ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KnB fic] You are my angel (AoKaga)

    ลำดับตอนที่ #3 : My Little Pure Angel (ครึ่งแรก)

    • อัปเดตล่าสุด 31 ส.ค. 56


    Title: My Little Pure Angel
    Author: Monochrome bird
    Category:  Drama (มั้ง ?? ไม่แน่ใจ)

    Pairing: อาโอมิเนะ x คากามิ
    Rating: PG-13
    Disclaimer: ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นของอาจารย์ฟูจิมากิค่ะ พวกเราแค่ยืมมาจิ้นเล่นเท่านั้น 
    Author notes: ฟิคนี้ก็ยังคงความเผานะคะ จับดูจะรู้ว่าอุ่นๆ (หัวเราะ)


    +++++++++

    แม้ว่าท้องฟ้าจะมืดมิดเพียงใด...เมื่อยามฝนตก...

    แต่มันก็จะกระจ่างสดใส...หลังฝนซา....

    ผู้คนมากมายนั้นเกลียดฝน เพราะฝนนำมาซึ่งความยากลำบากต่างๆ ทั้งความชื้นแฉะอันน่ารำคาญ ทั้งการจราจรที่ติดขัด รวมไปถึงความรู้สึกหดหู่ที่มักเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว อาโอมิเนะเองก็ไม่ชอบฝนเท่าไรนัก แต่กลับชอบบรรยากาศหลังฝนตก เพราะท้องฟ้าที่เคยมืดมิดนั้นจะกลับเป็นสีฟ้าใสกระจ่าง เหมือนว่าเรื่องไม่ดีทั้งหลายกำลังจะถูกปัดเป่าให้หายไป เช่นเดียวกับเมฆฝนบนท้องฟ้า

    อาโอมิเนะชอบกลิ่นของดินและกลิ่นของหญ้าหลังฝนตก แต่ในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้คนนั้น กลิ่นของธรรมชาติแบบนั้นหาไม่ค่อยได้นัก เพราะทุกพื้นที่นั้นเต็มไปด้วยผู้คนและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ จนไม่เหลือพื้นที่ให้กับพื้นดินและต้นไม้ได้อาศัยอยู่

    “แม่ !! ผมไปบ้านคากามินะ !!

    ยังไม่ทันรอฟังคำตอบ อาโอมิเนะที่ใส่รองเท้าเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่ก่อนตะโกน ก็รีบวิ่งออกจากบ้านไป ตามท้องถนนเต็มไปด้วยแอ่งน้ำขัง แต่เด็กชายก็ยังออกวิ่งไป เพราะอยากไปถึงที่หมายให้เร็วที่สุด

    บ้านของคากามิเป็นบ้านที่โดดเด่น เห็นแค่แว่บเดียวก็รู้ เพราะในละแวกนี้ หากจะมีบ้านใหญ่ๆสักหลังหนึ่ง ก็จะเป็นบ้านแบบญี่ปุ่น มีทั้งประตูกระดาษและประตูรั้วแบบสมัยก่อน แค่มองแว่บเดียวก็รู้ว่า สร้างมาเป็นสิบปีแล้ว แต่บ้านของคากามินั้นต่างออกไป ตัวบ้านดูเป็นสไตล์ตะวันตก มีการออกแบบให้เก๋ไก๋ไม่ซ้ำแบบใคร รอบบ้านเป็นสวนเล็กๆที่มีต้นไม้ดอกไม้อยู่บ้างเล็กน้อย พอให้เจ้าของบ้านปลีกเวลามาดูแลได้บ้าง

    ประตูรั้วของบ้านคากามินั้นไม่เคยล็อก ยกเว้นตอนกลางคืน มันเป็นระบบไฟฟ้าที่ใครต่อใครต่างบอกว่า ราคาแพงจนคนธรรมดาอย่างเราๆไม่อาจแม้แต่จะนึกถึงได้ แต่อาโอมิเนะไม่สนใจเท่าไรนัก ขอแค่ประตูรั้วนั้นเปิดรับเขาก็พอแล้ว

    “คากามิ !!

    พอผ่านรั้วประตูบ้านเข้าไปก็จะเจอสวน หากเดินไปตามทางเดินที่ทอดยาว ก็จะไปถึงประตูทางเข้าบ้านตามปกติ แต่หากเลี้ยวซ้าย เดินลึกเข้าไปในสวน ก็จะสามารถไปเจอระเบียงตรงห้องนั่งเล่น ซึ่งคากามิมักจะนั่งทำงานอยู่ตรงนั้นเป็นประจำ

    ชายหนุ่มผมสีแดงนั่งอยู่บนเก้าอี้สีขาวแบบเข้าชุดกันกับโต๊ะกลมที่มีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ควางอยู่ ที่จริงคนออกแบบคงตั้งใจให้มันเป็นโต๊ะสำหรับจิบชายามบ่ายระหว่างที่นั่งคุยเล่นผ่อนคลายไปพร้อมกับชมสวน แต่คากามิกลับชอบใช้มันเป็นสถานที่ทำงานมากกว่าพักผ่อนหย่อนใจ หรือบางทีชายหนุ่มอาจจะอยากทำงานแบบสบายๆ ก็เลยมานั่งในที่ที่สามารถชมสวนไปพร้อมกับทำงานด้วยก็เป็นได้

    “อาโอมิเนะ ??”

    เสียงเรียกของเด็กชายทำให้เจ้าของบ้านเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เมื่อแน่ใจแล้วว่าเป็นใคร ก็กวักมือเรียกให้เข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะเอามือกดปิดฝาโน้ตบุ๊ค เก็บงานเอาไว้ทำวันหลัง

    อาโอมิเนะตรงเข้าไปนั่งที่เก้าอี้สีขาวตัวข้างๆ เนื่องจากเขาเป็นแขกที่มาเยือนเป็นประจำ ตรงนี้จึงกลายเป็นที่นั่งส่วนตัวของเขาไปโดยปริยาย คากามิจัดแจงเก็บเอกสารและคอมพิวเตอร์ ก่อนจะเอ่ยปากถามว่า อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า อาโอมิเนะสั่นหัวแทนคำตอบ เจ้าของบ้านจึงเข้าไปจัดแจงเตรียมขนมและน้ำออกมาให้

    ที่จริงแล้วสิ่งที่อาโอมิเนะชอบที่สุดก็คือ อาหารฝีมือคากามิ ซึ่งหากวันไหนที่แม่ไม่อยู่บ้าน เขาจะต้องใช้เป็นข้ออ้างมาขอฝากท้องที่นี่ทุกครั้ง แม้เวลาน้ำชายามบ่ายอย่างนี้ คงไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสฝีมือของคากามิ เพราะเจ้าตัวไม่เคยทำขนมเลยสักครั้ง จะทำก็แต่อาหาร ที่จริงก็ไม่ใช่คนชอบเข้าครัว เพียงแต่อาหารที่คนอื่นทำนั้น ไม่อร่อยถูกปากเหมือนที่ตัวเองทำ จึงชินกับการทำอาหารกินเองมากกว่าการซื้อหาหรือออกไปกินที่ร้าน

    สำหรับอาโอมิเนะนั้น คากามิคือสิ่งมหัศจรรย์ในชีวิต ตั้งแต่เกิดจนตอนนี้อายุได้ 8 ปี เขาไม่เคยรู้สึกเลยว่า มีสิ่งใดในโลกที่มีความสำคัญทัดเทียมกับคากามิ อาจฟังดูแล้วเหมือนความหลงใหลแบบเด็กๆ แต่อาโอมิเนะรู้ดีว่า มันแตกต่างกันมาเหลือเกิน แตกต่างจากครอบครัว จากเพื่อน จากฮีโร่หรือว่าอะไรก็ตามที่เขาจะรักได้ มันคือสิ่งที่เรียกว่าที่สุดของที่สุด

    “เอ้า ลองกินดูนะ ไม่รู้ถูกปากไหม”

    ถึงจะเรียกว่า น้ำชาตอนบ่ายสาม แต่คากามิมักจะชงโกโก้ออกมาให้ดื่มมากกว่า โดยทั่วไปจะคู่กับคุกกี้หรือไม่ก็เค้ก นานๆครั้งจะมีคัสตาร์ดหรือขนมแปลกๆมาให้ชิมบ้าง แต่วันนี้ออกจะเหนือความคาดหมายอยู่สักหน่อย เพราะสิ่งที่คากามิถืออยู่นั้นคือเยลลี่สีแดงสดที่ทำให้หวนรำลึกถึงครั้งแรกที่ได้เจอกัน

    เมื่อประมาณสองปีก่อน เขาไปต่างประเทศพร้อมกับครอบครัว เนื่องด้วยเรื่องงานของพ่อ ในตอนที่เขาเดินอยู่กลางเมือง บริเวณจัตุรัสสักที่ซึ่งเขาลืมชื่อไปแล้ว ในวินาทีที่เขาได้เห็นคากามิ เขารู้สึกว่าไม่อาจถอนสายตาไปจากคนคนนั้นได้ เหมือนในหัวใจกำลังมีความยินดีอย่างเปี่ยมล้น ราวกับว่าได้เจอสิ่งที่ตามหามานาน อยากวิ่งเข้าไปกอด อยากสัมผัสตัว แต่คนคนนั้นเป็นใครก็ไม่รู้ ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยพูดกันสักคำ แล้วอยู่ๆทำไมถึงได้รู้สึกแบบนี้

    “ไม่กินเหรอ ?”

    “เปล่า... แค่นึกถึงครั้งแรกที่เจอคากามิ...”

    “อ๋อ ตอนนั้น”

    ตอนนั้นเขามัวแต่มองคากามิเพลิน พอรู้ตัวอีกทีก็พลัดหลงกับพ่อแม่เสียแล้ว ไม่ได้รู้สึกกลัวหรือแตกตื่นเลยสักนิด เพราะรู้ดีว่า ถ้ารออยู่ที่เดิมสักพัก เดี๋ยวก็ต้องมาคนมาตามหา แต่รู้สึกเบื่อมากกว่าที่ต้องอยู่เฉยๆ จะไปไหนก็ไม่ได้ แล้วอยู่ๆคนที่เขากำลังแอบมองอยู่ก็เดินเข้ามาหา แล้วถามว่า

    ...อาโอมิเนะใช่ไหม....

    เสียงกดกริ่งขัดจังหวะไม่ให้คากามิพูดต่อ เจ้าของบ้านเดินเข้าไปทางด้านในของตัวบ้าน คงจะเดินไปเปิดประตูอีกฝั่งหนึ่ง เด็กชายก้มลงมองเยลลี่ในมือ ก่อนจะตักขึ้นมากินอย่างช้าๆ รสชาติของมันแตกต่างจากรสชาติในความทรงจำตอนนั้น แต่ใช่ว่าไม่อร่อย เพียงแค่แตกต่างกันเท่านั้น

    “อ๊ะ อาโอมิเนจจจจจจิ๊”

    เสียงนั้นแทบทำให้อาโอมิเนะเด้งตัวออกจากเก้าอี้ในทันที แต่ไม่ทันคนที่มาเยือน ชายหนุ่มผมทองคว้าร่างเล็กๆไปกอดแน่น ขยี้ผมสีน้ำเงินนั้นจนยุ่งเหยิง ดังเช่นที่ทำทุกครั้งเมื่อเจอหน้ากัน โดยไม่สนใจว่าเด็กชายจะทำหน้าตาบูดบึ้งอย่างไร

    “ปล่อยสิวะ มันน่ารำคาญนะ คิเสะ”

    “ช่วยไม่ได้ ก็อาโอมิเนจจิน่ารักนี่นา”

    คิเสะ เรียวตะเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนของคากามิ ส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ต่างประเทศ แต่เมื่อมีโอกาสกลับมาที่ญี่ปุ่น ก็จะแวะมาหาคากามิเสมอ ใครจะไปเชื่อว่า ชายหนุ่มที่ดูบ้าๆบอๆแบบนี้ เมื่อก่อนเคยเป็นนายแบบชื่อดังที่แค่พูดชื่อ ก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร ไม่รู้ว่าสาวๆที่เคยเห็นภาพตามหน้าหนังสือแล้วมารู้จักตัวจริง จะฝันสลายไปตามๆกันหรือเปล่า

    “จะอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันไหม ?”

    “อยู่สิ อยู่สิ ขอค้างด้วยนะ คากามิจจิ”

    บทสนทนานั้นทำให้อาโอมิเนะยิ่งอารมณ์บูดมากขึ้นไปอีก ถึงแม้ไม่พูดอะไรออกมา แต่คิเสะก็รู้สึกได้ว่าเด็กชายในอ้อมแขนเขามีระดับความไม่พอใจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ทีนี้ไม่ใช่แค่รำคาญแล้ว แต่ดูออกไปทางโกรธมากกว่า

    “อาโอมิเนจจิ อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันไหม ?”

    ยังไม่ทันจะอ้าปากตอบ เจ้าของบ้านก็ชิงพูดขึ้นมาว่า

    “อยู่ได้ยังไง วันนี้แม่อยู่บ้านไม่ใช่เหรอ”

    เพียงแค่นั้น อาโอมิเนะก็ทำปากยื่นด้วยความไม่พอใจ นึกอยากงับแขนคิเสะแล้ววิ่งไปอ้อนคากามิ แต่รู้ดีว่า ขืนทำไปก็มีแต่ทำให้ชายหนุ่มผมแดงไม่พอใจที่เขาเป็นเด็กดื้อ เพราะเคยคุยกันหลายครั้งแล้วเรื่องการมาขลุกอยู่ที่บ้านว่า บ้านนี้ยินดีต้อนรับมาได้ทุกเมื่อ แต่ว่าจะต้องกลับไปบ้านในเวลาที่เหมาะสม เช่น เวลาอาหารเย็น และที่สำคัญคือ หากไม่จำเป็น ห้ามมานอนค้างที่นี่เด็ดชาด

    “มีบ้านตัวเอง ทำไมไม่กลับ”

    พอคล้อยหลังคากามิ เด็กชายก็บ่นอุบ แถมยังแอบเตะขาคิเสะเข้าเต็มๆหนหนึ่ง แล้วหนีไปหลบอีกด้านหนึ่งของห้อง ชายหนุ่มผมทองคลำตรงที่ถูกเตะ ที่จริงไม่ได้เจ็บอะไรมากนัก แต่ถ้าไม่แสดงท่าทีอะไรเลย เดี๋ยวเด็กชายจะยิ่งอารมณ์บูดมากขึ้น คิเสะนึกเอ็นดูเด็กคนนี้ตั้งแต่แรกเห็น โดยไม่มีเหตุผล แม้จะชอบทำหน้าตาบึ้งตึง แถมยังตาขวาง แต่ไม่รู้ทำไม กลับรู้สึกว่ากริยาเหล่านั้นน่ารักน่าเอ็นดู

    “อาโอมิเนจจิ ขี้งก”

    “นานๆฉันจะมาที แบ่งคากามิจจิให้ฉันบ้างสิ”

    อาโอมิเนะรู้ดีว่า คิเสะไม่ได้มีเวลามาที่นี่บ่อยๆ ปีหนึ่งจะกลับมาญี่ปุ่นสักสามสี่ครั้ง มากหน่อยก็หกครั้ง แต่ก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี เพราะเวลาที่ทั้งสองคนคุยเรื่องที่เขาไม่เข้าใจ คุยเรื่องสมัยก่อนที่เขายังไม่เกิดมา มันทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองถูกดันออกมานอกวง ถูกแย่งพื้นที่ความสนใจของคากามิไป

    “เยลลี่นี่น่ากินจัง”

    แม้เยลลี่จะมีรอยถูกตักกินไปแล้ว แต่คิเสะก็ไม่ถือแต่อย่างใด กำลังจะคว้าช้อนขึ้นมาตักกินดูสักคำ เด็กชายที่แอบอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องก็วิ่งถลาเข้ามา แล้วแย่งทั้งเยลลี่ทั้งช้อนไปจากมือ

    “อะไรกัน ของอาโอมิเนจจิหรอกเหรอเนี่ย ?”

    “ขอกินสักคำสิ”

    ถ้าขู่ฟ่อเหมือนแมวได้ อาโอมิเนะอาจจะทำไปแล้ว แต่ก็ทำได้แค่มองตาขวาง พร้อมกับกอดเยลลี่ในมือเอาไว้แน่น คิเสะยิ้มกว้างแล้วหัวเราะเบาๆออกมาด้วยความรู้สึกตลกขบขัน

    “ขี้งกจริงๆเลยนะ อาโอมิเนจจิเนี่ย”

    ++++++++++

    ตอนนี้เป็นเวลาประมาณสามทุ่ม แน่นอนว่า อาโอมิเนะกลับบ้านไปนานแล้ว แม้จะต้องใช้วิธีทั้งขู่ทั้งปลอบทั้งหลอกล่อก็ตามที คิเสะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ชายหนุ่มเดินลงมาหาเจ้าของบ้านที่ยังทำงานอยู่บริเวณห้องนั่งเล่น เพียงแต่ย้ายเข้ามานั่งทำงานที่โซฟาหน้าโทรทัศน์แทน หลังจากปิดประตูตรงระเบียงตอนฟ้ามืด

    “ช่วงนี้ยุ่งๆเหรอ ?”

    “ก็นิดหน่อย”

    คำว่านิดหน่อยของคากามินั้น คือเอกสารที่กองเต็มโต๊ะในห้องนั่งเล่น ถ้าให้เดาคงมีอีกหลายปึกอยู่ในห้องทำงาน เพียงแต่ว่าเจ้าตัวไม่ได้ขนออกมาเท่านั้นเอง ที่จริงอาจจะไม่ใช่ว่าชอบทำงานนอกห้องทำงาน แต่เป็นเพราะในห้องแทบไม่มีที่เหลือให้ทำงานแล้วมากกว่า

    “ที่จริง ถ้าเดินทางไปทำที่นั่น เหมือนเมื่อก่อน น่าจะสบายกว่านะ”

    “ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากล่องลอยไปๆมาๆเหมือนนาย”

    “ใจร้ายจังนะ ฉันก็ไม่ได้อยากเดินทางไปๆมาๆเสียหน่อย”

    เมื่อก่อนคิเสะเคยเป็นนายแบบ เป็นอาชีพที่ต้องเดินทางไปมาอยู่เสมอ ต่อมาคิเสะได้พบกับคนคนหนึ่ง เป็นคนที่คิเสะสามารถทิ้งทุกอย่างได้เพื่อคนคนนั้น เพียงเพื่อจะได้รับความรักและการยอมรับจากคนคนนั้น จึงได้เลิกอาชีพนายแบบ ในตอนแรกเพื่อนของเขา เลือกงานที่สามารถอยู่ที่ญี่ปุ่นได้ตลอด ไม่ต้องเดินทาง เพื่อจะได้รอต้อนรับคนคนนั้นกลับมาบ้านได้ แต่โชคชะตากลับเล่นตลก งานของคิเสะไปได้สวยจนต้องกลับมาเดินทางอีกครั้ง ไปๆมาๆ ก็ไม่ต่างจากเดิมเท่าไรนัก

    “ก็นายไม่พยายามเองนี่”

    “ใครจะเหมือนคากามิจจิล่ะ พยายามทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ญี่ปุ่น”

    ที่จริงคากามิทำงานเกี่ยวกับภาษา เป็นคนที่พูดได้ 7 ภาษา ไม่สิ ไม่ควรเรียกว่าพูดได้ ควรเรียกว่ามีความเข้าใจในภาษาถึง 7 ภาษาและยังสามารถสื่อสารขั้นพื้นฐานในภาษาอื่นๆได้อีก 10 กว่าภาษา ด้วยความสามารถที่หาตัวจับได้ยากนี้ ทำให้ทุกคนพากันเทงานมาลงที่คากามิและยอมจ่ายด้วยราคาแพงลิบลิ่ว เพื่อให้ได้มาซึ่งงานที่มีคุณภาพ

    “แล้วที่ไม่ยอมไปไหน เพราะอาโอมิเนจจิใช่ไหมล่ะ ?”

    ชีวิตของคากามิ ไทกะไม่เคยอยู่ติดที่สักครั้ง นับตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลายก็ออกเดินทางไปตามประเทศต่างๆอยู่สักพัก ก่อนจะมาเรียนจบมหาวิทยาลัยเป็นเรื่องเป็นราวอีกครั้งตอนอายุ 22 ปี โชคดีที่มีความสามารถทางภาษาในระดับสูง อาจจะเป็นเพราะการเดินทาง หรือเพราะความสามารถส่วนตัวก็ไม่อาจรู้ได้ แต่เจ้าตัวก็สามารถเรียบจบได้อย่างรวดเร็วภายในหนึ่งปี และออกเดินทางไปยังสถานที่อื่นๆต่อไป จนกระทั่งเมื่อสองปีก่อน ที่ได้พบกับอาโอมิเนะ

    “อืม เพราะสัญญาเอาไว้น่ะ”

    “ว่าจะอยู่ด้วยกัน”

    คิเสะฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่อยากถามออกไป คากามิคงจะเจอเรื่องมากมายตอนที่เดินทาง ถึงจะได้คุยตอบโต้กันทางอีเมลล์กันบ้าง แต่คนอย่างคากามิคงไม่เล่าทุกอย่าง แตกต่างจากเขาที่พิมพ์เมลล์เล่าอะไรต่อมิอะไรเสียยาวยืด

    หลังจากเหตุการณ์ร้ายของทีมเซย์ริน คิเสะรู้สึกว่า เพื่อนของเขาดูเหงาๆชอบกล เหมือนสับสนและหลงทาง พยายามตามหาอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะพยายามอยู่เคียงข้าง พยายามให้กำลังใจสักเท่าไร ก็ไม่ช่วยให้ดีขึ้น แต่พอได้มาเจออาโอมิเนะเหมือนความมีชีวิตชีวาในตัวคากามิก็กลับมา ที่เห็นชัดก็คือรอยยิ้ม มันไม่ใช่แค่เครื่องประดับใบหน้าเฉยๆอีกแล้ว แต่มันเป็นสิ่งที่แสดงความสุขออกมาจากหัวใจ

    เขารู้ดีว่า ความรู้สึกที่คากามิมีต่ออาโอมิเนะนั้น ไม่ใช่แค่เพียงความรักในครอบครัว ความรักที่ผู้ใหญ่มีต่อเด็ก หรืออะไรในทำนองแบบนั้น มันเป็นสิ่งที่เหมือนกับแว่บแรกที่เขาเห็นคนคนนั้น มันเป็นความรักที่รู้ได้ทันทีเลยว่า จะต้องเป็นคนคนนี้เท่านั้น ตลอดทั้งชีวิตนี้ที่เหลืออยู่ ไม่มีทางรักใครหรือต้องการใคร นอกเสียจากคนคนนี้

    โชคดีที่เหมือนอาโอมิเนะจะรู้สึกแบบเดียวกับคากามิ เด็กชายไม่เคยปกปิดความหวงแหน ความรักใคร่เสน่หา เพียงแต่แสดงออกมาแตกต่างจากผู้ใหญ่ อาโอมิเนะชอบสัมผัสคากามิ ชอบให้คากามิสัมผัส ชอบเข้าไปอ้อนไปกอดเหมือนเด็กๆ คากามิเองก็เก่งที่วางตัวอย่างเหมาะสม สอนสิ่งที่อาโอมิเนะควรรู้ ไม่ตามใจจนเกินไป

    “อาโอมิเนจจิเนี่ย โชคดีจังเลยนะที่ได้เจอกับคากามิจจิ ตั้งแต่ยังเด็ก”

    “ถ้าฉันได้เจอกับคนคนนั้นตั้งแต่เด็ก จะมีความสุขขนาดไหนนะ”

    คำพูดนั้น ทำให้คากามิหัวเราะออกมา แต่ยังไม่ทันที่จะถามว่า มันน่าขำตรงไหน โทรศัพท์มือถือของคิเสะก็ดังขึ้น พอเห็นชื่อว่าเป็นใครโทรมา คิเสะก็รีบตะครุบรับในทันที ใบหน้าของชายหนุ่มนั้นเบิกบาน เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เพียงแค่เห็นแบบนั้นก็รู้ทันทีว่า เป็นใครโทรมา โดยไม่ต้องเอ่ยถาม

    คากามิปิดคอมพิวเตอร์ เก็บกองงาน ตั้งใจว่าจะไปอาบน้ำ ตอนที่กำลังจะอ้าปากถามถึงกำหนดการวันพรุ่งนี้ ก็เปลี่ยนใจว่า ไม่ขัดจังหวะตอนนี้จะดีกว่า

    ถึงนายจะไม่ได้เจอกับคนคนนั้นตั้งแต่เด็ก...แต่ฉันว่าตอนนี้...

    ...นายก็มีความสุข...ไม่แพ้ใครๆ...

    ++++++++++

    ตั้งแต่เด็กมา อาโอมิเนะมักฝันถึงใครคนหนึ่งเสมอ คนคนนั้นมีเส้นผมสีแดงเพลิงและรอยยิ้มที่สดใสเหมือนดวงตะวัน เขามักจะตื่นก่อนที่จะได้เห็นใบหน้า บางครั้งน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไม่มีเหตุผล รู้สึกคิดถึงคนคนนั้นเหลือเกิน ทั้งที่ไม่รู้จัก แต่อยากพบมากมายเหลือเกิน ในตอนนั้นอาโอมิเนะไม่เข้าใจว่า ความฝันนั้นคืออะไร

    เมื่อสองปีก่อน ตอนได้เห็นคากามิครั้งแรก แม้จะมีความรู้สึกพิเศษ แต่ยังไม่ได้นึกถึงความฝันอันนี้ เขาเพียงแค่รู้สึกแปลกใจที่อีกฝ่ายเรียกชื่อของเขาได้ถูก ทั้งที่ไม่เคยเจอกัน

    อาโอมิเนะใช่ไหม...

    ในตอนที่ไม่รู้ว่าควรตอบรับหรือปฏิเสธอีกฝ่ายก็แนะนำตัวเอง ชื่อนั้นเป็นชื่อที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่มันช่างบีบหัวใจเหลือเกิน เมื่อยามได้ยิน ยิ่งเมื่อทวนชื่อนั้นออกจากริมฝีปาก ราวกับว่าจิตวิญญาณโหยหา อยากจะเรียกชื่อนี้มาตลอด

    คากามิ...

    ที่จริงควรจะเรียกว่าคนแปลกหน้า ไม่ควรจะไว้ใจ แต่อาโอมิเนะกลับสบายใจที่จะนั่งคุยด้วย สิ่งที่ส่งมาให้จากมือนั้นท่ามกลางอากาศร้อนผ่าวคือ เยลลี่สีแดงสดที่อยู่ในถ้วยปิดสนิท เป็นเยลลี่ธรรมดาที่ขายอยู่ในตู้แช่แข็งตามร้านขายของ แต่มันกลับเป็นรสชาติที่ติดอยู่ในความทรงจำไม่รู้ลืม เพราะนั่นเป็นครั้งแรกที่เราเจอกัน

    จากความฝัน...มาสู่ความเป็นจริง...

    เสียงนาฬิกาปลุกทำให้อาโอมิเนะตื่นขึ้นจากความฝัน เขากดปิดมันอย่างแรงด้วยความรำคาญ ตั้งแต่พบกับคากามิ เขาไม่เคยฝันเห็นชายหนุ่มที่มีผมสีแดงเพลิงซึ่งไม่เห็นหน้าอีกต่อไป แต่มักฝันถึงการเจอกันครั้งแรกซ้ำๆ วันที่ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าเข้มและอากาศร้อนอบอ้าว รอยยิ้มของคนคนนั้น ยามที่ส่งเยลลี่สีแดงสดในมือมาให้ รสชาติและความเย็นของมันเด่นชัดในความฝัน ราวกับเป็นความจริงที่เกิดขึ้นซ้ำๆ

    วันนี้วันจันทร์อีกแล้วสินะ...

    แม้อาโอมิเนะจะแวะไปที่บ้านของคากามิทุกเย็น แต่เด็กชายก็ยังเฝ้ารอให้วันเสาร์อาทิตย์มาเยือนอยู่เสมอ เพราะหากเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ คากามิจะยอมออกไปเล่นบาสเก็ตบอลด้วยกัน แม้สถิติในตอนนี้เขาจะไม่เคยชนะคากามิได้สักครั้ง แต่หากโตขึ้นกว่านี้ ตัวสูงทัดเทียมกัน รับรองต้องไม่แพ้แน่

    “ไดกิ ตื่นหรือยัง เดี๋ยวก็สายหรอก”

    เสียงเรียกของแม่ ทำให้อาโอมิเนะรีบลุกขึ้นจากเตียง สลัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดออกไปจากหัว เขาต้องไปโรงเรียน ต้องรีบล้างหน้าแปรงฟันแต่งตัว เดี๋ยวจะไปไม่ทันเวลาเข้าเรียน

    ใช่ว่าเขาอยากไปโรงเรียน ใช่ว่าเขาชอบเรียนหนังสือ แต่เป็นเพราะ คากามิเคยเตือนเอาไว้ เมื่อครั้งเจอเขาโดดเรียนไปเตร็ดเตร่อยู่แถวสนามบาสเก็ตบอล หากว่าเขายังชอบโดดเรียน ไม่สนใจการเรียน เป็นเด็กไม่ดี ก็ไม่ต้องมาหาอีก จะไม่เปิดประตูต้อนรับ จะไม่เอาขนมมาให้ แล้วก็จะไม่สนใจเขาอีกต่อไป

    อาจจะเป็นแค่คำขู่ของผู้ใหญ่...แต่สำหรับอาโอมิเนะแล้ว แค่ความเป็นไปได้เพียงเล็กน้อยที่จะถูกคากามิเมิน ก็ทำให้เขารู้สึกกลัวจนแทบทนไม่ได้ ฉะนั้นหากเป็นสิ่งที่ทำได้แล้วล่ะก็ ไม่ว่าอะไรก็จะทำให้ ไม่ว่าอะไรก็จะพยายามอย่างดีที่สุด

    “ผมไปแล้วนะ”

    หลังจากกินอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว อาโอมิเนะก็ขี่จักรยานไปโรงเรียน ที่จริงระยะทางนั้นไม่ไกลเท่าไร จะเดินเท้าไปก็ได้ แต่เพราะเด็กชายชอบอ้อมไปทางที่ผ่านหน้าบ้านคากามิ จึงมักจะใช้จักรยาน

    เช้าวันนี้คากามิกำลังถือสายยางรดน้ำต้นไม้อยู่ที่บริเวณระเบียงบ้าน อาโอมิเนะยังไม่ทันจะส่งเสียงเรียก ก็เหมือนอีกฝ่ายจะเห็นก่อน จึงได้ยิ้มแล้วโบกมือให้เล็กน้อย ช่วงเวลาสั้นๆเพียงแค่ไม่ถึงนาทีที่ได้เห็นหน้า ก็ทำให้เด็กชายรู้สึกมีความสุขไปทั้งวัน หากวันไหนพลาดโอกาส ไม่ได้เจอกัน ก็จะรู้สึกหงุดหงิดอารมณ์เสียจนคนรอบข้างต้องถอยห่าง

    ดูเหมือนว่า... อาโอมิเนะ ไดกิคุงจะเป็นโรคเสพติดคากามิไปเสียแล้ว...

    ++++++++++

    “ขอบคุณมากครับ”

    ชายหนุ่มผู้มารับงานจากคากามิโค้งต่ำ ก่อนที่จะเอาซองเอกสารที่อัดแน่นไปด้วยแผ่นกระดาษมากมายกลับไปด้วย งานชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งเสร็จแล้ว แต่ยังมีงานคอยให้สะสางอยู่อีกมาก ซึ่งทุกอย่างจะง่ายขึ้น หากเขายอมเดินทางไปต่างประเทศ ไปอยู่ในสถานที่จริง ซึ่งจะเข้าใจอะไรต่างๆได้ดีกว่า การอ่านศึกษาข้อมูลจากกระดาษ

    ช่วยมาทางนี้เถอะครับ...

    คำขอร้องที่ถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า จนคากามิเองก็ยังแปลกใจว่า ทำไมอีกฝ่ายถึงได้สนอกสนใจในตัวเขานัก แต่บรรดาผู้คนรอบข้างที่เคยรู้จัก เคยได้ช่วยเหลือเรื่องงานต่างก็บอกว่า ความสามารถทางภาษาของคากามินั้น ไม่ได้อยู่ในระดับธรรมดาเหมือนคนปกติทั่วไป ซึ่งการจะหาคนมาทำงานในระดับนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆอย่างที่ชายหนุ่มคิด เพราะฉะนั้นถึงจะเล่นตัวหรือตอบปฏิเสธสักกี่หน ก็มีแต่ต้องตามตื้อเท่านั้น

    บางครั้งคากามิก็นึกใจอ่อน อยากจะบินไปช่วยทำงานทางนู้นเหมือนกัน แต่เนื่องจากเคยจับงานมาก่อน จึงพอรู้ว่า ระยะเวลาไม่ใช่แค่วันสองวันสั้นๆ แต่ยาวนานเป็นสัปดาห์หรืออาจเป็นเดือนก็ได้ ซึ่งเขาไม่มีปัญหาเรื่องการทำงานหรือการใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ เพียงแต่ตอนนี้เขาได้ค้นพบจุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว ฉะนั้นเขาจะไม่ยอมจากไปไหนแน่ๆ

    คากามิเริ่มเดินทางไปทั่วโลกตั้งแต่อายุ 18 ปี โชคดีที่ทางบ้านไม่ขัดสนเรื่องเงินทอง เขาจึงไปเที่ยวตามที่ต่างๆได้อย่างอิสระ ทำงานหาเงินและเรียนรู้ภาษาวัฒนธรรมต่างๆไปด้วย การเดินทางทำให้เขามีความสามารถทางภาษาสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว นั่นอาจจะเป็นความสามารถพิเศษที่มีอยู่ในตัวด้วยส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนก็เกิดจากประสบการณ์การเดินทาง ซึ่งน้อยคนนักจะมี หลายคนต่างบอกว่า เขาเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง ชีวิตอนาคตต่อไปภายภาคหน้าจะไม่มีทางลำบาก

    แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ ไม่สิอาจจะไม่มีใครเลยก็ได้ที่รู้ ถึงเหตุผลที่แท้จริงซึ่งเขาออกเดินทาง...

    เขาไม่ได้ต้องการประสบการณ์หรือความสามารถใดๆ เขาไม่ได้อยากกลายเป็นคนยิ่งใหญ่หรือมีชื่อเสียง การที่เขาออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆบนโลกนั้น เพียงเพื่อจะค้นหาคนคนหนึ่งที่เขาเชื่อว่า จะต้องได้พบกัน คนที่จะเกิดมายังสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งบนโลกนี้ คนที่เขาสัญญาเอาไว้ว่าจะตามหาจนพบ

    ...อาโอมิเนะ ไดกิ...

    หลังจากค่ำคืนที่เปลี่ยนผ่าน วันแล้ววันเล่า การใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังนั้นทรมานอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเติบโตมาโดยมีคนอยู่เคียงข้างเสมอ ไม่เคยรู้จักว่าความเหงานั้นเป็นเช่นไร ราวกับเด็กหลงทางเมื่อยามพลัดหลงกับพ่อแม่ กว่าจะเข้มแข็งยืนหยัดได้ก็ต้องใช้เวลา และที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมดนั่นคือความรู้สึกภายในใจ ช่องว่างที่ขาดหายไป พื้นที่ของนาย นายเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่ว่าใครก็ไม่อาจถมช่องว่างนั้นให้เต็มได้

    เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น คากามิเหลือบมองหน้าจอก็เห็นว่าเป็นคิเสะโทรมา ปกติแล้วชายหนุ่มจะชอบส่งเมลล์มากกว่าโทรศัพท์ ถ้าไม่ใช่ธุระสำคัญจริงๆจะไม่มีทางโทรมา แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย

    “ฮัลโหล ?”

    “คากามิจจิ...ว่างอยู่หรือเปล่า...”

    “อืม”

    ฟังจากเสียงแล้วรู้สึกได้ว่า กำลังร้อนรนพอสมควร คงจะต้องโทรมาขอร้องให้เขาทำอะไรบางอย่างให้ ซึ่งคงไม่พ้นเรื่องของคนคนนั้น เพราะเรื่องที่ทำให้คนที่สดใสร่าเริง เต็มไปด้วยพลังชีวิตอย่างคิเสะเกิดทุกข์ร้อนขึ้นมาได้ มีไม่กี่เรื่องหรอก

    “เกิดความผิดพลาดนิดหน่อย”

    “ก็เลยคลาดกัน...”

    คากามิพอจะเดาได้ว่า คำพูดต่อไปจะเป็นอะไร นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คิเสะโทรมาขอร้องเขาเรื่องนี้ ไม่สิควรจะบอกว่า มีแต่เรื่องนี้ล่ะมั้งที่คิเสะยอมเอ่ยปากขอร้องเขา

    “ช่วยไปรับหน่อยสิ...เครื่องน่าจะถึงสนามบินแล้วมั้ง...”

    “เข้าใจแล้ว จะไปเดี๋ยวนี้”

    “โทษทีนะ คากามิจจิ”

    หลังจากขอโทษขอโพยและขอบคุณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คิเสะก็ยอมวางโทรศัพท์ไป คากามิเงยหน้ามองนาฬิกา ถ้ารีบหน่อยก็น่าจะกลับมาทันเวลาที่อาโอมิเนะจะมาหาที่บ้านพอดี คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

    คากามิก็นึกขำตัวเองอยู่เหมือนกัน หลังจากที่เจอกันครั้งหนึ่งแล้ว เขาก็ทำเรื่องแปลกประหลาดอย่างย้ายบ้านมาอยู่ใกล้ๆอีกฝ่าย ราวกับเป็นพวกโรคจิตชอบตาม ยอมซื้อบ้านเก่าๆโทรมๆด้วยราคาที่แพงกว่าราคาประเมินเกือบห้าเท่า เพียงเพื่อจะทุบมันทิ้งแล้วสร้างใหม่ ปรับพื้นที่ให้มีสวนเล็กๆจะได้ดูสดชื่นปลอดโปร่ง เสียอย่างเดียวพื้นที่แคบไปนิดหนึ่ง เขาก็เลยไม่สามารถทำสนามสตรีทบาสเก็ตบอลเอาไว้ในบริเวณบ้านได้

    ทั้งหมดนั้น ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่ออาโอมิเนะ เขาอยากให้เด็กชายได้วิ่งเล่นในสิ่งแวดล้อมที่ดี ไม่ใช่อยู่ในบ้านเก่าๆแคบๆ อยากให้เป็นสถานที่ที่อยู่ได้อย่างสบายกายและสบายใจ  อยากดูแลนายให้ดีที่สุดเท่าที่สถานภาพของฉันจะเท่าได้

    เหมือนที่นายปกป้องดูแลฉัน...ในตอนนั้น...

    แม้นายจะจำไม่ได้แล้วก็ตาม...

    ++++++++++

     “คากามิ !! ทางนี้ !!

    คนที่คากามิต้องมารับคือ คนรักของคิเสะ คนที่ทำให้เพื่อนของเขายิ้มเหมือนคนบ้า ทำหน้าเหมือนตัวเองเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก เพียงแค่ได้รับโทรศัพท์ เพียงแค่ได้ยินเสียงของคนคนนี้ ถ้ามองแค่รูปลักษณ์ภายนอก คงไม่มีใครเชื่อว่า คนหน้าตาดูธรรมดาอย่างนี้ จะเป็นคนที่คิเสะหลงหัวปักหัวปำขนาดนั้นได้

    “ขอโทษที่รบกวนอีกแล้วนะ คากามิ”

    “ไม่เป็นไรครับ”

    คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานั้น ไม่ใช่สาวสวยหยาดฟ้ามาดินอย่างที่คนอื่นเข้าใจว่า คิเสะน่าจะคว้ามาเป็นแฟน แต่กลับเป็นชายหนุ่มผมดำรูปร่างสมส่วน แม้เวลาอยู่กับเขาหรือคิเสะจะดูเหมือนตัวเล็ก แต่ที่จริงมีส่วนสูงถึง 178 เซนติเมตร เป็นคนเอาจริงเอาจัง ไม่ค่อยยิ้ม แต่ที่จริงแล้วเป็นคนใจดี เป็นที่รักของคนรอบข้างทุกคน

    “อุตส่าห์บอกคิเสะแล้วนะว่า ไม่ต้องให้มารับให้วุ่นวาย ไปแท็กซี่ก็ได้”

    “แต่ถ้าไม่มารับคาซามัตสึซังก็คงไปพักที่โรงแรม ไม่แวะมาค้างที่บ้านผมใช่ไหมล่ะครับ”

    คำพูดนั้น ทำให้คนที่เพิ่งมาถึงญี่ปุ่นดูจะสะอึกไปเหมือนกัน คากามิมองสัมภาระที่มีเพียงกระเป๋าเดินทางล้อลากแบบกะทัดรัดเพียงใบเดียว แล้วตัดสินใจว่า การไม่เอ่ยปากว่าจะช่วยขนสัมภาระน่าจะเป็นการดีที่สุด เพราะแค่นี้ก็ดูคนตรงหน้าจะเกรงใจเขามากพอแล้ว

    “คิเสะก็คงเป็นห่วงน่ะครับ ก็เห็นขอโทษขอโพยตั้งหลายครั้ง แต่ถึงยังไงก็อยากให้มารับให้ได้”

    “เป็นพวกชอบทำอะไรโอเวอร์อยู่เรื่อย”

    “นั่นสินะครับ แต่นั่นก็เป็นข้อดีของเขานะครับ”

    ถึงจะบ่นนู้นบ่นนี่ แต่ใบหน้าที่มีสีแดงระเรื่อปรากฏอยู่นั้น แสดงให้เห็นว่า คาซามัตสึเองก็เข้าใจความเป็นห่วงของคิเสะอยู่เหมือนกัน เพียงแต่รู้สึกอายที่มีคนมาวุ่นวาย คอยเป็นธุระนู้นนี่ให้ สำหรับคาซามัตสึที่เป็นลูกคนเดียวและถูกเลี้ยงมาให้ช่วยเหลือตัวเอง ไม่ค่อยเคยชินกับเรื่องแบบนี้เท่าไร

    “งั้นก็ไปกันเถอะครับ คาซามัตสึซัง”

    พอเดินจนไปถึงรถ คากามิก็เข้าไปนั่งที่คนขับ ปล่อยให้คาซามัตสึก็ยกกระเป๋าเก็บเอาไว้ที่ท้ายรถเอง ซึ่งเจ้าตัวก็รู้สึกสบายใจกับการทำเช่นนี้มากกว่า เพราะหากเป็นคิเสะแล้วล่ะก็ คงจะต้องมายุ่งวุ่นวายช่วยเขายกแน่ๆ ไม่สิ คงจะแย่งกระเป๋ากันให้วุ่นวายตั้งแต่เจอหน้ากันมากกว่า หลังจากปิดท้ายรถเรียบร้อย คาซามัตสึก็ขึ้นไปนั่งข้างคนขับ คาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อย ระหว่างที่คากามิค่อยๆออกรถ

    คากามิกับคาซามัตสึนั้นรู้จักกันผ่านทางคิเสะ แต่ไปๆมาๆ ทั้งสองคนกลับสนิทกัน ราวกับรู้จักกันมานาน อาจเป็นเพราะเป็นลูกคนเดียวที่ถูกเลี้ยงมาแบบให้พึ่งพาตัวเองเหมือนกัน เลยเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายมากกว่า เวลาคุยด้วยก็รู้สึกสนิทใจมากกว่า จะคุยกับลูกคนเล็กที่โตมาแบบโดนเอาอกเอาใจอย่างคิเสะ

    “กลับมาคราวนี้ด้วยเรื่องงานหรือครับ ?”

    “ก็ส่วนหนึ่งน่ะ”

    แม้คาซามัตสึจำเป็นจะต้องเดินทางไปยังประเทศต่างๆอยู่เสมอ แต่ด้วยตัวงานชายหนุ่มจึงต้องกลับมาญี่ปุ่นประมาณเดือนละครั้ง เมื่อก่อนก็จะไปพักที่โรงแรมสักสองสามคืน ก่อนจะบินไปยังประเทศอื่นต่อ หลังจากได้รู้จักกับคากามิแล้ว คาซามัตสึก็เปลี่ยนไปค้างที่บ้านชายหนุ่มผมแดงแทน ด้วยการวางแผนแกมบังคับของคิเสะ

    การมานอนค้างที่บ้านคากามิทำให้ทั้งสองคนสนิทกันมากขึ้น แถมเรื่องงานของทั้งสองคนยังมีข้อมูลมากมายให้แลกเปลี่ยน บางครั้งคากามิก็โทรไปขอให้คาซามัตสึช่วยหาข้อมูลบางอย่างให้ ในขณะที่คาซามัตสึมักขอให้คากามิช่วยแปลข้อมูลที่จำเป็นให้เช่นกัน ด้วยความสัมพันธ์เช่นนี้ ทั้งสองคนจึงรู้เรื่องของกันและกันมากขึ้น สนิทกันมากขึ้น จนบางครั้งคิเสะยังรู้สึกอิจฉา

    “นี่คากามิ มีคนรักอยู่หรือเปล่า ?”

    คากามิแปลกใจอยู่เหมือนกันที่อยู่ๆคาซามัตสึถามเรื่องแบบนี้ขึ้นมา ปกติไม่ใช่คนที่ถนัดเรื่องพวกนี้นี่นะ แอบมองจากหางตา เหมือนว่าใบหน้าจะกลายเป็นสีแดงแปร๊ดแล้ว อุตส่าห์ข่มความอายเพื่อถามคำถามนี้ มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่านะ ?

    “ก็ไม่ได้มีหรอกครับ”

    “ถ้าจะพูดให้ถูกคือ แอบชอบเขาข้างเดียวอยู่”

    ก็ไม่ได้โกหกหรอก เพราะถึงก่อนหน้านี้อาโอมิเนะจะรักและดูแลเขาขนาดไหน แต่อาโอมิเนะ ไดกิตัวน้อยในตอนนี้ก็ไม่ได้มีความทรงจำเรื่องนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว เวลาที่มองเขาก็คงเห็นเป็นคนแถวบ้านที่ใจดี พี่ชายที่ทำอาหารอร่อย ไปบ้านทีไรก็มีขนมให้กิน อยู่ด้วยแล้วมีความสุข แต่คงไม่ได้คิดอะไรเกินเลยไปกว่านั้น แบบที่เขาต้องการ จะเรียกว่ารักข้างเดียวก็คงไม่ผิดล่ะมั้ง

    “เอ๋ ? จริงเหรอ ?? อย่างคากามิเนี่ยนะ”

    “ไม่คิดว่า อย่างผมจะมีความรักสินะครับ”

    “ไม่ใช่หรอก”

    คาซามัตสึรีบโบกมือไปมาเป็นการปฏิเสธอย่างรวดเร็ว ทำเอาคากามิหลุดหัวเราะออกมาจากท่าทีลุกลี้ลุกลนนั้น ปกติออกจะเป็นคนสุขุมเยือกเย็น ตัดสินใจอะไรได้อย่างเฉียบขาด แต่พอเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักทีไร กลายเป็นเหมือนเด็กๆทุกที คงจะเป็นทั้งจุดอ่อนและจุดน่ารักของคาซามัตสึซังล่ะนะ

    “ไม่คิดว่า...จะมีใครกล้าปฏิเสธคากามินี่นา...”

    “เปล่าหรอกครับ...ผมยังไม่ได้บอกออกไป”

    “มิน่าล่ะ...ไม่อย่างนั้นไม่มีใครปฏิเสธคากามิได้หรอก”

    คำตอบที่ออกมาจากปากนั้น ดูเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมาย ในสายตาของคาซามัตสึซังนั้น เขาเป็นอย่างไรกันนะ เป็นคนน่ากลัวหรือ ? เป็นคนที่มีอำนาจมากมายงั้นหรือ ?

    “เพราะคงไม่มีใครปฏิเสธคนที่ทำให้จิตใจรู้สึกอบอุ่นและสงบสุขได้หรอก”

    “จริงไหม ?”

    พอเห็นรอยยิ้มของคาซามัตสึซังแล้ว ก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรจะดีกว่า ที่จริงเขาคิดว่าตัวเขาเองไม่ได้ดีอย่างที่คาซามัตสึซังคิดหรอก เพียงแต่เขาจะพยายามอย่างดีที่สุด เพื่อคนที่เขารู้สึกดีด้วย อยากจะดูแลให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะอยากจะรักษารอยยิ้มนั้นเอาไว้

    ...รอยยิ้มของ...อาโอมิเนะ...

    พอคิดถึงภาพใบหน้าของเด็กน้อยยิ้มอย่างร่าเริงแล้ว ก็อดยิ้มตามไม่ได้ เพราะมันช่างเป็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์สดใส แตกต่างจากสมัยก่อนที่ยิ้มทีไร ชอบเป็นยิ้มมุมปากเป็นเชิงท้าทายทุกที ไม่ได้มีความน่ารักเอาซะเลย

    “อ้าว คิดถึงใครอยู่นั่น หน้าแดงแล้วนะ”

    ถึงคาซามัตสึซังไม่บอกก็พอรู้ เพราะรู้สึกได้ว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าว มันเพราะคิดถึงใครคนหนึ่งที่อยู่ในความทรงจำ คนที่มีปีกและคอยอยู่เคียงข้างเขาเสมอ คนโหดร้ายที่คิดจะจากเขาไปโดยไม่ลา คนที่บัดนี้เขาตามหาจนเจอและจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง

    “รถติดไม่ขยับเลยนะครับ”

    ระหว่างที่คุยกันอยู่นั้น น่าแปลกที่รถยังไม่ได้เคลื่อนตัวไปข้างหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว พอเห็นคนลงไปยืนดูอะไรสักอย่างกันอยู่ข้างนอก คาซามัตสึจึงลงจากรถไปถามว่ามีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า หลังจากยืนคุยอยู่สักพัก ก็กลับมาที่รถด้วยสีหน้ากังวลใจ

    “ดูเหมือนจะมีอุบัติเหตุ...”

    “เป็นช่วงถนนแคบด้วย ไม่สามารถผ่านไปได้เลย คงต้องใช้เวลาสักพัก”

    คากามิเหลือบมองนาฬิกา ใกล้เวลาที่ปกติอาโอมิเนะจะมาแล้ว ถ้ายังต้องติดอยู่ตรงนี้ขยับไปไหนไม่ได้ คงกลับไปไม่ทันเวลาแน่ๆ ถ้าวันนี้มาช้าสักหน่อยก็คงจะดี

    “คากามิ ขอโทษทีนะ”

    “ไม่ใช่ความผิดของคาซามัตสึซังนะครับ”

    คาซามัตสึซังเป็นคนใจดีและมีความรับผิดชอบสูง ฉะนั้นหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็จะโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองเสมอ ที่จริงอีกฝ่ายคงไม่รู้ว่า เขาจะรีบกลับบ้านไปด้วยเหตุผลอะไร เพียงแต่เห็นว่าเขาเหลือบมองนาฬิกาก็คงพอเดาได้ว่า เป็นกังวลในเรื่องเวลาอยู่พอสมควร

    “แค่จะมีคนมาหาที่บ้านน่ะครับ”

    คากามิพยายามยิ้มให้อีกฝ่ายคลายกังวล พยายามทำให้รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทั้งที่ในใจนึกสงสัยว่า หากอาโอมิเนะมาเจอบ้านที่ปิดล็อกและไร้ผู้คน จะทำยังไงต่อนะ จะรู้สึกยังไง ใจร้อนแบบนั้นก็คงจะหงุดหงิดแล้วก็โกรธ จากนั้นอาจจะปึงปังกลับบ้านไป แล้วก็ไม่ยอมมาหาอีกก็เป็นได้

    “คนมาหาเหรอ ?”

    “อาโอมิเนะน่ะครับ”

    มันเป็นความกลัวที่แสนไร้สาระ การไม่อยู่บ้านแค่หนเดียว ไม่มีทางทำให้ทุกอย่างพังทลายหรอก แต่ถึงอย่างนั้นคากามิก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล เมื่อชีวิตไม่ได้เป็นไปตามปกติ ไม่ได้เป็นไปอย่างที่วางแผนไว้ มันเหมือนจะมีอะไรเลวร้ายครั้งใหญ่เกิดขึ้น ราวกับรอยแผลครั้งเก่าฝังลึกเข้าไปในจิตใจ จนไม่สามารถหยุดความกลัวนี้เอาไว้ได้

    “ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ก็แค่มาเล่นที่บ้านตามปกติเท่านั้นเอง”

    ใช่...ไม่มีอะไรมากหรอก...

    ไม่มีอะไร...จะต้องกลัว...

    ++++++++++

    ประตูล็อก...

    เด็กชายผมสีน้ำเงินยืนจ้องมองประตูรั้วเหล็กสูง เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่า มันเหมือนองครักษ์ผู้พิทักษ์บ้านอันแสนเย็นชาซึ่งยืนสงบนิ่ง ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด ปกติแล้วประตูเหล็กบานนี้ จะเปิดรับเขาอยู่เสมอ ไม่ว่าเวลาไหน การที่อยู่ๆไม่สามารถผ่านเข้าไปได้นั้น ทำให้อาโอมิเนะรู้สึกเหมือนว่า ตัวเองกำลังถูกโกรธ

    ตั้งแต่รู้จักกันมา คากามิไม่เคยโกรธ อาจจะบ่นบ้าง เถียงกันบ้าง มีตักเตือนบ้าง แต่ไม่เคยสักครั้งที่จะขึ้นเสียงดังใส่ ยิ่งเรื่องโกรธจนไม่พูดด้วย นี่ยิ่งไม่เคยมี แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ทำไมอยู่ๆเขาถึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในบ้านล่ะ

    “คากามิ !!!

    ลองตะโกนเรียกชื่อจากหน้าบ้านดู แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆตอบ ทุกอย่างยังคงนิ่งสนิทดังเดิม

    หรือว่า...จะไม่อยู่บ้าน...

    พอมาลองคิดดูแล้ว ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะเจอกับบ้านที่ว่างเปล่าหรือประตูรั้วที่ถูกปิดเหมือนอย่างวันนี้ ถึงคากามิจะทำงานที่บ้าน ก็น่าจะมีบ้างที่ต้องออกไปไหนมาไหน แต่อาโอมิเนะกลับเจออีกฝ่ายอยู่บ้านเสมอ ถ้าไม่ทำงานอยู่ ก็อาจจะทำงานบ้าน เตรียมอาหารเย็น หรือไม่ก็รดน้ำต้นไม้ ทำสวนเล็กๆน้อยๆอยู่ จนลืมไปเลยว่า คนเป็นผู้ใหญ่นั้น จะต้องมีธุระไปไหนมาไหน จะมาอยู่คอยเป็นเพื่อนเล่นเด็กอย่างเขาตลอดเวลาไม่ได้หรอก

    ถึงจะรู้อย่างนั้นก็เถอะ...แต่อยากเจอคากามินี่นา...

    สุดท้ายแล้วเด็กชายจึงตัดสินใจนั่งลงตรงหน้าประตูบ้าน แล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้ากว้างข้างบน เมฆสีขาวลอยช้าๆไปตามกระแสลมที่พัด กลายเป็นริ้วๆเหมือนปีกสีขาว

    อยากเจอคากามิ...

    อยากเจอคากามิจังเลย...

    ++++++++++

    กว่าจะกลับถึงบ้านก็เลยเวลาที่กะประมาณไว้เกือบสองชั่วโมง พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ท้องฟ้ามืดสนิทกลายเป็นสีดำ แต่สิ่งที่ทำให้คากามิต้องหยุดรถแล้ววิ่งเข้าไปหาในทันทีก็คือ ร่างเล็กๆที่คู้ตัวอยู่หน้าบ้าน

    “อาโอมิเนะ”

    เด็กชายกำลังนั่งกอดเข่าอยู่หน้าประตูบ้าน ราวกับไร้ที่พึ่งพิง ราวกับไม่มีสถานที่ให้กลับไป แต่พอเห็นว่าใครอยู่ตรงหน้าแววตาที่เคยง่วงงุน ก็กลับสดใสในทันที เด็กชายรีบลุกขึ้นถลาเข้าไปกอด

    “ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ มีอะไรเกิดขึ้นเหรอ ? ทะเลาะกับที่บ้านเหรอ ?”

    ดวงตากลมโตสีน้ำเงินนั้นจ้องมองเขาด้วยความงุนงง ก่อนที่จะหัวเราะคิกคักออกมา ทำเอาคากามิยิ่งงงหนัก เมื่อกี๊เพิ่งทำท่าหดหู่เหมือนหมดอาลัยตายยาก แล้วอยู่ๆก็มาหัวเราะร่าเริง ตกลงมันยังไงกันแน่

    “ไม่ได้ทะเลาะกับใคร ไม่ได้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นแหละ”

    “ถ้าอย่างนั้นมานั่งอยู่ตรงนี้ทำไมล่ะ ?? นี่มันกี่โมงแล้วรู้ไหม ?”

    อาโอมิเนะเงยหน้ามองคนที่สูงกว่า ดวงตาสีแดงเข้มนั้นจ้องมองมาทางเขาอย่างคาดคั้น ดูเหมือนคากามิกำลังโกรธ ประกายในดวงตาบอกอย่างนั้น แถมริมฝีปากยังเม้มสนิท ไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่นิดเดียว

    “ก็แค่...”

    อาโอมิเนะชั่งใจว่า ควรจะโกหกหรือพูดออกไปตามความจริงดี แต่เพียงแค่ครู่เดียวก็ตัดสินใจว่า การโกหกนั้นไม่มีประโยชน์อะไรในสถานการณ์แบบนี้ แม้การพูดความจริงจะทำให้ถูกโกรธ แต่ก็ดีกว่าการโกหก

    “ก็แค่...อยากเจอคากามิ...”

    “ก็เลยอยู่รอ...”

    อาโอมิเนะเตรียมรับคำบ่นว่า คิดว่าจะโดนโกรธ แต่คนตรงหน้ากลับดึงตัวเขาเข้ามากอดแน่น กระซิบบอกคำว่า ขอโทษซ้ำๆ เด็กชายไม่เข้าใจว่า คากามินั้นขอโทษเรื่องอะไร เขาไม่เห็นรู้สึกว่า อีกฝ่ายทำผิดเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ไม่รู้ทำไมอยู่ๆน้ำตามันถึงได้ไหลออกมา

    ...ไหลออกมาอย่างไม่มีเหตุผลเลย...

    เย็นวันนั้นเป็นครั้งแรกที่อาโอมิเนะได้รับอนุญาตให้อยู่กินข้าวเย็นได้ ทั้งที่แม่อยู่บ้าน แถมยังได้กำไรได้นอนค้างคืนเพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุดอีกด้วย คากามิเป็นคนโทรไปขออนุญาตกับที่บ้านของอาโอมิเนะให้ด้วยตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่า การเลี้ยงลูกสไตล์บ้านอาโอมิเนะคือปล่อยให้ทำอย่างที่อยากทำ เมื่อได้รับคำยืนยันจากลูกชายว่า อยากนอนค้างที่นี่ คุณแม่ก็ไม่ได้ทัดทานอะไร แถมยังพูดทำนองว่า ลูกชายดิฉันมันเป็นเด็กชอบสร้างปัญหา แต่ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ

    อาหารเย็นวันนั้นจึงเป็นชุดใหญ่ แถมยังจัดให้ตามคำขอของอาโอมิเนะทุกอย่าง งานในครัววันนี้เป็นไปอย่างรวดเร็วและราบรื่น เพราะมีคาซามัตสึคอยช่วยทำอะไรเล็กๆน้อยๆ โดยมีอาโอมิเนะนั่งดูให้กำลังใจอยู่ที่ประตูห้องครัว ที่จริงคิเสะเองก็ทำงานในครัวได้ดีพอสมควร แต่เพราะอาโอมิเนะจะต้องเข้ามาวุ่นวายแย่งงานไปทำ จนทุกอย่างเละเทะไปหมด คากามิจึงตัดปัญหาโดยการไล่ทั้งคู่ออกไปจากครัว

    “อาโอมิเนะ มาเอาจานนี่ออกไปหน่อย”

    “โอเค คาซามัตสึซัง งั้นผมยกตรงนี้ออกไปด้วยนะ”

    ทั้งที่ดูไม่ชอบหน้าคิเสะเป็นอย่างมาก แต่อาโอมิเนะกลับว่าง่ายกับคาซามัตสึซัง อาจจะเพราะบรรยากาศรอบตัวแตกต่างกันล่ะมั้ง คาซามัตสึซังดูเป็นผู้ใหญ่ มีเหตุมีผล น่าเชื่อถือ ไม่เคยทำตัวบ๊องๆ หรืองอแงแบบเด็กๆเหมือนคิเสะ

    หลังจากจัดการกับอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว คากามิดึงดันไม่ยอมให้แขกทั้งสองมาช่วยล้างจาน ทั้งสองคนจึงไปนั่งดูทีวีกันอยู่ในห้องนั่งเล่น เปิดไปเปิดมาดูช่องนั้นช่องนี่ สุดท้ายก็จบลงที่รายการแข่งขนบาสเก็ตบอลจนได้

    “คาซามัตสึซัง ชอบเล่นบาสเก็ตบอลหรือเปล่า ?”

    “ชอบสิ ตอนเรียนอยู่นี่เล่นทุกวันเลยนะ แต่พอทำงานแล้วก็ไม่ค่อยมีเวลาเล่นเลย”

    “ผมก็ชอบเล่นบาสเก็ตบอลมากเลย เล่นกับคากามิอยู่บ่อยๆ”

    พอเห็นชายหนุ่มผมแดงเดินออกมาจากห้องครัว เด็กชายก็ประกาศด้วยเสียงอันดังว่า พรุ่งนี้เราสามคนจะไปเล่นบาสเก็ตบอลกันตั้งแต่เช้า โดยไม่ถามผู้ใหญ่เลยสักนิดว่า ว่างหรือเปล่า มีงานต้องทำไหม คากามิเดินมาเขกหัวอาโอมิเนะเบาๆเป็นเชิงสั่งสอน แล้วบอกว่า ไปพูดแบบนั้นได้ยังไง ต้องถามก่อนสิว่า คาซามัตสึซังว่างไหม

    “เอาสิ ฉันเองก็อยากเล่นบาสเก็ตบอลเหมือนกัน”

    “งั้นพรุ่งนี้ไปเล่นกันนะ”

    พอสิ้นสุดคำนั้นอาโอมิเนะก็ตะโกนโห่ร้องด้วยความยินดี แล้ววิ่งไปรอบห้อง ครั้งนี้คากามิไม่ได้ห้ามอะไร คาซามัตสึเองก็เพียงแต่บอกว่า ระวังหกล้ม ทั้งสองคนมองดูเด็กชายตัวน้อยที่กำลังเติบโตขึ้นทุกวันอย่างแข็งแรงและร่าเริง

    คากามิเหมือนเห็นปีกสีขาวอันเล็กๆที่กลางหลังนั้น...

    ปีกของเทวดา...ที่มีหัวใจอันบริสุทธิ์...

    ++++++++++

    เวลาทั้งหมดของวันเสาร์ถูกยกให้เป็นเวลาของบาสเก็ตบอล ทั้งสามคนเล่นบาสเก็ตบอลกันไม่หยุด แน่นอนว่าชัยชนะเกือบทั้งหมดตกเป็นของคากามิด้วยส่วนสูงและพลังในการกระโดด จะมีบ้างเหมือนกันที่คาซามัตสึใช้ความสามารถในการหลบหลีกและชู้ตลูกสามคะแนนลงไปได้บ้าง ส่วนอาโอมิเนะนั้นด้วยส่วนสูงและประสบการณ์ที่น้อยกว่าคนอื่นมาก จึงไม่สามารถเอาชนะได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งนี้ทั้งนั้นเจ้าตัวกลับเริ่มพัฒนาการชู้ตลูกแบบแปลกๆขึ้นมาได้ แต่ความแม่นยำนั้นยังมีไม่มากพอที่จะเอาชนะ

    “ไม่ได้เล่นจนเหนื่อยแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วเนี่ย”

    คาซามัตสึเหงื่อท่วมตัว ลงไปนั่งหอบอยู่บนพื้น ใบหน้านั้นมีรอยยิ้มจากความสนุกสนานที่ได้จากบาสเก็ตบอล คากามิเองก็เหงื่อท่วมตัวเหมือนกัน ดูเหมือนจะหายใจหอบนิดหน่อย กำลังยืนพักให้หายเหนื่อย แต่คนที่แรงดีไม่มีตก ไม่รู้เอาพลังงานมาจากไหนก็คือ อาโอมิเนะ ที่ตอนนี้ยังคงวิ่งเลี้ยงลูกไปมาในสนามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

    “อะไรกัน แค่นี้เหนื่อยกันแล้วเหรอ”

    “มาเล่นกันต่อสิ ผมยังไม่ชนะสักครั้งเลยนะ”

    คากามิอดหัวเราะไม่ได้ที่ได้ยินประโยคนั้น มันทำให้เขาคิดถึงสมัยเด็ก ยามเมื่อเล่นบาสเก็ตบอลกับอาโอมิเนะ สถิติชัยชนะเป็นศูนย์นั้นรบกวนจิตใจเขาเสมอ จนต้องตื้อขอเล่นด้วยอีกครั้งอยู่เสมอ ซึ่งเขาโชคดีที่อาโอมิเนะในตอนนั้นเป็นเทวดาไม่ใช่มนุษย์ จึงไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยเลยสักครั้ง มีแต่เขานี่แหละที่เล่นจนหมดแรง ลงไปนอนวัดพื้นทุกครั้ง

    “พักแป๊บนึงน่า อาโอมิเนะ เดี๋ยวฉันจะไปซื้อน้ำ เอาอะไร ?”

    อาโอมิเนะเปลี่ยนแววตาเป็นสดใสในทันที รีบบอกน้ำที่ตัวเองอยากดื่ม เมื่อหันไปถามคาซามัตสึซัง เหมือนเจ้าตัวจะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมบอกว่า อยากดื่มอะไร ตู้กดน้ำนั้นอยู่ไม่ไกลจากสนามมากนัก ใช้เวลาเดินไม่ถึงสามนาที พอกลับมาอีกที คาซามัตสึซังก็เปลี่ยนไปนั่งพักแถวม้านั่งข้างสนาม ส่วนอาโอมิเนะก็ยังเผาผลาญพลังงานที่ไม่มีวันหมดด้วยการเล่นบาสเก็ตบอลตามลำพัง

    “อาโอมิเนะ มาพักก่อนมา”

    “ขอเล่นอีกหน่อย แล้วจะไป”

    คากามิไม่รู้ว่าเด็กๆเป็นแบบนี้ทุกคนไหม แต่เขาต้องยอมรับเลยว่า ตัวเองเหนื่อย แล้วคาซามัตสึซังก็ดูเหนื่อยมาก แต่ไม่รู้ทำไมอาโอมิเนะถึงได้ดูร่าเริงดี ถึงเหงื่อจะออกมากแค่ไหน แต่กลับไม่มีอาการหอบเลยสักนิด ร่างกายแข็งแรงจนน่าอิจฉา

    “คากามิ เคยฝันอยากมีครอบครัวไหม ?”

    “เอ๋ ? ทำไมอยู่ๆถามแบบนี้ล่ะครับ ?”

    “แค่สงสัยน่ะว่า คนทั่วไปก็น่าจะอยากแต่งงานกับผู้หญิงดีๆสักคน มีลูกน่ารักๆเหมือนอย่างอาโอมิเนะ”

    “แต่อย่างอาโอมิเนะนี่ก็ไม่น่ารักเท่าไรนะครับ”

    ทั้งสองคนหัวเราะออกมาพร้อมกันให้กับประโยคนั้น ถ้าจะบอกว่าน่ารักล่ะก็ คงไม่ใช่หรอก เพราะนิสัยเอาแต่ใจ แถมยังขี้โมโห ขี้โวยวายออกอย่างนั้น แต่ถ้าน่าเอ็นดูคงจะพอได้ ด้วยความใสซื่อ ตรงไปตรงมาและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของวัยเยาว์ ฉะนั้นถึงจะทำให้โกรธหรือโมโหแค่นั้น ก็เป็นต้องยกโทษให้ เพราะรู้สึกว่า อาโอมิเนะคงไม่ได้ตั้งใจ

    “คือว่า...คิเสะน่ะ...”

    พอรู้สึกว่า คาซามัตสึซังดูลำบากใจที่จะพูด คากามิก็ไม่คิดจะคาดคั้นแต่อย่างใด เพียงแค่รออย่างเงียบๆให้อีกฝ่ายพูดออกมาเอง การพูดถึงเรื่องการแต่งงานก่อนหน้านี้ เป็นสัญญาณอะไรหรือเปล่านะ หรือว่าคิเสะกำลังจะไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น แต่ก็ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นได้ ก็ยังดูให้ความสำคัญกับคาซามัตสึซังเป็นอย่างดีนี่นา

    หรือว่าคาซามัตสึซัง...กำลังจะแต่งงาน...

    คาซามัตสึเริ่มเล่าว่า ประมาณเดือนก่อน อยู่ๆคิเสะก็โทรมาบอกว่าอยากเจอ ทั้งที่ปกติก็รู้อยู่แล้วว่า เวลาว่างของทั้งคู่นั้นแทบจะไม่ตรงกันเลย แต่ก็ยังตื้ออยากจะเจอให้ได้ หลังจากพยายามนัดกัน แล้วก็พลาดนัดกันหลายต่อหลายครั้ง จนเมื่ออาทิตย์ก่อน อยู่ๆคิเสะก็โพล่งออกมาว่า

    “แต่งงานกันเถอะครับ”

    มันจะดีมาก ถ้าไม่ใช่การโทรศัพท์คุยกัน ในตอนแรกคาซามัตสึเข้าใจว่า เป็นแค่การล้อเล่นไร้สาระตามประสาคิเสะ เรียวตะ แต่อีกฝ่ายยืนยันหนักแน่นว่าตั้งใจจะพูดเรื่องนี้นานแล้ว แต่หาเวลามาเจอกันไม่ได้สักที อยากจะพูดจนทนไม่ไหว จนเผลอพูดออกมาในโทรศัพท์

    ฟังดูก็สมกับเป็นคิเสะดี...เรื่องที่เผลอพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาจนหมด เพราะอดทนรอไม่ไหวอีกแล้ว ว่าแต่อยู่ดีๆทำไมถึงคิดจะมาขอแต่งงานได้ล่ะเนี่ย แล้วผู้ชายญี่ปุ่นแต่งงานกันเองได้ที่ไหนล่ะ

    “ช่วงนี้ก็เลยไม่ค่อยอยากเจอ”

    “เลยทำให้คากามิเดือดร้อนไปด้วย ขอโทษทีนะ”

    แม้จะมีหลายต่อหลายครั้งที่คิเสะกับคาซามัตสึนั้น ไปๆมาๆญี่ปุ่นแล้วคลาดกัน แต่ครั้งนี้คาซามัตสึตั้งใจหลบหน้า ก็เลยโกหกเรื่องเวลาที่จะมา ที่จริงคิเสะเองก็คงรู้ แต่ไม่อยากเร่งเร้าอะไร ก็เลยโทรมาขอร้องให้เขาช่วยดูแล เพื่อนของเขาก็คงรู้สึกผิดเหมือนกันที่ทำให้อีกฝ่ายต้องคิดมาก แถมตอนนี้คงจะหดหู่ไปกับการที่ตัวเองทำพลาดในการขอแต่งงานทางโทรศัพท์ โดยไม่ดูบรรยากาศเลยสักนิด

    “แล้วคาซามัตสึซังคิดยังไงล่ะครับ ?”

    “ก็...ไม่รู้สิ...เรื่องแต่งงานมันก็...”

    “ตอบตกลงเลยสิ”

    อยู่ๆไม่รู้อาโอมิเนะมาตอนไหน ถึงได้โผล่มาจากทางข้างหลังได้ แล้วก็ไม่รู้ว่าได้ยินได้ฟังอะไรไปบ้าง แต่เจ้าตัวก็ดูไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร เพียงแค่เปิดน้ำกระป๋องของตัวเองแล้วยกขึ้นดื่ม

    “ก็ถ้าคาซามัตสึซังตกลง คิเสะจะได้เลิกมาวุ่นวายกับคากามิสักที”

    ช่างเป็นความคิดที่คิดถึงแต่ตัวเองสไตล์อาโอมิเนะ ไดกิจริงๆ ท่าทางน่าหมั่นไส้ในตอนพูด ทำให้คากามิต้องหันไปดึงแก้มเป็นการสั่งสอนแบบเบาะๆ อาโอมิเนะโวยวายดังลั่น แล้วบ่นว่า เขาพูดเรื่องจริงนี่ ไม่เห็นผิดตรงไหนเลย

    “ก็คิเสะชอบคาซามัตสึซัง ส่วนคาซามัตสึซังเองก็ชอบคิเสะ”

    “บอกให้แต่งงานกันแล้วมันผิดตรงไหน ?”

    “การแต่งงานไม่ใช่คำสาบานของคนที่รักกันว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไปเหรอ ?”

    คำถามที่กึ่งจะกวนตีนแต่ก็มีความใสบริสุทธิ์แฝงอยู่ ทำเอาผู้ใหญ่ทั้งสองคนไปไม่ถูก สุดท้ายคากามิจึงตัดสินใจอธิบายอย่างจริงจังให้อาโอมิเนะฟัง ตอนนี้อายุก็สิบขวบแล้ว น่าจะพอเข้าใจ คากามิจึงบอกว่า การแต่งงานไม่ใช่แค่พิธีหรือเรื่องความรู้สึก แต่เป็นเรื่องของกฎหมายและการยอมรับในสังคม ซึ่งญี่ปุ่นยังไม่ได้ให้การยอมรับการแต่งงานระหว่างผู้ชาย ดังนั้นจะตัดสินใจมั่วซั่วไม่ได้ มันไม่ได้ง่ายแบบนั้น

    “ถ้าอย่างนั้น จะให้ทำยังไง ?”

    “ถึงเจ้าบ้านั่น ทำบ้าๆบอๆ ขนาดไหนแต่ก็ชอบคาซามัตสึซังมากนี่”

    “ถ้าชอบมากถึงขนาดนั้น ก็ยังแต่งงานไม่ได้เหรอ ?”

    มันช่างเป็นคำถามที่ตอบยากเหลือเกิน ที่จริงแล้วการแต่งงานมันควรจะเป็นเป้าหมายสูงสุดของคนที่รักกันไม่ใช่หรือ การสาบานว่าจะอยู่ร่วมกันไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต แต่ว่าในความเป็นจริงนั้นการแต่งงานคือการผูกพันด้วยกฎหมายเสียมากกว่า สิ่งสำคัญไม่ใช่เงินทองหรือสมบัติใดๆหรอก แต่เป็นข่าวสารต่างหาก เมื่อได้แต่งงานกันตามกฎหมายแล้ว หากมีอะไรเกิดขึ้น เราจะเป็นคนแรกที่ได้รับแจ้งในฐานะคู่ชีวิต

    “นั่นสินะ...ถ้าชอบกันก็ควรจะต้องแต่งงานสินะ”

    คาซามัตสึลูบหัวที่มีเส้นผมสีน้ำเงินอย่างอ่อนโยน ใบหน้านั้นมีรอยยิ้มบางๆที่แสดงถึงความเอ็นดูคนตรงหน้า คำพูดตรงๆของเด็กน้อยทำให้ผู้ใหญ่ต้องคิดอะไรหลายอย่าง ความหมายของการขอแต่งงานที่คิเสะพูดคืออะไรกันแน่นะ มันคือการแต่งงานตามกฎหมาย หรือแค่เพียงอยากได้การผูกมัด อยากได้คำสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกัน

    “หรือว่าคาซามัตสึซังไม่ชอบคิเสะ...”

    ดวงตากลมโตสีน้ำเงินนั้นจ้องมองมาด้วยความสงสัย คากามิเขกหัวเล็กๆนั้นไปเพื่อสั่งสอนอีกครั้ง ให้หยุดพูดเรื่องไม่เข้าท่าเสียที ถามแต่เรื่องที่ไม่ควรถามทั้งนั้น แถมคำตอบน่ะ มันก็ไม่ได้ตอบกันง่ายๆเสียหน่อย

    “ไม่หรอก...ฉันน่ะ...”

    “ชอบคิเสะ...”

    คำพูดประโยคสุดท้ายนั้นแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ แต่ถึงกระนั้นมันก็ทำให้อาโอมิเนะยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ เจ้าเด็กบ้านั่นดูจะดีใจที่ได้แกล้งจนคาซามัตสึซังหน้าแดงก่ำไปจนถึงหู และเจ้าตัวก็คงจะพอใจที่ได้ฟังความรู้สึกที่ออกมาจากใจจริงๆ นานๆคาซามัตสึซังจะยอมพูดเรื่องแบบนี้ออกมาตรงๆ

    หากเพื่อนของเขาได้มีโอกาสฟังประโยคนี้...จะดีแค่ไหนกันนะ...

    ++++++++++

    ประมาณ 3 เดือนหลังจากที่คากามิไปส่งคาซามัตสึที่สนามบิน เขาก็ได้รับโทรศัพท์แจ้งเรื่องแต่งงานจากคิเสะ เสียงของอีกฝ่ายดูทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ จนคากามิพอจะเดาได้ว่า เพื่อนสนิทคงเพิ่งจะได้ยินคำตอบตกลงเมื่อเร็วๆนี้ แต่ถึงจะเรียกว่างานแต่งงาน ที่จริงก็จัดแบบเล็กๆ เชิญมาแต่คนที่สนิทด้วยเท่านั้น ผู้ที่มาร่วมงานจึงมีไม่ถึง 30 คน ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนที่รู้จักกับทั้งคู่และรู้ดีถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคน

    หลังการแต่งงานสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างทั้งคู่ก็คือ คาซามัตสึจะลงหลักปักฐานที่ญี่ปุ่น ไม่เดินทางไปไหนมาไหนด้วยเรื่องงานอีกแล้ว ที่จริงคิเสะอยากให้อีกฝ่ายลาออกจากงานมาอยู่บ้านเฉยๆด้วยซ้ำ แต่แค่ลองเอ่ยปาก ก็ถูกเตะเข้าจังๆ โทษฐานได้คืบจะเอาศอก คิดอะไรไม่เข้าท่า

    “ว้าว สุดยอด”

    นั่นคือ ปากคำของอาโอมิเนะ เมื่อเห็นบ้านของทั้งสองคนเป็นครั้งแรก มันเป็นบ้านที่ผสมผสานระหว่างความเป็นญี่ปุ่นและตะวันตกได้เป็นอย่างดี หากมองเผินๆจะรู้สึกว่าเป็นบ้านสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ แต่หากสังเกตให้ดี จะเห็นว่ามีการดัดแปลงหลายอย่างเพื่อประโยชน์ใช้สอยและการดูแลรักษาที่ง่ายขึ้น

    คนออกแบบบ้านหลังนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากคิเสะ เรียวตะ ผู้เป็นสถาปนิกชื่อดังนั่นเอง น้อยครั้งนักที่เจ้าตัวจะได้มีโอกาสเขียนแบบบ้าน เพราะทุกครั้งมักเป็นงานใหญ่ๆ อย่างพวกโรงละคร หอประชุม หรือแม้แต่ห้างสรรพสินค้าที่ต้องการรูปลักษณ์ที่โดดเด่น แน่นอนว่า บ้านของคากามิก็ได้รับการออกแบบโดยคิเสะเช่นเดียวกัน  

    “มากันแล้วเหรอ เข้ามาได้เลย”

    เจ้าของบ้านที่กำลังสาละวนอยู่กับการจัดข้าวของ รีบทิ้งภาระหน้าที่มารับแขก อาโอมิเนะโดดข้ามกล่องลังสำหรับย้ายของเข้ามาด้วยท่าทีร่าเริง ก่อนจะวิ่งไปทั่วเพื่อสำรวจรอบๆบ้าน แม้คาซามัตสึจะพยายามผลักไสแขกให้ไปนั่งพัก แต่สุดท้ายคากามิก็มาช่วยจัดบ้านอยู่ดี

    “คากามิจจิ อาโอมิเนจจิ มากันแล้วเหรอ ??”

    เจ้าของบ้านอีกคนหนึ่งส่งเสียงมาตั้งแต่หน้าประตูบ้าน ทั้งสองมือหอบหิ้วถุงพลาสติกจากร้านค้าเข้ามาด้วย ผู้ใหญ่ทั้งสองคนดูจะไม่สนใจการมาเยือนของคนคนนี้เท่าไรนัก แต่อาโอมิเนะวิ่งฉิ่วไปหลบหลังคากามิทันที เหมือนต้องการระวังภัย

    “ซื้ออะไรมาเยอะแยะล่ะนั่น”

    คาซามัตสึลุกขึ้นไปดึงถุงพลาสติกมาเปิดดูว่า มีอะไรอยู่ข้างในบ้าง ในจังหวะนั้นเองคิเสะก็โน้มตัวลงมาจูบแก้มเบาๆ ต่อหน้าต่อตาแขกที่มาเยือนบ้าน ก่อนจะโดนลูกเตะอัดเข้าไปเต็มๆ โทษฐานทำตัวรุ่มร่ามต่อหน้าเด็กประถม

    “มันเจ็บนะคร้าบ ยูคิโอะซัง”

    คนที่ถูกเตะยังมีสีหน้าระรื่น ผิดกับคาซามัตสึที่หน้าแดงไปจนถึงหู ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยังมีจุดอ่อนเป็นเรื่องพวกนี้เสมอ ต่อไปอยู่กับคิเสะก็คงต้องปวดหัวอีกไม่น้อย แต่ก็น่าจะมีความสุขล่ะนะ

    ที่จริงวันนี้เจ้าของบ้านทั้งสองคนต้องการจะเลี้ยงขอบคุณที่คากามิช่วยดูแลมาตลอด แต่ไปๆมาๆกลับมีแขกตัวน้อยเพิ่มขึ้นอีกคน เพราะพ่อแม่ของอาโอมิเนะอยากจะหนีไปเที่ยวกันสองต่อสองกันสัก 2-3 วัน ประกอบกับเป็นช่วงปิดเทอมของอาโอมิเนะพอดี เด็กชายจึงถูกฝากฝังไว้กับคากามิ จนต้องหิ้วมาบ้านนี้ด้วย

    แน่นอนว่าคิเสะกับคาซามัตสึเองก็ยินดีต้อนรับ บรรยากาศในบ้านก็ครึกครื้นสนุกสนานขึ้นมาก เมื่อมีอาโอมิเนะ แม้ว่าเด็กน้อยจะประกาศอย่างเอาแต่ใจว่า วันพรุ่งนี้จะเป็นวันของบาสเก็ตบอล ก็ดูไม่มีผู้ใหญ่คนไหนทัดทาน อาจจะเพราะนึกสนุกไปด้วยก็เป็นได้

    “ยูคิโอะซัง มาผมช่วย”

    “ไม่ต้อง ฉันทำเองได้”

    “น่า ยูคิโอะซัง ผมอยากช่วยนี่นา”

    “ทำไมตอนนี้คิเสะถึงเรียกคาซามัตสึซังว่า ยูคิโอะซังล่ะ ??”

    คำถามที่ออกมาจากปากเด็กน้อยนั้น ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสามคนต้องหันมามองเป็นตาเดียว คล้ายกับต้องการให้แน่ใจว่า นั่นคือคำถามจริงๆไม่ใช่แค่อยากจะแซวเล่นๆ แต่ดูจากสีหน้าท่าทางแล้ว เหมือนอาโอมิเนะจะไม่เข้าใจเรื่องนี้จริงๆ

    “ที่โรงเรียนไม่มีใครเรียกชื่อตัวกันเลยเหรอ ?”

    “ก็มี แต่ว่า...”

    สรุปว่าอาโอมิเนะเข้าใจมาตลอดว่า จะมีเพียงคนในครอบครัวเท่านั้นที่เรียกชื่อตัวกัน แต่เมื่อเร็วๆนี้ดันไปได้ยินเพื่อนในห้องเรียกชื่อตัวกันด้วยความสนิทสนม จึงเกิดข้อสงสัยขึ้นมาว่า การเปลี่ยนจากการเรียกนามสกุลเป็นชื่อนั้น เกิดขึ้นจากอะไร ทำไมต้องเปลี่ยนวิธีการเรียกด้วย

    “หลังแต่งงานก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้วไง”

    คำอธิบายของคิเสะนั้นดูเข้าใจง่าย แต่จะทำให้ความเข้าใจของเด็กน้อยบิดเบือนหรือเปล่า ? คนเราไม่ได้เรียกชื่อจริงกันแค่ในครอบครัวเท่านั้น แต่ยังมีเหตุผลอื่นอีกมากมาย ทำให้ผู้ใหญ่อีกสองคนพยายามอธิบายเรื่องราวต่างๆอย่างตั้งใจ หวังเอาไว้ว่า เด็กน้อยจะไม่ได้เข้าใจว่า การเรียกชื่อจริง เท่ากับ การเป็นครอบครัวเดียวกัน

    “ถ้าอย่างนั้น คนที่เรียกชื่อตัว ก็เป็นคนที่สนิทกัน”

    “ประมาณนั้น”

    “แล้วก็รักคนคนนั้นมากๆสินะ”

    “ประมาณนั้น”

    “งั้นก็....ไทกะ !!

    เด็กน้อยยิ้มกว้าง ก่อนจะถลาเข้าไปกอดพร้อมส่งเสียงเรียกดังลั่น จนคนที่กำลังช่วยกันอธิบายสะดุ้งเล็กน้อย มีเพียงแค่ต้นเรื่องที่ทำให้วุ่นวายอย่างคิเสะที่เอาแต่หัวเราะ ไม่ยอมมาช่วยกันเลยสักนิด

    “เพราะว่า รักมากๆ ก็เลยต้องเรียกชื่อตัว เรียกไทกะ”

    ที่จริงจะบอกว่าเป็นความใสซื่อที่น่าเอ็นดูก็คงไม่ผิด แต่น่าแปลกที่คากามิมองเด็กชายอย่างนิ่งเฉยจนดูราวกับความเย็นชา ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบผมสีน้ำเงินนั้นอย่างเบามือ ไม่ได้ขยี้เล่นแรงๆดังเช่นทุกครั้ง

    “เรียก ไทกะเลยเหรอ...”

    ถึงใบหน้านั้นจะยิ้มแย้มดังเช่นปกติ มีเสียงหัวเราะเบาๆ ราวกับว่า มันเป็นเรื่องตลกหรือฟังดูน่าสนุกสนาน แต่ทุกคนในที่นั้นรู้ดีว่า คนพูดกำลังพยายามสะกดกลั้นอารมณ์บางอย่างที่กำลังเอ่อท้นขึ้นมาในหัวใจ

    ...เพราะว่า...เสียงนั้นสั่นเครือ...

    ...ราวกับ...อยากจะร้องไห้...

    ++++++++++

    คืนนั้นคากามินอนไม่หลับ...

    จะหลับลงได้อย่างไร เมื่อในหัวยังคิดวนเวียนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ยามเมื่อได้ยินเสียงเรียก “ไทกะ” จากปากของเด็กน้อย มันควรจะเป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้สนิทสนมกันมากขึ้น น่าจะดีใจที่อาโอมิเนะเห็นเขาเป็นคนพิเศษ เรียกเขาด้วยชื่อตัวซึ่งอีกฝ่ายไม่เคยเรียกใครมาก่อน

    แม้สมองจะพยายามคิดเช่นนั้น แต่ความเป็นจริงในใจนั้นแตกต่าง ไม่ได้อยากถูกเรียกว่า “ไทกะ” เลยแม้แต่นิดเดียว ชั่ววินาทีที่ได้ยินนั้น เหมือนกับว่า ปัจจุบันกำลังถูกแยกออกจากอดีต ราวกับว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นกำลังถูกบิดเบือนไปจากสิ่งที่อยากให้เป็น โลกตรงหน้ากำลังเปลี่ยนไป

    คากามินั้นเป็นชื่อที่ถูกเรียกมาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกัน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ก็ไม่เคยเปลี่ยน และไม่คิดว่าจะเปลี่ยน เหมือนเรื่องราวทั้งหลายที่พวกเราผ่านมาด้วยกัน ทั้งความสุขและความเศร้าถูกจารึกเอาไว้ในชื่อเรียกอันนี้ เพราะคนที่ข้ามผ่านมันมาพร้อมกัน คือคากามิและอาโอมิเนะ ไม่ใช่ไทกะหรือไดคิ

    อาจฟังดูเป็นเรื่องขบขันในสายตาคนอื่น แค่ชื่อกับนามสกุล เรียกแล้วแตกต่างกันตรงไหน มันเป็นเพียงคำเรียกขานเพื่อแสดงถึงระดับของความสัมพันธ์เท่านั้น เหตุใดจึงต้องเป็นจริงเป็นจังกับมัน เหตุใดจึงต้องรู้สึกหวาดหวั่นกับสิ่งทีกำลังจะตามมา คงเพราะมันคือเครื่องตอกย้ำ ถึงความจริงที่พยายามหลีกหนีมาตลอด สิ่งที่เขารู้ดีอยู่แก่ใจ แต่แกล้งทำเป็นเมินเฉย

    อาโอมิเนะตัวน้อยคนนี้...เป็นคนละคนกับอาโอมิเนะคนนั้น...

    ความทรงจำมากมายที่พวกเราเคยมีด้วยกันนั้น ไม่มีหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่นิดเดียว อาโอมิเนะติดเขาด้วยความเป็นเด็ก เพราะรู้ดีว่า มาที่บ้านเขาแล้วจะมีขนมอร่อยๆให้กิน มีทีวีให้ดู อยากทำอะไรก็ทำได้ตามใจเกือบทุกอย่าง ไม่ใช่เพราะความผูกพันทางจิตวิญญาณหรือรอยสลักของความรัก เมื่อครั้งที่เราเคยอยู่ด้วยกัน

    “เรานี่มันแย่ที่สุด..”

    บอกตัวเองหลายต่อหลายครั้งว่าอย่าคาดหวังสิ่งใดจากเด็กน้อย เขาได้รับสิ่งต่างๆมาจากอาโอมิเนะมากมาย ในตอนนี้ได้เวลาคืนสิ่งเหล่านั้นกลับคืนไปแล้ว ทั้งความสบายใจเมื่อตอนวัยเยาว์ ความสนุกสนานและเสียงหัวเราะ เขาไม่เคยรู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยว เพราะมีคนคนนั้นอยู่เคียงข้างเสมอ

    ถึงจะบอกตัวเองอย่างไร แต่จิตใจนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะควบคุมกันง่ายๆ เขายังคงแอบคาดหวังว่าเด็กน้อยจะโตขึ้นมาเหมือนอาโอมิเนะคนนั้น ทั้งรูปร่างหน้าตา นิสัยใจคอ ตลอดจนถึงวิธีการพูดหรือกริยาท่าทางต่างๆ หวังเอาไว้ว่า เขาจะได้อาโอมิเนะคนนั้นกลับคืนมา...

    เสียงเคาะประตูดังขึ้น คากามินึกสงสัยว่า ใครที่มีธุระตอนดึกดื่นป่านนี้ พอไปเปิดประตู ก็เห็นว่าเป็นคาซามัตสึซัง ทั้งที่เป็นบ้านตัวเองแท้ๆ แต่เจ้าของบ้านก็ยังแสดงท่าทีเกรงอกเกรงใจ ขอโทษที่มารบกวน ราวกับลืมไปแล้วว่า ห้องที่คากามิพักอยู่นั้นเป็นห้องนอนแขกที่อยู่ในบ้านของตัวเอง

    “มีเรื่องอะไรหรือครับ ?”

    คากามิถามขึ้น หลังจากทั้งสองคนนั่งลงบนเตียง คาซามัตสึจ้องมองเขาครู่หนึ่ง เหมือนกับกำลังเลือกใช้คำพูดที่เหมาะสม ก่อนจะเกริ่นด้วยเรื่องอาโอมิเนะที่ตอนนี้ไปเล่นกันอย่างสนุกสนานกับคิเสะอยู่ในห้องนอน ร่าเริงแจ่มใสดี แล้วคากามิล่ะ ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ คิดมากเรื่องอะไรอยู่หรือเปล่า

    สำหรับคากามิแล้ว คาซามัตสึซังเป็นคนที่เขาไว้ใจมากคนหนึ่ง เป็นที่พึ่ง สามารถปรึกษาเรื่องราวต่างๆได้ แต่ในกรณีนี้ เขาควรจะเล่าออกไปว่าอย่างไรล่ะ ? ครั้งหนึ่งในชีวิตเคยได้พบเทวดา จากนั้นก็มาเกิดเป็นอาโอมิเนะงั้นหรือ ? มันคงจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อเสียจนคาซามัตสึซังคงจะคิดว่า เขาแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อนความจริง

    “คากามิเคยมีคนรักใช่ไหม ?”

    อาจจะเป็นพรสวรรค์ของคนคนนี้ก็เป็นได้ เพราะทุกครั้งที่เขามีปัญหา คาซามัตสึซังจะสามารถคาดเดาได้อย่างถูกต้องว่า มันเกี่ยวกับอะไร ถึงจะไม่สามารถเจาะจงลงไปอย่างแน่ชัดทุกรายละเอียด แต่ก็เดาได้ใกล้เคียงจนแทบสะอึกทุกครั้งที่ได้ยินคำถามเหล่านั้น

    “อาโอมิเนะเนี่ย...เหมือนคนคนนั้นมากเลยเหรอ ?”

    ถ้าพูดถึงรูปร่างหน้าตาล่ะก็เหมือนมาก แต่นิสัยใจคอก็ไม่เหมือนกันสักเท่าไร อาโอมิเนะน้อยเป็นเด็กน่ารัก สดใส มีจิตใจที่บริสุทธิ์ ส่วนอาโอมิเนะที่เขาเคยรู้จักนั้น ทั้งกวนประสาท ปากไม่ดี แต่ก็เป็นคนที่ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปกป้องเขา จากอันตรายทั้งปวง จะว่าต่างก็ต่าง จะว่าเหมือนก็เหมือน

    “ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะครับ”

    “ก็เวลาคากามิมองไปทางอาโอมิเนะ มันเหมือนกับว่า กำลังมองไปที่ใครอีกคนหนึ่ง”

    “ที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น...”

    คิเสะมักจะบอกคาซามัตสึว่า สักวันคากามิกับอาโอมิเนะจะต้องพัฒนาความสัมพันธ์ไปเป็นคนรักอย่างแน่นอน เพราะต่างฝ่ายต่างก็แอบรักอีกคนหนึ่งอยู่ ตอนที่ได้ยินนั้นคาซามัตสึจะไม่ตอบอะไร แต่ในใจนึกสงสัยทุกครั้งว่า มันจะเป็นอย่างนั้นจริงหรือ อาโอมิเนะน่ะยังเด็ก ตอนนี้โลกทั้งใบของเขาคือ คากามิ แต่โตไปก็ไม่แน่ ไปเจอสาวๆสวยๆอาจจะเปลี่ยนใจก็เป็นได้ ส่วนคากามินี่ยิ่งแล้วใหญ่ สายตาที่บ่งบอกถึงความรักนั้นก็มีให้เห็นอยู่ก็จริง แต่ไม่ได้มองไปที่อาโอมิเนะจริงๆหรอก มองใครอีกคนต่างหาก เด็กน้อยคนนั้นเป็นแค่ตัวแทนที่ทำให้ระลึกถึงความรักในตอนนั้นก็เท่านั้นเอง

    “ก็คงจะเป็นอย่างนั้นล่ะครับ...”

    ห้องตกอยู่ในความเงียบสักพักหนึ่ง หลังจากประโยคนี้ เหมือนคาซามัตสึตั้งใจรอให้คากามิพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา เขาไม่ต้องการขัดจังหวะหรือเร่งเร้าอะไร ตลอดหลายปีที่รู้จักกันมา ความเงียบนั้นแปลว่าการครุ่นคิด มิใช่การหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถาม

    “ควรจะทำยังไงดี...”

    หลังจากประโยคนี้ เรื่องราวทั้งหลายก็พรั่งพรูออกมา ความรู้สึกทั้งหลายที่อยู่ในใจถูกเปลี่ยนแปลงไปเป็นคำพูด เพื่อให้คนตรงหน้าเข้าใจมากที่สุด มีเพียงแต่เรื่องของการมีอยู่ของเทวดาและปีกเท่านั้นที่คากามิยังเก็บไว้เป็นความลับ

    “รู้ว่า ยึดติดมากเกินไป แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี...”

    “ก็ไม่เห็นต้องทำอะไรนี่”

    คาซามัตสึตอบคำถามนั้นด้วยเสียงเรียบๆ ไม่ได้ดูล้อเล่นแต่อย่างใด แล้วยกมือขึ้นลูบผมสีแดงเพลิงนั้นอย่างแผ่วเบา เหมือนต้องการให้คลายความกังวลในใจ

    “หากบังคับให้ตัวเองลืม หรือเมินเฉยต่อสิ่งสำคัญ”

    “สักวันจิตใจจะกลายเป็นคนแข็งกระด้าง”

    “หากยังรัก ก็ขอให้รักต่อไป”

    เสียงของคาซามัตสึซังนั้น ไม่ใช่เสียงที่นุ่มนวล ออกจะดูเฉยชาเสียด้วยซ้ำ แต่คากามิกลับรู้สึกว่ามันอบอุ่น ราวกับกำลังโอบกอดเขาเอาไว้ ปลอบโยนไม่ให้โศกเศร้า

    “ส่วนเรื่องชื่อน่ะ ถ้ามันทำให้ระลึกถึงความทรงจำที่ดี ก็เป็นเรื่องดีนี่นา”

    “แต่ยังไงซะ ความทรงจำที่ดี ก็ไม่ได้มีแค่อย่างเดียว”

    “ลองสร้างความทรงจำที่ดีใหม่ๆ กับชื่อนี้ดูสิ”

    “กับอาโอมิเนะน้อยๆคนนี้...”

    ที่จริงคำตอบของปัญหาทั้งหมดมันก็ง่ายแสนง่าย ทำไมเขาถึงไม่เข้าใจนะ ทำไมถึงต้องพยายามที่จะลืม ต้องดิ้นรนให้ตัวเองเจ็บปวดและโศกเศร้า ความทรงจำในอดีตนั้น จะคงอยู่กับเราตลอดไป เพราะมันเป็นสิ่งที่ล้ำค่า ขอเพียงแค่อย่าได้ลืมเลือน จะมีความทรงจำใหม่ๆเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ก็ไม่เป็นไรนี่นา

    “ขอบคุณนะครับ คาซามัตสึซัง”

    คาซามัตสึยิ้ม ขณะที่พยักหน้ารับเล็กน้อย ดูเหมือนว่าคากามิจะเข้าใจสิ่งที่เขาพูดแล้ว มันไม่สำคัญหรอกว่า สองคนนี้จะผูกพันกันหรือไม่ ความสัมพันธ์จะพัฒนาไปอย่างไร ขอเพียงแค่เรื่องราวในตอนนี้ไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นความทรงจำที่เลวร้ายเท่านั้นก็พอแล้ว

    “เอาล่ะ รีบนอนซะนะ”

    “ฝันดีนะ คากามิ...”

    ++++++++++

    เช้าวันต่อมา คากามิตั้งใจจะรีบตื่นขึ้นมาทำอาหารเช้าเป็นการขอบคุณ แต่ไม่ทันเจ้าของบ้านคนผมดำ ผู้มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างสูงยิ่ง แถมยังไม่ยอมให้เขาช่วยอะไรเลยสักนิด เอาแต่ไล่ให้ออกไปเดินเล่นพักผ่อนอยู่ท่าเดียว

    “ลองไปดูในสวนสิ เรียวตะทำสนามสตรีทบาสเก็ตบอลเล็กๆไว้ด้วยนะ”

    สุดท้ายคากามิก็ต้องยอมทำตามที่คาซามัตสึบอก โชคดีที่วันนี้อากาศแจ่มใส ถ้าได้ออกกำลังกายในตอนเช้าก็คงจะดี ไปดังค์ลูกสักสองสามครั้งให้สมองโล่งก็ไม่เลว อยากรู้เหมือนกันว่า เพื่อนของเขาจะออกแบบสวนและสนามบาสเก็ตบอลให้เข้ากับบ้านได้อย่างไร

    พอเห็นสนามบาสเก็ตบอล คากามิก็อดขำไม่ได้ เพราะบ้านที่ออกแบบมาอย่างดูดีมีสไตล์ สมกับเป็นงานของสถาปนิกชื่อดังนั้น กลับมีของที่ไม่เข้ากับตัวบ้านและสวนแบบญี่ปุ่นอยู่ทางด้านหลัง สนามนั้นไม่ได้มีการเติมแต่งหรือดัดแปลงใดๆเลย มันแค่ตั้งอยู่ตรงนั้น เหมือนเด็กที่เอาของที่ชอบมาซุกเอาไว้ในบรรดาของโบราณของแม่

    “อาโอมิเนะ ?”

    ร่างเล็กๆที่มีผมสีน้ำเงินกำลังเลี้ยงลูกและชู้ตบาสเก็ตบอลอย่างสนุกสนาน แม้จะยังกระโดดได้สูงไม่เท่าไร แต่คากามิเหมือนเห็นปีกสีขาวเล็กๆที่กลางหลังนั้น ปีกที่จะพาให้ร่างนั้นลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ สักวันอาโอมิเนะจะต้องเก่งบาสเก็ตบอลมากแน่ๆ เขาเชื่ออย่างนั้น

    “ตื่นแต่เช้าเชียว”

    เวลาเด็กชายไปค้างที่บ้านเขาไม่เห็นเคยตื่นเช้าสักครั้ง แทบจะต้องเดินไปลากลงมาจากเตียงด้วยซ้ำ ทำไมอยู่นี่ถึงได้ตื่นเช้าเองได้ล่ะหรือว่าคิเสะปลุก

    “อ๊ะ ไทกะ !!

    ใบหน้าที่ยิ้มแย้มนั้นเรียกชื่อเขา ชื่อที่ทำให้เขาสะดุ้งอีกครั้งด้วยความไม่เคยชิน ชื่อที่เขาไม่คุ้นเคย คนที่เรียกเขาว่าไทกะก็มีแต่พ่อและแม่ ซึ่งน้อยครั้งนักจะได้เจอหน้าหรือมีโอกาสพูดคุย คนที่อยู่ด้วยกันเสมอคือ อาโอมิเนะคนนั้นและชื่อที่เรียกก็คือ คากามิ คงจะต้องใช้เวลาอีกสักพัก ถึงจะชินกับคำว่า ไทกะ

    “รอแป๊บนึงนะ”

    อาโอมิเนะวิ่งไปหยิบอะไรบางอย่างมา แล้วคว้ามือของเขาขึ้นมา แล้วผูกเส้นเชือกสีแดงอะไรบางอย่างลงไปที่นิ้วนางอย่างตั้งอกตั้งใจ พอเสร็จแล้วเจ้าตัวก็เงยหน้ามายิ้มกว้างให้เขาอย่างร่าเริง เหมือนต้องการจะบอกว่า เป็นไงล่ะ สุดยอดไหม

    “นี่คืออะไรเหรอ ?”

    “แหวนน่ะ”

    “คิเสะบอกว่า แหวนเป็นเครื่องแสดงถึงความผูกพันระหว่างคนสองคน”

    รูปร่างของมันไม่เหมือนแหวนเลยสักนิด เป็นแค่เชือกถักสีแดงเท่านั้นเอง ถ้าจะพออนุโลมให้เป็นแหวน ก็คงเพราะผูกอยู่ที่นิ้วมือข้างซ้ายซึ่งเป็นตำแหน่งที่คนทั่วไปเขาจะสวมแหวนกัน ว่าแต่อยู่ดีๆเกิดนึกอะไรขึ้นมาอีกล่ะ แล้วทำไมคิเสะถึงไปสอนอะไรพวกนี้ให้กับอาโอมิเนะล่ะเนี่ย

     “ทีนี้ก็เรียกไทกะได้แล้วใช่ไหม ?”

    หืม ? เดี๋ยวก่อน เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันเกี่ยวกันตรงไหน จริงอยู่ที่เขาไม่ค่อยชอบและไม่เคยชินแบบสุดๆที่จะโดนเรียกชื่อตัว แต่มันก็ไม่เห็นมีส่วนไหนเกี่ยวข้องกับแหวนนี่นา คิเสะไปเล่าอะไรให้ฟังอีกล่ะ เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว

    “เพราะว่า หลังจากคิเสะให้แหวนกับคาซามัตสึซัง ก็เปลี่ยนไปเรียกยูคิโอะนี่นา”

    คากามิชักไม่แน่ใจแล้วว่า ตรรกะแปลกประหลาดของอาโอมิเนะนั้นเกิดขึ้นจากความเข้าใจผิดของเจ้าตัว ที่ได้ไปงานแต่งงานของทั้งสองคน แล้วเห็นว่าการเรียกชื่อเปลี่ยนไปหลังจากนั้น หรือเพราะคิเสะดันอธิบายอะไรไม่เข้าท่า จนเด็กน้อยเข้าใจผิดไปไกลโข แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน เขาจะทำยังไงกะแหวนเชือกบนนิ้วของเขาดีเนี่ย

    “ต่อไป อย่าลืมเรียกผมว่า ไดคิด้วยนะ”

    พูดก็พูดเถอะ ถ้าเทียบอาโอมิเนะคนนั้น กับอาโอมิเนะน้อยคนนี้สิ่งที่เหมือนกันที่สุดก็คือ ความเอาแต่ใจนี่แหละ พูดจาเอาแต่ได้ตลอดเลยนะ ถึงเด็กน้อยจะเชื่อฟังมากกว่าก็เถอะ

    “โอ๊ย”

    อาโอมิเนะยกมือขึ้นคลำตรงหน้าผากที่เพิ่งโดนคากามิดีดเข้าให้ด้วยความหมั่นไส้ ก่อนที่เจ้าตัวจะรูดวงแหวนเชือกสีแดงออกจากนิ้ว เอาวางไว้บนม้านั่งแถวนั้น

    “นี่ เวลาจะให้แหวนใครต้องถามเขาก่อนสิว่า จะรับไหม ?”

    “แล้วก็จะเรียกชื่อตัวได้น่ะ ไม่ใช่แค่รักหรือผูกพันอย่างเดียวเท่านั้นนะ แต่ต้องให้การยอมรับกันและกันด้วย”

    อาโอมิเนะลากเสียงคำว่า เอ๋ ยาวยืด เหมือนเป็นการประท้วง แต่คากามิไม่สนใจ หันหลังเดินไปหยิบลูกบาสเก็ตบอลที่อยู่บนพื้นสนามขึ้นมาเลี้ยง แล้วกระโดดดังค์ลงไปได้อย่างสวยงาม

    “เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าชนะฉันได้เมื่อไหร่ ค่อยเรียกว่าไทกะได้”

    “แล้วฉันก็จะเรียกว่า ไดคิเหมือนกัน”

    “ตกลงไหม ?”

    แววตาของเด็กน้อยใสกระจ่างขึ้นทันที อาโอมิเนะพยักหน้ารับเร็วๆ แล้ววิ่งเข้าไปในสนาม จากนั้นก็เป็นการเล่นบาสเก็ตบอลแบบหนึ่งต่อหนึ่งอย่างจริงจัง แต่สนุกสนาน คากามินึกถึงยามที่ได้เล่นกับอาโอมิเนะคนนั้นในสมัยก่อน เมื่อครั้งที่แพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า เขานึกสงสัยเสมอว่า อาโอมิเนะสนุกหรือเปล่า เบื่อบ้างไหมที่ไม่อาจเอาชนะได้เลย แต่มาถึงตอนนี้เขาได้รู้คำตอบของคำถามนั้นแล้ว

    ...มันสนุกมากเลยล่ะ...

    ทั้งสองคนเล่นบาสเก็ตบอลกันจนลืมเวลา มารู้ตัวอีกทีก็ตอนคิเสะมาตามไปกินข้าว แล้วก็บ่นอุบว่า แอบมาสนุกกันสองคน ไม่ยอมชวนมาเล่นด้วย แน่นอนว่าสถิติการแพ้ชนะ ยังอยู่ที่ อาโอมิเนะชนะ 0 แพ้ตลอด ดังนั้นตามข้อสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้ เด็กน้อยจึงยอมเรียกเขาว่าคากามิเหมือนเดิม แม้จะดูไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก

    “ตามสัญญานะ อาโอมิเนะ”

    “รู้แล้วน่า คากามิ”

    ที่จริงดูๆไปก็น่าสงสาร เพราะดูตั้งอกตั้งใจเอาชนะมาก คงอยากเรียกเขาด้วยชื่อต้นจริงๆด้วย ขอโทษทีนะที่ยังไม่พร้อมในตอนนี้ ขอให้พวกเราได้สร้างความทรงจำดีๆเหมือนอย่างวันนี้ไปอีกสักพักนะ แล้วค่อยเปลี่ยนจากคากามิเป็นไทกะ จะเปลี่ยนจากอาโอมิเนะเป็นไดคิ ในสักวันหนึ่ง

    “แต่สักวันฉันจะเอาชนะให้ดู สักวันจะต้องชนะนายให้ได้”

    “อีก 100 ปี ก็ยังไม่รู้จะได้หรือเปล่านะ”

    พูดยั่วโมโหไปอย่างนั้น เพราะอย่างเห็นหน้าตาบึ้งตึง แต่แววตาร้อนแรงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ขอให้เก่งขึ้นนะอาโอมิเนะ เก่งขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะเอาชนะฉันได้ มาเล่นบาสเก็ตบอลที่สนุก ตื่นเต้นแล้วสร้างความทรงจำใหม่ๆด้วยกันเถอะนะ

    “แต่ตอนนี้ ฉันจะเก็บนี่เอาไว้ก่อน แทนคำท้า”

    คากามิหมายถึงเชือกที่ถูกผูกเอาไว้เป็นวงแหวน ซึ่งตัวเขาได้ถอดออกก่อนเล่นบาสเก็ตบอลเมื่อครู่ ในตอนแรกเขาไม่คิดจะรับไว้ รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องตลกที่คิเสะต้องการจะแกล้งเขาขำๆ โดยใช้อาโอมิเนะเป็นเครื่องมือมากกว่า แต่ไปๆมาๆคากามิกลับรู้สึกว่า เรื่องตลกนี้ มีความจริงจังของเด็กชายอยู่ไม่น้อย การจะทำเป็นเฉยชา ก็คงจะไม่ดี เอาเป็นว่าเจอกันครึ่งทางก็แล้วกัน ฉันรับไว้แต่แหวนอันนี้ แต่ชื่อก็ยังไม่อนุญาตให้เรียกนะ

    “วันไหนที่เอาชนะฉันได้ จะให้นายใส่เจ้านี่บนนิ้ว”

    “แล้วก็จะยอมให้เรียกชื่อ”

    กว่าวันนั้นจะมาถึง ก็คงจะอีกหลายปี นายคงเติบโตขึ้นกว่านี้มาก ชีวิตได้ผ่านเรื่องราวและผู้คนมากมาย นายในตอนนั้นจะเติบโตเป็นคนที่โดดเด่น มีผู้คนให้ความสนใจมากมาย พอถึงตอนนั้นนายอาจจะไม่สนใจคนที่แก่กว่า 8 ปีอย่างฉันแล้วก็ได้ แต่ถ้าถึงตอนนั้น นายยังอยากจะผูกพันกับฉัน ยังอยากจะสวมแหวนนี้ให้ฉันอยู่

    ...ฉันก็จะยกทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน...ให้กับนาย...

    ++++++++++

    การมาพักผ่อนที่บ้านของคู่แต่งงานใหม่นั้น มีกำหนด 3 วัน ซึ่งกิจกรรมส่วนใหญ่หนักไปทางเล่นบาสเก็ตบอล จะมีบ้างที่จัดบ้านหรือไปดูแลสวน แต่โดยมากทุกคนจะยอมตามใจเด็กชายที่ร้องอยากเล่นบาสเก็ตบอลทั้งวัน คู่เอกที่เก่งปะทะเก่งก็ไม่พ้นคากามิกับคิเสะ ซึ่งทั้งคู่ก็ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ แต่ดูคิเสะจะมีภาษีดีกว่าหน่อย ส่วนคู่ที่เล่นกันอย่างไม่รู้จักเหนื่อย ก็คือคิเสะกับคากามิ ที่เล่นกันได้ต่อเนื่อง แถมยังเล่นกันอย่างจริงจัง จนไม่ได้สนใจรอบข้างแม้แต่น้อย อีกสองคนที่เหลือแอบแว่บไปทำครัว ก็ยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำ

    “นั่นแขนไปโดนอะไรมา”

    คาซามัตสึเป็นคนแรกที่ทัก เมื่อเห็นว่าแขนข้างขวาของอาโอมิเนะมีรอยถลอกแดงเป็นทางยาว ตั้งแต่ข้อศอกไปจนถึงข้อมือ เด็กชายรีบบอกปัดไปว่า ไม่ได้หนักหนาอะไร แค่เกิดจากการล้ม ตอนเล่นบาสเก็ตบอลด้วยกันเท่านั้นเอง คิเสะจึงรีบช่วยพูดว่า อาบน้ำล้างสบู่ไปรอบนึงแล้ว แต่เห็นว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก ก็เลยไม่ได้ใส่ยา

    “เจ็บไหม ?”

    ครั้งนี้คาซามัตสึย่อตัวลงให้อยู่ในระดับสายตา แล้วถามกับคนเจ็บด้วยน้ำเสียงจริงจัง อาโอมิเนะส่ายหน้าทันที แต่ก็ไม่ได้อิดออดหรือบ่นอะไร ตอนโดนลากไปใส่ยา อาจเพราะคาซามัตสึให้คากามิเป็นคนใส่ยาด้วยล่ะมั้ง ลองเป็นคากามิคนทำให้แล้วล่ะก็ ไม่ว่าอะไรอาโอมิเนะก็จะว่าง่ายขึ้นมาทันตา

    “เรียบร้อย ไปกินข้าวกันได้แล้ว”

    คากามิเดินตามเด็กน้อยที่วิ่งฉิ่วไปยังโต๊ะกินข้าว แล้วเหมือนเห็นปีกสีขาวที่กลางหลัง พร้อมกับขนนกสองสามเส้นที่ปลิวไปมาในอากาศ ก่อนจะเลือนหาย เพราะเห็นเพียงแค่แว่บเดียว คากามิจึงไม่ได้สนใจ

    แต่ใครเล่าจะรู้ว่า...ทั้งปีกสีขาวและแผลในวันนั้น...

    จะนำไปสู่เรื่องใหญ่ที่ทั้งเจ็บปวด...และโศกเศร้า...

    เกินกว่าที่จะนึกถึง...ในวันที่มีความสุขเช่นนี้ได้...

    +++++++++++


    แบ่งเป็นสองตอนเช่นเคยค่ะ ไปอ่านตอนสองต่อกันได้เลย >>>

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×