คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : I wish you knew how much I love you
Title: I wish you knew how much I love you
Author: Monochrome bird
Category: Drama เป็นหลัก แต่แบ็คกราวน์อยากให้มีกลิ่นอายฮาเฮ
Pairing: โฮลี่ออดอร์ x คุณเกียร์
Rating: 15+
Disclaimer: ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นของคุณภานุวัฒน์ค่ะ พวกเราแค่ยืมมาจิ้นเล่นเท่านั้น
Author notes: ตอนนี้เขียนไปปวดหัวไป กลัวโฮลี่ออเดอร์จะหลุดเคะ 555+
++++++++++
มนุษย์เรานั้น...ย่อมมีของที่อยากได้...
ดิ้นรน...ไขว่คว้า...เพื่อให้ได้มา...
แต่เมื่อได้เอาไว้ในมือ...
...กลับพบว่า...ไม่เป็นอย่างที่คิด...
++++++++++
วันนี้เสียงเข็มของนาฬิกาบนผนัง มันทำให้เขาปวดประสาทอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน รู้สึกเหมือนตัวเอง
เหลือบตามองนาฬิกาทุกๆ 5 นาที แล้วก็นึกอยากตะโกนออกมาดังๆว่า ไม่มีเวลาแล้วโว้ย ทำงานไม่ทันแล้ว
“ลนลานไป ก็ไม่ช่วยอะไรหรอกน่า”
น้ำเสียงสบายๆของอีกคนหนึ่ง ฟังแล้วก็คงนึกว่า เจ้าตัวเคลียร์งานตัวเองจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ถ้าไม่เห็นภูเขากองงานที่ยังคงตั้งรายล้อมรอบตัวและไม่มีทีท่าว่าจะลดลง แม้แต่นิดเดียว
“ผมคงไม่ลนลานหรอกครับ ถ้าไม่มีไอ้งานนั่น”
วันนี้บริษัทคึกคักเป็นพิเศษ เพราะมีงานประชุมประจำปี หรือที่แอบเรียกกันว่า บริษัทเลี้ยงข้าว
ถึงจะได้ชื่อว่า ประชุม แต่ก็เป็นแค่การยืนฟังพวกผู้หลักผู้ใหญ่พล่ามอะไรประมาณห้าถึงสิบนาที
จากนั้นก็จะเป็นการกินข้าว พบปะสังสรรค์ระหว่างพนักงานทั้งหลาย โดยเฉพาะพวกอยู่คนละแผนก
ต่างคนต่างก็มีงานกองท่วมหัว นานๆจะได้มีโอกาสพูดคุยกัน ทุกคนก็เลยตื่นเต้นดีใจกันใหญ่
แต่แน่นอนว่า ไอ้งานไร้สาระนั่น เบียดเบียนเวลาทำงานไปอย่างมหาศาล
ถ้าไม่ใช่ช่วงที่งานเอกสารกองสุมท่วมหัวขนาดนี้ อาจจะพอกล้ำกลืนลงไปสนุกกับมันได้บ้าง
แต่กำลังทำศึกหนักกับกองงาน แล้วยังถูกบังคับให้ไปยืนยิ้ม ทักทายคนนู้นคนนี้ในงาน มันสุดจะทนจริงๆ
“สบายๆน่า ไม่เห็นต้องเร่งให้เสร็จเลย”
เออ...คุณหัวหน้าครับ ถ้าจำไม่ผิด งานที่กองรายล้อมตัวเราอยู่นี้ โดนอาญาสิทธิ์จากเบื้องบนให้เคลียร์ให้เสร็จ
ภายในอาทิตย์นี้ไม่ใช่หรือครับ เพราะว่ามีเรื่อง GM คนใหม่ กับเรื่อง key master เข้ามา เอกสารที่ต้องดูแล
ก็เลยเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว ถ้ารู้ว่า การรับคนเข้ามาใหม่ มันจะทำให้งานเยอะขึ้นขนาดนี้ ผมอาจจะยอมกล้ำกลืน
เขียนรายงานให้
“คุณเกียร์ครับ !!”
แค่บ่นถึงในใจก็โผล่หน้ากันเข้ามาซะงั้น เจ้าพวกกองทัพ GM ลิงทโมน วิ่งเข้ามาหาหัวหน้าถึงที่โต๊ะ
บอกให้ลงไปข้างล่างเร็วๆ ก่อนที่งานจะเริ่ม เดี๋ยวที่นั่งดีๆจะถูกจองไปหมด
พวกแกดูบ้างหรือเปล่าวะ !! ไอ้ที่กองบนโต๊ะนั่นเรียกว่าอะไร !! แล้วมันมีเยอะแยะมากมายขนาดไหน !!
ไม่ช่วยทำ ก็อย่ามาป่วนได้ไหม เวลาทำงานยิ่งน้อยๆอยู่
“สักพักจะตามลงไปนะ ขอเคลียร์งานก่อน...”
รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยออร่าใจดียังคงแผ่ออกมาดังเช่นปกติ
ตอนแรกผมก็นึกว่า มันเป็นคำสัญญาเชิงหลอกเด็กให้ตายใจ จะได้ทำงานต่อ โดยไม่มีคนมารบกวน
“อีกสัก 15 นาทีนะ...”
ผมรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่าเปรี้ยงเข้ากลางหัว !!
15 นาที !! คุณเกียร์ครับ จะทำอะไรทันภายใน 15 นาที
ลืมไปเสียสนิทว่า คนคนนี้เป็นคนให้สัญญาอะไรแล้วทำจริงเสมอ บอกว่าสักพักก็คือสักพัก
แถมยังกำหนดเวลาชัดเจน เพื่อบีบตัวเองให้รักษาสัญญานั้น ผมปวดหัว กับคุณจริงๆ
เมื่อได้ยินคำตอบที่น่าพอใจ ฝูงลิงทโมนต่างก็แยกย้ายกันออกไปทำงานที่เหลือของตัวเอง
ทิ้งให้ผมนั่งทำหน้าบูด ขณะมือยังคงทำงานต่อไปไม่หยุด เดาว่า ออร่าดำทะมึนคงส่งออกไปไม่น้อย
คนที่นั่งทำงานอยู่ใกล้ๆ ถึงส่งยิ้มมาให้ แล้วเอ่ยคำพูด เหมือนต้องการจะปลอบใจ
“อย่าหงุดหงิดไปเลยน่า มีงานทั้งที ก็ลงไปร่วมสนุกหน่อยสิ”
“ผมไม่สนุกด้วยหรอกครับ”
แต่ไหนแต่ไร ก็ไม่ใช่คนชอบงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์อยู่แล้ว ถ้าเลือกได้ อยากจะอยู่กับคุณเงียบๆในห้องทำงานมากกว่า
เพราะว่าช่วงเวลานั้น ผมจะรู้สึกว่า คุณเป็นของผมเท่านั้น เป็นของผมเพียงคนเดียว
...ไม่อยากแบ่งให้ใคร...
เหมือนอีกฝ่ายจะเงียบไปนาน คงไม่รู้ว่า จะโต้ตอบอะไรกลับมาดี เพราะคำพูดของผมก็ดูจะเย็นชาไม่น้อย
พยายามไม่เงยหน้าขึ้นมอง เพราะกลัวว่า ถ้าได้เห็นใบหน้านั้นแล้วจะต้องใจอ่อน
“นี่...”
เสียงนั้นอยู่ใกล้จนแทบสะดุ้ง พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่า คนที่คุยด้วย มายืนอยู่หน้าโต๊ะทำงาน
เดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่นะ ไม่เห็นได้ยินเสียงฝีเท้าเลย แต่ก่อนจะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น
นิ้วเรียวยาวก็จิ้มลงมา ตรงกลางหน้าผาก
“บ่นมากๆ เครียดมากๆ เดี๋ยวก็แก่เร็วหรอก...”
ในวินาทีนั้น ผมบอกตรงๆว่า อึ้งกับคำพูดและท่าทางที่แสดงออกของคุณ จนไม่รู้จะพูดอะไรตอบดี
อยากจะอ้าปากโต้ตอบคำพูดนั้นกลับไป แต่ในหัวก็ว่างเปล่า
“แล้วตามลงไปนะ...”
เสียงทุ้มนุ่มนั้นเอ่ยบอก ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินผ่านประตูออกไปด้านนอก
ผมนั่งนิ่งๆ พยายามปรับอารมณ์อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจละทิ้งกองงาน เพราะสมาธิกระเจิดกระเจิง
คุณเกียร์ครับ...คุณจะรู้บ้างไหมครับ...
วิธีการยิ้ม...วิธีการพูด...แล้วก็การสัมผัสเมื่อครู่...
มันทำให้ผม...อยากจะกระชากตัวคุณลงมาจูบหนักๆสักครั้ง...
อยากจะเก็บคุณเอาไว้ในกล่อง...ไม่ให้ใครเห็น...
กลัวว่า...จะมีใครมาแย่งคุณไป...จากผม...
ทุกครั้งที่รู้สึกแบบนี้...จะนึกสงสัยขึ้นมา...
...ทำไมผมถึงได้...รักคุณขนาดนี้นะ...
++++++++++
การบรรยายที่น่าเบื่อเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาบริษัท การขอความร่วมมือจากพนักงานทั้งหลาย ไปจนถึงผลกำไร
และคำตำหนิติเตียนเกี่ยวกับข้อผิดพลาด ดำเนินไปจนสิ้นสุดภายในหนึ่งชั่วโมง จากนั้นประธานบริษัทจึงขอเชิญ
ทุกคนไปร่วมรับประทานอาหารที่จัดเตรียมไว้
โฮลี่ ออเดอร์อยากจะหัวเราะออกมา เมื่อเห็นสีหน้าง่วงงุนของหลายคน เปลี่ยนเป็นสดใส เมื่อสมองได้รับข้อมูลว่า
สามารถไปจัดการกับอาหารได้ เมื่อแอบเหล่มองใบหน้าของคนข้างๆ ที่มองเหล่าลูกน้องด้วยรอยยิ้มอย่างเอ็นดู
ก็นึกสงสัยว่า ถึงเจ้าพวกนี้จะทำตัวอย่างไร ก็คงดูน่ารักในสายตาคุณสินะ ถึงจะเป็นผู้ใหญ่วัยเกินยี่สิบกันแล้วทั้งนั้น
“เกียร์...”
ได้ยินเสียงแว่วของมารความสุขดังขึ้น สาวสายผู้ที่ตอนนี้รั้งตำแหน่งหัวหน้า key master เดินตรงมาทางพวกผม
แล้วลากตัวหัวหน้า GM ออกไปทันที โดยไม่อธิบายอะไรสักคำ
“โฮลี่ ออเดอร์ มาทางนี้สิ”
เจ้าลิงทโมนผู้ปรารถนาดีทั้งหลาย คงกลัวผมจะเหงาก็เลยส่งเสียงเรียกกันใหญ่ แต่ขอรับไว้ด้วยใจแล้วกัน
ไม่อยากถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผู้ใหญ่หัวใจเด็กอนุบาล ก็เลยเดินหลบเลี่ยงไป ทำเหมือนไม่รู้จักกัน
“ไง โฮลี่ออเดอร์”
เดินยังไม่ถึงสิบก้าว ก็โดนทักอีกแล้ว คงเพราะห้องนี้ไม่ได้กว้างสักเท่าไร แถมยังยัดคนเข้ามามากมายขนาดนั้น
จะเจอคนรู้จักก็ไม่แปลกอะไร โชคดีที่คราวนี้คนทักคือ หญิงสาวจากฝ่ายเทคนิคที่ผมมักจะพูดคุยและออกไป
เที่ยวด้วยกันบ่อยๆ
“หัวหน้านายโดนล้อมแล้วนี่”
พอฟังคำพูดนั้น ผมก็รีบเหลียวซ้ายแลขวาหาเป้าหมายที่ถูกลากตัวไป ก็พบว่า เจ้าตัวยังคงรอยยิ้มตามแบบฉบับ
เวลาพูดคุยกับผู้คนมากมาย ดูจากอายุและการแต่งตัว เดาว่าเป็นกองทัพ key master ที่สนใจอยากถามเรื่องเกี่ยวกับเกม
“ทำหน้าบูดเชียว”
“ก็เบื่อนี่...เสียเวลาทำงานชะมัด”
พอนึกถึงปริมาณงานที่ยังเหลืออยู่บนโต๊ะ ก็นึกอยากวิ่งกลับขึ้นไปนั่งทำต่อ มากกว่ายืนพูดคุยไร้สาระตรงนี้
ไม่ใช่ว่ารักงาน รักบริษัทอะไรหรอกนะ แต่ถ้าไม่ทำ พรุ่งนี้คงถูกกองงานถล่มทับตาย
“คนอื่นเขามีแต่อยากจะโดดงาน”
“พวกฝ่ายเทคนิค ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีหรอก”
หญิงสาวยิ้มรับในคำกล่าวนั้น เพราะก็เป็นจริงดังว่า สำหรับฝ่ายเทคนิคแล้ว งานถือเป็นชีวิตอย่างหนึ่ง แม้ทุกคนจะทำ
ตัวเหมือนคอมพิวเตอร์ เข้างานตรงเวลา เลิกตรงเวลา แต่ในขณะที่กำลังทำงาน ทุกคนก็เต็มที่และสนุกกับมัน
“ได้ข่าวว่า รับ GM มาเพิ่มเหรอ ?”
“ใช่ จะได้มีคนช่วยงานเพิ่ม”
ตอนนี้เรื่องที่ผมยื่นมติการสรรหา GM เพิ่มเติมก็ผ่านแล้ว ในตอนแรกเจ้าพวกลิงดีใจกันใหญ่ ทำท่าจะวิ่งไปหาสมัคร
พรรคพวกเพิ่มกันอย่างแข็งขัน จนผมต้องรีบออกปากห้าม ไม่งั้นแทนที่จะได้คนช่วยทำงาน อาจจะได้ลิงมาให้เลี้ยงอีก
ฝูงหนึ่ง เหนื่อยเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
“แล้วตอนนี้หาได้เยอะหรือยังล่ะ ?”
“ก็ค่อยๆหาอยู่น่ะ ของแบบนี้มันต้องคัดสรรสักหน่อย”
เหตุผลที่มันช้า ก็เพราะผมยื่นคำขาดว่า คนที่จะมาเป็น GM คนใหม่นั้น ต้องเป็นผมหรือคุณเกียร์เลือกเท่านั้น
ห้ามให้คนอื่นเลือกเด็ดขาด แล้วก็ไปกำชับกับคุณเกียร์อีกทีว่า ช่วยเอาคนที่ทำงานเอกสารได้ พูดจากันแบบผู้ใหญ่
รู้เรื่องนะครับ ไม่เอาผู้ใหญ่หัวใจเด็ก วันๆเอาแต่วิ่งไปวิ่งมาในเกม
“ท่าทางการสอบจะโหดหินนะเนี่ย”
“แน่สิ ก็เป็น GM เชียวนะ”
ที่จริงไม่มีการสอบอะไรทั้งนั้น ใช้แค่สัญชาตญาณของคนเลือก แต่เหตุผลที่มันช้า เพราะผมกับคุณเกียร์ไม่ค่อยมีเวลา
ไปหาผู้คนในเกมสักเท่าไร ก็ได้แต่หวังว่า พอมีคนช่วย จะได้เหยียบเข้าไปในเกมบ่อยขึ้น
“คนที่รับเข้ามาใหม่ ก็ใช้ได้นะ กำลังค่อยๆเรียนรู้งาน”
ต้องยอมรับว่า คนที่คุณเกียร์เลือกเข้ามา ทำงานได้ดีเกินคาด นอกจากจะเคลียร์งานเอกสารทั้งหลายของตัวเองได้
ครบถ้วนสมบูรณ์ ยังมีข้อคิดเห็นและฝีไม้ลายมือในการเล่นเกมที่น่าสนใจ
“น่าจะวางใจได้แล้วน่า เดี๋ยวงานก็เสร็จ หยุดทำหน้าบูดได้แล้ว”
“เพราะมัวแต่ทำบึ้งตึงนี่แหละ หน้านายถึงได้แก่กว่าอายุจริง”
ยังไม่ทันจะอ้าปากตอบโต้อะไร หญิงสาวก็รีบเดินหนีไปทางอื่น พร้อมกับขยิบตาให้เล็กน้อย เป็นเชิงล้อเล่น
แม้ตัวผมจะรู้สึกหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย กับการพูดแซวของเธอ แต่ก็ต้องยอมรับว่า คุยกับเธอแล้วสบายใจดี
“โฮลี่ ออเดอร์...”
เสียงสวรรค์มาโปรด ทำให้ผมหันควับไปตามเสียงทันที ก็เห็นอีกคนหนึ่งยื่นจานกระดาษที่ใส่ทอดมันมาให้
แน่นอนว่า ผมรีบยื่นมือไปรับทันที ถ้าเป็นของที่คุณให้ ถึงจะเป็นยาขมก็คงยอมกระเดือกลงคอด้วยความยินดี
“เรียบร้อยแล้วเหรอครับ”
“ก็อย่างที่เห็น”
ถึงจะเป็นการสนทนาที่ละคำชี้เฉพาะเจาะจงทั้งหมด แต่คนที่พูดคุยกันก็สามารถเข้าใจความหมายนั้นได้ เพราะรู้ดีถึง
เหตุผลที่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการใช้คำตรงๆ กลัวว่าจะไประคายเคืองหูคุณหนูคุณชายคนไหน
“แล้วคุยอะไรกันบ้างครับ ?”
“เรื่องทั่วไปนั่นแหละ”
บางครั้งผมก็นึกสงสัยว่า ไอ้เรื่องทั่วไป นี่มันเรื่องอะไร ? แต่อย่างว่าแหละ เรากำลังคุยกันด้วยบทสนทนาละเว้นคำ
เฉพาะเจาะจง มันก็เลยออกมาในรูปแบบนี้
“ราดิช”
ไม่รู้ว่า คนตรงหน้ากำลังหาทางออกจากบทสนทนาแปลกๆหรือเปล่า ก็เลยหันไปทัก เรียกตัว GM คนใหม่ที่ผมเป็นคน
ไปชักชวนให้มาร่วมงาน ด้วยนิสัยแปลกประหลาดและความโหดที่ไม่ต่างจากในเกม จึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
เหล่าลิงทโมนก็พยายามหลบเลี่ยง แถมยังตั้งฉายาให้ว่า จอมโหดหัวผักกาด ทุกครั้งที่เอ่ยฉายานั้น คนพูดจะทำหน้า
สยองขวัญเหมือนเอ่ยถึงฆาตกรต่อเนื่องที่น่าหวาดกลัว แต่ผมรู้สึกว่ามันน่าขำมากกว่าน่ากลัว
“เป็นยังไงบ้าง ?”
ผมมองคุณเกียร์ยิ้มแย้มตามปกติ เอ่ยทักทายคนที่ปล่อยออร่าดำทะมึนออกมาตลอดเวลาได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
ราดิชเหลือบตามองเหมือนจะรำคาญ ผมส่งกระแสจิต เรียกให้หัวหน้าถอยกลับเข้าที่มั่น แต่เหมือนจะไม่ได้ผล
“ชินกับงานหรือยัง ?”
ไม่มีเสียงตอบรับจากบุคคลที่ท่านเรียก มีเพียงสายตาเฉยชาปนรำคาญเท่านั้น
ดูคนรอบข้างจะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศดำมืด จึงพากันถอยหนีไปทางอื่น
มีเพียงแต่หัวหน้าของผมเท่านั้นที่ยืนนิ่งเหมือนไม่รับรู้สัญญาณใดๆ หรือไม่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้
“ก็ดี...”
คำสั้นๆหลุดออกมาจากริมฝีปากนั้น ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลงอีกครั้ง ทำเอาบรรยากาศอึดอัดมากยิ่งขึ้น
คนรอบข้างมองหน้ากันไปมา ราวกับลุ้นระทึกว่า ใครจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ระหว่างคนที่ยืนทำหน้าบึ้ง ไม่ยอมพูดคำใดๆออกมา กับคนที่ยิ้มกว้าง พูดคุยกับทุกคนอย่างเป็นกันเอง
เมื่อสายตาจับจ้องอยู่ที่คนสองคนซึ่งเอาแต่มองกันไปมา ไม่พูดอะไร มันก็ยิ่งอึดอัดเข้าไปใหญ่
“งั้นก็ขยันทำงานเข้านะ”
อยู่ๆคุณเกียร์ก็พูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงตามปกติของเจ้าตัว แหวกบรรยากาศอึมครึมออกอย่างง่ายๆ
มือข้างหนึ่งก็ตบไปบนบ่าเบาๆ เหมือนจะให้กำลังใจ ทำเอาหนุ่มตาขวางมองไปยังไหล่ของตน ตรงที่โดนสัมผัส
หลายคนแอบกลั้นหายใจ รู้สึกเหมือนเห็นภาพล่วงหน้าว่า ชายหนุ่มจะต้องยกมือขึ้นปัดฝุ่นออกด้วยท่าทีรังเกียจ
แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เขาแค่หยุดมองอยู่พักหนึ่ง แล้วเดินหลบฉากออกไป
“ถอนหายใจทำไม ?”
ผมแอบสะดุ้ง เมื่อโดนทัก เพราะถอนหายใจออกไปโดยไม่รู้ตัว พักนี้คุณเกียร์ทำเรื่องน่าปวดหัวบ่อยจนถอนหายใจ
เป็นเรื่องปกติ เมื่อกี้ก็ทำเอาบรรยากาศดำมืดจนน่ากลัว ผมยังเกรงๆว่า ถ้าราดิชใจร้อนอีกนิด อาจจะต่อยคุณคว่ำไปแล้ว
“ไม่มีอะไรหรอกครับ”
ใครจะไปพูดว่า ถอนหายใจ เพราะคุณทำตัวให้ผมเป็นห่วง ก็คงบอกปัดอย่างนี้ไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของผมนี่แหละ
ช่วยไม่ได้นี่นา ผมเป็นคนอยากยุ่งเรื่องของคุณเอง คุณไม่ได้ขอเสียหน่อย
“หัวหน้าครับ !!”
ผมหันไปมองเหล่ามารที่มาขัดขวางการสนทนา เหล่า GM ทั้งหลายที่วิ่งเข้ามารุมล้อม พร้อมบรรยายความอร่อยของ
อาหารที่ได้ลิ้มลอง ท่าทางดูสนุกสนาน แตกต่างจากตอนกำลังฟังบรรยายลิบลับ
พวกเห็นแก่กิน....ในสมองคิดอยู่แค่เรื่องกินกับเรื่องเกมหรือไงนะ
ตอนที่สายตาผมจับจ้องไปทางคุณที่ถูกรายล้อมไปด้วยผู้คน...
แม้จะเป็นภาพที่ชินตา แต่ในตอนนี้...ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อกำเนิดขึ้นอย่างช้าๆ...
จากที่ต้องการเพียงแค่มอง...เปลี่ยนเป็นใกล้ชิด...
จากได้ใกล้ชิด...ต้องการสัมผัส...
เมื่อได้สัมผัส...ก็อยากครอบครอง...
...อยากเก็บคุณเอาไว้...เป็นของผมคนเดียว...
++++++++++
“เสาร์นี้ว่างหรือเปล่า ?”
คำถามที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน หลุดออกจากริมฝีปากของคนที่ได้ชื่อว่า เป็นมนุษย์บ้างาน
ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม นึกสงสัยอยู่ในใจว่า วันเสาร์ไม่ใช่วันทำงาน ในพจนานุกรมของคุณหรือครับ
มันเปลี่ยนเป็นวันหยุดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ? หรือตั้งใจจะเรียกผมมาใช้งานอะไรเป็นพิเศษ
“ว่างหรือเปล่าล่ะ ?”
คำถามยังคงเดิม ไม่คิดจะขยายข้อความให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นการถามหยั่งเชิงหรือเปล่า
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่คิดจะอธิบายอะไรให้ชัดเจนกว่านั้น เขาก็คงจะต้องตอบสินะ
“คิดว่าว่างนะครับ”
ถ้าเป็นเมื่อก่อน คงตอบว่า ว่างครับ แต่โดยดี พอมาตอนนี้ อยากจะแบ่งรับแบ่งสู้ไว้ก่อน
แอบหวั่นใจว่า จะโดนลากไปงานสังคม ต้องฉีกยิ้ม สวมหน้ากากกับพวกคนไฮโซ ก็ขอช่องทางไว้หนีหน่อยแล้วกัน
“มีอะไรหรือครับ ?”
“อยากไปเที่ยวสักหน่อยน่ะ”
“หา ?”
เที่ยว ? มีคำนี้อยู่ในชีวิตของคุณด้วยหรือครับ ผมนึกว่า คุณจะทำแต่งาน งานและงาน ตลอดทั้ง 7 วัน
อยู่ๆก็อยากไปเที่ยว ไม่ทราบว่า ไปเที่ยวที่ไหนครับ อย่าบอกว่า ไปเที่ยวในเกม Neo universe นะครับ
“ไม่อยากไปเหรอ ?”
ผมรีบส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว หน้าตาผมมันคงเอ๋อสุดขีด เพราะเจอคำพูดที่ไม่คาดคิดมาก่อน
ส่วนคนชวนไปเที่ยวนั้น เพียงแต่ยิ้มน้อยๆ แล้วหันกลับไปทำงานต่อ ไม่คิดจะอธิบายอะไรเพิ่มเติม
ผมนั่งจ้องอยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจเป็นฝ่ายถามเอง
“จะไปไหนหรือครับ ?”
“ดูหนังน่ะ”
ผมว่า ใบหน้าผมคงแสดงออกถึงอาการตกใจสุดขีด ใครจะไปคาดคิดว่า คนคนนี้จะเกิดอยากดูหนัง เหมือนคนทั่วไป
อยากจะอ้าปากถามต่อว่า อะไรดลใจหรือครับ ถึงนึกจะก้าวขาเข้าไปในโรงหนัง แต่ก็ยั้งปากไว้
พยายามรวบรวมสมาธิที่ฟุ้งซ่าน ไม่อยากจะถามให้มากความอีก เดี๋ยวความคิดจะยิ่งกระเจิดกระเจิง
ผมเห็นคุณเกียร์แอบมองหน้าผมแล้วหัวเราะ เหมือนจะขำท่าทางลุกลี้ลุกลนของผม
ไม่ใช่เรื่องตลกนะครับ !! ไม่ว่าใครก็ต้องตกใจทั้งนั้นแหละ
จะให้มานั่งทำงาน ทั้งที่เพิ่งฟังเรื่องน่าประหลาดใจแบบสุดๆ
ใครจะไปทำได้ครับ !!
“วันเสาร์นี้นะ...”
“เจอกันตอนสิบโมง...”
ผมตอบรับเบาๆ ไม่อยากเงยหน้าขึ้นมองอีกคนหนึ่ง เดาได้เลยว่า อีกฝ่ายคงกำลังสนุกกับปฏิกิริยาของเขา
หลังจากนั้นห้องทำงานก็เงียบสงบดังเดิม มีเพียงเสียงกดคีย์บอร์ด กับเสียงพลิกกระดาษเท่านั้น
++++++++++
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่เขาตื่นเช้าที่สุดเป็นประวัติการณ์ ถึงจะไปทำโอทีที่บริษัทก็ยังไม่ตื่นเช้าขนาดนี้
หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ นอนไม่หลับ เนื่องจากคิดนู้นคิดนี่ จินตนาการเรื่อยเปื่อยถึงวันนี้
ตอนนี้นาฬิกาเพิ่งจะแปดโมงสิบห้า แต่เขาอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว
เมื่อมองเข้าไปในกระจก ก็เห็นคนบ้ายืนอยู่...
ผู้ชายในชุดเสื้อเชิ้ต กางเกงขายาวแบบสบายๆ ไม่ต่างจากตัวเองไปทำงานวันเสาร์สักเท่าไร
แต่ที่เปลี่ยนไปคือ ใบหน้านั้นมีรอยยิ้มกว้างที่ไม่สามารถลบเลือนไปได้..
...รอยยิ้มของคนบ้า...
ผมออกจากบ้านตอนเก้าโมงตรง กลัวว่า ถ้าอยู่ในบ้านนานกว่านั้น อาจจะเดินวนไปวนมาจนเหงื่อชุ่มโชก
รถราบนท้องถนนยังไม่มากนัก แต่รถเมล์สายที่รออยู่ก็ใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะมา
ผมนึกย้อนถึงคืนวันศุกร์ ตอนที่กำลังจะกลับบ้าน โชคดีผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ยังไม่ได้นัดสถานที่
จึงรีบตะโกนถามให้รู้เรื่อง เหมือนอีกฝ่ายนิ่งคิดไปนานจนน่าแปลกใจ สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า ยังไม่รู้
เนื่องจากตอนนั้นดึกมากแล้ว ผมจึงตัดสินใจแทนคนชวนอย่างรวดเร็ว พร้อมถามย้ำว่า ไปเป็นใช่ไหม ให้ไปรับไหม
คนถูกถามก็เพียงแต่ปฏิเสธอย่างสุภาพ พร้อมกับยืนยันว่าไม่หลงแน่นอน แม้ผมจะถามคำถามนี้สักสิบหนได้
ในระหว่างกลับบ้านด้วยกัน คุณเกียร์ก็ไม่มีท่าทีรำคาญใจ ยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้า ขณะกำลังตอบคำถามเดิมซ้ำๆ
...นี่แหละ...คุณเกียร์ของผม...
ผมมายืนอยู่หน้าศูนย์การค้า เมื่อเวลาเก้าโมงสี่สิบ การเดินทางใช้เวลานานกว่าที่คาดนิดหน่อย
แต่ก็ยังถือว่ามาก่อนเวลานัดตั้งยี่สิบนาที ผมเดาว่า คนนิสัยอย่างคุณเกียร์ น่าจะมาก่อนเวลานัดสักห้าถึงสิบนาที
เพราะฉะนั้นผมคงรอไม่นาน
ผู้คนเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อใกล้เวลาห้างเปิด เข็มสั้นของนาฬิกาเคลื่อนเข้าใกล้เลขสิบ
ผมกวาดสายตามองหาคนที่นัดเอาไว้ แต่กลับไม่มีวี่แวว สงสัยรถจะติด
เมื่อประตูห้างเปิด ผู้คนก็หลั่งไหลเข้าไป ราวกับมีของลดราคาอยู่ในนั้น เหลือผมยืนนิ่งรอคอยใครอีกคน
เข็มของนาฬิกาเดินไปอย่างช้าๆ...ช้ามาก...ในความรู้สึกของผม...
นึกอยากโทรหาคนคนนั้น...แต่นึกขึ้นมาได้ว่า ไม่เคยขอเบอร์โทรศัพท์มือถือ...
อนาถใจในความงี่เง่าของตัวเอง...ตอนนี้ก็ทำได้แต่ยืนรอ...
...รอจนกว่า...คนคนนั้นจะมา...
หากถามความรู้สึกในตอนนี้ คงเป็นความรู้สึกเป็นห่วงมาเป็นอันดับหนึ่ง วิตกกังวลมาเป็นอันดับสอง
ตั้งแต่ทำงานด้วยกันมา ยังไม่เคยเห็นคุณเกียร์ลาป่วยหรือลากิจสักครั้ง มีแต่หยุดทำโอทีเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ผมก็เคยเห็นคุณเกียร์ต้องนอนรพ.ครั้งหนึ่ง แถมด้วยอุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆอีกหลายครั้ง
ด้วยความที่เป็นคนไม่ค่อยดูแลตัวเอง ก็นึกเป็นห่วงว่า จะไปล้มฟุบอยู่ที่ไหน ไกลตาหรือเปล่า
อยากจะไปหาที่บ้าน...อยากไปดูให้แน่ใจ...
แต่ก็กลัวว่า ถ้าไม่ยืนรออยู่ที่นี่ ก็อาจจะสวนกันก็ได้...
จะทำยังไงดีเนี่ย !! ผมควรจะยืนอยู่ที่นี่เฉยๆ หรือว่า ตามไปดูที่บ้านให้มันรู้แล้วรู้รอด !!
หลังจากยืนคิด ยืนบ่นในใจอยู่พักหนึ่ง หงายนาฬิกาข้อมือดูพบว่า เลยเวลานัดมาเกือบชั่วโมงแล้ว
เขารู้สึกมั่นใจมากว่า ต่อให้รถติดอย่างไร คนอย่างคุณเกียร์ก็ต้องมาถึงแล้ว
เหตุผลน่าจะมีแค่สองอย่าง อย่างแรกคือ ไม่สบาย ลุกไม่ไหว เลยนอนอยู่กับบ้าน
อย่างที่สองคือ เกิดอุบัติเหตุระหว่างการเดินทาง ทำให้ล่าช้า หรืออาจบาดเจ็บจนถึงส่งโรงพยาบาล
จะข้อไหน ก็ไม่รอมันแล้วโว้ย !!
ในตอนนั้นโฮลี่ ออเดอร์รีบวิ่งลงไปริมถนน มองหาแท็กซี่ว่างๆ เพื่อจะตรงดิ่งไปยังบ้านของคนที่ไม่มาตามนัด
น่าแปลกที่ปกติแท็กซี่จะมีอยู่เกลื่อนถนน แต่วันนี้กลับมีผู้โดยสารแล้ว ไม่มีรถว่างสักคัน
ด้วยความกระวนกระวาย ทำให้เวลา 5 นาที ยาวนานเหมือน 50 นาที
แล้วถ้าไปที่นั่น...แล้วคุณเกียร์ไม่อยู่ล่ะ...
คำถามนี้ผุดขึ้นมาในหัว ระหว่างยืนรอแท็กซี่กลางแดดเปรี้ยง ไม่ยอมเดินหลบไปตรงร่มๆ เพราะกลัวจะพลาด
ผู้คนที่ยืนรอรถเมล์อยู่ จ้องมองมาทางผม เพราะท่าทีลุกลี้ลุกลน เหมือนกับกำลังจะไปประชุมสาย
ถนนเจ้ากรรม ดันเต็มไปด้วยรถรา ทุกคันจอดนิ่งติดไฟแดงยาวเหยียด ดูเหมือนว่า วันนี้จะเกิดปัญหาการจราจรติดขัด
ไม่อยู่ ก็ไม่เป็นไร...ดีกว่า ยืนรอไปเรื่อยๆ...
ไปดูให้มันเห็นชัดๆเลยดีกว่า !!
คิดถึงทางไปบ้านที่เร็วกว่าการนั่งแท็กซี่และไม่ต้องฝ่าการจราจรของเมืองกรุงไป ก็ตัดสินใจวิ่งไปใช้บริการรถไฟฟ้า
ถึงจะรู้ดีว่า มันเป็นทางอ้อมนิดๆ แต่พอลงแล้ว อาจจะเรียกแท็กซี่ง่ายกว่าตรงนี้ก็เป็นได้
พอตัดสินใจได้แล้ว ก็รีบวิ่งตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุด
++++++++++
กว่าจะมาถึงที่หมาย ก็ใช้เวลาไม่น้อย แต่ก็ถือว่าเร็วแล้ว เมื่อเทียบกับสภาพการจราจรในวันนี้
โชคดีที่เคยต้องพามาส่งบ้านครั้งหนึ่ง เพราะเขาคงไม่มีทางรู้ที่อยู่อีกฝ่ายได้แน่ๆ ขนาดเบอร์โทรศัพท์ยังไม่รู้เลย
บางทีก็นึกสงสัยในความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดนี้ พวกเราอยู่ด้วยกันมากกว่าวันละ 8 ชั่วโมง ในวันจันทร์ถึงศุกร์
ส่วนเสาร์อาทิตย์นั้น ส่วนใหญ่ก็จะได้เห็นหน้าเห็นตา แต่จะนานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับปริมาณงาน
แล้วก็...ความสัมพันธ์ทางกาย...
สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ยังคงดำเนินมาจนถึงตอนนี้
เป็นช่วงเวลาที่ผมได้เห็นภาพที่ไม่มีใครมีโอกาสได้เห็น...
รู้สึกเหมือนได้สัมผัสตัวตนที่แท้จริงของคุณ...ทุกสิ่งทุกอย่างของคุณ...
ได้สัมผัสตัวตนที่แท้จริง...แต่ดันไม่รู้เบอร์มือถือ น่าอนาถใจชะมัด...
หลังจากกดกริ่งไปสัก 3-4 ครั้ง ก็พบว่าไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา ถ้าไม่นอนสลบอยู่ในบ้าน ก็คงออกไปแล้วมั้ง
ทีนี้ก็เหลือแต่ว่า ไปสายจริงๆ หรือเจออุบัติเหตุอะไรระหว่างทางหรือเปล่า ?
ลองโทรไปถามเบอร์โทรศัพท์มือถือจากคนอื่นได้ไหม ? ลิงพวกนั้นจะมีไหมเนี่ย ?
แล้วทำไม...ถึงไม่คิดจะถามเบอร์โทร ตั้งแต่ตอนยืนรอวะ !!
นึกสมเพชตัวเองขึ้นมาทันที ตัวเองไม่มีเบอร์โทรศัพท์ แต่ก็ไม่รู้จักลองโทรไปขอคนอื่น
พอเปิดมือถือขึ้นมา ก็ยิ่งสมเพชตัวเองมากกว่าเดิม เพราะเบอร์คนที่ทำงานนั้นแทบจะไม่มี
แหงล่ะ ใครจะไปอยากรู้เบอร์โทรศัพท์ของลิงพวกนั้นกันล่ะ ส่วนคุณเกียร์...
ก็มันลืมถามนี่นา !! เห็นหน้ากันอยู่ทุกวันจนเป็นเรื่องปกติ ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่า ไม่รู้เบอร์
เพราะไม่มีความจำเป็นต้องโทรหา เวลามีเรื่องอะไรอยากถามก็คิดว่า พรุ่งนี้ เดี๋ยวก็เจอกันแล้ว
ไม่เคยมีเรื่องด่วนอะไรเข้ามา จนต้องขอเบอร์โทรนี่นา
ลองโทรหาเธอคนนั้นแล้วกัน...หญิงสาวจากฝ่ายเทคนิค อาจจะมีมนุษยสัมพันธ์ดีกว่าเขาก็เป็นได้
ยังไม่ทันจะตัดสินใจ ทำอะไร รถยนต์คันหรูก็แล่นมาจอดเทียบที่ด้านหน้า
เดาได้เลยว่า ต้องเป็นของคุณหนูผู้ทรงเกียรติ ซึ่งมาเยี่ยมเยียนคุณเกียร์แน่ๆ
แต่ภาพที่ปรากฏแก่สายตานั้น ไม่ได้มีเพียงหญิงสาวผู้เต็มไปด้วยความสวยสง่าก้าวลงมาจากรถ
กลับมีชายหนุ่มที่ทำเขาแทบบ้า ตั้งแต่มีความสุขแทบบ้า จนเป็นห่วงแทบบ้า เดินตามลงมาด้วย
“อ้าว ?”
คำแสดงความแปลกใจนั้น แทนคำทักทายสำหรับหญิงสาวผู้ไม่ค่อยจะเห็นใครอยู่ในสายตา
ผมเหลือบมองเธอเล็กน้อย แล้วปรายสายตาไปมองคนที่นัดกันเอาไว้ อยากจะรู้จริงๆว่า จะแก้ตัวยังไง
“เข้ามาข้างในก่อนสิ...”
“ทั้งสองคน...”
ทำไมผมรู้สึกว่า คำแถมท้ายที่เน้นว่า ทั้งสองคนนั้น มีไว้สำหรับให้ผมรู้ตัวว่า เขาเชิญผมด้วยนะ
ใบหน้าที่ไม่ได้แสดงอารมณ์อื่นใด นอกจากรอยยิ้มบางๆตามปกตินั้น วันนี้เห็นแล้วกลับรู้สึกโมโหอย่างประหลาด
ใช่ น่าโมโห เพราะไม่มีคำขอโทษหรือคำอธิบายใดๆ ปฏิบัติตัวเป็นปกติ เหมือนผมมาเยี่ยมบ้านเฉยๆ
ผมก็โมโหเป็นนะครับ !! ไม่ใช่ของที่อยากจะเรียกใช้ก็ใช้ จะเมินเฉยใส่ยังก็ได้ !!
คุณรู้ไหมครับว่า ผมยืนรอคุณนานแค่ไหน !! เป็นห่วงคุณขนาดไหน !!
“ท่าทางพวกคุณจะมีธุระ...งั้นผมขอตัว...”
ในใจนึกอยากให้อีกฝ่ายหันมาขอโทษ หรือพูดอะไรเกี่ยวกับนัดวันนี้บ้าง แต่กลับมีเพียงแค่การพยักหน้าว่า รับรู้
เหมือนการนัดหมายของพวกเราถูกลืมเลือน จนไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยว
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไร...”
นานๆคุณหนูรีลิสจะออกตัว ยอมรับว่า เรื่องของตัวเองไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ใบหน้าของคนที่ผมจ้องเขม็งก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
แถมไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปากเลยแม้แต่นิดเดียว
ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญ ก็ช่วยพูดถึงนัดของเราหน่อยได้ไหมครับ !!
หรือกลัวคุณรีลิสจะรู้ว่า พวกเรานัดกัน ? สรุปว่า พวกคุณเป็นอะไรกันครับเนี่ย...
ผมแค่จะไปเดินห้าง ดูหนังกับคุณนะครับ ไม่ได้ชวนเข้าม่านรูด ทำไมต้องทำท่าเฉยขนาดนั้น
บรรยากาศที่เงียบสนิท เพราะไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา ถูกทำลายด้วยคำพูดสั้นๆ จากปากของคนที่ผมรอให้พูดอยู่นานแสนนาน
“ถ้านายมีธุระ กลับก่อนก็ได้นะ...”
อยากจะเอาหัวโขกพื้นตายอยู่ตรงนั้น !!
รอให้พูดอยู่ตั้งนาน แต่ประโยคแรกที่หลุดออกจากปาก ดันเป็นการไล่เขาทางอ้อมเสียนี่
อยากจะคว้าตัวมาจูบหนักๆ ให้เห็นกันจะๆ แล้วถามถึงเรื่องนัดวันนี้ให้ชัดไปเลย
แต่สุดท้ายก็ทำเพียง กล่าวคำอำลาอย่างสุภาพแล้วเดินจากไป
++++++++++
ตอนนี้ภายในใจที่เคยเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ถูกแทนที่ด้วยความโมโหและหงุดหงิด
ระหว่างรอรถเมล์ คิดไม่ออกว่า ควรจะไปไหน ไม่อยากกลับบ้านเท่าไรนัก อยากจะระบายความหงุดหงิดนี้มากกว่า
เปิดโทรศัพท์มือถือ กดโทรเบอร์ของหญิงสาวจากฝ่ายเทคนิค เอ่ยปากถามว่า ตอนนี้ว่างไหม ?
เธอออกแนวงงหน่อยๆ เพราะเขาไม่เคยเป็นฝ่ายชวนเธอก่อน แต่ก็ถามกลับว่า จะไปไหนล่ะ
ผมคิดไม่ออกว่า อยากจะไปไหน ก็เลยบอกเธอไปตามตรงว่า ตอนนี้เพิ่งโมโหใครบางคนมา อยากจะระบายอารมณ์
หญิงสาวเลยถามว่า จะไปออกกำลังกายด้วยกันไหม เธอกำลังจะไปกับน้องชายพอดี
ผมเองก็ไม่รู้จะทำอะไร อยู่คนเดียวคงไม่แคล้ว ไปเหยียบตีนใคร ให้มีเรื่องชกต่อยกัน จึงตอบตกลงไป
เธอบอกสถานที่และเวลาโดยประมาณที่เธอน่าจะไปถึง จากนั้นพวกเราก็วางสายกันไป
ผมมาถึงก่อนที่เธอจะมา เพราะผมอยู่ใกล้กว่า ดูเธอจะแปลกใจไม่น้อย เพราะบ้านผมอยู่ห่างจากที่นี่มาก
แต่ก็ไม่ถามอะไร เพียงแต่แนะนำน้องชาย และแนะนำผมให้แก่น้องชาย
พวกเราทั้งคู่ทักทายกันตามมารยาท ก่อนที่เขาจะขอตัวไปว่ายน้ำตามลำพัง
ผมและเธอเดินไปยังลู่วิ่ง แล้วตั้งเวลา พร้อมกับเริ่มเดิน คิดเอาไว้ว่า พอครบ 15 นาที ก็จะเริ่มวิ่ง ตอนนี้วอร์มอัพก่อน
ตอนแรกพวกเราก็ไม่คุยอะไรกัน แต่เมื่อผ่านไปสักพัก เธอก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน เรื่องที่คุยก็เป็นเรื่องทั่วไป
ผมรู้สึกว่า พอเหงื่อตัวเองออก จากการวิ่ง ความหงุดหงิดใจก็ลดลงไปเยอะ จึงนึกขอบคุณเธออยู่เงียบๆ
“ที่จริงวันนี้ฉันโดนเบี้ยวนัด”
ผมสารภาพออกไป เพราะรู้สึกว่า การโทรมานัดเธออย่างกะทันหันนั้น ไม่ดีเท่าไรนัก ถ้าไม่อธิบายอะไรเลย
หญิงสาวก็เพียงแค่ตอบรับ แต่ไม่ได้ถามเซ้าซี้อะไรต่อ
“นี่...เวลาที่ผู้หญิงเข้ามาวุ่นวายกับผู้ชาย แปลว่าชอบคนคนนั้นหรือเปล่า ?”
นึกอยากรู้ว่า เหตุผลที่คุณรีลิสชอบมาหาคุณเกียร์บ่อยๆ ลากไปไหนมาไหน บางทีก็เห็นว่า มาส่งที่บ้าน
สำหรับเขา มันชี้ชัดว่า กำลังเล็งคุณเกียร์อยู่ชัดๆ แต่พอพูดให้อีกฝ่ายฝั่งแล้ว ก็เอาแต่หัวเราะแล้วบอกว่าเป็นไปไม่ได้
“อืม ก็มีส่วนนะ ผู้ชายเองก็จะมาเจ๊าะแจ๊ะกับผู้หญิงที่ชอบไม่ใช่เหรอ ?”
“อืม ก็ใช่ล่ะนะ”
“ถามทำไมเหรอ ?”
“เปล่าหรอก...”
“แล้ว...เวลาผู้ชายตอบรับคำชวนไปเที่ยว...แปลว่า มีใจหรือเปล่า ?”
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนา หญิงสาวหยิบมือถือขึ้นมารับ แล้วพูดสายเรื่องงานสักพัก
ก่อนจะกดปุ่มหยุดเครื่อง แล้วเดินหลบมุมไปหาที่คุยเงียบๆ
เขานึกถึงคำถามของเธอ แล้วก็อยากจะตอบว่า ถ้าเป็นคนที่ชอบมาชวนล่ะก็ ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายก็จะไป
ขอแค่เป็นคำชวนจากปากคุณเกียร์ ถึงจะมีงานยุ่ง มีธุระอะไรก็จะจัดการให้เรียบร้อย
เพราะว่าเป็นคนคนนั้น ถึงอยากทำอะไรให้ เพราะเป็นคนคนนั้น ถึงอยากให้มีความสุข
...งี่เง่าจริงๆนะเรา...เหตุผลของความโง่นั้น...
...เพราะแค่คำว่า...ชอบ...สั้นๆคำเดียว...
หญิงสาวกลับมาจากคุยโทรศัพท์ เธอบอกว่า มีธุระสำคัญต้องไปจัดการ แต่ไม่อยากปล่อยให้น้องชายกลับบ้านคนเดียว
ช่วยไปส่งหน่อยจะได้ไหม ? วันนี้มีเรื่องเร่งด่วนจริงๆ แน่นอนว่า ผมตอบตกลง แค่ไปส่งเด็กคนเดียว ไม่เห็นยาก
พอเรียกน้องชายให้ขึ้นจากสระ อธิบายเหตุผลต่างๆนานา ดูเหมือนจะมีสงครามย่อยๆ ระหว่างทั้งสองคน
“ผมกลับเองได้”
“เธอยังเด็กอยู่นะ พี่เป็นห่วง...”
และแล้วสงครามครั้งนี้ พี่สาวก็เป็นฝ่ายได้ชัยชนะ พร้อมส่งมอบตัวน้องชายให้ผม กำชับว่า ดูแลน้องฉันให้ดีๆนะ
ผมพยักหน้าตอบ แล้วหันไปมองหน้าตาบอกบุญไม่รับของเด็กชาย แล้วเดาว่า คงเกลียดคนแปลกหน้าสินะ
“ฝากทีนะ”
เธอหันกลับมาย้ำอีกครั้ง ก่อนจะเดินเร็วๆ เพื่อรีบเร่งก้าวไปทำธุระที่สำคัญ
ผมหันกลับมาถามเด็กชายที่เพิ่งเจอกันวันแรกว่า ต้องการจะกลับบ้านหรือยัง ซึ่งอีกฝ่ายเพียงแค่พยักหน้าตอบ
ถึงจะดูเป็นเด็กที่ปิดตัวเอง แต่หน้าที่ของผู้ใหญ่ก็คือผูกมิตรกับเด็กสินะ ผมจึงพยายามชวนคุยถามนู้นถามนี่
แม้จะได้คำตอบกลับมาเป็นแค่คำสั้นๆห้วนๆ เหมือนว่า ผมเป็นตัวน่ารำคาญ
“ชอบว่ายน้ำเหรอ ?”
“เปล่า...”
“พี่สาวพามาตลอดเลยเหรอ ?”
“เปล่า...”
“แล้ววันนี้ ทำไมมาว่ายน้ำล่ะ ?”
“เพราะคุณโทรมา...”
เอ๋ ? คำตอบของคำถามนั้น ทำให้ผมแปลกใจ แต่ก็ไม่รู้ว่า ควรถามต่ออย่างไรดี
“คุณโง่หรือเปล่าเนี่ย ?”
อ้าว ? อยู่ๆก็โดนเด็กด่าซะงั้น เพิ่งเจอกันครั้งแรกแท้ๆ เจ้าหนู เดี๋ยวพี่จะสอนมารยาททางสังคมให้นะ
เวลาพูดจากับคนที่แก่กว่ามันต้องสุภาพรู้ไหม ไม่ใช่ไปด่าเขาว่า โง่
แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงความคิดภายในใจ ส่วนใบหน้าของเขานั้น ยังคงมีรอยยิ้มเสแสร้งอยู่
“คิดว่า พี่ออกไปเที่ยวกับใครที่ไหนก็ได้หรือไง ?”
“ที่จริงวันนี้พี่เองก็มีธุระ แต่พอคุณโทรมาก็เลยลากผมออกมาด้วย เป็นข้ออ้าง...”
“ถ้าไม่ใช่คุณ พี่คงตอบปฏิเสธไปแล้วล่ะ...”
ความจริงบางอย่างนั้นพุ่งเข้าชนเขาอย่างจัง จนรู้สึกจุกขึ้นมาทันที
เวลาคนเรามัวแต่มองใครคนหนึ่ง...ทำให้มองไม่เห็นคนอื่นรอบๆตัวจริงๆสินะ...
ไม่คิดว่า ตัวเองจะโง่กับเรื่องแบบนี้ได้...นั่นสินะ เธอคนนั้นไม่น่าจะชอบไปเที่ยวกับใครต่อใคร...
เพราะเป็นเขาสินะ...เพราะเธอเองก็คงกำลังชอบเขา...
...ทำไมโลกนี้...มันถึงวุ่นวายแบบนี้นะ...
++++++++++
หลังจากส่งเด็กชายที่หน้าบ้าน ผมก็รู้สึกเหมือนสมองตัวเองว่างเปล่า ราวกับไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว
ปล่อยให้ขาพาตัวเอง เดินไปเรื่อยๆตามทาง คิดว่า สักพักก็คงถึงบ้าน เพราะเป็นทางที่คุ้นเคย
แต่ไปๆมาๆ ทำไมผมถึงมาอยู่ที่แถวบ้านของคุณเกียร์ได้
เอาวะ !! ไปดูสักหน่อย ไหนๆก็พาตัวเองมาถึงนี่แล้ว...
ยังไม่ทันจะเดินถึงหน้าบ้าน ก็เห็นรถยนต์คันหรูยังคงจอดอยู่ที่เดิม แปลว่าหญิงสาวยังไม่กลับสินะ
ในตอนที่กำลังคิดหาเหตุผลในการกลับมาหา ประตูบ้านก็เปิดออก ทั้งสองคนเดินคุยกันออกมา
ดูท่าทางว่า เธอกำลังจะกลับแล้ว เรียกว่าโชคเข้าข้าง คงได้ล่ะมั้ง ?
“งั้นกลับก่อนนะ...”
“ดูแลตัวเองดีๆล่ะ...”
แทนที่จะก้าวขึ้นรถไป หญิงสาวกลับจูบเบาๆที่แก้ม นั่นยังไม่ทำให้โมโหเท่าไร เพราะคุณหนูผู้มีชื่อเสียงเรียงนาม
กระเดียดไปทางตะวันตก จะรับวัฒนธรรมมาบ้าง คงไม่แปลกอะไร
แต่สิ่งที่ทำให้ผมแทบบ้า เมื่อเห็นคุณเกียร์เองก็ จูบแก้มเธอกลับเบาๆเช่นกัน
คุณเกียร์ครับ !! ไปรับวัฒนธรรมต่างชาติมาตั้งแต่เมื่อไหร่ !!
พอเห็นรถยนต์คันหรูเคลื่อนตัวออกจากที่นั่น ผมก็วิ่งเข้าไปหาในทันที ทำเอาคนที่ออกมาส่งแขก ถึงกับตกใจ
เพราะอยู่ๆผมก็โผล่พรวดเข้าไปหาเหมือนผีขอส่วนบุญ
“รีลิสเพิ่งกลับไปพอดีน่ะ...”
“ครับ...”
จะบอกผมทำไมครับ ? แล้วถึงไม่บอกผมก็เห็นครับ รถยนต์แบบนั้นคงมีคันเดียวในประเทศไทย
นึกสงสัยว่า ตอนไปตีทะเบียน ยัดใต้โต๊ะบ้างหรือเปล่า ถึงออกมาวิ่งบนท้องถนนได้
“เข้ามาก่อนสิ...”
ประโยคนี้คุ้นๆเหมือนได้ยินมาแล้ว เมื่อตอนกลางวัน แต่โชคดีไม่มีคำว่า ทั้งสองคน ตามมา
ไม่งั้นอาจจะกลายเป็นหนังสยองขวัญว่า มีอะไรตามหลังผมมาหรือเปล่า
“คุณเกียร์ครับ...วันนี้...”
“คุณลืมนัดหรือเปล่า ?”
ในที่สุดก็ได้ถามออกไปตรงๆสักที คนที่กำลังรินน้ำใส่แก้ว เตรียมตัวจะเสิร์ฟให้ผม ก็เพียงแต่ส่ายหน้า
เมื่อเอาน้ำมาวางบนโต๊ะรับแขก ถึงได้อธิบายเพิ่มขึ้น
“ไม่ได้ลืม แค่มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นนิดหน่อย...”
“พอดีรีลิสเขามาช่วย ก็เลยเรียบร้อยแล้ว”
ผมนั่งรอคำอธิบายเพิ่มเติม เพราะคำว่า เรื่องวุ่นวาย กับคำว่า มาช่วย ไม่ได้ทำให้ผมเข้าใจอะไรมากขึ้นเลย
แต่คุณเกียร์กลับนิ่งไม่พูดอะไรต่อ จนผมนึกสงสัยว่า จะบอกผมแค่นี้จริงๆหรือครับ
“เออ...คุณลืมพูดอะไรบางอย่างหรือเปล่าครับ ?”
คุณเกียร์ทำท่าเหมือนคิดอย่างหนัก จนผมกำลังจะอ้าปากถามตรงๆ เผอิญมีเสียงโทรศัพท์ขัดจังหวะขึ้นมา
ดูเหมือนว่า ก้างที่ผมเห็นขึ้นรถไปแล้ว ยังจะตามมาขวาง โดยใช้เทคโนโลยีของศตวรรษที่ 21
คุณเกียร์ก็ดันหันไปคุย แบบไม่สนใจผมที่นั่งหัวโด่อย่างในห้อง ใช้เวลาประมาณเกือบ 10 นาที กว่าจะเรียบร้อย
อารมณ์ที่เย็นลง เหมือนจะกลับมากรุ่นๆอีกครั้งหนึ่ง ทำไมคุณถึงชอบสนใจคนอื่นมากกว่าผมนะ
“จริงสินะ...”
“อยากให้ขอโทษสินะ...ขอโทษทีที่ผิดนัด”
อาจจะเพราะวันนี้เป็นวันซวย ดาวเคราะห์ทำมุมกับดาวอับโชค ความอดทนที่ผมมักมีสำรองให้คุณเกียร์อย่างเหลือล้น
วันนี้กลับหมดสต็อคเอาดื้อๆ ความโกรธที่พุ่งขึ้นมาจากการเห็นคนตรงหน้าเอ่ยคำขอโทษทั้งที่ยังยิ้มอยู่
มันไม่เหมือนรู้สึกผิด แม้แต่นิดเดียว ราวกับคำพูดนั้นเป็นแค่การขอโทษตามมารยาทเท่านั้น
“ผมไม่ได้อยากได้คำขอโทษของคุณ !!”
ตลอดเวลาที่รู้จักกัน ผมแทบไม่เคยขึ้นเสียงใส่คุณเกียร์ อาจจะมีโวยวายบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ตะคอกตรงๆเหมือนตอนนี้
ผมรู้ดีว่า มันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ แต่ตอนนี้ ผมหยุดตัวเองไม่ได้แล้ว
“ผมยืนรอคุณตั้งแต่ก่อนเวลานัด จนถึง 11 โมง !!”
“กลัวว่าคุณจะเป็นอะไรไป ก็รีบมาดูที่บ้าน !!”
“แต่คุณกลับไม่อธิบายอะไรให้ผมฟังสักคำ !!”
คุณไม่เห็นสนใจจะถามถึงด้วยซ้ำ ทั้งที่คุณไม่ได้ลืม แปลว่าอะไรครับ แปลว่า มันไร้สาระจนไม่จำเป็นต้องใส่ใจ
หรือผมเป็นแค่คนที่มาวุ่นวายกับคุณ โดยที่ไม่มีใครร้องขอ จึงไม่จำเป็นต้องบอกอะไรให้รับรู้
“คุณไม่คิดเหรอครับว่า ผมจะรออยู่...อย่างน้อย ตอนที่เห็นหน้า ช่วยเอ่ยถามสักนิดเถอะครับ”
“อธิบายมาหน่อยว่า เหตุผลอะไร คุณถึงไม่ยอมไปตามนัด”
ที่จริงเรื่องนัดนั้น มันมีความสำคัญกับผมก็จริงอยู่ แต่ถ้าคนอื่นมาฟังคงจะหัวเราะ เพราะมันเป็นเรื่องเล็กน้อย
ความสำคัญของมันไม่ได้อยู่ที่ว่า พวกผมนัดกันไปดูหนัง หรือไปทำธุรกิจพันล้าน
แต่เพราะคุณเกียร์ไม่ได้ให้ความสนใจมันแม้แต่นิดเดียว เหมือนเป็นนัยว่า คุณก็ไม่ได้สนใจผมเช่นกัน
“ใจเย็นๆก่อน”
น้ำเสียงของคุณราบเรียบ เช่นเดียวกับใบหน้านั้น รอยยิ้มที่ผมชอบ สิ่งที่ผมคิดว่า มันปลอบประโลมผู้คน
ในตอนนี้มันกลับทิ่มแทงเข้าไปในใจ ราวกับว่า สถานการณ์ตอนนี้เป็นเรื่องปกติ สำหรับคุณ
ความโกรธของผมนั้น...เป็นแค่เรื่องเหลวไหลงั้นหรือ...
คุณไม่ได้รู้สึกอะไร...กับคำพูดมากมายที่ผมพูดออกไปเลยหรือ...
สุดท้ายแล้ว...สิ่งที่เชื่อมโยงพวกเราไว้ด้วยกัน...มันมีอยู่จริงใช่ไหม...
...บางที...มันอาจจะเป็นเพียง...ความดึงดันของผม...
ผมกระชากตัวคุณเกียร์ โยนไปที่โซฟา ตรึงร่างนั้นเอาไว้ แล้วจูบรุกไล่เข้าไปในริมฝีปากอย่างรุนแรง
มือทั้งสองกระชากสาบเสื้อให้กระดุมหลุดออก เผยให้เห็นผิวกายข้างใน
ผมขบเม้มไล่เรียงไปที่ติ่งหู ก่อนจะกัดไปที่ลำคอขาว ตั้งใจจะให้มีร่องรอยหลงเหลืออยู่ สิ่งที่บอกว่าคุณเป็นของผม
มันไม่ใช่รอยจูบ แต่เป็นรอยฟันที่มีเลือดออกเล็กน้อย ตราของการเป็นเจ้าของที่ถูกย้ำด้วยความเจ็บปวด
ผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่เป็นสีแดงระเรื่อ ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นมองมาทางผมเหมือนทุกครั้ง
ไม่มีแววโกรธ ตกใจ หรือสับสนใดๆ ยังคงมองมาทางผมด้วยความรู้สึกแบบเดิม ราวกับนี่เป็นสิ่งปกติธรรมดา
มันทำให้ผมรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนโง่อีกครั้ง ถึงจะทำรุนแรงอย่างไร คนคนนี้ก็ไม่สนใจความโกรธนั้นอยู่ดี
ผมปล่อยมือจากร่างนั้น ลุกขึ้นแล้วเดินออกมาจากบ้าน โดยไม่หันกลับไปดูว่า อีกฝ่ายเป็นอย่างไร
ในหัวตอนนี้ปวดตุบๆ ด้วยความรู้สึกหลากหลาย ปนเปผสมกันไปหมด
ภาพของดวงตาสีดำสนิทที่สงบนิ่ง แม้ในยามถูกรุกไล่อย่างรุนแรง ปรากฏขึ้นในความทรงจำ
มันทำให้ผมรู้สึกว่า ตัวผมเป็นแค่สิ่งเล็กๆ ไม่ควรแค่แก่การใส่ใจ ถึงจะโกรธหรือมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ก็ไม่ทำให้...คุณสนใจขึ้นมาได้...
โฮลี่ ออเดอร์เตะก้อนหินแถวนั้นแล้วต่อยกำแพง เพื่อเป็นการระงับอารมณ์
ความโกรธนั้นยังคงอยู่ แต่ความผิดหวังและเสียใจกำลังท่วมท้นเข้ามาในหัวใจ
เรื่องราวที่ผ่านมานั้น...เป็นสิ่งที่คิดไปเองฝ่ายเดียว...
ความผูกพันของเรา...เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น...
ผมเป็นเพียงแค่ก้อนหินเล็กๆที่คุณแค่บังเอิญเดินผ่าน...
...ไม่ได้สำคัญอะไร...ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย...
++++++++++
ตอนนี้ตามพล็อตแล้ว จะต้องไปไกลกว่านี้ แต่เนื่องจากไปน้ำท่วมทุ่งกะฉากงานเลี้ยง เลยไปไม่ถึง
กลัวว่าถ้าเขียนจนจบตามเป้า อาจจะต้องถึง 40 หน้า เลยตัดเป็น 2 ตอน
จากเวลาที่อัพ ตอนนี้โดยเฉลี่ยอัพเดือนละตอน คิดว่า อีกไม่นานน่าจะจบ (ถ้ายังได้ความเร็วเท่านี้)
พล่ามมาตั้งเยอะ ขอบคุณทุกคนมากนะคะ สำหรับคอมเมนต์ที่ผลักดันให้พิมพ์คู่แรร์ต่อไป
พูดถึงตอนที่แล้ว แถวนี้เด็กดีแฮะ - -“ ไม่มีใครรู้สึกว่า เราแอบฉากไว้ 55+ หรือรู้ก็ไม่ได้อยากอ่าน
ยังไงซะก็ขอให้ติดตามเรื่องราวของคนคู่นี้ (จากจิ้นของเรา) ไปจนสุดปลายทางนะคะ
ขอบคุณมากค่ะที่แวะเวียนเข้ามาอ่าน
ความคิดเห็น