ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KnB fic] You are my angel (AoKaga)

    ลำดับตอนที่ #4 : My Little Pure Angel (ครึ่งหลัง)

    • อัปเดตล่าสุด 31 ส.ค. 56


    Title: My Little Pure Angel
    Author: Monochrome bird
    Category:  Drama (มั้ง ?? ไม่แน่ใจ)

    Pairing: อาโอมิเนะ x คากามิ
    Rating: PG-13
    Disclaimer: ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นของอาจารย์ฟูจิมากิค่ะ พวกเราแค่ยืมมาจิ้นเล่นเท่านั้น 
    Author notes: เริ่มตื่นเต้นกันแล้ว มาต่อกันเลยดีกว่าค่ะ


    +++++++++

    “คากามิ !!

    “ไปเล่นบาสเก็ตบอลกันเถอะ”

    เจ้าของบ้านเงยหน้าขึ้นจากกระดาษ มองเด็กชายที่กำลังหมุนลูกบาสเก็ตบอลอยู่ในมือ ก่อนหน้านี้ยังทำไม่ได้ ดูเหมือนตอนนี้จะฝึกจนคล่องแล้วสินะ ว่าแต่ชวนไปเล่นบาสเก็ตบอลอีกแล้วเหรอ ตั้งแต่มีสัญญานี่ชวนไปแทบทุกวันเลยนะ พยายามไล่ให้ไปเล่นกับเพื่อนๆที่โรงเรียน ก็บ่นว่าไม่มีใครเล่นเอาแต่เล่นฟุตบอลกันตลอด

    “นั่งก่อนสิ กินขนมไหม”

    คากามิส่งจานขนมของตัวเองที่ยังไม่ได้แตะต้องเลยแม้แต่นิดเดียวไปให้ อาโอมิเนะส่ายหัวปฏิเสธว่าไม่กิน แต่ก็ยอมนั่งลงแต่โดยดี ในตอนนั้นเองคากามิก็สังเกตเห็นรอยช้ำที่ตรงบริเวณลำคอ ไล่ไปทางไหล่

    “ไปโดนอะไรมา ?”

    “นี่เหรอ อ๋อ วันนี้ขนของแล้วแท่งไม้มันก็ตกลงมากระแทก เสียงดังจนครูวิ่งมาดู”

    อาโอมิเนะเล่าเหตุการณ์ที่ทำให้เจ็บตัวด้วยความตื่นเต้นและสนุกสนาน จนคากามินึกหมั่นไส้ความไม่กลัวเจ็บไม่กลัวตายของคนตรงหน้าจนอยากดีดหน้าผาก แต่เห็นเพิ่งเจ็บตัวมา ก็เลยไม่อยากทำ ระยะนี้เด็กชายมีเรื่องให้ได้แผลบ่อยมาก แถมส่วนใหญ่ยังมาจากอุบัติเหตุที่ป้องกันไม่ได้แทบทั้งสิ้น เรียกได้ว่า เป็นความซวยชัดๆ

    “คากามิ ยังไม่เสร็จอีกเหรอ”

    “อีกแป๊บนึง”

    อาโอมิเนะลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในครัว เพื่อหาน้ำดื่ม แต่หายเข้าไปยังไม่ถึงนาที คากามิก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแตก เขาจึงรีบเข้าไปดู ปรากฏว่าแก้วน้ำใสนั้นแตกคามือน้อยๆ จนเลือดไหลนองหยดลงมาบนพื้น

    “อาโอมิเนะ !!

    คากามิรีบเข้าไปดูแผล ห้ามเลือดแล้วลากตัวคนเจ็บไปโรงพยาบาลทันที บาดแผลไม่ลึก ไม่ต้องเย็บ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่คากามิก็ยังถามหมอซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อความแน่ใจว่า ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ จากนั้นจึงโทรแจ้งพ่อกับแม่ของอาโอมิเนะ แต่ทั้งคู่กำลังติดงานด่วนพอดี จึงไม่ได้มารับสาย ได้แต่ฝากข้อความเอาไว้

    “เจ็บไหมเนี่ย”

    “นิดหน่อยเองน่า ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

    เท่าที่จำได้อาทิตย์ก่อน อาโอมิเนะสะดุดของที่มีคนวางไว้ ศอกกระแทกโต๊ะเป็นรอยช้ำเล็กๆ ก่อนหน้านั้นก็มีเล่าว่าโดนลูกบอลลอยกระเด็นมาโดนหัว แล้วก็ยังมีโดนลูกหลงจากการปาของแกล้งกันของคนอื่น โดนแมวข่วน โดนประตูหนีบมือ มาวันนี้มีเรื่องรอยช้ำที่คอยังไม่พอ มาซ้ำด้วยเรื่องแก้วแตก

    พอถามถึงเหตุการณ์ เด็กชายก็บอกว่า แค่หยิบขึ้นมายังไม่ได้ทำอะไร มันก็แตกคามือ ไม่ใช่แค่บิ่นหรือร้าว แต่แตกเหมือนถูกบีบอย่างแรง แต่แก้วน้ำนั้น ไม่ใช่แก้วเนื้อบาง ด้วยแรงของคนทั่วไปไม่มีทางบีบให้แตกได้หรอก

    “สงสัยกำลังจะกลายเป็นยอดมนุษย์”

    ขนาดเจ็บตัวก็ยังจะมีอารมณ์มาตลกได้อีก รู้ไหมว่า คนอื่นเขาเป็นห่วงขนาดไหน ดูสิตัวมีแต่แผลทั้งนั้น ช่วงนี้ไปทำอะไรมา ทำไมถึงได้แผลเยอะขนาดนี้ โดนใครแกล้งมาแล้วโกหกหรือเปล่าเนี่ย แต่นิสัยแบบนี้ ไม่น่าจะยอมเป็นฝ่ายโดนแกล้งนะ แต่ถ้าแกล้งคนอื่นล่ะก็ ไม่แน่

    “กินข้าวบ้านคากามิแล้วค่อยกลับได้ไหม”

    อาโอมิเนะเริ่มส่งสายตาขอร้อง เด็กชายเริ่มรู้แล้วว่า ถ้าทำแบบนี้แล้วคากามิจะยอม ชายหนุ่มผมแดงสามารถจัดการกับการเอาแต่ใจราวกับออกคำสั่งได้โดยการตั้งเงื่อนไขให้ปฏิบัติตาม แต่กลับแพ้ลูกอ้อนและคำขอร้องของเด็กชายอยู่เสมอ ไม่เคยใจแข็งได้เลยสักครั้ง

    “ก็ได้ แต่กินเสร็จแล้วต้องรีบกลับบ้านนะ ถึงเป็นวันศุกร์ก็ห้ามค้าง”

    “คร้าบ”

    สุดท้ายแล้วคืนนั้น อาโอมิเนะก็ได้นอนค้างที่บ้านคากามิ โดยที่เจ้าของบ้านเป็นคนโทรไปขออนุญาตผู้ปกครองให้

    ++++++++++

    “สวัสดีครับ คากามิคุง”

    “คุโรโกะ ไม่ได้เจอกันนานนะ”

    แม้อาโอมิเนะจะไม่อยู่แล้ว แต่คุโรโกะก็ยังแวะเวียนมาหาคากามิอยู่เสมอ ช่วงแรกจะบ่อยหน่อย ตอนหลังๆเห็นชายหนุ่มผมแดงเข้มแข็งขึ้น อยู่ด้วยตัวเองได้แล้ว ก็ค่อยๆห่างออกไป ครั้งสุดท้ายที่มาปรากฏตัวก็ประมาณเมื่อสองปีก่อน หลังจากพบตัวอาโอมิเนะที่ต่างประเทศได้ไม่นาน

    คุโรโกะเป็นอีกหนึ่งเครื่องยืนยันว่า เด็กชายตัวน้อยๆที่เขาได้เจอนั้นเป็นคนเดียวกับอาโอมิเนะ เพราะเทวดาผมฟ้าบอกเขาว่า เหล่าเทวดานั้นมีรูปลักษณ์ที่พิเศษ ไม่ค่อยมีมนุษย์คนใดเหมือน ฉะนั้นหน้าตาแบบนั้น คงมีเพียงแค่คนเดียวบนโลก นอกจากนี้ สีของจิตวิญญาณยังเป็นสีที่ดูแล้วอวดดีจนน่าโมโห ลักษณะแบบนี้มีคนเดียวบนโลกล่ะครับ

    “ดูท่าทางสบายดีนะครับ”

    คำทักทายที่คุโรโกะถามมักจะเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพหรือชีวิตความเป็นอยู่ มันเป็นคำทักทายที่เจือไปด้วยความห่วงใยเสมอ แม้ว่าหน้าตาของคนพูดจะดูเฉยชาเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลยก็ตาม แต่คากามิรู้ดีว่า นั่นเป็นเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น ลึกลงไปคุโรโกะเป็นคนที่ใส่ใจกับความรู้สึกของผู้อื่น และมักจะคอยช่วยเหลืออยู่ห่างๆ

    “อืม ก็สบายดี อาโอมิเนะเองก็สบายดี”

    “เดี๋ยวสักพักก็คงมาแล้วล่ะ จะอยู่รอเจอไหม ?”

    “เดี๋ยวจะมาหรือครับ ?”

    คุโรโกะมองเขานิ่งแล้วทวนคำอีกครั้ง คากามิจึงเล่าเรื่องราวระหว่างเขาและอาโอมิเนะตัวน้อยๆให้ฟังแบบย่อๆ เริ่มตั้งแต่การได้เจอกัน ย้ายบ้านมาอยู่ใกล้ๆ ความสัมพันธ์ของพวกเขาที่พัฒนาขึ้นไปอย่างช้าๆ แล้วเล่าเลยไปยังเรื่องของคิเสะกับคาซามัตสึซังที่คุโรโกะเคยบอกเอาไว้ว่า เป็นคนแห่งโชคชะตาของคิเสะ

    “แปลว่า อยู่ด้วยกันตลอดเลยหรือครับ”

    “ก็ประมาณนั้นล่ะมั้ง”

    จะบอกว่า อยู่ด้วยกันตลอดก็คงไม่ใช่ แต่ถ้าบอกว่า แวะมาหาทุกวันก็คงปฏิเสธไมได้ เพราะคากามิเองก็ตั้งใจย้ายบ้านมาอยู่ตรงนี้ เพื่อสามารถใช้เวลาอยู่กับอาโอมิเนะให้ได้มากที่สุด แม้ยังจะต้องตั้งอยู่บนเงื่อนไขของความเป็นจริงว่า อาโอมิเนะยังเด็กและยังต้องอาศัยอยู่กับครอบครัว เขาเป็นเพียงแค่คนอื่น จะหวังอยู่ด้วยกันตลอดเวลาเป็นไปไม่ได้

    “แล้วไม่มีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นบ้างหรือครับ”

    “แปลกๆที่ว่า นี่คืออะไร ?”

    “อย่างเช่น เรื่องราวที่เหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญแต่เกิดขึ้นซ้ำๆ โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่ค่อยดี..”

    ถ้าพูดถึงเรื่องบังเอิญที่เป็นเรื่องไม่ดี สิ่งแรกที่นึกถึงก็คือ บาดแผลที่ได้มาไม่เว้นแต่ละวันของอาโอมิเนะ เมื่อก่อนไม่เห็นจะมีแผลเยอะขนาดนี้เลยนะเนี่ย ถึงจะชอบการผจญภัยใช้ชีวิตแบบสุดเหวี่ยงขนาดไหน แต่นี่มันก็เยอะเกินไปนะ ยังไม่ทันที่จะอ้าปากตอบคำถามนั้น ประโยคต่อมาของคุโรโกะก็ทำให้คากามินิ่งไปในทันที

    “แล้วก็...เห็นปีกสีขาวๆ เหมือนที่อาโอมิเนะคุงเคยมีที่หลังน่ะครับ”

    “ปีกสีขาวที่ปรากฏขึ้นพร้อมกับขนนกที่โปรยปราย...”

     ช่วงนี้คากามิมักเห็นปีกสีขาวที่หลังของอาโอมิเนะ เพียงแค่แว่บเดียว ก่อนจะหายไป ในตอนแรกก็คิดว่า เป็นเพราะตัวเองประสาทเสีย อยากจะเจออาโอมิเนะคนนั้น หวังอยากให้เด็กน้อยโตขึ้นมาเป็นแบบอาโอมิเนะคนนั้น ก็เลยไม่ค่อยได้ใส่ใจเท่าไรนัก จนกระทั่งคืนวันที่อาโอมิเนะโดนแก้วบาด แล้วนอนค้างอยู่ที่บ้านเขา

    นั่นเป็นครั้งแรกที่คากามิได้เห็นปีกนั้นอย่างชัดเจน...

    คำว่า ชัดเจนที่ว่าคือ ไม่ได้แค่เห็นเป็นแสงสว่างเรืองๆสีขาวรูปร่างคล้ายปีก แต่เห็นเป็นขนนกแต่ละเส้นชัดเจน เหมือนที่เขาเคยเห็นมาตลอดในวัยเยาว์ แถมรอบๆตัวของอาโอมิเนะยังมีขนนกปลิวว่อนอยู่ในอากาศ เหมือนกับว่า ที่ยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นเทวดาเช่นเดียวกับที่เขาเคยพบ

    “ทำสีหน้าแบบนั้น แปลว่ามีเกิดขึ้นสินะครับ”

    คากามิพยักหน้าตอบ คุโรโกะก็เลยถอนหายใจออกมา ที่จริงเขาก็กะอยู่แล้วว่า ทั้งสองคนจะต้องใกล้ชิดกันจนเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา แต่ก็แอบหวังเล็กๆว่าปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นจริง เพื่อนทั้งสองคนของเขาจะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป ตอนที่รู้ว่าคากามิคุงได้พบกับอาโอมิเนะคุงแล้ว เขาคิดว่าจะหายตัวไปจากชีวิตของทั้งสองคน ปล่อยให้ใช้ชีวิตกันแบบมนุษย์ธรรมดาทั่วไป แต่ด้วยความเป็นห่วง สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะมาหา

    “เรื่องของเรื่องมันเป็นเพราะการมาเกิดใหม่นี่แหละครับ”

    “อาโอมิเนะคุงทำแบบไม่ถูกต้องตามวิธีการทั่วไป ก็เลยส่งผลกระทบ”

    การมาเกิดเป็นมนุษย์ของเทวดานั้น ใช่จะทำกันได้ง่ายๆ เหล่าเทวดาจะต้องได้รับการยอมรับจากวงศ์วานชั้นสูงที่เป็นเสาหลักของสวรรค์เสียก่อน แล้วจึงได้รับคำอนุญาตให้ใช้ประตูแห่งจิต เพื่อผลักดันให้วิญญาณของตัวเองเข้าสู่ห้วงแห่งความว่างเปล่า เพื่อสลักอายุขัยแห่งมนุษย์แล้วว่ายวนจนกว่าจะหาร่างที่สถิตลงไปเกิดได้

    แต่อาโอมิเนะไมได้ทำเช่นนั้น เพราะเจ้าตัวเป็นเทวดาชั้นสูง มีพลังมากมาย แถมยังไดรับพลังแห่งปีกมาอีก ก็เลยสามารถผลักดันวิญญาณของตัวเองเข้าสู่ห้วงแห่งความว่างเปล่าได้โดยการใช้พลังบังคับเปิดประตูบานใหม่ ฉะนั้นวิญญาณของอาโอมิเนะจึงแตกต่างจากเทวดาผู้อื่นที่มาเกิดเป็นมนุษย์ แตกต่างจากคิเสะหรือใครก็แล้วแต่

    “ผมคิดว่า อาโอมิเนะคุงทำอย่างนั้น เพราะอยากเจอคากามิคุงในชีวิตนี้น่ะครับ”

    การได้รับอนุญาตให้ใช้ประตูแห่งจิตนั้น จะต้องชำระล้างตัวเอง ปลดปล่อยพลังทั้งหมดที่มีในฐานะเทวดา โดยจะต้องถูกพันธนาการเอาไว้กับเสาแห่งการเริ่มต้น จนกว่าพลังทั้งหมดจะหวนกลับเข้าสู่ต้นกำเนิดของเหล่าเทวดา นั่นคือเสาต้นนั้นนั่นเอง สำหรับเทวดาธรรมดาที่มีพลังไม่มาก อาจใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งถึงสองปีของมนุษย์ แต่กับเทวดาชั้นสูงจะใช้เวลานานมาก ตอนคิเสะจะลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ใช้เวลายาวนานถึงสองร้อยปีมนุษย์ ถ้าเป็นอาโอมิเนะซึ่งเป็นทั้งเทวดาชั้นสูง แถมยังมีพลังของปีก อาจจะต้องใช้เวลานานเกือบห้าร้อยปี

    “แต่การที่วิญญาณนั้นยังมีพลังของเทวดาอยู่นั้น จะทำให้ชีวิตในฐานะมนุษย์สั้นลงครับ”

    “เพราะร่างกายมนุษย์ ไม่ใช่ภาชนะที่เหมาะสมในการรับจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งของเทวดา”

    “แต่สำหรับกรณีนี้ ต่างออกไปสักหน่อย”

    ถึงจะบอกว่าอายุขัยสั้นลง แต่ก็ใช่ว่าจะตายกันตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาว เพียงแต่อย่าหวังว่าจะอายุยืนถึงแปดสิบเก้าสิบปีได้ อาจมีโรคประจำตัวหรืออาจป่วยจนเสียชีวิตตอนอายุราวๆห้าสิบหกสิบ ถ้าโชคร้ายหน่อยก็ประมาณสี่สิบปี ดังนั้นถึงจะไม่คืนพลังของเทวดาก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขได้นานพอสมควร

    สิ่งที่ทำให้คุโรโกะเป็นห่วงคือ พลังของปีกต่างหาก เพราะปีกนั้นเป็นพลังดั้งเดิมของคากามิ แถมอาโอมิเนะผู้ไม่เคยทำถูกต้องสักอย่าง ตั้งแต่การได้รับสืบทอดพลังแห่งปีก การมาเกิดเป็นมนุษย์ รวมๆแล้ว พลังแห่งปีกที่ฝังอยู่ในจิตวิญญาณนั้นก็ยิ่งเรียกร้อง อยากจะกลับไปหาคากามิ

    ครั้งนี้แตกต่างจากตอนที่ยังเป็นเทวดา ตอนนั้นอาโอมิเนะใช้พลังของตัวเองกดพลังของปีกไว้ และจิตวิญญาณของเทวดาก็แข็งแกร่งจนเจ้าตัวไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้น ร่างมนุษย์ของอาโอมิเนะนั้น ไม่มีทั้งพลังในการป้องกัน หรือต้านทานพลังของปีกเลยแม้แต่นิดเดียว ซ้ำร้ายร่างของมนุษย์นั้นเหมือนภาชนะปิด ต่างจากจิตวิญญาณของเทวดาที่เป็นเหมือนตาข่ายที่พลังแห่งปีกสามารถรั่วไหลออกมาได้ เมื่อไร้ซึ่งทางออกพลังที่อยู่ในตัวนั้นจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อทำลายภาชนะที่ปิดกั้นหนทางกลับสู่ร่างกำเนิด

    ...โดยการสังหารร่างมนุษย์ของอาโอมิเนะ ไดคิ...

    พอฟังคำอธิบายจากคุโรโกะ คากามิก็เข้าใจในทันทีว่า เหตุการณ์โชคร้ายทั้งหมดนั้น ไม่ได้มาจากความบังเอิญแต่อย่างใด เป็นเพราะพลังแห่งปีกพยายามเรียกหาเคราะห์ภัยมาสู่ร่าง สักวันเรื่องใหญ่จะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะทุกวันนี้บาดแผลที่อาโอมิเนะได้รับนั้นก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

    “เป็นเจ้าโง่มิเนะที่ทำอะไรบ้าๆเสมอเลยนะ”

    “ทำไมถึงไม่คิดให้ดีก่อน จะรีบร้อนมาเกิดทำไม”

    คุโรโกะมองคากามิที่ดูโกรธมาก โกรธก็เพราะเป็นห่วงและไม่รู้ว่า ควรจะทำอย่างไรดี ที่จริงคุโรโกะสามารถเพิกเฉยต่อเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า แต่เขากลับทำไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าคากามิจะโศกเศร้าแค่ไหน กำลังใจที่ทำให้ชายหนุ่มสามารถมีชีวิตอยู่มาได้ก็เพราะ หวังว่าสักวันหนึ่งจะได้เจอและร่วมชีวิตกับอาโอมิเนะอีกครั้ง

    “แล้วทำอะไรได้หรือเปล่า”

    “ฉันทำอะไรได้บ้างไหม ?”

    คุโรโกะชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งว่า ควรบอกความจริงออกไปดีไหม เพราะเขารู้ดีว่า อาโอมิเนะตั้งใจที่จะมาเกิดและรู้ผลลัพธ์ของการกระทำดีอยู่แล้ว ชายหนุ่มไม่เคยสนใจหรอกว่า ตัวเองจะเจ็บหรือตายเร็วขนาดไหน ขอเพียงได้อยู่ใกล้ๆคากามิก็พอใจแล้ว และด้วยความคิดแบบเข้าข้างตัวเองแบบเดียวกับที่หนีไปเงียบๆโดยไม่บอกลานั้น ทำให้รู้ได้เลยว่า อาโอมิเนะตั้งใจให้ตัวเองตายก่อนคากามิ

    ...เห็นแก่ตัวเสมอเลยนะครับ...อาโอมิเนะคุง...

    เช่นเดียวกับในชีวิตอื่นของคากามิคุง ผู้ซึ่งโศกเศร้ากับการถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง เวลาแห่งความสุขนั้นเพียงแค่ยืดยาวไปอีกสักหน่อย มันไม่ได้แตกต่างกันตรงไหนเลยนะครับ อาโอมิเนะคุง ทำไมถึงไม่คิดในมุมที่กลับกันบ้างว่า คากามิคุงจะเสียใจขนาดไหน เมื่อต้องเห็นคุณตายจากไป ทั้งที่อายุยังน้อย เพราะคุณเป็นคนงี่เง่า ผมจะไม่สนใจความตั้งใจของคุณอีกแล้ว ผมจะบอกเรื่องราวทั้งหมดกับคากามิคุง แม้ว่าผมจะรู้ดีว่าวิธีการนั่น เป็นอันตรายต่อชีวิตของคากามิคุงก็ตาม

    “วิธีก็มีอยู่ครับ แต่เป็นเรื่องที่ลำบากมาก”

     ดวงตาของคากามิดูมีความหวังขึ้นในทันที คุโรโกะกลืนน้ำลายลงในลำคอ แล้วเล่าวิธีการนั้นออกมาอย่างช้าๆ การเล่าเรื่องที่รู้ดีว่าทำให้คนสำคัญต้องไปเสี่ยงอันตรายนั้น เจ็บปวดจนยากจะทนทาน แต่มันก็ยังดีกว่า ยามเมื่อเห็นคนคนนั้นต้องหลั่งน้ำตาแห่งความคับแค้นและเจ็บปวด

    ...ก่นด่าตัวเองว่าไร้พลัง...ไม่สามารถปกป้องใครเอาไว้ได้เลย...

    ++++++++++

    พรุ่งนี้จะเป็นวันเกิดของอาโอมิเนะ เด็กชายพูดเป็นนัยตลอดหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้ว่า อยากได้อะไร ที่จริงถึงไม่ป่าวประกาศทั้งคากามิและคิเสะก็จำได้ว่า วันไหนเป็นวันเกิดและตั้งใจว่าจะจัดงานปาร์ตี้ให้อยู่แล้ว เด็กชายรอคอยวันเกิดครบสิบปีด้วยใจจดจ่อ

    “คากามิ พรุ่งนี้ต้องอยู่บ้านนะ”

    “รู้แล้วน่า”

    อาโอมิเนะย้ำเป็นรอบที่ร้อย พร้อมกับบอกทุกครั้งว่า ที่บ้านไม่มีใครอยู่ ที่จริงคากามิโทรไปเช็คมาแล้วคุณแม่แอบบอกว่า อาโอมิเนะไล่ให้ทั้งสองคนไปเที่ยวพักผ่อนไกลๆ จะได้หาเรื่องไปนอนค้างบ้านคากามิในวันเกิด เล่าไปคุณแม่ก็หัวเราะไป บอกว่าลูกชายดิฉันติดคุณเอามากเลยนะเนี่ย ยังไงก็ขอรบกวนด้วย ถือว่าเป็นของขวัญให้เขาสักครั้งแล้วกัน

    “อาโอมิเนะเองก็อย่าลืมมาล่ะ”

    “ฉันมีของดีจะให้”

    ในตอนแรกเด็กชายเข้าใจว่า ของดีที่ว่านั้นคือของที่เขาเฝ้าบอกว่าอยากได้ นั่นคือเค้กวันเกิดที่คากามิทำเอง เขาอยากจะสร้างความทรงจำร่วมกับคากามิทีละเล็กละน้อย อยากสัมผัสทุกสิ่งทุกอย่างที่คากามิทำ จากวันนี้ไปจนตลอดไป

    “จะรอดูนะ”

    ตอนดึกของวันนั้น คากามิเตรียมตัวสำหรับงานในวันพรุ่งนี้ ตรวจนับของให้เรียบร้อยว่า ไม่มีอะไรขาดเหลือ เขาหยิบกล่องใบเล็กจิ๋วที้ข้างในบรรจุแหวนทองเหลืองเก่าๆเอาไว้ เป็นแหวนที่ไม่ได้สวยงามเลยสักนิด แต่ใครเล่าจะรู้ว่า แหวนวงนี้เป็นถึงวงแหวนแห่งคำอธิษฐานที่มาจากเทวดา ซึ่งสามารถบันดาลพรแด่ผู้ที่ขอได้

    ในตอนแรกคากามิตั้งใจจะให้อาโอมิเนะ ในวันที่สามารถเอาชนะเขาในการแข่งขันบาสเก็ตบอลได้ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการสวมวงแหวนเชือก เขาจะให้อาโอมิเนะเก็บแหวนวงนี้เอาไว้เช่นกัน แต่มาถึงตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เขาควรจะให้แหวนเสียตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ให้

    “คากามิคุง”

    เสียงเรียกชื่อของเขา ทำเอาสะดุ้ง คุโรโกะมายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ ทำไมคุโรโกะถึงมาหาเขาวันนี้ล่ะ ยังไม่ถึงเวลาเลยไม่ใช่เหรอ ไหนบอกว่า ต้องเข้าเดือนกันยายนก่อนยังไงล่ะ ถึงจะเป็นเวลาอันเหมาะสม

    “ดูเหมือนว่า การโคจรของดวงดาวจะเปลี่ยนไป”

    “พิธีกรรมจะต้องถูกเตรียมแล้ว เราไปกันเถอะ”

    คากามิไม่เคยคิดว่า ตัวเองจะต้องผิดสัญญากับอาโอมิเนะแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัญญาที่เด็กน้อยรอคอบมาตลอด ทั้งที่คิดว่าจะมอบแหวนเอาไว้ให้ด้วยตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะไม่ยอมให้เขาทำเช่นนั้น

    “ช่วยรอสักชั่วโมงนึงได้ไหม”

    คากามิจัดแจงเขียนจดหมาย บอกเรื่องราวทั้งหมดที่อยากพูดกับอาโอมิเนะ พับมันเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆสอดไว้กับกล่องของขวัญ เขาโทรศัพท์ไปยังบ้านของคิเสะบอกว่า จะไปหาตอนนี้ได้ไหม ดูเหมือนเจ้าของบ้านทั้งสองจะดูงุนงง แต่ก็บอกว่า มาได้ไม่มีปัญหาอะไร คากามิเก็บข้าวของที่จำเป็นไม่กี่อย่างลงในกระเป๋าเป้ เขามองกล่องพลาสติกเล็กๆที่เขาใช้เก็บวงแหวนเชือกที่อาโอมิเนะให้ไว้แล้วตัดสินใจเอามันยัดใส่กระเป๋ามาด้วย แล้วคว้าเอาของขวัญกล่องเล็กที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะตรงไปยังบ้านคิเสะ

    พอฟังคำอธิบายว่า เขามีงานด่วนที่จะต้องบินไปจากญี่ปุ่นคืนนี้ ไม่รู้กำหนดกลับ อาจจะยาวนานเป็นปี หรืออาจจะหลายปีก็ได้ ถ้าทำได้ก็จะติดต่อมา แต่น่าจะไม่ได้ คำพูดที่ดูกำกวมและฟังยังไงก็เป็นเรื่องโกหก ทำเอาคิเสะฉุนขาด โวยวายว่า คากามิไม่คิดถึงอาโอมิเนะ ทำไมอยู่ๆคิดจะไป อย่างน้อยก็รอเจอกันวันพรุ่งนี้ก่อนสิ แล้วจะไปไหนค่อยว่ากันอีกที คาซามัตสึที่ฟังอยู่อย่างสงบเอาข้อศอกกระทุ้งคนข้างๆอย่างแรงให้เงียบ

    “ก็ไม่รู้ว่า มีเรื่องอะไรหรอกนะ เอาเป็นว่า รีบกลับมาแล้วกัน”

    “ส่วนของขวัญของอาโอมิเนะ จะมอบให้ถึงมือแน่นอน”

    คิเสะอ้าปากจะโวยวาย แต่พอเห็นสายตาปรามของคาซามัตสึก็ยอมเงียบ ชายหนุ่มผมดำค่อยๆเตือนคนรักว่า ลืมไปแล้วหรือไงว่า ตลอดมาใครที่รักและให้ความสำคัญกับอาโอมิเนะที่สุด มาตอนนี้ถึงคากามิจะไม่พูด แต่ก็ต้องมีเหตุผลที่สำคัญมากแน่ๆ เพราะฉะนั้นในเมื่อไม่เล่า ก็จะไม่ถาม แต่จะรอคอยการกลับมาและจะดูแลอาโอมิเนะแทนในส่วนของคากามิเท่าที่จะทำได้

    “แต่ก็คงทำได้ไม่ดีเท่าคากามิหรอกนะ”

    คากามิโน้มตัวลงไปกอดคาซามัตสึ ตลอดชีวิตของเขานั้นช่างโชคดีที่ได้เจอคนดีๆมากมาย คนที่พร้อมจะให้กำลังใจ พร้อมจะให้คำแนะนำ คนที่คอยอยู่ข้างๆ คอยเป็นห่วงเป็นใย หวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้รับมานั้น จะสามารถตอบแทนกลับคืนไปได้บ้างในวันหนึ่ง

    “ขอบคุณมากครับ คาซามัตสึซัง”

    คากามิคิดออกเพียงแค่นั้น...เพียงแค่นั้นจริงๆ...

    หลังจากเดินออกมาจากบ้านคิเสะ สมทบกับคุโรโกะที่ยืนคอยอยู่ ชายหนุ่มยังคงทำสีหน้าเรียบเฉย แต่ในแววตาดูเหมือนกำลังเป็นห่วง เป็นแววตาแบบที่เขาเห็นบ่อยครั้งยามที่คุโรโกะมาเยี่ยมในครั้งแรกๆที่เขายังไม่เคยชินกับการใช้ชีวิตเพียงลำพัง

    “ไม่เสียใจแน่นะครับ”

    “ไม่หรอกน่า”

    “อาโอมิเนะคุงจะต้องอาละวาดแน่ๆ”

    “ก็คงอย่างนั้น”

    คุโรโกะได้สอนเวทบางอย่างของเทวดาให้กับคากามิ ซึ่งจะทำให้สามารถรับเอาพลังของปีกกลับคืนมาสู่ร่างได้ แต่ดังเช่นหลายชีวิตที่ผ่านมา การรับพลังแห่งปีกนั้นกลับคืนร่าง เป็นเรื่องอันตราย ร่างกายของมนุษย์ไม่อาจทนทานได้ จึงต้องทำให้อ่อนลงโดยการแบ่งปันไปให้แก่โลกใบนี้ ให้แก่ธรรมชาติรอบกาย ดิน น้ำและอากาศ

    การร่ายเวทนั้นเริ่มต้นไปนานแล้ว พลังแห่งปีกเริ่มหลั่งไหลกลับคืนมาบ้างแล้ว ทำให้คากามิเริ่มจดจำชีวิตที่ผ่านมาได้บ้าง แม้จะไม่ได้แจ่มชัด เป็นเพียงเหมือนหนังที่ขาดช่วงไปเป็นระยะๆ แต่สิ่งที่แจ่มชัดก็คือ เรื่องของอาโอมิเนะ โดยเฉพาะความโศกเศร้ายามถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง แล้วหายตัวไป โดยไม่มีแม้แต่คำกล่าวลา

    “นี่จะเป็นการแก้แค้นคืนของฉัน”

    “จะได้รู้ซะบ้างว่าการถูกทิ้งไว้ข้างหลังน่ะเป็นยังไง”

    คุโรโกะเห็นคากามิหัวเราะแล้วกลับรู้สึกปวดใจมากกว่า มันไม่ใช่เสียงหัวเราะที่แท้จริงเลยสักนิด แต่ทำเพื่อหลอกตัวเองว่าเข้มแข็งและทำเพื่อให้เขาสบายใจมากกว่า คนที่เจ็บปวดที่สุดกับการจากไปในครั้งนี้คือคากามิ แต่ทุกคำอธิษฐานย่อมมีค่าตอบแทนของมัน สำหรับสิ่งที่คากามิปรารถนาในตอนนี้ ค่าตอบแทนของมันสูงยิ่งนัก

     “เอาล่ะ จะยอดเขาหรือป่าดงดิบไหน ก็ไปกันเลย”

    “จะได้จบๆเรื่องเสียที”

    มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่หวั่นเกรงต่อความตาย เพราะกลัวความเจ็บปวด เพราะกลัวการลาจาก แต่จะเข้มแข็งขึ้นได้ เมื่อต้องต่อสู้เพื่อคนที่ตัวเองรัก หากเพื่อคนสำคัญของตัวเองแล้ว ถึงจะต้องเสี่ยงชีวิตหรือเจ็บปวดเพียงใด ก็ไม่หวั่นไหว คากามิก็เช่นเดียวกัน รู้ดีว่าทางที่ตัวเองเลือกนั้นไม่ใช่หนทางที่สบาย แต่หากสามารถที่จะปกป้องอาโอมิเนะไว้ได้แล้วล่ะก็

    ...ไม่ว่าอะไรก็จะทำ...

    ++++++++++

    ความรู้สึกแรกที่ได้รับรู้ว่า คากามิไม่อยู่นั้น อาโอมิเนะนึกอยากแหกปาก ร้องตะโกนโวยวาย อาละวาดกับผู้คนรอบข้าง แต่ร่างกายกลับไม่ขยับ ไม่สามารถขยับได้เลย รู้สึกว่าน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ มันไม่ใช่ความเศร้า แต่เป็นความมืดมิด ความสับสนซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับคำถามมากมายว่า ทำไมถึงเป็นแบบนี้

    “อาโอมิเนจจิ...”

    หากอาโอมิเนะแสดงออกด้วยความก้าวร้าวนั้น ทั้งคิเสะและคาซามัตสึก็เตรียมรับมือเอาไว้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเจอความเงียบที่น่าหดหู่เช่นนี้ ใจหนึ่งก็สงสาร แต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าอย่างไรดี คำปลอบโยนใดๆก็คงไม่อาจคลายความเศร้านี้ได้

    “นี่จากคากามิจจิ”

    กล่องของขวัญที่มีจดหมายแนบอยู่ ถูกวางลงบนมือของอาโอมิเนะ หรือพูดให้ถูกคือยัดใส่มือมากกว่า เด็กชายดึงจดหมายออกมาคลี่มันออกอย่างช้าๆ นึกกลัวข้อความในนั้นอย่างประหลาด กลัวว่าคากามิจะไม่ต้องการเขาอีกแล้ว
    .
    .

     

    ถึงอาโอมิเนะ

              ขอโทษด้วยที่ไปโดยไม่ได้ลา แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ฉันอยากจะอยู่ฉลองวันเกิดอายุครบ 10 ปีของอาโอมิเนะ ไม่สิ ฉันอยากจะฉลองวันเกิดของอาโอมิเนะทุกปี อยากจะอยู่ด้วยกัน อยากจะดูนายเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่อาจทำได้ ฉันรู้ว่านายโกรธฉันและอาจจะไม่ยกโทษให้ฉันที่ฉันผิดสัญญา แต่อย่างน้อยอยากให้นายรับของขวัญของฉันเอาไว้ ในกล่องนั้นมีแหวนซึ่งฉันเคยได้รับมาจากคนคนหนึ่ง เป็นคนที่สำคัญมากของฉัน เขาบอกว่า หากอธิษฐานด้วยใจจริงกับแหวนนี้แล้ว คำอธิษฐานนั้นจะสัมฤทธิ์ผล ซึ่งฉันเองก็เคยได้รับการบันดาลพรจากแหวนนั้นมาแล้ว จึงอยากให้อาโอมิเนะเก็บไว้ หากอยากได้อะไร ก็ขอให้อธิษฐานกับแหวนนี้ แต่ต้องเป็นความปรารถนาจากหัวใจจริงๆนะ ไม่อย่างนั้นมันจะไม่ตอบสนองต่อคำอธิษฐานนั้น

             ฉันไม่รู้ว่า จะได้กลับญี่ปุ่นอีกทีเมื่อไหร่ งานที่ฉันไปทำอาจจะกินเวลาหลายปี กว่าจะถึงวันนั้นนายอาจจะโตเป็นหนุ่มแล้ว มีสาวๆมากมายมาห้อมล้อมและคงไม่สนใจฉันอีกต่อไป อย่างไรก็ตามหากนายยังคงจดจำสัญญาของเราและยังต้องการจะเรียกชื่อของฉัน ก็ขอให้หมั่นฝึกฝนบาสเก็ตบอล เพื่อเอาชนะฉันให้ได้ อย่าให้ฉันต้องรอนานถึงร้อยปีล่ะ

                                                                                                                                      แล้วพบกันใหม่นะ

                                                                                                                                             คากามิ

    ปล. ฉันไม่อยู่ อย่าร้องไห้ขี้มูกโป่งล่ะ

     

     

    อาโอมิเนะจ้องเนื้อความในจดหมายนั้นตาไม่กระพริบ ก่อนจะพับมันกลับไปเป็นเหมือนเดิมอย่างทะนุถนอม เขาเปิดกล่องของขวัญอันเล็กจิ๋ว แล้วหยิบแหวนสีทองออกมา ส่องดูกับแสงไฟ แม้จะไม่ได้สวยงามหรือมีราคาค่างวดอะไร แต่ต่อจากนี้ไป มันจะกลายเป็นของสำคัญของเขา

    “นี่คิเสะ...”

    “อะไรเหรอ อาโอมิเนจจิ”

    “มีสร้อยหรือเปล่า ?”

    “หา ?”

    “ก็แหวนมันวงใหญ่เบ้อเร่อขนาดนี้ จะใส่นิ้วได้ยังไงล่ะ”

    คากามิ นายดูถูกฉันมากไปแล้ว ถึงนายจะไม่อยู่ จะหายตัวไปนานแค่ไหน ฉันก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจหรอก นายคงคิดว่า ความรักของฉันก็เป็นแค่ความหลงใหลแบบเด็กๆสินะ ฉันจะพิสูจน์ให้นายรู้ เมื่อถึงวันที่นายกลับมา ฉันจะเอาชนะนาย จะทำให้นายตกใจเลย คอยดูแล้วกัน !!

    คืนวันและฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไปตามการหมุนของโลก...

    ผู้คนทั้งหลายเองก็เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุการณ์ที่ได้พบเจอ...

    ฉันไม่รู้หรอกว่า...ตัวฉันเองจะเปลี่ยนแปลงไปมากมายเพียงใด...

    รู้แต่เพียงว่า...มีอย่างเดียวเท่านั้นที่ฉันแน่ใจว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง...

    .

    ....นั่นคือ...ความรู้สึกที่มีต่อนาย....

    ...ตั้งแต่เจอกันครั้งแรก...จวบจนวันสุดท้าย...

    ...นายคือ...คนสำคัญที่สุดในชีวิต...

     

    ++++++++++


    จบจริงๆค่ะ แต่ที่จริงมี epilogue อีกตอนสั้นๆ สั้นมาก แอบเขียนไม่จบ เลยอมไว้ก่อน (หัวเราะ)
    เดี๋ยวมาโพสต่อ หลังเรากลับจากหนีเที่ยวนะคะ กำลังคิดอยู่ว่าโพสวันที่เท่าไรดี ?? 10 กันยาดีไหมเอ่ย ??
    แต่ที่จริงอยากเขียนตอนพิเศษของคิเสะกับคาซามัตสึซังเหมือนกันนะ อะไรนะ ทวง Color of fate เหรอ ?? มันคืออะไร ไม่รู้จัก
    (
    Color of fate สถานะปัจจุบัน 3 หน้า และร่างพล็อตไม่เสร็จซะที เพราะคิดความต่อเนื่องของเหตุการณ์ไม่ได้)

    ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านฟิคเผานะคะ โอ๊ะ เกือบลืม HBD นะ อาโอมิเนะ
    เอ้าทุกคนมาพูดพร้อมกันนะ "HBD Aomine" (หัวเราะ)

    สำหรับเรื่องเมนต์ไม่เมนต์ฟิคคราวก่อน ถ้าทำใครไม่สบายใจก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ
    สารภาพจากใจจริงว่าแค่บ่น ช่วงนั้นนอยๆ ถ้าทำให้ใครโกรธก็ขอโทษอย่างเป็นทางการตรงนี้นะคะ
    แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องที่นักเขียนจะเฉาตาย เพราะไม่มีเมนต์ก็เป็นเรื่องจริงนะคะ
    ทุกครั้งเวลานักเขียนท้อ ก็จะเปิดเข้ามาอ่านเมนต์ของคนอ่านนี่แหละค่ะ จะได้ฮึดไปเขียนต่อ
    ฉะนั้นถ้าหายไปนานๆ โดยไม่ได้หนีไปปั่นเรื่องอื่น แปลว่า เฉาตายไปเพราะขาดเมนต์ค่ะ (หัวเราะ)

    สำหรับคนที่แบบว่า อยากเมนต์ แต่ไม่รู้จะเมนต์ยังไงดี เราขออนุญาตแนะนำนิดหน่อยนะคะ
    ส่วนตัวคิดว่า นักเขียนส่วนใหญ่น่าจะชอบแบบนี้ แต่ก็อาจจะไม่เสมอไปนะคะ
    1. เขียนความรู้สึกที่ได้ในขณะที่อ่านค่ะ อย่าเขียนสั้นๆว่า สนุก ชอบ นักเขียนงงค่ะ นึกภาพไม่ออก
    พยายามใส่รายละเอียดเล็กน้อย เช่น "ชอบฉากที่อาโอมิเนะจุ๊บแก้มคากามิจังเลย" "อ่านแล้วรู้สึกกิ๊วก๊าวมากเลย ตอนคากามิอาย"
    (ทั้งนี้ทั้งนั้น อันนี้คือตัวอย่างที่เราไปเมนต์ฟิคคนอื่นค่ะ 555+)
    แน่นอนว่า หากกรี๊ดกร๊าดผสมโรงไปด้วยจะยิ่งสร้างกำลังใจแก่นักเขียนค่ะ
    2. ติได้ค่ะ แต่ควรใส่รายละเอียดเหมือนข้อหนึ่ง เพื่อช่วยมันสมองน้อยๆที่ไม่ค่อยมีของนักเขียน
    เช่น "ฉากอารมณ์ใช้คำยืดเยื้อ ควรจะกระชับกว่านี้" "ตรงฉากที่อาโอมิเนะบ่น มีคำว่า ที่ เป็นกองทัพเลย"
    (ส่วนอันนี้เป็นตัวอย่างคำพูดของ proof-reader ส่วนตัวสมัยก่อน ซึ่งตอนนี้ไม่ว่างมา proof ให้แล้วอ่ะ เสียใจ)
    นักเขียนขอสัญญาว่า ทุกข้อติ จะพยายามเอาไปปรับปรุง เท่าที่ความสามารถของเดี๊ยนจะพึงมี
    แต่คุณนักอ่านก็ต้องทำใจนะคะว่า บางครั้งเดี๊ยนก็มือไม่ถึง เลยแก้ไม่ได้
    3. ได้โปรดอย่าคิดว่า ไม่รู้จะเมนต์ยังไง ไม่เมนต์ดีกว่า หรือคิดว่า เอาแค่เมนต์ว่า สนุกจัง ก็พอแล้ว
    เพราะหนึ่งเสียงของท่านคือคะแนนของเรา เอ๊ยไม่ใช่ หนึ่งเมนต์ของท่านคือกำลังใจของเรา
    ได้โปรดบรรยายความรู้สึกทั้งด้านบวกและลบที่มีต่อฟิคเรามาเถอะค่ะ เราต้องการ

    เขียนซะยาวยืด ฉันพล่ามอะไรเนี่ย มาตอบเมนต์กันดีกว่า
    terewasabi : เค้าแต่งอาโอคางะนะตัว ไม่ได้แต่งคุโร่คางะ ตัวฟินอะไรนิ - - + เดี๋ยวปั๊ดแต่งมิโดรินคางะซะนี่
    เบม : ตามสัญญาแล้วนะคะ
    was_moon : ออกมาจากเงาบ้างก็ดีนะคะ เพื่อป้องกันไม่ให้คนเขียนเฉาตาย ^^"
    Frerazia : ตอนนี้คงไม่เศร้าแล้วเนอะ ดูมีความสุขกันทุกคน
    hnee : เมาท์มอยกันไปในข้อความลับมากมาย เอาเป็นว่า สำหรับชีวิตนี้ทั้งสองคนก็ได้อยู่ด้วยกันแล้วเนอะ
    Y เข้าสายเลือด : แต่งต่อแล้วค่ะ แต่ก็ยังค้างอยู่ดี ><"
    Blue anemone : เรายกให้ท่านเป็น Comment of the year เลยค่ะ อ่านเมนต์ท่านทีไร ฮาแตก หายเครียดตลอด อย่าหนีเราไปไหนนะ
    8018 Ti Amo : เปิดเพลง "หากันจนเจอ" ได้อยู่ด้วยกันแล้วเนอะ
    Kretis : หวังว่าตอนนี้จะไม่เศร้าแล้วนะ ส่วนอีกสองเรื่อง ขอแอบขุดรูหนีก่อนนะ ปั่นไม่ทันจริงๆ OTL

    ยังไงก็ขอบคุณที่อ่านฟิคเผาๆอันนี้ ที่จริงไม่รู้มีใครจำได้ไหม นานมาแล้วเราเคยถามใน Color of Fate ว่า
    อยากอ่านคากามิโชตะหรืออาโอมิเนะโชตะ แล้วไม่ค่อยมีใครตอบ (ถ้าจำไม่ผิดมีแต่ท่าน Kretis กับท่าน hnee ที่ตอบ แถมเลือกคนละอย่าง)
    เราเลยตัดสินใจเองซะเลย ออกมาเป็นอาโอมิเนะโชตะอย่างที่เห็น

    เรื่อง epilouge ไม่ต้องห่วง เราเขียนจะจบแล้วจ้า แต่โพสวันไหนดี อยากแกล้งคนอ่านให้ทรมานใจเล่น หึๆๆๆ
    เดี๋ยวคนเขียนอาจจะไม่อยู่ไทยสักพักนะ เดี๋ยวกลับมาแล้วจะโพสนะจ้ะ
    ส่วน Color of Fate...ร่างพล็อตเสร็จเมื่อไหร่จะรีบเขียนนะ ใครมีไอเดียอะไร เกี่ยวกับเรื่องความซวยที่ทำให้เป็นหวัดบ้างไหม ??
    ได้พล็อตแล้วน่าจะเขียนได้แล้วนะ ^0^/ พบกันอีกครั้งในตอนต่อไปนะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×