คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : White fate : White Proposal
Author: Monochrome bird
Category: Drama (มั้ง?)
Pairing: อาโอมิเนะ x คากามิ
Rating: PG-13
Disclaimer: ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นของอาจารย์ฟูจิมากิค่ะ พวกเราแค่ยืมมาจิ้นเล่นเท่านั้น
Author notes: หายหัวไปนาน กราบขออภัยคนอ่านทุกท่านค่ะ
+++++++++
“ไปอเมริกาเหรอ ??”
อาโอมิเนะ ไดคิมีทัศนคติที่ไม่ดีกับการเดินทางไปอเมริกา เพราะเขาเคยเจอเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกกลัวจนแทบบ้า กลัวว่าจะสูญเสียคนสำคัญไปกับอุบัติเหตุเครื่องบินตก แม้จะเข้าดีว่า นั่นเป็นแค่โอกาสหนึ่งในหมื่น หรืออาจจะหนึ่งในล้านของเที่ยวบินทั้งหมด แต่ความรู้สึกที่เหมือนวิญญาณถูกฉีกกระชากออกจากร่างกาย แล้วโยนลงหุบเหวลึกที่มืดสนิทนั้น คงไม่อาจลืมเลือนได้ในเร็ววัน
“ว่าจะไปอาทิตย์หน้าน่ะ”
หนทางเดียวที่สามารถระบายความขุ่นเคืองใจออกไปได้บ้างก็คือ การเล่นบาสเก็ตบอล อาโอมิเนะจึงพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะแสร้งทำเป็นไม่สนใจคำพูดของคากามิ แล้วนำความหงุดหงิดทั้งหมดมาลงกับเจ้าลูกบอลสีส้ม โดยการดังค์มันลงห่วงอย่างแรง หลายต่อหลายครั้ง จนแป้นบาสโยกคลอนไปมา
“นี่ ฟังอยู่หรือเปล่า อาโอมิเนะ”
ได้ยินสิ แต่ไม่อยากรับฟังและไม่อยากรับรู้ ความกลัวของเขาเป็นเรื่องที่งี่เง่าเกินกว่าจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้ ในเมื่ออเมริกาเป็นที่ที่คากามิเติบโตมา แถมพ่อซึ่งเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวก็อยู่ที่นั่นด้วยเรื่องงาน มันก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว ไม่ใช่หรือ ที่จะต้องบินกลับไปเยี่ยมที่นั่นบ้าง นานๆครั้ง
..แต่ถึงจะเข้าใจ...ก็ยังหงุดหงิดอยู่ดี...
อุบัติเหตุนั้นเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา จะเดินทางด้วยเครื่องบิน หรือแค่เดินออกไปซื้อของที่ฝั่งตรงข้าม ก็มีโอกาสจะเกิดอุบัติเหตุได้เช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่ทำให้อาโอมิเนะรู้สึกไม่สบายใจก็คือ ภาพข่าวที่ยังคงติดอยู่ในความทรงจำ ภาพซากของเครื่องบินหลังจากการลุกไหม้ของเปลวไฟ ภาพที่เห็นแล้วยากจะเชื่อว่า ยังมีผู้รอดชีวิต
“หยุดเล่น แล้วฟังกันก่อนสิวะ”
เนื่องจากอาโอมิเนะกำลังคิดอะไรต่างๆมากมาย เขาจึงดังค์ลูกด้วยการเคลื่อนไหวในรูปแบบเดิมๆ จนคากามิสามารถกระโดดขึ้นปัดลูกและแย่งมาไว้ในมือได้อย่างง่ายดาย อาโอมิเนะหันมองตามลูกบาสเก็ตบอลไป ก่อนจะเบนสายตาไปจ้องมองคนที่กำลังถือมันเอาไว้ เขารู้สึกโกรธและต้องการเดินหนีไปจากตรงนี้ เขาจะทำอย่างไรได้อีก ในเมื่อคากามิดึงดันจะให้เขาฟัง ในสิ่งที่เขาไม่ต้องการจะฟัง
“ฉันจะไปอเมริกาอาทิตย์หน้า”
“นายไปด้วยกันกับฉันไหม ??”
สิ่งที่ได้ยินนั้น ช่างแตกต่างจากที่คาดเอาไว้ เขานึกว่าจะได้ยินเรื่องระยะเวลาที่จะอยู่ที่นั่น เรื่องเล่าเกี่ยวกับคนทางนั้น หรืออาจถามว่า อยากได้อะไรเป็นของฝาก แต่กลับไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด คากามิกำลังเอ่ยปากชวนเขาไปอเมริกาด้วยกันและกำลังพยายามอธิบายต่อว่า พ่อส่งตั๋วเครื่องบินมาให้สองใบ บอกให้ชวนเพื่อนมาเที่ยวที่นี่สักคน
“ฉันมีตั๋วเข้าชมการแข่งขันบาสเก็ตบอลทีมโปรดของนายด้วยนะ”
“สนใจหรือเปล่า ??”
ถึงจะไม่ใช่การเดินทางไปต่างประเทศ ถึงจะไม่มีเรื่องเกี่ยวกับบาสเก็ตบอล อาโอมิเนะก็ยินดีที่จะไปทุกหนทุกแห่ง หากนั่นเป็นคำชวนของคากามิ พวกเขาสองคนไม่เคยไปไหนไกลเกินกว่า สนามสตรีทบาสเก็ตบอลและซุปเปอร์มาร์เก็ต เวลาที่อยู่ด้วยกันส่วนใหญ่ ถ้าไม่หมดไปกับการเล่นบาสเก็ตบอล ก็จะเป็นการทำอะไรเรื่อยเปื่อยในบ้านของคากามิ อย่างการดูทีวี กินข้าวแล้วก็พูดคุยกัน วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาแทบทุกครั้ง
“แล้วนี่ก็เป็นการตอบแทน..”
“...เรื่องพลุในตอนนั้น”
คำว่าพลุ ทำให้จิตใจที่กำลังเบิกบานของอาโอมิเนะห่อเหี่ยวลงในทันที เขายังจำได้ดีว่า คากามิต้องจ่ายอะไรเป็นค่าตอบแทนสำหรับของขวัญชิ้นนั้น ความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นจากการที่เขาลากตัวอีกฝ่ายออกไปกลางดึก ทำให้เซย์รินไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากความพ่ายแพ้ในการแข่งขันอินเตอร์ไฮ
“ว่าแต่นายมีพาสปอร์ตหรือเปล่า ??”
ที่จริงการทำพาสปอร์ตไม่ได้มีขั้นตอนยุ่งยากมากนัก แต่ต้องใช้เวลาพอสมควร หากไม่มีพาสปอร์ตอยู่แล้ว การจะไปอเมริกาในอาทิตย์หน้านั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย โชคดีที่อาโอมิเนะมีพาสปอร์ตอยู่แล้ว เหลือแค่ดำเนินการขอวีซ่า ก็พร้อมที่จะเดินทางได้ทุกเมื่อ
...ไม่สิ...ยังติดอีกเรื่อง...
...เรื่องแม่...
แม่ของอาโอมิเนะนั้นมีโรคประสาทอ่อนๆ หลังจากเกิดเรื่องกับพี่ชายของเขา ปกติแล้วแม่จะนั่งอยู่ในบ้านเฉยๆเงียบๆ ทำเหมือนกับว่าเขาไม่มีตัวตน ไม่น่าสนใจอะไร แต่วันดีคืนดี แม่ก็จะเดินออกมาตามหาเขา ถามกับคนนู้นคนนี้ว่าเขาอยู่ที่ไหน และจะไม่ยอมกลับบ้านจนกว่าจะได้เจอเขา ส่วนใหญ่บ้านโมโมอิจะคอยดูแลให้เวลาเกิดอาการแบบนั้นแล้วเขาก็จะต้องรีบดิ่งกลับบ้านไป เพื่อไม่ให้รบกวนคนรอบข้างไปมากกว่านี้
“พาสปอร์ตน่ะมี...แต่ว่า...”
หากเขาไปอเมริกากับคากามิแล้วแม่เกิดมีอาการอะไรขึ้นมาล่ะ จะทำอย่างไร ? เขาคงบินกลับมาหาแม่ในทันทีไม่ได้ ส่วนพ่อที่ทำแต่งานอยู่ที่ต่างจังหวัดก็คงไม่สามารถช่วยอะไรได้ ปัญหาทั้งหมดก็จะไปกองอยู่กับบ้านของยัยซัทสึกิ ไม่ดีแน่ๆ ไม่ดีหรอกที่จะทำแบบนั้น
“เป็นห่วงที่บ้านเหรอ ?”
คากามิพูดได้ตรงประเด็นเสียจนอาโอมิเนะยังแทบสะดุ้งเมื่อได้ยิน อีกฝ่ายรู้ปัญหาที่บ้านของเขาดี เพียงแต่ปกติแล้ว หากไม่ใช่เขาเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน คากามิจะพยายามไม่พูดถึงประเด็นนี้ เหมือนจงใจจะหลีกเลี่ยง ไม่อยากให้เขารู้สึกไม่ดี แต่ถ้าหากเขาเป็นคนพูดขึ้นมาก่อนแล้วล่ะก็ อีกฝ่ายก็จะตั้งใจฟังเป็นอย่างดี
“ทำนองนั้นแหละ”
“งั้นก็กลับไปคิดดูก่อนก็ได้ แล้วพรุ่งนี้อย่าลืมให้คำตอบ”
คากามิย้ำหนักย้ำหนา เพราะกลัวว่า ถ้าอาโอมิเนะมาตกลงเอาทีหลัง จะทำวีซ่าไม่ทัน ถึงจะมีคนรู้จักของพ่อช่วยจัดการเรื่องให้ก็เถอะ แต่มันก็ต้องใช้เวลาบ้างนิดหน่อย ไม่ใช่ว่าอยากจะเอาเร็วแค่ไหนก็ได้
การพูดคุยเรื่องไปอเมริกา ทำให้ทั้งสองคนเลิกเล่นบาสเก็ตบอลเร็วกว่าปกติ บางทีนี่คงเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เขากลับจากเล่นบาสเก็ตบอลทั้งที่ฟ้ายังไม่มืด พอผลักรั้วประตูบ้านเข้าไป เขาก็มองเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่เคยสังเกตมาก่อน แม่ของเขากำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้นานาชนิดที่สามารถบานได้ในฤดูร้อน เขาเคยคิดว่า แม่อยู่ในสภาพไม่สามารถดูแลอะไรให้เบ่งบานและเติบโตงดงามได้หรอก แต่ดูเหมือนว่า เขาจะคิดผิด
“อ้าว ไดคิ วันนี้กลับมาเร็วนะ ?”
ที่จริงหมอก็เคยบอกเหมือนกันว่า แม่ดีขึ้นมากแล้ว ทั้งอาการสับสน โศกเศร้าและรู้สึกผิด ค่อยๆจางหายไป แม่สามารถยอมรับความจริงได้มากขึ้น ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น สามารถยิ้มและหัวเราะได้กับเรื่องราวเล็กๆน้อยๆที่เขาเล่าให้ฟังได้
...ทั้งหมดต้องขอบคุณคากามิ...
หลังจากเหตุการณ์เครื่องบินตกนั้น อาโอมิเนะก็พูดคุยเรื่องตัวเองกับคากามิมากขึ้น ทุกครั้งที่เขาเล่าปัญหาต่างๆของที่บ้านให้ฟัง คากามิจะรับฟังเงียบๆไม่ออกความเห็นใดๆ อย่างมากก็เพียงแค่บอกว่า ถ้าอยากมาที่นี่เมื่อไหร่ ก็มาได้ทุกเมื่อ ในตอนนั้นอาโอมิเนะคิดว่า คากามิพยายามช่วยเขา โดยการให้ที่หลบภัย ยามเมื่อปัญหาซัดสาดเกินกว่าจะรับไหว จะได้มีพื้นที่เล็กๆให้พักผ่อน ให้ลืมความทุกข์ไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะกลับไปเผชิญหน้ากับความจริงที่เกิดขึ้น
แต่สิ่งที่คากามิมอบให้ กลับยิ่งใหญ่กว่าที่เขาคาดไว้มากมายนัก ชายหนุ่มเพิ่งตระหนักถึงความจริงข้อนี้ หลังจากเวลาผ่านมาได้สักพักหนึ่ง เขาเริ่มสังเกตเห็นว่า คากามิมักทำอาหารเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ แล้วบังคับให้เขาเอากลับไปแบ่งกินกับคนที่บ้าน อาหารนั้นไม่ใช่ของเหลือจากการรับประทานไม่หมด แต่เป็นอาหารที่ตั้งใจทำเผื่อเอาไว้อยู่แล้ว แถมยังกำชับแล้วกำชับอีกว่า ต้องกินให้หมด ห้ามเหลือทิ้งโดยเด็ดขาด แม้คากามิจะไม่ได้ระบุอย่างเฉพาะเจาะจงว่าให้เอาไปฝากใคร แต่อาโอมิเนะก็ไม่มีตัวเลือกอื่น นอกจากแม่ของเขา การเอาอาหารจากบ้านคากามิกลับไปนั่งกินพร้อมกับแม่ จึงกลายเป็นภารกิจที่ได้รับมอบหมาย มากกว่าจะเป็นการทำด้วยความสมัครใจ
ใครเล่าจะรู้ว่า มันเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายในชีวิตของเขา แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่คาดคิดว่า มันจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นได้ ในตอนแรกอาโอมิเนะคาดว่า จะต้องอดทนต่อความเงียบที่น่าอึดอัดระหว่างรับประทานอาหาร แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น พอเวลาผ่านไปไม่นาน เขาก็พบว่า ตัวเองสามารถเล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันให้แม่ฟังได้
ความเปลี่ยนแปลงแรกที่เกิดขึ้นคือ รอยยิ้ม สิ่งที่ไม่ได้เห็นมานานแสนนาน จนเกือบลืมไปว่า แม่ของเขายิ้มได้อ่อนโยนเพียงใด ต่อมาคือคำพูด ที่ไม่ใช่การบ่นพึมพำ การต่อว่าคนอื่น การกล่าวโทษตัวเองหรือถามซ้ำไปซ้ำมากับเรื่องเดิมๆ แต่เป็นคำพูดจริงๆ คำพูดที่ใช้โต้ตอบบทสนทนาต่างๆในชีวิตประจำวัน เป็นเพียงแค่คำพูดง่ายๆที่คนอื่นอาจจะได้ยินอยู่ทุกวัน แต่เขากลับไม่ได้ยินแม่พูดมานานหลายปี
“กลับมาแล้ว”
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ”
เมื่อเขาพูดว่า “ไปแล้วนะ” หรือ “กลับมาแล้ว” ก็จะได้ยินคำพูดตอบกลับมาว่า “ไปดีมาดีนะ” หรือว่า “ยินดีต้อนรับกลับบ้าน” มันเป็นเพียงคำพูดง่ายๆที่ใครๆเขาก็พูดกัน แต่อาโอมิเนะกลับรู้สึกยินดีทุกครั้งที่ได้พูดสิ่งเหล่านี้กับแม่ มันแสดงให้เห็นว่า แม่กำลังรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบตัวมากขึ้น กำลังยอมรับที่จะกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง
“วันนี้พ่อก็จะกลับมาบ้านด้วยนะ”
พ่อเป็นคนที่อาโอมิเนะโกรธมากที่สุด เพราะพ่อไม่ทำอะไรเลย นอกจากทำงาน แต่พอเวลาผ่านไป อาโอมิเนะถึงได้เข้าใจว่า พ่อเองก็พยายามที่จะหลีกหนีความเจ็บปวด เช่นเดียวกับเขา แม้มันจะเป็นเรื่องไม่ถูกต้องที่ทิ้งขว้างลูกชายซึ่งเพิ่งอยู่ม.ต้น เอาไว้กับแม่ที่เป็นโรคประสาทอ่อนๆ แต่พ่อในตอนนั้น ก็ไม่สามารถจะแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ด้วยตัวเองเพียงคนเดียว จึงต้องหนี เพื่อรักษาสภาพจิตใจของตัวเองเอาไว้
“ไหนว่าเป็นวันมะรืน”
“เห็นเขาว่า งานเสร็จเร็วกว่ากำหนดน่ะ”
พ่อเองก็พยายามแก้ไขสิ่งที่ตัวเองทำพลาดไว้ พ่อพยายามกลับบ้านบ่อยขึ้น หลังจากที่เห็นว่า เขาพยายามพูดคุยกับแม่ พยายามเปิดใจแม่ บางทีพ่ออาจจะรู้สึกว่า ตัวเองต้องพยายามทำอะไรบ้าง ไม่อย่างนั้นจะกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นพ่อได้อย่างไร
ตอนนี้สถานการณ์ในบ้านของเราดีขึ้น...ดีขึ้นมากจริงๆ...
ทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นจาก...สตูหม้อเล็กของคากามิ...
อาโอมิเนะเคยคิดว่า บางทีอาหารของคากามิอาจจะมีเวทมนต์อะไรบางอย่างก็เป็นได้ นอกจากรสชาติที่อร่อยล้ำจนเกินคำบรรยาย บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในนั้น สามารถเปิดทางออกในหัวใจที่มืดมิดของแม่เขาได้ ทั้งๆที่เจ้าตัวก็ไม่ได้ไปร่ำเรียนหรือพยายามศึกษาหาความรู้เรื่องการทำอาหาร แต่ในทุกจานที่คากามิทำ มันเหมือนมีเครื่องปรุงพิเศษ ซึ่งไม่สามารถหาซื้อได้จากที่ไหน บางทีคากามิอาจจะเหมาะไปเป็นกุ๊กมากกว่านักกีฬาบาสเก็ตบอลก็เป็นได้
“นั่นไง พูดถึงปุ๊บก็มาเลย”
พ่อก็ยังเป็นพ่อเหมือนดังเช่นที่ผ่านมาเสมอ ยังคงใส่สูท ผูกไทด์ตรงเป๊ะตามมาตรฐานพนักงานบริษัทตัวอย่าง หิ้วกระเป๋าสีดำใบเดิมที่ใช้มานมนานและบรรยากาศแบบเดิม พ่อเป็นคนไม่ค่อยยิ้ม ไม่ชอบแสดงความรู้สึกใดๆออกทางสีหน้าและด้วยความที่เป็นคนพูดน้อย จึงยากนักที่จะคาดเดาได้ว่า พ่อกำลังคิดอะไรอยู่
“ช่วงนี้คากามิคุงไม่อยู่เหรอ ?”
“ถึงได้กลับบ้านก่อนสองทุ่ม”
พ่อและแม่ของอาโอมิเนะรู้จักคากามิผ่านทางเรื่องเล่าและพฤติกรรมของลูกชาย ในตอนแรกทั้งคู่คิดว่า คากามิที่ถูกกล่าวถึงนั้นเป็นสาวสวย ทำอาหารเก่ง ทั้งยังเป็นคนจิตใจดี ชอบเอาใจใส่ผู้อื่น จนทั้งคู่แอบหวังเอาไว้ว่าสักวันหนึ่ง จะได้เป็นครอบครัวเดียวกัน พอฟังเรื่องของคากามิมากๆเข้า ถึงได้รู้ว่า คากามินั้นไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็นผู้ชายต่างหาก
“มีเรื่องนิดหน่อย ก็เลยกลับมาก่อนน่ะ”
“แต่ไม่ได้ทะเลาะกันหรอกนะ”
บ่อยครั้งที่คากามิและอาโอมิเนะปะทะคารมกัน จนถึงขั้นทะเลาะและโกรธเคืองกันไปพักใหญ่ ช่วงเวลานั้นอาโอมิเนะจะกลับบ้านเร็วแทบทุกวันเพราะไม่รู้ว่าจะไปเตร็ดเตร่ที่ไหนดี หรือถ้าจะพูดในอีกแง่หนึ่งก็คือ เจ้าตัวไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทิฐิเกินกว่าจะเอ่ยคำขอโทษออกมา
“แล้วทำไมวันนี้กลับเร็วล่ะ ?”
“คือว่า...”
แม้จะอยากพูดเรื่องการไปอเมริกาสักเท่าใด แต่เขาก็ไม่รู้ว่า ควรจะเริ่มพูดจากตรงไหนก่อนดี แล้วมันเป็นเรื่องที่สมควรพูด ขณะที่ยืนคุยกันอยู่หน้าบ้านหรือเปล่า ? หากพูดออกไปแล้วแม่จะมีปฏิกิริยายังไงนะ จะเครียดไหม จะกรีดร้องหรือเปล่า ถึงอาการของแม่จะดีขึ้นมาก แต่ลึกลงไปในใจ เขาก็ยังไม่เชื่อว่า แม่หายดีแล้ว
การอ้ำๆอึ้งๆ ไม่ใช่นิสัยประจำตัวของลูกชายบ้านอาโอมิเนะ แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องนี้ก็สำคัญเกินกว่าจะพูดออกไปโดยไม่ยั้งคิด ในระหว่างที่กำลังชั่งใจอยู่ว่า จะพูดออกไปตอนนี้เลยดีหรือเปล่า ผู้เป็นพ่อก็ส่งถุงกระดาษในมือให้กับภรรยาของตน แล้วบอกว่าของในถุงนั้นเป็นของฝากขึ้นชื่อของจังหวัดที่เพิ่งไปทำงานมา ให้เอาไปทำกับข้าวเย็นนี้
การขัดจังหวะนั้นทำให้อาโอมิเนะล้มเลิกความคิดที่จะพูดเรื่องนั้นออกไป เขาคิดว่า ควรหาเวลาที่เหมาะสมมากกว่านี้ อย่างน้อยก็ควรรอให้พ่อและแม่ของเขาได้มีเวลาดีๆด้วยกันอีกสักหน่อย ก่อนที่เขาอาจจะพังทลายบรรยากาศที่แสนสงบสุขด้วยการขอไปเที่ยวไกลถึงอเมริกา
“ไดคิ ไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า”
“แล้วไปหาพ่อที่ห้องนั่งเล่น”
คำพูดนั้นฟังดูคล้ายกับคำสั่ง ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาคงเลือกที่จะต่อต้าน อาจจะแกล้งทำเป็นขึ้นไปนอนหลับที่บนห้อง หรืออาจจะหมุนตัวเดินออกไปจากบ้านทันทีที่พ่อพูดจบก็เป็นได้ แต่ตอนนี้เขาเลือกที่จะทำตามคำสั่งนั้น ไม่ใช่เพราะกลัว ไม่ใช่เพราะเขานึกอยากเชื่อฟังพ่อขึ้นมา แต่เป็นเพราะตัวเขาเองก็มีเรื่องที่อยากจะพูดคุยกับพ่อเช่นกัน
พออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย อาโอมิเนะก็รีบเดินมาที่ห้องนั่งเล่น เขาเห็นว่าพ่อยังอยู่ในเสื้อผ้าชุดเดิม เพียงแต่ถอดสูทและไทด์ ปลดกระดุมสองสามเม็ดบนของเสื้อเชิ้ตออกและพับแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย ไม่ให้เกะกะ แม้จะเป็นเสื้อผ้าชุดเดิม แต่เขากลับรู้สึกไม่คุ้นตา เพราะแต่ไหนแต่ไรมา พ่อมักจะใส่แต่ชุดสูทเต็มยศ ติดกระดุมเรียบร้อยทุกเม็ด ไทด์ดึงชิดจนถึงคอ ไม่เคยปล่อยเสื้อผ้าให้หลุดลุ่ย หรือยับย่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“นั่งสิ”
เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่ายืนนิ่งอยู่เป็นเวลานานพอสมควร เมื่อพ่อของเขาเอ่ยปากเป็นเชิงสั่งให้นั่งลง มันเป็นความรู้สึกแปลกๆ เพราะเขาไม่ได้คุยกับพ่อตรงๆอย่างนี้มานานแล้ว ไม่สิ ถึงจะเป็นเมื่อก่อน เขาก็แทบไม่ได้คุยกับพ่อเลย เพราะพ่อเป็นคนพูดน้อย ไม่ว่าจะทำอะไรหรือเล่าอะไรให้ฟัง ก็เพียงแต่ตอบรับสั้นๆหรือนั่งฟังเงียบๆเท่านั้น มันเป็นอะไรที่น่าเบื่อที่สุด สำหรับคนอย่างอาโอมิเนะ ไดคิ เจ้าตัวจึงชอบเล่าเรื่องราวต่างๆให้แม่ฟังเสียมากกว่า
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ไดคิ ?”
พ่อชอบถามคำถามประมาณนี้มาตั้งแต่เมื่อก่อน คำถามที่ตัวเขาเองไม่แน่ใจว่า ควรจะตอบว่าอย่างไรดี คำถามของพ่อมักจะไม่ค่อยชี้เฉพาะเจาะจง เป็นคำถามสั้นๆที่ฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจว่า ตกลงอยากจะรู้เรื่องอะไรกันแน่ เขาจึงแสร้งทำเป็นนิ่งเฉย เหมือนไม่ได้ยินเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ครั้งนี้คงทำอย่างนั้นไม่ได้
“หมายถึงเรื่องอะไรล่ะครับ”
“ไม่รู้สิ...”
คำว่า ไม่รู้สิ เป็นคำที่เขาได้ยินมานับร้อยนับพันหนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาถามอะไรสักอย่างกับพ่อ สิ่งที่ได้มามักจะไม่ใช่คำตอบของคำถามนั้น แต่มักจะเป็นคำว่า ไม่รู้สิ ซึ่งสร้างความหงุดหงิดใจให้แก่เขาเป็นอย่างมาก จนเขาเลิกตั้งคำถามกับพ่อไปในที่สุด ความเงียบคือสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้ เขาไม่อยากถามในสิ่งที่ไม่ได้คำตอบและไม่อยากพูดเมื่อไม่แน่ใจว่า อีกฝ่ายกำลังตั้งใจฟังหรือไม่
“พ่อแค่รู้สึกว่า...ลูกมีเรื่องจะพูดไม่ใช่เหรอ ?”
ภายหลังความเงียบอันยาวนานนั้น คำพูดเพียงหนึ่งประโยคที่ถูกเอ่ยออกมานั้น สร้างความรู้สึกมากมายขึ้นในใจของเขา ทั้งที่มันเป็นเพียงคำพูดประโยคเดียว คำพูดที่คล้ายคลึงจะเป็นการถามย้ำเพื่อความมั่นใจ แต่ลึกลงไปข้างใน ลึกลงไปภายใต้ความปกติธรรมดาของสิ่งที่พูดคุยนั้น มันคือความรู้สึกที่เขาตามหามานาน มันคือความรัก มันคือความห่วงใย
“ทำไมถึงรู้ได้ล่ะ...”
“ถามแปลกๆ ไดคิน่ะ เป็นคนดูง่ายมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
หากคำพูดนี้ออกมาจากปากคนอื่น เขาคงไม่รู้สึกอะไรเท่าไรนัก แต่กับพ่อ คนที่เขารู้สึกว่าห่างไกล คนที่เขารู้สึกว่าไม่เคยสนใจในตัวเขามากไปกว่าการหยิบยื่นเงินมาให้ กลับสามารถอ่านความรู้สึกของเขาออกในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
“แล้วอยากจะคุยอะไรล่ะ ?”
น่าแปลกที่เรื่องราวทั้งหมดค่อยๆพรั่งพรูออกจากริมฝีปากของเขาอย่างง่ายดาย ตอนแรกเขาคิดว่า จะต้องถูกซักถาม ถูกตำหนิ ถูกขัดจังหวะ แต่ไม่เลย พ่อของเขาเพียงแต่นั่งฟังสิ่งที่เขาเล่าเงียบๆ แม้ว่ามันจะวกวนและซ้ำซาก เพราะเขาไม่สามารถเรียบเรียงความกังวลใจออกมาเป็นถ้อยคำได้อย่างสมบูรณ์ แต่ถึงอย่างนั้น พ่อก็ไม่ได้ว่าอะไร
“ก็ไปสิ ไม่เห็นเป็นไรเลย”
“แต่ว่า...แม่...”
“ไม่เป็นไรหรอก”
เสียงทุ้มต่ำนั้น ทำให้เขาสามารถรำลึกถึงช่วงเวลาในวัยเยาว์ ช่วงเวลาที่ชีวิตเต็มไปด้วยความสุข ความทรงจำอันล้ำค่าที่ถูกความเจ็บปวดบดบังจนลืมเลือนมันไป พ่อของเขานั้นเป็นคนไม่ค่อยพูดก็จริงอยู่ แต่ก็ไม่เคยทิ้งเขาไปไหน ในช่วงเวลาที่ผิดหวัง ท้อแท้หรือโศกเศร้า ก็จะเห็นพ่ออยู่ใกล้ๆเสมอ พ่อจะไม่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จะอยู่ตรงนั้นจนกว่าเขาจะเล่า จะลูบหัวแล้วบอกว่า ไม่เป็นไรหรอก พูดคำนี้ซ้ำๆ ราวกับร่ายคาถาให้เขาเชื่อว่า ทุกอย่างจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี
“ขอโทษนะที่ทิ้งให้ลูกแบกภาระคนเดียวมาเป็นเวลานาน”
“ถึงจะช้าสักหน่อย แต่ว่า...”
“พ่อก็ยังอยู่ตรงนี้นะ”
มนุษย์เราตอบสนองต่อความเจ็บปวดแตกต่างกันออกไป แม่ของเขาเลือกที่จะไม่ยอมรับ หนีเข้าไปในโลกแห่งความฝัน ระเบิดออกมาเป็นความคลุ้มคลั่งที่ไม่อาจควบคุมได้ พ่อของเขาเลือกที่จะหนี ไม่อยู่ในที่ที่สามารถตอกย้ำถึงความเจ็บปวดนั้น พยายามลืมเลือนสิ่งที่เกิดขึ้น ทำเป็นว่า มันไม่มีอยู่จริง ส่วนตัวเขาเองน่ะก็...
ตัวเขาเอง...ก็เลือกที่จะเลิกเชื่อใจคนอื่น เลิกตั้งความหวัง เพราะกลัวว่าจะผิดหวัง ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง จำกัดโลกของตัวเองให้แคบลง เอาแต่บอกตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่า ชีวิตนี้ไม่มีทางที่จะดีขึ้นได้ โลกนั้นจะยังคงเป็นโลกอันมืดมิด ไร้ซึ่งแสงสว่างใดๆไปจนถึงลมหายใจสุดท้ายของชีวิต
จนกระทั่ง...คนคนนั้นก้าวเดินเข้ามา...
หลังจากการพ่ายแพ้ อาโอมิเนะอาจจะด่ำดิ่งลงไปในความมืดที่ลึกยิ่งขึ้นกว่าเดิม หากไม่ได้คำพูดหนึ่งช่วยเอาไว้ คำพูดที่บอกเขาว่า นี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต มันเป็นเพียงการเริ่มต้น คำพูดที่เปิดหนทางใหม่ๆให้เขาก้าวเดิน มอบความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับโลกแห่งความเป็นจริง ถึงจะต้องผิดหวังสักกี่ครั้ง ก็ขอให้รู้เอาไว้ว่า โลกกลมๆใบนี้นั้น
...ยังคงมีความหวังอยู่...
++++++++++
มหานครนิวยอร์กเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คน เป็นเมืองแห่งความเร่งรีบไม่แตกต่างจากกรุงโตเกียว หลายต่อหลายคนมักเข้าใจผิดว่า นิวยอร์กเป็นเมืองหลวงของสหรัฐอเมริกา แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ นิวยอร์กเพียงแต่เป็นเมืองศูนย์กลางแห่งเศรษฐกิจและแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญเท่านั้นเอง
“เอ้า ตามสบายเลยนะ”
ตอนนี้อาโอมิเนะกำลังยืนอยู่ในห้องชุดของคากามิ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งขนาดของห้องก็ไม่แตกต่างจากห้องที่ญี่ปุ่นเท่าไรนัก มีทั้งห้องครัวและห้องนั่งเล่นแบ่งเป็นสัดส่วน แถมยังตั้งอยู่ในย่านที่เดินทางไปมาสะดวก ราคาของมันจึงแพงลิบลิ่วตามคุณสมบัติของมัน
“แล้วพ่อนายล่ะ ?”
“เห็นว่ามีเรื่องด่วน เลยบินไปที่แคลิฟอร์เนียเมื่อวานซืน”
อาโอมิเนะตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้พบกับพ่อของคากามิ ชายหนุ่มไม่เคยพบกับพ่อแม่ของเพื่อนคนไหนมาก่อน เว้นแต่ยัยซัทสึกิที่รู้จักคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก เขาจึงไม่แน่ใจว่าควรจะปฏิบัติตัวต่อหน้าผู้ใหญ่อย่างไรดี จะให้สำรวมก็คงลำบาก แต่จะให้ปล่อยตัวตามสบายเลยก็คงไม่ใช่
“คงกลับมาอีกทีอาทิตย์หน้า”
“งั้นก็ไม่ได้เจอกันน่ะสิ”
ตั๋วเครื่องบินที่จองไว้นั้น มีกำหนดกลับในอีกห้าวันข้างหน้า อาโอมิเนะนึกอยากถามอีกฝ่ายอยู่เหมือนกันว่า ทำไมถึงต้องรีบกลับ ตั๋วเครื่องบินก็ไม่ใช่ถูกๆ น่าจะอยู่นานกว่านี้อีกสักหน่อย แต่คิดไปคิดมา คากามิอาจจะห่วงซ้อมก็เป็นได้ ครั้งก่อนที่มีความจำเป็นต้องเดินทางมาอย่างกะทันหัน ก็ยังบ่นถึงเรื่องซ้อม
“ไม่เป็นไรหรอก พ่อน่ะงานยุ่ง ต้องไปโน้นมานี่ตลอด”
“กลับมา บางทีก็ไม่ได้เจอ”
แม้คากามิมักจะพูดว่า เขาเคยชินกับการอยู่คนเดียว แต่อาโอมิเนะกลับรู้สึกได้ถึงความเหงาบางๆที่เจืออยู่ในคำพูดเหล่านั้น คากามิเป็นคนไม่ค่อยชอบเล่าเรื่องของตัวเองเท่าไรนัก ถ้าเขาถามก็ตอบ ถ้าเขาเล่าเรื่องตัวเองก่อน ก็มีบ้างที่จะพูดถึงเรื่องของตัวเอง แต่ไม่เคยเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อนเลยสักครั้ง
คากามิแนะนำให้อาโอมิเนะรู้จักส่วนต่างๆของบ้าน ตำแหน่งของเครื่องใช้สอยในชีวิตประจำวัน บอกว่า ใช้ทุกอย่างได้ตามสบาย เข้าออกทุกห้องได้ตามสบาย เว้นแต่อย่างเดียวเท่านั้นที่ห้ามทำคือ เข้าไปในห้องของพ่อเขา ซึ่งอาโอมิเนะก็รับปากและแอบนึกบ่นอยู่ในใจว่า ห้องของพ่อนาย ใครเขาจะไปอยากเข้า แล้วจะเข้าไปทำไม ??
“นายมีที่ไหนที่อยากไปเป็นพิเศษหรือเปล่า”
อาโอมิเนะส่ายหน้าแทนคำตอบ ในหัวของชายหนุ่มมีเพียงแต่ข้อมูลเกี่ยวกับบาสเก็ตบอลและไมจังเท่านั้น ความสนใจในเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่นหรืออเมริกาเท่ากับศูนย์ ไม่มีที่ไหนที่อยากไปเป็นพิเศษเลยแม้แต่นิดเดียว คากามิเองก็ไม่ใช่คนชอบเที่ยวเท่าไรนัก ตอนอยู่อเมริกาก็ใช้ชีวิตอยู่แค่บ้าน โรงเรียนและสนามบาสเก็ตบอลเท่านั้น
“งั้นแวะไปหาเพื่อนฉันก่อนแล้วกัน”
“คนที่บอกว่าจะให้ตั๋วน่ะ”
การจราจรของนิวยอร์กนั้นแออัดไม่แตกต่างจากโตเกียวเท่าไรนัก ถึงกระนั้นการที่เห็นทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดก็ทำให้อาโอมิเนะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหลงทางอยู่ในโลกต่างมิติ อ่านอะไรก็ไม่ค่อยเข้าใจ ฟังก็ไม่รู้เรื่อง ถ้าเกิดพลัดหลงกับคากามิขึ้นมาแล้วล่ะก็ ดูท่าจะแย่แน่ๆ
สถานที่ที่คากามิพาไปนั้นเป็นสนามสตรีทบาสเก็ตบอลซึ่งมีผู้คนอยู่จำนวนหนึ่ง ส่งเสียงเชียร์การแข่งขันหนึ่งต่อหนึ่งด้วยความสนุกสนาน ตอนที่พวกเขาก้าวเข้าไปในสนามนั้นก็เป็นเวลาเดียวกับที่ลูกบอลสีส้มลอดผ่านห่วงอย่างพอดิบพอดี
“ไทกะ !!”
คนแรกที่สังเกตเห็นคือ ผู้ชนะของเกมเมื่อครู่ เป็นชายหนุ่มร่างยักษ์ผิวสีขาว ผมสีทองและดวงตาสีฟ้าตามแบบฉบับของผู้ชายตะวันตกที่หลุดออกมาจากนิยาย ทำเอาอาโอมิเนะนึกสงสัยว่า การเล่นบาสเก็ตบอลกลางแดดนั้น ไม่ทำให้ผิวขาวเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นบ้างเลยหรือ
“อ๊ะ ไทกะ !!”
นอกจากเสียงเรียกชื่อตัวของคากามิแล้ว อาโอมิเนะก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่า คนอื่นๆพูดอะไรกัน เพราะทุกคำพูดทุกประโยคนั้นเป็นภาษาอังกฤษ เขารู้แต่เพียงว่า ทุกๆคนดูอยากจะพูดคุยกับคากามิ ต้องการจะทักทาย หยอกล้อ ถามไถ่เรื่องราวต่างๆกันไม่หยุด
คากามิเป็นเช่นนี้เสมอ รอบตัวของชายหนุ่มนั้นมักเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ความสนุกสนานและความชื่นชมยินดี คากามิเหมือนดวงตะวันที่ส่องแสงอันอบอุ่นและอ่อนโยน ไม่ว่าใครก็อยากอยู่ใกล้ๆ เพราะอยู่ใกล้ๆแล้วมีความสุข แม้แต่คนอย่างเขา คนที่ครั้งหนึ่งเคยลืมไปแล้วว่า ความสุขเป็นเช่นไร
...ก็ยังสามารถ...ยิ้มได้จากหัวใจ...
คากามิหันมาทางเขา ชี้มือแล้วพูดอะไรบางอย่างเป็นภาษาอังกฤษ อาโอมิเนะรู้แต่เพียงว่ามีชื่อของเขาอยู่ในประโยค น่าจะเป็นการแนะนำตัวเขา จากนั้นจึงมีคนพูดอะไรบางอย่างสั้นๆ แล้วเผยยิ้มเป็นเชิงท้าทาย ถึงจะไม่เข้าใจภาษาสักเท่าไร แต่การแสดงออกทางสีหน้าท่าทางก็รู้ดีว่า นั่นคือการท้าแข่ง
“เขาอยากแข่งกับฉันใช่ไหม ?”
“นายรู้ได้ไง !!”
ทั้งที่อาโอมิเนะมีความสามารถในการฟังภาษาอังกฤษอยู่ในระดับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แต่กลับเข้าใจความต้องการของคนต่างชาติต่างภาษากันได้อย่างถูกต้องแม่นยำ อาจเพราะเป็นพวกบ้าบาสเก็ตบอลเหมือนกัน จึงสามารถสื่อสารกันได้ โดยไม่ต้องอาศัยภาษาหรือคำพูดใดๆมาเป็นสื่อกลาง
“เอาสิ มาลองกันสักตั้ง”
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่า บาสเก็ตบอลของอเมริกาที่เขาว่ากันว่า เก่งหนักเก่งหนา”
“จะสักแค่ไหนกัน”
การเล่นบาสเก็ตบอลแบบหนึ่งต่อหนึ่งนั้น เป็นรูปแบบที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน สามารถตัดสินผลแพ้ชนะกันได้อย่างรวดเร็ว แต่บรรยากาศของการแข่งขันนั้นก็ดุเดือดและเร่าร้อนไม่น้อยไปกว่าการแข่งขันใหญ่ๆ ที่จริงอาจดูแล้วลุ้นระทึกกว่าการแข่งขันแบบเต็มรูปแบบของพวกไม่มีฝีมือก็เป็นได้
ฝีมือของทั้งสองคนเรียกได้ว่า สูสีกันมาก คนหนึ่งมีพื้นฐานที่ดีมาก เพราะได้รับการฝึกฝนบาสเก็ตบอลมาตั้งแต่จำความได้ ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงลูก การเลย์อัพ การชู้ต ก็ฝึกซ้อมจนเกิดความชำนาญเหมือนเป็นการเคลื่อนไหวอย่างหนึ่งในชีวิตประจำวัน ไม่ต่างจากการเดิน การวิ่งหรือการกินอาหาร ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นพวกขี้เกียจซ้อม ไม่ชอบทำอะไรซ้ำซาก แต่เป็นคนชอบความท้าทาย ไม่ยึดติดกับกรอบเดิมๆ จึงมีสไตล์การเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ทำให้คู่ต่อสู้จับทางได้ยาก ซ้ำยังดูคุ้นเคยและเป็นธรรมชาติยิ่งกว่าคนที่ฝึกมาอย่างหนักเสียอีก
การแข่งขันนั้นจบลงด้วยชัยชนะของผู้มาเยือนและเสียงโห่ร้องของคนดูรอบข้าง หลังจากนั้นทุกคนก็ขอลองแข่งหนึ่งต่อหนึ่งกับอาโอมิเนะ เพราะนึกสนุกอยากจะประลองฝีมือกับคนญี่ปุ่นคนนี้ คากามิปล่อยให้อีกฝ่ายเล่นสนุกจนพอใจ ในระหว่างนั้นเขาถามหาเพื่อนซึ่งบอกว่า จะให้ตั๋วเข้าชมการแข่งขัน NBA คากามิรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันที่ไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ที่สนาม ปกติไม่ว่าฝนตกแดดออก จะช่วงสอบหรืออะไรก็แล้วแต่ คนคนนั้นจะต้องอยู่ที่นี่ จะมาเล่นบาสเก็ตบอลที่นี่เสมอ เพราะคนคนนั้นชอบบาสเก็ตบอลยิ่งกว่าใครๆ ชอบจนเรียกได้ว่า บ้าคลั่งเลยก็ได้
“อ้อ นายยังไม่รู้เรื่องเจ้าคีธสินะ”
“ตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นขึ้น มันก็ไม่ค่อยได้มาที่สนามสักเท่าไร”
คีธคือเพื่อนชาวอเมริกันตัวสูงใหญ่ ผิวสีเข้ม ผู้ชื่นชอบบาสเก็ตบอลยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกนี้ คากามิเคยเชื่อว่า คีธอาจจะอยู่ได้หลายวัน หากขาดอาหาร แต่คงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้เกินครึ่งวัน หากขาดบาสเก็ตบอล เจ้าตัวหลงรักกีฬาชนิดนี้จนเรียกได้ว่า เป็นเหมือนลมหายใจ การที่บอกว่าคีธไม่ค่อยได้มาที่นี่ สามารถตีความได้สองอย่างคือ หนึ่ง มันไปเจอที่ที่ดีกว่า กับสอง เกิดเรื่องอะไรร้ายแรงจนคีธไม่สามารถเล่นบาสเก็ตบอลได้อีก ซึ่งคากามิให้น้ำหนักกับอย่างหลังมากกว่า
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ ?”
เพื่อนๆจ้องมองหน้าของคากามิ ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง เนื่องจากเจ้าตัวเป็นคนแสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้า ทุกคนจึงเข้าใจได้ในทันทีว่า คากามิกำลังหวั่นเกรงว่าจะมีเรื่องอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นกับคีธ
“โมน่าเกิดท้องขึ้นมาน่ะ”
“ตอนนี้เบบี้ก็อายุได้ปีกว่าแล้ว มันก็เลยทำงานตัวเป็นเกลียว หาเงินเลี้ยงลูกอยู่”
คากามิกระพริบตาถี่ๆเมื่อได้ฟังคำเฉลย อารมณ์เหมือนกำลังคิดว่าจะโดนหมัดขวาตรงเข้าที่คางแบบจังๆจนหงายหลัง แต่กลับกลายเป็นมีหมาชิสุตัวเล็กๆวิ่งเข้ามาฝังเขี้ยวตรงข้อเท้าแทน จะว่าเจ็บก็เจ็บ แต่มันเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายเสียมากกว่า
คีธกับโมน่าเป็นแฟนกันตั้งแต่สมัยคากามิยังอยู่ที่อเมริกา แม้ว่าทั้งสองจะแก่กว่าคากามิถึงสองปี แต่ก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะแน่ๆ การมีลูกทั้งที่ยังเด็กขนาดนี้ น่าจะเป็นเรื่องลำบากมาก ไม่แปลกที่คีธจะหายหน้าหายตาไปจากสนามบาสเก็ตบอล เพื่อทำงานหาเลี้ยงครอบครัว
“เอ้า พูดถึงก็มา”
การมาเยือนของชายร่างยักษ์ ผิวสีเข้มนั้น ทำให้ทุกคนเป่าปากแซวด้วยความสนุกสนาน เพราะตอนนี้เจ้าตัวมีผมสั้นตกแต่งเป็นทรงอย่างเรียบร้อย แตกต่างจากเมื่อก่อนที่ไถเกรียนตลอดศก เสื้อผ้าการแต่งตัวก็เปลี่ยนไปมาก เมื่อก่อนใส่แต่เสื้อยืดสีเข้มๆ แต่คีธในวันนี้อยู่ในเสื้อเชิ้ตแลดูเรียบร้อยเสียจนคากามิอาจจะหัวเราะก๊ากออกมาก็ได้ หากไม่รู้มาก่อนว่า เกิดอะไรขึ้นกับชายหนุ่ม
“ไงไทกะ มาเร็วนี่ !!”
คากามิรู้สึกโล่งอก เมื่อเห็นว่า ดวงตาของคีธนั้นยังมีประกายสดใสและมุ่งมั่นร้อนแรงไม่ต่างจากเดิม เขากลัวว่าการที่ต้องห่างจากบาสเก็ตบอลไปนั้นจะทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นคนหดหู่และเศร้าหมอง กลายเป็นเครื่องจักรที่เอาแต่ทำงานเพื่อหาเงิน จนลืมเลือนความสุขของชีวิตไป
“แล้วในสนามนั่นใคร ?”
คีธเคาะเท้าเป็นจังหวะขณะที่ถาม ซึ่งทุกคนรู้กันดีว่า นั่นคืออาการตื่นเต้น เวลาคีธเจอใครที่น่าสนใจ อยากจะแข่งขันบาสเก็ตบอลด้วย เจ้าตัวจะชอบเคาะเท้าเป็นจังหวะ เหมือนแทนเสียงกระดอนเวลาเลี้ยงลูกบาสเก็ตบอล ก่อนที่ทันได้ตอบคำถามว่าคนคนนั้นเป็นใคร คีธก็กระโดดลงไปในสนาม แย่งลูกบาสเก็ตบอลที่เพิ่งลอดลงห่วงแล้วเลี้ยงไปยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของสนาม ขณะที่มือเลี้ยงลูกบอลให้กระดอนขึ้นลงเป็นจังหวะ เขาก็ขยับยิ้มท้าทายผู้มาเยือน
ชายหนุ่มคนที่กำลังแข่งขันกับอาโอมิเนะอยู่นั้นสบถออกมาสองสามคำ แต่ก็ยอมล่าถอยไปแต่โดยดี แม้อาโอมิเนะจะไม่เคยรู้จักคีธมาก่อน แต่จากสีหน้าท่าทางและบรรยากาศรอบข้าง เขาก็พอจะเดาได้ว่า คนคนนี้เก่งมากและน่าจะเก่งที่สุดในบรรดาผู้เล่นทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนี้
ทุกสายตากำลังจับจ้องมาที่สนาม กำลังรอคอยการแข่งขันระหว่างพวกเขาทั้งสองคน ไม่มีเสียงเป่าปากหรือเสียงตะโกนแซวเหมือนดังเช่นการแข่งขันที่ผ่านๆมา ทุกคนกำลังรอด้วยใจจดจ่อว่า อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
...แล้วคีธ...ก็เคลื่อนไหว...
มันเป็นช่วงเวลาเพียงแค่แป๊บเดียว รวดเร็วเกินกว่าที่เขาจะมองได้ทัน มันเป็นการเลี้ยงลูกที่เหมือนพุ่งทะยาน สลับสับเปลี่ยนฝั่งของการเลี้ยงอย่างรวดเร็วและพลิ้วไหว เหมือนกับนักมายากลที่กำลังแสดงโชว์ เมื่อรู้สึกตัวอีกทีลูกกลมๆสีส้มนั้นก็ลอดลงห่วงไปได้อย่างสวยงาม พร้อมด้วยรอยยิ้มที่มุมปากของคนซึ่งเพิ่งทำคะแนนได้สำเร็จ
และนี่ก็เป็นครั้งแรกในชีวิต...ที่อาโอมิเนะ ไดคิได้รู้จักกับคำว่า...
...เจ็บใจ...
++++++++++
เย็นวันนั้นทั้งสองคนได้รับการเชื้อเชิญแกมบังคับให้ไปกินข้าวเย็นที่บ้านคีธ ชายหนุ่มเจ้าของบ้านแอบกระซิบบอกว่า ให้ตามมาแต่โดยดีเถอะ เพื่อสวัสดิภาพของร่างกายและปากท้องของฉัน ถ้าโมน่าไม่เห็นหน้าพวกนายสองคน เย็นนี้ฉันตายแน่ๆ โทษฐานขัดคำบัญชาของพระราชินี
“เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้วน่า”
สาเหตุที่อาโอมิเนะทำหน้าตาบูดบึ้ง ไม่ใช่เพราะอาหารมื้อนี้ไม่ถูกใจ หรือเป็นเพราะใครพูดจาไม่เข้าหู แต่เป็นเพราะถูกบังคับให้เลิกเล่นบาสเก็ตบอลกับคู่แข่งที่เก่งกาจ ซึ่งเจ้าตัวไม่ได้เจอมานานแสนนาน ใครเล่าจะไปคิดว่า คนอย่างอาโอมิเนะ ไดคิ จะเป็นฝ่ายขอเล่นหนึ่งต่อหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่ยอมเลิก
“ไทกะ แน่ใจนะว่า เพื่อนเธอกินอาหารที่ฉันทำได้ ?”
คนที่ถามประโยคนื้คือ โมน่า ภรรยาคนสวยของคีธ ผู้ซึ่งตอนนี้เป็นคุณแม่ลูกหนึ่ง เธอยกอาหารมาวางไว้จนเต็มโต๊ะ เยอะพอจะเลี้ยงคนได้เป็นกองทัพ เธอรู้ดีว่าบรรดาผู้ชายของเธอนั้นกินจุกันขนาดไหน ยิ่งมีไทกะมาร่วมวงด้วย ทำเยอะแค่ไหนก็ไม่พอ
“ไม่มีปัญหา จะชาติไหน เผ่าพันธุ์ไหน ขอแค่เป็นอาหารของมนุษย์ หมอนี่กินได้หมด”
โมน่ายิ้มรับคำพูดนั้น เธอไม่ได้กังวลเรื่องอาหารญี่ปุ่นหรืออเมริกัน แต่เธอกังวลเรื่องฝีมือต่างหาก ทุกคนในกลุ่มรู้กันดีว่า ฝีมือทำอาหารของไทกะนั้น จัดอยู่ในขั้นดีไปจนถึงดีเยี่ยม แล้วคนที่กินอาหารแบบนั้นมาตลอด จะกินอาหารของเธอได้หรือเปล่านะ กลัวว่าจะติดรสชาติที่อร่อยล้ำจนไม่ถูกปากอาหารธรรมดาของเธอน่ะสิ
“กินเยอะๆนะ อา...โอ...มิ...”
“อาโอมิเนะ”
คากามิช่วยเติมชื่อของอาโอมิเนะให้ครบ การออกเสียงชื่อภาษาญี่ปุ่นนั้นเป็นเรื่องยากพอสมควร จะว่าไปที่นี่ก็นิยมเรียกชื่อตัวกันในหมู่เพื่อน ไม่มีใครมานั่งเรียกนามสกุลยาวยืดเหมือนที่ญี่ปุ่น จึงลองถามคนนั่งข้างๆที่กำลังแอบชิมซุปว่า ให้เพื่อนๆของเขาเรียกชื่อต้นได้ไหม
“ไม่มีปัญหา”
พอแปลความ ทำหน้าที่ล่ามเฉพาะกิจเรียบร้อยแล้ว ทั้งคีธและโมน่า ก็เปลี่ยนไปเรียก “ไดคิ” แทนในทันที ซึ่งแม้สำเนียงจะเพี้ยนไปบ้าง แต่ก็ยังเรียกง่ายกว่าคำว่า “อาโอมิเนะ” และแม้จะมีภาษาพูดเป็นอุปสรรคในการสื่อสาร แต่ทุกคนก็ไม่รู้สึกลำบากอะไรที่จะใช้ภาษาใบ้ในการสื่อสาร
“จะว่าไป เรื่องตั๋วล่ะ คีธ”
“อ้อ นายจะเอาประมาณช่วงไหนล่ะ ?”
คีธยังโม้ต่ออีกว่า เขารู้จักกับคนที่ทำงานเกี่ยวกับตั๋ว ฉะนั้นอยากได้รอบไหน วันไหนบอกมาเลย เดี๋ยวจัดให้ รับรองไม่มีปัญหาแน่นนอน ท่าทางคีธจะโม้อีกยาว ถ้าโมน่าไม่กระทุ้งศอกเข้าให้ด้วยความหมั่นไส้
“งั้นพรุ่งนี้ได้หรือเปล่า ??”
“พรุ่งนี้เหรอ ??”
“ถ้าไม่ได้ ขอภายในสัปดาห์นี้ได้ไหม ฉันจะกลับญี่ปุ่นอาทิตย์หน้า”
“สัปดาห์นี้ ??”
ดูจากสีหน้างุนงงของคีธแล้ว คากามิรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ ที่ไม่เมลล์หรือโทรมาบอกก่อนว่า เขาจะมาช่วงไหน เพื่อนจะได้เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า ฉุกละหุกขนาดนี้คงจะไม่ได้สินะ ที่แย่ที่สุดคืออุตส่าห์ชวนอาโอมิเนะมาทั้งที แต่กลับไม่ได้ดูซะนี่ แล้วอย่างนี้จะทำอย่างไรดี ตั๋วผีมีขายไหมเนี่ย
“ไทกะ...”
โมน่าเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา สายตาของชายหนุ่มทุกคนที่อยู่รายล้อมโต๊ะอาหารจ้องมองมาที่เธอ ดวงตาสีเขียวใบไม้ที่งดงามนั้นกะพริบเล็กน้อย ก่อนจะพูดคำบางอย่างซึ่งทำให้บรรยากาศทั้งหมดนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
“รู้หรือเปล่าว่า ช่วงนี้ไม่มีแข่ง NBA”
ไม่ต้องรอคำตอบออกจากปาก แค่มองสีหน้าก็รู้แล้ว คีธถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น อาโอมิเนะมองซ้ายขวาสลับไปมาอย่างงุนงง ก่อนที่โมน่าจะพยายามอธิบายเป็นภาษาใบ้ปนกับญี่ปุ่นแบบกระท่อนกระแท่นให้ฟัง พอเข้าใจสถานการณ์แล้ว อาโอมิเนะก็ร่วมวงหัวเราะด้วยอย่างสนุกสนาน
“ฉันก็ว่า ช่วงนี้ไม่มีแข่ง”
“แล้วทำไมนายไม่บอกเล่า !!”
คากามิถามขึ้นด้วยอารมณ์โกรธนิดๆ ในเมื่อรู้แล้วทำไมไม่บอก ทำไมไม่อธิบาย ปล่อยให้เขาเข้าใจผิดอยู่คนเดียว อุตส่าห์ถ่อมาจนถึงอเมริกา แต่กลับไม่ได้ดูการแข่งขันบาสเก็ตบอล NBA อย่างที่สัญญาเอาไว้ นี่มันแย่จริงๆ นี่มันแย่ที่สุด
“ฉันคิดว่า บางทีอาจจะมีแข่ง เพียงแต่ฉันไม่รู้”
“ใครจะไปคิดว่า คนที่โตมาที่อเมริกา แถมยังบ้าบาสแบบนาย จะพลาดเรื่องแบบนี้ได้”
อาหารเย็นมื้อนั้น จึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนานและเสียงโวยวายของใครบางคนที่คงถูกล้อด้วยเรื่องนี้ไปอีกนานแสนนาน เมื่อทุกอย่างบนโต๊ะถูกกวาดลงท้องจนเรียบหมดแล้ว คีธก็รับอาสาดูแลเรื่องทำความสะอาดถ้วยจานชามต่อและถือวิสาสะลากตัวอาโอมิเนะเข้าไปช่วยด้วย
“ไทกะ ไปรับเคทเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
เคทคือลูกสาวของคีธกับโมน่า เธอมีตาของแม่และผมสีเข้มของพ่อ เพื่อนๆในกลุ่มต่างพากันบอกว่า ดีนะที่เธอได้สีผิวขาวสวยเนียนละเอียดของแม่ ริมฝีปากบางเฉียบที่งดงามของแม่ และใบหน้ารูปไข่ที่แสนน่ารักของแม่ สรุปก็คือ ทุกคนพยายามจะแซวคีธว่า ดีนะที่ลูกสาว หน้าตาไม่เหมือนแก แต่เหมือนโมน่า แม้ตอนนี้เคทน้อยจะมีอายุได้หนึ่งปีกับอีกสามเดือนแล้ว เพื่อนสนิททุกคนก็ยังเรียกเธอว่า เบบี้และไม่รู้ว่า จะเรียกกันไปอีกนานแค่ไหน
วันนี้โมน่าฝากเคทไว้กับเพื่อนของเธอ เพราะต้องการเตรียมตัวต้อนรับแขกอย่างเต็มที่ พอคากามิรู้อย่างนั้นก็บ่นเสียดายที่ไม่ได้เจอเคทน้อย โมน่าจึงชวนอีกฝ่ายออกไปรับลูกสาวด้วยกัน พอทั้งสองคนออกไปได้สักพัก กองถ้วยจานชามทั้งหมดก็ได้รับการทำความสะอาดอย่างเรียบร้อย ในตอนที่อาโอมิเนะกำลังวางจานใบสุดท้ายไว้บนที่คว่ำจาน คีธก็กระแอมขึ้นสองสามครั้ง ก่อนจะพูดด้วยเสียงดังฟังชัดว่า
“นี่ไดคิ นายกับไทกะไปถึงขั้นไหนกันแล้ว ??”
อาโอมิเนะหันมามองหน้าคีธด้วยสีหน้าตกตะลึง ไม่ใช่ด้วยคำถามอย่างเดียว แต่เพราะประโยคนั้นพูดขึ้นด้วยภาษาญี่ปุ่น แถมยังชัดเจนทุกถ้อยคำ ราวกับเป็นเจ้าของภาษา ไม่มีสำเนียงกระท่อนกระแท่นแบบที่ได้ยินโมน่าพูดเลยสักนิดเดียว
“ถามตรงไปเหรอ ? ฉันมันก็ไม่ใช่พวกชอบพูดอะไรอ้อมค้อมซะด้วย”
คีธหัวเราะเสียงดังลั่น แล้วดันหลังอีกฝ่ายให้เดินไปที่ห้องนั่งเล่น เขาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา กดเปิดโทรทัศน์หาช่องที่มีรายการเกี่ยวกับข่าวกีฬา แล้วตบเบาะข้างๆ เป็นเชิงบอกให้นั่งลง
“นายพูดภาษาญี่ปุ่น ?”
“ใช่ ฉันตกลงกับโมน่าไว้ว่า จะแกล้งทำเป็นพูดไม่ได้”
แล้วคีธก็สารภาพเรื่องราวทั้งหมด ที่จริงคีธพูดภาษาญี่ปุ่นได้ในระดับดีทีเดียว เนื่องด้วยงานที่ทำอยู่นั้นมีเจ้านายและเพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก ซึ่งช่วยสอนและบังคับทางอ้อมให้คีธเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่น โมน่าเองก็ฟังภาษาญี่ปุ่นได้ดีสมควร แต่ยังพูดไม่ได้เท่าไรนัก
“แล้วทำไมต้องแกล้ง ??”
“ไทกะจะได้ นึกไม่ถึงว่า ฉันกับนายจะคุยกันได้รู้เรื่องไงล่ะ”
“แล้วตกลง นายกับไทกะไปถึงไหนกันแล้ว”
ที่จริงนอกเหนือจากเรื่องภาษาญี่ปุ่นแล้ว อาโอมิเนะยังไม่ค่อยเข้าใจว่า ทำไมคีธถึงรู้เรื่องพวกเขาสองคนได้ จะว่าคากามิบอกก็คงไม่ใช่ เอาเถอะ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าอีกฝ่ายถามเขาตรงๆไม่อ้อมค้อม เขาสงสัยอะไรก็จะพูดตรงๆไม่อ้อมค้อมเหมือนกัน
“แล้วนายรู้เรื่องพวกฉันได้ยังไง ?”
“หมายถึงความสัมพันธ์ของพวกนายน่ะเหรอ ?”
คีธเลิกคิ้วขณะที่ถามกลับ ก่อนจะตบหลังอาโอมิเนะอย่างแรงแล้วบอกว่า
“ฉันว่า นายควรจะสงสัยว่า มีใครที่ไม่รู้มากกว่านะ”
คีธยังขยายความว่า แค่น้ำเสียงเวลาไทกะพูดถึงนายก็รู้แล้ว นี่ยังไม่นับรวมเวลาแชทกันแบบเห็นหน้าผ่านทางอินเตอร์เน็ต ทั้งสีหน้าท่าทาง ทั้งรอยยิ้มเวลาพูดเรื่องนาย ใครไม่รู้ก็บ้าแล้ว ยิ่งมาเจอนายตัวเป็นๆ ยิ่งแน่ใจ เพราะออร่าดำทะมึนที่แผ่ออกมาเวลาใครเข้าใกล้ไทกะ แล้วยังจะต้องถามอีกเหรอว่า รู้ได้ยังไง
“เอ้าๆ ตานายตอบคำถามฉันบ้างแล้ว พวกนายไปถึงไหนกันแล้ว”
แม้การพูดเกี่ยวกับความรัก จะเป็นเรื่องน่าอาย แต่เมื่ออีกฝ่ายเป็นคีธ ผู้ชายที่ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องสนุกสนานฮาเฮได้ การพูดคุยจึงราบรื่นและง่ายดายมากกว่าปกติ อาโอมิเนะยอมรับว่า ความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นไม่ชัดเจนและไม่รู้ว่า ควรจะนิยามว่าอย่างไร เขาสองคนยังไม่ได้มีอะไรมากมายเกินเลยไปกว่าการจูบ ไม่มีมากกว่านั้นจริงๆ ส่วนเหตุผลก็เป็นอะไรที่ยิ่งกว่างี่เง่า ยิ่งกว่าน่าอาย เป็นเหตุผลที่เขาไม่อยากจะยอมรับ ไม่อยากจะพูดออกมาเลย
...นั่นคือ...เขากลัว...
ทุกอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้มันโอเคดี ไม่สิ มันดี ดีมากเสียจน กลัวว่าจะเสียมันไป หากเขาพยายามเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ ไม่ใช่ว่าไม่มีความต้องการ ไม่ใช่ว่าไม่อยากได้ แต่เป็นเพราะเขาสามารถอดทนกับสิ่งนั้น เมื่อคิดถึงสิ่งที่เขามีอยู่ คิดถึงรอยยิ้ม คิดถึงความสุข คิดถึงช่วงเวลาทั้งหมดที่ผ่านมา
เขาไม่แน่ใจว่า คากามิคิดอย่างไรกับความสัมพันธ์นี้ คากามิรู้หรือไม่ว่า เขาอยากก้าวไปข้างหน้า อยากจะทำให้ความสัมพันธ์นี้ชัดเจนและลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีก แต่นั่นเป็นเพียงความต้องการของเขาคนเดียวหรือเปล่า คากามิคิดอย่างไร คากามิต้องการหรือไม่ ? เขาไม่รู้คำตอบ และเขาก็ไม่รู้ว่า ควรจะทำอย่างไร จึงจะได้คำตอบ
สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือ...การผลักไสและการปฏิเสธ...เพราะในตอนนี้โลกของอาโอมิเนะ ไดคินั้นช่างเรียบง่ายและเปราะบางเสียเหลือเกิน มันมีตัวตนอยู่ได้ เพราะคนเพียงคนเดียวเท่านั้น คนที่ชื่อว่า คากามิ ไทกะ
“ขี้ขลาดกว่าที่คิดนะ”
“แต่เอาเถอะ คนที่มีความรักน่ะ ก็ขี้ขลาดกันทุกคนแหละ”
“ใช่ว่า ฉันจะไม่เข้าใจ พวกเราทุกคนอ่อนแอลง เมื่อมีความรัก”
อาโอมิเนะไม่รู้ว่า สิ่งนี้ควรเรียกว่า ความอ่อนแอหรือเปล่า เขารู้แต่เพียงว่า คากามิทำให้โลกทั้งใบของเขาสว่างสดใสขึ้นอีกครั้ง มันอาจจะเป็นความอ่อนแอก็ได้ เพราะเขาต้องพึ่งพิงความอบอุ่นของคากามิ แต่หากสิ่งนี้คือความอ่อนแอ คงไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ที่เข้มแข็ง เพราะสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ก็จำเป็นต้องพึ่งพาความอบอุ่นของดวงตะวัน มิใช่หรือ ??
“แล้วเมื่อไหร่ ถึงจะพัฒนาความสัมพันธ์ล่ะ ??”
อาโอมิเนะไม่อาจอธิบายความรู้สึกที่ซับซ้อนได้ แต่ถึงอย่างนั้นคีธก็ดูจะเข้าอกเข้าใจเขา ซึ่งพูดสิ่งที่ไม่ปะติดปะต่อและเหมือนแทบไม่ได้ใจความเลยแม้แต่น้อย การได้พูดเรื่องนี้กับใครสักคน ทำให้อาโอมิเนะได้รู้ว่า ลึกลงไปในจิตใจของเขานั้น ต้องการคากามิมากเพียงใด สิ่งที่เขาคิดและสิ่งที่เขารู้สึกถูกกลบฝังเสียจนตัวเองยังลืมไปแล้วว่า มีมันอยู่
“ให้คนอย่างฉันพูด อาจจะไม่เหมาะเท่าไร”
“แต่ว่านะ นอกเหนือจากความโรแมนติคที่จะนำไปสู่ความสัมพันธ์ทางกายแล้ว”
“ก็มีอีกอย่างนะ ที่ทำได้ ก็คือ...”
คำพูดของคีธนั้น เป็นคำพูดสั้นๆ แต่เป็นสิ่งที่ทำให้อาโอมิเนะแทบจะอ้าปากโต้ตอบในทันทีว่า จะเป็นไปได้อย่างไร ประจวบเหมาะกับที่มีเสียงประตูบ้านเปิดออก คีธจึงตะโกนอะไรสักอย่างออกมาเป็นภาษาอังกฤษ ราวกับว่ากำลังเชียร์อะไรสักอย่างที่มันสุดๆอยู่บนจอโทรทัศน์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้แทบไม่ได้สนใจเหลือบดูเลยด้วยซ้ำ
“หนุ่มๆ ดูอะไรกันอยู่”
โมน่าที่อุ้มเคทน้อยอยู่ในอ้อมแขน โผล่เข้ามาในห้องก่อน ตามด้วยคากามิที่หอบหิ้วถุงพลาสติกมาเต็มสองมือ อาโอมิเนะรู้สึกทึ่งที่คีธเปลี่ยนโหมดมาเป็นภาษาอังกฤษร้อยเปอร์เซ็นต์ หนำซ้ำยังทำเป็นไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นที่เขากับคากามิคุยกันได้แบบเนียนสุดๆ
“ดึกป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย งั้นพวกฉันกลับก่อนนะ”
หลังจากล่ำลากันอย่างเป็นทางการเล็กน้อย ทั้งสองคนก็เดินไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน บ้านของคีธและโมน่านั้นอยู่ห่างออกไปพอสมควร แต่ก็ยังอยู่ในระยะที่เดินได้ คากามิเล่าถึงเรื่องราวระหว่างคีธกับโมน่าให้ฟังตลอดทาง ทั้งสองคนมีการพบกันที่เหมือนกับนิยายโรแมนติคทั่วไป จนยากที่จะเชื่อด้วยซ้ำว่าเป็นเรื่องจริง เริ่มจากการทะเลาะถกเถียง เกลียดขี้หน้า จนกลายมาเป็นความรักและมีพยานรักก่อนจะถึงวัยอันควร
“คากามิ..”
“หืม ?”
แม้ว่าจะดึกแล้ว แต่บริเวณถนนก็ยังสว่างไสวด้วยแสงไฟจากร้านรวงต่างๆ ทั้งรถราทั้งหลายก็ยังวิ่งวุ่นวาย ไม่ต่างจากเวลากลางวัน ท่ามกลางเสียงอึกทึกนั้น อาโอมิเนะขยับริมฝีปากพูดคำอะไรบางอย่างออกไป บางสิ่งที่เขาอยากจะพูดมาตลอด บางสิ่งที่อยู่ในใจของเขามาตลอด
“อะไรนะ ? นายพูดว่าอะไรนะ ?”
ไม่มีคำตอบใดๆจากคนพูด นอกเหนือจากสัมผัสที่ริมฝีปาก...ซึ่งนุ่มนวลอ่อนหวาน...
และเต็มไปด้วยความปรารถนาจากก้นบึ้งของจิตใจ...
++++++++++
เด็กอยู่ในรายการที่อาโอมิเนะเกลียดเป็นอันดับต้นๆของรายการสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกนี้ แต่ตอนนี้ชายหนุ่มผิวเข้มกำลังติดอยู่กับฝูงเด็กที่เล่นสนุกอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม ยังสถานที่รับฝากเลี้ยงเด็ก ส่วนที่เขามาติดอยู่ที่นี่ ก็เพราะคากามิดันใจอ่อน ยอมรับฟังคำขอร้องของเพื่อนรักที่อยากให้ช่วยงาน เพื่อนคนที่ว่าก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน แต่เป็นผู้เล่นบาสเก็ตบอลมือฉกาจที่ผันตัวไปเป็นคุณพ่อลูกหนึ่งนั่นเอง
“ดูท่าทางสนุกสนานมากเลยนะเนี่ย”
คีธที่เห็นสีหน้าบอกบุญไม่รับของอาโอมิเนะ ก็ยิ่งรู้สึกสนุกกับการแกล้งคนตรงหน้า จะว่าไปแล้ว ในโลกใบนี้ คนที่กล้าแกล้งคนอย่างอาโอมิเนะ ไดคิได้ คงมีแต่คีธคนเดียวเท่านั้น
“มะรืนนี้จะกลับกันแล้วใช่ไหม ?”
“ใช่”
อาโอมิเนะตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย คากามิพยายามพาเขาไปเที่ยวที่นู้นที่นี่ แต่สุดท้ายสิ่งที่สนุกที่สุดสำหรับอาโอมิเนะก็คือ การได้เล่นบาสเก็ตบอล และแน่นอน คนที่เขาอยากเล่นด้วยมากที่สุดก็คือ ชายหนุ่มผู้มีภาระจะต้องทำงานหาเงินไปเลี้ยงลูกคนนี้ คีธจึงใช้สิ่งนี้เป็นข้อต่อรองในการให้อาโอมิเนะและคากามิช่วยงานต่างๆ แลกกับการดวลบาสเก็ตบอล ซึ่งแต่ละคำขอก็ไม่ได้ง่ายดาย เหมือนอย่างตอนที่ลูกบาสเก็ตบอลสีส้มนั้น ลอยจากมือคีธลงไปที่ห่วง
“ครั้งก่อน เรายังคุยค้างกันอยู่ เรื่องความสัมพันธ์”
“แล้วยังไง นายจะให้ฉันทำอะไรอีก”
เพราะคำพูดของชายหนุ่มชาวอเมริกันคนนี้นี่แหละที่ปั่นหัวเขา ทำให้เขาไม่อาจกักเก็บความรู้สึกของตนเอาไว้ได้ จนเผลอจูบคากามิไป ทั้งที่ยืนอยู่ริมถนนในช่วงที่ยังมีผู้คนอยู่มากมาย แน่นอนว่าเขาโดนต่อยทันทีหลังจากนั้น ต่อยแบบจังๆเข้าที่ท้องอย่างไม่มีออมมือ โชคยังดีที่คากามิยังสามารถข่มความอายยืนรอเขาที่จุกจนตัวงอ ไม่ใช่ก้าวฉับๆแล้วทิ้งเขากลับบ้านไปเพียงลำพัง ไม่งั้นต้องตายแน่ๆ
“เอ้า”
อะไรบางอย่างถูกดีดขึ้นจากมือคีธ ลอยหมุนวนอยู่กลางอากาศ อาโอมิเนะเอื้อมมือไปคว้าไว้ มันคือแหวนสีเงินวงใหญ่ ที่มีเส้นสีดำลากผ่านเป็นลวดลายที่ดูคล้ายกับเปลวไฟ จะว่าสวยก็สวยอยู่หรอก แต่ควรใช้คำว่าเท่จะเหมาะกว่า
“มันคือแหวนที่ฉันใช้ขอหมั้นโมน่า”
“หา ?”
ดูแว่บเดียวก็รู้ว่า มันคือแหวนผู้ชาย เพราะนอกจากลวดลายที่ดูไม่มีความอ่อนหวานเลยแม้แต่น้อย ขนาดของมันจะต้องใหญ่เกินกว่าที่นิ้วบอบบางของหญิงสาวจะสวมได้แน่ๆ
ชายหนุ่มเล่าว่า ตอนที่รู้ว่า โมน่าท้อง เขายังเป็นเด็กวัยรุ่นที่ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอนาคตเลยสักนิด ดีแต่สนุกไปวันๆ แต่พอรู้ว่าผู้หญิงที่ตัวเองรักกำลังจะมีลูก ลูกที่เกิดมาจากความรักของพวกเขาทั้งสองคน เขาก็รู้สึกขึ้นมาว่า จะต้องทำอะไรสักอย่าง เขาต้องเปลี่ยนตัวเองและต้องให้ความมั่นใจกับเธอว่า เขาจะทำได้ ในตอนนั้นเขาไม่ได้พกอะไรติดตัวเลย นอกจากแหวนวงนี้ จึงใช้หมั้นหมายและแทนคำมั่นสัญญาว่า จะดูแลเธอตลอดไป
แม้จะรู้จักครอบครัวนี้ได้ ยังไม่ถึงสัปดาห์ แต่อาโอมิเนะก็มั่นใจว่า คีธรักษาสัญญานั้นมาตลอด เห็นได้จากรอยยิ้มอันเปี่ยมไปด้วยความสุขของโมน่า ทำให้เขาเองอดนึกสงสัยไม่ได้ว่า ตัวเองจะทำได้สักครึ่งหนึ่งของคีธหรือเปล่า ในการทำให้ชีวิตของคนที่รักมีความสุข
“อันนี้ขอยืมมาให้นายโดยเฉพาะ”
พอเห็นสีหน้างุนงงของอาโอมิเนะ คีธก็รีบขยายความว่า นี่ไม่ได้เอามาอวดเล่นๆนะ แล้วเรื่องที่พูดกันครั้งก่อนก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นด้วย ฉันอยากให้พวกนายผูกพันกันอย่างจริงจัง หากไม่ใช่ทางกาย อย่างน้อยก็จะมีอะไรบางอย่างเชื่อมโยงพวกนายเอาไว้ แล้วตอนนี้นายก็ดูท่าทางจะอาการหนักกว่าฉัน ไม่มีอะไรติดตัวมาเลยไม่ใช่เหรอ ฉะนั้นฉันให้นายยืม แค่ยืมเท่านั้นนะ เอาไปขอหมั้นคากามิซะ พวกนายจะได้คืบหน้ากันซะที
ตอนที่ฟังครั้งแรก อาโอมิเนะอยากจะโวยวาย ตะโกนถ้อยคำปฏิเสธให้ดังที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ก็เปลี่ยนใจ เขาเพียงแค่ยื่นแหวนนั้นกลับไป แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นมั่นคงว่า
“ถ้าเป็นเรื่องของคากามิ...ฉันจะทำทั้งหมดด้วยตัวของฉันเอง”
“ฉันไม่อยากพึ่งพาใคร”
คำพูดนี้เรียกรอยยิ้มที่มุมปากของคีธได้ เจ้าตัวรับแหวนคืนมาแล้วหย่อนเก็บลงไปในกระเป๋าเสื้อ พร้อมกับบอกว่า จะทำอะไรก็รีบๆทำเข้าล่ะ มัวแต่ชักช้า เดี๋ยวใครมาชิงตัดหน้า คาบเอาไป แล้วจะว่าไม่เตือน
ถึงจะพูดแบบนั้นออกไป แต่เรื่องที่คีธคาดเอาไว้ก็เป็นความจริงทั้งหมด อาโอมิเนะไม่มีอะไรติดตัวมาเลยสักอย่าง นอกจากเงินจำนวนหนึ่งที่ได้รับมาจากพ่อของเขา ซึ่งไม่ได้มากมายพอจะซื้อของหรูหราราคาแพง มาคิดๆดูแล้วคากามิก็ไม่ใช่คนที่ชอบใส่เครื่องประดับและไม่ชอบพกข้าวของกระจุกกระจิกให้น่ารำคาญ ให้พวกแหวนหรือสร้อยไป ก็คงไม่ได้อยากใส่เท่าไรนัก แถมเจ้าตัวยังมีแหวนวงสำคัญอยู่แล้ว ให้ของคล้ายๆกันไป ก็กลายเป็นเหมือนการลอกเลียนแบบ ไม่เห็นน่าประทับใจตรงไหน
“เอ้า แล้วนี่ก็ของที่นายขอ”
คีธโยนกล่องสีน้ำตาลใบเล็กไปให้ ภายในบรรจุสายรัดข้อมือสีฟ้าที่เป็นสินค้าของทีมบาสเก็ตบอล NBA ประจำนิวยอร์ก ตัวสายรัดข้อมือนั้นไม่ได้ทำจากโลหะแวววาวที่ดูน่ารำคาญ หรือมีลูกปัดห้อยย้อยดูกุ๊กกิ๊กแบบที่ผู้หญิงชอบกัน ตัวแถบสายทำจากไนล่อน ยืดหดได้ ไม่มีลวดลายอะไรอื่น นอกจากตัวหนังสือสีส้มที่เขียนว่า New York
มันเป็นของที่อาโอมิเนะอยากได้มาเก็บสะสม เพราะไม่มีใครนำเข้าไปขายที่ญี่ปุ่น ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเสื้อ หมวก กระเป๋าสะพาย ไม่ค่อยมีของเล็กๆแบบพกติดตัวได้สักเท่าไร
“คีธ..ถ้า...”
ยังพูดไม่ทันจบ คากามิก็ผลักประตูเข้ามาพร้อมกับของพะรุงพะรังเต็มมือ คีธลุกพรวดราวกับตั้งโปรแกรมไว้ แล้วรีบตรงเข้าไปช่วยถือ พร้อมกับเปลี่ยนเป็นโหมดภาษาอังกฤษ 100 % แบบว่า ฟังญี่ปุ่นไม่รู้เรื่องครับ ฟังไม่รู้เรื่องสักนิดเลยครับ อาโอมิเนะจึงต้องปล่อยเลยตามเลย ส่วนเรื่องของเขาก็คงต้องแล้วแต่โชคชะตา
...หวังว่า..ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี...
+++++++++
วันพรุ่งนี้เป็นวันที่เขาและคากามิจะต้องเดินทางกลับญี่ปุ่น ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่อาโอมิเนะมีโอกาสได้แข่งบาสเก็ตบอลกับผู้คนมากมาย ได้เรียนรู้ว่า โลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่และมีสิ่งที่น่าสนใจอีกมาก อเมริกานั้นมีสไตล์การเล่นบาสเก็ตบอลที่แตกต่างจากญี่ปุ่นมาก ไม่ใช่ว่าดีหรือแย่กว่าญี่ปุ่น เพียงแต่แตกต่างกัน การมาอเมริกาในครั้งนี้ จึงคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม แม้จะไม่ได้มีโอกาสดูการแข่งขัน NBA อย่างที่คาดไว้
เรื่องน่าเสียดายเพียงเรื่องเดียวก็คือ คากามิไม่มีโอกาสได้พบกับพ่อ เพราะตั้งแต่วันแรกจนมาถึงวันนี้ พ่อของคากามิก็ยังไม่มีวี่แววจะกลับมาบ้าน ใช่ว่าเขาอยากจะเจอ แต่อยากให้คากามิมีโอกาสได้เจอมากกว่า
“วันนี้จะลากไปไหนล่ะ ?”
“มาเถอะน่า”
วันนี้คากามิดูกระตือรือร้นเป็นพิเศษ แถมยังไม่ยอมบอกด้วยว่าจะพาไปไหน หลังจากขึ้นรถสามสี่ต่อ สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาก็คือ Madison square garden สนามกีฬาในร่มที่เป็นสนามแข่งบาสเก็ตบอล NBA ประจำนิวยอร์กและที่เด่นสะดุดตาที่สุดในหมู่ผู้คนก็คือ ชายร่างสูงใหญ่ผิวสีเข้มผู้ซึ่งยังคงแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นอยู่จนถึงตอนนี้
ตอนแรกอาโอมิเนะไม่เข้าใจว่า ทั้งคู่พาเขามาที่นี่ทำไม ในเมื่อตอนนี้ไม่มีการแข่งขัน มีแต่งานแสดงเพลงอะไรสักอย่าง ซึ่งเขาไม่สนใจเลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งสองคนคุยอะไรกันหลายอย่าง แต่เป็นภาษาอังกฤษ อาโอมิเนะจึงไม่ค่อยเข้าใจเนื้อความ แต่พอเดาได้ว่า คีธจะพาเขาไปดูอะไรสักอย่างในนั้น
คีธเอ่ยทักทายเพื่อนๆด้วยความสนิทสนม ก่อนที่จะพาพวกเขาผ่านประตูสำหรับเจ้าหน้าที่บานแล้วบานเล่า เข้าไปจนถึงข้างใน ตอนนี้อาโอมิเนะมีโอกาสได้ยืนอยู่บนสนามที่ใช้ในการแข่งบาสเก็ตบอล NBA แม้จะไม่มีการแข่งขัน ไม่มีผู้เล่นคนอื่น แต่บรรยากาศความยิ่งใหญ่ของสนามก็ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น
“สักเกมไหม ?”
“เอาสิ”
ลูกบอลสีส้มกลมๆกระดอนขึ้นลงเป็นจังหวะ ก่อนที่คีธจะพุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง อาโอมิเนะตรงเข้าไปขวาง พวกเขาหลบหลีกกันอยู่พักหนึ่ง แต่นี่ไม่ใช่สนามสตรีทบาสเก็ตบอลแคบๆ แต่เป็นสนามแข่งขันของจริง จึงใช้เวลานานพอสมควร กว่าคีธจะสามารถทะลุผ่านคู่ต่อสู้ เข้าไปทำแต้มได้
ประลองฝีมือกันได้แค่ 3-4 ครั้ง คีธก็บอกว่า พอได้แล้ว แต่อาโอมิเนะยังติดลม ไม่ยอมเลิก บ่นว่าอยากเล่นอีก ไปต่อที่สนามอื่นก็ได้ ชายหนุ่มจึงท้าว่า คราวนี้เขาจะไม่ชู้ตลูกแต่จะดังค์ หากฝ่าการป้องกันเข้าไปดังค์ได้สำเร็จ จะต้องยอมเลิกแต่โดยดีนะ แน่นอนว่าอาโอมิเนะรับคำท้าและเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว
แม้แต่คากามิที่นั่งอยู่ดู ยังรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับทักษะอันน่าทึ่งของคีธ ชายหนุ่มผมแดงรู้มาตลอดว่าเพื่อนเล่นบาสเก็ตบอลเก่ง แต่ไม่เคยรู้ว่า เก่งมากมายถึงเพียงนี้ แสดงว่าที่ผ่านๆมาเป็นการเล่นอย่างไม่เต็มที่ เล่นแค่เพื่อสนุก ไม่ได้จริงจังอะไร ที่จริงถ้าเก่งถึงขนาดนี้ ทำไมไม่ไปสมัครเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลอาชีพ
“เอ้า รักษาสัญญาด้วยนะ ไดคิ”
“หึ...สักวันเถอะ...ฉันจะต้องชนะนายให้ได้”
คู่ต่อสู้ที่ยากแก่การเอาชนะ...คงเป็นของขวัญที่ดีที่สุดในการมาเที่ยวครั้งนี้ เพราะในชีวิตของอาโอมิเนะ ไดคิ แทบไม่ได้พบคู่ต่อสู้ที่ยากแก่การเอาชนะ จนเป็นแรงผลักดันให้อยากเอาชนะ อยากจะก้าวข้ามคนคนนี้ไปได้ การพ่ายแพ้ในวันนี้จึงสร้างความเจ็บใจให้แก่ชายหนุ่มเป็นอันมาก แต่ในขณะเดียวกันความสนุกสนานตื่นเต้นของการแข่งขันนั้นก็ประทับตราตรึงอยู่ในหัวใจเช่นเดียวกัน
เอ๋ ? เดี๋ยวก่อน เมื่อกี๊นี้มัน...
คากามิไม่แน่ใจว่า สิ่งที่ตัวเองได้ยินนั้นผิดเพี้ยนไปหรือไม่ เขาจึงตั้งใจฟังอีกครั้ง หลังจากที่อาโอมิเนะบ่นอะไรอุบอิบสักพัก คีธก็พูดอะไรบางอย่างออกมาแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คากามิมั่นใจได้ว่า เมื่อครู่เขาไม่ได้ฟังผิดไป
“คีธ...นายพูดภาษาญี่ปุ่นเหรอ ?”
ชะอุ๊ย...ความแตกจนได้...
++++++++++
เนื่องจากคีธไม่สามารถเนียนทำตัวเป็นชายชาวอเมริกันผู้ไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นได้อีกต่อไป ชายหนุ่มจึงเนียนทำเป็นไม่ได้ยินคำถามของคากามิ เฉไฉชวนคุยเรื่องอื่นไปเรื่อย ขณะที่พาพวกเขาออกมาจากMadison square garden พอก้าวพ้นประตูบานสุดท้าย ก็รีบบอกว่า มีธุระ ต้องขอตัวไปก่อน จากนั้นก็โกยแน่บ ทิ้งให้อาโอมิเนะเผชิญชะตากรรมอยู่เพียงลำพัง
“นั่งรอตรงนี้ อย่าไปไหนล่ะ”
ปกติแล้วอาโอมิเนะจะเป็นมนุษย์สายพันธุ์ต่อต้านคำสั่ง แต่ครั้งนี้เขายอมทำตามที่คากามิบอกแต่โดยดี เพราะดูอีกฝ่ายจะนิ่งๆเงียบๆไปเสียจนรู้สึกว่าน่ากลัว แม้ว่าจริงๆแล้วเขาจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับไอเดียแผลงๆนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่า คากามิเข้าใจไปว่าอย่างไร ไอ้บ้าคีธ แกหาเรื่องซวยให้ฉันแล้วไหมล่ะ
ตอนนี้พวกเขาสองคนนั่งอยู่ในสวนสาธารณะชื่อดังของมหานครนิวยอร์ก ซึ่งไม่ไกลจาก Madison square garden เท่าไรนัก ในสวนมีผู้คนมากมาย ทั้งครอบครัว คู่รัก ไปจนถึงนักท่องเที่ยว เรียกได้ว่า เป็นแหล่งรวมของผู้คนทุกแบบทุกประเภท แต่ละคนกำลังสนุกสนานอยู่กับบรรยากาศสดชื่นเย็นสบาย ซึ่งหาได้ยากในเมืองที่เต็มไปด้วยความรีบเร่ง
“เอ้า !!”
คากามิกลับมาพร้อมกับฮอทด็อกจำนวนมากมายที่บรรจุอยู่ในถุงกระดาษใบใหญ่ หลังจากยัดเยียดใส่มือของเขาชิ้นหนึ่ง ก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ พร้อมกับคว้าฮอทด็อกในถุงขึ้นมากัดคำโตๆ แล้วเคี้ยวเงียบๆ ไม่ยอมพูดอะไรอีก ดูจากสีหน้าท่าทางก็คงจะโกรธ แต่ไม่มากเท่าไรนัก
“นาย...”
คากามิพูดขึ้นมาแค่นั้น ก่อนจะทิ้งช่วงเงียบไปนาน เหมือนเจ้าตัวกำลังพยายามเรียบเรียงคำพูด หรือไม่ก็กำลังชั่งใจว่า จะถามออกไปดีหรือไม่ อาโอมิเนะรู้สึกได้ว่าหัวใจตัวเองเต้นเร็วขึ้น ด้วยความหวาดหวั่นและขลาดกลัวต่อสิ่งที่กำลังจะได้ยิน เขาไม่แน่ใจว่า จะถูกถามว่าอะไร และควรตอบว่าอย่างไร
“นายกับคีธคุยกันเรื่องฉันใช่ไหม ?”
“คุยกันเรื่องอะไร ?”
คำถามแรกนั้นตอบได้ไม่ยากว่า ใช่ แต่คำถามที่สองนี่แหละที่ไม่รู้ว่า ควรจะตอบอย่างไรดี หรือควรบอกไปตรงๆว่า คีธถามถึงความสัมพันธ์ของฉันกับนายว่าไปถึงขั้นไหนกันแล้ว แถมยังทั้งผลักทั้งดัน จนแทบจะถีบให้ฉันมาขอนายเป็นแฟนอย่างเป็นทางการ
“ก็...”
“เรื่องบาสเก็ตบอลใช่ไหม ?”
ดูเหมือนว่าคากามิจะเข้าใจผิดไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี อาโอมิเนะไม่อยากยอมรับว่า เขาคุยเรื่องความรัก การพัฒนาความสัมพันธ์ รวมถึง วิธีการขอเป็นแฟน มันเป็นเรื่องน่าอายทั้งนั้น เขาไม่อยากถูกคากามิหัวเราะเยาะ
“เล่นบาสเก็ตบอลกับคีธสนุกมากใช่ไหมล่ะ...”
ถ้าถามว่า เล่นบาสเก็ตบอลกับคีธสนุกมากไหม ก็ต้องบอกว่า สนุกสุดๆไปเลย ตั้งแต่ขึ้นชั้นมัธยมต้น เขายังไม่เคยแข่งกับใครที่มีฝีมือเหนือกว่าเขาถึงขนาดนี้ อยากจะลองแข่งขันบาสเก็ตบอลกับคนคนนี้อย่างจริงจังในสนามแข่ง อยากจะทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มีเพื่อเอาชนะ มันจะต้องสนุกมากแน่ๆ
“ท่าทางจะสนุกกว่า...เล่นกับฉัน...”
อาโอมิเนะอยู่ใกล้ชิดคากามิมานานพอที่จะรู้ว่า รอยยิ้มบางๆบนริมฝีปากในตอนนี้ ไม่ใช่รอยยิ้มแห่งความสุข มันเป็นเหมือนรอยยิ้มเมื่อยามที่คากามิพูดถึงครอบครัว เป็นรอยยิ้มบางๆที่เจ้าตัวพยายามแสดงออกถึงความเข้มแข็ง พยายามไม่ให้คนอื่นต้องเป็นห่วง อาโอมิเนะรู้สึกว่า มันคือรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเหงา
“ฉันชอบเล่นบาสเก็ตบอล...กับคนที่เก่งๆอย่างคีธ...”
การเล่นบาสเก็ตบอลเป็นเสี้ยวหนึ่งของจิตวิญญาณของเขา เป็นส่วนหนึ่งในตัวเขา ถึงจะพยายามตัดขาดสักเท่าไรก็ไม่สำเร็จ มีแต่จะเติบโตเพิ่มพูนมากขึ้นทุกวัน เฝ้าแสวงหาและรอคอยว่า เมื่อไหร่จะได้พบกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง เมื่อไหร่ที่จะได้พบกับคนที่เป็นเป้าหมายที่อยากจะเอาชนะ
“แต่ว่า...”
“ฉันชอบเล่นบาสเก็ตบอลกับนายที่สุด...”
แม้การเล่นบาสเก็ตบอลกับคนที่เก่งกาจอย่างคีธจะสนุกสนานและท้าทายเพียงใด แต่การเล่นบาสเก็ตบอลกับคากามินั้นให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป มันเป็นช่วงเวลาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกต่างๆ ทั้งความสนุก ความสุข ความยินดี มากมายหลายอย่างจนไม่อาจบรรยายได้หมด ทุกช่วงเวลาที่ฉันได้ใช้ร่วมกับนาย ไม่ว่าจะเป็นตอนกินข้าว ดูโทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งถกเถียงกันด้วยเรื่องไร้สาระ ทุกชั่วโมง ทุกนาที ทุกวินาทีคือช่วงเวลาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุขของฉัน
นายอาจจะนึกสงสัย อาจจะไม่มั่นใจ เพราะความรู้สึกเป็นสิ่งที่ไร้รูปร่าง ไม่อาจมองเห็น ไม่อาจสัมผัสได้ ก็คงอย่างที่คีธบอกไว้ มนุษย์เราถึงต้องการวัตถุซึ่งจับต้องได้และมองเห็นด้วยตา มาแทนความรู้สึกจากใจ เพื่อยืนยันความรู้สึก เพื่อผูกพันคนรักของตนเอาไว้
คนปกติทั่วไปมักจะเลือกใช้แหวน แต่อาโอมิเนะไม่ค่อยถูกชะตากับวัตถุที่มีชื่อว่าแหวน เขาจึงตัดสินใจใช้อย่างอื่นแทน ชายหนุ่มหยิบเอาสายรัดข้อมือสีฟ้าที่เตรียมเอาไว้ สวมเข้าไปในข้อมือของคากามิ มันคือสายรัดที่เขาฝากคีธซื้อมา เป็นของที่เขาอยากได้มานานและอาจจะหาซื้อไม่ได้อีกแล้ว แต่ในตอนนี้มันเป็นของอย่างเดียวในตัวเขาที่เหมาะจะมอบให้กับคากามิเพื่อแทนคำมั่นสัญญา
“ช่วยเล่นบาสกับฉันไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่เลยนะ”
คากามิดูมีสีหน้างุนงง ชายหนุ่มเหลือบมองสายรัดสีฟ้าที่อยู่ตรงข้อมือ ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างให้กับคนที่เพิ่งสวมมันให้เขา ในช่วงเวลานั้น อาโอมิเนะไม่อาจรับรู้สิ่งใดๆรอบตัวนอกจากสีหน้าท่าทางของคนตรงหน้า เสียงที่กำลังลอดผ่านริมฝีปากเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขารอคอย อยากจะได้ยิน อยากจะรู้ว่า คำตอบนั้นจะเป็นเช่นไร
“นายให้ฉันเหรอ ?”
คำถามนี้ไม่ได้ต้องการคำตอบ คากามิหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะยกมันให้เห็นเด่นชัดในระดับสายตา สิ่งที่อยู่ในมือของชายหนุ่มก็คือสายรัดข้อมือสีฟ้าที่มีตัวหนังสือสีส้ม แบบเดียวกันเปี๊ยบอีกอันหนึ่ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ได้มาจากใคร
“คีธก็ให้ฉันมาเหมือนกัน”
ในวินาทีนั้น อาโอมิเนะรู้สึกเหมือนถูกก้อนหินตกใส่กลางศีรษะ แถมยังไม่ใช่อุบัติเหตุแต่เป็นการกลั่นแกล้งจากชายหนุ่มผิวเข้มที่มีเมียสวยและมีลูกสาวน่ารักคนนั้น เขาเหมือนเห็นภาพใบหน้ากำลังฉีกยิ้มจนเห็นฟันขาวครบสามสิบสองซี่ลอยหลอกหลอนอยู่ตรงหน้า สรุปว่าอยากจะช่วยเชียร์ให้พวกเขาลงเอยกัน หรือแค่นึกสนุกอยากจะปั่นหัวเขาเล่นกันแน่
“งั้น...แลกกัน”
“อันนี้ฉันให้นาย”
คากามิเอื้อมมือมาจับข้อมือของเขา ก่อนจะสวมสายรัดนั้นให้ อาโอมิเนะมองการกระทำนั้นแล้วรู้สึกว่า หน้าตัวเองร้อนผ่าวขึ้นมาทันที เขานึกสงสัยว่า คนตรงหน้าไม่รู้เลยสักนิดเหรอว่า สิ่งที่เขาพูดนั้นมีความหมายว่าอย่างไร แล้วการกระทำเช่นนี้มีความหมายว่าอย่างไร
“นายก็เหมือนกัน”
“สัญญานะว่า...จะเล่นบาสด้วยกันไปตลอดชีวิต”
คำพูดนั้นของคากามิได้ทำลายกำแพงแห่งเหตุผลทั้งหมดทั้งปวงของอาโอมิเนะ ทำให้สมองของชายหนุ่มว่างเปล่า ไม่อาจรับรู้อะไรได้อีก สิ่งที่ผ่านออกมาจากริมฝีปากนั้น จึงไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองเลยแม้แต่น้อย มันคือสิ่งที่ถูกเก็บเอาไว้ในเบื้องลึกของจิตใจ เป็นความต้องการที่แท้จริง
“แต่งงานกันเถอะ...”
“หือ ?”
“แต่งงานกันเถอะ...”
อาโอมิเนะยืนยันอย่างหนักแน่นในสิ่งที่ตัวเองได้พูดออกไป ไม่มีประโยคไหนจะเหมาะสมมากไปกว่าประโยคนี้อีกแล้ว เขาไม่ได้ต้องการจะร้องขอความรัก เพราะเขารู้สึกว่าได้รับมันมาตลอด เขาไม่ได้ต้องการความสัมพันธ์แบบคนรัก เพราะเขาไม่ได้อยากให้มันจบแค่ร่างกาย เขาอยากผูกพันด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามี ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์คนหนึ่งสามารถจะทำได้ เขาคิดว่า นั่นคือการแต่งงาน
แน่นอนว่า คนเสนอไอเดียสุดประหลาดนี้ก็คือคีธ ในตอนแรกชายหนุ่มคิดว่า มันเป็นเพียงแค่เรื่องล้อเล่น แต่หลังจากที่ได้เห็นแหวน ได้ฟังเรื่องราวความรักของทั้งสองคน อาโอมิเนะก็เริ่มคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ตอนแรกชายหนุ่มก็ไม่คิดจะขอแต่งงานจริงๆ แค่จะพูดอ้อมๆ แค่อยากจะอยู่ด้วยกัน แค่อยากจะใช้อะไรสักอย่างยืนยันความสัมพันธ์ แต่ไปๆมาๆ เขากลับรู้สึกว่า ทุกอย่างนั้นไม่ชัดเจนเสียจนตัวเขาเองนั่นแหละที่รู้สึกว่า จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
“ล้อเล่นใช่ไหม ?”
“เปล่า...ฉันกำลังขอนายแต่งงานจริงๆ...”
เขาไม่คิดว่า คากามิจะตอบตกลงหรอก เพียงแค่อยากจะพูดออกไป อยากให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่า เขาคิดอย่างไร ทุกอย่างจะได้ชัดเจนว่า เขาต้องการความสัมพันธ์แบบไหน มันเหมือนกับการกระโดดลงจากที่สูง กำลังลอยละลิ่วลงสู่พื้นดิน แม้วาดหวังเอาไว้ว่า เบื้องล่างจะมีเบาะหนานุ่มรองรับอยู่ แต่บางทีอาจจะเป็นพื้นแข็งที่ทำให้เขาบาดเจ็บถึงตายก็เป็นได้ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เขาก็เลือกแล้วที่จะกระโดดลงไป จะด้วยความขาดสติ ความกล้าบ้าบิ่น หรืออะไรก็ตาม มาตอนนี้ก็ได้แต่รอคอยว่า อีกฝ่ายจะให้คำตอบว่าอย่างไร
“อยู่ๆเกิดอะไรขึ้นมา นึกอิจฉาคีธกับโมน่ารึไง”
“ก็อาจจะ...”
“แต่ฉันไม่ได้อยากมีเมียมีลูก ฉันอยากใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับคนที่ฉันรัก”
“เหมือนอย่างคีธกับโมน่า”
อาโอมิเนะไม่แปลกใจที่ดวงตาสีแดงเพลิงของคากามิจ้องมองมา เพื่อค้นหาความลวงในแววตาของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างพวกเขาทั้งสองคน เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเสียจนไม่อาจเชื่ออย่างสนิทใจได้ว่า มันคือความรักจริงๆ ในตอนนี้เขาก็ทำได้เพียงยืนยันคำพูดและความรู้สึกของเขา ด้วยท่าทีที่ไม่หวั่นไหวต่อข้อสงสัยใดๆ
“นายจำได้ไหมว่า ตอนคีธขอโมน่าแต่งงาน เธอพูดว่าอะไร”
คีธเล่าเรื่องตอนขอโมน่าแต่งงานให้ฟังแทบทุกครั้งที่พวกเขากินข้าวด้วยกัน แม้คากามิจะแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นให้ฟังทุกรอบ แต่อาโอมิเนะก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะฟังเท่าไรนัก ก็เลยจำไม่ค่อยได้ โชคดีที่คากามิไม่ได้คาดคั้นคำตอบ เพียงแค่อยากจะเท้าความถึงเท่านั้น
แม้ว่าโมน่าจะยอมรับแหวนที่แทนคำมั่นสัญญาของคีธ แต่กลับไม่ยอมตกลงแต่งงานง่ายๆ เธอบอกว่าเขาจะต้องทำตามเงื่อนไขของเธอให้สำเร็จเสียก่อน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงของชีวิตครอบครัวและลูกน้อยที่กำลังจะเกิดมา แต่ก็มีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่งที่แสนจะแปลกประหลาดและเป็นเงื่อนไขที่ทำให้สำเร็จยากที่สุด
“จะต้องหาใบโคลเวอร์ 4 แฉก มาให้ครบ 14 ใบ”
เลข 14 เป็นเลขที่ค่อนข้างพิเศษสำหรับทั้งสองคน พวกเขาเจอกันครั้งแรกตอนอายุ 14 ชื่อและนามสกุลนับตัวอักษรรวมกันได้ 14 ตัวอักษรทั้งสองคน ตกลงเป็นแฟนกันตอนวันที่ 14 ในวันนั้นเป็นวันประกาศผลสอบที่พวกเขาได้คะแนนต่างกัน 14 คะแนน จะว่าเป็นการพยายามหาความบังเอิญของเรื่องรอบตัว ให้ลงเลข 14 ก็เป็นได้ แต่สำหรับพวกเขาเลขนี้คือตัวเลขพิเศษ
“ฉันคิดว่า โมน่าไม่ได้อยากได้ใบโคลเวอร์อะไรนั่นหรอก”
“ก็แค่อยากรู้ว่า คีธแต่งงานกับเธอ แค่เพราะว่าพวกเขามีเคทน้อยขึ้นมาหรือเปล่า”
อาโอมิเนะพอจะจำได้ลางๆว่า คีธใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งใบโคลเวอร์ ทั้งปลูกเอง ทั้งเกณฑ์เพื่อนไปช่วยกันหา ไปๆมาๆ สุดท้ายเจ้าตัวก็หามาได้จริงๆแค่ 4 ใบ นอกนั้นเป็นใบพลาสติกที่ทำปลอมขึ้นมาบ้าง เป็นเครื่องประดับบ้าง เป็นรูปถ่ายรูปวาดบ้าง สุดแล้วแต่จะหามาได้ ตอนแรกโมน่าก็ไม่ยอมตกลง เพราะไม่ใช่ใบโคลเวอร์จริงๆ แต่ไปๆมาๆก็ใจอ่อนยอมตกลงแต่งงาน คงเป็นเพราะเห็นแก่ความพยายาม
แม้ว่ามาเล่ากันในภายหลังแล้วจะดูเหมือนเรื่องตลก ฟังแล้วรู้สึกสนุกสนาน แต่อาโอมิเนะเชื่อว่า ในตอนนั้นคีธจะต้องพยายามอย่างสุดกำลัง เพื่อจะค้นหา เขาเคยเล่าให้ฟังตอนอยู่ด้วยกันแค่สองคนว่า เขาอยากแต่งงานกับโมน่า ก่อนที่ลูกน้อยจะเกิดมา เขาอยากให้ลูกรู้ว่า เธอเกิดมาด้วยความรัก ไม่ใช่ความผิดพลาด
“ฉะนั้น...99 ครั้ง...”
“หา ?”
“จะต้องดังค์ลูกให้ได้ครบ 99 ครั้งในการแข่ง...”
ภายในสมองของอาโอมิเนะพยายามประมวลผลความหมายของสิ่งที่ได้ยิน หากเขาไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองจนเกินไป นี่คือเงื่อนไขในการยอมรับคำของแต่งงานของคากามิใช่หรือไม่ ?
“งั้นก็แปลว่า...นายตกลงรับคำขอของฉันใช่ไหม ?”
“อืม ถ้านายทำได้ตามเงื่อนไขนะ”
มันเป็นวินาทีที่อาโอมิเนะรู้สึกดีใจที่สุดในชีวิต นอกจากเรื่องบาสเก็ตบอลแล้ว เขาแทบไม่เคยอยากได้อะไรอย่างแท้จริง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแทบจะภาวนาต่อเทพเจ้าทั้งปวง ขอให้คนตรงหน้าตกลงยอมรับคำขอร้องของเขา ไม่ว่าคากามิจะเข้าใจความหมายของคำว่า แต่งงานไปในทางใด แต่อย่างน้อยคากามิก็ได้รู้แล้วว่า เขาจริงจังในความสัมพันธ์นี้มากไหน ความรู้สึกของเขาน่าจะส่งไปถึงอีกฝ่ายได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
“ต้องดังค์ 99 ครั้งในการแข่งครั้งเดียวเลยหรือเปล่า ?”
“ไม่ต้องหรอก”
“งั้นเริ่มนับเมื่อไหร่ล่ะ ?”
“ตั้งแต่ตอนนี้เลยก็ได้ แต่นายยังฟังเงื่อนไขไม่จบเลยนะ”
อาโอมิเนะเพิ่งรู้ว่า การกลั้นหายใจ เมื่อยามตื่นเต้นกับการรอคอยอะไรสักอย่างนั้นเป็นเช่นไร เขาไม่รู้หรอกว่า เงื่อนไขของคากามิจะยากหรือซับซ้อนเพียงใด รู้แต่เพียงว่า เขาจะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทำให้สำเร็จ เพราะเขาต้องการคนคนนี้ เขาอยากครอบครอง อยากเป็นเจ้าของ ไม่ใช่ด้วยการบังคับ แต่ด้วยการยอมรับซึ่งกันและกัน ที่สามารถก่อกำเนิดความผูกพันระหว่างพวกเราสองคน
“ดังค์ให้ครบ 99 ครั้งในการแข่งขันจริง...”
“...และต้องเป็นที่สนาม Madison Square Garden เท่านั้น”
การดังค์ลูกให้ครบ 99 ครั้ง ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับอาโอมิเนะ แต่ปัญหาใหญ่ก็คือ Madison square garden นี่แหละ สนามแห่งนี้เป็นสนามสำหรับแข่งบาสเก็ตบอล NBA ฉะนั้นคนที่ลงแข่งขันในสนามได้ ก็มีแต่นักกีฬา NBA เท่านั้น
“อะไรกัน ถอดใจแล้วเหรอ ?”
“ใครว่าล่ะ !! แล้วนายจะต้องตกใจ คอยดูก็แล้วกัน !!”
การเป็นนักบาสเก็ตบอลอาชีพ เคยเป็นความฝันของอาโอมิเนะเมื่อครั้งเยาว์วัย แต่มันได้ถูกลบเลือนไป ในตอนที่เขารู้สึกเหมือนถูกบาสเก็ตบอลหักหลัง เงื่อนไขของคากามิทำให้เขาหวนระลึกถึงความฝันนั้น ทำให้เขานึกย้อนกลับมาถามตัวเองว่า ยังอยากเป็นนักบาสเก็ตบอลอาชีพอยู่หรือเปล่า และคำตอบก็คือ ใช่ เขาอยากเป็น ไม่ใช่แค่เพียงอยากจะทำตามเงื่อนไขของคากามิให้สำเร็จเท่านั้น แต่ตัวเขาเองก็อยากจะก้าวเข้าสู่โลกแห่งการแข่งขันของบาสเก็ตบอลอย่างจริงจัง
“แล้วก็...ถ้าได้ครบ 99 ครั้งเมื่อไหร่...”
“พอถึงตอนนั้น...”
“ฉันจะ...”
คำพูดสุดท้ายของคากามินั้น ออกจากปากพร้อมๆกับเสียงของพลุที่ถูกยิงขึ้นไป ผู้คนทั้งหลายส่งเสียงฮือฮา ต่างชี้มือขึ้นไปบนท้องฟ้า ให้ดูสีสันของควันในรูปแบบต่างๆ แม้พลุในตอนกลางวันจะไม่มีประกายระยิบระยับงดงามดังเช่นพลุในยามค่ำคืน แต่มันก็มีความสวยงามและน่าสนใจตามแบบฉบับของมัน
พลุบนท้องฟ้า ทำให้อาโอมิเนะนึกถึงค่ำคืนที่เขาลากตัวคากามิออกไปริมแม่น้ำ เพื่อเล่นดอกไม้ไฟ สีหน้าและแววตาของคากามิในคืนนั้น ยังคงประทับแน่นอยู่ในความทรงจำ พอๆกับความรู้สึกอนาถใจที่เขาพลาดการสารภาพความในใจ เพราะฝนซึ่งเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา โชคดีที่ตอนนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใส ไร้วี่แววของเมฆฝน หากต้องการจะพูดความรู้สึกที่อยู่ในใจ น่าจะไม่ถูกขัดคอเหมือนอย่างวันนั้น
“คากามิ...”
“หืม ?”
แม้จะพูดโต้ตอบการสนทนา แต่ชายหนุ่มผมแดงก็ไม่ยอมละสายตาจากพลุบนท้องฟ้าเลยแม้แต่วินาทีเดียว อาโอมิเนะเขยิบตัวเข้ามาใกล้ แล้วแตะมืออีกฝ่ายเบาๆ เมื่อไม่รู้สึกถึงการต่อต้านใดๆ จึงกุมมือนั้นเอาไว้แน่น แล้วเงยหน้าขึ้นมองพลุ แสร้งทำเป็นไม่รู้ว่า เหตุผลที่คนข้างๆไม่ยอมมองสบตา ไม่ใช่เพราะว่าพลุบนท้องฟ้าน่าสนใจเสียจนไม่อาจละสายตา แต่เป็นเพราะต้องการปิดบังใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ หลังจากเอ่ยประโยคนั้นออกมา
...พอถึงตอนนั้น...
...ฉันจะ...ยกทั้งหมดของฉัน...ให้นาย...
ความสัมพันธ์ทางกายและการแต่งงานนั้น คือการสร้างความผูกพันระหว่างคนรัก ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่า สิ่งใดควรจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลัง แล้วแต่จังหวะเวลา ประเพณีความเชื่อและความพร้อมของแต่ละคน พวกเขาทั้งคู่เป็นผู้ชาย ไม่ต้องสนใจปัญหาจุกจิกบางอย่างเหมือนคู่หญิงชายทั่วไป สามารถปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามความรู้สึก แม้จะรู้ดีว่า หากร้องขอ รบเร้า หรือบังคับ คากามิก็จะยอมโอนอ่อนผ่อนตามให้สิ่งที่เขาต้องการ แต่อาโอมิเนะก็เลือกที่จะทำตามเงื่อนไขนั้น เขาอยากจะทะนุถนอมความสัมพันธ์นี้ให้ดีที่สุด
เขารู้ดีว่าตัวเองเป็นคนเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ พูดจาไม่ค่อยรักษาความรู้สึกของใคร หรือสรุปโดยรวมก็คือ เป็นคนนิสัยไม่ดี ทั้งที่เขาเป็นคนแบบนั้น คากามิก็ยังให้ความสำคัญกับเขาเสมอมา คอยอยู่เคียงข้างยามเมื่อมีปัญหา ใส่ใจในทุกเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ คากามิคือของขวัญที่โชคชะตามอบให้กับเขา เพื่อเปลี่ยนวันคืนอันเลวร้ายให้กลายเป็นชีวิตที่มีความสุข
การทำเงื่อนไขของคากามิให้สำเร็จ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่อาโอมิเนะก็ตั้งใจไว้แล้วว่า จะต้องทำให้ได้ แม้จะต้องใช้เวลานานเพียงใดก็ตาม เขาก็ยินดีจะรอคอยจนกว่าจะถึงวันนั้น
“อย่าลืมสัญญาล่ะ”
“รู้แล้วน่า พูดมากจริง”
แม้พลุบนท้องฟ้าจะถูกสายลมพัดผ่าน จนเปลี่ยนรูปร่างและจางหาย มือทั้งสองยังคงกุมกันแน่น ไม่ยอมปล่อย สายรัดข้อมือสีฟ้าสดใส เลื่อนหล่นลงมาสัมผัสกัน ราวกับโหยหา สัญญาที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไม่รู้ว่า จะได้รับการเติมเต็มเมื่อใด อาจจะอีกห้าปี สิบปีหรือมากกว่านั้นก็เป็นได้
แต่...ไม่ว่าจะนานเพียงใด...มือทั้งสองจะจับกันไว้...
และรอคอยจนกว่า...วันที่สัญญา...
...จะกลายเป็นจริง...
++++++++++
แถมท้าย
“คา..กา...มิ...”
อาโอมิเนะหน้าซีด ชี้นิ้วไปทางชายหนุ่มด้วยมือที่สั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุมได้
“โมน่าให้มาน่ะ บังคับให้ใส่ไปให้ดูวันนี้ด้วย”
คากามิกำลังอยู่ในชุดเสื้อคอวีสีดำ มันจะไม่เป็นไรเลย ถ้าช่วงที่ลึกลงไปของคอเสื้อนั้นไม่เผยให้เห็นช่วงอกเป็นระยะๆทุกครั้งที่ขยับตัว แถมเจ้าแหวนสีเงินยังแกว่งไกวไปมา เหมือนต้องการหลอกล่อให้มองมายังตำแหน่งนั้น
บางครั้งอาโอมิเนะก็นึกสงสัยว่า...ตัวเขาเอง...
...จะรักษาสัญญา...ได้หรือเปล่า ?...
++++++++++
ขออนุญาตเตือนก่อนจะเวิ่นเว้อคุยกับคนอ่าน จากที่ได้เห็นในตอนนี้ คง "อีกนาน" นะคะ
กว่าจะมีฉากที่หลายคนรอคอย ฉะนั้นอาจจะต้องขอให้คนอ่านทุกท่าน ทำใจไว้สักหน่อยนะคะว่า กว่าจะมี เราร่างโครงเรื่องไว้ว่่า
ตอนจบของซีรี่ย์อ่ะค่ะ ขอโทษนะคะที่ช้า แต่ตามโครงเรื่องเป็นเช่นนี้ (คนอ่านจะหายไหม 555+)
เข้าเรื่องๆ งวดนี้นานมากที่ไม่ได้อัพ ที่จริงเขียนไปได้เกินครึ่งเรื่องนานแล้ว ช่วงครึ่งหลังที่สารภาพรักกันนี่แหละที่นาน เขียนๆแก้ๆ ลบๆ
ไม่ได้อย่างใจสักที ช่วงกลางก็ไม่ค่อยจะได้ตรวจภาษา+สะกดคำ เพราะขี้เกียจ กราบขอโทษคนอ่านอีกครั้ง
ฟิคนี้อาจจะไม่ได้เผา แต่ก็ครึ่งสุกครึ่งดิบ แบบว่าขี้เกียจแล้วอ่ะ OTL (ใครก็ได้มาทำให้ขยันที)
ก่อนอื่นเราอยากบอกกับคนที่คอมเมนต์ทุกคนมากค่ะว่า ขอบคุณมาก ในช่วงเวลาที่ปั่นงานไป อ่านหนังสือสอบไป จนสอบเสร็จ
แล้วกลับมาเขียนฟิคอีกที อยากบอกว่า ขี้เกียจมากกกกกกกกกกกกกก แบบว่า นั่งอ่านคอมเมนต์แต่ละคอมเมนต์ ทำให้รู้สึกว่า
เอ้าๆๆ แต่งแกแต่ง มีคนรอแกอยู่ อย่าขี้เกียจ เขียนเดี๋ยวนี้ แถมตอนนี้ยาวมากด้วย T^T เขียนเท่าไรก็ไม่จบ
อยากบอกว่า แอบดอดมาอ่านคอมเมนต์ หาแรงฮึดบ่อย แอบเห็นว่า มีคนกด Fanclub เพิ่มขึ้นบ๊อยบ่อย แต่คอมเมนต์หายไปไส T^T
เอาล่ะๆ จบเรื่องตัดพ้อกลับเข้าเรื่อง นี่ถือเป็นการจบภาคหนึ่งของเรื่องนี้ ก็ได้มั้ง 55+ ที่จริงไม่เชิงภาคหนึ่ง
เรียกว่า จะจบตรงนี้ก็ได้ แต่ที่จริงนี่แค่ครึ่งหนึ่งของโครงเรื่องที่ร่างไว้ ตอน 5 มันควรจะเป็น ตอน 3 ของโครงเรื่อง ทำไมมันงอก ??
ส่วนจะเขียนตอนต่อเมืื่อไหร่ ขอตอนว่างๆ เพราะตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ไม่ควรจะทิ้งระยะนาน ความรู้สึกมันจะไม่ต่อ
จะพยายามอัพให้ได้เดือนละตอน แต่เริ่มเมื่อไหร่ ไม่แน่ใจ 55+ ขอกลับไปเคลียร์ไหอื่น + เปิดไหใหม่ก่อนได้ไหม 55+
ที่จริงตอนนี้พยายามหาข้อมูลเยอะมาก หาๆๆๆ แล้วก็งง จนมั่วข้อมูลแล้วเนี่ย ใครเห็นว่าผิดตรงไหน บอกได้นะคะ
คนเขียนมันมั่ว เพราะขืนมันหานานกว่านี้ คงไม่ต้องเขียน มีนิสัยเสียคือ หาข้อมูลทีไร กลายเป็นอ่านนู้นนี่เล่นทุกที ข้อมูลไม่ได้หา 55+
ความจริงอีกหนึ่งเรื่องคือ ตอนนี้ควรจะโพสได้ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วที่ลบคำบ่นๆ ตอน 5 ทิ้ง แต่เผอิญว่าคิดขึ้นมาได้ว่า ลืมเขียนแถมท้าย
เลยไปซุ่มเขียนมา 555+ นานเลย กว่าจะได้โพส
เอาล่ะตอบคอมเมนต์กันดีกว่า
Hima : ตอนนี้ไม่รู้น่ารักสู้ตอนอื่นได้ไหม เอาเป็นว่า คนเขียนเต้นขอขมาที่ช้าแล้วกัน
เบม : จากตอนก่อนอะโฮ่คงไม่ค่อยได้ดูแลเสือน้อยค่ะ น่าจะทำครัวเละจนโดนไล่กลับบ้าน 55+
iulnp : ขอโทษที่แต่งต่อไม่ไวเลยสักนิด - -" ใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีแล้วค่ะ ขอโทษที่ขี้เกียจค่ะ
I am ja : อ่านคอมเมนต์นี้ทีไร แอบขำ (ชอบกลับมาอ่าน) หวังว่าตอนนี้จะทำให้ฟินได้บ้าง ไม่มากก็น้อยนะคะ
raining : คู่นี้คงรักกันแบบน่ารักคิกขุไม่ไหวค่ะ ผู้ชายตัวใหญ่ๆสองคน มันต้องบู๊ค่ะ
hnee : อยากจะบอกท่านหนีว่า ตอนนี้เขียนยากที่สุด เท่าที่เคยเขียนมา (แกล้งตาย)
terewasabi : เอาเป็นว่า ขอบคุณที่คอยตามหลอนให้เขียนนะ ไม่ต้องมายืนน้ำหยดข้างหมอนเค้านะ เค้ามีพุชชีนนะ อย่าเข้าม๊า
arij-joint : จะดีใจมาก ถ้าตอนนี้ทำให้ฟินได้อีกครั้งนะคะ
Blue anemone : พูดถึงสายคุโร่คากะ ก็มีคนข้างๆตัวเชียร์กรอกหูบ่อยๆ แต่ไม่เปลี่ยนใจค่ะ สายหลักคือหมารุ่นพี่ สายรองคือฟ้าไฟ เอ๋ แต่ทำไมฟิคมันออกมา มีแต่ฟ้าไฟ ก็ไม่รู้ 555+
Kotomine : สิ่งที่อาโอมิเนะอยากบอกตอนฝนตก ก็ได้บอกแล้วค่ะ งวดนี้คากามิไม่ค่อยโดนแกล้งเท่าไร แต่อะโฮ่โดนซะอ่วม
Kretis : ตอนต่อไปมาไม่ด่วน OTL ขออภัยจริงๆค่ะ คราวนี้ใกล้จะเข้าหอไปอีกขั้น (รึเปล่า??)
fakanda : อาโอมิเนะเป็นตัวทำลายความซึ้งค่ะ เฮียเป็นตัวฮาสำหรับเรา รักและเอ็นดูเฮียค่ะ
หมีฟันเหล็ก ^[+++]^ : รอบก่อนอาโอมิเนะได้กินคาราเกะ แต่งวดนี้ไม่ค่อยจะได้กินอะไร แย่หน่อยนะโฮ่ กลับยุ่นค่อยกินนะ
LoyolY : หาอ่านยากมากค่ะ จึงต้องเขียนเองเพื่อสนองสิ่งที่อยากอ่าน หมารุ่นพี่ก็อีกคู่ แต่ทำไม๊ทำไม คู่นั้นถึงเขียนไม่ค่อยได้ ก็ไม่รู้
Rainbow_Jang : ตอนนี้ก็ได้ขอแต่งงานกันแล้วค่ะ เกือบจะได้เป็นคู่แต่งงานเต็มตัวและ
Guitar KP Destiny : เดี๋ยวเรากรี๊ดเป็นเพื่อนนะคะ เพราะเราก็ฟินคู่นี้เหมือนกัน
เอาล่ะ ขออนุญาตไปงัดไหดองก่อน เขียนอยู่ครึ่งๆกลางๆ หลายไห รวมทั้ง You are my angel ด้วย
ที่แน่ๆอยากเปิดไหดองใหม่ (หัวเราะ) ยังคิดๆอยู่ว่า จะเอาจริงไหม แล้วก็อยากเล่นเกมอะไรนิดหน่อยกับคนอ่าน
ไม่รู้คนอ่านจะยอมเล่นด้วยไหม 555+ (อาจจะบอกว่า แกกลับไปเขียนฟิคซะ มัวแต่ทำบ้าอะไรของแก๊)
ความคิดเห็น