คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Promise of the Angel (บทส่งท้าย)
Author: Monochrome bird
Category: Drama (ตอนนี้ไม่ดราม่าแล้วมั้ง)
Pairing: อาโอมิเนะ x คากามิ
Rating: PG-13
Disclaimer: ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นของอาจารย์ฟูจิมากิค่ะ พวกเราแค่ยืมมาจิ้นเล่นเท่านั้น
Author notes: เป็นตอนเดียวในซีรี่ย์ที่เขียนตอนจบโดยไม่โดนคนที่บ้านเร่งยิกๆ
(ภาคแรก โดนเร่งให้มากินข้าว ภาคสองโดนเร่งให้ไปซื้อเคเอฟซีมากินเป็นข้าวเย็น)
+++++++++
“อาโอมิเนะ !!!”
เสียงเรียกชื่อของชายหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นเอสของชมรมบาสเก็ตบอลแห่งโทโอดังขึ้นทุกเย็น แต่ก็ไม่เคยทันเจ้าตัวที่หนีหายไปจากห้องเรียน แทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงกริ่งบอกเวลาเลิกเรียน
“โถ่เว้ย !! หนีไปได้อีกแล้ว”
อาโอมิเนะ ไดคิไม่เคยเข้าซ้อมชมรมตอนเย็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว โดยเจ้าตัวอ้างว่ามีธุระสำคัญต้องไปทำ อย่างไรก็ตามด้วยฝีมือที่เหนือชั้นจนทุกคนยอมรับว่าเป็นเอสของทีม จึงทำให้ไม่มีใครคิดจะบ่นเรื่องโดดซ้อมเท่าไรนัก จะมีก็แต่รุ่นพี่ในชมรมบางคนเท่านั้นที่ยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้องที่จะโดดซ้อม
ที่จริงทั้งโค้ชและกัปตันทีมก็ไม่ได้สนใจเรื่องที่อาโอมิเนะโดดซ้อมตอนเย็นเท่าไรนัก เพราะถ้าเป็นการซ้อมตอนเช้า หรือว่าวันเสาร์อาทิตย์ ชายหนุ่มก็ไม่เคยมีปัญหาในการเข้าร่วม มิหนำซ้ำยังไม่มีท่าทีว่าฝีมือจะตกลง มีแต่จะเก่งขึ้นทุกวัน
“ซากุไร !!”
“คะ..ครับ...”
“หมอนั่น หายหัวไปไหนทุกเย็น !!”
หลายต่อหลายคนสงสัยว่า อาโอมิเนะไปที่ไหนกันแน่ มีข่าวลือออกมามากมายหลายอย่าง เพราะเจ้าตัวก็ถือว่าเป็นคนดังของโรงเรียน มีสาวน้อยสาวใหญ่ให้ความสนใจ แม้จะมีน้อยคนนักที่กล้าเข้าไปพูดคุยทำความรู้จัก ในบรรดากลุ่มเพื่อนบอกว่า ดูท่าทางมันจะคบแฟนสาวอายุมากกว่าอยู่ล่ะมั้ง เพราะบางครั้งชอบพูดถึงใครบางคนที่อายุมากกว่า แต่บางคนก็บอกว่า ท่าทางจะเป็นสาวผมแดง เพราะมันเคยพูดอะไรเกี่ยวกับเส้นผมสีแดง
แต่ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆแล้ว...อาโอมิเนะไปไหน...
+++++++++
“ทานากะซัง !!!”
“อ้าว มาแล้วเหรอ”
สถานที่ที่อาโอมิเนะไปทุกเย็น ก็คือบ้านของคากามิ ไม่ว่าวันนั้นจะฝนตก พายุเข้าหรือมีหิมะ เขาจะต้องแวะมาที่นี่เสมอ เพราะมันคือเครื่องยืนยันว่าครั้งหนึ่งเขาเคยได้พบคนคนนั้น เคยได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ได้พูดคุยและทำสิ่งต่างๆด้วยกัน
“ดูสิ มะเขือเทศออกลูกแล้วนะ”
“จริงด้วย แดงมากเลยนะเนี่ย”
ทานากะซังคือคนที่มาดูแลบ้านระหว่างที่คากามิไม่อยู่ เห็นว่าเป็นคนรู้จักของคาซามัตสึซัง เป็นคุณลุงที่แข็งแรงอารมณ์ดีและเป็นคนมือเย็น ไม่ว่าจะปลูกอะไร ก็งอกงามดี อย่างมะเขือเทศที่จริงตอนนี้ก็ไม่ใช่ฤดูกาลของมัน แต่พอทานากะซังมาดูแล กลับออกลูกสีแดงสดจนเต็มต้น
“ลองชิมดูไหม ?”
“อืม”
อาโอมิเนะมักจะชอบกินอะไรที่เป็นสีแดงสดโดยไม่รู้ตัว เช่น มะเขือเทศ แอบเปิ้ล แม้แต่พวกขนมอย่างเยลลี่หรือลูกอมก็จะเลือกสีแดง เคยมีนักเรียนหญิงคนหนึ่งเห็นเขากำลังแกะลูกอมรสสตรอเบอรี่ก่อนจะโยนเข้าปาก สาวเจ้ามองเขาแบบตกตะลึง เหมือนไม่แน่ใจภาพที่เห็นตรงหน้า ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ก็แค่ลูกอมเม็ดเดียวจะตกใจอะไรกันหนักหนา
นิสัยชอบอะไรสีแดงสด น่าจะติดมาตั้งแต่สมัยเด็ก เพราะความทรงจำเกี่ยวกับคนที่รักนั้นประกอบขึ้นจากสีแดง ในความฝันเมื่อยังเยาว์ เขาเห็นคนที่มีเส้นผมสีแดงและรอยยิ้มสดใส ก่อนจะได้พบตัวจริงที่กลางจัตุรัสในต่างประเทศ ได้รับเยลลี่สีแดงสดจากคนคนนั้น สีแดงจึงเป็นสีซึ่งเป็นตัวแทนของคนที่เขารักที่สุด
“อาโอมิเนะ เคยเจอเจ้าของบ้านนี้ใช่ไหม ?”
“อืม”
“ตอนนี้ไม่รู้อยู่ไหนแล้วนะ ไม่เห็นกลับมาเลยสักครั้ง”
คำถามนั้นก็เป็นคำถามที่อาโอมิเนะอยากรู้เหมือนกัน ตอนนี้คากามิอยู่ที่ไหนกันแน่นะ จากวันนั้นก็ผ่านมาเกือบหกปีแล้ว ไม่มีข่าวคราว ไม่มีจดหมายสักฉบับ มันเหมือนกับว่า เรื่องราวสองปีนั้นเป็นแค่ความฝันที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป หากไม่ใช่ว่ามีคิเสะกับคาซามัตสึซังอยู่ด้วย เขาอาจจะคิดว่า เขาได้เจอกับวิญญาณในบ้านหลังนี้ก็เป็นได้
“ฝากบ้านไว้สักอาทิตย์ได้ไหม ?”
“หา ?”
“ฉันว่าจะกลับไปบ้านโน้นน่ะ”
บ้านโน้นที่ว่าก็คือบ้านจริงๆของทานากะซัง ซึ่งเจ้าตัวเล่าว่า เล็กและแคบ มีทั้งลูกชาย ลูกสะใภ้และหลานๆอยู่กันเต็มไปหมด ตัวแกก็เลยมาอยู่บ้านที่โตเกียว ตอนที่ได้ยินเรื่องนี้จากคาซามัตสึซังก็ไม่คิดว่าจะเป็นบ้านใหญ่โตแบบนี้ แต่มาอยู่นี่ก็สงบดี แค่ทำความสะอาดบ้าน ดูแลสวนนิดๆหน่อยๆ ไม่ต้องยุ่งวุ่นวายกับใคร นานๆก็กลับไปบ้านทีหนึ่งให้หายคิดถึง
“อืม ได้สิ”
“แน่ใจนะ”
ที่จริงทานากะซังจะกลับไปบ้าน ประมาณปีละหนึ่งครั้ง แต่ช่วงเวลาไม่แน่นอน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่อาโอมิเนะดูตอบรับด้วยเสียงอ่อยๆ แบบไม่สมกับเป็นเด็กหนุ่ม จนทานากะซังนึกสงสัยว่า มีอะไรหรือเปล่า จากการอยู่ด้วยกันมาหลายปี แม้เด็กหนุ่มจะเป็นคนเอาแต่ใจและดื้อรั้น แต่ลึกลงไปก็เป็นเด็กดีมีน้ำใจ อาจจะปากเสียไปบ้าง แต่นั่นก็เพื่อกลบเกลื่อนความอาย
“อืม แค่อาทิตย์เดียวเอง ไม่เป็นไรหรอก”
ในเมื่อพูดอย่างนั้น ทานากะซังเองก็ไม่อยากเซ้าซี้อะไร ที่ผ่านมาทั้งสองคนได้ร่วมแบ่งปันเรื่องราวในชีวิตให้แก่กันและกัน ทั้งเรื่องดีและไม่ดี เรื่องสุขและเรื่องเศร้า มาตอนนี้เด็กหนุ่มก็อยู่ชั้นมัธยมปลายแล้ว คงมีเรื่องอะไรอยู่ในใจบ้างเป็นธรรมดา หากไม่เล่าออกมาก็คงเป็นเพราะไม่อยากเล่า
“งั้นก็เจอกันนะ”
“อืม แล้วเจอกัน”
++++++++++
วันนี้เป็นครั้งแรกที่อาโอมิเนะโดดซ้อมชมรมในวันเสาร์ เมื่อคืนเขาขออนุญาตนอนค้างที่บ้านคากามิ ในตอนแรกแม่เหมือนจะอยากทัดทาน แต่สุดท้ายก็ยอมอนุญาตแต่โดยดี เช้านี้อาโอมิเนะจึงมานอนกลิ้งไปมาอยู่ที่ระเบียงซึ่งหันหน้าออกไปทางสวนของบ้าน
เมื่อก่อนที่ตรงนี้เคยมีโต๊ะเก้าอี้สีขาวสำหรับจิบน้ำชาอยู่ แต่พอเจ้าของบ้านหายตัวไป มันก็ถูกย้ายเข้าไปไว้ในห้องเก็บของโดยทานากะซังที่ให้เหตุผลว่า เดี๋ยวมันจะสกปรก ซึ่งเขาก็คิดว่าดีเหมือนกัน เพราะจะได้มีระเบียงกว้างๆเอาไว้นอนกลิ้งไปกลิ้งมา เวลาดูทานากะซังทำสวน
เดือนนี้คิเสะกับคาซามัตสึซังไปทำงานที่ต่างประเทศเกือบทั้งเดือน ที่จริงแล้วเป็นงานของคิเสะ แต่หลังจากผ่านการขอร้องอ้อนวอนต่อรอง ใช้ทุกวิถีทางที่ใช้ได้ คาซามัตสึซังก็ยอมไปด้วย ในเมื่อทานากะซังกลับไปบ้าน คิเสะกับคาซามัตสึซังไปทำงาน วันนี้จึงเป็นวันที่อาโอมิเนะอยู่บ้านของคากามิเพียงลำพัง
วันนี้...เป็นวันเกิดครบรอบ 16 ปีของอาโอมิเนะ...
อาโอมิเนะไม่ได้ฉลองวันเกิดมาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ อาจเพราะเรื่องของคากามิ หรือเพราะรู้สึกว่ามันยุ่งยากวุ่นวาย แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไร อาโอมิเนะก็บอกทุกคนว่า เขาไม่ต้องการฉลองวันเกิดของตัวเอง ปกติคิเสะและคาซามัตสึซังจะมาหา ไม่มีของขวัญหรือเค้กใดๆ แต่ก็จะแวะมาทุกปี ทานากะซังเอง แม้จะไม่รู้วันเกิดของเขา แต่ก็ไม่เคยกลับบ้านตรงกับช่วงวันเกิดพอดี นี่จึงเป็นวันเกิดแรกที่เขาอยู่เพียงลำพัง
“เป็นวันเกิดที่น่าเบื่อชะมัด...”
อาโอมิเนะยกแหวนขึ้นส่องกับแสงแดด เนื่องจากเป็นแค่แหวนเก่าๆ มันจึงไม่ส่องประกายสวยงามดั่งเช่นที่ควรจะเป็น นี่คือแหวนที่เขาได้รับมาจากคากามิตอนวันเกิดอายุครบ 10 ปี เป็นของที่มีค่าที่สุดของอาโอมิเนะ เพื่อให้สะดวกแก่การพกติดตัว คาซามัตสึซังจึงซื้อสร้อยมาให้ร้อยแหวนเข้าไป จะได้ไม่ต้องสวมให้เกะกะที่นิ้ว หลังจากวันนั้นอาโอมิเนะก็พกแหวนติดตัวตลอดเวลา จะถอดออกก็เฉพาะตอนเล่นบาสเก็ตบอลเท่านั้น
“นี่ ฉันเล่นบาสเก่งขึ้นแล้ว
“ถ้าเป็นตอนนี้จะต้องชนะนายได้แน่ๆ”
ในความทรงจำของอาโอมิเนะ คากามิตัวสูงมาก สูงจนรู้สึกว่าไม่สามารถเอื้อมถึงได้ ที่จริงตอนยังเด็กเขาก็รู้สึกว่าทั้งคิเสะและคาซามัตสึซังเองก็สูง แต่มาตอนนี้เขาสูงเลยผู้ใหญ่สองคนนั้นมาแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้จะสูงเท่ากับคากามิแล้วหรือยัง อยากจะสูงให้เท่ากับคากามิ อยากสามารถมองตาอีกฝ่ายได้โดยไม่ต้องเงยหน้า อยากจะเท่าเทียมกัน
“ทำไมถึงไม่กลับมาซะที งานอะไรมันจะนานขนาดนี้”
อาโอมิเนะนึกถึงจดหมายที่แนบมากับแหวน กล่าวถึงเรื่องราวของคำอธิษฐาน แม้จะรู้ดีตั้งแต่ตอนนั้นว่า มันเป็นแค่คำโกหก เพื่อให้เขามีความหวัง ไม่ให้เขาเสียใจ ถึงจะรู้อย่างนั้นก็ยังเฝ้าอธิษฐานต่อแหวนเสมอมา เฝ้าบอกความต้องการจากหัวใจ ซึ่งมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ต้องการ
“วันเกิดปีนี้ ขอของขวัญสักอย่างจะได้ไหม”
ในชีวิตของอาโอมิเนะนั้น ไม่เคยมีอะไรขาดแคลน ถึงจะเรียนไม่เก่งเท่าไร แต่ก็มีความสามารถทางบาสเก็ตบอลมาชดเชย ที่บ้านไม่มีปัญหา ได้รับความรักความเอาใจใส่ เพื่อนๆให้การยอมรับ ทุกอย่างดูราบรื่นและสวยงามจนน่าอิจฉา แต่ลึกลงไปนั้น มีสิ่งหนึ่งที่เขาต้องการมาตลอด เฝ้าปรารถนามาตลอด
“อยากเจอ...คากามิ...”
ถึงจะอธิษฐานเรื่องนี้หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยพูดออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว โตจนอายุ 16 ปีแล้ว ยังเชื่อเรื่องคำอธิษฐานดูน่าอายชะมัด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากจะวิงวอนต่อใครสักคน เทพหรือปีศาจก็ได้ อะไรก็แล้วแต่ที่มีพลังอำนาจ ช่วยพาคนคนนั้นกลับมาหาเขาที
อยากจะพบ...
อยากจะพูดคุย...
อยากจะกอด...
อยากจะสัมผัส...
อยากจะ...
อยากจะ...
.
.
.
“อาโอมิเนะ ?”
พอได้ยินเสียงนั้น อาโอมิเนะก็ลุกพรวดขึ้นทันที เพราะกลับตัวเร็วเกินไป ก็เลยเผลอยันตัวพลาด กลิ้งตกระเบียงลงมานอนแผ่อยู่บนพื้นสวน แต่ภาพที่ปรากฏชัดแก่สายตานั้นคือ ท้องฟ้าเบื้องบนที่สว่างสดใสและใบหน้าของใครคนหนึ่งที่กำลังก้มลงมามองเขา คนที่มีเส้นผมสีแดงและรอยยิ้มที่สว่างสดใส ไม่ต่างจากในความทรงจำ
“เป็นอะไรไหม ?”
อาโอมิเนะค่อยๆลุกขึ้นยืน อยากจะหยิกแก้มตัวเองดูสักที เพื่อทดสอบว่า ไม่ได้ฝันไป แต่ที่ตกลงมา เมื่อกี๊ก็เจ็บเอาการอยู่ คงไม่ใช่ฝันหรอก คากามิกลับมาแล้วจริงๆ ตัวเป็นๆกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา แถมยังไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด เหมือนคากามิในความทรงจำของเขาทุกอย่าง
“ตัวสูงขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย เมื่อก่อนตัวแค่นี้เอง”
“ทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะ ? จำฉันไม่ได้แล้วเหรอ ?”
เพียงแค่นั้นอาโอมิเนะก็ตรงเข้าไปกอดคนตรงหน้าเอาไว้แน่น ความอบอุ่นจากร่างกายนั้นเป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่า นี่คือความเป็นจริง เหมือนมีคำพูดมากมายที่อยากบอก หลายต่อหลายอย่างที่คิดเอาไว้ ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา แต่มาตอนนี้ทุกอย่างหายไปจากสมอง อะไรก็ช่างหัวมันเถอะ ขอแค่มีคากามิเท่านั้นก็พอแล้ว
“ยังขี้อ้อนเหมือนเดิมเลยนะ”
“หนวกหูน่า”
“อะไรกัน ปากเสียขึ้นกว่าเดิมอีก”
เสียงหัวเราะของคนในอ้อมแขนนั้น ก้องกังวานอยู่ในหัวใจ อาโอมิเนะนึกอยากหยุดช่วงเวลานี้ไว้ตลอดชั่วนิรันดร์ เขาไม่รู้หรอกว่า อนาคตต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร หากพรุ่งนี้โลกแตกสลายก็จะช่างหัวมัน เพราะเขาได้อยู่กับคนคนนี้แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่สนใจแล้ว
“ยังเล่นบาสอยู่หรือเปล่า”
“อืม”
“แล้วมีแฟนรึยัง ?”
คำถามนั้นทำให้อาโอมิเนะปล่อยมือจากคากามิในทันที เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีแดงเข้มคู่นั้น เพื่อหาความจริงของคำถามนั้น แต่ก็ไม่พบอะไร นอกจากหมายความตามที่พูดจริงๆ ตลอดมาคากามิไม่รู้ถึงความรู้สึกของเขาจริงๆหรือ ถึงเขาจะอายุแค่ 10 ปี แต่เขาก็รู้ดีว่า อะไรคือคำว่าพิเศษ ในตอนนั้น เขาอาจะยังไม่เข้าใจความหมายของความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างคนสองคน ไม่รู้จักสัมพันธ์ทางกาย แต่ภายในจิตใจของเขา ไม่สิ ลึกลงไปในวิญญาณ เขารู้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอแล้วว่า คนคนนี้พิเศษแค่ไหน
“สัญญา...ยังอยู่ใช่ไหม ?”
“อา..ถ้านายยังอยากจะได้สัญญานั้นก็ยังมีผลอยู่นะ”
“ถ้าอย่างนั้น ขอเพิ่มอีกสักข้อได้ไหม”
“หืม ?”
อาโอมิเนะถอดสร้อยที่ร้อยแหวนออกจากคอ แล้วดึงแหวนออกมาถือไว้ในมือ ก่อนจะคว้ามือคากามิขึ้นมาแล้วสวมมันเข้าไปที่นิ้ว แหวนนั้นพอดีอย่างเหลือเชื่อกับนิ้วของคากามิ ราวกับว่า มันถูกทำขึ้นมาให้กับคากามิโดยเฉพาะ
“ถ้าฉันชนะ นายจะต้องเป็นของฉัน”
คากามิจ้องมองแหวนในมือของตัวเอง ก่อนจะหัวเราะออกมา ตอนแรกอาโอมิเนะคิดว่าจะต้องโดนเขกตัวสักทีสองที เมื่อตอนสมัยเด็ก โดนบ่นว่าทำเรื่องไร้สาระอะไรอีกแล้ว ที่สำคัญ นั่นมันแหวนที่คากามิให้มา แต่เขากลับเอามันมาใช้เสียนี่ รู้ทั้งรู้ว่าเป็นแบบนั้น แต่ไม่รู้ว่าทำไม ถึงรู้สึกว่า ต้องเป็นแหวนวงนี้เท่านั้น ถึงจะผูกพันคากามิเอาไว้ได้
“ก็ได้...ถ้าชนะฉันได้ล่ะก็นะ...”
“ไหนดูซิว่า...เก่งขึ้นขนาดไหนแล้ว”
อาโอมิเนะแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลยว่า อีกฝ่ายจะยอมรับเงื่อนไขนี้โดยง่ายดาย เขาคิดมาตลอดว่า คากามิคงมองเขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง จะต้องใช้ความพยายามมากมายเพียงใด ถึงจะได้รับการยอมรับ มาถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่แน่ใจว่า สิ่งที่คากามิให้สัญญานั้น เป็นเพียงแค่ความเอ็นดูของผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็กหรือเปล่า แต่นั่นก็เป็นโอกาสแล้วที่เขาจะได้ใกล้ชิดและบอกความรู้สึกของเขาแก่อีกฝ่าย
“แต่ก่อนที่จะทวงสัญญา ฉันมีเรื่องจะบอก”
“หืม ?”
คากามิก้าวเข้ามาใกล้เขา ก่อนจะสัมผัสเบาๆที่แก้ม เป็นสัมผัสที่บางเบาจนแทบจะไม่รู้สึก แต่ลึกลงไปในหัวใจกลับเอ่อล้นด้วยความสุขและความยินดี อยากจะคว้าตัวคนตรงหน้ามากอด อยากจะเอาคืนด้วยริมฝีปากของเขา แต่คนทำถอยหลังหนีไปไกล แถมยังหน้าแดงไปจนเกือบถึงหู ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายเริ่มแท้ๆ
“สุขสันต์วันเกิดอายุครบ 16 ปีนะ อาโอมิเนะ”
จากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ ผ่านมา 6 ปีแล้ว ประโยคนี้ยังคงเป็นสิ่งเดียวที่เขาอยากได้ในวันเกิด ไม่ว่าปีนี้หรือปีไหนๆ เขาอยากจะได้ยินคำอวยพรนี้จากคนคนนี้ เท่านั้นก็เพียงพอ
“อาโอมิเนะ !!”
คากามิเรียกชื่อเขาด้วยความตกใจ ก็สมควรอยู่ล่ะ เพราะอยู่ดีๆเขาก็พุ่งเข้าไปกอด ที่จริงอยากจะจูบมากกว่า แต่แค่นี้ก็ดูท่าทางตกใจมากพอแล้ว ขืนทำมากกว่าคงโดนต่อยแน่ๆ ช่วงเวลาดีๆแบบนี้ ไม่อยากให้จบลงด้วยการหาเรื่องเจ็บตัว เพราะความงี่เง่าของตัวเองหรอกนะ
“ห้ามไปไหนอีกนะ”
“ต่อจากนี้ ห้ามหายตัวไปอีกนะ”
ฟังดูเป็นประโยคคำสั่ง แต่ที่จริงเป็นคำขอร้องจากหัวใจของอาโอมิเนะ เขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายค่อยๆ ยกแขนขึ้นกอดตัวเขาไว้อย่างอ่อนโยน ลูบผมของเขาอย่างนุ่มนวลแทนคำขอโทษ แม้จะไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากของคากามิ แต่อาโอมิเนะกลับรู้สึกเหมือนได้รับคำตอบแล้ว
.
เมื่อเวลาเปลี่ยนผ่าน...หลายอย่างเปลี่ยนแปลง...
เด็กน้อยโตเป็นชายหนุ่ม...ร่างกายเล็กๆกลายเป็นสูงใหญ่...
แต่ภายในหัวใจนั้นคงเดิม...ยังรักเพียงคนคนเดิม...
.
จากความฝัน...มาสู่ความจริง...
จากอดีต...จวบจนปัจจุบัน...
จากวันนี้...ตลอดจนนิจนิรันดร์...
จะรัก...ตลอดไป...
เทวดาผู้มีปีกสีขาว...ของฉัน....
++++++++++
จบ !! เขียนจบด้วยล่ะ !! ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ให้การสนับสนุนด้วยแรงคอมเมนต์
(เดี๋ยวจะไปปั่น COF ที่คืบหน้าด้วยความเร็วเท่าหอยทากเดินชิลกินชาไข่มุก)
ที่จริงเรื่องนี้มีตอนพิเศษที่อยากเขียนอีก เช่น เรื่องคิเสะกับคาซามัตสึ เรื่องของอาโอมิเนะกับคากามิหลังจากนี้
เรื่องของบรรดาเทวดาทั้งหลายบนสวรรค์ เรื่องนั้นเรื่องนี้อีกมากมาย
เอาเป็นว่า พับไว้ก่อน ไปเคลียร์ไหดองอื่นก่อนนะ ดองไว้นานๆจะเค็มเกินจนลืมพล็อต
ต้องขอโทษคนอ่านด้วยที่ภาษามันขรุขระแล้วกับกำลังขับรถอยู่บนโลกพระจันทร์ โดยเฉพาะภาคสอง
ทั้งนี้ขอยอมรับผิดแต่โดยดี แม้เป็นฟิคเผา แต่ขอแก้ตัวนิดๆว่า เพราะมันไม่ค่อยว่างทีหนึ่งยาวๆ
เขียนทีละนิด ทีละนิด มันก็เลยขรุขระ เหมือนเอาหินมาวาง หวังว่าคงไม่มีใครหกล้มหน้ากระแทกพื้นนะคะ OTL
(แถมดันไม่ค่อยสะดุดตอนหมาออกมาอีก แง หมาแย่งซีนอ่ะ เค้าไม่ได้ตั้งใจนะ T^T)
ส่วนปริศนาอื่นๆของเรื่อง เช่น คากามิไปไหนมา ? ไปฝึกวิชาบนเขาหรืออะไร คงต้องรอมีโอกาสจะเขียนตอนพิเศษนะคะ
คงต้องรอให้ว่างๆๆๆๆ เสียก่อน (อย่างน้อย ขอปีใหม่ ไม่ต้องไปทำงานจะได้ไหม)
มาตอบเมนต์กันก่อนดีกว่า แล้วค่อยเมาท์มอยเรื่องอื่นต่อ
hnee : เห็นใจคนอ่านจริงๆ เพราะต้องทนอ่านอะไรยาวๆที่ภาษาไม่ลื่นสักนิด ขอบคุณจริงๆที่อ่านจนจบค่ะ
ภาคนี้ได้เจอกันแล้วเนอะ แฮปปี้เอนดิ้งทุกประการแล้ว
Kotomine : ท่านโคโตมิเนะ เดี๊ยนอยากขอโทษที่ครั้งก่อนไม่ได้ตอบคอมเมนต์ท่าน เพราะว่าใช้เปิดตอนล่าสุดแล้วไล่ตอบเอา
(ท่านคอมเมนต์ในหน้าหลัก) เพิ่งมาเห็นทีหลัง ต้องขอโทษด้วยจริงๆค่ะ ตอนนี้อารมณ์ไม่ค้างแล้วเนอะ ^0^ เขียนจบแล้วนะ
ส่วนเรื่องที่อาโอมิเนะรักมั่นปักใจกับคากามิ เป็นเพราะเทวดาจะรักคนเพียงคนเดียว ไปตลอด ทุกชีวิตที่เกิดใหม่ค่ะ
เบม : มีต่อแล้วนะคะ คงให้อายุเท่ากันไม่ได้อ่ะ ยกเว้นจะเจอกันในชีวิตต่อไป
Frerazia : อ่านเมนต์ท่านแล้วแอบขำ น่าเสียดายที่ตอนนี้อาโอมิเนะไม่ได้ไปฉุด แต่ก็น่าสนใจอยู่นะคะ พล็อตนี้
คิเสะรุ่นพี่นี่เป็นอีกคู่ที่อยากแต่งฟิคมาก แต่ยังเขียนซีรี่ย์ของคู่นี้ไม่ได้สักที (จะเพิ่มไหดอง ??)
Blue anemone : ขำอ่ะ งวดนี้มาแบบสั้นๆ แต่ทำคนเขียนหัวเราะดังลั่นเลยค่ะ
terewasabi : หลังไมค์กันไปหมดแล้วมั้ง ?? เอาเป็นว่า ถึงมีสร้อยก็ไม่มีน้ำลายหมานะยะ แล้วฟิคนี้ก็ไม่ใช่คุโรคากะซะหน่อย !!
Primmieมุ่ย : ขอบคุณจริงๆค่ะ ที่มาสมัครเพื่อเมนต์ ที่จริงไม่ต้องสมัครก็เมนต์ได้นะ แต่เพื่อความเข้มข้นในการเมนต์ (?)
ท่านมาสมัครเพื่อเมนต์ฟิคเรา เราดีใจจริงๆ แล้วเจอกันใน COF นะคะ เราจะรอเมนต์ต่อไป ด้วยใจมุ่งมั่น
Kretis : มาอัพแล้วค่ะ แหมไม่ต้องขู่กันก็ได้ น่าจะแฮปปี้แล้วเนอะ ส่วนเรื่องคากามิโชตะ เราคงยังไม่สามารถเพิ่มไหดองได้
เพราะคิดพล็อตไม่ออกค่ะ (หัวเราะ) จะพยายามกับ COF ไปก่อนแล้วกัน
ต่อจากตรงนี้ลงไป เราจะเล่าพล็อตฟิคที่ทำให้เกิดเป็นฟิคเรื่องนี้ค่ะ หรือก็คือ เรื่องที่เขียนเอาไว้บางส่วนในภาคหนึ่ง
สมัยที่คากามิยังมีปีก ถ้าใครขี้เกียจอ่าน ก็ปิดไปเลยค่ะ แล้วเจอกันใหม่ในเรื่องอื่น หรือตอนพิเศษของเรื่องนี้นะคะ
อย่าลืมเมนต์เป็นกำลังใจ ไม่ให้คนเขียนแห้งตายนะคะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านงานค่ะ
พล็อตฟิคที่ไม่มีวันได้เกิด (หัวเราะ)
โลกของเรานั้นมีเทวดาค่ะ แต่เทวดาไม่มีปีก มนุษย์ต่างหากที่มีปีก แต่แค่หนึ่งในหลายล้านคน จะมีสักคนที่มีปีก
พลังแห่งปีกนี้ มนุษย์ผู้นั้นจะไม่สามารถนำไปใช้งานอะไรได้ หากตายแล้วเกิดมาในชีวิตใหม่ก็จะติดตามไปเรื่อยๆค่ะ
แต่ปีกนี้จะมีพลังคล้ายๆฟีโรโมนซึ่งเรียกพวกเทวดามาได้ เพราะเทวดาทั้งหลายจะต้องการพลังของปีกนี้
ตามท้องเรื่องพวกรุ่นปาฏิหาริย์ทั้งหมดจะเป็นเทวดาค่ะ ซึ่งจะลงมายุ่งวุ่นวายกับคากามิ (ผู้มีปีก แต่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองมี)
แต่คนที่ยุ่งด้วยจริงๆและใกล้ชิดมากๆก็คือ คุโรโกะกับอาโอมิเนะค่ะ ซึ่งตอนแรกคากามิจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ทั้งคู่เป็นเทวดา
อาโอมิเนะนั้นจะหน้าด้านแบบสุดๆ (หัวเราะ) เพราะเป็นคนที่บินลงมาจากท้องฟ้า แล้วก็บอกคากามิหน้าตาเฉยว่า
"นาย มาเป็นของฉันซะ" นั่นก็เพราะว่า พลังแห่งปีกจะเป็นของเทวดาได้ ต่อเมื่อมนุษย์ผู้มีปีกเต็มใจยกตัวเองให้เทวดาเป็นเจ้าของค่ะ
การสืบทอดปีกนั้นจะเกิดหลังจากมนุษย์ผู้นั้นตายลง แต่ในตอนนั้นคากามิไม่รู้ว่าตัวเองมีพลังอะไร ก็เลยคิดว่า อาโอมิเนะเป็นแค่คนบ๊องๆ
อยู่ไปอยู่มาอาโอมิเนะก็หลงรัก คากามิไปโดยไม่รู้ตัว ตอนแรกก็ค้านหัวชนฝา เวลามีคนพูดแบบนั้น คิดว่าเป็นเพราะฟีโรโมนของปีก
มารู้ตัวเอาทีหลังว่า ปีกอะไรก็ช่างหัวมันเถอะ ขอแค่ได้อยู่กับคากามิก็พอใจแล้ว ก็เลยไปสารภาพรัก แน่นอนว่าคากามิตอบตกลง
ท้งสองคนได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยกัน โดยไม่สนใจเรื่องของมนุษย์หรือเทวดา (ตอนนี้คากามิจะเชื่อแล้วว่า อาโอมิเนะเป็นเทวดา)
อาโอมิเนะซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงหนึ่งในหกเสาแห่งสวรรค์ ถึงกับมอบดาบที่เป็นอาวุธประจำตัว มีอำนาจในการตัดพลังอำนาจทุกอย่างได้
ให้กับคากามิ เพื่อแทนคำสาบานว่า จะละทิ้งชีวิตของเทวดาและอยู่ด้วยกัน จนกว่าคากามิจะหมดลมหายใจ
(อาโอมิเนะตั้งใจว่าจะไปเกิดเป็นมนุษย์ หลังจากความตายในชีวิตนี้ของคากามิ)
ต่อมาคากามิได้รู้เรื่องของพลังแห่งปีกจากอาคาชิ ซึ่งทำให้คากามิเข้าใจว่า สิ่งที่อาโอมิเนะทำทั้งหมดก็เพื่อปีกของเขา
ที่อยู่ด้วยกัน ก็เพื่อเฝ้ารอเก็บเกี่ยวพลังแห่งปีกในตอนที่เขาตาย คากามิจึงใช้ดาบนั้นตัดปีกทั้งสองข้างออก แล้วยื่นให้อาโอมิเนะ
(หลังจากมนุษย์รู้ว่าตัวเองมีพลังแห่งปีกแล้ว ปีกนั้นจะปรากฏออกมาให้เห็นได้ด้วยตาเปล่าได้ ทั้งนี้ขึ้นกับเจตจำนงของมนุษย์ผู้นั้น)
พร้อมกับบอกว่า หากอยากได้ ก็เอาไป แล้วยุติเรื่องราวทั้งหมดเพียงแค่นี้เถอะ เขาไม่ต้องการหลอกตัวเองไปมากกว่านี้
อาโอมิเนะต้องการจะอธิบาย เขากอดร่างนั้นเอาไว้ ในขณะที่ความรุนแรงของการฉีกกระชากปีกออกจากร่างกายนั้น
ทำให้วิญญาณของคากามิหลุดออกจากร่างทั้งที่ยังไม่หมดอายุขัย แล้วคากามิก็จากไป โดยที่ยังคิดว่า อาโอมิเนะหลอกลวง
ส่วนอาโอมิเนะก็ได้แต่กอดร่างกายที่ไร้ชีวิตไว้ในอ้อมแขน กระซิบบอกคำขอโทษที่ไม่เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง
พร้อมกับปฏิญญาณว่า จะตามหาให้พบ ไม่ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน ก็จะตามหาให้พบแน่ๆ
ส่วนปีกนั้น เนื่องจากไม่ได้ผ่านการสืบทอดโดยปกติ พลังของมันจึงสามารถถูกแบ่งแยกออกเป็นชิ้นส่วนเล็กๆได้
โดยการเอาขนนกไปละลายในน้ำจากแม่น้ำแห่งสวรรค์ แล้วดื่มเข้าไป ยิ่งละลายขนนกมากเท่าไร พลังก็ยิ่งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
ด้วยความหวงเข้าขั้นคลั่งของอาโอมิเนะ แม้ชิ้นส่วนเดียวก็ไม่อยากยกให้คนอื่น หากทิ้งไว้นานกว่านี้ จะต้องมีคนลงมาแย่งชิงกันแน่ๆ
อาโอมิเนะจึงกินทั้งหมดเข้าไป ซึ่งถือเป็นเรื่องต้องห้าม เพราะพลังแห่งปีกนั้นยังไม่ได้ถูกปรับให้เข้ากับร่างกาย ด้วยคำอนุญาตของ
ผู้เป็นเจ้าของปีก หรือถูกทำให้เจือจางโดยน้ำแห่งสวรรค์ จึงเกิดการต่อต้านขึ้นในร่างกายของอาโอมิเนะ หากเป็นเทวดาเล็กๆ
อาจจะดับสูญไปในทันที โชคดีที่ชายหนุ่มเป็นผู้ถือครองพลังอันยิ่งใหญ่ จึงสามารถต่อต้านพลังนั้นเอาไว้ได้
จากนั้นอาโอมิเนะจึงออกตามหาคากามิจนเจอ แล้วก็เป็นอย่างที่เขียนในเรื่องค่ะ อาโอมิเนะไปโกหกคากามิตลอดว่า
เป็นเทวดาประจำตัว อยู่ด้วยกันไปสักพัก คากามิก็ดันป่วยไม่สบาย แล้วก็ตายจากไป อาโอมิเนะค่อยมาเข้าใจทีหลังว่า
เป็นเพราะตัวเอง ก็เลยพยายามหลีกหนีให้ห่างออกมา วนเวียนไปเรื่อยๆ จนมาถึงที่เขียนในซีรี่ย์นี้ค่ะ
แอบอยากเล่าเรื่องจริงๆให้คนอ่านฟัง แต่ไม่รู้มีใครอ่านความฟุ้งซ่านของเราไหม 55+
อาจจะไร้สาระไปนิด แต่ก็เป็นพล็อตที่เป็นต้นกำเนิดเรื่องนี้เลยนะคะ (หัวเราะ)
ความคิดเห็น