ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ExE fic] I wish (โฮลี่ออเดอร์Xเกียร์)

    ลำดับตอนที่ #4 : I wish you belonged to me

    • อัปเดตล่าสุด 6 พ.ค. 53


    Title : I wish you belonged to me
    Author: Monochrome bird
    Category:  Drama เป็นหลัก แต่แบ็คกราวน์อยากให้มีกลิ่นอายฮาเฮ
    Pairing: โฮลี่ออดอร์ x คุณเกียร์
    Rating: R (ทำไมมันกระโดดเร็วงี้ !!)
    Disclaimer: ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นของคุณภานุวัฒน์ค่ะ พวกเราแค่ยืมมาจิ้นเล่นเท่านั้น
    Author notes: ยิ่งแต่งยิ่งยาว...โฮลี่ออเดอร์ยิ่งดูไร้น้ำยา 55+

    ++++++++++


    นาฬิกาของชีวิต...

    บางจังหวะก็เดินเร็ว...บางจังหวะก็เดินช้า...

    แต่ที่แน่นอน...อย่างหนึ่ง...

     

    นาฬิกา...ไม่เคยหยุดเดิน...

     

    +++++++++

     

    สัปดาห์นี้ เป็นสัปดาห์นรก ผมเหนื่อยยิ่งกว่า เอาความเหนื่อยทั้งชีวิตการทำงานมารวมกัน

    ถ้าถามเหตุผลว่าทำไม ก็ขอตอบสั้นๆว่า คุณเกียร์ไปสัมมนากับพวกผู้ใหญ่ในบริษัทน่ะสิ

    ไม่ใช่ผมคิดถึงมาก จนนอนไม่หลับหรือไม่เป็นอันทำงานหรอกนะ แต่เป็นเพราะผมต้อง
    ดำรงตำแหน่งหัวหน้า
    GM ชั่วคราว เพื่อตัดสินใจเรื่องราวบางอย่างที่เร่งด่วน และเคลียร์งานเอกสารไม่ให้กองทับถม

    การทำงานพวกนั้นก็ไม่ได้ลำบากนักหรอก แต่ไม่มีใครบอกผมว่า ตำแหน่งหัวหน้า GM เนี่ยนะ
    มันพ่วงหน้าที่ดูแลเจ้าลิงทโมนไม่รู้จักโตหนึ่งฝูงเข้าไปด้วย วันๆเอาแต่แหกปากร้องให้ช่วยทำนู่นทำนี่ จนผมปวดหัวไปหมด

     

    โตๆกันแล้ว ทำเองสิวะ!!

     

    อยากจะพูดอย่างนี้อยู่เหมือนกัน ถ้าไม่เห็นว่างานที่พวกมันทำเองย่อยยับ วินาศสันตะโรขนาดไหน

    ตั้งแต่เกิดมา เพิ่งเคยเห็นมนุษย์อายุเกินยี่สิบ ทำงานได้ห่วยบรมจนรับไม่ได้ขนาดนี้

    แทนที่จะมานั่งแก้ให้พวกมันทีละตัว สู้ทำเองแต่แรก ยังจะง่ายกว่าซะอีก

     

    ทนไม่ไหวแล้ว !! ต้องปฏิรูป !!

    พวก GM จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง !!

     

    ระหว่างที่กำลังทำเอกสารเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงอาทิตย์นี้ ก็มีใครคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในห้องโดยไม่เคาะประตู
    และขออนุญาต ดูเหมือนว่า จะถูกตามใจเสียจนเคยตัว เคารพสถานที่บ้างสิ นี่มันห้องทำงานหัวหน้าพวกนายนะ

     

    โฮลี่ ออเดอร์ เกิดเรื่องแล้ว !!”

     

    คำว่า เกิดเรื่องแล้ว ฟังทุกวันจนชิน ที่จริงไม่มีอะไรสลับซับซ้อนหรอก แค่มีปัญหาแก้ไม่ตกแล้วไม่คิดจะแก้เอง

    เหมือนเด็กที่พอทำอะไรไม่ได้ ก็วิ่งมาให้ช่วยตลอด แต่จะไม่ช่วยก็กลัวผลลัพธ์ที่ออกมาภายหลัง

     

    คุณเกียร์น่ะสิ...

     

    ชื่อของใครคนหนึ่งที่ไม่ได้ยินมาเป็นเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ เชื่อมต่อกับข้อมูลในสมอง

    คุณเกียร์ ?? เกิดอะไรขึ้น ? คิดว่าไปสัมมนาจะมีคนคอยดู ถูกบังคับให้กินข้าวตรงเวลาตามผู้ใหญ่
    ประชุมก็คงเลิกไม่เกินสองทุ่ม แล้วทำไมมีเรื่องอีกล่ะ ??

     

    เกิดอะไรขึ้น ?

     

    ผมถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและจริงจังกว่าปกติ เพราะรู้สึกว่า เรื่องนี้สำคัญเกินกว่าจะปล่อยผ่านเลยไปได้

    คนที่ถือวิสาสะเข้ามาในห้อง เกาหัวเหมือนลำบากใจที่จะต้องพูดออกมา ทำให้ยิ่งนึกสงสัย

    ถ้าไม่เกิดอะไรร้ายแรงก็คงจะดีล่ะนะ...ตอนผมไม่อยู่ด้วย อย่าหาเรื่องใส่ตัวได้ไหมครับ...

     

    คุณเกียร์ให้มาตามนาย ไปประชุมด้วย...

     

    หา ? แค่ตามไปประชุม ทำไมต้องทำหน้าเหมือนโลกจะแตกด้วยวะ !!

    ลืมไป แค่ไปทำงานฝ่ายเทคนิค พวกนายก็ทำยังกับจะไปออกรบ ประชุมคราวนี้คงยิ่งใหญ่ราวกับขึ้นยานอวกาศไป
    เหยียบดวงจันทร์เลยหรือเปล่า

     

    ตัดสินใจไม่พูดอะไร เพียงแค่ถอนหายใจ แล้วลุกขึ้นจัดแต่งผมและเสื้อผ้าให้เรียบร้อย

    แอบมองหน้าที่ยังคงตื่นๆของอีกฝ่าย แล้วเอ่ยถามออกไปว่า

     

    ประชุมที่ไหน ?

     

    ก็ห้องประชุมใหญ่...ชั้นบนนู้นนนนนนน

     

    ถ้าเป็นยามปกติ เขาคงอยากจะเตะก้านคอสักครั้ง สำหรับประโยคที่ฟังแล้วไม่ค่อยได้ความอะไร
    โดยเฉพาะไอ้วิธีการลากเสียงคำว่า นู้น ยาวจนน่าหมั่นไส้  แต่ตอนนี้เหนื่อย ไม่นึกอยากจะทำอะไรทั้งนั้น

     

    หมายถึงชั้นบนสุด ?

     

    ใช่ๆ

     

    คำว่าชั้นบนสุด กับชั้นบนนู้น มันรู้เรื่องต่างกันเยอะนะ แต่อธิบายให้พวกลิงฟังไป ก็คงไม่เข้าใจ เลยตามเลยแล้วกัน

    โฮลี่ ออเดอร์ก้าวเร็วๆไปยังประตู โดยไม่พูดอะไรออกมา แล้วรีบตรงดิ่งขึ้นไปยังห้องประชุมด้านบน

     

    เมื่อประตูลิฟท์เปิดออก ภาพที่ปรากฏแก่สายตาก็ทำให้เขาหยุดยืนนิ่ง ทำอะไรไม่ถูก

    รู้อยู่แล้วว่า ชั้นนั้น ไม่มีอะไรนอกจากห้องประชุมที่กว้างมากๆ เพียงแต่ ไม่มีใครบอกว่า วันนี้จะใช้เป็นที่จัดงานเลี้ยง

    ภาพผู้คนยืนถือแก้วใส่น้ำหลากสีสัน ดูท่าทางทุกแก้วจะเจือด้วยแอลกอฮอล์ เสียงเพลงที่ดังคลอ สร้างบรรยากาศสนุกสนาน
    ผู้คนทั้งหลายต่างยืนคุย หัวเราะอย่างร่าเริง

     

    อ้าว โฮลี่ออเดอร์ มาแล้วเหรอ ?

     

    คนที่เขาหลงนึกเป็นห่วง ตอนนี้ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน ส่งเสียงเรียกแล้วก็โบกมือเป็นเชิงให้เดินมาหา
    คนที่อยู่ในวงสนทนาทั้งหมด จึงหันมามองที่เขาเป็นตาเดียว ทำเอารู้สึกเหมือนโดนกดดันอย่างประหลาด

    ก็แค่ยกนิ้วออกจากปุ่ม Open ในลิฟท์ แล้วก้าวเท้าออกมาข้างนอก ไม่เห็นยากตรงไหนเลย

    ทำไมถึงได้รู้สึก ไม่อยากจะก้าวเข้าไปในงานเลี้ยงที่ดูน่าสงสัยนี้ แต่อยากกระชากตัวคนคนนั้นให้กลับไปด้วยกัน

     

    แน่นอนว่าความรู้สึกภายในใจ ก็เป็นเพียงความรู้สึก หลังจากกลบฝังมันอย่างแนบเนียน
    ก็นำรอยยิ้มขึ้นมาประดับบนใบหน้า ก้าวเท้าเข้าสู่งาน ตรงไปยังคนที่ยังคงโบกมือเรียก

     

    สวัสดีครับ

     

    คำเอ่ยทักทายตามมารยาทหลุดออกมาอย่างง่ายดาย หลังจากแนะนำตัวกันเรียบร้อยแล้ว
    เขาจึงได้รู้ว่า บรรดาคนที่ยืนอยู่บริเวณนั้น มีความสำคัญไม่น้อยกับบริษัท หรืออย่างน้อยก็สำคัญกับเกม

    การสนทนาเรื่องเกี่ยวกับ Neo universe จึงต้องใช้คำพูดอย่างระมัดระวัง หรือเรียกง่ายๆว่า พูดให้อีกฝ่ายพอใจนั่นแหละ

     

    มีความคิดดีๆแบบนี้ อีกหน่อยจะต้องเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเกมแน่ๆ

     

    พัฒนาลงคูน่ะสิ...ถ้ายังอยากได้ยินแต่คำชมแบบนี้...

    โชคดีที่ฝ่ายเทคนิคไม่ค่อยถือเรื่องฉะกันตรงๆ อยากได้คำตำหนิมากกว่าคำชม เกมนี้จึงไม่ค่อยมีปัญหา
    หรือถึงมีก็จะค้นพบและถูกแก้ไขได้อย่างทันท่วงที ที่สำคัญคือ
    CEO บางคนก็ถือหางฝ่ายนั้นเต็มที่
    จึงไม่แปลกใจเท่าไรที่เกมนี้ยังคงไปได้สวย แม้จะมีคนพวกนี้ปะปนอยู่ในบรรดาผู้บริหารก็ตาม

     

    หลังจากต้องปั้นหน้า ปั้นคำพูดสวยหรู ชวนอยากจะอาเจียนอยู่พักหนึ่ง เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ก็ขอตัว ไปพบปะพูดคุยกับคนอื่นบ้าง
    ซึ่งตัวเขาเองก็ยินดีอย่างยิ่ง จะได้ไม่ต้องทำท่าพินอบพิเทาให้เสียสุขภาพจิต

     

    ทำท่าเหนื่อยเชียวนะ

     

    คนที่ไม่ค่อยพูดอะไร เอาแต่ยิ้มตลอดการสนทนานั้น ยังมีหน้ามาพูดจาเหน็บแนม ถึงเรื่องที่เขาถอนหายใจออกมาทันที
    เมื่อรู้สึกว่า เหลือพวกเขายืนกันอยู่แค่สองคนเท่านั้น

     

    เรียกผมขึ้นมา เพื่อคุยกับผู้ใหญ่เหรอครับ ?

     

    จะว่างั้นก็ได้ ให้รู้จักหน้าไว้บ้าง ก็ดีไม่ใช่เหรอ

     

    เริ่มไม่แปลกใจ ที่พวกลิงทั้งหลายคิดว่า การขึ้นมาที่นี่ อันตรายราวกับออกไปเสี่ยงภัยในอวกาศ
    ไม่รู้ถังออกซิเจนจะหมดเมื่อไหร่ ถ้าไม่ผ่านการฝึกฝนอย่างดี อาจจะหลุดคำพูดแปลกๆ
    แล้วโดนเด้งไปอยู่ในตำแหน่งประหลาดๆก็เป็นได้

     

    ดูท่าทางจะเคยชินกับการคุยแบบนี้นะครับ

     

    คำตอบที่ได้รับ มีเพียงรอยยิ้มที่พบเห็นได้ทั่วไป ก็คุณดูเข้ากับพวกเขาได้อย่างแนบเนียน
    จนรู้สึกเหมือนไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ ก็สามารถจะทำตัวดีๆ ในแบบที่พวกผู้ใหญ่บ้าอำนาจ จะนึกชอบได้อย่างรวดเร็ว

     

    เกียร์...

     

    เสียงเรียกโค้ดเนมห้วนๆ ทำให้ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย พอหันไปเห็นหญิงสาวในชุดแซคกระโปรงยาว ก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ

    เธอมีผมสีดำยาว ถูกจัดแต่งเป็นทรงอย่างสวยงาม ริมฝีปากบางที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางขยับเล็กน้อยตามจังหวะการพูด
    ส่วนดวงตาเบื้องหลังขนตางอนงามคู่นั้น ไม่มีเขาอยู่ในสายตาแม้แต่นิดเดียว

     

    คืนนี้จะไปหรือเปล่า ?

     

    คำถามนั้น ทำให้เขารู้สึกสนใจไม่น้อย จะไปไหนหรือ ? จะไปไหนกันครับ ?

    คุณเกียร์พยักหน้าแทนคำตอบ แต่กลับไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก เปลี่ยนเรื่อง มาแนะนำตัวให้ผมเสร็จสรรพ
    ทั้งที่ไม่มีใครถามเสียหน่อย ผมก็ได้แต่เอ่ยคำทักทาย แสดงความยินดีที่ได้รู้จักไปแบบงงๆ

     

    รีลิสค่ะ

     

    คำแนะนำตัวแสนสั้นของเธอ พร้อมกับมารยาทการวางตัวที่งดงาม ดูเธอจะเคยชินกับการพบปะทางสังคม
    ซึ่งผมเองคิดว่ามีกฎแค่สามข้อ หนึ่งยิ้ม สองเว้นระยะห่าง สามพูดให้น้อยที่สุด เพราะคุณจะมีโอกาสพลาดน้อยลง

    แล้วการปฏิบัติตามกฎก็ทำให้วงสนทนาของเราเงียบสนิท เนื่องจากไม่มีใครยอมพูดอะไรออกมาเลย

     

    ผมจะไปเอาเครื่องดื่มให้นะ

     

    โฮลี่ออเดอร์เกือบจะพูดว่า เฮ้ย !! เมื่อได้ยินประโยคนั้นจากปากหัวหน้าของตัวเอง

    เดี๋ยวครับเดี๋ยว ทิ้งกันอย่างนี้เลยเหรอครับ จะปล่อยผมทิ้งไว้กับผู้หญิงที่เพิ่งคุยกันไปประโยคเดียวเนี่ยนะครับ

    ดูเหมือนว่า พลังจิตของผมจะดีเกินไป คุณเกียร์ถึงเหมือนเข้าใจความคิดของผม แล้วพูดสำทับก่อนไปว่า

     

    ทั้งสองคนจะได้มีเวลาพูดคุย ทำความรู้จักกัน

     

    พอไร้ซึ่งคนกลางมาเชื่อมความสัมพันธ์ ผมยิ่งรู้สึกอึดอัดมากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า ดูท่าทางการแต่งตัว การแสดงออก

    เดาได้เลยว่า คงเป็นคุณหนูลูกผู้ดีที่ถ้าบอกนามสกุลออกไป คงร้อง อ๋อ ทันที

     

    คุณเป็นคนเขียนรายงานเรื่องการปะทะกันครั้งนั้นใช่ไหมคะ ?

     

    เธอดูจะใช้คำพูดเลี่ยงๆการชี้เฉพาะเจาะจงถึงเหตุการณ์ อาจจะเป็นการหยั่งเชิงหรืออะไรก็ไม่ทราบ

    แต่ถ้าให้เดา คงจะเป็นคราวที่เขาไปลากตัวคุณเกียร์ให้ล็อกเอาท์ออกจากเกม แล้วก็ปะทะกับพวก player ที่ก่อ

    ความวุ่นวาย เที่ยวไล่ฆ่าใครต่อใคร จนเกมรวนไปหมด

     

    ถ้าหมายถึงรายงานเมื่อเดือนก่อนล่ะก็ ใช่ครับ

     

    ตั้งใจตอบให้ดูกำกวม ไม่ชี้เฉพาะเช่นกัน กลัวจะเปิดช่องว่างให้ถามอะไรแปลกๆกลับมาอีก

    ใบหน้าของหญิงสาวนั้น ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่นิดเดียว ริมฝีปากคลี่ยิ้มงดงาม แต่กลับดูไม่ค่อยจริงใจ

     

    เป็นคนเสนอเรื่องปรับระบบสินะคะ

     

    คำถามนั้น ทำเอาสะอึกไปเหมือนกัน ไม่แน่ใจว่า ควรตอบอย่างไรดี เพราะไม่รู้ว่า เธอคนนี้เห็นด้วยหรือคัดค้าน

    ช่วงเดือนก่อนที่เขาต้องลากสังขารตัวเอง ไปยังฝ่ายเทคนิค จนตอนนี้ระบบล็อกเอาท์อัตโนมัติใกล้สมบูรณ์

    แต่ก็ยังมีจุดต้องแก้ไขบางส่วน เขาจึงต้องวิ่งวุ่นสองแผนก เพราะยังไงก็ทำใจทิ้งกองงานไว้ให้ใครบางคนทำแทนไม่ได้

    ความรู้สึกรำคาญที่สะสมมานาน ทำให้เขาตัดสินใจเขียนข้อเสนอเรื่อง เอาคนที่รู้ภาษากว่าเจ้าพวกนั้น มาช่วยงานบ้าง

     

    ครับ...

     

    ยอมรับไปตรงๆจะดีกว่า เพราะบวกลบคูณหารแล้ว ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เขาคงทนเจ้าพวกนั้นไม่ไหวแน่

    ยิ่งสัปดาห์นี้ต้องรับมือกันตรงๆแล้ว ยิ่งอยากให้มตินี้ ผ่านการเห็นชอบ เขาจะได้เลือกมนุษย์ปกติเข้ามาทำงานบ้าง

     

    งั้นเหรอ ?

     

    น้ำเสียงที่ตอบกลับมานั้น คาดเดายากเหลือเกินว่า คนพูดรู้สึกอย่างไรกันแน่ เธอคนนี้ช่างเก็บความรู้สึกได้มิดชิดซะจริง

    ยังไม่ทันจะได้คุยอะไรต่อ คนที่ชิ่งหนีจากวงสนทนาก็กลับมา พร้อมกับแก้วที่ใส่น้ำผลไม้สีสวยในมือ

    เขาส่งแก้วหนึ่งให้หญิงสาว ก่อนที่เธอจะเอ่ยคำขอบคุณและขอตัวไปคุยกับแขกคนอื่นต่อ

     

    ดื่มไหม ?

     

    คุณเกียร์ถามถึงเครื่องดื่มอีกแก้วหนึ่งที่อยู่ในมือ ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ เขาจึงยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด

    เห็นเจ้าน้ำผลไม้บางส่วนยังติดอยู่บนริมฝีปากนั้น แล้วนึกอยากลองชิมรสชาติของพวกมันขึ้นมา

    ในตอนที่ความคิดล่องลอยไปกับภาพตรงหน้า เมื่อร่างกายถูกความรู้สึกควบคุมมากกว่าการใช้เหตุผล

    ผมก็โน้มตัวลงไปข้างหน้า นึกอยากจะสัมผัสริมฝีปากนั้นสักครั้ง

     

    มือเรียวยื่นมาปิดปากผมอย่างรวดเร็ว เหมือนเจ้าตัวรู้ทันว่า ผมกำลังคิดอะไรอยู่

    นานๆจะเห็นคนตรงหน้า ทำตาดุๆใส่ ริมฝีปากนั้นเม้มสนิท แทนที่จะนึกกลัว กลับรู้สึกว่า น่าสนใจไปอีกแบบ

    เวลาคุณขมวดคิ้วแล้วจ้องมองมาที่ผม แบบระแวดระวังนั้น มันทำให้ผมอยากลากตัวคุณออกไปจากที่นี่

     

    โฮลี่ ออเดอร์...

     

    แม้เสียงเรียกชื่อจะแผ่วเบา แต่ก็รู้ว่าคนตรงหน้าตกใจแค่ไหน ที่อยู่ๆก็นิ้วมือก็สัมผัสอะไรเปียกชื้น

    มือข้างหนึ่งของผมจับมือนั้นไว้ ไม่ให้หนี ขณะที่ริมฝีปากไล่เรียงไปตามนิ้ว เหมือนกำลังลิ้มรสร่างกาย

    นั่นแหละครับ...ผมรักที่จะได้เห็นดวงตานี้เบิกกว้างด้วยความตกใจ ชอบที่จะรู้สึกว่า ผมกำลังกระตุ้นคุณด้วย
    สิ่งที่คุณไม่เคยสัมผัสมาก่อน มันทำให้ความสงบนิ่งของคุณสั่นคลอนและเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา

     

    มาด้วยกันสิครับ...

     

    ผมไม่ยอมปล่อยมือข้างที่จับไว้ ทำให้อีกฝ่ายกึ่งๆโดนลากให้ตามไปยังจุดหมายที่ต้องการ

    เมื่อลิฟท์ตัวใหญ่ขึ้นมาถึงชั้นบน พวกเราก้าวเข้าไปในนั้น โดยไม่คิดจะบอกลาใคร

    และเมื่อประตูปิดลง ผมก็แย่งชิงสัมผัสจากริมฝีปากนั้น ลิ้นกวาดลึกเข้าไปภายใน สัมผัสได้ถึงรสหวานปนขม
    ของน้ำผลไม้ผสมแอลกออฮอล์ที่ตกค้างอยู่ในปาก เมื่อลิ้มรสจนพอใจแล้วจึงยอมปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้พักหายใจ

    ใบหน้าของคุณเกียร์ในยามนี้ คงยากนักที่ใครจะเคยเห็น ผมสีดำที่ยุ่งเหยิงตกลงมาปิดบังใบหน้าที่เป็นสีแดงระเรื่อ

    อยากจะก้มลงไปจูบอีกสักครั้ง แต่เสียงของลิฟท์ที่บ่งบอกว่าถึงที่หมายแล้ว ก็ทำให้เขายอมตัดใจ เพียงแต่ยิ้ม
    เมื่อเห็นอีกคนก้าวเร็วๆไปทางห้องทำงาน เพื่อไม่ให้ใครทันได้สังเกตเห็นท่าทีแปลกๆของหัวหน้า

     

    ++++++++++

     

    ผมรีบหันไปมองนาฬิกา เมื่อเห็นคุณเกียร์ลุกออกจากโต๊ะทำงาน ทำท่าเหมือนจะกลับบ้าน
    ตอนนี้เข็มสั้นของนาฬิกาอยู่ระหว่างเลขห้ากับเลขหก วันนี้ฝนจะตกหรือเปล่านะ ที่คุณเลิกงานเร็วขนาดนี้

     

    กลับแล้วหรือครับ...

     

    ดวงตาสีดำนั้นไหววูบเล็กน้อย หลังจากได้ยินคำถามนั้น แต่พยายามปรับสีหน้าไม่ให้เปลี่ยนแปลง
    ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่ทันสังเกตเห็น แน่นอนว่า คนอื่นนั้น ไม่ได้นับรวมผมเข้าไปด้วย
    ผมจึงแน่ใจเป็นอย่างยิ่งว่า การเลิกงานเร็วนี้ มีสาเหตุ

     

    มีนัดน่ะ...

     

    คำตอบนั้นสั้นกว่าที่คาดเอาไว้ แม้จะอยากรู้เหตุผลที่ชัดเจนกว่านี้ แต่คิดว่า ไม่ถามออกไปน่าจะดีกว่า

    เขาจึงเพียงกล่าวคำอำลาสั้นๆ แล้วแกล้งทำเป็นสนใจเอกสารบนโต๊ะทำงาน แต่ที่จริงสายตายังคงแอบมอง
    ร่างที่ยืนอยู่กลางห้อง เหมือนกำลังพิจารณาว่า ควรจะอธิบายเหตุผลให้ชัดเจนกว่านี้ไหม

     

    ไปล่ะนะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้

     

    สุดท้ายผมก็ไม่ได้รับคำอธิบายอะไรมากกว่านั้น จึงได้แต่มองประตูไม้สีน้ำตาลที่คนคนนั้นเพิ่งเดินออกไป

    แล้วยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจ นึกในใจว่า อีกสักสิบห้านาทีจะเก็บของกลับบ้าน

     

    ...คืนนี้จะไปหรือเปล่า...

     

    คำพูดของหญิงสาวแว่บเข้ามาในหัว ทำให้ความรู้สึกบางอย่างปรากฏขึ้นชัดในใจ

    อย่าบอกนะว่า ที่ต้องออกจากบริษัทตั้งแต่ยังไม่ 6 โมงเย็น เพราะมีนัดกับสาวสวยคนนั้น

    แล้วเธออยู่ในฐานะอะไร ? คุณหนูที่ต้องดูแลเอาใจใส่...ลูกสาวคนสำคัญของลูกค้า...หรือเป็นยิ่งกว่านั้น ?

    ไม่อยากจะคิดถึงคำว่า ผู้หญิงที่กำลังคบหากันอยู่ เพื่อจะสานต่อความสัมพันธ์ต่อไปในอนาคตไปจนถึงการแต่งงาน

     

    คุณเกียร์ครับ...สรุปคุณเข้าใจสิ่งที่ผมกำลังสื่ออยู่หรือเปล่า...

     

    นับตั้งแต่จูบในห้องทำงานคราวนั้น ผมว่าความสัมพันธ์ของเราก็รุดหน้าไปไม่น้อย
    เพราะผมรู้สึกว่า ได้ใกล้ชิดและแตะเนื้อต้องตัวคุณมากขึ้น ถึงผมจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อนทุกครั้ง และมีแอบขโมยจูบ
    โดยคุณไม่ยินยอมไปบ้าง แต่หากคุณไม่ถอยหนี ไม่หลบหน้า ก็น่าจะแปลว่า โอเคกับมันนี่ครับ

     

    คุณกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ครับ...

     

    ความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลาย ทำให้เขาไม่สามารถรวบรวมสมาธิทำงานได้แม้แต่นิดเดียว เขาจึงตัดสินใจว่าจะกลับบ้าน

    ตอนกำลังเก็บของอยู่นั้น ก็เหลือบมองหูฟังที่ถูกบรรจุอยู่ในกล่อง เป็นของขวัญขอบคุณที่ไม่ค่อยลงทุนเท่าไรจากฝ่ายเทคนิค
    แต่เขาก็ยัดมันลงกระเป๋า เอากลับบ้านไปด้วย

     

    ++++++++++

     

    เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าเกม Neo universe จากที่อื่นที่ไม่ใช่บริษัท ทั้งที่มันน่าจะเหมือนกัน
    แต่กลับรู้สึกเบาสบายมากกว่าเดิมหลายเท่า อาจจะเป็นเพราะไม่ได้เข้ามาทำงาน แต่แค่เข้ามาเดินเล่นเท่านั้นล่ะมั้ง

     

    ลองเล่นเกมจริงจังดูสักตั้ง...ก็ไม่เลว...

     

    ปกติเขาจะเข้ามาตรวจตราดูความเรียบร้อย เก็บเลเวลบ้างตามหน้าที่มากกว่าจะได้สนุกกับเกม

    เพราะเจ้าพวกที่เหลือ มักจะเข้ามาเล่นเกมอย่างสนุกสุดเหวี่ยง จนไม่สนใจอย่างอื่น

    พวกมันคงลืมไปแล้วว่า มีตำแหน่ง GM ค้ำคออยู่ และที่สำคัญกว่านั้นคือ ยังอยู่ในเวลางาน

     

    โฮลี่ ออเดอร์ก้าวเข้าไปในดันเจี้ยนที่ว่ากันว่า มีมอนสเตอร์อยู่จำนวนมาก แถมยังจะดรอปของราคาดีหลังจากจัดการมัน
    เรียบร้อยแล้ว แต่ทันทีที่ก้าวเข้าไป ก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ พร้อมร่างของใครบางคนวิ่งหนีออกมา

    ถึงมอนสเตอร์จะร้ายแค่ไหน ก็ไม่เห็นต้องหนีหัวซุกหัวซุนขนาดนี้เลย ทำอย่างกับเจอฆาตกรฆ่าหั่นศพไปได้

     

    ระหว่างที่กำลังมอง player ตะเกียดตะกายอยู่นั้น การโจมตีบางอย่างก็พุ่งผ่านข้างตัวไป โดนร่างที่พยายามหนีเข้าเต็มๆ
    จนกระทั่งเกมโอเวอร์ในทันที เขาเอาหลังมือปาดเลือดบนแก้ม ที่ถูกการโจมตีเมื่อครู่แบบเฉี่ยวๆ
    แล้วหันกลับไปมองร่างที่กำลังเดินออกมาดูผลงานของตัวเอง

     

    ยังไม่ทันจะเห็นหน้าชัดๆ อาวุธในมือก็ตวัด ปล่อยการโจมตีออกมาอีกครั้ง จนเขาต้องรีบหลบทันที
    หากมองเห็นช้ากว่านี้อีกนิด คงได้ลงไปนอนกองอยู่กับพื้น เสีย
    HP ไม่น้อยเลยทีเดียว

     

    ทำไมวันนี้มีแต่ตัวเกะกะ...

     

    สีหน้าท่าทางของอีกฝ่าย ดูต้องการจะต่อสู้ คงไม่สามารถคุยกันดีๆได้แน่นอน แม้จะไม่ถนัดสู้กันตรงๆ
    แต่ไม่มีทางยอมให้เกม โอเวอร์เพราะ
    player แน่ๆ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็คงหาจังหวะเหมาะๆหนี

     

    อ๊าก !!”

     

    หลังจากเปิดฉากการต่อสู้กันไปได้พักหนึ่ง เสียงร้องของคนที่กำลังเสีย HP จากการโจมตีก็ดังขึ้น
    ก่อนที่ร่างโชกเลือดนั่นจะวิ่งมาทางพวกเขา เจ้าคนเคราะห์ร้าย หนีเสือปะจระเข้ ถูกคนที่กำลังหงุดหงิด
    เนื่องจากตัวเกะกะ เอาแต่หลบไปหลบมา จนฆ่าไม่ได้เสียที ก็เลยไปลงกับร่างที่วิ่งมารบกวนการต่อสู้

     

    ดูเหมือนเขาจะหนีอะไรมานะ...

     

    ทั้งที่อุตส่าห์ชวนคุยแท้ๆ แต่ดูคุณท่านจะเห็นทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าเป็นของเกะกะ
    เพราะหลังจากที่หันไปฆ่าเจ้านั่นจนเกม โอเวอร์แล้ว ก็ฟาดอาวุธในมือมาทางเขาทันที

     

    ไม่คิดจะคุยกันบ้างหรือไง...

     

    ระหว่างที่กำลังหนีไปพลาง คิดแผนตอบโต้ไปพลาง สิ่งที่ทำให้ player คนนั้น HP ลดลงจนต้องหนีตายมาเจอฆาตกรขี้หงุดหงิด
    ฆ่าตายนั้นก็ปรากฏตัว เจ้ามอนสเตอร์ที่มีรูปร่างเหมือนม้าสีดำตัวใหญ่ ดวงตาของมันเป็นสีแดงสด แผงคอด้านหลังมีเปลวไฟสีดำ
    ลุกโชติช่วงอยู่ เมื่อมันวิ่งด้วยความเร็ว เปลวไฟสีดำจะปรากฏขึ้นตามทางที่วิ่งผ่าน ทำให้
    player ที่ถูกเหยียบ สูญเสีย HP เพิ่มขึ้น
    ไปอีก นับว่าเป็นมอนสเตอร์ระดับบอสที่เจอได้ยากตัวหนึ่ง

     

    ...แต่มาเจอในสถานการณ์อย่างนี้ ควรจะเรียกว่า โชคดี...หรือซวยกันแน่...

     

    น่ารำคาญชะมัด...

     

    Player ที่สวมบทฆาตกร แกว่งอาวุธประจำตัว เตรียมจะลุยเดี่ยวกับมอนสเตอร์ตรงหน้า คงจะลืมไปแล้วว่า ถึงจะเก่งแค่ไหน
    การปราบมอนสเตอร์ตัวนี้ก็ควรจะมีเพื่อนอยู่ใน
    party สักคนสองคนคอยช่วยเหลือ หาจังหวะหลอกล่อเพื่อโจมตี
    ฉะนั้นการโจมตีระลอกแรก จึงไม่ทำให้มันบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว แต่คนโจมตีกลับสูญเสีย
    HP ไปมากกว่าครึ่ง

     

    ท่าทางจะเข้าตาจนแล้วนะ...

     

    แน่นอนว่า โฮลี่ ออเดอร์ไม่ได้สูญเสีย HP แม้แต่แต้มเดียว เพราะเขาใช้วิธีหลบอย่างเดียว มอนสเตอร์นั้นมักจะโจมตี
    จากแถวหน้า หรือโจมตีแต่คนที่เข้าโจมตีมัน ในกรณีนี้ เขาที่ถอยห่างออกไปและหลบลูกเดียว จึงสบายกว่าเยอะ

     

    มาร่วมมือกันดีกว่า...

     

    ไม่

     

    คำตอบสั้นๆ แต่หนักแน่นออกมาจากปากของคนที่โดนโจมตีซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็ยังไม่ปริปากบ่นแม้แต่นิดเดียว

    ความแข็งแกร่งและนิสัยแปลกประหลาด ทำให้เขานึกสนใจในตัวของผู้ชายคนนี้ไม่น้อย วิธีการต่อสู้ก็จัดว่าธรรมดา

    เพียงแค่ใช้ลูกอึดและพลังโจมตีที่ค่อนข้างสูง อัดเข้าไปเรื่อยๆ ถ้ามีคนชี้แนะ คงจะไปได้สวยกว่านี้

     

    น่าเสียดาย...ความสามารถ...

    ควรเอามาใช้...ให้เป็นประโยชน์มากกว่านี้...

     

    ยิ่งพอเห็นการเคลื่อนไหวที่เปล่าประโยชน์ แถมยังโจมตีรูปแบบเดิมซ้ำๆ เขายิ่งอยากจะพูดชี้แนะอะไรบางอย่าง
    แต่ก็ตัดสินใจว่า เงียบเอาไว้ น่าจะดีกว่า เพราะการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์นั้น ควรต้อนอีกฝ่ายเข้าไปในสถานการณ์ที่จนมุม
    จะได้รู้สึกว่า ต้องยอมรับการช่วยเหลือในครั้งนี้และติดค้างหนี้บุญคุณ

     

    จะยอมตายที่นี่ หรือจะร่วมมือกันแต่โดยดี

     

    ได้ยินเสียงสบถคำหยาบคายสองสามประโยค ก่อนที่เจ้าตัวจะยอมรับว่า หากสู้ต่อไปมีหวังคงได้เกม โอเวอร์จริงๆ

    ใบหน้านั้นหันมาทางเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงยากเย็น ราวกับถูกบังคับให้กลืนยาขม

     

    จะให้ทำยังไง ?

     

    แน่นอนว่า นั่นคือคำตอบตกลงการร่วมมือกัน เขาจึงอธิบายแผนให้ฟังคร่าวๆ ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้คัดค้านอะไร

    พอให้สัญญาณแล้ว การเคลื่อนไหวโจมตีก็ทำได้ดี จนรู้สึกว่า เป็นพวกหัวไว สอนไปนิดหน่อยก็เข้าใจได้ทันที

    การที่เขาใช้สกิลสนับสนุนอยู่ห่างๆ ทำให้ผลของการโจมตีเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว ไม่นานนักก็โค่นบอสได้

     

    นายชื่ออะไร ?

     

    แม้จะเอ่ยถามชื่อออกไป แต่เจ้าคนอารมณ์ร้อนก็ไม่ยอมตอบ เขาจึงได้แต่ถอนหายใจ สงสัยความคิดที่จะเอาไปใช้งาน
    คงต้องพับไป แค่ถามชื่อยังไม่ยอมตอบอีกต่างหาก คนอะไรไร้มนุษยสัมพันธ์ขนาดนี้

     

    ไปลุยกัน...

     

    หา ?

     

    ฉันบอกว่า ไปลุยในดันเจี้ยนกัน

     

    คำพูดนั้นสร้างความแปลกใจไม่น้อย กับคนที่เหมือนจะเกลียดมนุษย์ทุกหน้า ไล่ฆ่าทุกคนที่อยู่ในสายตา
    กลับชวนเขาเข้าไปลุยดันเจี้ยนด้วยกัน แสดงว่าโอกาสที่จะชักชวนไปทำงานด้วยกัน ก็ยังมีอยู่สินะ

     

    ไปก็ไปสิ...

     

    ไม่รู้หรอกว่า ข้างใต้มีอะไรอยู่ แต่ก็มั่นใจว่า ถ้าจับคู่กับเจ้าคนสมองทึบ แต่แข็งแกร่งกว่าใครๆแล้ว คงน่าสนุกไม่น้อย

    คนแบบที่เรากำลังตามหาอยู่ เพื่อปรับโครงสร้างองค์กรนั้น อาจหาได้เร็วกว่าที่คาดเอาไว้ก็ได้

     

    ++++++++++

     

    ถ้าออกมาเที่ยวแล้วเหม่อแบบนี้ ทีหลังก็ปฏิเสธคำชวนซะ

     

    เมื่อได้ยินคำบ่นตรงๆของหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า ผมก็ทำได้แค่ยิ้ม และพยายามรวบรวมสติให้อยู่กับเนื้อกับตัว

    วันนี้เป็นวันเสาร์ ผมออกมาเดินซื้อของกับเพื่อนร่วมงานจากฝ่ายเทคนิค เธอขอร้องให้ผมออกมาช่วยเลือกของบางอย่าง
    ตอนนี้พวกผมจึงเดินอยู่ที่คลองถม ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย

     

    แค่นิดหน่อย อย่าทำเป็นบ่นน่า

     

    ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุใด ผมถึงคุยกับผู้หญิงคนนี้ได้อย่างสบายใจ เหมือนเป็นเพื่อนกันมานาน เธอออกจะจู้จี้ขี้บ่นไปบ้าง

    แต่รวมๆแล้ว เธอไม่ค่อยมีนิสัยน่ารำคาญของผู้หญิงสักเท่าไร การจะออกมาเดินเที่ยวด้วยกัน จึงเป็นข้อเสนอที่ไม่เลว

    ที่จริงแล้วส่วนหนึ่งมาจาก คุณเกียร์ดันเพาะนิสัยทำงานล่วงเวลา จนเมื่อมีเวลาว่างก็ไม่รู้จะทำอะไรดี พอมีคนชวนออกมาเที่ยว
    ก็ต้องรีบรับคำเชิญ จะได้ไม่ต้องมานั่งว่างๆ ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า

     

    วันเสาร์นี้...ฉันมีธุระ...คงไม่ได้เข้ามา...

     

    อย่างน้อยเจ้าตัวก็ยังมีน้ำใจบอกกันก่อน ไม่ใช่ทิ้งให้มานั่งหง่าว ทำงานล่วงเวลา ทั้งที่ไม่มีใครนอกจากพวกเข้าเวรอยู่ในบริษัท
    ถ้าลองบอกแบบนี้ ก็น่าจะเข้าใจแล้วมั้งว่า เหตุผลที่ยอมเข้าบริษัทมาทำงานตลอด 7 วัน ก็เพราะอยากเจอคุณ

     

    ร้อนชะมัด...

     

    ขี้บ่นจังเลยนะ เป็นผู้ชายซะเปล่า...

     

    แต่ดูเหมือนหญิงสาวก็จะรีบซื้อของให้เร็วขึ้น แล้วตัดสินใจไปขึ้นแท็กซี่ไปหาร้านอาหารเย็นๆนั่งพักกัน

    เมื่อเธออ้าปากบอกจุดหมายกับคนขับ ผมก็รีบถามว่า จะไปไกลขนาดนั้นเลยเหรอ ?

     

    แล้วจะไปไหนล่ะ ?

     

    เมื่อโดนสวนกลับทันควัน ผมก็เลยต้องยอมแพ้ ปล่อยให้คนขับพาพวกเราตรงไปยังร้านอาหารที่เธอบอก

    โชคยังดีที่การจราจรวันนี้ยังไม่เลวร้าย ถึงขั้นมิเตอร์แท็กซี่พุ่งทะยานไปแตะหลักร้อย

    เมื่อมาถึงที่ เธอก็ชิงจ่ายเงินค่ารถ แถมยังทิปคนขับไปอีกหลายบาท ก่อนจะผลักให้ผมรีบลงไปก่อน

     

    อยากกินมานานแล้ว ร้านนี้

     

    ดูภายนอก เธออาจจะเป็นคนแข็งๆ ไม่ยอมแพ้ใคร แต่ลึกลงไปแล้ว ผมเจอความอ่อนโยนและสดใสแบบผู้หญิง

    โชคดีที่มันไม่มีความงี่เง่าและเรื่องมากติดมาด้วย ผมจึงค่อนข้างสบายใจ กับการพูดคุยหรือออกไปไหนมาไหนด้วยกัน

     

    อาหารกลางวันมื้อนั้น รสชาติกลมกล่อมอย่างเหลือเชื่อ แต่พอดูราคาที่ต้องจ่าย เมื่อจะเรียกเก็บเงิน ก็เริ่มรู้สึกว่า

    กินข้าวราดแกงหน้าบริษัทก็ประทังชีวิตได้เหมือนกัน ทำไมจะต้องกินของแพงขนาดนี้ด้วยนะ

    พอพูดความคิดภายในใจออกไป เธอก็หัวเราะ แล้วถามว่า ผมมีครอบครัวต้องรับผิดชอบเหรอ ?

     

    พ่อแม่ไม่อยู่แล้วล่ะ พี่น้องก็ไม่มี

     

    แล้วจะเก็บเงินไว้ทำไมเยอะแยะ ไว้แต่งเมียเหรอ ?

     

    ยังไงซะการเก็บออมเงิน เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรือไง

     

    เธอหัวเราะดังขึ้น เมื่อได้ยินประโยคนั้น ซึ่งตัวผมเองก็ไม่เข้าใจว่า มันตลกตรงไหน พอเธอหยุดหัวเราะก็ควักมือถือออกมา
    เปิดภาพที่ตัวเธอถ่ายรูปกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งให้เขาดู

     

    น้องชายฉันเอง พูดแบบเดียวกับเธอเป๊ะ ตอนพามากินที่นี่

     

    เด็กผู้ชายในรูป ไม่ยิ้มให้กล้องแม้แต่น้อย ผิดจากพี่สาวที่เอามือโอบรอบคอ ทำท่าทางสนิทสนม ยิ้มอ่อนโยน
    ดูเหมือนจะมีความสุขมาก แม้จะหน้าตาคล้ายกัน แต่ความรู้สึกที่สัมผัสได้จากภาพกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

     

    เหมือนกันไหม ?

     

    ทั้งเหมือนและไม่เหมือน

     

    หมายความว่ายังไง...

     

    ก่อนจะฟังเธอพูดให้จบประโยค สายตาของผมก็ไปสะดุดกับใครคนหนึ่งที่กำลังเดินอยู่ริมถนน

    เส้นผมและดวงตาสีดำสนิทที่คุ้นตา รอยยิ้มที่มักจะมีแจกจ่ายให้กับคนทั่วไป

    แม้ดูแปลกตาในชุดลำลอง แต่ก็มั่นใจว่า คนคนนั้นคือ คุณเกียร์ อย่างแน่นอน

    ส่วนผู้หญิงที่อยู่ข้างๆนั้น ถึงจะเคยเห็นแค่ครั้งเดียว ก็ต้องเป็นยัยคุณหนูไฮโซนั่น !!

     

    มีอะไรเหรอ ?

     

    เธอหันมองตามไปยังทิศทางที่เขาจ้องเขม็ง แต่ก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ

    แน่ล่ะ ก็เธอกับคุณเกียร์เคยเจอกันไม่กี่ครั้ง แถมเธอคงไม่สนใจด้วยว่า หัวหน้า GM จะเดินควงสาวคนไหนมาเที่ยว

    ถ้าเธอรู้จักนิสัยคุณเกียร์ว่าเป็นคนรักการทำงานมากกว่าสิ่งใดๆ แถมยังไม่ค่อยยอมรับปากไปเที่ยวกับใคร

    รับรอง !! ต้องสงสัยว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร !!

     

    ผมไม่ตอบคำถามของเธอ แต่ก้าวเท้าเร็วๆ เพื่อเดินไปให้ถึงตรงนั้น ทั้งที่ไม่รู้ว่า เดินไปถึงแล้ว จะทำอย่างไรต่อ

    แต่จะให้ทำเป็นมองไม่เห็น หรือปล่อยผ่านไปเฉยๆ มันก็ไม่ใช่นิสัยของเขา

     

    ก่อนที่เขาจะไปถึงตัวคุณเกียร์ ก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น ดูท่าทางจะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะต่างฝ่ายเริ่มลงไม้ลงมือกัน

    ผู้คนพากันถอยห่างจากจุดเกิดเหตุ เพื่อไม่ให้โดนลูกหลง แต่ก็ยังคงมุงดูด้วยความสนใจ

    อาจเพราะแถวนี้มีคนจำนวนไม่น้อย แต่ละคนมัวแต่สนใจการต่อสู้ที่เหมือนได้ดูละครหลังข่าวแบบสดๆ

    ต่างพากันส่งเสียงเชียร์ บางคนก็วิ่งมาเบียดแทรกเข้าไปดู ผลักกันไปมา จนกระทั่งไม่ได้ทันระวังว่า จะโดนใครบ้าง

     

    ทั้งสองคนเบียดแทรกผู้คนก้าวลงบันไดมาได้อย่างปลอดภัยและรีบเดินออกห่างจากฝูงชนที่กำลังทำหน้าที่ไทยมุง

    แต่กลับลืมดูถนนหนทางให้ดี จนรถมอเตอร์ไซด์ที่ขับออกมาจากซอย ต้องเบรกกะทันหัน

    เพียงแค่นั้นก็ทำให้โฮลี่ออเดอร์เปลี่ยนจากเดินเร็วๆ มาเป็นรีบวิ่งแทรกผ่านฝูงชนได้ในทันที

     

    พอไปถึง ก็เห็นหญิงสาวกำลังช่วยพยุงให้ลุกขึ้น ไปนั่งพักบนทางเท้า ไม่ใช่กลางถนนแบบนี้

    สำรวจด้วยตาเปล่า ไม่เห็นบาดแผลร้ายแรง แต่รอยยิ้มของเจ้าตัวนั้น รู้สึกเหมือนกำลังเสแสร้งไม่ให้คนอื่นต้องเป็นห่วง
    เมื่อคนขับรถมาขอโทษขอโพย เจ้าตัวกลับบอกว่าไม่เป็นไร แล้วก็ขอโทษที่ตัวเองก็ข้ามถนนแบบไม่ระมัดระวัง

     

    คุณเกียร์ครับ...

     

    ในที่สุดก็มีโอกาสได้เรียกชื่อ อีกฝ่ายดูจะแปลกใจไม่น้อยที่ได้เจอเขา แถมยังเจอกันในสถานการณ์แบบนี้ด้วย

    ก่อนที่จะมีใครได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาไต่ถามถึงอาการ

     

    เป็นอะไรหรือเปล่า ?

     

    ไม่เป็นไรครับ...

     

    ผู้ชายคนนั้นใส่ชุดสูทสีดำ แบบไม่กลัวอากาศร้อนของประเทศไทย เขาหันไปตะโกนบอกชายหญิงอีกกลุ่มหนึ่ง
    ที่เหมือนกำลังหยุดรอพวกเขา ให้ล่วงหน้าไปก่อน ทางนี้เขาจะจัดการเอง

     

    คุณรีลิสไปก่อนเถอะครับ

     

    ไม่เป็นไรค่ะ

     

    เธอปฏิเสธอย่างนุ่มนวล จนผู้ชายคนนั้นต้องยกมือขึ้นเกาหัว ด้วยความลำบากใจ

     

    ไปก่อนเถอะ...

     

    เธอมีสีหน้าลังเลใจ เมื่อคำพูดนี้ออกมาจากปากคนเจ็บเอง แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากแขนที่จับเอาไว้

    ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น มองมาทางผม ก่อนจะทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วรีบโบกมือเรียกผมให้เดินเข้าไปใกล้ๆ

     

    เดี๋ยวให้โฮลี่ ออเดอร์ไปส่งก็ได้

     

    เธอจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า ยอมรับข้อเสนอนั้น แต่ไม่ลืมหันมากำชับเจ้าตัว ให้ไปโรงพยาบาล

    แน่นอนว่า คนอย่างคุณเกียร์รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่ผมเชื่อว่า พอถึงเวลาคงต้องบังคับกัน

    เนื่องจากเจ้าตัวดูเกลียดโรงพยาบาลอย่างกับอะไรดี ถ้าไม่โดนหามไปตอนสลบ ก็ต้องหาใครมาลากไป

     

    ฝากทีนะ

     

    เธอหันมาพูดกับผม ก่อนที่จะเดินตามชายหนุ่มในชุดสูท หายไปในฝูงชนที่ยังคงมุงดูการทะเลาะวิวาทของคนอื่น

    ผมมองหาหญิงสาวที่มาด้วยกัน เพื่อจะขอตัวกลับก่อน ซึ่งเธอก็โบกไม้โบกมือจากที่ไกลๆ

    ส่งสัญญาณเป็นเชิงว่า โอเค ฉันกลับเองได้ ไม่ต้องห่วง

     

    ไปกันเถอะครับ

     

    ไปเที่ยวต่อก็ได้นะ วันนี้มากับสาวไม่ใช่เหรอ ?

     

    ทีเรื่องแบบนี้ดันสังเกตเห็น ทีตอนทำอะไรให้ตั้งเยอะแยะ ดันซื่อบื้อไม่เข้าใจ ผมล่ะเบื่อคุณจริงๆ

    อยากจะรู้นักว่า คิดยังไงตอนเห็นผมมากับผู้หญิงคนอื่น รู้สึกอะไรบ้างไหม ? หรือว่าไม่คิดอะไรเลยจริงๆ

    เกลียดเจ้ารอยยิ้มที่เหมือนไม่รู้สึกรู้สา กับทุกสิ่งบนโลกนี้ มีแต่ความใจดีที่หยิบยื่นมาให้

    ช่วยโมโหหรืออารมณ์เสียสักนิดก็ดีนะครับ ผมจะได้รู้ว่า คุณเองก็ใส่ใจเรื่องของผมเหมือนกัน

     

    ไปโรงพยาบาลเถอะครับ...

     

    พอพูดออกไป อีกฝ่ายก็ยิ้มแห้งๆ เหมือนเด็กที่เกลียดการไปหาหมอเป็นที่สุด

    แต่เขาไม่สนใจการแสดงออกหรือคำทัดทานใดๆ ไปโบกเรียกแท็กซี่แล้วให้ขับไปยังโรงพยาบาลทันที

     

    ++++++++++

     

    พอได้แล้ว วางลงซะทีเถอะ !!”

     

    อย่าสิครับ เดี๋ยวร่วงลงไป หัวกระแทกพื้น

     

    หัวกระแทก ก็ยังจะดีซะกว่า !!”

     

    คนเจ็บที่เพิ่งกลับจากโรงพยาบาลดิ้นรนน่าดู เมื่อเขาจัดการรวบตัว อุ้มเข้ามาส่งถึงในบ้าน โดยไม่สนใจสายตาชาวบ้าน
    ที่จ้องมองมาด้วยความสงสัย เนื่องจากหมั่นไส้คนที่ยอมหัวกระแทกพื้นมากกว่าให้เขาอุ้ม แทนที่จะวางลงบนโซฟาตรง
    ห้องรับแขก ก็อุ้มเข้าไปที่ห้องนอน แล้วโยนลงบนเตียง

     

    คนเจ็บ อย่าบ่นมากได้ไหมครับ

     

    ไม่ได้เป็นอะไรมากเสียหน่อย โรงพยาบาลก็ไม่เห็นต้องไป...

     

    แม้จะมาส่งถึงบ้านของเจ้าตัวแล้ว ก็ยังบ่นเรื่องโดนลากไปโรงพยาบาล แม้จะเป็นที่ที่ไปใช้บริการเป็นประจำ

    ตลอดการนั่งรอคิวตรวจ คุณเกียร์มองไปรอบๆด้วยสายตาเหม่อลอย แต่พอมีคนมาพูดด้วย ก็โปรยยิ้มอย่างเก่า

    จนไม่แน่ใจว่า ที่เกลียดนี่เพราะอะไร เห็นเวลาคุยกับหมอ ก็ดูเป็นปกติดี

     

    กระดูกร้าวเนี่ยนะครับ

     

    โชคดีที่คุณรีลิสโทรมาบอกโรงพยาบาลว่า ให้ช่วยจับคนไข้หัวดื้อเช็คให้ละเอียดที เอาแบบตั้งแต่หัวจรดเท้า
    เพราะเจ้าตัวไม่มีทาง ยอมปริปากบอกว่า เจ็บตรงไหนกันแน่ ผลการตรวจพบว่า กระดูกเท้าร้าวเล็กน้อย
    แค่พันผ้าและระมัดระวังในการเดินสักหน่อยก็พอแล้ว
    จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้ผมได้รู้ฐานะของคุณรีลิสว่า บ้านของเธอรวยและมีเส้นสายมากขนาดไหน
    แถมยังได้รับคำอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า เธอสนอกสนใจเกม
    Neo Universe อยู่ไม่น้อย

     

    “Key Master เหรอครับ ?

     

    ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการน่ะ

     

    จากการซักไซ้ไล่เรียงของผม ถึงต้นสายปลายเหตุที่ไปเดินเล่นอยู่กับหญิงสาวสวย ก็ได้คำตอบว่า
    วันนี้เป็นการพบปะสังสรรค์ของเหล่าทายาทผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งหลาย ทุกคนต่างมีความสนใจในเกม
    และต้องการมีส่วนร่วมในการทำให้มันขับเคลื่อนไป จึงได้ตั้งตำแหน่ง
    Key Master ซึ่งจะถือ
    อาวุธแห่ง
    Event Horizon เพื่อปกปักรักษาความลับบางอย่าง

     

    มาลองคิดๆดูแล้ว เหมือนเป็นตำแหน่งทำเอาใจ พวกคุณหนูคุณชายทั้งหลายเลย เพราะ Key master ทุกคนมีฐานะไม่ธรรมดา
    แต่ก็คงพูดอะไรมากไม่ได้ เป็นมติของพวกผู้บริหารนี่นา

     

    ส่วนเรื่อง GM ที่นายเสนอให้มีการเลือก player มาช่วยงาน ก็ผ่านการเห็นชอบนะ

     

    ผมแทบจะตะโกนด้วยความยินดี เมื่อรู้ว่า ตัวเองอาจสามารถหาคนมาช่วยงานได้อย่างจริงจัง ไม่ต้องจิกหัวใช้พวกลิงทโมนที่
    เอาขยะรายงานมาส่ง ทีนี้เรื่องทำงานล่วงเวลาและก้างขวางคอก็จะลดลงไปบ้างสินะ

     

    อะไรจะดีใจขนาดนั้น ?

     

    ดีใจแล้วไม่ดีเหรอครับ ?

     

    ก็ไม่ใช่ไม่ดี...

     

    คุณเกียร์สะดุ้งไปเล็กน้อย เมื่อผมก้มลงจูบที่แก้มอย่างไม่ให้ทันได้ระวังตัว ชอบสีหน้าลำบากใจ ตอนยกมือลูบแก้มตัวเองจริงๆ
    มันช่างแตกต่างจาก ใบหน้าที่มีรอยยิ้มพร่ำเพรื่อ รู้สึกว่า ผมเป็นเจ้าของช่วงเวลานี้ แต่เพียงผู้เดียว

     

    ที่ไปเที่ยวด้วยกันน่ะ แฟนเหรอ ?

     

    พอเจอคำถามนี้เข้าไป แทนที่จะอารมณ์ดี กลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย

    ผมว่าผมแสดงออกชัดเจนแล้วนะครับว่า ผมคิดยังไง ผมเลือกคุณเป็นที่หนึ่งเสมอและจะเป็นที่หนึ่งตลอดไปด้วย

    แล้วคุณยังมีหน้ามาถามผมอีกว่า นั่นแฟนเหรอ ? คิดว่าผมจะมอบกายถวายชีวิตแก่เจ้านายขนาดนั้นเลยหรือครับ

     

    แล้วคุณรีลิสล่ะครับ ? ดูสนิทกันดีนะครับ ?

     

    แทนที่จะสงบศึก โดยตอบตามความจริงไป แต่คราวนี้ผมย้อนถามกลับ เนื่องจากไม่ชอบใจที่คุณมีสาวสวยมาเดินข้างๆ

    ถึงวันนี้จะนัดมาคุยเรื่องงานกันเป็นหมู่คณะก็เถอะ แต่พวกคุณก็เดินคุยกันสองต่อสอง ท่าทางสนุกสนานนี่นา

     

    รีลิสเป็นเพื่อนสมัยเรียนม.ปลายน่ะ

     

    เอ๋ ?

     

    แต่ก็มีคนเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆเหมือนกัน

     

    บรรยากาศก็ชวนเข้าใจผิดอยู่ ทั้งที่มากับคนตั้งมากมาย แต่กลับเดินทิ้งห่าง พูดคุยกันแค่สองคน
    แถมสาวเจ้ายังดูทั้งห่วงทั้งหวงคุณแบบแปลกๆ ใครที่ไม่รู้มาก่อน คงคิดว่า พวกคุณคบกันไปถึงไหนต่อไหนแล้วล่ะครับ

     

    อยากให้ฉันรีบหาแฟนขนาดนั้นเชียว ?

     

    ทำไมคุณถึงเข้าใจความหมายของคำถามผม ในด้านตรงกันข้ามล่ะครับ !! ไม่รู้จะทำยังไงดีแล้วเนี่ย !!

    ผมเปิดฉากรุกไล่เข้าไปในริมฝีปากนั้น ถึงอีกฝ่ายจะขืนตัวหนี แต่ก็ถูกผมรวบตัวเอาไว้ในอ้อมแขน

    มันไม่ใช่จูบแบบอ่อนโยน แต่เป็นจูบที่รุนแรง เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกซึ่งอัดแน่นอยู่ภายใน

     

    เมื่อตักตวงความหอมหวานจากโพรงปากนั้นจนพอใจแล้ว โฮลี่ออเดอร์ก็ยอมปล่อยคนในอ้อมแขนให้มีโอกาสหายใจ
    ร่างนั้นคงจะทรุดลงกับพื้น หากไม่ได้นั่งอยู่บนเตียง เรี่ยวแรงทั้งหมดถูกกลืนหายไปกับสัมผัสเมื่อครู่

     

    ทำขนาดนี้แล้วยังไม่เข้าใจอีกเหรอครับ...

     

    ว่าผมคิดกับคุณแบบไหน...

     

    ผมไล้แก้ม เรื่อยลงมาจนลำคอ นึกอยากจะก้มลงทำรอยจูบ แสดงความเป็นเจ้าของ แต่ก็เปลี่ยนใจ

    ดวงตาสีดำสนิทนั้นจับจ้องมาทางเขา เหมือนต้องการค้นหาความจริงจากแววตา

     

    นั่นสินะ...แล้วนายคิดอะไรอยู่ล่ะ...

     

    คำถามนี้...สามารถตอบได้อย่างง่ายดาย...

    แต่ถ้าพูดออกไปแล้ว...จะทำให้ของสำคัญในมือ...หลุดลอยไปหรือเปล่า...

     

    ผมอยากจูบคุณ...

     

    ก็จูบไปแล้วนี่...

     

    อยากได้จูบที่คุณตอบสนองมันอย่างเร้าร้อน ไม่ใช่จูบแบบที่ผมรุกไล่อยู่เพียงฝ่ายเดียว

    เป็นการแลกเปลี่ยนคำสัญญาของความรู้สึก ผ่านริมฝีปากและปลายลิ้น โดยไม่ต้องใช้คำพูด

    คุณทำให้ผมได้ไหมครับ...คุณเกียร์...

     

    ผมอยากกอดคุณ...

     

    ตอนนี้ก็กอดอยู่นี่...

     

    ไม่ใช่แค่การโอบกอด เพื่อให้ซึมซับได้ถึงความอบอุ่นแห่งชีวิต เพียงเท่านี้

    อยากได้การกอดก่าย เพื่อหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว จนสามารถรู้สึกได้ถึงทุกอณูของร่างกาย

    ให้ผมได้สัมผัสคุณนะครับ...คุณเกียร์...

     

    ไม่เข้าใจจริงๆ หรือแกล้งครับเนี่ย...

     

    ก็ไม่แน่ใจน่ะสิ กลัวว่าจะคิดไปเอง...

     

    กลัว...คุณเองก็กลัวหรือครับ...

    กลัวว่าสิ่งที่รู้สึกได้จะเป็นเพียงความคิดของตนเอง...

     

    หากเป็นเช่นนั้นจริง...ได้โปรดตอบรับสิ่งที่ผมกำลังจะบอก...

    ไม่ใช่ด้วยคำพูดที่ลอยผ่านอากาศแล้วเลือนหาย..

    แต่เป็นด้วยร่างกาย...ที่จะติดตราตรึงอยู่ในใจ...

     

    ...จะไม่จางหายไป...


    ++++++++++

     

    วันนี้เป็นเช้าวันจันทร์ แต่ผมกลับมาบริษัทสายกว่าปกติ เพราะอุตส่าห์ถ่อสังขารไปรับใครบางคนที่ขาเจ็บ
    แต่เจ้าตัวดันออกจากบ้านตั้งแต่ หกโมงครึ่ง ไม่สนใจฟังที่คนอื่นเขา อุตส่าห์ย้ำแล้วย้ำอีกว่า จะมารับ

     

    วิ่งหน้าตาตื่นมาเชียว...

     

    ตัวต้นเรื่องที่ทำให้ผมรีบตรงดิ่งมายังบริษัท เพื่อเช็คดูให้แน่ใจว่า เจ้าตัวไม่ได้ไปหกล้ม หัวกระแทกพื้นโดนส่งเข้าโรงพยาบาล
    ที่ไหน ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดิม ทำงานอย่างสบายใจ ไม่ได้รู้สึกเลยว่า คนอื่นเขาเป็นห่วงแค่ไหน

     

    ก็บอกแล้วไงครับ ว่าจะไปรับ

     

    ก็บอกแล้วไงว่า ไม่ต้อง

     

    น่าแปลกที่สามารถขึ้นเสียง ต่อปากต่อคำกันได้ขนาดนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงได้แต่กลืนเอาความพอใจทั้งหลายเก็บซ่อนไว้
    แล้วยอมลงให้แก่คนตรงหน้า แต่มาคราวนี้ เหมือนพวกเราเขยิบเข้ามาใกล้กันอีกหน่อย ผมถึงกล้าบอกความรู้สึกออกไปตรงๆ
    ไม่มีการปิดบัง

     

    คุณนี่น้า...ผมควรจะทำยังไงกับคุณดี...

     

    มีเพียงเสียงหัวเราะอย่างรื่นเริงแทนคำตอบ รู้สึกหมั่นไส้คนตรงหน้าไม่น้อย ก็เลยแอบขโมยหอมแก้ม เป็นแก้เผ็ด

    เจ้าตัวจ้องผมเขม็งด้วยความไม่พอใจ ก็รู้ล่ะนะว่าไม่ชอบให้ทำแบบนี้ ที่บริษัท แต่จะทำ มีอะไรไหม ?

     

    ก่อนที่ผมจะทันได้เอ่ยอะไร เสียงเคาะประตูห้องทำงานก็ดังขึ้น พร้อมกับสาวสวยผู้เป็นทายาทของผู้ถือหุ้นรายใหญ่

    เธอกล่าวทักทายผมและคุณเกียร์อย่างสุภาพ ก่อนจะสอบถามถึงอาการบาดเจ็บที่ขา ซึ่งพอจะเดาได้ว่า เธอคงไปซักไซ้
    โรงพยาบาลมาอย่างละเอียดแล้ว แต่แค่อยากจะฟังจากปากคนเจ็บอีกที

     

    กลางวันนี้ กินข้าวด้วยกันนะ

     

    ผมไม่แน่ใจว่า นั่นเป็นคำเชิญหรือคำสั่ง แต่คุณเกียร์ก็รับคำแต่โดยดี พร้อมกับรอยยิ้มประจำตัว

    แล้วทั้งสองคนก็เริ่มสนทนากันอย่างออกรส เหมือนลืมไปแล้วว่า ผมยืนหัวโด่อยู่ในห้องด้วย

    จะให้ทำอย่างไรได้ นอกจากล่าถอยกลับไปทำงานที่โต๊ะตัวเอง รอเวลาที่จะมีใครหันมาสนใจทางนี้บ้าง

     

    ได้เวลาประชุมแล้วไปกันเถอะ

     

    เธอหงายนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ทั้งที่มีนาฬิกาติดผนังเรือนใหญ่คอยบอกเวลาอยู่ทนโท่ แล้วรีบดึงแขนอีกคนให้ลุกขึ้น

    สงสัยเธอจะลืมไปแล้วว่า คนที่เธอเร่งยิกๆให้รีบออกไปด้วยกัน เป็นคนป่วยที่กระดูกขาร้าว

    ด้วยความที่เกลียดโรงพยาบาล คุณเกียร์จึงปฏิเสธการใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงอย่างสิ้นเชิง จนผมนึกสงสัยว่า
    เมื่อเช้ามาถึงบริษัทได้ด้วยวิธีไหน แล้วสุดท้ายก็ได้คำตอบว่า เจ้าตัวเดินกะเผลกๆ อย่างน่าหวาดเสียว จะล้มหัวฟาดพื้น

     

    ผมช่วยครับ !!”

     

    ไม่ต้องให้ใครมาง้อ ก็ยินดีที่จะเสนอตัวเข้าไปช่วย ยอมเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน ดีกว่านั่งลุ้นว่า อีกฝ่ายจะเดินไปถึงที่หมาย
    โดยสวัสดิภาพ หรือมีเหตุให้ต้องโทรเรียกรถพยาบาลอีกครั้ง

     

    ขอบใจนะ

     

    งวดนี้ไม่มีคำขอโทษติดตามมาแฮะ สงสัยพลังจิตจากการพร่ำบ่นอยู่ในใจว่า ไม่ชอบให้ขอบคุณเสร็จแล้วก็ขอโทษที่ทำให้ลำบาก
    จะส่งผลก็คราวนี้ เพราะเจ้าตัวมองมาทางผมด้วยความสงสัยว่า ทำไมผมถึงทำสีหน้าแปลกใจ

     

    เร็วเข้าสิ เกียร์

     

    ไปก่อนเถอะ เดี๋ยวตามไป

     

    แต่ว่า...

     

    มีเรื่องจะต้องจัดการก่อนนิดหน่อยน่ะ...

     

    หญิงสาวยอมทำตามอย่างว่าง่าย แต่ยังไม่ลืมหันกลับมาย้ำอีกครั้งว่า ให้ไปประชุมให้ทันเวลา อย่าสายเป็นอันขาด

    เมื่อเหลือเพียงแค่สองคนในห้อง ดวงตาสีดำสนิทก็จ้องมองมาทางผม แล้วเจ้าตัวก็เอ่ยถามว่า

     

    เอ้า มีอะไรก็ว่ามา...

     

    หา ? ผมไม่มีอะไรนะครับ

     

    ก็เห็นจ้องฉันเขม็ง ยังกับอยากจะพูดอะไร...

     

    อ๋อ ไอ้ที่จ้องน่ะ ก็เพราะพวกคุณเล่นคุยกันกระหนุงกระหนิง ผมก็เลยนึกสงสัยเท่านั้นเองครับ ว่าคุยกันเรื่องอะไร

    หรือถ้าพูดกันสั้นๆง่ายๆคือ ผมหึงครับ คุณเกียร์ อย่าทำตัวสนิทสนมกับสาวสวยจนออกนอกหน้าได้ไหมครับ

     

    ก็แค่อิจฉานิดหน่อย...น่ะครับ...

     

    เน้นว่า แค่นิดหน่อยนะครับ ผมไม่ได้อิจฉาอะไรมากมาย ไม่ได้เอามาผสมกับเรื่องที่คุณไม่ยอมรอผมเมื่อเช้า

    แถมพอได้เจอสาว ก็ลืมไปแล้วด้วยมั้งว่า ผมยืนอยู่ในห้องด้วย ก็แค่นิดเดียวเองครับ อิจฉานิดเดียว

    แต่ความคิดทั้งมวลก็สลายหายไป เมื่อคนข้างๆเอาริมฝีปากมาแตะเบาๆที่แก้ม

     

    อย่าขี้ใจน้อยน่า เย็นนี้กลับบ้านด้วยกันนะ...

     

    สาบานได้ว่า รอยยิ้มในตอนนั้นดูเจิดจรัสและสวยงามกว่าปกติเป็นพันเท่า มันคือเวทมนต์ !!

    ทั้งตัวแข็งทื่อขยับไม่ได้ จนกระทั่งร่างนั่นลับหายไปเบื้องหลังประตูสีน้ำตาล

    ได้ยินเสียงพวกลิงทโมนด้านนอก เฮโลกันเข้ามา เดาว่า คงแย่งกันไปส่ง ไม่น่ามีอะไรต้องห่วง

     

    เย็นนี้กลับบ้านด้วยกันนะ...

     

    แล้วจะไปบ้านผมหรือบ้านคุณดีครับ ?

     

    ++++++++++

    ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ >0< เป็นกำลังใจมากมาย
    แล้วก็ขอบคุณคนที่คลิกเข้ามาอ่าน คู่มหาแรร์คู่นี้
    เป็นตอนที่ยาวจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าจะตัดตรงไหนออกดี คราวหน้าจะยาวขึ้นอีกไหมเนี่ย
    ใครที่รู้สึกว่า ตอนนี้มีอะไรหายไปสักอย่าง =_,= + ได้โปรดตอบคำถามต่อไปนี้
    1. รู้สึกว่าฉากอะไรหายไป
    2. ให้ทายว่า วันที่คุณเกียร์ออกจากบริษัทเร็วผิดปกติ คุณเกียร์ไปไหน ?
    ทั้งสองข้อให้ตอบเล่นๆนะคะ ไม่มีถูก ไม่มีผิด
    ใครที่รู้สึกว่า มันสมบูรณ์แล้ว ขอความกรุณาไม่ต้องตอบนะคะ (มันไม่มีอะไรหรอกค่ะ 555+)
    แล้วก็ทิ้งอีเมลล์ไว้ให้ด้วยเน้อ  =  = b ทางนี้จะส่งบางอย่างกลับไปให้คุณนะคะ

    สุดท้ายนี้ใครที่แวะผ่านไปผ่านมา ช่วยคอมเมนต์ด้วยเน้อ จะได้มีแรงแต่งตอนหน้า
    แต่งตอนต่อไป สู้ๆ !!! ปั่นตอน 5 โล้ด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×