันฟังดูสับสนและไม่รู้เรื่องเลยสักนิด แต่สุดท้ายชายหนุ่มผมดำก็ทำเพียงถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนจะพูดว่า
“คาซามัตสึ ยูคิโอะ”
“ครับ ?”
“ชื่อไง อยากรู้ไม่ใช่เหรอ ?”
ดวงตาสีทองนั้นเบิกกว้างขึ้นด้วยความแปลกใจผสมกับยินดี คาซามัตสึ ยูคิโอะ เป็นชื่อที่ให้ความรู้สึกคิดถึงอย่างแปลกประหลาด เป็นชื่อที่เหมือนมีความทรงจำอะไรบางอย่างติดค้างอยู่ในใจ แต่ไม่สามารถนึกออก ราวกับว่าชื่อนั้นกำลังดังก้องอยู่ภายในหัวใจ สะท้อนไปมาซ้ำแล้วซ้ำแล้ว
“เออ...”
คิเสะขัดขึ้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะเดินจากไป ชายหนุ่มที่เพิ่งบอกชื่อตัวเอง หันมามองเหมือนจะถามว่า มีอะไรอีกล่ะ ? นี่คงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่คิเสะ เรียวตะทำตัวไม่ถูกเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น เขาเหมือนหญิงสาวที่ได้พบเจอชายหนุ่มเป็นครั้งแรก กลัวแสนกลัวว่าจะทำอะไรผิดพลาดไป
“เราจะได้เจอกันอีกหรือเปล่า ??”
คำถามนั้นทำให้คนตรงหน้าหัวเราะออกมาเล็กน้อย มันคงดูงี่เง่า ทั้งคำถามทั้งหน้าตาในตอนนี้ของเขา ตั้งแต่เกิดมา เขาไม่เคยรู้สึกว่า ตัวเองหมดมาดเท่ากับวันนี้มาก่อนเลยในชีวิต รู้สึกเหมือนตัวเองยอมได้ทุกอย่าง ขอเพียงแค่คนคนนี้ยอมคุยด้วย ยอมให้ใกล้ชิด มันไม่มีเหตุผลเอาซะเลย
“นั่นสินะ...”
“ก็คงจะได้เจออีกล่ะมั้ง...”
ใช่แล้ว...มันไม่มีเหตุผลเลยจริงๆ...
++++++++++
หลังจากนั้นคิเสะจึงเฝ้าค้นหาว่า คนคนนั้นคือใคร เขาพยายามถามกับทุกคนที่รู้จัก แต่กลับไม่มีใครรู้จักตากล้องที่ชื่อคาซามัตสึ ยูคิโอะ จนเหลื่อทางเลือกสุดท้ายคือ ไปถามกับโรเบิร์ตซึ่งเป็นคนส่งคนคนนี้มาเป็นตัวตายตัวแทน ที่มันเป็นทางเลือกสุดท้ายก็เพราะว่า โรเบิร์ตไม่เคยอยู่ติดที่ เขาค่อนข้างงานยุ่ง เพราะเป็นคนฝีมือดี แถมพอว่างจากการทำงาน เจ้าตัวก็ชอบเดินทางไปยังประเทศต่างๆ เพื่อถ่ายรูปตามความพอใจของตน
เวลาผ่านไปเกือบสองเดือนกว่าจะหาทางติดต่อได้ เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ก็มีเสียงหัวเราะดังลอดมาตามสายโทรศัพท์ หัวเราะนานเสียจนคิเสะเกือบจะอารมณ์เสียว่า จะขำอะไรกันหนักหนา
“โอ๊ย ตลกเป็นบ้าเลย”
“ทำไมนายถึงได้มีอารมณ์แบบสาวน้อยขึ้นมาได้ล่ะเนี่ย”
คิเสะบ่นพึมพำตอบว่า ช่างมันเหอะน่า สรุปว่า คนคนนั้นเป็นใคร ปลายสายจึงยอมเล่าว่า คาซามัตสึ ยูคิโอะเป็นชาวญี่ปุ่นแท้ๆ ย้ายมาอยู่ที่อังกฤษตั้งแต่ตอนอายุสิบห้า ได้รู้จักกันตอนเรียนถ่ายภาพเป็นรุ่นพี่พวกเราอยู่สองปี ไม่แปลกอะไรที่คนในวงการถ่ายแบบจะไม่รู้จัก เพราะงานที่คาซามัตสึทำนั้น มักเกี่ยวข้องกับนิตยสารหรือหนังสือท่องเที่ยวเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีเรื่องแฟชั่นหรือข่าวซุบซิบให้เห็น
“ถ่ายรูปเจ๋งไปเลยใช่ไหมล่ะ”
“ฉันเองก็ฝันว่า อยากจะถ่ายได้อย่างนั้นสักครั้ง”
ลองโรเบิร์ตเป็นคนพูดแล้ว คิเสะก็รู้ดีว่า ฝีมือของคนคนนั้นต้องไม่ใช่ระดับธรรมดาแน่ๆ แต่ดูจากครั้งก่อนที่ได้ร่วมงานกัน ทุกคนเองก็ทึ่งในความสามารถอยู่เหมือนกัน เพียงแต่มันไม่ตรงตามธีมที่กำหนด ก็เลยต้องถ่ายแล้วถ่ายอีก ที่จริงเขาก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกันนะว่า รูปที่คนคนนั้นตั้งใจถ่ายจะออกมาเป็นอย่างไร
“น่าเสียดายที่ส่วนใหญ่เอาแต่เขียนคอลัมน์ ทั้งที่ฝีมือถ่ายรูปออกจะเก่งขนาดนี้”
“ว่าแต่นายจะให้เขาถ่ายรูปให้เหรอ ? ฉันว่าหนังสือรวมภาพก็ไม่เลวนะ”
“เขาคงถ่ายได้สุดยอดเลยล่ะ”
ที่จริงคิเสะไม่ได้คิดไปไกลถึงขนาดว่า ถ้ารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครแล้วจะยังไงต่อ เขาเพียงแค่อยากรู้จักอีกฝ่ายให้มากขึ้นเท่านั้น แต่การร่วมงานก็เป็นข้ออ้างที่ดีที่จะใช้ในการเจอกันอีกครั้ง เพียงแต่ว่าจะนัดแนะอย่างไรดีนะ ลองปรึกษากับผู้จัดการดูดีไหมนะ ??
“เพียงแต่ว่า...”
“เพียงแต่ว่า ?”
คิเสะนึกสงสัยว่า ปัญหาคืออะไร บางทีอาจจะเป็นค่าตัวแพงลิบลิ่วจนสปอนเซอร์อาจจะต้องส่ายหน้า หรือเป็นเพราะงานยุ่งชนิดว่า ถ้าขอคิว อาจจะได้อีกทีปีหน้า ระหว่างที่กำลังคิดไปต่างๆนานา โรเบิร์ตก็จบประโยคที่ตัวเองค้างไว้
“เพียงแต่ว่า คาซามัตสึซังไม่ชอบถ่ายรูปคน”
“ไม่รู้จะตกลงหรือเปล่านะ”
อ้าว ? แล้วทำไมครั้งก่อนถึงยอมมาถ่ายแบบให้ล่ะ ?? ความสงสัยนั้นถูกกลั่นออกมาเป็นคำพูดที่ไม่ค่อยปะติดปะต่อทางโทรศัพท์วกวนและซ้ำซาก จนโรเบิร์ตหัวเราะออกมาอีกครั้ง แล้วบอกให้ใจเย็นๆค่อยๆพูด
“คืองี้ ครั้งก่อนคาซามัตสึซังเขาติดหนี้ฉันอยู่น่ะ ก็เลยต้องยอม”
“ที่จริงเจ้าตัวออกจะเกลียดการถ่ายรูปคนมากพอดู”
“โดยเฉพาะกับพวกนายแบบ เห็นบ่นว่า เรื่องมาก”
ความหวังที่จะได้เจอกันอีกครั้งริบหรี่ลงเรื่อยๆ หรือเขาควรจะไปหัดถ่ายรูป จะได้อยู่ในวงการเดียวกันดีนะ หากเป็นช่างกล้องจะได้มีเรื่องคุยกันเพิ่มขึ้น อย่างเช่น วิธีการถ่ายรูป การซื้อกล้อง แล้วก็อะไรต่างๆอีกมากมาย
“นายอยากเจอเหรอ ?”
“อืม อยากเจอสิ”
คิเสะยอมรับง่ายดายเสียจนโรเบิร์ตนึกอยากให้โทรศัพท์มันติดกล้องถ่ายภาพเอาไว้ด้วย เขาจะได้เห็นว่า อีกฝ่ายกำลังทำหน้ายังไงอยู่ โรเบิร์ตรู้จักคิเสะครั้งแรกตอนอายุสิบแปดปี สนิทสนมกันเพราะเป็นคนที่คุยด้วยง่าย ไม่ถือตัวเหมือนนายแบบบางคน และตั้งแต่รู้จักกันมา คิเสะไม่เคยแสดงท่าทีสนใจผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหนเลย จะมีก็แต่บ่นๆให้ฟังเรื่องโดนใครบางคนที่ญี่ปุ่นหักอกมา แต่เขารู้สึกว่า มันใกล้เคียงความอิจฉาของเด็กที่ถูกแย่งของเล่นไป มากกว่าความรัก
“งั้นฉันจะช่วย”
“จริงเหรอ ?”
น้ำเสียงของอีกฝ่ายสดใสขึ้นทันที จนโรเบิร์ตนึกอยากหัวเราะก๊ากออกมาอีกครั้ง ทำไมคิเสะ เรียวตะนายแบบที่ได้ชื่อว่า เป็นคนที่ดูดี360องศา ถึงได้มาดหลุด ทำน้ำเสียงดี๊ด๊าแบบเด็กๆเสียได้ ไม่รู้ติดอกติดใจอะไรคาซามัตสึ ทั้งที่เป็นคนหน้าตาธรรมดาๆ ไม่มีอะไรโดดเด่นแท้ๆ
“ช่วยสิ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนนะ”
“ได้เลย”
คิเสะตบปากรับคำในทันที โดยไม่หยุดคิดแม้แต่น้อย ทำให้ชายหนุ่มลอบยิ้มอย่างยินดี เขานึกอยากถ่ายภาพอีกฝ่ายในคอเล็กชั่นพิเศษที่เกี่ยวข้องกับการเล่นบาสเก็ตบอลมานานแล้ว แต่คิเสะปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า บอกว่าเป็นการตอกย้ำแผลเก่าที่โดนหักอกมา คราวนี้แหละ เขาจะต้องใช้เงื่อนไขนี้บังคับอีกฝ่ายให้ทำตามให้ได้
“แล้วจะติดต่อไปอีกทีนะ”
“โอเค”
คิเสะวางโทรศัพท์ด้วยความยินดี แต่ใครเล่าจะรู้ว่า โอกาสที่ทั้งคู่ได้มาพบกันอีกครั้งนั้น
...เร็วกว่า...ที่คาดคิดเอาไว้มาก...
++++++++++
คิเสะมองไปรอบๆอย่างตื่นตะลึง สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเขาคือ ฉากถ่ายแบบที่ถูกเซ็ทขึ้นจากบ้านเก่าๆ ทีมงานสามารถเนรมิตมันให้กลายเป็นปราสาทหลังงามที่ต้องคำสาปได้ ทั้งรอยแตกบนผนังที่ถูกตกแต่งให้ดูคลาสิค ทั้งตะไคร้น้ำที่ถูกสับเปลี่ยนกับเถาไม้เลื้อยที่ดูลึกลับราวกับเกิดจากเวทมนต์ แต่สิ่งที่ทำให้คิเสะตกตะลึงมากที่สุดก็คือ ชายหนุ่มผมดำที่กำลังยืนเล็งมุมถ่ายภาพอยู่
“คาซา...”
ยังไม่ทันจะเอ่ยปากเรียกชื่อของคนคนนั้นได้เต็ม เขาก็ถูกตบหลังจนแทบล้มคว่ำด้วยมืออันใหญ่มหาศาลของยามาโตะซัง ชายร่างใหญ่ยักษ์ ผู้รับผิดชอบหลักของการถ่ายทำครั้งนี้
“ไง คิเสะ ตะลึงไปเลยไหมล่ะ”
ถ้าพูดถึงยามาโตะแล้ว ไม่มีใครในวงการที่ไม่รู้จักนักเวท ผู้สามารถเนรมิตทุกอย่างได้ตามใจปรารถนาของผู้ว่าจ้าง ดังนั้นค่าจ้างยามาโตะนั้นจึงแพงลิบลิ่วขนาดที่มีศูนย์ละลานตาไม่รู้กี่ตัว แถมเจ้าตัวยังขึ้นชื่อว่าหยิ่ง หากขอต่อรองราคาลงแม้แต่เยนเดียว ก็คงมีหวังถูกปฏิเสธ ไม่รับทำงานแน่ๆ
“ยามาโตะซัง นี่มือหนักเหมือนเดิมเลยนะครับ”
“อะไรกัน ยังหนุ่มยังแน่น มาทำบ่น”
สิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นในตัวผู้ชายคนนี้ก็คือ ความเข้ากับคนอื่นได้ง่าย ไม่เคยมีปัญหากับใคร ไม่เคยมีใครปฏิเสธไม่อยากทำงานด้วย นอกจากนั้นยังมีลูกล่อ ลูกชน ลูกเนียนและอีกสารพัดวิธีในการหลอกล่อให้ผู้คนทำในสิ่งที่พวกเขานึกอยากปฏิเสธ แต่สุดท้ายก็กลับมาตบปากรับคำกับยามาโตะจนได้
คิเสะเองก็เช่นเดียวกัน..
ชายหนุ่มไม่รู้ว่า ตัวเองเผลอตบปากรับคำยามาโตะได้อย่างไร เพราะปกติไม่ชอบรับถ่ายโฆษณาให้กับสินค้าตัวไหนๆ จะมีก็แต่ถ่ายแบบเสื้อผ้าหรือกับพวกนิตยสารเท่านั้น การถ่ายโฆษณาถือเป็นความน่าเบื่ออย่างหนึ่ง ยิ่งแบรนด์ใหญ่ก็ยิ่งมีความกดดันสูง คิเสะผู้ไม่ได้ตั้งใจยึดนายแบบอาชีพ จึงพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด
“ธีมสุดยอดเลยนะครับเนี่ย ปราสาทที่ต้องสาป”
“ช่ายยยยยย แต่ไม่มีเจ้าหญิงนะ”
การถ่ายโฆษณาในครั้งนี้ เป็นการถ่ายเกี่ยวกับแชมพู ซึ่งดูยังไงคิเสะก็ไม่เข้าใจว่า มันเกี่ยวกับปราสาทที่ถูกสาปอย่างไร แถมยังเป็นแชมพูของผู้หญิงอีกต่างหาก แล้วจะให้เขามาถ่ายโฆษณาทำไมกัน
“จะว่าไป มาลองมุมกันก่อนถ่ายจริงกันหน่อย”
“คาซามัตสึ !! เฮ้ย คาซามัตสึ !!”
เสียงเรียกชื่อคนคนนั้นทำให้หัวใจของคิเสะเต้นแรง คนที่ถูกเรียกชื่อหันมาทำหน้าตาเซ็งๆ แล้วก้าวเร็วๆเข้ามาหา ทุกท่วงท่าทุกการเคลื่อนไหวนั้น ราวกับสามารถสะกดจิตใจของคิเสะให้ตะลึงงันได้ ทั้งที่มันไม่ได้เยื้องย่างงดงามหรือมีเสน่ห์แต่อย่างใด กลับมีอะไรบางอย่าง อะไรสักอย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถอธิบายได้
“อะไร ยามาโตะ”
“อย่าทำหน้ามุ่ยสิ หน้าหล่อๆบี้หมดเลย”
“เอ้า อย่ามัวแต่เล่น จะเอาอะไรก็ว่ามา”
“แหม ดุจริง”
แม้น้ำเสียงจะบ่นอุบ แต่ท่าทางดูดีใจที่ได้พูดคุยถกเถียงกันพอหอมปากหอมคอ จากนั้นจึงผลักหลังคิเสะจนเซถลาไปข้างหน้าก่อนจะบอกว่า นี่คือนายแบบหลักของครั้งนี้
“คิเสะ เรียวตะ ?”
“โอ้ว ? นายจำชื่อนายแบบได้ ประวัติศาสตร์โลกต้องจารึก นี่นายจำชื่อนายแบบได้เหรอ ?”
คาซามัตสึทำหน้าตารำคาญอย่างชัดเจน ก่อนจะอธิบายว่า เพิ่งได้ร่วมงานกันก่อนหน้านี้ไม่นาน จะจำไม่ได้ได้อย่างไร พอยามาโตะอธิบายว่า อยากให้ลองถ่ายภาพจากหลายๆมุมดูก่อนจะถ่ายจริง คาซามัตสึก็พยักหน้ารับ แล้วเดินไปเปลี่ยนเลนส์ เลือกอันใหม่ที่เหมาะสมกว่าขึ้นมาใส่
“เฮ คิเสะ นายทำอะไรลงไป ?”
“หา ?”
“คาซามัตสึน่ะ ไม่มีทางจำชื่อนายแบบได้หรอก ยกเว้นนายจะทำอะไรลงไปสักอย่าง”
ยามาโตะกระซิบถามอย่างแผ่วเบา แต่เน้นหนักตรงประโยคสุดท้ายที่บอกว่า ทำอะไรลงไปสักอย่าง ดูท่าทางผู้รับผิดชอบหลักคนนี้คงจะอยากรู้มากจริงๆว่า เกิดอะไรขึ้นระหว่างเขาสองคน ที่จริงก็ไม่มีอะไรมากหรอก เพียงแค่เขาวิ่งตามไป แล้วก็ดักข้างหน้า แล้วก็กระชากแขน แล้วก็ถามชื่ออีกฝ่ายเท่านั้นเอง
...มันก็แค่นั้นเอง...ไม่ใช่เหรอ...
คิเสะสะดุ้งที่ได้ยินเสียงทุ้มต่ำนั้นตะโกนเสียงดัง ทั้งที่ไม่ได้เรียกชื่อเขา แต่เพียงแค่ได้ยินเสียงของอีกคนหนึ่ง เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองตื่นเต้นขึ้นมาทันที ยามาโตะเดินไปหาแล้วทั้งคู่ก็พูดคุยอะไรสักอย่างกันอย่างเคร่งเครียด ก่อนที่เขาจะถูกจับให้เขาไปยืนเพื่อทดลองถ่ายภาพอะไรบางอย่าง
ต้องบอกว่า เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของยามาโตะจริงๆ เพราะยากนักที่นายแบบคนไหน จะมายืนให้ลองถ่ายภาพที่ตัวเองไม่เข้าใจว่า จะออกมาเป็นอะไรอยู่นานสองนาน แถมยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า โบะหน้า หรืออะไรเลยแม้แต่น้อย ดูก็รู้ว่า ไม่ได้ใช้จริง ปกติจะใช้ทีมงานคนอื่นแก้ขัดไปก่อน
แต่สำหรับคิเสะแล้ว ไม่เป็นไรหรอก แค่เขาได้ยืนมองคนตรงหน้าทำคิ้วขมวดอย่างเคร่งเครียด โต้เถียงอะไรบางอย่าง เขาก็รู้สึกมีความสุขแล้ว บางทีเขาอาจจะเป็นบ้าไปจริงๆแล้วก็ได้ ถึงได้รู้สึกมีความสุขกับอะไรแบบนี้ ทั้งที่คนตรงหน้าไม่ได้ยิ้มเลยสักนิด ไม่ได้มองเขาเลยด้วยซ้ำ แต่เพียงแค่ได้มอง แค่ได้อยู่ใกล้ๆ ก็รู้สึกมีความสุขแล้ว
“คิเสะ ไปนั่งพักก่อนก็ได้ โทษทีนะ ขอคุยอะไรกันสักเดี๋ยว”
สักเดี๋ยวที่ว่านั่น กินเวลาไปเกือบชั่วโมง ก่อนที่ยามาโตะจะอธิบายกับทุกคนว่า เราจะถ่ายภาพเจ้าชายต้องสาปในปราสาทโบราณ คิเสะยอมรับว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับรู้ว่า ธีมในการถ่ายแบบครั้งนี้คืออะไร และเป็นครั้งแรกที่เขาได้รับรู้ว่า บทบาทของเขาในโฆษณาชิ้นนี้คืออะไร
“แต่เราจะไม่ถ่ายกันแบบธรรมดา มันน่าเบื่อเกินไป”
แล้วแปลกใหม่นี่อะไร ? เจ้าชายจะห้อยหัวตีลังกา หรือว่าหกสามเส้า ขณะถ่ายหรืออย่างไร ?? คิเสะนึกอยากบ่น แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป เพราะดูทุกคนจะตั้งใจฟังที่ยามาโตะพูด เสียจนไม่มีใครพูดคุยกัน จะว่าไปทีมงานทุกคนก็สังกัดอยู่ลัทธิบูชายามาโตะนี่นะ
“เราจะถ่ายฉาก เจ้าชายผู้ต้องสาปกลับคืนร่าง...”
“เมื่อแสงแรกของรุ่งอรุณส่องผ่านกระจกหน้าต่าง เจ้าชายที่ถูกสาปจะกลับฟื้นคืน...”
มีเสียงฮือฮาด้วยความชื่นชมดังจากทั่วทุกสารทิศ เหล่าทีมงานดูจะเห็นดีเห็นงามกับความคิดนั้น คิเสะนึกสงสัยว่า มีเขาคนเดียวหรือที่อยากรู้ว่า เจ้าชายที่ถูกสาปนั้น มันเกี่ยวข้องกับแชมพูตรงไหน ???
“เพราะฉะนั้น การถ่ายจะต้องเลื่อนไปอีกสักพัก จนกว่าจะถึงเวลาแสงแรกของพระอาทิตย์”
ว่าอะไรนะ ?? แสงพระอาทิตย์เอาสปอร์ตไลท์แทนไม่ได้เหรอ ?? นี่มันเป็นการถ่ายภาพนิ่ง ไม่ใช่ถ่ายโฆษณาโทรทัศน์ไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องรอให้ถึงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นด้วยล่ะ ?? นี่มันชักจะไปกันใหญ่แล้วนะ
“ว่าแต่ นายแบบของนายน่ะ จะอยู่ได้เหรอ ?”
คนที่ถามขึ้นมานั้น ดูจะเป็นคนเดียวในทีมงานที่อยู่นอกลัทธิบูชายามาโตะ นั่นคือคาซามัตสึซัง แต่คำถามที่ชายหนุ่มถามนั้นกลับเหมือนบาดลึกลงไปในใจคิเสะ ราวกับว่า เขาเป็นตัวปัญหาของงานในครั้งนี้ ถ้าเป็นยามปกติคิเสะคงจะบอกปัด ยอมยกเลิกงาน แล้วกลับบ้านในทันที แต่ครั้งนี้ไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจ อาจเพราะประกายแหลมคมในดวงตาสีดำคู่นั้นก็เป็นได้ ที่ดึงดูดให้เขาเผลอพูดคำว่า
“อยู่ได้ครับ...ผมจะอยู่ครับ”
เสียงเฮดังขึ้นทั่วทั้งบริเวณ ก่อนที่ใจของนายแบบนามว่าคิเสะ เรียวตะจะร่วงหล่นไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม โชคชะตาหรือเทวดาองค์ใดเจ้าเอ๋ย ถึงได้มาดลใจให้พูดแบบนั้นออกไป แล้วทีนี้จะทำอย่างไรต่อไปดีล่ะ ??
++++++++++
หลังจากฟังผู้จัดการเทศน์จนหูแฉะเรื่องที่เขาดันไปตบปากรับคำว่า จะอยู่ที่นี่จนเช้า ที่จริงงานนี้ ผู้จัดการของเขาก็ไม่ค่อยเห็นด้วยอยู่แล้วที่จะรับงาน แต่ด้วยความสามารถพิเศษส่วนตัวของยามาโตะ คนรอบข้างเขาจึงยอมรับข้อเสนอนี้ไปอย่างมึนๆงงๆ และไม่ค่อยเข้าใจด้วยว่า ทำไมตอนนั้นถึงได้ยอม
“พรุ่งนี้จะไปรับที่นั่นตอนแปดโมงนะ ยังไงก็ต้องออกมาให้ทันแปดโมงให้ได้”
ผู้จัดการสุดเขี้ยวนั้นไม่มีทางยอมให้ตารางนัดทำงานที่เธอจัดทำขึ้นอย่างยากลำบากล้มระเนระนาดไม่มีชิ้นดีแน่ๆ ฉะนั้นเธอจึงยื่นคำขาดว่า งานชิ้นนี้จะต้องเสร็จสมบูรณ์ก่อนแปดโมง เพื่อให้เธอลากตัวคิเสะไปทันงานอื่นๆที่นัดเอาไว้ต่อ โดยไม่สนใจจะถามนายแบบเลยสักนิดว่า ไหวไหม ? เหนื่อยหรือเปล่า ?
“คืนนี้ก็นอนให้เยอะๆด้วย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ทีมงานที่จะปลุก !!”
สิ่งที่เป็นศัตรูสำคัญของบรรดานายแบบก็คือ การพักผ่อนไม่เพียงพอ เพราะจะทำให้สภาพร่างกายย่ำแย่ เริ่มจากรอยคล้ำรอบดวงตา ผิวหน้าที่ไม่สดใส แล้วยังอื่นๆอีกมากมาย ปกติแล้ว ถ้างานเยอะจนไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อน ผู้จัดการจะพยายามสับเปลี่ยนตารางให้มีเวลางีบสั้นๆ แล้วค่อยปลุกคิเสะขึ้นมาทำงานต่อ แต่งานนี้เป็นงานที่เธอไม่เห็นด้วยที่จะรับงานเป็นเป็นอย่างยิ่ง ก็เลยพาลงอน ไม่ยอมมาด้วยกันซะอย่างนั้น
“ครับๆ เข้าใจแล้วครับ”
หลังจากรับคำเป็นอย่างดี คิเสะก็พบว่าทีมงานส่วนใหญ่แยกย้ายกันไปทำกิจกรรมต่างๆ บ้างก็หาที่งีบหลับ บางคนก็เอางานอื่นขึ้นมาทำ บางคนก็ตรวจเช็คงานของตัวเองอีกครั้ง ยามาโตะเองก็เดินไปเดินมาเพื่อตรวจงานและซักซ้อมความเข้าใจในแต่ละจุด ที่จริงงานนี้เป็นงานที่ยากมาก เพราะเวลามีเพียงแค่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น หากใครสักคนพลาดไป รูปที่ถ่ายออกมา ก็คงไม่ได้ดังที่หวัง
คิเสะมองไปรอบๆ ก่อนจะเจอคนที่กำลังมองหาอยู่ เขาคนนั้นยืนมองฉากที่จะต้องถ่าย ไม่ได้กำลังเล็งผ่านเลนส์ของกล้อง แต่ยืนดูด้วยตาเปล่า เหมือนจะซึมซับเอาบรรยากาศเสียมากกว่า ชายหนุ่มชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหา
“คาซามัตสึซัง...”
นับตั้งแต่พบกับคนคนนี้ คิเสะเฝ้าถามตัวเองว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหมือนกับว่า โลกทั้งใบนั้นเปลี่ยนไป ราวกับว่า เมื่อก่อนพระอาทิตย์ไม่ได้ขึ้นทางทิศตะวันออก ท้องฟ้าไม่ได้เป็นสีฟ้า เหมือนโลกนั้นกับโลกนี้เป็นคนละใบกัน ถ้าถามว่าทำไมถึงรู้สึกอย่างนั้น นั่นก็เพราะว่า ในหัวของเขามีแต่เรื่องของคนคนนี้วนเวียนอยู่ทุกขณะจิต ไม่อาจสลัดออกไปได้ เขาไม่สามารถนึกได้เลยว่า ก่อนหน้านี้ เขามีชีวิตอยู่อย่างไร อะไรอยู่ในหัวของเขา ถ้าไม่ใช่เรื่องของคนคนนี้
“มองอะไรอยู่หรือครับ ?”
ชายหนุ่มผมดำมองเขา เหมือนพยายามจะค้นหาความหมายในคำถามนั้น ก่อนเลือกที่จะไม่ตอบอะไร คิเสะมองภาพตรงหน้า พยายามพิจารณาว่า มีอะไรอยู่ตรงนี้บ้าง คนคนนี้ถึงได้ยืนจ้องมองอยู่นานสองนาน
ฉากตรงหน้านั้นเป็นด้านหนึ่งของกำแพง ซึ่งถูกตกแต่งเลียนแบบปราสาทโบราณ มีหน้าต่างบานใหญ่ที่ผุพังปริแตก กับเถาวัลย์เลื้อยคดเคี้ยว มีโซฟาเก่าๆอันหนึ่งตั้งอยู่ หนังหุ้มของมันสีแดง และมีรอยฉีกขาดเล็กน้อย หากแต่ดูก็รู้ว่าเป็นของดี ข้างๆนั้นมีโต๊ะกลมตัวเล็กๆ ซึ่งมีแก้วไวน์ใสแวววาวตั้งอยู่ ภายในบรรจุน้ำสีแดงสด ซึ่งที่จริงแล้วไม่ใช่ไวน์ แต่เป็นน้ำมะเขือเทศ
อะไรกันนะ...คาซามัตสึซังกำลังมองอะไรอยู่...
คิเสะกวาดสายตามองอีกครั้งหนึ่ง เพื่อพิจารณาภาพตรงหน้า ก่อนจะยกมือขึ้นเกาหัวด้วยความไม่เข้าใจ มันก็เป็นเพียงแค่ฉากถ่ายแบบไม่ใช่หรือ มีอะไรพิเศษตรงไหนกัน หรือว่าในสายตาของช่างถ่ายภาพแล้ว ฉากนี้มีมิติอะไรบางอย่างที่ควรค่าแก่การจับจ้องและพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
“ข้างนอก...”
“อ๊ะ อะไรนะครับ ?”
“ฉันบอกว่า ข้างนอก...มืดแล้ว...”
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายคงจะพอรู้ว่า เขาไม่สามารถค้นหาคำตอบของคำถามเมื่อครู่ได้ด้วยตัวเอง จึงได้เอ่ยคำเฉลยขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นคิเสะก็ยังไม่เข้าใจสักเท่าไรว่า ข้างนอกมืดแล้ว มันยังไงกันแน่ ?? ท้องฟ้าที่เป็นสีดำนั้น มีอะไรให้จับจ้องงั้นหรือ ท้องฟ้านั่น มันก็แค่พื้นที่ว่างสีดำๆ ไม่ใช่หรืออย่างไร ก็แค่พื้นที่ว่างที่มี...
...ดวงดาว...
แสงเล็กๆที่ส่องประกายระยิบระยับบนท้องฟ้า ช่างสวยงามเกินกว่าที่เคยคิดเอาไว้ คงเพราะโตมาในเมืองหลวง จึงเคยเห็นแต่แสงไฟจากตึกในมหานครซึ่งไม่เคยหลับใหล จะรู้ได้อย่างไรว่าแสงดาวที่แท้จริงนั้น งดงามถึงเพียงนี้
“สวยจังเลยนะครับ”
“ทำให้คิดถึงบ้านเลยนะ”
“บ้านของคาซามัตสึซังอยู่ที่ไหนหรือครับ”
“ญี่ปุ่นน่ะ”
“หา ?”
พอเห็นปฏิกิริยาตอบรับของคิเสะ อีกฝ่ายก็เผลอหัวเราะออกมา แล้วกล่าวคำขอโทษ พร้อมกับอธิบายว่า ปกติแล้วเขาใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ เวลาถามถึงบ้านเกิดทีไร ก็ชอบตอบว่าญี่ปุ่นทุกที มันชินปากไปหน่อยน่ะ จากนั้นคาซามัตสึจึงเล่าถึงบ้านเกิดให้ฟัง ตลอดระยะเวลาที่ได้ฟังนั้น คิเสะรู้สึกได้ว่า คนคนนี้รักที่แห่งนั้นเหลือเกิน แม้จะใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นถึงแค่ 6 ขวบ แต่ในทุกๆคำพูดมันแฝงไปด้วยความผูกพัน สิ่งที่ปรากฏชัดในแววตานั้นคือความคิดถึง มันทำให้คิเสะอยากเห็นที่แห่งนั้นเหลือเกิน อยากรู้ว่า ที่แห่งนั้นเป็นอย่างไร
“แล้วคิเสะล่ะ ?”
คิเสะรู้สึกว่าหัวใจตัวเองไหววูบจนน่ากลัว เพียงแค่ได้ยินคนตรงหน้าเรียกชื่อ ตลอดมา เขาไม่เคยได้ยินคนคนนี้เรียกชื่อเขาตรงๆมาก่อน ที่จริงเราแทบไม่ได้คุยกันเป็นกิจจะลักษณะเลยต่างหาก ไม่สิ เราเพิ่งเจอกันครั้งนี้เป็นครั้งที่สองเองนี่นะ แล้วจะเคยคุยกันได้อย่างไร
“โตเกียวครับ”
ช่วงเวลานี้ช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนสุข สุขเสียจนเขาไม่แน่ใจว่า เวลาผ่านไปนานเท่าไร การที่เขาได้มีโอกาสพูดคุยกับคนตรงหน้า ได้เห็นรอยยิ้ม ได้หัวเราะร่วมกัน มันเป็นความสุขที่เหนือยิ่งกว่าความสุขอื่นใด มากเสียจนเขาภาวนาให้แสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณอย่าได้มาเยือนที่ขอบฟ้า เพื่อให้ช่วงเวลานี้คงอยู่ต่อไป
...ดุจดังเป็นนิรันดร์...
แต่ช่วงเวลาอันแสนสุข ก็ถูกขัดคอด้วยก้างชิ้นโตที่มีชื่อว่า ยามาโตะ ชายหนุ่มเดินตรงเข้ามาถามว่า คุยอะไรกันอยู่ตั้งนานสองนาน ท่าทางสนุก คาซามัตสึชี้ให้อีกฝ่ายดูท้องฟ้าในตอนกลางคืน แล้วทั้งสองคนก็คุยกันเรื่องสมัยเรียน ถึงช่วงเวลาที่พวกเขาชอบหนีออกมาจากบ้านตอนกลางดึกเพื่อไปถ่ายภาพ แม้จะโดนผู้ใหญ่โกรธ แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่สนุกดี คิเสะรู้สึกดีที่ได้ฟังเรื่องราวของทั้งคู่ แต่ก็รู้สึกแย่นิดหน่อยที่เขาไม่อาจมีส่วนร่วมในการพูดคุยนั้นได้เลย
“ตอนนั้นนายบ่นแล้วบ่นอีก เรื่องที่แอบออกมา แต่สุดท้ายก็คุ้มใช่ไหมล่ะ ??”
ปกติแล้วยามาโตะเป็นคนชอบแตะเนื้อต้องตัวคนอื่นโดยธรรมชาติ เพียงแต่จะปฏิบัติกับแต่ละคนแตกต่างกันไป อย่างเขาก็จะเป็นการตบหลังตบหัว ลูบหัวบ้างเป็นบางโอกาส แต่กับคาซามัตสึแล้ว ยามาโตะมักจะชอบแตะไหล่ โอบไหล่ บางทีก็กอดคอ ที่จริงมันก็เป็นกริยาที่พบเห็นได้ทั่วไปตามนิสัยของยามาโตะ แต่ในตอนนี้มันกลับมีอะไรบางอย่างทิ่มแทงเข้าไปในความรู้สึกของคิเสะ รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“รู้ว่า คุยแล้วสนุก แต่ควรจะแยกย้ายไปนอนกันได้แล้ว”
“โดยเฉพาะนายแบบ เดี๋ยวก็ตาคล้ำเป็นหมีแพนด้าหรอก”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่คิเสะก็ยังเห็นทั้งคู่ยืนพูดคุยกันต่อ คราวนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องงาน เพราะมีการชี้ไปยังฉากและกล้องถ่ายภาพ แล้วอยู่ๆยามาโตะก็หัวเราะออกมาดังลั่น จนทุกคนหันไปมอง คาซามัตสึเตะขายามาโตะอย่างแรงไปทีหนึ่ง ก่อนที่จะพูดอะไรบางอย่างที่ไม่มีใครได้ยิน เพราะเสียงหัวเราะนั้นดังเสียจนกลบหมด
“ทุกคนโว้ย ทุกคน มีความคิดที่น่าสนใจมากเลย”
“เงียบนะเว้ย ฉันก็แค่...”
“ไม่เงียบ มันเป็นความคิดที่โคตรดี ดีจนฉันไม่อาจปล่อยมันให้หลุดมือไปได้”
ทีมงานทุกคนเดินเข้ามาหาตามเสียงเรียกของผู้รับผิดชอบหลักในครั้งนี้ คิเสะเองก็เดินย้อนกลับไปทางเดิม แต่ยืนอยู่วงนอก เขาสังเกตเห็นว่า คาซามัตสึซังก้มหน้านิ่ง เพราะว่าใบหน้านั้นแดงแปร๊ดไปจนถึงหู แต่ยามาโตะกลับดูร่าเริงเกินกว่าเหตุ คงมีเรื่องอะไรสักอย่างที่ถูกใจมากแน่ๆ
“มีคนเสนอการถ่ายทำใหม่ ซึ่งฉันว่า มันสุดยอดมาก”
“เราจะถ่ายทำ เจ้าชายผู้ถูกสาปกลับฟื้นคืน...”
ข้อมูลนี้เป็นข้อมูลเก่า เพราะพวกเขาตั้งใจจะถ่ายคิเสะลืมตาตื่นขึ้นบนโซฟาตัวยาว เมื่อแสงอาทิตย์แรกจับขอบฟ้าไล่เรียงมาทางหน้าต่างของปราสาท ธีมของงานคือ เจ้าชายที่ถูกปลุกขึ้นด้วยพลังอำนาจของแสงสีทอง ซึ่งเป็นตัวแทนของผลิตภัณฑ์แชมพู สินค้าในครั้งนี้
“เจ้าชายของเราจะไม่ลืมตาตื่นขึ้นมาแบบธรรมดา”
“แต่จะเปียกปอนไปด้วยน้ำ”
“หา ?”
นั่นคือเสียงที่อุทานด้วยความตกใจของทุกคน เพราะไอเดียของยามาโตะเริ่มหลุดโลกมากขึ้นเรื่อยๆ จนมนุษย์ธรรมดาไม่อาจตามได้ทัน ชายหนุ่มค่อยๆอธิบายไอเดียของตนอย่างช้าๆ มันหลุดโลกจริงๆ หลุดโลกมากๆ แต่อย่างไรก็ตามบรรดาผู้ศรัทธาลัทธิยามาโตะก็ต่างส่งเสียงชื่นชมและยินดีที่จะตอบสนองทุกความต้องการของท่านศาสดา
“ฉะนั้น รบกวนหน่อยนะ คิเสะ”
ที่จริงเขาควรจะปฏิเสธ ด้วยประการทั้งปวง ถ้าผู้จัดการของเขามาอยู่ด้วย เธอคงจะโวยวายด้วยเสียงอันดังและไม่มีทางยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นแน่นอน แต่เมื่อตกอยู่ท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ที่จับจ้องมาทางเขา ด้วยแววตาวิงวอน ขอร้อง คิเสะจึงต้องพยักหน้าตอบรับไปอย่างไม่มีทางเลือก
“งั้นจัดฉากกันใหม่ !!”
บรรดาทีมงานรีบวิ่งไปมา ทำงานกันอย่างคล่องแคล่ว การทำให้ได้ตามที่ยามาโตะต้องการนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เวลาเตรียมงานก็มีน้อย แถมเป็นกลางดึก จะไปหาอุปกรณ์ก็ลำบาก แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็ยังสามารถเนรมิตฉากได้ตามที่ยามาโตะอยากได้
“พยายามเข้านะ”
คาซามัตสึเดินเข้ามาตบบ่าเขาเบาๆ ก่อนจะเดินไปตระเตรียมและตรวจเช็คอุปกรณ์ของตัวเองอีกครั้ง คิเสะมองไหล่ของตัวเองข้างที่เมื่อครู่เพิ่งถูกสัมผัส เขารู้สึกราวกับตำแหน่งตรงนั้นยังมีความอบอุ่นเหลืออยู่ การสัมผัสเพียงแค่ไม่กี่วินาทีนั้น มันกลับทำให้หัวใจของเขาพองโตขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
นี่มันบ้าแล้วชัดๆ....เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ...
เพียงแค่สัมผัสบางเบาที่ไหล่...ทำให้เขาเป็นไปได้ถึงขนาดนี้...
ทำให้เขามีความสุข...ได้ถึงขนาดนี้...
++++++++++
แม้จะไม่ได้นอนเกือบทั้งคืน แต่ทีมงานของยามาโตะก็ทำงานได้เนี้ยบไม่มีที่ติ แถมยังมีท่าทางกระฉับกระเฉงว่องไว ต่างจากนายแบบที่ยังคงง่วงงุน เนื่องจากนอนไม่พอ โซฟาตัวยาวถูกแทนที่ด้วยอ่างอาบน้ำอันใหญ่ ซึ่งตัวอ่างมีรอยแตกร้าว คาดว่าคงทำขึ้นเมื่อคืนเพื่อให้ดูเป็นของเก่า ฝักบัวนั้นถูกแต่งแต้มให้คล้ายว่ามีสนิมเกาะ ทั้งที่จริงเพิ่งซื้อมาใหม่เอี่ยม
“เอาล่ะ เริ่มได้”
ตอนนี้ก็แล้วแต่ธรรมชาติจะน้อมนำ พวกเรารอคอยแสงอาทิตย์แรกที่จะสาดส่องเข้ามาในอีกไม่กี่นาที สายน้ำที่พุ่งออกมาจากท่อซึ่งลากยาวมาจากอีกด้านหนึ่ง ไหลลงมา เมื่อแสงสีทองไล่เรียงมาตามขอบหน้าต่าง เหมือนทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหว ไม่ได้ยินเสียงใครพูด หรือแม้กระทั่งเสียงหายใจ มีเพียงเสียงของน้ำที่หยดลงกระทบอ่าง และเสียงกดชัตเตอร์จากมือของใครบางคน
ดวงตาสีดำคู่นั้นจับจ้องมาทางเขา ขณะที่มือกดชัตเตอร์อย่างรวดเร็ว มันเป็นช่วงเวลาที่คิเสะรู้สึกเหมือนมีแรงดึงดูดประหลาด เช่นเดียวกับครั้งแรกที่เขาถ่ายภาพกับคนคนนี้ มันเป็นช่วงเวลาที่เหมือนเราได้พูดคุยกันโดยไร้เสียง ผ่านทางห้วงอากาศโดยไม่มีใครรู้
“ไหนดูซิ”
คาซามัตสึเอียงกล้องให้ยามาโตะดูรูปในกล้องแบบเร็วๆ ทั้งสองคนพูดคุยอะไรกันเล็กน้อย ก่อนที่ยามาโตะจะพยักหน้า แล้วทุกคนก็ส่งเสียงเฮดังลั่น อันเป็นสัญญาณว่า งานชิ้นนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
คิเสะลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำ รับผ้าขนหนูผืนใหญ่มาเช็ดตัว และเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชื้นออก ถึงจะดูเหมือนการอาบน้ำ แต่ที่จริงมันเป็นการทำตัวให้เปียก ทั้งที่เสื้อผ้ายังอยู่ครบเสียมากกว่า เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ยามาโตะจะสื่อรูปนี้ไปทางไหน แต่คิเสะกลับคิดถึงมิวสิควีดีโอที่มีหญิงสาววิ่งเข้าไปร้องไห้ในห้องน้ำ โดยเปิดฝักบัวให้น้ำไหลลงมาให้ตัวเธอเปียกทั้งหมด มันทำให้เขารู้สึกขนลุกที่จะได้เห็นภาพตัวเองที่ดูน่าสงสารปนกับน่าสมเพชแบบนั้น
“ทำได้ดีมากเลยนะ อยากเห็นรูปหรือเปล่า”
คิเสะกลืนน้ำลายลงคอ แต่เมื่อผู้รับผิดชอบหลักดูอารมณ์ดีได้ถึงขนาดนี้ มันก็คงไม่เลวร้ายหรอกมั้ง เขามองที่จอคอมพิวเตอร์ซึ่งฉายภาพที่เอามาจากกล้องถ่ายรูป มันเป็นสิ่งที่เหนือกว่าที่คาดคิดไว้มาก ไม่สิ ต้องบอกว่า ผิดจากที่จินตนาการไว้เลยต่างหาก
มันไม่มีเศษเสี้ยวของความน่าสงสารแม้แต่นิดเดียว แต่มันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ เหมือนกระแสน้ำที่ไหลลงมาจากด้านบนนั้นโอบล้อมตัวชายหนุ่มเอาไว้ ทุกหยดน้ำนั้นสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้า ซึ่งอาบไล้ไปตามกำแพง ตัวเขาซึ่งกลายเป็นสีทองนั้นกำลังมองตรงมา เหมือนเพิ่งตื่นจากความฝันอันยาวนาน
“อย่างนี้แหละ ถึงจะเข้าธีมของแชมพูเรา กลิ่น Golden Dream”
“ต้องขอบคุณไอเดีย จากคาซามัตสึนะเนี่ย”
คิเสะเหลือบมองตากล้องที่เสหลบตาในทันที เขารู้ทันทีเลยว่า อีกฝ่ายคงไม่ได้คิดจะใส่ความคิดนี้ลงไปในการถ่ายภาพและอาจจะแค่พูดอะไรบางอย่างถึงมันเฉยๆ แต่ยามาโตะผู้มีไอเดียแสนบรรเจิดอยู่ตลอดเวลากลับหยิบยกเอามันมาใส่ในงานได้อย่างเหมาะสม
“แถมฝีมือถ่ายภาพก็เลิศไปเลยนะ นี่ขนาดยังไม่ได้แต่งภาพนะเนี่ย”
“คราวหน้าก็รบกวนด้วยนะ”
คาซามัตสึถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะบ่นพึมพำว่า จะอะไรก็เถอะ ทีหลังทำให้มันพอดีๆ อย่าให้มันเยอะเกินไปนักสิ จะทำคนอื่นเดือดร้อน เดี๋ยวก็ไม่มีใครมาทำงานด้วยหรอก ยามาโตะเพียงแค่หัวเราะแล้วหันไปตบหลังคิเสะแรงๆ
“คิเสะ ครั้งหน้า นายจะทำงานกับฉันอีกไหม ?”
“ครับ”
ยามาโตะกำลังจะหันไปยักคิ้ว ทำนองว่า เห็นไหมล่ะ คิเสะ เรียวตะคนดังยังไม่ว่าอะไรเลย ครั้งหน้าก็จะมาทำงานกับฉันอีก แต่คำพูดต่อมาที่ออกมาจากปากคิเสะ ทำให้ทั้งสองคนต้องหันไปมองด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
“ครับ...”
“ถ้าคาซามัตสึซังเป็นคนถ่าย...”
การสนทนานั้นจบลงด้วยเสียงหัวเราะดังลั่นของยามาโตะ คิเสะเองก็ไม่เข้าใจว่ามันตลกตรงไหนที่เขาพูดแบบนั้น แต่รู้ว่า คาซามัตสึซัง มีท่าทีเหมือนไม่ค่อยพอใจ ออกแนวจะรำคาญ แถมยังบอกเพื่อนด้วยน้ำเสียงดุๆว่า หยุดหัวเราะได้แล้ว แต่มีหรือคนอย่างยามาโตะจะหยุดง่ายๆ
“ก็มันขำนี่หว่า”
“เฮ้ย คิเสะ นายติดอกติดใจอะไร คาซามัตสึนักหนา”
“เห็นก่อนหน้านี้ก็ได้ยินมาว่า มาถามข่าวคราวเรื่องคาซามัตสึกับคนนู้นคนนี้”
จะว่าไป ตอนที่ตั้งใจจะถามเรื่องคาซามัตสึซังกับยามาโตะซัง เจ้าตัวก็ดันหายหน้าหายตาไปถ่ายโฆษณาอะไรบางอย่างที่แถบชนบทในต่างประเทศ ไม่ยอมพกมือถือ หาทางติดต่อไม่ได้ จนเขาตัดสินใจว่า ถามโรเบิร์ตน่าจะเร็วกว่า สุดท้ายไปๆมาๆเขาก็ได้มาเจอคาซามัตสึซังเพราะยามาโตะซังอยู่ดี
“ว่าไงคิเสะ ? อย่ามาแกล้งทำเป็นเงียบนะ”
“รึว่าหลงรักคาซามัตสึเข้าแล้ว ?”
พอได้ยินประโยคนี้ คาซามัตสึก็เตะเข้าให้ที่บริเวณขาของยามาโตะ แต่คนพูดมากไหวตัวทัน หลบได้อย่างว่องไว แถมปากยังแซวต่อไปว่า เพื่อนฉันนี่เสน่ห์แรงจริงๆ มีนายแบบหนุ่มหน้าตาดีมาติดพัน
“หุบปากน่า ยามาโตะ”
น้ำเสียงของคาซามัตสึนั้น แสดงออกอย่างชัดเจนว่า รำคาญ เช่นเดียวกับใบหน้าแดงซ่านที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่า อาย ในตอนที่คาซามัตสึคิดจะวางกล้องในมือลงบนโต๊ะ แล้วไปวิ่งไล่เตะเพื่อนให้หยุดแซวซะที คิเสะก็พูดอะไรบางอย่างที่ทำให้ทั้งสองคนต้องหันมาจ้องมอง แม้แต่ยามาโตะเอง ก็ยังเงียบด้วยความตกใจ
“ผมคิดว่า ผมหลงรักคาซามัตสึซัง”
“เพราะตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ ไม่สิ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น”
“ผมก็หยุดคิดเรื่องของคาซามัตสึซังไม่ได้เลย”
คิเสะพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาอย่างง่ายดาย ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ ไม่ให้ความรู้สึกเหมือนล้อเล่น หากแต่เรียบง่ายเสียจนไม่อาจเชื่อได้ว่า มันเป็นความจริง ชายหนุ่มผมทองมองสบตาคนที่เขากำลังสารภาพรักด้วย มองลึกเข้าไปในดวงตาสีดำคู่นั้นแล้วคลี่ยิ้มบางๆ
“แบบนี้มันเป็นอาการของคนมีความรักไม่ใช่หรือครับ ?”
++++++++++
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน สบายดีไหมคะ ?? ยินดีที่ทุกท่านกลับมาอ่านฟิคเผาๆของเราอีกครั้ง
หลายคนอาจจะอยากตามอ่านแค่เฉพาะอาโอมิเนะคากามิ ทำไมไม่เขียนคู่นั้น ทำไมไม่เขียนตอนเฉลย
แต่เผอิญเราอยากจะเขียนคู่นี้ออกมาก่อนเพื่อความสมบูรณ์และตอบสนองความอยาก (ที่มีมานานแต่ไม่ได้เขียน)
ตอนแรกลังเลมากว่าจะปล่อยตอนนี้ หรือเขียนให้จบแล้วค่อยปล่อยทีเดียว คิดไปคิดมา ลองปล่อยให้ลงแดง เอ๊ย ลองชิมๆดูกันดีกว่า
แล้วก็อยากปล่อยให้รู้ว่า คนเขียนยังไม่ตาย (เพราะ HP หมดจากการเขียนฟ้าเหลือง เป็นของขวัญวันเกิดให้ใครบางคน)
ก็เลยปล่อยออกมาก่อน เพราะขืนรอให้เขียน COF คงอีกนานกว่าจะได้เขียน
ฟิคเรื่องนี้เกิดขึ้นจากการที่ขี้เกียจหาข้อมูลเขียน COF (หัวเราะ) กะว่าจะมั่วเอาแล้ว ขี้เกียจหาข้อมูลมากมาย
แถมเรื่องนี้หมาคิเสะยังพาเราออกทะเล กะไว้ว่าจะเขียนราวๆ 20 หน้าจบ ตอนนี้ก็ปาเข้าไป 21 หน้า เพิ่งครึ่งเรื่อง OTL
ส่วน COF อยากจะว่างติดๆกันจัง เพราะตั้งแต่ตอนหน้าจะเริ่มเข้าสู่ช่วงหลังของเนื้อเรื่อง
(โอ้ว ไม่น่าเชื่อ เรื่องนี้มันมีช่วงหน้าช่วงหลังด้วยหรือ อ่านแล้วยังกะคนเขียนไม่เคยวางพล็อต หัวเราะ)
กำลังคิดว่า ถ้าแหย่นิ้วตีน(?) เริ่มเขียนแล้ว มันไม่ควรจะหยุด เอ...เอายังไงดีนา
แถมช่วงนี้ยังคิดพล็อต AU ได้อีกเรื่องที่อยากเขียนขำๆ แต่สรุปว่า คงจะเอาเวลาทั้งหมดไปปั่น COF
เพราะว่า มันใช้เวลานานมากๆ กว่าจะคลอดสักตอนหนึ่ง (ก็ไม่ได้เผานี่นะ ถึงภาษาจะไม่ได้เลิศเลอ แต่ตั้งใจเขียนนะเออ)
ยังไงก็ขอบคุณคนอ่านจริงๆค่ะ ที่อยู่ด้วยกันมา ทั้งCOF แล้วก็เรื่องนี้ ไว้พบกันนะคะ จะพยายามให้ดีที่สุด
ท่ามกลางปฏิทินสีแดงเถือกที่วงไว้ว่าวันหยุดต้องไปทำงาน OTL
เข้าช่วงตอบคอมเมนต์
Primmieมุ่ย : ลูปนรกก็จบลงแล้วเน้อ น่ายินดี สองคนนี้ก็ได้อยู่ด้วยกันซะที คนเขียนเองก็ลุ้น
Kotomine : ยังบ่ได้เขียนเฉลยเลย แต่มีเฉลยอยู่ในหัวนะ ไม่ได้มั่ว แต่กลัวยิ่งเขียนยิ่งดราม่า เพราะ 6 ปีนั้นไม่ง่ายเลยสำหรับคากามิ
ส่วนเรื่องคากามิอายๆซึนๆ เขียนไม่ค่อยเป็น ส่วนใหญ่คนเขียนชอบแกล้งอาโอมิเนะมากกว่าคากามิ
hnee : ไม่แน่ใจว่าท่าน hnee จะอ่านตอนนี้ไหม แต่ถ้าได้เห็นเราอยากบอกว่า ขอบคุณนะคะที่ลองอ่านคิเสะคาซะ (ไม่เกี่ยวกะเมนต์ก่อนหน้านี้เลย)
Kretis : อย่างที่เคยบอก เผาคือการเขียนรอบเดียวไม่ทวนค่ะ ไม่ตรวจสะกดคำ ไม่เช็คเนื้อเรื่อง เพราะมานั่งอ่านอีกที ฟิคนี้เนื้อเรื่องเพี้ยนๆ
มีเยอะมาก เพราะไม่ได้มาไล่เช็ค ต้องขอโทษคนอ่านด้วยเน้อ
terewasabi : ที่จริงคุโรโกะไม่ค่อยได้อยู่ด้วย หายไปตั้งกะ 6 ปีก่อนแล้ว จิ้นแมวผีผิดจากพล็อตจริงแล้วล่ะ(หัวเราะ)
Blue anemone : เขียนแล้วนะคะ คิเสะรุ่นพี่ แต่ไม่ค่อยจะดีเท่าไร หมาชอบพาออกทะเล แอบชี้ไปคอมเมนต์บน แกไม่ได้ลักไปซ่อนนะ 6 ปีนะ
ท่านเขียนฟิคฟ้าไฟอยู่ในexteenรึเปล่าคะ ?? ถ้าใช่อัพเร็วๆนา รออ่านอยู่
iulnp : ขออภัยเนื่องด้วยคนเขียนอวย ออลคากามิ คุโรโกะเลยกินแห้วไม่ได้คู่กับใครเลย แต่ก็จิ้นได้ตามอัธยาศัยค่ะ
SuG Tsuna Nok : หวังว่าคงได้มาอ่านนะ รุ่นพี่ไม่ค่อยซึนเท่าไรด้วยสถานภาพในเรื่อง แต่ยังโหดนะ ^0^
pierce : อดจูบไปตามระเบียบ เพราะหน้ากระดาษหมด เอ๊ยไม่ใช่ ยังไม่ถึงเวลา รอตอนพิเศษ (ถ้าได้เขียนนะ)
หมีฟันเหล็ก ^[+++]^ : คงไม่มีอะไรให้จากกันแล้ว เพราะคนเขียนเองก็ภาวนาให้ทั้งสองคนมีความสุขเหมือนกัน
เอาล่ะ ปั่น COF ต่อ สู้ๆๆๆ ส่วนเรื่องนี้ก็ปั่นนะ แต่มันใกล้จะจบแล้ว คงอีกไม่นาน แถมทำไมไม่รู้ หมาเขียนง่ายมาก
ความคิดเห็น