คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : I wish I could live without you
Title: I wish I could live without you
Author: Monochrome bird
Category: Drama เป็นหลัก แต่แบ็คกราวน์อยากให้มีกลิ่นอายฮาเฮ
Pairing: โฮลี่ออดอร์ x คุณเกียร์
Rating: 15+
Disclaimer: ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นของคุณภานุวัฒน์ค่ะ พวกเราแค่ยืมมาจิ้นเล่นเท่านั้น
Author notes: อ่านตอนนี้แล้ว คุณอาจจะอยากเตะใครบางคน 555+
++++++++++
คำว่าแฟนนั้น...หมายความว่าอย่างไร...
คนสองคนที่ผูกพันกันด้วย...ความรัก...ใช่หรือเปล่า...
แล้วคนที่หลงรักล่ะ...หมายความว่าอย่างไร...
เป็นคนที่เราเห็นความสำคัญของเขามากกว่าตัวเอง...
...แล้วทำไม...สองคนนี้...ถึงไม่ใช่คนคนเดียวกัน...
++++++++++
เสียงของผู้คนถกเถียงกันเรื่องระบบการทำงานของเกม กลายเป็นเสียงที่คุ้นเคย เมื่อผมถูกเรียกตัวให้ขึ้นมายังฝ่ายเทคนิค
เพื่อทำหน้าที่ตัวทดลองระบบอีกครั้ง คราวนี้ดูยุ่งยากกว่าเดิม เพราะถึงจะทดสอบสักกี่หน ก็ยังเจอปัญหาแทบทุกครั้ง
ลูกเล่นตัวนี้ ดูจะเป็นโจทย์ที่หินไม่น้อย สำหรับฝ่ายเทคนิค
“กลับบ้านกันเถอะ...”
การถกเถียงเรื่องงานซึ่งกำลังเผ็ดร้อนรุนแรง กลับสงบลงดื้อๆ เมื่อใครคนหนึ่งเหลือบมองนาฬิกาแล้วเห็นว่า
ถึงเวลากลับบ้านแล้ว บรรดาผู้คนของฝ่ายเทคนิคที่ไม่อยู่ในวงสนทนาก็เก็บข้าวของเตรียมตัวกลับบ้านกันอยู่
ผมรู้สึกงุนงงกับการเปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็ว เหมือนกำลังดูหนังแอ็คชั่นแล้วถูกตัดกลายเป็นหนังตลกซะอย่างนั้น
“แล้วเจอกัน พรุ่งนี้”
ข้อปัญหาก็ยังไม่ได้สรุปว่าจะแก้ไขอย่างไร ยังเถียงกันครึ่งๆกลางๆ แต่ทุกคนทำเหมือนทุกอย่างราบรื่นดี
แล้วพากันกลับบ้านกันไปหมด เป็นวัฒนธรรมของฝ่ายเทคนิคที่ผมไม่มีวันเข้าใจ
“กลับกันเถอะ โฮลี่ ออเดอร์”
เสียงของสาวหนึ่งเดียวในฝ่าย ซึ่งตอนนี้มีสถานภาพพิเศษสำหรับตัวผม
ถ้าจะถามว่า สถานภาพอะไรน่ะหรือ มันก็พูดยากอยู่สักหน่อย แต่คนทั่วไปก็เข้าใจไปแล้วว่า...
“อิจฉาคนมีแฟนโว้ย อย่ามาสวีทให้เห็นจะได้ไหม”
อย่างที่ว่าแหละครับ ถ้าตัดสินจากการมองของคนภายนอกและข้อตกลงจากคำพูดไม่กี่ประโยค
พวกเราก็เป็นแฟนกันครับ ผูกพันกันด้วยถ้อยคำสั้นๆที่ถามว่า เรามาคบกันไหม ?
จนถึงวันนี้ ผมก็ยังนึกสงสัยว่า ทำไมผมถึงพูดประโยคนั้นออกไป แต่การคบกันของพวกเราก็ราบรื่นดี
ที่จริงความสัมพันธ์ของเราไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไปเท่าไรนัก วิธีการพูดคุยยังคงเหมือนเดิม
“ตายล่ะ ฉันลืมของ เดี๋ยวมานะ รอแป๊บนึง”
โชคดีที่ยังไม่ก้าวออกจากบริษัท เธอจึงรีบกลับขึ้นไปยังโต๊ะทำงาน ส่วนผมก็ยืนรออยู่ที่ชั้นล่าง
ไม่นานนัก ก็มีเสียงประตูลิฟท์เปิดออก ผมคิดในใจว่า คราวนี้เร็วแฮะ สงสัยลิฟท์ไม่ค่อยมีคนใช้
แต่ปรากฏว่า คนที่ก้าวออกมาจากที่นั่น ไม่ใช่คนที่ผมรออยู่...
ร่างซึ่งมีผมสีดำสนิทที่เมื่อก่อนเห็นจนคุ้นตา ตอนนี้มีคนติดตามเดินข้างๆ คอยพูดคุยซักถามและรายงานเรื่องราวต่างๆ
ไม่ใช่พวกลิงทโมนที่เอาแต่ล้อมหน้าล้อมหลัง เพื่อพูดเรื่องไร้สาระ แต่เป็นเหล่า GM คนใหม่ที่เอาการเอางาน
ตอนที่มองภาพนั้น หัวใจรู้สึกแปลกประหลาด มันไม่ใช่ความเสียใจ ไม่ใช่ความน้อยใจ
เป็นความรู้สึกเหมือนโดนสะกิดด้วยเข็มเล็กๆให้น่ารำคาญ ไม่ได้เจ็บอะไรมากมาย แต่ก็รู้สึก
“อ้าว กำลังจะกลับเหรอ ?”
คนคนนั้นยังคงเป็นพวกมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศอย่างเคย จึงเอ่ยทักทายผมตามปกติ
ตอนนี้ความสัมพันธ์พวกเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แม้แต่การทำงานเอง ก็ไม่มีเรื่องให้เกี่ยวข้องกันสักเท่าไร
ตลอดเดือนที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้มีโอกาสคุยกัน
“ครับ ฝ่ายเทคนิคเป็นพวกชอบเลิกงานตรงเวลาอย่างนี้แหละครับ”
“งั้นก็ พยายามเข้านะ”
มือของคุณเกียร์ที่ตบบ่าผมเบาๆ เหมือนเช่นที่ชอบทำกับคนทั่วไป เพียงแค่สัมผัสเบาๆ ก็ทำให้เกิดตะกอนเล็กๆตกค้างอยู่ใน
หัวใจของผม บางสิ่งบางอย่างที่ไม่อาจเข้าใจ ไม่สามารถตอบตัวเองได้ว่า ทำไมถึงเป็นแบบนี้
“เรียบร้อยแล้ว ไปกันเถอะ”
หญิงสาวมายืนข้างผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เธอชูถุงขนมร้านดังให้ผมดู เพื่อบอกว่า นี่เป็นของที่เกือบลืมเอาไว้
ผมจ้องมองใบหน้าสะสวยและรอยยิ้มสดใส ไม่มีผู้ชายคนไหนปฏิเสธว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นคนสวย
แต่ทำไมกันนะ ผมถึงรู้สึกอยากเห็นรอยยิ้มของใครอีกคนหนึ่งมากกว่า ผู้เป็นเจ้าของสัมผัสเบาๆที่ไหล่
คนที่ผมรออยู่...มาแล้วไม่ใช่หรือ...
ทำไมผมยังรู้สึกเหมือนตัวเองยัง...รอคอยอะไรบางอย่าง...
หรือว่า...คนที่ผมรออยู่...รอให้เดินมาหา...
...ไม่ใช่เธอคนนี้...
++++++++++
จะว่าไป ความสัมพันธ์ของพวกเราก็เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ตรงที่ผมมักจะมากินข้าวเย็นบ้านเธออยู่บ่อยๆ
ที่จริงควรจะเรียกว่า ถูกบังคับมากกว่า พอเธอรู้ว่า ผมอยู่คนเดียว ไม่ค่อยทำกับข้าวกิน บางทีก็ไม่กินข้าวเย็นเสียเฉยๆ
ก็เลยถูกบังคับให้มากินที่บ้านให้เรียบร้อย แถมยังบอกด้วยว่า ทำกับข้าวกินพร้อมกันหลายคน ประหยัดดี
แน่นอนว่า ถ้ามีเรื่องให้ถกเถียงกัน ผมจะแพ้ทุกครั้ง คงเป็นเพราะพวกฝ่ายเทคนิคชอบปะทะคารมกันอยู่แล้ว
คนที่ไม่เชี่ยวชาญในการใช้คำพูดเอาชนะกันอย่างผม จึงต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ทุกครั้ง
ถึงจะรู้สึกแปลกๆที่มีคนมาดูแล แต่พอนานไป ก็เริ่มเคยชิน
ปกติเป็นฝ่ายดูแลคนอื่นเขานี่นะ ก็คนคนนั้นเป็นประเภทไม่สนใจตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว
ขนาดผมถูกเธอบ่นอยู่บ่อยๆว่า ไม่ดูแลตัวเอง ก็เลยนึกสงสัยว่า ถ้าเธอไปเห็นสภาพคุณเกียร์จะพูดว่าอย่างไรนะ
สงสัยคงจะดุแน่ๆ เหมือนเวลาดุน้องชาย
“อย่ามัวแต่เล่นสิ เตรียมโต๊ะอาหารได้แล้ว”
ผมกับน้องชายเธอ กลายเป็นคู่แข่งกันในการเล่นเกมต่างๆ จึงมักใช้เวลาว่างในระหว่างรออาหารเสร็จ ประลองฝีมือ
บางครั้งก็เล่นเพลินจนลืมเวลา ต้องถูกพี่สาวที่มีอำนาจมากที่สุดในบ้าน ดุเสียงเข้มสักครั้ง ถึงจะยอมปิดเกม
“ไปแล้วครับ”
ทั้งสองคนรีบเอ่ยทันที เมื่อเห็นว่าแม่ครัวเอกประจำบ้าน กำลังจะเดินออกมาจากครัว
ถ้ายังไม่รีบสลายตัวไปทำตามพระบัญชา อาจจะโดนเคาะกะโหลกสักทีสองที ไม่สนว่าเด็กหรือผู้ใหญ่
“ไปตามพ่อด้วยนะ”
“ครับ”
พอรับคำ คุณน้องชายก็เผ่นไปตามคุณพ่อมากินข้าวทันที ทิ้งให้ผมจัดช้อนส้อมอยู่คนเดียว
บ้านนี้เป็นครอบครัวเล็กๆ คุณแม่เสียชีวิตไปแล้ว เหลือแต่คุณพ่อและลูกอีกสองคน
ถึงจะขาดแม่ไป แต่ครอบครัวก็ยังมีบรรยากาศอบอุ่นจนใครๆต่างพากันอิจฉา
สักวันหนึ่งผมจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ไหมนะ...
แต่ที่รู้แน่ๆ...ถึงตอนนี้ผมจะยังคงหัวเราะอย่างสนุกสนาน...
แต่เสี้ยวหนึ่งของหัวใจ...กลับกำลังคิดถึงใครบางคน...
...นึกสงสัยว่า...คนคนนั้นกินข้าวครบสามมื้อหรือเปล่า...
กว่าผมจะออกจากบ้านนั้น ก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่ม เพราะมัวแต่เล่นเกมกันไม่เลิก จนโดนคุณพี่สาวทำท่าเหมือนจะกระชากปลั๊กออก
ถึงยอมหยุดเล่นกันแต่โดยดี น้องชายเธอดูมีแววดี อนาคตคงได้ทำงานสาย GM อย่างผม มากกว่าฝ่ายเทคนิคอย่างเธอ
อีกหน่อยอาจจะเป็นกำลังสำคัญของบริษัทก็ได้
ระหว่างที่ผมกำลังจะกลับบ้าน รถราบนท้องถนนนั้นลดลง แต่ไม่เห็นมีรถเมล์สักคัน ทำเอาผมเริ่มอยากจะขับรถมาทำงาน
เมื่อก่อนรู้สึกขี้เกียจขับฝ่ารถติดไปทำงาน สงสัยถ้ายังจะมาฝากท้องไว้กับบ้านนี้ ก็คงต้องขับมาซะแล้ว
ไม่รู้ว่า...โชคชะตาความซวยหรือพระเจ้ากลั่นแกล้งอันใด...
สายตาผมดันไปมองเห็นคนคนนั้นกำลังเดินอยู่ ท่ามกลางผู้คนมากมาย
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงพุ่งเข้าไปหาทันที แต่ตอนนี้กลับลังเลใจที่จะเดินไปหา
“คุณเกียร์ครับ...”
สุดท้ายขาผมมันก็พาตัวเดินเข้าไปหาเอง แล้วผมก็เอ่ยทักทายสั้นๆ
ใบหน้านั้นหันมาหาผมแล้วยิ้ม เอ่ยทักทายตามมารยาท แล้วถามว่า ผมมาทำอะไรแถวนี้
ที่จริงคำถามนั้นควรจะเป็นของผมมากกว่า เพราะผมมาที่นี่แทบจะทุกวัน คุณนั่นแหละครับ มาทำไม
“อ๋อ บ้านแฟนอยู่แถวนี้นี่นะ”
ทั้งที่ใครต่อใครก็รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคน บางคนก็ล้อเลียนอยู่บ่อยครั้ง
แต่ทำไมพอได้ยินคำว่า “แฟน” ออกจากปากของคุณ กลับเกิดความรู้สึกไม่ชอบหรือไม่พอใจขึ้นมา
“ประมาณนั้นล่ะครับ”
“แล้วคุณล่ะครับ มาทำอะไรแถวนี้”
คุณเกียร์เงียบไปเล็กน้อย เหมือนลำบากใจที่จะตอบ แต่สุดท้ายก็พูดออกมาสั้นๆ
“มาประชุมน่ะ”
เมื่อก่อนผมเห็นว่า คุณเป็นคนชอบทำงานล่วงเวลาเอง แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า บริษัทใช้งานคุณล่วงเวลาแล้วเหรอครับ !!
ไม่ทราบว่า คุณได้เงินพิเศษนอกเหนือจากเงินเดือนหรือเปล่าครับ นี่มันใช้งานกันหนักเกินไปแล้วนะ
“กลับบ้านกันเถอะ ดึกแล้ว...”
ฝ่ายที่ออกปากพูดแบบนั้น เดินไปสองสามก้าว ก็ทำท่าเซเหมือนจะล้ม ผมรีบปราดเข้าไปประคองตามสัญชาตญาณ
ความอบอุ่นของร่างกายที่ไม่ได้สัมผัสมานาน ทำให้หัวใจผมเต้นแรงขึ้น
“ขอโทษนะ...”
คำขอโทษที่น่ารำคาญนั่น กลับมาอีกแล้วเหรอ...อุตส่าห์หายไปได้พักหนึ่งแล้วนะ
ผมถอนหายใจออกมา นึกเบื่อทั้งตัวเอง เบื่อทั้งคนตรงหน้า ความสัมพันธ์ของพวกเรามันจบลงไปแล้ว
แต่ความรู้สึกของผมยังชัดเจนจนน่ากลัว โดยเฉพาะความรู้สึกอยากจะสัมผัสร่างกายในอ้อมแขน
“ผมจะพาไปส่งบ้าน...”
“ไม่ต้องหรอก แค่เหนื่อยนิดหน่อย”
ผมยังจำครั้งแรกที่อุ้มคุณได้ ตอนนั้นคุณล้มลง แล้วถูกรายล้อมด้วยเจ้าพวกลิงทโมนซึ่งทำอะไรไม่ถูก
ส่วนสาเหตุก็มาจากการทำงานหนัก แล้วอย่างนี้ ผมจะปล่อยให้คุณกลับบ้านไปเองได้อย่างไร
ยิ่งคิดถึงตอนที่ต้องหามคุณส่งโรงพยาบาล ยิ่งไม่สามารถกลับบ้านอย่างสบายใจได้แน่นอน
“ผมไปส่งดีกว่า คุณดูไม่ดีเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก”
“งั้นไปโรงพยาบาลกัน”
เราคงเถียงกันอีกนาน ถ้าผมไม่รีบขู่ เพราะรู้นิสัยดีว่า คนคนนี้ก็ชอบปฏิเสธความช่วยเหลือของคนอื่นแค่ไหน
แต่ถ้าพูดถึงโรงพยาบาลที่เกลียดแสนเกลียด ก็คงยอมลงให้บ้าง สุดท้ายผมก็ได้ขึ้นแท็กซี่ไปส่งคุณเกียร์ที่บ้าน
ระหว่างนั่งอยู่บนรถ ผมก็นึกในใจว่า ถ้าผมขับรถของตัวเองมา คงพูดกันง่ายขึ้น
ไม่สิ...แล้วผมจะต้องเหนื่อยขับรถ...เพื่อคนคนนี้ไปทำไม...
คนที่ไม่ได้เป็นอะไรกับเราเลย...
++++++++++
คุณเกียร์เชิญผมเข้ามาในบ้านตามมารยาทอันดีของเจ้าตัว ซึ่งผมก็ตามเข้ามา เพราะกลัวอีกคนหนึ่งจะล้มหัวฟาดพื้นมากกว่า
เข้ามานั่งพักให้หายเหนื่อย แต่เจ้าของบ้านก็ดันจัดแจงเสิร์ฟกาแฟ ทั้งที่ไม่ได้ขอ ผมมองเวลาแล้วนึกสงสัยว่า
ถ้ากินแก้วนี้ลงไป จะนอนหลับไหม
“ขอโทษนะ...”
เจ้าคำพูดที่ชวนหงุดหงิดนั่น ออกมาจากปากอีกแล้ว ต้องจับฝึกใหม่ !!
ไม่สิ...ไม่เกี่ยวอะไรกับเราสักหน่อย ท่องไว้ คนตรงหน้าไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรกับเราอีกแล้ว
ผมมองใบหน้านั้นที่คลี่ยิ้มดังเช่นปกติ ทำให้นึกย้อนกลับไปเมื่อสามเดือนก่อน ต้นเรื่องที่ทำให้พวกเราทะเลาะกัน
ไม่สิ...ควรใช้คำว่า ผมโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่คนเดียว แล้วก็แทบไม่ได้คุยกันอีกเลย
เหมือนความสัมพันธ์ของพวกเราจบลง เพราะว่า ผมไปตกลงเป็นแฟนกับคนอื่น
แต่คุณก็ไม่เคยเอ่ยถามว่า ผมโกรธอะไร ทำตัวเฉยๆราวกับไม่สนใจ พอผมมีแฟน คุณก็ยังเฉยๆเหมือนเดิม
คงเป็นเพราะ พวกเราไม่ได้มีอะไรผูกพันกันชัดเจน แค่ข้อตกลงเป็นคำพูดก็ยังไม่มี
นั่นสินะ...แค่คำบอกรัก...พวกเราก็ยังไม่เคยพูดกัน...
“พักนี้งานเยอะไหม ?”
“ก็เรื่อยๆครับ”
งานผมก็แค่เป็นหนูทดลองให้พวกฝ่ายเทคนิค เล่นอย่างนู้นอย่างนี้ ไม่ได้มีอะไรมากมายหรอกครับ
มันอาจจะดูน่ารำคาญไปสักนิด วุ่นวายไปสักหน่อย แต่จะใช้คำว่า งานเยอะก็คงไม่ได้
“แล้วคุณล่ะครับ...”
“ก็เหมือนทุกครั้งนั่นแหละ”
เหมือนทุกครั้ง มันก็คืออภิมหางานเยอะเลยน่ะสิครับ ไม่ทราบว่า เจ้าพวกคนที่เดินตามคุณ ช่วยทำบ้างไหม
หรือว่า เอาแต่ถามคำถามกับรายงาน อย่างอื่นไม่ช่วย ถ้าอย่างนั้น งานก็สมควรทับคุณตายแล้วล่ะครับ
เพราะเพิ่งได้มองคุณนานๆเป็นครั้งแรก เพิ่งจะสังเกตเห็นความอ่อนล้าที่ปรากฏชัดในดวงตา
ร่างกายดูผอมลงไปจากเดิม คงลืมกินข้าวอีกแล้วสินะครับ ช่วยกินช่วยนอนเหมือนมนุษย์ปกติเขาบ้างเถอะ
ไม่เข้าใจว่า คุณรักการทำงาน รักเกมนี้ รักบริษัทอะไรกันนักหนา
“คุณผอมลงหรือเปล่า ?”
“ไม่รู้สิ...”
“กินข้าวครบสามมื้อหรือเปล่า ?”
“นอนวันละกี่ชั่วโมง...”
ไปๆมาๆ กลายเป็นว่า ผมยิงคำถามใส่เป็นชุดๆ เพราะดูสภาพแล้ว คุณคงกลับไปสู่วงจรเดิมๆที่ต้องถูกหามเข้าห้องพยาบาลบ่อยๆสินะ
ทั้งที่เกลียดโรงพยาบาล แต่กลับไม่ดูแลตัวเอง แปลกคนจริงๆ
“ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก”
“ฉันสบายดี”
มือของคุณเกียร์ลูบหัวผมเบาๆ เหมือนลูบหัว GM คนอื่นๆ เวลาที่พวกนั้นมาส่งเสียงเอะอะอยู่รอบตัว
ดวงตานั้นฉายแววอ่อนโยน เหมือนกำลังพูดปลอบโยนเด็กๆ มันทำให้ผมรู้สึกได้ว่า นั่นคือคำโกหก
วูบหนึ่ง ผมสูญเสียความยับยั้งชั่งใจ ผมดึงร่างกายนั้นมากอดเอาไว้แน่น คนที่ผมไม่ได้แตะต้องมาสามเดือน
อาจเป็นเพราะเราไม่ค่อยได้เจอกัน ผมถึงสามารถอดทนไม่สัมผัสคุณได้ แต่มาตอนนี้ ผมรู้ดีว่า ผมต้องการคุณแค่ไหน
คิดถึงความอบอุ่นจากร่างกายของคุณ...และช่วงเวลาที่คุณเป็นของผม...เพียงคนเดียว...
“อย่างนี้ เขาถือว่า นอกใจหรือเปล่า ?”
“คุณก็อย่าทำให้ผมเป็นห่วงสิครับ...”
ถึงจะเป็นแค่ความดื้อดึงของตัวเอง แต่ในตอนนี้ ขอกอดคนคนนี้เอาไว้ในอ้อมแขน
แม้รู้ดีว่า ตัวเองไม่มีสิทธิจะปกป้อง...แต่ก็ยังอยากปกป้อง อยากดูแล...
ไม่รู้ว่า...คิดไปเองหรือเปล่า...
เสียงหัวเราะของคุณเกียร์...แฝงไปด้วยความเจ็บปวดอย่างน่าประหลาด...
ราวกับว่าคุณกำลังหัวเราะ...เพียงเพื่อที่จะบอกผมว่า...
...ฉันไม่เป็นไร...ได้โปรดปล่อยมือ...
++++++++++
วันนี้ผมไม่ค่อยมีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานเสียเท่าไร หรือถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เล่นเกมไปตามคำสั่งของฝ่ายเทคนิคเท่านั้น
ไม่ได้มีความคิดหรือเรื่องที่อยากทำ บางทีก็พาลไม่ได้ยินคำสั่ง จนกระทั่งทำผิดไปจากเป้าหมาย
พวกคนใหญ่คนโตดูจะหัวเสียไม่น้อยที่วันนี้ทดสอบไม่ได้ตามเป้า แต่หลายคนก็เห็นใจ บอกว่า ผมทำงานหนัก
อยากจะบอกทุกคนจริงๆว่า การที่ผมมาทำงานที่ฝ่ายเทคนิค งานนั้นเบาลงไปครึ่งหนึ่ง แถมยังไม่ต้องสู้รบตบมือกับกองเอกสาร
และที่สำคัญที่สุดก็คือ ไม่ต้องเขียนรายงานแทนเจ้าพวกลิงนั่น
พอนึกถึงรายงาน ก็พาลนึกถึงหัวหน้าที่ป่านนี้ งานคงจะกองท่วมหัว จะมีใครช่วยทำงานบ้างหรือเปล่านะ
เล่นเอาแต่ทำงาน จนร่างกายย่ำแย่แบบนั้น ทำไมถึงไม่มีใครสนใจเลยนะ
หรือผมควรไปฟ้อง คุณรีลิสดี...
“ทดสอบงานใหม่เลยดีกว่า...”
“นายคงจะให้ความสนใจมากขึ้นนะ ก็รีเควสมาจากฝ่าย GM เลย”
ผมนึกสงสัยว่า อยู่ๆ GM ต้องการระบบอะไรขึ้นมา ปกติก็เห็นเล่นเกมกันสนุกสนาน หรือว่าพวกลิงนั่นต้องการจะทำอะไรแปลกๆ
แอบภาวนาอยู่ในใจ ไม่ให้เป็นเรื่องไร้สาระจนเกินทน
“สนามประลองที่กดเลเวลได้น่ะ”
“หา ?”
ยิ่งฟังรายละเอียดก็ยิ่งมั่นใจว่า ไม่ใช่ความคิดของเจ้าลิงพวกนั้นแน่ เพราะของชิ้นนี้ดูใช้งานได้จริง ไม่ใช่ของเล่นไร้สาระ
แต่ประการใด แถมยังดูเป็นสิ่งที่ส่งเสริมให้มีการแข่งขันและการตั้งใจในหมู่ GM มากขึ้นด้วย
ความซับซ้อนของความคิด และรูปแบบในการใช้งาน ทำให้ผมรู้สึกมั่นใจว่า คนเสนอความคิดนี้ ต้องเป็นคุณเกียร์แน่ๆ
“งั้นก็เปลี่ยนเป็นระบบการทดลองสนามประลอง GM”
“แต่ถ้าให้ต่อสู้ ก็ต้องใช้อีกคนหนึ่งนะคะ...”
“จริงด้วย..งั้นเอาใครดีล่ะ...โฮลี่ ออเดอร์..”
ผมแอบสะดุ้ง เพราะกำลังนึกถึงใครอีกคนอยู่ แต่ก็ตอบไปในทันทีว่า ก็ให้หัวหน้าเป็นคนเลือกสิครับ มาถามผมทำไม
ดูเหมือนภายนอกจะหันไปเจรจาและโทรศัพท์กันใหญ่ เพราะดันลืมปิดไมค์สื่อสาร เสียงก็เลยลอดเข้ามาให้ได้ยิน
สักพักก็มีคนมารายงานผมว่า ทางฝั่งนู้น ตกลงจะส่ง GM มาคนหนึ่ง
ผมไม่รู้ว่า ควรดีใจหรือเสียใจที่คนคนนั้นเป็น ราดิช !!
เนื่องจากฝีมือในการเล่นเกมที่สุดยอด แต่ความมีมนุษยสัมพันธ์และเมตตากรุณาต่อผู้อื่นก็อยู่ในระดับแปรผกผันกับความเก่งกาจ
ทำให้ผมไม่แน่ใจว่า ตัวเองจะรอดออกจากสนามประลองไปในสภาพไหน ถึงจะสนุกที่ได้สู้กับคนมีฝีมือ พูดจากันรู้เรื่อง
ไม่ใช่เอาแต่เล่นไปวันๆ แบบลิงพวกนั้น
“แล้วจะเริ่มทดสอบเมื่อไหร่ดีครับ...”
“คงพรุ่งนี้ ตอนนี้ให้นายทดสอบคนเดียวไปก่อน”
“เอาล่ะ เริ่มการกดเลเวล เริ่มจาก กดลง 1 เลเวล ดูประสิทธิภาพในการเปลี่ยนแปลงข้อมูล”
จากนั้นผมก็พยายามทำจิตใจให้จดจ่อกับงาน แต่ก็ไม่สำเร็จอยู่ดี ความคิดในหัวผมยังคงนึกถึงความเชื่อมโยงระหว่าง
เจ้าสิ่งที่กำลังทดสอบอยู่นี้ ไปจนถึงหัวหน้าที่เป็นคนยื่นคำร้องว่า อยากได้ พอนึกถึงงานเอกสารที่ต้องเตรียมให้เรียบร้อย
ก่อนจะขออะไรบางอย่างเข้ามาติดตั้งในเกม ก็ไม่นึกแปลกใจที่เห็นอีกฝ่ายในสภาพทรุดโทรม
ไม่คิดจะให้คนอื่นช่วยงานบ้างหรือไง...
ถึงเขาจะไม่ได้เสนอหน้าไปหาบ่อยๆ เพื่อช่วยงาน แต่คนรอบข้างก็น่าจะสังเกตเห็นและดูแลหรือช่วยเหลือหัวหน้าบ้าง
ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด นึกสงสัยว่า ทำไมถึงไม่มีใครเอะใจว่า ร่างกายนั้นกำลังถึงขีดจำกัด
จะมีวันไหนที่ผมต้อง อุ้มคุณไปส่งโรงพยาบาลอีกไหมเนี่ย !!
พอคิดจนหงุดหงิดแทบทนไม่ไหว ก็เลยล็อกเอาท์ตัวเองออกจากเกม ท่ามกลางเสียงโวยวายของฝ่ายเทคนิค
พอลืมตาขึ้นมา ก็ให้เหตุผลสุดแสนธรรมดาว่า ปวดหัว ทั้งที่เพิ่งจะล็อกอินไปได้แค่ไม่ถึง 4 ชั่วโมง
ผมลุกขึ้น เดินออกจากที่นั่น ราวกับโกรธใครมา สร้างความงุนงงและโมโหให้กับคนทำงานที่นั่นเป็นอย่างมาก
“เดี๋ยว โฮลี่ ออเดอร์ !!”
ผมรู้ดีว่านั่นเป็นเสียงใคร แต่ผมไม่คิดจะหยุดเดิน แม้ว่าเราสองคนจะมีสถานภาพเป็นคนพิเศษจากข้อตกลง
แต่ในตอนนี้ ผมอยากเจอคุณเกียร์...เพียงคนเดียวเท่านั้น...อยากรู้ว่า คุณเป็นอย่างไรบ้าง...
อยากหยุดความหงุดหงิดใจที่สะสมทับถมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งระเบิดออกมาเหมือนอย่างวันนี้
“ฉันจะอธิบายทีหลัง คอยตรงนั้นแหละ...”
น้ำเสียงของผมฟังดูแข็งกร้าวจนน่าตกใจ ใบหน้าของเธอดูงุนงง และเหมือนจะร้องไห้ออกมาเสียตอนนั้น
แต่ผมก็ยังคงเดินลงบันไดไปเรื่อยๆ เพื่อกลับไปยังฝ่ายของตัวเอง ไม่หันกลับมามองข้างหลัง
ผมก็แค่คิดถึง...คนที่อยู่ ณ จุดหมายปลายทาง...นั่งทำงานอยู่ท่ามกลางกองเอกสาร...โดยลำพัง...
เป็นครั้งแรกที่ผมเปิดประตูห้องเข้าไปโดยไม่เคาะประตู ภาพที่ปรากฏตรงหน้านั้นต่างจากที่เคยเห็น
นอกจากหัวหน้า GM ซึ่งเป็นเจ้าของห้องทำงานแล้ว ยังมี GM อีกสองคน กำลังนั่งทำงานอยู่ในห้อง
สายตาสามคู่จ้องมองมาที่ผมด้วยความงุนงง แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
วูบนั้น ผมรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนบ้า...คิดอะไรวุ่นวายไปเอง...
คนที่ผมนึกเป็นห่วงแทบบ้า ก็ยังสุขสบายดีเหมือนเคย...
ไม่ต่างจากครั้งก่อน...ไม่ต่างจากการเริ่มความสัมพันธ์นั้น...
...ไม่ว่าเมื่อไหร่...ก็เป็นแค่เรื่องที่คิดไป...ฝ่ายเดียว...
“ขอโทษที จะมาถามเรื่องสนามประลองนิดหน่อย”
หาข้ออ้างมาพูด เพราะคงไม่อาจบอกได้ว่า นึกเป็นห่วงว่างานจะทับใครบางคน ก็รีบเลยลงมาหา
หลังจากพูดคุยกันสักพัก ก็รู้สึกแปลกใจที่ความคิดนี้ มีต้นกำเนิดมาจากกองทัพ GM ลิงทโมน
แต่ก็คงเพราะอยากประมือกันให้สนุกสนานมากกว่า คนที่ทำให้มันดูเป็นรูปธรรมขึ้นมา
ก็คงไม่พ้นคนที่นั่งทำงานอยู่ในห้องสามคนนี้ ที่เปลี่ยนจินตนาการอันไร้สาระ มาเป็นการใช้งานจริง
ส่วนกระดาษที่กองอยู่เต็มห้องนี้ มีทั้งเรื่อง GM ใหม่ สนามประลองที่จะใส่ลงไป และงานทั่วไปซึ่งต้องทำทุกวัน
ไปๆมาๆ ห้องทำงานของหัวหน้า GM จึงหน้าตาละม้ายคล้ายห้องเก็บเอกสารมากกว่า
“ตอนนี้ก็เหนื่อยหน่อย แต่สักพักก็คงได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า”
เป็นคำพูดของใครคนหนึ่งที่ผมไม่สนใจแม้แต่จะถามชื่อ รู้แต่เพียงว่าเป็นหนึ่งในสองคนที่พักนี้ชอบเดินตามคุณเกียร์
ส่วนมุมที่ผมเคยนั่งทำงาน ตอนนี้ถูกทำเป็นโต๊ะวางเอกสารที่จัดการเรียบร้อย เตรียมจะส่งต่อ
เพียงแค่ 3 เดือน ผมรู้สึกเหมือนตัวตนถูกลบออกไปจากชีวิตของคนคนนั้น ไม่เหลือพื้นที่ของผมเลยแม้แต่น้อย
สุดท้ายแล้ว ก็ได้รับการยืนยันว่า ในสายตาของคุณ ผมเป็นแค่ของที่ไม่มีคุณค่าอะไร
ถึงตัวเองจะไม่อยากยอมรับ แต่วันนี้ มันเห็นชัดกับตา...
...ผมก็เป็นแค่ของที่คุณ...ไม่สนใจแล้วสินะ...
ผมไม่อยากกลับไปอธิบายเรื่องราวทั้งหมดกับฝ่ายเทคนิค ตอนอารมณ์ยังอยู่ในสภาวะหงุดหงิด จึงตัดสินใจกลับบ้าน
ไว้จะเขียนใบลาป่วยว่า ปวดหัว เหมือนที่ว่าไว้แล้วกัน จะว่าไป ตอนนี้ก็รู้สึกปวดหัวตุบๆ ขึ้นมาจริงๆ
ผมเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่บ้าน เมื่อถึงบ้านแล้ว ผมก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงแล้วพยายามหลับ
หลับซะ...จะได้ไม่ต้องคิดอะไร...
ถ้านอนแล้ว...ก็จะไม่ต้องคิดเรื่องของคนคนนั้น...
แต่พยายามข่มตาหลับยังไง...สมองก็ยังมีเรื่องราวต่างๆวุ่นวายสับสน...
...หวังว่า...หากผมฝัน...จะไม่เห็นคุณ...
++++++++++
เสียงโทรศัพท์มือถือ ทำให้ผมตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกหงุดหงิด เหลือบมองนาฬิกาเห็นว่า เป็นเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว
หลับไปนานเหมือนกันนะ...ว่าแต่ใครโทรมาเอาป่านนี้...
พอเห็นเบอร์โทรศัพท์ ก็รู้ทันทีว่า มาจากบ้านของแฟนสาว สงสัยว่าจะเป็นห่วง เลยโทรมาล่ะมั้ง
“ฮัลโหล”
“อยู่ไหนเนี่ย ?”
กลับไม่ใช่เสียงของหญิงสาว แต่เป็นเสียงแข็งๆของน้องชายเธอ ผมรู้สึกเซ็งทันทีที่ได้ยิน
แต่อีกใจหนึ่งก็โล่งใจ เพราะไม่ต้องสรรหาคำพูดสวยงามมาอธิบายเธอว่า ทำไมอยู่ๆผมถึงออกไป
“มีอะไรล่ะ ?”
“พี่ยังไม่กลับบ้านเลย ไม่รู้ว่าไปไหน”
ผมรู้สึกแปลกใจไม่น้อย เพราะปกติ เธอจะเป็นคนที่กลับบ้านไม่เกินหนึ่งทุ่ม เนื่องจากเป็นห่วงพ่อและน้อง
ถ้าเป็นวันปกติ เธอถึงบ้านตั้งแต่หกโมงด้วยซ้ำ ตอนนี้ก็สามทุ่มแล้ว เธอไปอยู่ไหนกันนะ
“โทรหาหรือยังล่ะ ?”
“บ้าเรอะ โทรแล้วสิ แต่พี่ปิดเครื่อง”
ผมพยายามใช้ความคิดว่า เธอหายไปไหน ถ้ามีงานด่วน เธอก็น่าจะโทรกลับมาบอกที่บ้านแล้ว
หรือจะเกิดอุบัติเหตุอะไร ? เขาควรจะโทรไปถามพวกที่บริษัทดูดีไหมนะ เผื่อจะมีข่าวอะไรบ้าง
“เดี๋ยวฉันโทรไปถามที่บริษัทให้ แล้วจะโทรกลับไปหา”
ผมพูดจบก็ตัดสาย ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบอะไร แล้วก็รีบต่อโทรศัพท์ไปยังบริษัททันที
หลังจากสอบถามสักพักก็พบว่า ที่บริษัทมีอุบัติเหตุนิดหน่อย หลายคนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เลยพากันไปโรงพยาบาล
ไม่แน่ใจว่า มีใครได้รับบาดเจ็บบ้าง เพราะทุกอย่างวุ่นวายไปหมด อยากตามหาใคร ก็ลองไปดูที่โรงพยาบาลแล้วกัน
เมื่อได้เรื่องแล้ว ผมก็เลยโทรกลับไปหาน้องชายเธอ บอกว่า จะไปรับ แล้วให้ไปหาพี่ที่โรงพยาบาลพร้อมกัน
เป็นครั้งแรกที่เจ้าเด็กนี่ เงียบปาก ไม่เถียงไม่ว่าอะไร ตลอดทางที่ผมขับรถไปโรงพยาบาล
คงจะเป็นห่วงพี่สาวมาก จนพูดอะไรไม่ออกเลยล่ะสิ เอาแต่มองออกนอกกระจกรถไปข้างทางตลอดเวลา
“นี่...มีรถทำไมไม่ค่อยขับล่ะ...”
คำพูดแรกหลุดออกจากปากมาแล้ว เป็นคำชวนคุยโดยสันติ ไม่ใช่ประโยคกวนๆดังเช่นปกติ
แต่ก็จริงอย่างที่ว่านั่นแหละ ผมมีรถ แต่ไม่ค่อยชอบขับ เพราะมันเซ็งเวลารถติด หาที่จอดก็ลำบาก
“ลดโลกร้อนไง ใช้ขนส่งมวลชน”
“เหรอ ?”
คงจะเป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันที่ไม่โดนแขวะกลับ แต่กลับรับคำแล้วเงียบไป
จากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา จนพวกผมมาถึงโรงพยาบาล
พวกคนในบริษัทรอยากันอยู่เป็นจำนวนมาก ผมรีบถามหาหญิงสาว แต่ปรากฏว่าเด็กชายตาไวกว่า มองเห็นพี่สาวของตัวเอง
ก็เลยรีบวิ่งเข้าไปหาในทันที ผมจึงได้แต่ยืนยิ้ม เช่นเดียวกับคนรอบข้าง เอ็นดูความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ทักทายเธอ ก็มี GM หน้าเก่า อยู่ในกลุ่มลิงทโมนรีบวิ่งเข้ามาหาเขา
“โฮลี่ ออเดอร์ ไปดูหัวหน้าหน่อยสิ !!”
ในวูบแรกขาผมมันจะก้าวตามไปแล้ว ด้วยความตกใจและเป็นห่วง แต่เรื่องเมื่อตอนกลางวันผุดขึ้นมาในหัว
ทำให้ผมหยุดตัวเองเอาไว้ได้ทัน ไม่ได้ขยับเดินไปไหน แค่เพียงเอ่ยถามอาการตามมารยาท
“ไปดูหน่อยเถอะ”
คนที่มาตามตอบไม่ตรงคำถาม รั้นจะลากผมไปให้ได้ ผมก็เลยยอมเดินตามไป จะได้จบๆเรื่องเสียที
ตอนนี้คุณเกียร์ก็ไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วนี่นา จะเกิดอะไรขึ้นก็มีคนช่วยเหลืออยู่แล้ว
ถึงผมจะไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไรหรอก นายมาตามผิดคนแล้วล่ะ
พอเปิดประตูเข้าไปในห้อง ก็เห็นหญิงสาวที่หน้าตาคุ้นเคยกำลังยืนอยู่ ถัดไปเป็นคนเจ็บที่นั่งอยู่บนเก้าอี้
ท่าทางคงกำลังคุยกันเรื่องอุบัติเหตุ ได้ยินแว่วๆพูดถึงหมอและอาการบางอย่าง
“นายไปอยู่ไหนมา ?”
เมื่อเห็นหน้าเขา คุณหนูก็ลากตัวผมออกมาจากห้อง แล้วเปิดฉากยิงคำถาม
ส่วนใหญ่จะเป็นคำถามว่า เขาไปไหน ทำอะไรอยู่ ทำไมปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
สรุปรวมๆก็คือ เธอเป็นห่วงคุณเกียร์มาก แต่ตอนนี้เธอไม่ว่าง ติดธุระหลายเรื่อง เลยไม่ได้แวะมาดูแล
ผมเองก็ตอบอย่างสุภาพ ทั้งเรื่องวันนี้ผมปวดหัวและเรื่องที่ว่า ผมเองไม่ได้มีหน้าที่ดูแลคุณเกียร์
เธอทำสีหน้าประหลาดใจ เมื่อได้ยินคำตอบ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เธอก็เอ่ยปากถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“ที่ตอบนั่น พูดจริงๆเหรอ ?”
“หมายความว่ายังไงครับ ?”
“ที่บอกว่า นายจะไม่ดูแลคุณเกียร์แล้ว”
ถึงความหมายคล้าย แต่ดูเหมือนจะให้ความรู้สึกแตกต่างกันอยู่มากทีเดียว ยังไงซะ ผมก็ขี้เกียจถกเถียงต่อ
ก็เลยเพียงแค่พยักหน้ารับ เพื่อจะได้ทำตัวสุภาพมีมารยาทกับคุณหนูจากตระกูลใหญ่
“ตามใจ...”
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
“เดี๋ยว...”
ผมหยุดชะงัก เมื่อได้ยินอาญาสิทธิ์จากปากคุณหนู นิสัยโอนอ่อนผ่อนตามคนมีอำนาจ ดันทำงานอยู่ตลอดเวลา
ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องงานและไม่ใช่เวลางานแท้ๆ แต่ก็ยังไม่อยากขัดใจลูกสาวผู้ถือหุ้นในบริษัท
“เข้าไปให้เกียร์เห็นหน้าหน่อยสิ เมื่อกี๊ขอโทษที่ลากตัวออกมานะ”
น่าแปลกใจไม่น้อยที่เธอเป็นฝ่ายขอโทษ แต่ก็คงดูเสียมารยาทเกินไป ถ้าจะกลับไปโดยยังไม่ทักทายอะไร
เพราะคุณเกียร์เองก็เห็นแล้วว่า ผมมาหา เพียงแค่ถูกลากตัวออกไป ก่อนที่ทันจะได้พูดอะไร
ผมเดินกลับไปเคาะประตู แล้วเปิดเข้าไปในห้อง จะว่าไป นี่มันห้องทำแผลไม่ใช่เหรอ
ได้ยึดห้องทำแผลมาเป็นห้องนั่งพัก คงจะใช้เส้นของใครบางคนที่เมื่อกี๊ลากตัวเขาไปคุยด้วยล่ะมั้ง
“เป็นยังไงบ้างครับ ?”
ผมสำรวจด้วยตา ก็ไม่เห็นว่า มีตรงไหนผิดปกติ จนกระทั่งเจ้าตัวพับแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นผ้าที่พันเอาไว้บริเวณข้อมือ
“ข้อมือเคล็ดนิดหน่อย...”
ผมได้รู้ซึ้งถึงความห่วงใยแบบผิดปกติของคุณหนูก็วันนี้แหละ คนอื่นๆที่หัวแตก แขนหัก นั่งรอกันอยู่ในห้องตามปกติ
แต่คนที่ข้อมือเคล็ดกลับได้มานั่งพักในห้องส่วนตัว ไม่เรียกว่า ลำเอียงแล้วควรเรียกว่าอะไร
“งั้นก็ดีแล้วครับ...”
ถึงจะไม่บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ แต่คนตรงหน้าก็ดูโทรมจนน่าเป็นห่วง ถ้าเขาเป็นหมออาจจะจับนอนโรงพยาบาลให้น้ำเกลือ
สักวันสองวัน เผื่อจะดีขึ้น แต่ถ้าจะให้ดีขึ้นในระยะยาว ก็ต้องรักษาให้หายขาด จากอาการบ้างานเสียก่อน
“อย่าทำให้คนอื่นเป็นห่วงสิครับ”
เมื่อผมมองลึกเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น ราวกับเป็นหลุมดำที่ไร้ก้นบึ้ง หากแต่เย้ายวน น่าค้นหา
เหมือนกับดักที่ล่อลวงให้ผู้คน กระโดดลงไปด้วยความเต็มใจ ผมเองก็เหมือนกัน
รู้ตัวอีกที ก็โน้มตัวลงไปกอดร่างนั้นไว้แน่น รู้สึกได้ถึงความบอบบางที่อยู่ภายในอ้อมแขนนี้
“อย่าทำให้...ผมเป็นห่วงสิครับ...”
นั่นเป็นคำพูดที่ลอดออกมาจากริมฝีปากอย่างแผ่วเบา ทั้งที่ไม่ใช่สิ่งที่เขาควรจะพูดเลย
ไม่อยากจะสนใจหรือกังวลกับความเป็นไปของคนคนนี้ แต่ก็ทำไม่ได้ ห้ามตัวเองไม่ได้
ได้ยินเสียงขอโทษ กระซิบตอบอย่างแผ่วเบาในห้องเงียบๆนั้น
รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิของร่างกายและจังหวะของหัวใจที่กำลังเต้น
ชวนให้คิดถึงค่ำคืนที่ผมได้โอบกอดคุณเอาไว้
...ช่วงเวลานั้น...คุณเป็นของผม...เพียงคนเดียว...
++++++++++
แม้เมื่อคืนจะมีเรื่องให้วุ่นวายอยู่สักหน่อย แต่เช้าวันนี้ ทุกอย่างดูสงบเรียบร้อยดี แม้บางคนจะมีผ้าพันแผลอยู่ตามตัวบ้างก็ตาม
ผมขึ้นไปยังฝ่ายเทคนิค เตรียมตัวรับความเย็นชาและใบหน้าบึ้งตึง แต่ปรากฏว่าทุกอย่างกลับเหมือนปกติ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทุกคนเพียงแค่ชี้แจงงานให้ฟัง แล้วไล่ผมเข้าไปล็อกอิน
“วันนี้ แฟนนายไปไหนซะล่ะ”
ผมเองก็เพิ่งสังเกตว่า เธอไม่ได้มาทำงาน จึงแค่ยักไหล่แทนคำตอบ แล้วคิดว่า เดี๋ยวพักกลางวันจะโทรหาแล้วตอนเย็นค่อยแวะไป
ที่บ้านอีกทีแล้วกัน ไม่รู้ติดธุระหรือไม่สบายอะไร
“งั้นเข้าเกมแล้วนะครับ”
วันนี้เขาทำงานได้มีสมาธิมากขึ้น ไม่ฟุ้งซ่านเหมือนเมื่อวาน การทดสอบเป็นไปได้ค่อนข้างดี เหลือตอนบ่ายก็จะมาทดสอบ
เกี่ยวกับเรื่องสนามประลอง แอบหวั่นๆเมื่อคิดว่า จะต้องเจอราดิช ไม่ใช่กลัวฝีมือ แต่กลัวว่า จะมีเรื่องยุ่งยากตามมา
เพราะเป็นคนที่เข้าใจยากมากเลยทีเดียว
ตอนพักกลางวัน ผมโทรเข้ามือถือเธอ แต่ปิดเครื่อง จึงไม่ได้ติดใจอะไร คิดว่า เธออาจจะมีธุระหรือยังไม่ได้ชาร์ตแบต
ผมเดินลงบันได กลับไปยังฝ่าย GM เพื่อเอาเอกสารบางอย่าง ก็ได้ยินเสียงเอะอะของผู้คน
เหตุการณ์นี้...มันคุ้นๆชอบกล...
ลูกน้องทั้งหลายต่างมุงดูหัวหน้าที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยังทำท่าแตกตื่นเหมือนเด็กๆทุกครั้ง
“ถอยสิ !! มุงกันอยู่ได้ !!”
ปกติหน้าที่ตวาดประโยคนั้นต้องเป็นของผม แต่คราวนี้กลับเป็นเสียงหญิงสาวที่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้า key master
ระหว่างที่เธอกำลังโทรเรียกรถพยาบาล ผมก็เดินเข้าไปใกล้ คิดจะอุ้มร่างนั้นขึ้น เพื่อพาลงไปชั้นล่าง
แต่กลับสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงนั้นตวาดอีกครั้ง
“อย่าแตะต้องนะ !!”
ราวกับผมเป็นเด็กที่กำลังจะแตะแก้วใบสวยซึ่งแตกง่าย สายตาของเธอที่จ้องมองมานั้นดูข่มขู่คุกคาม
เพราะการตวาดเมื่อครู่ ทำให้บรรดา GM ทั้งหลายยิ่งถอยกรูดไปข้างหลัง เปิดทางให้เธอเดินเข้าไป
“นายไม่ต้องมายุ่ง...”
“ถ้าไม่คิดจะทำเต็มที่ ก็อย่ามาทำครึ่งๆกลางๆ”
“อย่ามาวุ่นวาย !! อย่ามาแตะต้อง !!”
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองโดนด่า ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด มีคนกำลังไม่สบายอาการไม่ดี ถึงไม่ใช่คุณเกียร์ ผมก็ต้องช่วย
แล้วเธอก็พูดราวกับว่า ตัวเองเป็นเจ้าของคุณเกียร์อย่างนั้นแหละ อะไรของเธอกันเนี่ย
ไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่ง ดูแลกันเองแล้วกันนะ ถ้าลำบากอะไร ก็อย่ามาโทษกันทีหลัง !!
ผมเดินกลับไปยังชั้นบน เพราะเบื่อหน่ายที่จะโต้เถียงกับเธอ ไม่อยากได้ยินเสียงบ่นงึมงำของพวกลิงทโมน
แล้วก็เพราะไม่อยากเห็นร่างของคนคนนั้นนอนนิ่งอยู่บนพื้น
ราวกับ...ไม่มีชีวิต...
++++++++++
แม้ความหงุดหงิดจะยังหลงเหลืออยู่ไม่น้อย แต่ผมก็ไม่ลืมที่จะโทรหาเธออีกครั้ง มือถือนั้นยังคงปิดอยู่
ผมจึงตัดสินใจไปหาที่บ้านเลย อยากจะรู้เหมือนกันว่า เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า
“นาย ? มาทำไม ?”
เป็นคำทักทายดังเช่นปกติของน้องชายที่มาเปิดประตูต้อนรับ ผมกวาดสายตามองเข้าไปในบ้าน ก็ไม่เห็นมีใครอยู่
“พี่สาวนายล่ะ ?”
“มาหาพี่ ?”
ผมอยากจะบอกว่า ไม่มาหาพี่สาวนาย แล้วคิดว่า ฉันมาหาใคร มาชวนนายเล่นเกมหรือไง เจ้าเด็กบ้า
ในตอนที่กำลังจะอ้าปากต่อปากต่อคำนั้น ก็สังเกตเห็นท่าทีแปลกๆ จึงเปลี่ยนใจถามเรื่องอื่น
“พี่นายเป็นอะไรหรือเปล่า ? วันนี้ไม่ไปทำงาน”
“บ้านเรามีเรื่องยุ่งยากนิดหน่อย”
ถึงผมอยากรู้ แต่ไม่คิดจะถามต่อ กลัวเป็นการล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวมากเกินไป แต่ถ้าอยากเล่าเมื่อไหร่
เขาก็ยินดีจะรับฟังและช่วยเหลือเสมอ เพราะเขาเองก็ชอบสองพี่น้องนี่ไม่น้อย
“นายน่ะ...”
“อย่ามาหาพี่ด้วยความรู้สึกครึ่งๆกลางๆจะได้ไหม...”
“พี่มีเรื่องให้คิดมากพออยู่แล้ว อย่าทำให้พี่ต้องกังวลมากไปกว่านี้จะได้ไหม...”
น้ำเสียงและสีหน้าของเด็กคนนั้น แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่พูดไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
ดวงตาเบื้องหลังกรอบแว่นตา จ้องมองมาทางเขาอย่างจริงจัง ไม่ใช่การข่มขู่ หากเป็นการขอร้องเสียด้วยซ้ำ
“ถ้าไม่สามารถให้ความรู้สึกทั้งหมดกับพี่ได้...ก็ช่วยถอยห่างออกไปได้ไหม”
“อย่าทำให้พี่ ต้องเข้าใจผิดไปมากกว่านี้เลย...”
“อย่ามาวุ่นวายกับพี่เลยนะ...”
เป็นครั้งแรกที่เด็กคนนี้พูดจาดีๆกับเขา แถมยังใช้คำพูดออกไปในทางขอร้อง แต่ก่อนที่สมองจะทันคิดคำโต้ตอบ
บรรยากาศดีๆนั้นก็ถูกพัดหายไปด้วยน้ำเสียงแข็งๆแบบเดิม
“พี่อยู่หลังบ้าน ถ้าจะไปหา ก็อย่ายืนบื้อล่ะ”
ตัวตนเดิมกลับมาอีกครั้ง ท่าทางหยิ่งๆ กับคำพูดระคายหู ทำให้เขาแอบยิ้มด้วยความโล่งใจที่ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิม
แต่เหตุการณ์เมื่อครู่ก็ทำให้เขาสงสัย หรือว่าใบหน้านั้นต่างหากที่เป็นตัวตนของเด็กคนนั้นจริงๆ
ผมเดินไปหลังบ้าน ก็พบเธอนั่งมองดอกไม้สีสวยในกระถางซึ่งปลูกไว้มากมาย ทุกดอกชูช่ออวดความงามราวกับจะแข่งขันกัน
แต่วันนี้สาวน้อยที่เป็นผู้ชม กับไม่สนใจความงามนั้นแม้แต่นิดเดียว
ผมเรียกชื่อเธอ แต่เธอกลับไม่ได้ยิน จึงเดินเข้าไปแตะไหล่เบาๆ
“อ้าว ? มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”
“สักพักแหละ วันนี้เป็นอะไร...”
เธอยิ้มให้กับผม แล้วไม่ตอบอะไร มันทำให้ผมนึกถึงใครคนหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไป
คนที่มักจะยิ้มให้ผม เพื่อกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง เป็นรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนและน่ารักใคร่
“มีเรื่องไม่สบายใจสินะ เล่าให้ฟังได้ไหม”
เป็นครั้งแรกที่ผมลูบหัวเธออย่างอ่อนโยน ได้กอดเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างแผ่วเบา ผู้หญิงนั้นมีร่างกายที่แสนบอบบาง
ไม่มีเสียงสะอื้นหรือคำฟูมฟาย มีแต่เรื่องราวที่ลอดออกมาจากริมฝีปากอย่างเชื่องช้า
พ่อของเธอนั้นมีครอบครัวอยู่ที่ต่างประเทศ ถ้าจะพูดกันภาษาบ้านๆก็คือ บ้านเมียน้อย
แม่ของเธอเองก็จากไปนานแล้ว พ่อก็ไม่ค่อยสบาย อยากจะไปอยู่ที่ชนบทของทางนู้นมากกว่า
ทั้งสองคนจะแต่งงานกัน เป็นสามีภรรยาที่ถูกกฎหมาย จะดูแลกันและกันไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่
เธอรู้ดีว่า ไม่ใช่เรื่องถูกต้องที่จะผูกมัดพ่อเอาไว้ เป็นของตัวเอง แต่เธอไม่อยากสูญเสียครอบครัวไป
แม้ไม่ใช่การลาจากชั่วนิรันดร์ แต่มันทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้าง เหตุการณ์นี้ทำให้เธอรู้สึกว่า
...พ่อไม่เลือกพวกเรา...พ่อเลือกครอบครัวทางนั้นของพ่อ...
ผมคิดว่า เหตุผลที่เธอเปราะบางนั้น ไม่ใช่แค่เรื่องพ่อ แต่เมื่อไม่นานนี้ เธอเพิ่งทะเลาะกับน้องเรื่องมหาวิทยาลัย
น้องชายเธอ อยากจะไปอยู่หอพัก แต่เธอไม่อยากให้น้องไปอยู่ในที่ไกลๆ
ตอนแรกผมคิดว่า เธอเป็นห่วงน้องจนเกินกว่าเหตุ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า เธอเหงาต่างหาก
เธอไม่อยากอยู่คนเดียวในบ้านกว้างนี่ ไม่อยากต้องอยู่ตามลำพัง เพราะกลัวความโดดเดี่ยว
“โฮลี่ ออเดอร์...”
“สักวัน...เธอจะทิ้งฉันไหม ?”
ถ้าเป็นคนทั่วไป ก็คงรีบตอบกลับว่า ไม่หรอก จะอยู่กับเธอตลอดไป เชื่อใจฉันนะ
แต่สำหรับผม การรับปากแบบนั้น มันงี่เง่า และไร้ความน่าเชื่อถือ ถ้าผมจะให้สัญญา ผมอยากจะสัญญาจากใจ
ในหัวผมย้อนนึกไปถึงสิ่งที่คนสองคนพูดเอาไว้ ความรู้สึกครึ่งๆกลางๆของผมที่ไม่มีใครต้องการ
ไม่มีมนุษย์คนไหนอยากได้อะไรครึ่งๆกลางๆ คงถึงเวลาที่ผมจะต้องตัดสินใจแล้วสินะ เพื่อเดินไปข้างหน้า
พอกันที...กับการหลอกตัวเองเรื่องความรัก...
ยอมรับเสียทีเถอะว่า...คิดอย่างไรอยู่...
จะใช้มือนี้กุมมือของใคร...จะเดินไปข้างหน้าพร้อมกับใคร...
...จะเลือกทำเพื่อใคร...เพียงคนเดียว...
“ฉันน่ะ...”
“ไม่ใช่คนดีอะไรนักหรอก...”
“หลายเรื่องที่ฉันทำลงไปด้วยความรู้สึกครึ่งๆกลางๆ กับเธอก็เหมือนกันที่ฉันไม่ยอมจริงจังกับมันสักที”
“ตอนนี้ฉันคงต้องหยุดทำตัวไร้สาระ แล้วพูดเรื่องจริงกับเธอเสียทีนะ”
ดวงตาที่มองมาทางผมคู่นั้นใสกระจ่าง จนผมนึกหวาดหวั่นสิ่งที่กำลังจะพูดออกไป
แต่ในเมื่อเป็นสิ่งที่ตัดสินใจแล้ว ผมก็จะไม่ถอยกลับ ไม่วนเวียนอยู่ในเรื่องเดิมๆอีกแล้ว
“แต่งงานกันไหม ?”
“เอ๋ ?”
ดวงตาที่กำลังจ้องมองผมเบิกกว้างด้วยความตกใจ กับคำพูดที่คาดไม่ถึงนี้
“เธอจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียว...ในบ้านกว้างๆนี่...”
“น้องเธอจะได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยที่เจ้าตัวอยากเรียน ได้อยู่หอพักทำกิจกรรมให้เต็มที่”
“ส่วนฉันเองก็...”
ผมจับมือเธอขึ้นมา จูบที่นิ้วนางแทนแหวนที่จะต้องสวมให้ ยามเมื่อขอแต่งงาน
มันอาจจะดูงี่เง่า อาจจะดูไร้สาระในสายตาคนอื่น แต่สำหรับผม นี่คือเรื่องจริง ไม่ใช่แค่ความลวง
ภาพอันสวยงามนั้น จะปั้นแต่งขึ้นมาอย่างไรก็ได้ ส่วนความจริงของพวกเรานั้น เป็นแค่คำพูดไม่กี่คำ
“ฉันเองก็...จะจริงจังกับการใช้ชีวิตซะที...”
ผมเลือกที่จะก้าวไปข้างหน้ากับหญิงสาวที่ผมต้องการจะปกป้องดูแล คนที่ทุกคนเห็นว่าเข้มแข็งแต่อ่อนแอ
เธอคนที่ต้องการคนอยู่ข้างๆ เพื่อโอบกอดและปลอบโยนในค่ำคืนที่เงียบเหงา
“คำตอบของเธอล่ะ ?”
ผมได้ยินเสียงสะอื้นและเห็นน้ำตาไหลพรั่งพรูลงมาไม่หยุด พวกเรากอดกันแน่นท่ามกลางแสงยามเย็นสีส้ม
เธอบอกผมซ้ำๆว่า ตกลง ซึ่งมันทำให้ผมหัวเราะด้วยความดีใจระคนขบขัน
ทั้งที่เป็นช่วงเวลาแห่งความยินดี คนทุกคู่คงจดจำช่วงเวลานี้ไปอีกนานแสนนาน ตลอดการใช้ชีวิตร่วมกัน
ผมเองก็เหมือนกัน ผมคงจดจำได้ว่า ขณะที่โอบกอดเธออยู่นั้น ผมกลับหวนคิดถึงความอบอุ่นจากร่างกายใครคนหนึ่ง
คนที่แม้แต่ตอนสำคัญอย่างนี้ ผมก็ยังคิดถึงและปลอบใจตัวเองว่า เขามีคนอื่นอีกมากมายเคียงข้าง
...คนอื่นที่ไม่ใช่ผม...
...เขาไม่จำเป็น...ต้องมีผม...
++++++++++
งานแต่งงานของผมกลายเป็นข่าวใหญ่ในบริษัท ทุกคนต่างแสดงความยินดี แล้วบอกว่า การไปทำงานที่ฝ่ายเทคนิคของผมเป็น
จุดเริ่มต้นของความรักชัดๆ ทีนี้สาวๆหนุ่มๆ คงอยากไปทำงานแผนกอื่น เผื่อจะเจอคนที่ใช่
แม้ว่าจะพูดเรื่องราวสนุกสนาน หัวเราะรื่นเริงอยู่ตลอดเวลา แต่สายตาผมกำลังมองหาใครบางคนอยู่เสมอ
“ยินดีด้วยนะ...”
เป็นคำพูดสั้นๆที่เขาพูดกับผม พร้อมกับรอยยิ้มดังเช่นทุกครั้ง
ทำไม ผมถึงเห็นว่า รอยยิ้มนั้นหมองเศร้ากว่าปกติ ทั้งที่มันก็งดงามไม่ต่างจากเมื่อก่อน
นึกอยากจะแตะเบาๆที่แก้มนั้น แต่รู้ดีว่า ไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำ เพราะผมได้เลือกทางเดินแล้ว
...ทางที่แยกห่าง...ออกจากกัน...
รู้ทั้งรู้ว่า ตัวเองเป็นคนเลือกเอง แต่ก็ยังอยากรู้ความเป็นไป อยากมองคนคนนั้นจากที่ไกลๆ
อยากมั่นใจว่า อีกฝ่ายสบายดี ไม่ได้ไปสลบอยู่ที่ไหน จนต้องมีคนพาส่งโรงพยาบาล
“จะจัดงานเลี้ยงที่บริษัทเหรอ ?”
“น่าสนุกดีอออก”
ผมอยากจะกุมขมับ เมื่อว่าที่ภรรยาของผมคิดอะไรแปลกๆออกมา แต่เนื่องจากเราเป็นคู่รักคู่แรกที่แต่งงาน
หัวหน้าหลายคนก็ดันบ้าจี้สนุกไปด้วย ไปๆมาๆ งานแต่งงานเราก็เลยกลายเป็นงานใหญ่ของบริษัท
“อย่างนี้ นอกใจไปจีบคนในบริษัทไม่ได้นะเว้ย !!”
“เขารู้กันหมดแล้วว่า นายเป็นของใคร”
พวกคนในฝ่ายเทคนิคต่างยังแซวเขาไม่เลิก เห็นเขาเป็นคนเจ้าชู้ไปได้ ตลอดชีวิตของเขาน่ะ เขาจริงจังเสมอกับเรื่องความรัก
ถ้าไม่ได้รักแล้วล่ะก็ ไม่อยากจะแตะต้องอีกฝ่ายหรอก จะเอาแค่ร่างกายไปเพื่ออะไรกันล่ะ
“อยากรู้ว่า ประธานจะให้ของขวัญอะไร”
“คุณรีลิสด้วย”
พูดถึงคุณรีลิส เธอขึ้นมาเป็นหัวเรือใหญ่ในการจัดงานแต่งงานกับผม
บอกว่า ในฐานะคนเคยรู้จัก เคยคุยกัน เธอจึงจัดการเป็นธุระให้เรื่องราวต่างๆ เรียบร้อยด้วยดี
แต่ทำไมทุกครั้งที่มาคุยกับผม ผมถึงรู้สึกว่า ใบหน้ายิ้มๆนั้นน่ากลัวพิลึก
ทั้งที่เธอก็เอ่ยแสดงความยินดีกับผมหลายครั้ง และเธอก็น่าจะพอใจที่ผมออกห่างจากคุณเกียร์ของเธอ
“พักนี้ ก็เหนื่อยหน่อยนะ”
น้ำเสียงและคำพูดที่เขาได้ยินบ่อยครั้ง แม้จะไม่ใช่พูดกับเขา เมื่อยามยังนั่งทำงานอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยเอกสาร
เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็จะเห็นภาพใครคนหนึ่งกำลังทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจ จนลืมเวลากินข้าวเสมอ
“ครับ คุณเกียร์เองก็...เหนื่อยสินะครับ...”
ความอ่อนล้ายังปรากฏให้เห็นบ้าง แต่ไม่เด่นชัด ถึงจะไม่มีสิทธิไปดูแลหรือยุ่งเกี่ยวอะไรกับชีวิตของคนคนนี้อีกแล้ว
แต่แค่ส่งผ่านความห่วงใยไปทางคำพูด คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
“ดูแลตัวเอง...ด้วยนะครับ...”
“จะพยายามนะ...”
ยิ่งเห็นใบหน้านั้นยิ้ม แบบที่ไม่ใช่รอยยิ้มที่แท้จริง ยิ่งรู้สึกอยากดึงมากอดไว้ในอ้อมแขน
อยากเป็นที่พักพิง เมื่อยามเหนื่อย...อยากจะดูแล ไม่ให้มีเรื่องวิตกกังวล...
ความรู้สึกเหล่านี้คือ...ความรัก...ผมรู้ดี คุณเองก็รู้ดี...
...แต่ความรักนั้น...ไม่ใช่เส้นทางที่เราเลือกเดิน...
++++++++++
งานแต่งงานนั้นถูกจัดขึ้นในวันอาทิตย์ ผู้คนในบริษัทสนุกสนานกันใหญ่ จนผมเริ่มรู้สึกว่า งานแต่งงานของผม เป็นงานวัด
หรืองานแสดงปาหี่อะไรหรือเปล่า แต่พอมองใบหน้าที่ยิ้มอย่างมีความสุขของว่าที่ภรรยาก็ถอนหายใจ
เอาเถอะ เธอเป็นคนชอบเรื่องสนุกสนาน ครึกครื้นนี่นา
“ฉันไปเอาของแป๊บนึง”
ผมบอกน้องชายเธอเอาไว้ เพื่อจะได้ไม่ตกใจว่า เจ้าบ่าวหายไปไหน แต่ที่จริงทั้งผมและเด็กคนนั้นก็รู้ว่า
ผมแค่จะหนีความอึกทึกออกไปยืนเงียบๆสักพัก เพราะผมไม่ใช่พวกชอบเข้าสังคมเท่าไรนัก
“ทั้งที่ ไม่จัดพิธีก็ยังวุ่นวายขนาดนี้...”
งานแต่งงานของพวกเรามีแค่งานเลี้ยงและการลงชื่อในทะเบียนสมรสเท่านั้น เพราะพ่อแม่ของผมก็จากไปหมดแล้ว
ส่วนพ่อของเธอก็ไม่สะดวกบินกลับมาหา พวกเราไม่ได้เคร่งศาสนาจนจะต้องมีพิธีอะไร ถึงทำง่ายๆสบายๆไว้ก่อน
ผมกะว่าจะหลบมาสงบสติอารมณ์ที่ระเบียงแถวที่มีขายกาแฟของบริษัท ซึ่งวันนี้ร้านคงปิด เพราะเป็นวันหยุด
กลับมีใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นก่อน ดวงตาสีดำสนิทกำลังเหม่อมองออกไปยังที่ไกลๆ
“คุณเกียร์ มาทำอะไรตรงนี้ครับ ?”
“นายนั่นแหละ ออกมาตรงนี้ทำไม ? วันนี้นายเป็นตัวเอกของงานนะ”
“ตัวเอกก็ต้องมีเหนื่อย อยากหลบมาพักบ้างสิครับ”
ผมไปยืนอยู่ข้างๆ มองวิวจากตึกสูงที่เห็นกรุงเทพเบื้องล่างเล็กนิดเดียว สายลมที่พัดผ่านทำให้เกิดความรู้สึกสงบ
ไม่มีเสียงพูดอะไร ระหว่างพวกเรา เพียงแค่มองไปยังที่ไกลแสนไกล ซึมซับช่วงเวลานี้เอาไว้
“ผมขอถามอะไรคุณอย่างหนึ่งได้ไหมครับ...”
“อะไรล่ะ ?”
“คุณเคยรักผมหรือเปล่าครับ ?”
ผมถามสิ่งที่ผมอยากจะรู้คำตอบมานานแสนนาน สิ่งที่ผมเฝ้าสงสัยและอยากได้ยินจากริมฝีปากนั้น
ในตอนนี้ แม้คำตอบจะเป็นเช่นไร ก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ผมเลือกที่จะก้าวไปเดินไปบนเส้นทางอื่น
ผมไม่สามรถอยู่เคียงข้างคุณได้อีกต่อไปแล้ว เพราะฉะนั้น ขอผมฟังให้ชัดๆสักครั้งได้ไหมครับ
...ความรู้สึกของคุณ...
“มันไม่ใช่คำถามที่สมควรเอามาถามตอนนี้นะ”
“ผมรู้ครับ...”
ใบหน้านั้นขมวดคิ้ว เป็นภาพที่เห็นได้ยาก สำหรับคนที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา เหมือนไม่เคยเครียดหรือกังวลอะไร
ผมโน้มตัวลงจูบลงไประหว่างคิ้วนั้น แล้วไล่ลงไปยังริมฝีปาก เป็นจูบที่ล้ำลึก
รสชาติที่ไม่ได้สัมผัสนานแสนนาน...ความหอมหวานที่แสนโหยหา...
“ผมรักคุณ...”
นี่คงเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ผมจะพูดประโยคนี้ พร้อมกับการนอกใจครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตผม
ถึงจะต้องการคนตรงหน้าขนาดไหน แต่นับตั้งแต่รับคำเป็นแฟนกับเธอคนนั้นแล้ว ผมก็ไม่เคยแตะต้อง
อาจมีการกอดบ้าง แต่ไม่เคยจูบ ไม่เคยสัมผัสไปมากกว่านั้น ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย...
ครั้งสุดท้าย...ที่ผมจะสัมผัสคุณ...
“โอ๊ย”
ผมเอามือลูบหน้าผาก เมื่อโดนเอานิ้วดีด เป็นเชิงสั่งสอน คนตรงหน้าขยี้หัวผมแรงๆ ด้วยความเอ็นดู
ในที่สุดผมก็ตกลงไปอยู่ระดับเดียวกับ เจ้าพวกลิงทโมนนั่นแล้วสินะครับ
“ขอให้มีความสุขนะ...”
รอยยิ้มของคุณเกียร์ที่ปรากฏบนใบหน้านั้น ทำให้ผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง แต่ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง
ไม่ใช่รอยยิ้มที่แสนเศร้าอีกแล้ว มันไม่ได้กลบเกลื่อนความทุกข์ตรม
สิ่งที่ผมเห็นในตอนนี้เป็นความงดงามของการยิ้มจากหัวใจจริงๆ
เหมือนรอยยิ้มนั้นพูดกับผมว่า...ฉันรักนาย...
ผมมีความลับอยู่อย่างหนึ่งที่คงไม่บอกใครไปชั่วชีวิต ในวันแต่งงานของผมที่ผมเดินออกมาข้างนอกแก้เบื่อ
ผมเห็นรักแรกของผมยืนอยู่ตรงนั้นแล้วผมก็สารภาพความรู้สึกออกไป เป็นครั้งแรก
คำว่ารักนั้น ทั้งสั้นทั้งง่าย แต่ผมไม่เคยพูดออกไปจนถึงวันนั้น...
“กลับไปได้แล้ว เบื่องานเลี้ยงเป็นเด็กๆไปได้”
“ครับๆ จะกลับเดี๋ยวนี้ล่ะครับ”
มันไม่ใช่เรื่องสมควรที่จะมาทำในวันแต่งงาน...
ใช่...แล้วผมยังขโมยจูบริมฝีปากนั้นเป็นการส่งท้ายอีกต่างหาก...
ผมรักคุณ...
ประโยคสั้นๆ...คำพูดอันแสนธรรมดา..
ถ้าผมพูดออกไปก่อนหน้านั้น...เรื่องราวของพวกเราจะเปลี่ยนแปลงไหมนะ...
“คุณเองก็กลับเข้าไปในงานบ้างนะครับ”
ผมหันกลับไปมองร่างนั้นอีกครั้ง...มองใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับไว้อย่างงดงาม...
ดวงตาสีดำจ้องมองมาทางผมอย่างอ่อนโยน...เส้นผมสีดำที่ขยับไปตามสายลม...
“ได้ยินที่ผมพูดใช่ไหมครับ ?”
ได้ยินที่ผมพูดใช่ไหมครับ...
แม้มันจะยาวนาน...แต่ผมก็ได้พูดออกไป...
....ผมรักคุณครับ...
ได้ยินที่ผมบอกใช่ไหมครับ...
เพราะมันจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย...
“ได้ยินน่า...”
“แล้วฉันจะตามไป...”
++++++++++
อ่านจบแล้ว อยากเตะใครบางคนหรือยังคะ ?? (เช่น คนเขียน)
คนตรวจสะกดคำให้ บอกว่า อยากถีบโฮลี่ ออเดอร์มากๆ ซึ่งคนเขียนก็ตั้งใจให้มันน่าหมั่นไส้
ตามความคิดนั้น อยากให้เป็นผู้ชายที่ไม่แน่ชัด และไม่เข้าใจตัวเองสักเท่าไร
ตอนหน้าเป็นตอนพิเศษค่ะ จะเขียนความคิดของคุณเกียร์บ้าง คิดว่า ใช้เวลาไม่นานคงจะเอามาลง
เพราะไม่อยากให้ห่างจากตอนนี้มาก กำลังพยายามเร่งปั่นอยู่ค่ะ
ไม่น่าเชื่อว่า เราเขียนคู่แรร์คู่นี้มา 6 ตอนแล้ว ตามแผนที่วางไว้ จะเขียนตอนพิเศษ 1 ตอน
แล้วก็อีก 2 ตอน เรื่องนี้ก็จะจบ (ถ้าไม่ยาว จนต้องหั่นตอนอีก เหมือนตอนนั้น)
คู่แรร์ของเราก็จะสมบูรณ์ ไชโย !! แล้วเราก็จะย้ายไปเขียนคู่แรร์ ราดิชx เกียร์ ต่อ 555+
จะเขียนไหวไหม ก็ต้องขึ้นกับงาน และแรงฮึด ที่จริงเจอExE เล่มล่าสุดไป แอบแดเมจเล็กๆ
คุณเกียร์เมะมากค่ะ เมะจนยังไม่กล้าอ่านอีกรอบ กลัวแต่งฟิคไม่ได้
บ่นมาซะยาว ยังไงก็ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านคู่แรร์มหาแรร์อย่างคู่นี้นะคะ
ขอบคุณทุกคนที่คลิกเข้ามา ทำให้เรายังไม่กำลังใจแต่งต่อไปได้
ยิ่งคนเมนต์ ยิ่งขอบคุณค่ะ ทำให้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ห่วยจนคลิกเข้ามาอ่านได้ครึ่งหนึ่งก็เลิก
ฉะนั้น ใครที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ ช่วยแปะคอมเมนต์ทักทายคนเขียนบ้างเถอะค่ะ จะได้มีกำลังใจเขียนต่อ
ถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณมากค่ะที่ติดตามจนมาถึงตอน 6
ความคิดเห็น