ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KnB fic] Color of Fate (AoKaga)

    ลำดับตอนที่ #4 : Vanilla fate : Vanilla Shake

    • อัปเดตล่าสุด 3 ต.ค. 56


    Title: Vanilla Shake
    Author: Monochrome bird
    Category:  Drama (มั้ง?)

    Pairing: อาโอมิเนะ x คากามิ
    Rating: PG-13
    Disclaimer: ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นของอาจารย์ฟูจิมากิค่ะ พวกเราแค่ยืมมาจิ้นเล่นเท่านั้น 
    Author notes: ฟิคนี้เขียนในตอนง่วงบ่อยมาก เพราะงั้นถ้าพิมพ์ผิดก็บอกกันบ้างนะคะ

    ++++++++++

     

    วันเวลาล่วงเลยผ่านมา จนถึงช่วงที่ต้นซากุระบานสะพรั่งอีกครั้ง ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นที่บรรดาเด็กปีหนึ่งจะก้าวเข้าสู่รั้วโรงเรียนแห่งใหม่ บรรดาชมรมทั้งหลายต่างเรียกให้รุ่นน้องมาสมัครเข้าชมรมของตัวเอง ชมรมบาสเก็ตบอลก็เช่นเดียวกัน ในปีนี้มีผู้มาสมัครเข้าชมรมมากมายเป็นประวัติการณ์ เพราะแม้เซย์รินจะไม่อาจคว้าชัยในการแข่งขันวินเทอร์คัพได้ แต่การแข่งขันในครั้งนั้นก็สร้างความประทับใจให้แก่ผู้คนมากมาย จนบรรดาเด็กปีหนึ่งหลายต่อหลายคนใฝ่ฝันอยากจะเข้าร่วมทีม อยากจะได้เห็นตัวจริงของเอสแห่งเซย์ริน ทั้งผู้ที่เป็นแสงและเงา แต่จนแล้วจนรอดทั้งคู่ก็ไม่ยอมโผล่หัวออกมาช่วยงานเปิดรับสมัครคนเข้าชมรมเลยสักนิดเดียว

    สถานการณ์หลังการสมัครเข้าชมรม ก็ไม่ต่างจากปีก่อนเท่าไรนัก บรรดาผู้สมัครเข้าชมรมเหลืออยู่ประมาณครึ่งหนึ่งของทั้งหมด เพราะแม้โค้ชสาวจะไม่สามารถใช้มุกเดิมๆอย่างไปตะโกนแรงบันดาลใจบนดาดฟ้าตึกในเวลาเข้าแถวตอนเช้าได้ แต่การทดสอบเข้าชมรมก็ยังคงเข้มข้น จนมีคนมากมายยอมถอดใจ

    “สุดยอด !!!

    บรรดาปีหนึ่งต่างอุทานเป็นเสียงเดียวกัน เมื่อเห็นเอสของทีมกระโดดขึ้นดังค์ลูกลงห่วงไปอย่างสวยงาม พวกรุ่นพี่ปีสามต่างปาดเหงื่อด้วยความเหนื่อยจากเกมการแข่งขัน แต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้ม ก็แน่ล่ะ บาสเก็ตบอลเป็นกีฬาที่สนุกอยู่แล้ว ยิ่งได้เล่นกับคนที่เก่งก็ยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่

    “ขอโทษที่มาสายครับ”

    “ว้ากกกกกก”

    ไม่น่าแปลกใจที่พวกรุ่นน้องปีหนึ่งจะตกใจกับการปรากฏตัวของรุ่นพี่ตัวเล็ก ผู้เป็นกำลังสำคัญของทีมอีกคนหนึ่ง ผู้เล่นที่ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์แสนจืดจาง ปรากฏตัวทีไรเป็นต้องตกใจทุกที ไม่เว้นแม้แต่สมาชิกทีมที่อยู่ด้วยกันมาเป็นปี

     “ทำไมวันนี้มาสายได้ล่ะ ?”

    ตามปกติคุโรโกะไม่เคยมาชมรมสาย หากต้องไปช่วยงานอาจารย์หรือมีกิจกรรมอะไรที่ห้อง คากามิที่อยู่ห้องเดียวกันก็ต้องรู้ แต่นี่เอสของทีมเป็นฝ่ายบอกเองว่า ไม่รู้ว่าหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่ พอรู้ตัวอีกทีก็ไม่เห็นแล้ว ทุกคนก็เลยไม่คิดจะถามเซ้าซี้ให้มากความ เพราะคนอย่างคุโรโกะนั้นคิดจะไปจะมาเมื่อไหร่ ก็คงยากที่จะสังเกตเห็นได้ หากเจ้าตัวไม่เป็นฝ่ายเอ่ยปากบอกด้วยตัวเอง

    “คือว่า...”

    “เท็ตสึ โรงเรียนนายเนี่ยนะ...”

    คนที่เพิ่งก้าวตามคุโรโกะเข้ามาในโรงยิมนั้น ไม่ใช่สมาชิกของชมรมนี้ ไม่ใช่แม้แต่นักเรียนของเซย์ริน แต่เป็นคนที่ทุกคนรู้จักคุ้นเคยกันดี ชายหนุ่มผิวสีเข้มแห่งโทโอ ผู้ที่ได้ชื่อว่ามีพรสวรรค์ซึ่งเทพแห่งบาสเก็ตบอลประทานมาให้

    “อาโอมิเนะ !!!

    แม้คนอื่นๆจะจ้องมองด้วยความสงสัยหรือสนใจใคร่รู้ แต่คนที่แหกปากโวยวายเรียกชื่อคนคนนั้นเสียงดังลั่น ก็ไม่พ้นชายหนุ่มผมแดง ซึ่งกำลังเล่นบาสเก็ตบอลอยู่ในสนาม เจ้าตัวทิ้งเกมแล้วเดินออกมาในทันที ทำท่าอย่างกับจะเข้ามาชกหน้า อยากจะมีเรื่องกัน พวกปีหนึ่งรู้สึกว่า บรรยากาศไม่ค่อยดีเท่าไร ไม่มีใครกล้าขยับตัวสักคน

    “เอาเสื้อฉันมาใส่ได้ยังไง !!!

    เสื้อที่ชายหนุ่มจากโรงเรียนโทโอใส่อยู่นั้น เป็นเสื้อยืดสีดำกับกางเกงสำหรับเล่นกีฬา ซึ่งคุโรโกะใช้วิชาสะเดาะกุญแจเอามาจากตู้ล็อกเกอร์ของคากามิ เพราะอาโอมิเนะนั้นเล่นใส่ชุดนักเรียนของโทโอมาเต็มยศ โดยไม่สนใจว่าคนรอบข้างจะมองอย่างไร ขืนให้เดินไปเดินมาในโรงเรียนด้วยสภาพแบบนั้น มีหวังถูกเฉดหัวออกไปแน่ๆ คุโรโกะก็เลยตัดสินใจขอยืมใช้เสื้อของคากามิโดยไม่ได้บอกเจ้าของเอาไว้ล่วงหน้า

    “เรื่องก็เป็นอย่างนี้ล่ะครับ”

    “แล้วทำไมต้องเป็นเสื้อฉันด้วย !!!

    ทุกคนในทีมหันไปมองคากามิ ด้วยสายตาที่ให้คำตอบประมาณว่า ก็มีแต่นายเท่านั้นแหละที่ตัวใหญ่ยักษ์ขนาดใกล้เคียงกับหมอนี่ จะให้คุโรโกะเอาเสื้อใครให้ใส่ล่ะ ขืนเอาเสื้อตัวเองให้ใส่ ก็คงยัดไม่ลงแน่ๆ แต่คำพูดที่ออกมาจากปากของชายหนุ่มผมฟ้ากลับต่างไปจากที่ทุกคนคิดอยู่ในหัว

    “ก็...ผมเห็นคากามิคุงให้อาโอมิเนะคุงยืมเสื้อใส่อยู่บ่อยๆนี่ครับ”

    “เวลาอาโอมิเนะคุงไปค้างที่บ้าน...”

    บรรดาสมาชิกตั้งแต่ปีสองขึ้นไปนั้น รู้ดีถึงความสัมพันธ์ของสองคนนี้ แต่พวกปีหนึ่งที่เข้ามาใหม่ยังไม่รู้ เกือบทุกคนเข้าใจว่า เอสของทั้งสองทีมคงรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อนตอนม.ต้น ถึงได้สนิทสนมจนไปนอนค้างบ้านของอีกฝ่ายได้ หารู้ไม่ว่า ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เพิ่งจะเริ่มต้นมาเมื่อไม่นานนี้ แถมยังไม่ใช่ระดับธรรมดาทั่วไปแบบนั้น

    “นั่นมัน...”

    คากามิเองก็จนด้วยคำพูด เพราะมันเป็นอย่างที่คุโรโกะบอก บางครั้งเจ้าโง่มิเนะก็โผล่มาบ้านแบบกะทันหัน เข้ามานอนเอกเขนก พูดจาไม่รับผิดชอบว่า ไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาด้วยเลย ออกจากโรงเรียนก็ตรงดิ่งมาบ้านเขา จากนั้นจึงออกปากขอยืมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า สบู่ แปรงสีฟัน แม้แต่กางเกงในก็ยังมายุ่งวุ่นวายกับของของเขา

    มาจนถึงตอนนี้ คากามิแบ่งของใช้สำหรับอาโอมิเนะเอาไว้โดยไม่รู้ตัว ในห้องน้ำก็มีแปรงสีฟันสองอัน เสื้อผ้าเองก็มีกองเล็กๆแบ่งเก็บเอาไว้ในตู้ สำหรับให้แขกไม่ได้รับเชิญใช้เป็นของส่วนตัว

    “ว่าแต่ มาวันนี้มีอะไรเหรอ ?”

    ฮิวงะผู้ดำรงตำแหน่งกัปตันทีมถามขึ้นด้วยความรู้สึกสงสัยปนกับอยากให้สถานการณ์ประหลาดนี้จบลงเสียที จะได้ซ้อมบาสเก็ตบอลกันต่อ ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินชี้นิ้วไปทางคากามิ ทำนองประมาณว่า นั่นไงคือธุระของฉัน

    “ไปเล่นบาสกัน”

    “จะบ้าเรอะ !! นี่มันเวลาซ้อมของทีมนะ”

    ถึงคากามิจะเป็นไอ้บ้าที่เล่นบาสเก็ตบอลแบบมุทะลุไม่รู้จักคิดไปบ้าง แต่ในฐานะสมาชิกของชมรมแล้ว คากามิมีระเบียบวินัยในการฝึกซ้อมดีมาก ไม่เคยโดด ไม่เคยบ่น อาจเพราะอยากจะเก่งขึ้นกว่านี้ อยากจะเอาชนะใครบางคนให้ได้

    “ก็มันน่าเบื่อนี่”

    “อย่าพูดเอาแต่ได้อย่างนั้นสิวะ !!

    ก่อนที่ผู้ชายร่างยักษ์สองคนจะทุ่มเถียงกันเสียงดังจนเป็นที่หวาดกลัวของรุ่นน้องไปมากกว่านี้ โค้ชสาวก็เข้ามาแทรกตรงกลางยุติสถานการณ์อันวุ่นวาย โดยการหันไปบอกอาโอมิเนะว่า นี่มันเวลาซ้อม จะเอาคากามิไปได้อย่างไร ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะอ้าปากเถียง ริโกะก็พูดต่อว่า แต่ถ้านายช่วยคุยกับโค้ช ให้พวกเราได้ซ้อมแข่งกับโทโอล่ะก็ ฉันจะยอมยกนั่นให้นายวันหนึ่งก็ได้นะ

    แน่นอนว่าปลายนิ้วของริโกะซึ่งชี้ไปทาง “นั่น” ก็คือ คากามิ ชายหนุ่มเริ่มโวยวายเสียงดัง หลังจากโค้ชและเอสแห่งโทโอเริ่มตกลงสัญญากันเรื่องซ้อมแข่ง ริโกะให้อาโอมิเนะโทรศัพท์ไปคุยกับโค้ชในตอนนั้นเลย หลังจากตกลงเงื่อนไขอะไรกันอีกสองสามอย่าง สุดท้ายเซย์รินและโทโอก็ได้นัดวันซ้อมแข่งกันเป็นที่เรียบร้อย

    “งั้นฉันเอาไปเลยนะ”

    “ตามสบาย”

    โค้ชสาวดูจะอารมณ์ดีขึ้นทันตา หลังจากได้ตารางซ้อมแข่งกับทีมเก่งๆเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งวัน อาโอมิเนะไม่รอช้า จับคอเสื้อ ตั้งใจจะลากคากามิออกไปข้างนอก แต่ริโกะยกมือขึ้นห้ามแล้วขยิบตาเป็นเชิงว่า ฟังก่อนสิ

    “ไม่สนใจจะใช้สนามที่นี่เหรอ ?”

    สรุปว่าโค้ชของเรา ต้องการจะประกาศศักดาความสามารถของเอสให้เด็กปีหนึ่งได้รู้ว่า ระดับของทีมเซย์รินในตอนนี้ไม่ใช่ธรรมดา หากเป็นการแข่งขันระหว่างอาโอมิเนะกับคากามิแล้วล่ะก็ จะต้องดุเดือดยิ่งกว่าการซ้อมของเซย์รินเมื่อครู่เป็นร้อยเท่าแน่ๆ

    “น่าสนุกดีนี่”

    แน่นอนว่า อาโอมิเนะเข้าใจจุดประสงค์ของโค้ชสาวดี แต่ก็ไม่ปฏิเสธ จะเล่นที่ไหนหรืออย่างไร เขาไม่มีปัญหาอยู่แล้ว จะยังไงก็ได้ ขอแค่ไม่น่าเบื่อก็พอ

    “เอ้า ไปได้แล้ว”

    ริโกะดันหลังคากามิลงสนาม เจ้าตัวหันรีหันขวางทำนองว่า จะดีเหรอ ? ให้ยึดสนามมาเล่นกันสองคนเนี่ยนะ แต่โค้ชสาวส่งสัญญาณทำนองว่า ไม่มีปัญหา ลุยได้เลย คากามิก็เลยยอมทำตามแต่โดยดี

    การแข่งขันของทั้งสองคน สร้างความตื่นเต้นให้กับพวกปีหนึ่งเป็นอย่างมาก เพราะระดับมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กับการซ้อมเมื่อครู่ ราวกับว่ามีเปลวไฟสีแดงและสีน้ำเงินกำลังปะทะกันอยู่ในสนาม แม้ว่าลูกบาสเก็ตบอลจะลงห่วงไปครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่มีท่าทีว่า ทั้งสองคนจะผ่อนแรงลงเลยแม้แต่นิดเดียว

    “สุดยอด...”

    นั่นเป็นคำเดียวที่หลุดออกมาจากปาก บรรดาน้องใหม่ซึ่งเพิ่งเคยเห็นทั้งสองคนแข่งกันเป็นครั้งแรก พวกรุ่นพี่เองก็ได้แต่ยิ้มตาม เพราะดูจากใบหน้าของทั้งคู่แล้ว ท่าทางจะตั้งสมาธิอยู่แต่กับคู่ต่อสู้ตรงหน้า ตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง คงไม่ได้ยินด้วยซ้ำว่า คนรอบข้างตะโกนอะไรออกมาบ้าง

    การแข่งขันนั้นจบลงด้วยการที่โค้ชสาวเป่านกหวีดเสียงดังยาว แล้วตะโกนบอกให้พอได้แล้ว ถึงเวลาเลิกชมรมแล้ว ไม่อย่างนั้นคู่นี้อาจจะแข่งกันไม่เลิก จนฟ้ามืดก็ยังเล่นกันต่อไป การแข่งขันของทั้งคู่สร้างความประทับใจให้กับปีหนึ่งเป็นอย่างมาก จนหลายต่อหลายคนเริ่มนึกอยากจะเล่นบาสเก็ตบอลขึ้นมาเดี๋ยวนั้น

    “ไปบ้านได้ไหม”

    อาโอมิเนะทิ้งตัวลงบนหลังของคากามิ เอามือทั้งสองข้างรัดรอบคอ มองจากสายตาคนรอบข้างคล้ายกับชายหนุ่มผมแดงกำลังโดนขู่กรรโชก แต่คากามิรู้ดีว่า มันคือวิธีการอ้อนแบบแปลกประหลาดของอาโอมิเนะ

    “วันนี้วันอังคารนะ”

    “แล้ว ?”

    บางครั้งก็ลืมไปว่า หมอนี่ไม่เคยสนใจว่า วันนี้จะเป็นวันอะไร เพราะไม่เคยไปร่วมซ้อมตอนเช้าและไม่สนใจด้วยว่า จะไปเรียนทันไหม ถึงจากบ้านของเขาจะต้องขึ้นรถไฟหลายต่อ ใช้เวลานานเกือบสองชั่วโมงกว่าจะไปถึงโทโอและใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงครึ่งกว่าจะถึงบ้านของอาโอมิเนะ เจ้าตัวก็ยังชอบมานอนกลิ้งเล่นที่บ้านเขาเสมอ

    “จะไปก็ไป ตามใจนาย”

    หลายคนในทีมที่ได้ยินบทสนทนานั้น ทั้งยังเห็นท่าทางที่คล้ายกับหยอกล้อกันด้วยคำพูดกวนประสาทและอาจจะถึงคำด่าในบางครั้ง กลับรู้สึกเหมือนมีบรรยากาศสีชมพูฟ่องปนสีแดงเดือดเลือดพล่านรายล้อมทั้งคู่ บางครั้งก็แอบหวานกัน แต่ไม่ใช่ความหวานแบบหนุ่มสาวทั่วไป คงเป็นความหวานแบบดุเดือดชนิดที่สามารถต่อยกันจนหน้าแหกได้ ถ้าเกิดโมโหขึ้นมา

    “คุโรโกะ สองคนนั้นมันแต่งงานกันไปรึยัง ?”

    ถึงจะพูดอย่างนั้นอย่างนี้ แต่สุดท้ายคากามิก็ดูแลเอาใจใส่อาโอมิเนะเป็นอย่างดี เพราะถึงคำพูดจะไม่ได้นุ่มนวลอ่อนโยน แต่มันก็คือการถามไถ่ด้วยความห่วงใยเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ เรื่องการเรียน การซ้อมและจบด้วยเรื่องปากท้องว่า อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมคืนนี้

    “ดูเหมือนจะยังนะครับ แต่ผมคิดว่าคงอีกไม่นาน”

    โชคดีที่พวกเด็กปีหนึ่งไม่ได้ยินบทสนทนาของกัปตันทีมและผู้เล่นเงา ไม่อย่างนั้นคงงงเป็นไก่ตาแตกว่า ใครแต่งกับใคร อะไรยังไง ส่วนบรรดารุ่นพี่ทั้งหลายต่างก็ยิ้มแหยๆ ด้วยความรู้สึกประมาณว่า ควรจะดีใจหรือเหนื่อยใจดี กับท่าทีของไอ้สองคนนั้น

    “เอาเถอะ มีความสุขกันก็พอแล้วล่ะ”

    “นั่นสินะครับ”

    แต่ยังไม่ทันขาดคำก็มีเสียงดังออกมาจากทางห้องล็อกเกอร์ ทุกคนเดินไปดู เผื่อจะต้องห้ามทัพไม่ให้ข้าวของส่วนรวมเสียหาย ส่วนมันจะฟาดปากกันจนเลือดหัวออกหรือหน้าแหกยังไง ก็ปล่อยพวกมัน

    “อาโอมิเนะ !! เอาแหวนของฉันคืนมานะเว้ย !!

    คุโรโกะมองการต่อสู้ของเอสทั้งสอง เพื่อแย่งแหวนสีเงินที่ร้อยอยู่กับสร้อย ท่าทางคากามิจะทั้งโกรธทั้งหงุดหงิด จนอาจจะเผลอจับหัวอาโอมิเนะโขกตู้ล็อกเกอร์ก็เป็นได้ แต่เอสแห่งโทโอดูเหมือนกำลังสนุกอยู่กับการวอนตายด้วยการปั่นหัวคนตรงหน้าให้โมโหมากยิ่งขึ้น

    “ไม่คืน”

    “เอาคืนมา !!!

    เย็นวันนั้นเป็นวันที่ห้องชมรมของทีมบาสเก็ตบอลชายแห่งเซย์รินเต็มไปด้วยเสียงครื้นเครงของเอสผมแดง และเสียงหัวเราะอย่างร่าเริงของแขกที่ไม่ได้รับเชิญจากโทโอ ทั้งนี้ทั้งนั้นดูเหมือนทั้งสองคนก็มีความสุขดี

    “ไอ้โง่มิเนะ !! บอกว่า เอาคืนมาไง !!

    ถึงจะเสียงดังไปสักหน่อย แต่ก็มีความสุขดีล่ะมั้ง ??

    ++++++++++

    การแข่งขันอินเตอร์ไฮของปีนี้ ไม่ต่างจากปีที่แล้วมากนักในเรื่องความโหดหินของการซ้อม ที่จะเปลี่ยนไปก็คงเป็นคู่แข่งล่ะมั้ง เพราะรุ่นพี่สุดแกร่งหลายๆคนก็เรียนจบกันไปหมดแล้ว หลายๆทีมคงมีการเปลี่ยนผู้เล่นกันยกใหญ่

    “ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นอาโอมิเนะคุงเลยนะครับ”

    นับตั้งแต่วันที่อาโอมิเนะได้มาวาดลวดลายบนสนามซ้อมของเซย์ริน เอสหนุ่มแห่งโทโอก็ชอบโผล่หน้ามากวนประสาทถึงที่ โชคยังดีที่ชายหนุ่มมักจะมาในตอนเย็นๆ หลังเลิกชมรมแล้ว ดูเหมือนจะยังมีหัวคิดอยู่บ้าง ก็เลยตัดสินใจไม่รบกวนการฝึกซ้อมของเซย์ริน

    “หา ? ไม่มาก็ดีแล้วไง หรือว่านายอยากเจอ ??”

    การมาเยือนของอาโอมิเนะนั้นกลายเป็นความเคยชินของบรรดาสมาชิกชมรมบาสเก็ตบอล จนรุ่นน้องหลายต่อหลายคนเข้าใจผิดไปว่า ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยเด็กหรือไม่ก็เป็นญาติกัน ทุกครั้งที่มาหา เอสแห่งโทโอจะต้องบ่นคำว่า ช้า ต่อด้วยคำว่า หิว แล้วก็บ่นเรื่องนู้นเรื่องนี้ไปเรื่อย จนกว่าจะได้ทะเลาะกันสักยก ถึงจะสงบปากสงบคำลงได้

    คุโรโกะรู้สึกว่า การที่อาโอมิเนะมาเยือนเซย์รินนั้น ไม่ใช่เพราะแค่อยากมากวนประสาทคากามิเล่นๆ แต่เป็นเพราะเจ้าตัวต้องการที่ที่จะอยู่ได้อย่างสบายใจต่างหาก แม้จะไม่รู้ว่าเพื่อนของเขามีปัญหาหรือเรื่องไม่สบายใจอะไร แต่สิ่งที่เขาสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ รอยยิ้มสดใสและเสียงหัวเราะร่าเริงที่คืนกลับมาเหมือนตอนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก

    “คากามิคุง ไม่รู้สึกแปลกๆบ้างหรือครับ”

    “ไม่นี่”

    คากามิไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมคุโรโกะต้องจ้องเขาแบบนั้น ก็แค่อาโอมิเนะไม่มาที่เซย์รินเท่านั้นเอง ที่จริงมันก็ควรเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือ ระยะทางระหว่างเซย์รินกับโทโอก็ไม่ใช่ใกล้ๆ มาเจอหน้ากันบ่อยๆก็คงไม่ไหวล่ะมั้ง

    “นั่นสินะครับ ทั้งสองคนเล่นบาสด้วยกันทุกวันอาทิตย์นี่ครับ”

    “ไม่ได้เล่นหรอก ก็มีซ้อมนี่นา”

    คำพูดนั้นทำให้คุโรโกะนิ่งไปพักหนึ่ง เขาเองก็ลืมไปว่า ช่วงนี้ใกล้การแข่งเข้ามาทุกที โค้ชจึงเรียกซ้อมทุกวัน ไม่มีวันหยุด ทีมของโทโอเองก็คงซ้อมหนักกันเหมือนกัน แต่คนอย่างอาโอมิเนะคุงน่ะเหรอ จะซ้อม ?? แค่ดูจากช่วงที่มานั่งรอคากามิคุงได้ทุกเย็น ก็รู้แล้วว่า คงไม่ได้ไปซ้อมหรอก

    “อ๊ะ แต่ก็มีเมลล์คุยกันนิดหน่อยนะ”

    คุโรโกะแปลกใจอยู่เหมือนกันที่คากามิยอมโชว์ข้อความในมือถือให้ดู แต่ปรากฏว่า เมลล์ที่ตอบโต้กันนั้นมีแต่เรื่องอาหาร ไม่สิ ควรจะพูดว่า มีแต่ข้อความของอาโอมิเนะที่ส่งมาบ่นเรื่องอยากกินนู้นนี่เพียงฝ่ายเดียวมากกว่า คากามิเองก็แทบไม่ได้ตอบเมลล์อะไรไปนอกจาก อืม  กับ รู้แล้ว เป็นการสนทนาข้างเดียวแบบสุดๆ

    “ตกลงอาโอมิเนะคุง เห็นคากามิคุงเป็นพ่อครัวส่วนตัวเหรอครับ ??”

    “อาจจะอย่างนั้นก็ได้นะ”

    ปฏิกิริยาตอบรับของคากามินั้นเหนือความคาดหมายของคุโรโกะ ตอนแรกเขาคิดว่าจะต้องถูกตะโกนใส่ โดนปฏิเสธเป็นพัลวันว่า ไม่ใช่แบบนั้น แต่เจ้าตัวกลับจะยอมรับง่ายๆ แถมสีหน้าท่าทางตอนที่ได้ยิน ก็ดูยิ้มร่าเริง หัวเราะน้อยๆ เหมือนเห็นเป็นเรื่องตลกที่น่ายินดีเสียมากกว่ารู้สึกว่าเป็นเรื่องล้อเล่นที่น่าอาย

    “น่าอิจฉา อาโอมิเนะคุงนะครับ”

    “หา ?”

    “เปล่าครับ”

    ไม่ใช่แค่เพียงอาโอมิเนะคุงเท่านั้น คากามิคุงเองก็เปลี่ยนไปไม่น้อยเหมือนกัน จากที่เป็นคนใจร้อนวู่วาม ไม่เคยยอมใคร กลับทำตามที่คนเอาแต่ใจอย่างอาโอมิเนะคุงเรียกร้องได้ ถึงแม้จะมีบ่นบ้าง แต่สุดท้ายก็ยอมทำตามคำเรียกร้องนั้นเสมอ อย่างนี้ล่ะมั้งที่เขาเรียกว่า เป็นคนพิเศษ เพราะว่าได้เป็นคนพิเศษ ถึงได้รู้สึกอิจฉา

    “อ๊ะ พูดถึงก็เมลล์มาเลย”

    คราวนี้เมลล์นั้นแนบรูปภาพมาด้วย เป็นรูปถ่ายของกล่องข้าวที่ภายในใส่วัตถุสีดำสนิทอยู่หลายก้อน ข้อความในเมลล์มีเพียงสั้นๆว่า อยากกินคาราอาเกะที่นายทำ แน่นอนว่าคากามิงงเป็นไก่ตาแตกว่า ภาพนี้มันเกี่ยวกับคาราอาเกะอย่างไร แต่คุโรโกะนั้นรู้ซึ้งถึงความสามารถในการทำอาหารที่ล้ำเลิศของผู้จัดการทีมโทโอ ดังนั้นของที่อยู่ในกล่องนั้นจะต้องเป็นร่างอวตารของคาราอาเกะฝีมือโมโมอิซังแน่ๆ

    “เขียนบ้าอะไรมาเนี่ย”

    คากามิคุงพิมพ์ตอบเมลล์ไปสั้นๆว่า อะไรของนาย แต่ดูจากสีหน้าแล้ว คุโรโกะมั่นใจว่า หากการแข่งขันอินเตอร์ไฮคราวนี้จบลง ไม่สิ หากอาโอมิเนะคุงไปนอนค้างที่บ้านคากามิคุงคราวหน้า

    จะต้องได้กินคาราอาเกะ...เท่าที่อยากกินแน่ๆ...

    ++++++++++

    ฮัดชิ้ว...

    แม้จะเป็นแค่เสียงจามเบาๆ แต่ก็ทำให้ทุกคนในโรงยิมหันไปมองทางนั้นเป็นตาเดียว คุโรโกะ เท็ตสึยะ หนึ่งในผู้เล่นตัวจริงกำลังโดนหวัดหน้าร้อนเข้าเล่นงาน ถึงจะดูไม่เป็นไรมากนัก แต่ในฐานะนักกีฬาซึ่งกำลังจะลงแข่งในอีกไม่ช้า ก็ทำให้เพื่อนร่วมทีมและโค้ชรู้สึกร้อนๆหนาวๆไปตามๆกัน

    “คุโรโกะ เป็นหวัดเหรอ ?”

    “ก็นิดหน่อยครับ”

    ชายหนุ่มหมายความตามที่พูดจริงๆ ดูเหมือนว่าสภาพร่างกายของเขาจะอ่อนแอกว่าที่คิด ถึงได้โดนหวัดเล่นงานเอาได้ แต่กลับไปบ้านกินยาแล้วนอนพักผ่อนก็คงไม่มีปัญหาอะไร

    “แล้วไปทำอะไรมา ถึงเป็นหวัดได้เนี่ย”

    ฮิวงะซังที่เป็นกัปตันทีมมองผู้เล่นเงาด้วยความเป็นห่วง ปกตินักกีฬาอย่างพวกเขาจะมีร่างกายที่แข็งแรงไม่ค่อยเป็นอะไรกันง่ายๆอยู่แล้ว อาจจะยกเว้นคุโรโกะล่ะมั้ง ที่สวนทางกับคนอื่นทั่วไป แล้วจะลงแข่งนัดต่อไปไหวไหมเนี่ย

    “ไม่ต้องเป็นห่วงครับ”

    “ต้องหายทันแข่งแน่ๆ”

    การแข่งขันครั้งต่อไปของทีมเซย์รินนั้น คู่แข่งไม่ใช่โรงเรียนธรรมดาทั่วไป แต่เป็นถึงโทโอซึ่งปีที่แล้วพวกเขาพ่ายแพ้ไปในการแข่งขันอินเตอร์ไฮ แม้จะแก้มือเอาชนะมาได้ในศึกวินเทอร์คัพ แต่บรรดาสมาชิกของทีมเซย์รินต่างก็รู้ดีว่า โทโอเป็นคู่แข่งฝีมือฉกาจซึ่งไม่อาจเอาชนะได้ หากขาดคุโรโกะไป

    “เป็นหวัดน่ะ ใช้แค่พลังใจก็หายแล้ว”

    คนที่ให้ความเห็นแบบสุดกู่นี้ คงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากเอสของทีมผู้ซึ่งก้าวข้ามผ่านกำแพงอุปสรรคทุกอย่างมาด้วยพลังใจ แต่ไอ้ความบ้าดีเดือดผสมดันทุรัง คงจะเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของคากามิ ไทกะคนเดียวเท่านั้น จะให้คนปกติทั่วไปมาใช้พลังใจในการรักษาตัวให้หาย คงจะเป็นไปไม่ได้

    “เอาเป็นว่า วันนี้เลิกซ้อมเร็วหน่อยแล้วกัน”

    “คุโรโกะก็รีบๆกลับบ้านไปนอนซะ”

    คำสั่งจากปากโค้ชนั้นถือเป็นประกาศิต ไม่มีใครคิดจะคัดค้านอะไร การแข่งใกล้เข้ามาก็จริงอยู่ แต่การรักษาร่างกายให้พร้อมกับการแข่งขันนั้นสำคัญที่สุด จะซ้อมหนักขนาดไหน หากร่างกายไม่สมบูรณ์ก็ไม่มีประโยชน์

    “อ้อ แล้วก็ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ฉันไม่อยู่นะ”

    “เอ๋ ?”

    “ไม่ต้องมา เอ๋ ?”

    ปกติแล้ว หากไม่เห็นโค้ชอยู่ที่ชมรม ก็พอเดาได้ว่า กำลังไปหาคู่แข่งเก่งๆมาเพื่อการฝึกซ้อม หรือไม่ก็กำลังขะมักเขม้นทำตารางฝึกสุดโหดอยู่ แต่ในช่วงใกล้แข่ง โค้ชคงไม่เปลี่ยนแปลงตารางหรือไปหาใครมาซ้อมแข่งด้วยแน่ๆ การบอกว่าจะไม่อยู่ในครั้งนี้ จึงสร้างความประหลาดใจเป็นอย่างมาก

    “มีธุระทางบ้านนิดหน่อย ต้องไปต่างจังหวัดน่ะ”

    “โรงเรียนก็คงต้องลา”

    ฟังจากสีหน้าและท่าทางของโค้ชแล้ว คงมีเรื่องอะไรสักอย่างเกิดขึ้น ซึ่งเจ้าตัวไม่อยากบอก อย่างไรก็ตามการหดหู่เศร้าหมองนั้นไม่ใช่วิสัยของไอดะ ริโกะ เธอจึงปรับโหมดกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งกำชับทุกคนว่า เธอจะกลับมาก่อนวันแข่งขันหนึ่งวัน ขอให้ทุกคนตั้งใจซ้อมให้ดี

    “งั้นวันนี้ก็กลับกันได้แล้ว”

    “โดยเฉพาะคุโรโกะ รีบกลับบ้านไปพักผ่อนซะ”

    “คากามิก็เหมือนกัน เลิกชมรมแล้วก็อย่ามัวเถลไถล รีบกลับบ้านไปพักผ่อน”

    เถลไถลที่โค้ชว่านั้น ทุกคนในทีมรู้ว่า หมายถึงการไปเล่นบาสเก็ตบอลกับอาโอมิเนะ เสียจนดึกดื่นแทบทุกวัน แต่ครั้นจะออกปากห้ามตรงๆก็คงจะดูใจร้ายไปเสียหน่อย เพราะความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนั้น แม้จะไม่ได้ป่าวประกาศออกมาตรงๆ แต่ก็สามารถมองเห็นและรู้สึกได้จากสีหน้า แววตาตลอดจนถึงวิธีการสัมผัสร่างกาย คากามิยังไม่เท่าไร แต่อาโอมิเนะนี่สิ แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเสียชัดเจน จนคงมีแต่พวกสมองทึบขั้นรุนแรงเท่านั้นที่จะดูไม่ออก

    “ช่วงนี้คากามิคุง ไม่ได้ไปเจอกับอาโอมิเนะคุงเลยนะครับ”

    การพูดตรงไปตรงมาสไตล์คุโรโกะ เท็ตสึยะ มักทำให้ทุกสายตาต้องจับจ้องไปที่คากามิอยู่เสมอและเกือบทุกครั้งเจ้าตัวจะหน้าแดงแปร๊ดไปจนถึงหู เริ่มโวยวายอะไรไม่รู้เรื่องเพื่อแก้เก้อ แต่คราวนี้กลับนิ่งเฉย ไม่มีปฏิกิริยาใดๆกับคำพูดนั้น

    “ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ?”

    “ก็ตั้งแต่ช่วงที่อาโอมิเนะคุงไม่ได้มาที่นี่ล่ะครับ”

    คราวนี้สายตาของทุกคนในทีมเปลี่ยนไปมองทางคุโรโกะเป็นทำนองว่า แล้วทำไมนายถึงเป็นคนตอบคำถามล่ะ ? คนที่ควรจะตอบ มันน่าจะเป็นคากามิไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมนายถึงรู้เรื่องของสองคนนั้นดีขนาดนี้ แอบใช้ misdirection ติดตามไปแอบดูหรือยังไง ?

    “หมอนั่นก็คงวุ่นๆอยู่กับการซ้อมเหมือนกันล่ะมั้ง”

    การซ้อม นี่ไม่น่าจะอยู่ในพจนานุกรมฉบับอาโอมิเนะ ไดคิได้เลย เพราะนอกจากจะชอบเล่นบาสเก็ตบอลแบบฉายเดี่ยวแล้ว เจ้าตัวยังดูเกลียดกฎระเบียบจนเข้าไส้ จะให้ไปซ้อมตามตารางที่มีคนวางเอาไว้ คงต้องรอให้ตายแล้วเกิดใหม่ เจ้าตัวถึงจะยอมทำแบบนั้น

    “จะยังไงก็เถอะ เอาเป็นว่า โทโอเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง”

    “ส่วนเรื่องความแข็งแกร่งของอาโอมิเนะคงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก”

    “ฉะนั้น ปีนี้ก็มาพยายามให้เต็มที่เหมือนเคย”

    “ต้องชนะให้ได้ เข้าใจไหม ?”

    ทุกคนในทีมตอบรับคำพูดของโค้ชอย่างแข็งขัน เมื่อเทียบกับทีมอื่นๆแล้ว เซย์รินนั้นมีผู้เล่นที่โดดเด่นอยู่จำนวนไม่มาก เรียกได้ว่าถ้าตัวจริงเกิดเจ็บขึ้นมา ทีมจะเข้าสู่ช่วงวิกฤติในทันที อีกทั้งสนามและอุปกรณ์ก็ด้อยกว่าโรงเรียนอื่นที่มีชื่อเสียงในด้านกีฬา  แต่สิ่งที่เซย์รินมีก็คือ หัวใจอันเข้มแข็งที่ไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งใดและความเชื่อใจที่มีให้แก่สมาชิกในทีม ทำให้พวกเขาสามารถก้าวข้ามทีมที่มีฝีมือแข็งแกร่งหลายต่อหลายครั้งในปีที่ผ่านมา

    ปีนี้...เซย์รินยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นทีมบาสเก็ตบอลระดับมัธยมปลายอันดับหนึ่งในญี่ปุ่น....

    หลังจากเลิกชมรม คุโรโกะยังนั่งเอื้อยเฉื่อยอยู่ที่มาจิเบอร์เกอร์ ทั้งที่ควรจะรีบกลับบ้านไปพักผ่อน แถมยังนั่งละเลียดกินวานิลาเชคอีกต่างหาก ช่างเป็นมนุษย์ที่ไม่เจียมสังขารเลยว่า ตัวเองกำลังเป็นหวัดอยู่ อีกฟากหนึ่งของโต๊ะคือ คากามิที่กำลังจัดการกับชีสเบอร์เกอร์กองใหญ่ดังเช่นปกติ

    เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเป็นทำนองที่ทั้งคู่รู้ดีว่า ปลายสายเป็นใคร คากามิกดรับในทันที

    “อะไรของนายเนี่ย”

    ยังไม่ทันจะตอบรับหรือทักทายใดๆ ปลายสายก็พูดอะไรสักอย่างใส่เข้ามาอย่างรวดเร็ว จนคากามิได้แต่บ่นว่า อะไรของนายเนี่ย แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นคุโรโกะก็รู้สึกว่า คนตรงหน้ารู้สึกดีใจที่อีกฝ่ายโทรมาหา ถึงจะไม่แสดงออกมาตรงๆก็เถอะ

    “สีเหรอ ? สีแดงล่ะมั้ง”

    “ถามอะไรของนายเนี่ย ? ฉันเหรอ ?”

    การสนทนาที่แปลกประหลาดผ่านไปสักพัก อยู่ปลายสายก็ตัดบทแล้ววางโทรศัพท์ไป ทิ้งให้คากามิงุนงงอยู่กับคำถามพิลึกกึกกือมากมายที่โดนถามไปเมื่อครู่

    “อาโอมิเนะเนี่ย เป็นคนที่ตลกดีนะ”

    คุโรโกะอยากจะตอบกลับไปว่า เป็นคนที่เข้าใจง่ายเสียยิ่งกว่าง่ายอีกครับ เพราะเป็นคนที่แสดงออกทุกอย่างแบบตรงไปตรงมา คงมีแต่เรื่องของคากามิคุงเท่านั้นแหละ ที่ดันไปทำอะไรให้มันยุ่งยากซับซ้อนจนปวดหัว ก็คงเพราะเป็นคนสำคัญซึ่งไม่อาจมีใครมาแทนที่ได้ จึงกลัวแสนกลัวที่จะเสียคนคนนี้ไป

    “ก็คงอย่างนั้นแหละครับ”

    ระหว่างที่ตอบรับแบบขอไปที คุโรโกะเพิ่งสังเกตเห็นว่า ชีสเบอร์เกอร์ทั้งหมดได้อพยพถิ่นฐานไปตั้งรกรากอยู่ในกระเพาะของคากามิเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวคงจะอิ่มกับมื้อว่างเล็กๆ (?) จนพอใจแล้ว ก็ได้เวลากลับกันเสียที

    “งั้นกลับกันเถอะครับ”

    คุโรโกะวางถ้วยวานิลาเชคลงบนโต๊ะ แน่นอนว่ากินเหลือเกินครึ่งถ้วยอย่างเคย ถึงจะเป็นของที่ชอบขนาดไหน แต่คนกินน้อยอย่างเขาก็ไม่สามารถกินมันเข้าไปได้หมด และนึกสงสัยอยู่เสมอว่า บรรดาผู้หญิงตัวเล็กๆนั้น ทำไมถึงได้สามารถบรรจุของหวานมากมายลงไปในร่างกายผอมบางได้อย่างน่ามหัศจรรย์

    “อืม กลับก็กลับ”

    คากามิคว้าแก้ววานิลาเชค มาดูดน้ำที่เหลืออยู่ มันเป็นสิ่งที่เขาทำเป็นประจำ เพราะตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีครั้งไหนที่คุโรโกะกินวานิลาเชคได้หมด แต่วันนี้ดูคุโรโกะมองเขาแปลกๆ หรือว่า ยังจะกินต่อ ?

    “คากามิคุง นั่นน่ะ ของผมนะครับ”

    “อืม รู้แล้ว นายไม่กินแล้วไม่ใช่เหรอ”

    “ไม่กินแล้วครับ แต่ว่า...”

     “...ผมเป็นหวัดอยู่นะครับ”

    วานิลาเชคที่เจือด้วยโรคหวัดนี่ อร่อยหรือเปล่าครับ ???

    +++++++++

    มีคนเคยกล่าวไว้ว่า หากแพร่เชื้อหวัดไปให้คนอื่นแล้ว ตัวเองจะหายดี ท่าทางคำกล่าวนั้นจะเป็นความจริง เพราะคุโรโกะแทบไม่มีอาการหวัดให้เห็นอีก แต่กลับเป็นคากามิที่จามแล้วจามอีก ในขณะซ้อมชมรม ร้อนถึงกัปตันทีมจะต้องไล่เอสหัวดื้อกลับบ้านไปนอน รักษาตัวให้หายหวัด แถมยังเคราะห์ซ้ำกรรมซัด โค้ชโทรศัพท์มาบอกว่า ธุระทางบ้านนั้นยืดเยื้อ ไม่อาจกลับมาได้ทันตามกำหนดเดิม 

    ยังดีที่พระเจ้าไม่ใจร้ายกับเซย์รินจนเกินไป หวัดของคากามิจึงไม่ได้หนักหนา และสามารถใช้พลังใจในการรักษาได้อย่างที่เจ้าตัวเคยพูดเอาไว้ เอสของทีมสามารถเข้าร่วมการซ้อมได้ในวันต่อมา แม้ว่าจะยังมีอาการไออยู่บ้างเล็กน้อย ส่วนโค้ชเองก็สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า จะไปให้ทันการแข่งขันอย่างแน่นอน แล้วเจอกันที่สนามแข่ง

    “ช่วงนี้อาโอมิเนะคุงไม่โทรมาเลยนะครับ”

    บางครั้งคากามิก็นึกสงสัยว่า คุโรโกะมีอะไรกับอาโอมิเนะหรือเปล่า ถึงได้ถามเขาอยู่เสมอ เรื่องที่ได้เจอกันบ้างไหม ได้รับโทรศัพท์บ้างไหม มาหาเขาที่บ้านบ้างหรือเปล่า แรกๆก็คิดว่า เป็นความห่วงใยตามประสาเพื่อน ที่อยากรู้ว่าเด็กมีปัญหาอย่างอาโอมิเนะสบายดีไหม แต่หลังๆชักถี่ขึ้น จนเริ่มไม่เข้าใจแล้วว่า ทำไมถึงอยากรู้

    “พรุ่งนี้ ก็เจอกันที่สนามแข่งแล้วนี่”

    “นั่นสินะครับ”

    ทั้งๆที่เป็นคนถาม แต่สุดท้ายกลับทำท่าเหมือนไม่ใส่ใจ ตกลงว่าเป็นเรื่องที่อยากรู้จริงๆหรือเปล่า รึว่าที่ถามเพราะอยากหาเรื่องแกล้งแหย่เขาเล่นกันแน่ ไม่เข้าใจคุโรโกะเลยจริงๆ

    “งั้นก็รีบกลับบ้านไปพักผ่อนนะครับ”

    “ถ้าเป็นไปได้ กรุณานอนให้หลับด้วย”

    คำพูดนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากบรรดาเพื่อนร่วมทีมที่รู้ว่า เอสคนเก่งมีนิสัยชอบตื่นเต้นกับการแข่งขันจนไม่อาจข่มตาหลับได้ แล้วยิ่งการแข่งขันในวันพรุ่งนี้เป็นการแข่งขันกับโทโอ ทั้งสนามคงจะต้องลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงที่ถาโถมของเอสทั้งสองทีม แค่นึกถึงก็รู้สึกสนุกขึ้นมาแล้ว

    “หนวกหู !! ฉันก็นอนหลับสนิททุกครั้งนั่นแหละ !!

    ยิ่งคากามิแก้ตัว ก็ยิ่งเป็นเป้าหมายของการพูดแหย่ของพวกรุ่นพี่ในทีม เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานนั้นเป็นเครื่องยืนยันความใกล้ชิดสนิทสนมของทุกคน ครั้งนี้จะเป็นอินเตอร์ไฮครั้งสุดท้ายของพวกรุ่นพี่ จะสู้ไปด้วยกัน จะฝ่าฟันทุกอุปสรรคแล้วคว้าแชมป์มาให้ได้

    ...เพราะ...พวกเราสัญญากันเอาไว้แล้ว...

    ++++++++++

    ถึงปากจะบอกว่า นอนหลับสนิทได้ ไม่มีปัญหา แต่ที่จริงในใจของคากามิเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น พรุ่งนี้จะได้แข่งขันกับอาโอมิเนะแล้ว ไม่ใช่แค่การเล่นหนึ่งต่อหนึ่งอย่างทุกครั้ง เป็นการแข่งขันบาสเก็ตบอลจริงๆในสนาม ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคว้าชัยชนะมาให้ได้

    ...น่าสนุกเป็นบ้า...

    แล้วอยู่ๆคนที่กำลังนึกถึง ก็โทรมา จะว่าไปอาโอมิเนะไม่ได้ติดต่อมาเลย นับตั้งแต่ตอนที่โทรมาถามคำถามพิลึกพิลั่นพวกนั้น ในตอนแรกคากามิคิดว่า อีกฝ่ายคงจะโทรมาเรื่องการแข่งขันในวันพรุ่งนี้และแน่นอนว่า จะต้องเป็นคำพูดกวนประสาทที่กระตุ้นต่อมโมโหของเขาแน่ๆ แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นคากามิก็ยังกดรับโทรศัพท์อยู่ดี

    “อยู่บ้านหรือเปล่า...”

    “อืม”

    “งั้นก็...”

    เขาได้ยินเสียงปลดล็อกประตูหน้าบ้านดังคลิ๊ก คนในสายนั้นมีกุญแจสำรองของบ้านเขา พอแน่ใจว่าเขาอยู่บ้านก็คงตัดสินใจเปิดเข้ามาเลย ยังไม่ทันเอ่ยทักทายเมื่อเห็นหน้า อีกฝ่ายก็พูดแทรกขึ้นมาก่อนว่า

    “ออกไปข้างนอกกัน”

    “หา ?”

    “แต่งตัวแล้วออกไปข้างนอก หรือจะไปสภาพนี้ก็ได้ แล้วแต่นาย”

    “นายจะไปทำบ้าที่ไหน ตอนเวลานี้ !!

    เข็มสั้นของนาฬิกาเขยิบเกือบจะถึงเลขเก้า นั่นคือ ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะสามทุ่มแล้ว อยู่ๆอาโอมิเนะก็มาที่บ้าน บอกให้ออกไปข้างนอก โดยไม่อธิบายอะไรเลย นี่มันชักจะไปกันใหญ่แล้วนะ

    “เอาเถอะน่า มาด้วยกันเถอะ”

    แม้สมองของคากามิจะสั่งการว่า ไม่มีทางซะหรอก อยู่ๆนายจะมาลากฉันไปไหนตอนสามทุ่ม แถมวันพรุ่งนี้ยังเป็นวันแข่งขันด้วย ยังไงฉันก็ไม่ไปหรอก แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็ยอมใส่รองเท้าแล้วเดินตามแขกไม่ได้รับเชิญเจ้าประจำของบ้านออกไป

    จุดหมายปลายทางของพวกเขาคือ ริมแม่น้ำ ซึ่งยิ่งทำให้คากามินึกสงสัยว่า พวกเขามาทำอะไรที่นี่กันแน่ พอสังเกตเห็นว่า อาโอมิเนะถือถังน้ำมามือหนึ่ง อีกมือหิ้วถุงพลาสติกที่บรรจุอะไรบางอย่าง หรือว่า จะชวนมาจับกุ้งที่แม่น้ำ ??

    “เอ้า ฝากถือหน่อย”

    อาโอมิเนะยัดเยียดถุงพลาสติกใส่มือคากามิ แล้วถือถังเดินไปทางแม่น้ำ ตกลงว่าจะจับกุ้งจริงๆเหรอ ? เอาไว้จับตอนกลางวันน่าจะดีกว่ามั้ง หรือว่ากุ้งมันจะออกหากินตอนกลางคืน ??

    “อาโอมิเนะ ไว้วันอื่นไม่ดีกว่าเหรอ พรุ่งนี้มีแข่งนะ”

    “เพราะจะแข่งแล้วน่ะสิ ก็เลยต้องรีบ”

    “เอาไว้ตอนกลางวันไม่ดีกว่าเหรอ ??”

    “นายจะบ้าเหรอ ? ตอนกลางวันเนี่ยนะ ??”

    ไม่นานนัก อาโอมิเนะก็เดินกลับมา พร้อมกับถังน้ำ รวดเร็วจนคากามิตกใจ เมื่อกี๊จับได้แล้วเหรอ ? ลงไปจับตั้งแต่เมื่อไหร่ ?? มันจับง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ ?? แต่เมื่อมองลงไปในถังน้ำ กลับเห็นเพียงแค่น้ำที่บรรจุอยู่ประมาณสามในสี่ของถัง ไม่มีวี่แววของกุ้งเลยแม้แต่ตัวเดียว ถึงจะตั้งใจมองอย่างไร ก็ไม่เห็นสักตัว

    “อาโอมิเนะ ? ไหนกุ้ง ?”

    “หา ? กุ้ง ?”

    “ก็นายมาจับกุ้งไม่ใช่เหรอ ??”

    “พูดอะไรของนายเนี่ย”

    “ฉันพานายมาเล่นดอกไม้ไฟต่างหาก”

    อาโอมิเนะคว้าถุงพลาสติกมาจากมือของคากามิ แล้วหยิบเอาของในนั้นออกมา มันคือดอกไม้ไฟหลากหลายชนิด เกือบทั้งหมดนั้นคากามิไม่เคยเห็นมาก่อน ก็ที่อเมริกาไม่ค่อยมีใครเล่นอะไรแบบนี้ หรือถึงมี เขาก็คงไม่มีโอกาสได้เล่นหรอก

    “เอ้า เอาไปสิ เห็นนายบอกว่า อยากลองเล่นดอกไม้ไฟ”

    คากามิเคยพูดแบบนั้นก็จริงอยู่ แต่เป็นแค่การเปรย เมื่อเห็นภาพการเล่นดอกไม้ไฟในโทรทัศน์ ตอนนั้นเป็นเดือนมกราคม หลังจากที่ฟังอาโอมิเนะบอกว่า ดอกไม้ไฟเขาเล่นกันตอนหน้าร้อน ไม่มีใครเขามาเล่นกันช่วงต้นปีหรอก เขาก็ละความสนใจจากเรื่องนี้ไป ที่จริงถ้าอีกฝ่ายไม่พูดขึ้นมา เขาคงจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่า ตัวเองเคยพูดแบบนั้น

    “เจ้านี่ มันแปลกดีแฮะ”

    ดอกไม้ไฟในมือคากามิสว่างสดใส แสงของมันปะทุออกไปด้านข้าง แต่ไม่นานนักก็ดับ อาโอมิเนะหัวเราะ เมื่อเห็นว่าดอกไม้ไฟของคากามิดับก่อนของตัวเอง แน่นอนว่าชายหนุ่มผมแดงไม่ค่อยเข้าใจว่า การที่ดอกไม้ไฟดับก่อนหรือดับทีหลังนั้น มีความหมายว่าอย่างไร

    ถึงคากามิจะไม่ได้บอกว่า ชอบ หรือสนุกออกมาตรงๆ แต่แค่ดูสีหน้าที่ตื่นเต้นของชายหนุ่ม อาโอมิเนะก็รู้สึกดีใจที่เขาลากเจ้าตัวออกมาตามที่วางแผนเอาไว้ ท่าทางคากามิจะสนุกกับดอกไม้ไฟจริงๆ พออันที่อยู่ในมือดับ ก็จุดอันต่อไปอย่างต่อเนื่อง ดวงตาสีแดงคู่นั้นจ้องมองแสงไฟที่แตกกระจายออกเป็นเส้นบางๆ มันเป็นสายตาที่ผสมผสานระหว่างความสนใจ ความตื่นตะลึงและความสนุกสนาน ราวกับเด็กน้อย

    “เอาล่ะ แล้วก็มาถึงอันสุดท้าย”

    ดอกไม้ไฟอันสุดท้าย ส่องสว่างอยู่นานพอสมควร ก่อนจะดับไป คากามิรู้สึกเสียดายนิดหน่อย แต่ไม่ว่าจะเตรียมดอกไม้ไฟเอาไว้มากแค่ไหน สุดท้ายแล้วมันก็ต้องหมดไป ช่วงเวลานี้ก็ต้องจบลงอยู่ดี

    ฟิ้ววววววววว ปัง !!!

    แสงสว่างส่องไปทั่วท้องฟ้า พลุสีแดงถูกจุดขึ้นด้านบน คากามิเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่า พลุอีกมากมายถูกยิงขึ้นตามมา ทั้งหมดเป็นสีแดง ยกเว้นชุดสุดท้ายที่มีสีแดงและสีน้ำเงินส่องสว่างอยู่เต็มท้องฟ้า ก่อนจะมอดดับไป

    อาโอมิเนะฉีกยิ้มกว้าง เมื่อเห็นใบหน้าของคากามิ ค่อยคุ้มค่ากับที่ไปยุ่งวุ่นวาย ขอร้องคนนั้นคนนี้ เพื่ออยากให้เป็นของขวัญแก่คากามิ ของขวัญประจำฤดูร้อนในปีนี้ ที่จริงตอนนี้ยังไม่ถึงวันเกิดของอีกฝ่าย แต่ถ้ารอให้ถึงวันเกิดก็ไม่รู้จะติดแข่งขันหรือเปล่า เพราะฉะนั้นอยากจะทำอะไรก็ควรทำเสียตั้งแต่ตอนนี้

    “นาย !! ไปเอาพลุมาได้ยังไง !!

    “ก็ฟลุคนิดหน่อย”

    สิ่งที่พูดนั้นไม่ใช่การตอบแบบขอไปที แต่เป็นความจริงอย่างที่สุด เป็นความบังเอิญที่อาโอมิเนะได้ไปให้ความช่วยเหลือคุณลุงคนหนึ่งเอาไว้ แม้อาโอมิเนะจะไม่ใช่คนมีน้ำใจงดงาม ชอบช่วยเหลือผู้อื่น แต่การอยู่ใกล้กับคากามิ ซึ่งมีนิสัยชอบดูแลคนอื่นตามสัญชาตญาณ ทำให้เขาซึมซับเรื่องพวกนั้นมาบ้าง หลังจากที่ให้ความช่วยเหลือไปในครั้งนั้น อาโอมิเนะก็แวะเวียนมาหาอยู่บ่อยๆ ได้ช่วยงาน ได้พูดคุยกันหลายๆเรื่อง จนคุณลุงอาสาจัดการเรื่องพลุให้

    ...ลุงมีเพื่อนที่ทำพลุเก่งๆด้วยนะ...

    โลกใบนี้มีเรื่องแปลกประหลาดมากมาย เหมือนโชคชะตาลิขิต เขาไม่เคยคิดว่า การช่วยลุงแก่ๆคนหนึ่งจะนำมาซึ่งผลตอบแทนอะไร นอกจากได้เพื่อนคุยเรื่องสัพเพเหระเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน แต่การรู้จักคุณลุงกลับทำให้เขาสามารถหาของขวัญให้คนที่เขารักที่สุดได้อย่างที่ใจต้องการ ในตอนแรกเขาวางแผนไว้ว่า จะขอให้จุดในคืนวันพรุ่งนี้ ไม่ก็มะรืน วันไหนก็ได้ช่วงหลังการแข่งขัน แต่เพื่อนคุณลุงที่ทำพลุบอกว่า วันนี้ลมสงบดี พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ ไม่รู้ว่าทิศทางลมจะเป็นอย่างไร พอได้ยินอย่างนั้นก็เลยรีบวิ่งไปหาซื้อดอกไม้ไฟ แล้วก็ไปลากตัวคากามิออกมาตอนนั้นเลย

     “ขอบคุณนะ อาโอมิเนะ”

    การได้เห็นสีหน้ายิ้มเต็มที่ของคากามิในเวลานี้ ยิ่งทำให้อาโอมิเนะรู้สึกว่า เขารักคนคนนี้มากเหลือเกินและมากเสียจนสามารถทำทุกอย่าง เพียงเพื่อจะได้เห็นรอยยิ้มนี้  หากได้อยู่ข้างๆ ร่วมแบ่งปันความทุกข์และความสุข ไปจนตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ จะดีสักแค่ไหนกันนะ

    “อาโอมิเนะ...”

    อยู่ๆชายหนุ่มแห่งโทโอก็เข้ามากอดเขาแน่น มันเป็นอ้อมกอดที่ไม่ได้อ่อนโยน ไม่ได้อบอุ่น แต่เปี่ยมไปด้วยความรักใคร่เสน่หา เหมือนว่าอาโอมิเนะกำลังจะบอกเขาว่า อยู่ด้วยกันเถอะนะ จนกว่าชีวิตนี้จะสิ้นสุด เหมือนกับกำลังวิงวอนขอร้องผ่านทางสัมผัสของร่างกาย

    “พรุ่งนี้...ก็เล่นบาสเก็ตบอลกันให้เต็มที่นะ...”

    คากามิเชื่อว่า อาโอมิเนะเองก็ไม่ต้องการคำมั่นสัญญาที่เป็นคำพูด เราทั้งสองคนรู้ดีกันอยู่แล้วว่า ความสัมพันธ์ของพวกเรานั้นเป็นแบบไหน มันไร้ซึ่งรูปร่าง หากแต่มั่นคงในความรู้สึก ฝังลึกอยู่ในสัมผัส ไม่อาจเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูด เพราะไม่รู้ว่า ควรจะใช้คำใดบรรยายสิ่งนี้

    ช่วงเวลาในตอนนั้นราวกับทุกอย่างรอบตัวกำลังหยุดนิ่ง ไร้ซึ่งเสียงหรือการเคลื่อนไหวใดๆ เป็นยามที่เสียงของหัวใจกำลังจะถูกเปลี่ยนเป็นคำพูด เพื่อบอกความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายใน

    “คากามิ...”

    “คือ...ฉัน....”

    แล้วอยู่ๆฝนก็เทลงมาอย่างหนัก...

    เหมือนเทวดาตั้งใจจะขัดจังหวะใครบางคน...จึงได้กลั่นแกล้ง...

    ++++++++++

    “คากามิ คากามิ คากามิโว้ย !!!

    เสียงของกัปตันดังขึ้นตามระดับความโมโหที่รุ่นน้องดูเฉยเมยต่อเสียงเรียก วันนี้ท่าทางของคากามิแปลกไป ดูตอบสนองช้ากว่าปกติ เหมือนคนเหม่อลอย มีเรื่องครุ่นคิดอยู่ในใจ

    “เมื่อกี๊ฟังอยู่หรือเปล่า ?”

    “หา ?”

    “ไอ้บ้านี่ งั้นฟังให้ดีนะ”

    เซย์รินมีการซักซ้อมยุทธวิธีเล็กน้อยก่อนลงสนาม แม้ผู้เล่นคนสำคัญในทีมจะชอบใช้สัญชาตญาณมากกว่าสมองก็ตามที ส่วนโทโอเองก็มีการเรียกประชุมก่อนลงสนามเช่นเดียวกัน อาโอมิเนะที่ชอบเล่นบาสเก็ตบอลแบบฉายเดี่ยว ก็ตั้งใจฟังบ้างไม่ฟังบ้าง เอาแต่หาวด้วยความเบื่อหน่าย สลับกับดูนาฬิกาว่า เมื่อไหร่จะถึงเวลาแข่งซะที

    “คากามิคุง เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ?”

    คุโรโกะรู้สึกเป็นห่วงที่วันนี้เอสของทีมดูแปลกไป อาการเหม่อลอยนั้นไม่ใช่วิสัยปกติของคากามิคุง แถมวันนี้ยังไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยยิ้ม ไม่ค่อยมีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่านะ หรือว่าเป็นเรื่องของอาโอมิเนะคุง ??

    “หืม ? คุโรโกะ นายว่าอะไรนะ”

    “ผมบอกว่า...”

    ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรมากกว่านั้น ก็ถึงเวลาลงสนาม พอเสียงนกหวีดดังขึ้น เอสของทั้งคู่ก็กระโดดขึ้นไปแย่งลูกบาสเก็ตบอล ปกติแล้ววินาทีนี้จะรู้สึกถึงการเชือดเชือนเพียงปลายนิ้วในการปัดลูก แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เหมือนการตอบสนองของคากามิช้าไปหลายวินาที อาโอมิเนะจึงแย่งลูกไปได้อย่างสบาย

    การแข่งขันที่ดุเดือดดำเนินต่อไป ทั้งสองฝั่งเริ่มทำคะแนนกันอย่างสูสี ไม่ทิ้งห่างกันเท่าไรนัก แล้วอยู่ๆก็เหมือนกระแสของเกมพัดไปทางโทโอ เซย์รินไม่อาจต้านทานการบุกของโทโอเอาไว้ได้เลย คะแนนที่เคยใกล้เคียงจึงเริ่มห่างออกจากกันเรื่อยๆ จนกระทั่งรู้สึกว่า กำลังใจของทีมเซย์รินนั้นเหือดหายไปมากขึ้นทุกที

    “ขอเวลานอก”

    ในที่สุดทีมเซย์รินก็ขอเวลานอกเพื่อเบรกเกม เนื่องจากโค้ชยังเดินทางมาไม่ถึง การประชุมยุทธวิธีจึงเป็นหน้าที่ของบรรดาสมาชิกและคำแรกที่ทุกคนพูดออกมาก็คือ

    “คากามิ นายเป็นอะไร ?”

    แม้ทุกคนจะรู้ว่า คากามิแปลกไปตั้งแต่เช้า ก็ไม่มีใครอยากไปถามเซ้าซี้ให้มากความ หากอยากจะเล่าก็คงเล่าออกมาเอง แต่ตอนนี้ไม่ถามก็คงจะไม่ได้แล้ว เพราะท่าทางอาการจะหนักกว่าที่คิด ถึงกับตอบสนองต่อบาสเก็ตบอลที่เจ้าตัวเห็นว่าสำคัญหนักหนาได้เชื่องช้าจนน่าแปลกใจ เหมือนกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

    “ตัวร้อนนะครับ”

    คุโรโกะบ่นพึมพำตอนเอามือไปอังตรงซอกคอของคากามิ ประโยคนั้นทำให้ทั้งทีมรู้สึกขนพองสยองเกล้าขึ้นมาทันที ฮิวงะรีบเอามือไปแตะที่หน้าผากก็พบว่า ร้อนระอุจนมั่นใจได้เต็มร้อยว่า คากามิ ไทกะนั้นกำลังอยู่ในสภาวะเป็นไข้อย่างแน่นอน

    “นายทำบ้าอะไรเนี่ย เป็นไข้ก็บอกกันสิวะ”

    “เป็นไข้แล้วยังเล่นได้ขนาดนี้ ก็ปาฏิหาริย์แล้วล่ะ”

    ยังไม่ทันจะชุมนุมกันให้เรียบร้อยก็หมดเวลา คากามิโดนเปลี่ยนตัวออกในทันที ท่ามกลางความไม่เข้าใจของบรรดาผู้ชมและผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม เพราะทีมเซย์รินที่ขาดคากามินั้นไม่น่าจะสามารถต้านทานความรวดเร็วของโทโอได้ คนที่สงสัยมากที่สุดก็ไม่พ้นเอสแห่งโทโอ จนถึงกับเอ่ยปากถามเพื่อนเก่าตรงๆว่า

    “ทำไมอยู่ๆหมอนั่นถึงถอดใจไปนั่งข้างสนามแล้วล่ะ”

    “ไม่ได้ถอดใจหรอกครับ”

    คุโรโกะปรายตาไปมองข้างสนามเล็กน้อย ด้วยความเป็นห่วง คนที่บ้าขนาดเป็นไข้แล้วยังลงไปวิ่งในสนาม แถมยังเล่นได้ดีพอสมควรนั้น ทั้งโลกนี้คงมีแต่คากามิคุงคนเดียว เพราะทั้งบ้าทั้งมุทะลุอย่างนี้แหละ เขาถึงได้เป็นห่วงอยู่ตลอดเวลา

    “เพียงแต่โดนสั่งให้ไปนั่งดู เพราะว่าไข้ขึ้นสูง”

    “ไข้ขึ้น ?”

    อาโอมิเนะทวนคำด้วยน้ำเสียงตกใจ ก็ไม่น่าแปลกหรอก ใครจะไปคิดว่า คนที่เพิ่งวิ่งไปมาเล่นบาสเก็ตบอลอยู่ในสนามเมื่อประมาณห้านาทีก่อน จะเป็นไข้ ท่าทางก็ดูสบายดี แค่เหมือนเนือยๆ เฉื่อยๆไปบ้างนิดหน่อย ไม่รู้ไปงัดเอาพลังชีวิตมาจากที่ไหน

    ในควอเตอร์แรกนั้น โทโอดูจะเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างชัดเจน คะแนนทิ้งห่างจากเซย์รินมากจนน่าตกใจ พอหมดควอเตอร์แทนที่อาโอมิเนะจะเดินกลับไปยังม้านั่งของทีมตัวเอง กลับวิ่งไปทางเซย์รินเสียอย่างนั้น ท่ามกลางความตกใจของผู้เล่นทั้งสองฝั่ง จนวากามัตสึเผลอด่าออกมาว่า ไอ้บ้านั่น มันคิดจะทำอะไร

    “คากามิ !!!

    อาโอมิเนะตรงดิ่งไปหาผู้เล่นที่ถูกคนทั้งทีมบังคับให้ออกมานั่งดูข้างสนาม เขาเอามือแตะตรงหน้าผากแล้วก็พบว่า มันร้อนจริงๆอย่างที่เท็ตสึว่า สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในใจก็คือ อยากจะลากตัวคนคนนี้ไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด แต่เหมือนคนตรงหน้าจะรู้ความต้องการของเขา

    “ไม่ไป ฉันจะเล่น ควอเตอร์ที่สอง ฉันจะเล่น”

    “เจ้าบ้าคากามิ นายจะไปเล่นได้ยังไง”

    “ใช่ นายเป็นไข้อยู่นะ”

    ประโยคสุดท้ายที่แทรกเข้ามาเป็นคำพูดของฮิวงะ ซึ่งส่งสายตาเป็นเชิงไล่ว่า นายกลับไปทางโน้นได้แล้ว อาโอมิเนะ อย่ามายุ่งวุ่นวายกับเรื่องภายในทีมของฉัน ที่จริงเอสแห่งโทโออยากจะดื้อแพ่ง แต่ก็ยอมถอยกลับไปโดยดี เมื่อคิดถึงสถานการณ์อันย่ำแย่และปั่นป่วนในเซย์ริน

    “คากามิ ถ้ายังไม่ไปโรงพยาบาล ก็ไปห้องพยาบาล”

    “ควอเตอร์สองนี่ ให้ฉันเล่นเถอะ”

    “พูดบ้าอะไร นายเป็นไข้อยู่นะ”

    “ไม่เป็นไรหรอก ฉันเล่นได้”

    “ถ้าอยากเล่นกับอาโอมิเนะถึงขนาดนั้น เอาไว้ค่อยเล่นกันวันหลังก็ได้”

    “ไม่ใช่...”

    เสียงแผ่วเบาที่ออกจากปากของคนที่เหมือนจะเริ่มโวยวายไม่รู้เรื่อง เพราะหัวหมุนจากพิษไข้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังพูดซ้ำไปซ้ำมาว่า อยากจะลงเล่น แล้วก็อยากจะเล่นไม่ใช่เพราะอยากแข่งกับอาโอมิเนะ แต่เป็นเพราะว่า

    “อยากชนะ...”

    “สัญญาเอาไว้แล้วว่า...จะชนะกับทุกคน...”

    ปีนี้คืออินเตอร์ไฮปีสุดท้ายของพวกรุ่นพี่ หากแพ้ตั้งแต่ตอนนี้ก็ไม่มีทางเป็นที่หนึ่งในญี่ปุ่นได้ ทุกคนต่างก็รู้ดี แต่ก็ยอมตัดใจไปตั้งแต่ตอนที่รู้แล้วว่า สภาพร่างกายของคากามิเป็นอย่างไร แต่กลับเป็นคนป่วยเสียเองที่ยึดมั่นถือมั่น วิงวอน ขอร้องว่า อยากจะลงเล่น อยากจะชนะให้ได้ หัวดื้อไม่ต่างจากเจ้าเทปเปเลย

    “ก็ได้...”

    “กัปตัน !!!

    ท่ามกลางเสียงเรียกอย่างตกใจของทุกคน ฮิวงะกลับเอ่ยคำอนุญาตให้คนป่วยลงสนามได้ ไม่รู้ว่าเกิดคิดอะไรขึ้นมา หรือเป็นเพราะสนิทกับเทปเปมากเกินไป ถึงติดนิสัยดื้อด้านไม่เข้าท่ามาด้วย

    “แต่แค่ 3 นาทีเท่านั้นนะ”

    “ตกลงไหม”

    พอฟังคำพูดนี้ของฮิวงะแล้ว ทุกคนก็พอเข้าใจความคิดของกัปตันมากขึ้น ไม่ใช่ว่าอยากชนะ ถึงได้ให้ลงแข่ง แต่เพราะคิดถึงความรู้สึกของคากามิต่างหาก อยากจะให้ทำในสิ่งที่อยากทำสักหน่อย ถึงมันจะเป็นเรื่องบ้าบอสักแค่ไหน แต่ก็มีเพียงแค่ตอนนี้เท่านั้นที่จะทำได้

    แล้วเกมควอเตอร์ที่สองก็เริ่มขึ้น ทีมเซย์รินบุกกันอย่างจริงจังและรวดเร็ว เหมือนกระแสของเกมเริ่มพัดพามาทางนี้บ้าง เป็นเพราะทุกคนอยากจะช่วยสนับสนุนมนุษย์บ้าดีเดือดที่ร่างกายถูกรุมเร้าด้วยพิษไข้ แต่ก็ยังอยากจะลงสนาม ในอีกด้านหนึ่งคนที่เริ่มสั่นไหวไม่มั่นคง เริ่มเล่นด้วยความสับสน ก็คือ อาโอมิเนะ

    ทำไมถึงยังลงมาเล่นอีกล่ะ...

    นั่นคือคำถามที่ก้องอยู่ในใจของอาโอมิเนะ เมื่อสมองไม่ได้จดจ่ออยู่กับเกมตรงหน้า จึงง่ายต่อการบุกทะลวงฝ่าเข้าไปทำแต้ม ทีมเซย์รินจึงเริ่มทำคะแนนไล่ตามขึ้นมาเรื่อยๆ จนเหมือนจะสามารถไล่ตามโทโอทัน แต่ช่วงเวลาแห่งความยินดีนี้ก็อยู่ไม่นานนัก

    “เฮ้ย !! คากามิ”

    หากอาโอมิเนะไม่คว้าตัวเอาไว้ คนที่กำลังเลี้ยงลูกผ่านไปยังแป้นบาสฝั่งตรงข้าม จะต้องล้มฟุบลงไปหัวฟาดพื้นสนามอย่างแน่นอน  เสียงหอบหายใจอย่างหนัก ราวกับวิ่งมาเป็นเวลานาน ทั้งที่เพิ่งเล่นได้ไม่กี่นาที ทำเอาอาโอมิเนะยิ่งรู้สึกว่าท้องไส้บิดเกร็งด้วยความกังวล ท่าทางพลังกายที่รีดเร้นออกมาใช้ จะหมดลงแล้ว ถึงได้อยู่ๆก็ทรุดลงไป

    ถึงจะใกล้หมดสติ ก็ยังได้ยินเสียงบ่นพึมพำออกมาจากริมฝีปาก มันเหมือนเป็นคำเพ้อเจ้อไร้สาระเพราะพิษไข้ หากแต่เปรียบเสมือนความปรารถนาจากเบื้องลึกในหัวใจ สิ่งที่อยากได้จนยอมทำทุกสิ่งทุกอย่าง

    อยากชนะ...

    อยากชนะ...พร้อมกับพวกรุ่นพี่...

    อยากชนะ...ในฐานะของทีมเซย์ริน...

    การแข่งขันชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง ระหว่างที่ทีมเซย์รินวิ่งเข้ามาหิ้วปีกคากามิออกไปนอกสนาม ดูเหมือนว่าโค้ชประจำทีมจะมาถึงเมื่อครู่ และกำลังเทศนากัปตันตลอดจนถึงลูกทีมที่ปล่อยให้คนไข้ขึ้นลงไปเล่นในสนาม แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นอย่างนี้ โค้ชก็ยังอนุญาตให้ผู้เล่นหัวดื้อนั่งดูอยู่ข้างสนาม ไม่ถีบหัวส่งไปโรงพยาบาลในทันที

    บรรยากาศในทีมเซย์รินที่ควรจะตึงเครียด เพราะขาดกำลังรบสำคัญ ดูยังไงก็ไม่มีหนทางชนะ กลับเป็นบรรยากาศที่ออกจะดูสนุกสนานครื้นเครง มีเสียงหัวเราะเฮฮาเสียด้วยซ้ำ กำลังใจของทุกคนในทีมดูไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย แถมยังยืนยันหนักแน่นด้วยว่า ถึงจะขาดคากามิไป ก็จะเอาชนะโทโอให้ดู ผิดกับทีมฝั่งตรงข้ามที่ดูจะรวนๆชอบกล

    “อาโอมิเนะ !! มัวเหม่ออะไรอยู่ !!

    เสียงตะคอกของกัปตันทำให้อาโอมิเนะหลุดออกจากภวังค์ความคิด ภาพอะไรหลายอย่างวนเวียนอยู่ในหัว นับตั้งแต่เขาประคองร่างที่เกือบสิ้นสติของใครคนหนึ่ง มันกำลังตอกย้ำบางสิ่งบางอย่างที่เขาพยายามปฏิเสธ พยายามเบือนหน้าหนี แกล้งทำเป็นไม่สนใจ

    คากามิเป็นไข้...เพราะเขาลากตัวออกมาเมื่อวาน...

    อาโอมิเนะกัดริมฝีปากตัวเองแน่นเพื่อสะกดกลั้นจิตใจที่กำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง พยายามบังคับให้ขาตัวเองวิ่ง พยายามสั่งให้ร่างกายตัวเองเคลื่อนไหว แต่กลับไม่เป็นอย่างที่ต้องการ ทุกอย่างดูติดขัดเชื่องช้าไปหมด

    ใครๆก็คิดว่า ควอเตอร์ที่สองนี้ ทีมโทโอจะต้องทำแต้มถล่มทลายจนทิ้งห่างเซย์รินไปสองสามเท่า แต่กลับตรงกันข้าม เซย์รินเป็นฝ่ายทำแต้มไล่ตาม จนจบเกมด้วยคะแนนขึ้นนำถึง 6 คะแนน นับว่าเป็นสถานการณ์ที่พลิกผันอย่างไม่น่าเชื่อ ทำเอาผู้ชมในสนามต่างวิพากษ์วิจารณ์การเล่นของทั้งสองทีมอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะเอสแห่งโทโอที่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

    “เหลืออีกครึ่งหนึ่ง ต้องพยายามกันหน่อย”

    “รู้สึกไหมว่า มันแปลกๆ”

    “อ๋อ ถ้าหมายถึง...”

    บรรดาสมาชิกของเซย์รินเอง ก็รู้ดีว่า ทีมฝั่งตรงข้ามเสียศูนย์ไปเพราะเอสของทีมเล่นบาสแบบไร้จิตวิญญาณ เหมือนไม่ใส่ใจเกมเท่าไรนัก ไม่สิ ควรจะเรียกว่า เหมือนตั้งใจจะปล่อยให้พวกเขาทำแต้มมากกว่า ทั้งการตอบสนองอย่างลังเล ทั้งการเคลื่อนไหวที่สับสน ราวกับไม่รู้ว่า ตอนนี้ตัวเองควรจะทำอย่างไรดี

    แล้วอยู่ๆคากามิก็ลุกพรวดขึ้นยืน เดินไปทางม้านั่งของโทโอ เหมือนจะมีใครตั้งใจจะเอื้อมมือไปคว้าตัวเอาไว้ แต่ก็เปลี่ยนใจเพราะเห็นสายตาห้ามปรามของคุโรโกะ ทางโทโอเอง พอรู้สึกตัวว่ามีคนเดินเข้ามาใกล้ ก็หันไปมองทางคากามิกันเป็นตาเดียว อาโอมิเนะจึงรีบเดินออกมาจากกลุ่ม ตรงเข้าไปหา แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ทำเอาสมาชิกของทั้งสองทีมอ้าปากค้าง

    คากามิต่อยอาโอมิเนะด้วยแรงทั้งหมดที่มี !!

    ถ้าเป็นยามปกติ อาโอมิเนะอาจจะล้มลงไปบนพื้น หรืออย่างน้อยก็คงมีรอยช้ำเกิดขึ้นบ้าง แต่ด้วยตอนนี้เรี่ยวแรงจะประคองตัวให้ยืนได้ยังไม่ค่อยจะมี ฉะนั้นหมัดที่ประเคนให้บนแก้มจึงเบาจนแทบไม่รู้สึก แถมคนโดนต่อยยังต้องลำบากยื่นมือไปประคองไม่ให้คนที่มาหาเรื่องถึงที่ ต้องล้มพับลงไป

    “นายทำบ้าอะไรของนาย ไอ้โง่มิเนะ”

    “นายตั้งใจจะดูถูกพวกฉันเหรอ ?”

    อาโอมิเนะไม่เข้าใจที่คากามิพูดเลยแม้แต่นิดเดียว เขาให้เกียรติเซย์รินเสมอมา ไม่ใช่เพราะเป็นทีมที่มีคากามิอยู่ แต่เป็นเพราะครั้งหนึ่งเซย์รินเคยเอาชนะเขา เคยทำลายความหยิ่งยะโสที่น่ารังเกียจในใจของเขา แล้วแสดงให้เห็นว่า บาสเก็ตบอลที่เล่นด้วยตัวคนเดียวนั้น มันอ่อนด้อยเพียงใด

    “ทำไมนาย...ไม่เล่นให้เต็มที่...”

    คำพูดนี้ได้ตอบข้อสงสัยทั้งหมดในใจของอาโอมิเนะ นั่นสินะ เขากำลังทำบ้าอะไรอยู่ เล่นแบบสับสนและลังเลอย่างนี้ มันไม่ใช่ตัวเขาเลยสักนิด ยิ่งสับสนและลังเลเพราะรู้สึกผิดมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งผิดต่อเซย์รินมากขึ้นเท่านั้น เขากำลังอยู่ระหว่างแข่งขัน กำลังยืนอยู่บนสนามบาสเก็ตบอล เขาจะต้องเล่นให้เต็มที่ เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ฝ่ายตรงข้าม

    “ขอโทษ...”

    แม้จะเป็นแค่เสียงกระซิบแผ่วเบา แต่น้อยครั้งในชีวิตของอาโอมิเนะที่จะกล่าวคำคำนี้ออกมา มันเป็นคำขอโทษที่ออกมาจากส่วนลึกในจิตใจ ชายหนุ่มรู้สึกผิดที่ทำให้คากามิไม่สามารถแข่งขันในครั้งนี้ได้ และยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น เมื่อสำนึกตัวได้ว่าเมื่อครู่เพิ่งทำเรื่องงี่เง่าลงไปด้วยการเล่นบาสเก็ตบอลแบบซังกะตาย

    โชคดีที่ไม่ใช่การชกต่อยแบบรุนแรง ทั้งสองทีมจึงช่วยกันโกหกว่า นั่นไม่ใช่การทะเลาะวิวาท เพื่อให้การแข่งดำเนินต่อไปได้ อาโอมิเนะเองก็ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน แถมยังพาตัวคนที่มาหาเรื่องไปส่งคืนที่ม้านั่งของทีม เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องอะไร กรรมการจึงปล่อยเลยตามเลย ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

     เกมในครึ่งหลังเป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ทีมเซย์รินที่ขาดกำลังสำคัญอย่างคากามิไป ไม่สามารถต้านทานการเล่นของโทโอได้เลย แม้ว่าเซย์รินจะสู้อย่างสมศักดิ์ศรีเพียงใด แต่ความห่างชั้นของพรสวรรค์ก็ยังมีมากเกินไป อาโอมิเนะชู้ตลูกครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและไม่ยอมอ่อนข้อให้เลยแม้แต่นิดเดียว

    “เหนื่อยเป็นบ้าเลย”

    “หมอนั่น มันเป็นสัตว์ประหลาดชัดๆ”

    บรรดารุ่นพี่ในทีมต่างบ่นกันถึงความสามารถที่เหนือมนุษย์ของเอสทีมฝั่งตรงข้าม ทั้งๆที่พ่ายแพ้แต่ใบหน้าของทุกคนกลับมีรอยยิ้ม แม้จะเจ็บใจอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็มาได้เพียงเท่านี้ด้วยกำลังของตนเอง

    “ขอโทษ...”

    คำคำนี้ออกมาจากปากเอสของทีม ซึ่งนั่งดูอยู่ตลอดที่ม้านั่ง ทุกคนต่างเข้าไปขยี้ผม หยอกล้อว่า ไม่เป็นไรหรอก เอาไว้หายแล้วค่อยว่ากัน วินเทอร์คัพก็ยังมี คราวนี้ต้องเอาชนะให้ได้ ห้ามแพ้เด็ดขาด แล้วก็ห้ามเป็นหวัดด้วย

    “วินเทอร์คัพ...จะต้องชนะให้ได้...”

    “จะต้องชนะ...จะต้องชนะ...”

    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพิษไข้หรือเปล่า แต่คากามิยังคงพูดคำคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา พร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลรินลงมา มันเป็นน้ำตาของความเจ็บใจที่ไม่อาจลงไปเล่นในสนามได้ เพราะไม่ระมัดระวังตัวจนเกิดไม่สบายขึ้นมา ทำให้ทีมต้องพ่ายแพ้ตั้งแต่รอบแรกๆของการแข่งขัน

    “รู้แล้วน่า รู้แล้วๆ”

    ถึงจะมีการแข่งขันวินเทอร์คัพอีกหน แต่ทุกคนก็รู้ดีว่า พวกรุ่นพี่หวังกับการแข่งอินเตอร์ไฮเอาไว้มาก และปีนี้พวกรุ่นพี่ก็อยู่ปี 3 แล้ว นี่จะเป็นอินเตอร์ไฮครั้งสุดท้าย ฉะนั้นความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ คนที่เจ็บใจมากที่สุดก็คือพวกรุ่นพี่ แต่กลับไม่มีใครหลั่งน้ำตา ทุกคนต่างพากันขยี้ผมสีแดงสดของคนที่ร้องไห้

    “งั้นมาสัญญากันนะ”

    “สัญญาว่า..วินเทอร์คัพครั้งนี้...”

    “จะต้องชนะให้ได้...”

    ทั้งพวกปี 3 ที่พยายามกันมาตลอด ทั้งพวกปี 2 ที่ผ่านเรื่องราวด้วยกันมาหลายอย่างและพวกปี 1 ที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราว ก็โดนลากเข้ามาทำสัญญาแบบหมู่ ให้ทุกคนได้รับรู้ไว้ว่า ปีนี้เซย์รินมีสัญญาต่อกันและกัน ต่อทุกคนในทีมว่า จะต้องคว้าแชมป์ ในการแข่งชิงถ้วยวินเทอร์คัพให้ได้

    ...นั่นคือสัญญา...ของทุกคน...

    ++++++++++

    “ไง ตื่นแล้วเหรอ ?”

    คากามิค่อยๆลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่มองเห็นก็คือ เพดานสีขาว แล้วก็ใบหน้าของใครบางคนที่ชะโงกมามอง คนที่ยิ้มยียวนกวนประสาทให้เขา พร้อมกับถามว่า นอนหลับสบายไหม ?

    บรรดาสมาชิกของเซย์รินพาตัวคากามิมาที่โรงพยาบาล หลังจากนอนดูอาการอยู่สักพัก หมอก็ยืนยันว่าเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา ไม่ได้เป็นอันตรายอะไรร้ายแรง แค่กลับบ้านไปนอนพักผ่อนและกินยาตามที่หมอสั่ง ไม่นานก็จะหายดี ทุกคนจึงยกหน้าที่พาคนป่วยกลับบ้านให้เป็นของอาโอมิเนะ

    “นายว่าอะไรนะ ?”

    “ฉันบอกว่า จะแบกนายกลับบ้าน”

    “ไม่เอาเว้ย !! ฉันเดินเองได้ !!

    ทุกคนมองการทะเลาะกันระหว่างคนป่วยหัวดื้อ กับคนดูแลที่หัวดื้อยิ่งกว่า แล้วก็รู้ทันทีว่า ใครจะชนะ หลังจากปะทะคารมกันอีกสองสามครั้ง ไล่ต้อนอีกเล็กน้อย อาโอมิเนะก็สามารถทำให้คากามิยอมตกลงได้สำเร็จ ด้วยใบหน้าที่เหมือนกำลังโดนบังคับให้กินยาขม

    “เอ้าๆ เลิกงอนได้แล้วน่า”

    พอเดินห่างออกมาจากบรรดาสมาชิกคนอื่นๆของเซย์ริน อาโอมิเนะก็เริ่มเปิดฉากพูดคุยกับคนที่ซบหน้านิ่งลงกับหลังของเขา ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงทำ คงเป็นกริยาที่ดูน่ารัก แต่พอคากามิทำ เหมือนหมีที่แกล้งตายเสียมากกว่า แถมยังเป็นหมีขนสีแดงตัวใหญ่ยักษ์ขนาดพอๆกับคนแบกอีกด้วย

    “ไม่ได้งอนซะหน่อย”

    “ดูหน้าก็รู้แล้วว่าโกหก”

    “ไม่ได้งอนโว้ย !! แต่อาย !!

    คำพูดที่ตรงไปตรงมาของคากามิ ทำให้อาโอมิเนะหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นจนทำให้คนที่อยู่บนหลังยิ่งโวยวายหนักขึ้นกว่าเดิม ถ้าลองโวยวายได้เสียงดังขนาดนี้ก็คงไม่เป็นอะไรแล้วมั้ง ยาที่หมอให้คงออกฤทธิ์ได้ดี หากคืนนี้กินอิ่มนอนหลับ พรุ่งนี้คงจะตื่นขึ้นมาอย่างสดใสแน่นอน

    “คืนนี้นายจะค้างด้วยไหม ?”

    คำถามนี้เป็นคำถามที่ปกติคากามิมักจะถามเขาอยู่เสมอ เวลาที่เขาชอบไปนอนกลิ้งเล่นหรือกินข้าวเย็นที่บ้าน เป็นคำถามที่ถามเพื่อจะได้เตรียมข้าวของเครื่องใช้และที่หลับที่นอนให้แก่เขา แต่พอมาได้ยินในสถานการณ์ตอนนี้ มันเหมือนกับเป็นคำขอร้องทางอ้อมว่าอยากให้เขาอยู่ด้วยในคืนนี้

    “ก็คงค้างล่ะมั้ง นายอยากให้ค้างหรือเปล่าล่ะ ?”

    “ค้างสิ”

    คำตอบสั้นๆของคากามินั้นชัดเจนและหนักแน่นจนอาโอมิเนะยังตกใจ เจ้าตัวไม่เคยชวนให้เขาค้างที่บ้านเลยสักครั้ง หากเขาตอบเป็นเชิงว่าไม่แน่ใจ ปกติเจ้าตัวจะบ่นอุบให้เขารีบตัดสินใจเร็วๆ จะได้รีบเตรียมอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ ไม่ก็บอกว่าถ้าจะกลับก็ให้รีบๆ เพราะดูท่าทางฝนกำลังจะตก แต่ไม่เคยพูดทำนองว่า อยากให้ค้างเลยสักครั้ง

    “พรุ่งนี้เช้า...จะได้ทำคาราอาเกะให้กิน...”

    คาราอาเกะ...สิ่งที่เขาเคยบ่นว่า อยากจะกิน เป็นแค่ข้อความที่เขาส่งไปเล่นๆ หลังจากเจอคาราอาเกะสีดำสนิทและไร้รสชาติของยัยซัทสึกิ แต่คากามิกลับจำได้ เช่นเดียวกับตอนที่เขารีเควสเล่นๆว่า อยากจะกินโคโรเกะ  อาโอมิเนะรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้น แต่เป็นเพราะความยินดีที่ได้รับความสำคัญ ทั้งที่ตอนนี้ตัวเองกำลังไม่สบาย แต่ก็ยังคิดถึงเรื่องของเขา ทั้งที่มันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แต่ก็ยังจดจำได้

    เขาช่างโชคดีเหลือเกิน...ที่ได้เจอกับคากามิ...

    “อาโอมิเนะ ?”

    อยู่ๆคนตรงหน้าก็หยุดเดินเอาเสียดื้อๆ ทำเอาคนที่กำลังถูกแบกงงเป็นไก่ตาแตกว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าตัวเขาหนักจนแบกไม่ไหว แต่ก็น่าอยู่หรอก เขาไม่ใช่ผู้หญิงตัวเล็กๆนะ จะได้แบกขึ้นหลังเดินระยะทางไกลๆได้อย่างสบาย

    “ถ้าหนักล่ะก็ ฉันเดินเองได้นะ”

    “ขอบคุณ...”

    “หา ?”

    “ขอบคุณจริงๆที่นายเกิดมา..”

    อาโอมิเนะรู้ดีว่า คากามิคงกำลังงุนงงกับคำพูดของเขาที่อยู่ดีๆ ก็ดันมาบอกขอบคุณ แถมยังบอกว่า ขอบคุณที่เกิดมาอีกต่างหาก แต่คำพูดนั้นเป็นคำพูดที่เขาอยากบอกมากที่สุดในตอนนี้ เป็นคำพูดที่เอ่อล้นขึ้นมาจากส่วนลึกในจิตใจ เป็นความรู้สึกขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่คากามิมอบให้

    ขอบคุณ...ที่เล่นบาสเก็ตบอลด้วยกัน...

    ขอบคุณ...ที่ทำกับข้าวให้กิน...

    ขอบคุณ...ที่ร่วมหัวเราะและทะเลาะกันในเรื่องต่างๆ...

    มันเป็นเพียงสิ่งปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเรา เล็กน้อยเสียจนคนอื่นอาจจะหัวเราะ เมื่อรู้ว่า ฉันรู้สึกขอบคุณเพียงใดที่นายทำให้ แต่สิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านั้นแหละที่ค้ำจุนชีวิตของฉันเสมอมา เป็นแสงสว่างส่องทางและผลักดันให้ฉันก้าวเดินไปข้างหน้า

    อยากจะให้การเล่นบาสเก็ตบอลด้วยกัน...กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา...

    อยากจะให้การกินข้าวด้วยกัน...กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา

    อยากจะให้การมีนายอยู่ข้างๆ...กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา...

    อยากให้ความสุขที่เกิดขึ้นนี้...ดำเนินต่อไป...

     

    ...จนเรียกได้ว่า...เป็นเรื่องที่แสนปกติธรรมดาของชีวิตฉัน....

     

    ++++++++++

     

    แถมท้าย

     

    “เอ้า นี่”

    พอมาถึงบ้านปุ๊บ อาโอมิเนะก็ส่งกระดาษโน้ตกับปากกาให้คากามิ คนป่วยมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจว่า ต้องการจะให้เขาทำอะไรกันแน่

    “อะไร ?”

    “อ้าว ก็รายการไง”

    “หา ?”

    “รายการของที่จะใช้ทำคาราอาเกะไง เดี๋ยวฉันจะออกไปซื้อที่ซุปเปอร์มาให้”

    เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คาราอาเกะของคากามินั้น..อร่อยเกินห้ามใจ...
     

    ++++++++++

    นั่งนับนิ้วช่วงเวลาที่หนีไปเขียน You are my angel ก็นานน่าดูเลยนะเนี่ย ไม่ได้อัพเรื่องนี้มา 3 เดือนได้
    ที่จริงตั้งใจว่าจะอัพวันที่ 30 ก.ย. แต่ไปๆมาๆ ก็ไม่รอด ด้วยนั่งเกลาภาษาไปมา ง่วงด้วย เกลาไม่รู้เรื่องเลย
    สรุปไม่รู้ว่า ตกลงเกลาแล้วรอดไหม หรือยิ่งเกลายิ่งเมา (หัวเราะ)
    ยังไงก็ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ โดยเฉพาะคนอ่านเดิมๆที่เมนต์ให้ทุกครั้ง ขอบคุณจริงๆค่ะ

    ตอนนี้ อ่านแล้วเป็นยังไงบ้าง อย่าลืมเล่าให้คนเขียนฟังนะคะ ไม่รู้เขียนแล้วแปลกพิลึกไหม ไม่ได้เขียนนาน

    สำหรับตอนนี้สิ่งที่คิดแล้วคิดอีกแต่ไม่เปลี่ยนใจคือ ชื่อตอน ส่วนที่คิดแล้วคิดอีกและเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาคือ เนื้อเรื่อง (หัวเราะ)
    ตอนนี้เป็นตอนรวมทุกอย่างที่อยากเขียนของคนเขียน เช่น อยากเขียนสองคนนั้นดูพลุ อยากเขียนอาโอมิเนะประคองคากามิในสนามบาส
    และแน่นอน อยากเขียนอาโอมิเนะแบกคากามิขึ้นหลัง (ฮา) ฉะนั้นตอนนี้ออกจะโอเวอร์สักหน่อย เพราะเอาทั้งหมดมาร้อยเรียงกัน
    ที่จริงยังมีอีกเยอะที่อยากเขียน ตัดทิ้งเพียบ เพราะมันจะยิ่งเวอร์ (หัวเราะ)
    ส่วนชื่อตอน ยังไงก็ต้องเป็น Vanilla Shake ไม่ใช่เพราะหวัดของคุโรโกะหรอกนะ แต่ที่จริงคิดไว้เหมือนกันว่า อยากจะใช้
    Vanilla flavor แต่ก็ตัดสินใจว่า Shake ดีกว่า เพราะที่จริง Slang คำว่า Vanilla แปลว่า ธรรมดา เฉยๆ ไม่มีอะไรพิเศษ
    ประกอบกับเรารู้สึกว่า การเชค มันเหมือนอะไรที่น่าตื่นเต้น (อันนี้นิยามเอง) เลยเอามาเป็นชื่อตอน
    เพราะตอนนี้ต้องการให้สองคนนี้ที่ตอนแรกเจอกันด้วยรูปแบบว่า เคมีเข้ากั๊นเข้ากัน สปาร์ควูบวาบ จนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา
    ที่จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ก็เลยอยากได้ชื่อ Vanilla Shake สรุปคือ คนเขียนมันเพ้อเจ้ออออออออออออ

    ตอบคอมเมนต์ดีกว่า ไร้สาระมาเยอะ
    (ใครที่คนเขียนพลาดไม่ได้ตอบ คือ ไม่ได้เมนต์ในตอนล่าสุด เมนต์ในหน้ารวม เผอิญไม่ได้ไปคุ้ยในหน้าหลักนะคะ ขอโทษล่วงหน้า)

    Yulaty : อาโฮ่แอบน่ารัก เพราะอยู่กับคากามิด้วยใช่หรือเปล่าคะ :D
    terewasabi : ยื่นลังมาม่าให้กอด มามะ ข้ามแม่น้ำมาซื้อโดฝั่งนี้กะเค้าซะดีๆ
    Kretis : อยากกลับไปเขียน AllKaga มาก แต่เวลาสุดจะไม่อำนวย ยังตัดสินใจอยู่ว่าจะทุบไหไหนก่อนดี
    Hima : ขอโทษค่ะ ที่อัพช้ามากกกกกก เดี๋ยวไถ่โทษโดยการเต้นแทงโก้เป็นเพื่อน (โดนคนอ่านเตะ)
    hnee : ที่จริงเราชอบแกล้งอาโอมิเนะมากๆ มันก็เลยออกมาเป็นดังตอนที่แล้ว (หัวเราะ) อาโอมิเนะช่างน่าสงสาร
    รอยเปื้อน : รักคนอ่านแบบเวอร์ๆ เหมือนกันค่ะ
    pierce : จะพยายามเขียนนะคะ เขียนและเขียนต่อไป เท่าที่เวลาจะมี
    เบม : อัพแล้วจ้า ขอโทษที่ช้านะ
    8018 Ti Amo : สีแดงคือสีนำโชค ส่วนพ่อดำก็ซวยตลอด โดนคนเขียนแกล้ง
    iulnp : ขอบคุณสำหรับเมนต์นะคะ แต่เผอิญคำถามนั้น เราเขียนไปเรียบร้อยแล้วคือ You are my angel ซึ่งเป็นอาโอมิเนะเด็กและคากามิอายุ 20กว่าๆ หาอ่านได้ในตอนที่ 3 ซึ่งเราเห็นว่า ท่านเมนต์ในตอนที่ 2 ยังไงถ้าว่างๆลองอ่านตอนที่ 3 ดูนะคะ เพราะซีรี่ย์นั้นจบที่ 5 ตอน

    เอาล่ะ อาจจะพักการเขียนไปแป๊บนึงนะคะ เพราะมีสัญญากับใครบางคนว่า จะแต่งฟิคให้ในวันเกิด
    คราวหน้าที่อัพจึงเป็นคู่ที่ในชีวินเดี๊ยนไม่คิดจะเขียน ถ้าไม่มีรีเควส อย่างไรก็ตาม จะรีบกลับมาอัพฟิคนี้โดยพลันหลังเสร็จภารกิจ
    แล้วก็ ไม่แน่ใจว่าอาโอมิเนะมีนักบาสเก็ตบอลในดวงใจไหม ?? ไม่รู้อาจารย์เคยเขียนข้อมูลตรงนี้ไว้ไหม ใครรู้ช่วยบอกที
    ไม่งั้นคงจะต้องมั่วเองแล้วล่ะ >0<"
    (รอบก่อนก็มั่วไปที แล้วมารู้ทีหลังว่าผิด คือเรื่องบ้านของอาโอมิเนะ ที่จริงอาโอมิเนะเป็นลูกคนเดียวนะคะ ไม่มีพี่ชาย)

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×