คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Golden fate : Golden fotune
Title: Golden fotune
Author: Monochrome bird
Category: Drama (มั้ง?)
Pairing: อาโอมิเนะ x คากามิ
Rating: PG-13
Disclaimer: ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นของอาจารย์ฟูจิมากิค่ะ พวกเราแค่ยืมมาจิ้นเล่นเท่านั้น
Author notes: ฟิคนี้มีอาถรรพ์แน่ๆ เขยนทีไรงานเข้าทุกที จนว่่าจะเลิกเขียน เผื่องานจะไม่เข้า ^_^"
+++++++++
คุณเชื่อเรื่องคำทำนายหรือเปล่า ?
ถุงทำนาย...เป็นสินค้าที่ช่วงนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่วัยรุ่น แต่ถึงจะชื่อว่าถุงทำนาย แต่รูปร่างหน้าตาของมันใกล้เคียงกับซองใส่เงินปีใหม่เสียมากกว่า ตัวซองมีมากมายหลากหลายสีสัน บางซองก็เป็นสีเรียบๆ บางซองก็เป็นลายดอกไม้เล็กๆน่ารัก เหมือนทำเอาใจสาวๆ ผู้เป็นลูกค้าหลักของสินค้าชนิดนี้ ข้างในก็ไม่มีอะไรมาก มีเพียงกระดาษแผ่นเดียวที่เขียนคำทำนายเอาไว้ อาจจะเป็นข้อความสั้นๆ เช่น “มหามงคล” หรือว่า “โชคน้อย” บางครั้งก็อาจจะเป็นคำแนะนำ เช่น “วันนี้สีนำโชคของคุณคือสีเขียว” หรือ “ดวงความรักของคุณอยู่ทางทิศตะวันออก” แต่สิ่งที่เป็นที่ร่ำลือและหมายปองในหมู่ผู้อุดหนุนสินค้าชนิดนี้ก็คือ คำทำนายอนาคตสีทอง
ว่ากันว่า ในบรรดาซองทั้งหลายนั้น หนึ่งในพันซองจะมีซองหนึ่งที่เขียนคำทำนายเอาไว้ด้วยตัวหนังสือสีทอง เป็นคำทำนายที่บอกอนาคตเอาไว้อย่างชัดเจน เช่น “พรุ่งนี้จะสอบได้คะแนนเต็ม” หรือ “อาทิตย์นี้คนรักจะหวนกลับมา” เชื่อกันว่า ความแม่นยำของคำทำนายนั้นเท่ากับ 100% ไม่มีผิดพลาด แต่ก็น้อยคนนักที่จะได้พิสูจน์ข่าวลือนั้น
หลายคนเคยคิดจะกว้านซื้อถุงทำนายมาทีเดียวเป็นจำนวนมาก เพื่อเปิดหาคำทำนายสีทอง แต่กฎของการอ่านคำทำนายคือ ควรเปิดแค่หนึ่งอันต่อหนึ่งวัน ไม่เช่นนั้นคำทำนายที่สองมักจะเป็นคำทำนายที่ไม่ดี และเกิดเรื่องไม่ดีตามมา ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า แต่สาวๆต่างก็แวะซื้อถุงทำนายกันทุกวัน วันละหนึ่งอัน เฝ้ารอว่า เมื่อไหร่ที่โชคชะตาจะชักนำให้เจออันที่มีคำทำนายสีทอง
ตอนนี้อาโอมิเนะ ไดคิกำลังยืนมองซองสีดำสนิทในมือ ไม่ใช่ว่าเขาเกิดสนอกสนใจการละเล่นของสาวๆขึ้นมาหรอก แต่เป็นเพราะว่า ยัยซัทสึกิดันไปซื้อคอเล็กชั่น เจ็ดสีเจ็ดแบบของถุงทำนายที่ออกเป็นแคมเปญใหม่ ทำนายคุณและคนรอบตัว โดยให้แจกคนรอบข้างคนละอัน แล้วอ่านคำทำนายพร้อมกัน คำทำนายข้างในนั้นจะมีสองใบ อันที่ส่งผลต่อตัวเองและคนที่เปิดซองนั้น
“เปิดเร็วๆสิ ไดจัง”
แน่นอนว่า ต้องให้คนที่ได้รับมาเป็นคนเปิดคำทำนายอ่านด้วย ไม่อย่างนั้นจะไม่เรียกว่า อ่านด้วยกัน ดังนั้นอาโอมิเนะจึงถูกเพื่อนสมัยเด็กยืนกดดันแกมบังคับให้เปิดคำทำนายอ่าน
“วันนี้อากาศสดใส...ชีวิตก็สดใส”
“ว้าว โชคดีจัง”
ผู้จัดการทีมสาวของโทโอรีบฉวยกระดาษอีกใบในซองไปอ่านอย่างรวดเร็ว ดูจากสีหน้าท่าทางจะเป็นคำทำนายที่ดีเหมือนกัน เพราะเธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พูดคุยอย่างสนุกสนานร่าเริง
ทำไมพวกผู้หญิงถึงชอบเรื่องการทำนายนักนะ แล้วดูอย่างคำทำนายในซองนี้สิ เหมือนเขียนส่งเดชยังไงไม่รู้ อากาศสดใส ชีวิตก็สดใส ปกติแล้วถ้าอากาศสดชื่นแจ่มใส จะมีใครมานั่งหดหู่อยู่บ้างล่ะ อยากรู้นักว่า ถ้าวันนี้ฝนเทลงมา ยัยซัทสึกิจะทำหน้ายังไง
ดูเหมือนคำสาปแช่งของอาโอมิเนะจะไม่ได้ผล เพราะพระอาทิตย์บนท้องฟ้ายังทำหน้าที่ของมันได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ไม่มีเมฆสีดำลอยอยู่บนท้องฟ้า แม้แต่ก้อนเดียว ไม่ว่าดินฟ้าอากาศจะเป็นอย่างไร อาโอมิเนะก็ยังคงโดดซ้อมบาสเก็ตบอลที่ชมรม แล้วไปเตร็ดเตร่อยู่แถวสนามสตรีทบาสเก็ตบอลแทน
แม้เอสแห่งโทโอจะนิสัยดีขึ้นมาบ้าง มีมนุษยสัมพันธ์กับคนอื่นมากขึ้น แต่เรื่องโดดซ้อมเป็นนิสัยที่แก้ไม่หาย ถึงจะบ้าบาสเก็ตบอลอย่างไร การจะให้มานั่งซ้อมตามระเบียบแบบแผนที่ถูกกำหนดไว้นั้น มันแตกต่างจากการสนุกกับบาสเก็ตบอลอย่างสิ้นเชิง แอบหนีมาเล่นคนเดียวยังจะสนุกเสียมากกว่า
“อาโอมิเนะ”
พอหันไปมองก็เห็นว่า คนที่เรียกชื่อเขากำลังยืนเคี้ยวอะไรบางอย่างอยู่ข้างสนาม ในมือหอบถุงกระดาษที่ใส่แฮมเบอร์เกอร์เอาไว้เต็มไปหมด ที่ไหล่สะพายกระเป๋าใบเดิมที่ใช้อยู่ทุกวัน สีหน้าดูแปลกใจที่ได้เห็นเขา
“ไง”
“มาทำอะไรที่นี่ ไม่ซ้อมหรือไง”
ที่จริงอยากคืนคำถามนั้นไปให้คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นมากกว่า ได้ยินมาว่าเอสแห่งเซย์รินเป็นคนมีระเบียบวินัยในการมาซ้อมเป็นอย่างมาก อาจเพราะเคารพในคำสั่งของรุ่นพี่หรือไม่ก็เพราะอยากเก่งยิ่งขึ้นกว่านี้ จะอันไหนก็ช่าง แต่การที่อีกฝ่ายมาเดินเตร็ดเตร่ในเวลาที่ควรจะอยู่ชมรม มันหมายความว่าอย่างไร
“รู้แล้ว นายโดดซ้อมอีกแล้วล่ะสิ !!”
คากามิทำท่าเหมือนเพิ่งไขปริศนาที่ยิ่งใหญ่ของโลกออก ทั้งที่ถ้าเป็นคนอื่นคงนึกออกในทันทีว่า เขาเป็นจอมโดดอันดับหนึ่งแห่งทีมบาสโทโอ แต่ความโง่นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่น่ารักล่ะนะ
“สร้างความลำบากให้พวกรุ่นพี่เขาตลอดเลยนะ”
“นายล่ะ ไม่ซ้อมหรือไง”
เพราะขี้เกียจฟังคากามิบ่นนู้นนี่ก็เลยรีบถามเพื่อตัดบท แต่อีกฝ่ายตอบแบบสบายๆว่า วันนี้ที่ชมรมงดซ้อมกะทันหัน เนื่องจากพวกปีสองจะชุมนุมทำภารกิจอะไรสักอย่างในชมรม จึงไล่พวกปีหนึ่งไม่ให้อยู่สักคน
“เล่นกันสักหน่อยไหม”
อาโอมิเนะเดาะลูกบาสในมือขึ้นลง เขารู้สึกได้ถึงสายตาของอีกฝ่ายที่แหลมคมขึ้น ราวกับอยากวิ่งมาแย่งลูกบาสในมือเขาไปชู้ตลงห่วงเสียเดี๋ยวนี้ แต่ติดอยู่ที่ถือของเต็มไม้เต็มมือ คงไม่อาจจะทำได้
แล้วก็เป็นดังคาด คากามิรับคำทันทีว่าจะเล่นด้วย แล้วกองของทั้งหมดไว้ที่ม้านั่งบริเวณใกล้สนาม เจ้าตัวถอดสร้อยสีเงินออกอย่างทะนุถนอม แสดงว่าตั้งใจจะเอาจริง ดวงตาสีแดงคู่นั้นฉายแววมุ่งมั่น เป็นประกายตาซึ่งอาโอมิเนะชอบที่จะเห็นภาพของตัวเองสะท้อนอยู่บนนั้น เพราะมันแสดงให้เห็นว่า เขากำลังยืนอยู่ตรงหน้าคู่แข่งที่คู่ควรแก่การเอาชนะ
การเล่นหนึ่งต่อหนึ่งดำเนินไปดังเช่นทุกครั้ง ลูกกลมๆสีส้มลงห่วงไปครั้งแล้วครั้งเล่า ท่ามกลางเสียงรองเท้ากีฬาที่กระทบพื้นตามจังหวะการวิ่ง เสียงของลูกบาสเก็ตบอลที่กระดอนไปมาบนสนามและเสียงสบถ เมื่อไม่อาจข้ามผ่านกำแพงที่มีชื่อว่าอาโอมิเนะ ไดคิไปได้ อย่างไรก็ตามอาโอมิเนะรู้สึกว่า ช่วงเวลานี้ช่างสนุกสนานเหลือเกิน ถึงไม่ได้เห็นหน้าตัวเอง แต่ก็รู้สึกได้ว่า ต้องกำลังยิ้มอยู่แน่ๆ ถึงอีกฝ่ายจะไม่เคยเอาชนะเขาได้เลยสักครั้ง แต่การเล่นกับคนที่ต้องทุ่มเทสุดกำลังเพื่อเอาชนะนั้น ก็เป็นเรื่องที่เมื่อก่อน เขาไม่แม้แต่จะฝันถึง
“วันนี้พอแค่นี้เถอะ ขี้เกียจแล้ว”
ปากบอกว่าขี้เกียจ แต่ที่จริงเพราะฟ้ามืดแล้วต่างหาก แถมคนตรงหน้ายังเหงื่อท่วมตัว เริ่มหอบหายใจแล้วด้วย ขืนเล่นกันต่อไป ก็คงจะใช้แรงจนเกินตัว จนสุดท้ายต้องลงไปนอนแผ่บนพื้นแน่ๆ
“อืม แล้วเจอกันวันอาทิตย์นะ”
“อืม เจอกัน”
อีกตั้งหลายวัน กว่าจะถึงวันอาทิตย์ ช่างโชคดีจริงๆที่ได้เจอกัน วันนี้จึงไม่น่าเบื่อเหมือนทุกๆวันที่ผ่านมา ไม่มีอะไรที่ทำให้ชีวิตสดใสได้เท่ากับการเล่นบาสเก็ตบอลอย่างเต็มที่ ซึ่งคนที่ทำให้เขารู้สึกแบบนี้ได้ ก็มีแต่คากามิเท่านั้นแหละ
...วันนี้อากาศสดใส...ชีวิตก็สดใส...
ไม่รู้ทำไม อาโอมิเนะจึงนึกถึงคำทำนายในกระดาษขึ้นมา วันนี้น่ะอากาศสดใสอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง แต่เรื่องดีๆอย่างได้มาเจอคากามิโดยบังเอิญเนี่ย มันเป็นไปตามที่ทำนายหรือเปล่านะ ไม่สิ คิดอะไรบ้าๆ มันก็แค่คำทำนายงี่เง่า ทำให้คนคิดเข้าข้างตัวเองไปเรื่อยว่ามันตรง อย่างเช่นถ้าเกิดวันนี้เขาตรงดิ่งกลับบ้านไป แล้วบังเอิญเจอเหรียญห้าร้อยเยนที่มีคนทำตกไว้ เขาอาจจะคิดว่า นั่นคือ ชีวิตอันแสนสดใสก็เป็นได้ ??
“อาโอมิเนะ เอ้า!! ”
ชายหนุ่มหันไปตามเสียงเรียก อะไรบางอย่างถูกโยนมาให้ เขาเอามือไปคว้าไว้ตามสัญชาตญาณอย่างว่องไว มันคือชีสเบอร์เกอร์อันนึง ซึ่งหน้าตาดูบุบเบี้ยว อาจเพราะถูกโยนมาเมื่อครู่หรืออาจเพราะเบียดเสียดกันมาในถุงกระดาษใบใหญ่ ก็ไม่อาจรู้ได้
“เอาไว้กินแก้หิวนะ”
เขามองรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของคนที่หอบถุงกระดาษเอาไว้ในอ้อมแขน ช่างเป็นคนที่เอาใจใส่คนอื่นเสียจริง ทั้งที่กำลังจะแยกย้ายกลับบ้านกันแล้วแท้ๆ ยังมีกะใจมาห่วงกระเพาะอาหารคนอื่นอีก
“แท้งกิ้ว คากามิ”
“แต่...”
คำว่า แต่ ที่ตามหลังคำขอบคุณนั้น คนทั่วไปมักจะบอกว่า ขอบคุณ แต่ไม่ต้องก็ได้ ขอบคุณ แต่วันหลังไม่เอาแล้วนะ เกรงใจ น่าเสียดายที่ในพจนานุกรมของอาโอมิเนะ ไดคิ ไม่มีคำเหล่านั้นอยู่เลยแม้แต่น้อย
“คราวหน้าขอเป็นเทริยากิเบอร์เกอร์นะ”
++++++++++
คำทำนายของท่านในวันนี้...สีนำโชคของท่านคือสีแดง...
ไม่ใช่ว่าอยู่ๆอาโอมิเนะนึกอยากฟังOha-Asaทำนายขึ้นมาหรอก แต่เป็นเพราะเพื่อนสมัยเด็กของเขา ไปซื้อคอเล็กชั่นเดิมมาอีกแล้ว เขาจึงถูกบังคับให้เปิดคำทำนายอ่านเช่นเคย ส่วนยัยนั่นก็ดูจะยินดีกับคำทำนายของตัวเอง แถมยังเล่าเรื่องดีๆที่เกิดขึ้นตามคำทำนายอีกด้วย
“สีนำโชคคือสีแดงเหรอ”
“แต่ไดจังไม่ค่อยมีของสีแดงเลยนี่นา”
ผู้ชายที่ไหน เขาชอบสีแดงกันล่ะ คิดว่าฉันจะมีอะไรสีแดงไม่ทราบ ? กระเป๋าสตางค์ ? รองเท้า ? แค่คิดสภาพก็อนาถใจแล้ว ส่วนใหญ่ผู้ชายก็พกแต่ของสีเข้มๆกันทั้งนั้นแหละ อย่างสีดำ สีน้ำเงิน สีน้ำตาล สีเขียวเข้ม ถ้าจะมีหลุดๆมาบ้างๆ ก็อาจจะเป็นสีขาว ไม่ก็สีฟ้า ใครที่ไหนมันจะมีของสีแดง
“เอ้า ฉันให้ยืม”
โมโมอิปลดที่ห้อยกระเป๋าของตัวเองออก ทำท่าเหมือนจะเอามาแขวนไว้ที่กระเป๋าของอาโอมิเนะแทน ทำให้ชายหนุ่มต้องรีบดันตัวเธอออกห่าง ไม่ให้มาวุ่นวาย เอาพวงกุญแจลายตู้ไปรษณีย์น่ารักมาผูกติดกับกระเป๋าของเขา
“นี่เป็นสีนำโชคนะ”
“ถ้าต้องแขวนของพรรค์นั้นแล้วถึงจะโชคดี ก็ไม่เอาหรอก”
โชคดีที่โมโมอิแคร์สายตาคนรอบข้างเกินกว่าจะยื้อแย่งกระเป๋ากันให้เป็นจุดสนใจมากไปกว่านี้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามเหมือนหญิงสาวจะงอนนิดๆที่เพื่อนของเธอไม่ยอมเชื่อตามคำทำนายนั้น ก็เลยเดินหนีขึ้นห้องเรียนไป โดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ
เย็นวันนั้นอาโอมิเนะไปที่ชมรมและยอมซ้อมร่วมกับคนอื่นๆในทีม เป็นปรากฏการณ์ประหลาดที่ทำให้หลายต่อหลายคนต้องแปลกใจ แต่ถึงกระนั้นวากามัตสึก็ยังบ่นเรื่องที่ชายหนุ่มแทบไม่ได้โผล่หน้ามาที่ชมรมเลยเกือบทั้งสัปดาห์ คงเพราะตอนนี้อิมะโยชิซังไม่อยู่แล้ว จึงไม่มีใครคอยปรามวากามัตสึไม่ให้โมโห จากที่บ่นเฉยๆก็เลยเพิ่มระดับเป็นโวยวายตามความหมั่นไส้อาโอมิเนะที่เอาแต่เล่นบาสเก็ตบอล ไม่ยอมสนใจฟังที่กัปตันคนใหม่พูดเลยสักนิด
“ถ้าอยากจะบ่นขนาดนั้น ก็ชนะฉันให้ได้ก่อน เป็นไง ?”
และแล้วคำพูดประจำตัวที่ชอบท้าทายรุ่นพี่ก็หลุดออกมาจากปากเอสของทีม แต่ต่างกันตรงที่ถ้าเป็นเมื่อก่อน พูดเสร็จจะต้องยืนจ้องหน้า ยิ้มเย้ยหยันราวกับต้องการยั่วโมโห ต้องการดูถูก ส่วนตอนนี้พูดจบก็หันไปเล่นบาสเก็ตบอลต่อ เหมือนต้องการจะตัดรำคาญเท่านั้น ก็นับว่ามีพัฒนาการที่ดีอยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังน่าหมั่นไส้อยู่ดี
แน่นอนว่า การพูดแบบนั้นไม่มีทางทำให้วากามัตสึเงียบลงได้ มีแต่จะโวยวายหนักข้อขึ้น จนหลายต่อหลายคนในชมรมต้องเอามืออุดหู เพราะทนเสียงนั้นไม่ไหว อาโอมิเนะนั้นทำเป็นไม่สนใจอยู่สักพัก ก็หันกลับมามอง ดวงตาสีน้ำเงินนั้นจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง
“อะไร ? อยากจะพูดอะไรรึไง”
“ก็นิดหน่อยน่ะ คุณกัปตัน”
อาโอมิเนะฉีกยิ้มตามแบบฉบับของตัวเอง เป็นรอยยิ้มที่คนเห็นแล้วต้องเสียวสันหลังวาบทุกที มันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังรำคาญเต็มที่แล้ว ซากุราอิเริ่มต้นพูดขอโทษ ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไร ส่วนวากามัตสึก็กลืนน้ำลายลงคออย่างช้าๆ แต่ยังทำใจสู้ ไม่ยอมหลบสายตา
“ถ้าปากว่างนัก...ฉันช่วยเอาแอบเปิ้ลยัดปากให้เอาไหม ?”
คราวนี้ในโรงยิมเงียบกริบ เป็นเวลา 30 วินาทีเต็ม ก่อนที่ความเงียบจะถูกทำลายลง จากเสียงเลี้ยงลูกบาสเก็ตบอลของเจ้าของคำพูดนั้น แทบไม่มีใครกล้าขยับตัว หรือแม้กระทั่งกลืนน้ำลายลงไปในคอ เพราะทุกคนรู้สึกเหมือนกันว่า
...ที่พูดนั่น...มันเอาจริงแน่นอน...ร้อยเปอร์เซ็นต์...
อาโอมิเนะชู้ตลูกบาสเก็ตบอลด้วยความสบายใจ เมื่อเสียงโวยวายเรื่องเขาเงียบลง ดูท่าทางคำทำนายนั่นจะไม่ได้ผิดไปเสียทีเดียว สีแดงเหมือนจะเป็นสีนำโชคของเขาจริงๆ
...ก็แอบเปิ้ล...มันสีแดงนี่นะ...
ถึงจะไม่ต้องทนฟังเสียงโวยวายของกัปตนทีมคนใหม่ แต่ตอนกลับบ้านอาโอมิเนะก็ต้องมานั่งฟังผู้จัดการทีมบ่นเรื่องของเขาอยู่ดี ทั้งเรื่องไม่มาซ้อมเอย เรื่องคำพูดคำจากับรุ่นพี่เอย แถมยังพาลเรื่องเมื่อเช้าที่ไม่ยอมให้เธอติดของนำโชคสีแดงให้อีกด้วย พอพูดออกไปว่า คำทำนายแม่นดีนี่ เธอก็ทำตาเป็นประกายรีบถามกลับมาว่า เกิดอะไรขึ้นเหรอ เล่าให้ฟังหน่อยสิ พอเล่าเรื่องทั้งหมดออกไปตามความจริง ทั้งคำพูดที่ใช้ ทั้งความรู้สึกในตอนนั้น กลับโดนบ่นอีกชุดใหญ่
“อะไรเล่า งี่เง่าชะมัดเลย ไดจังนี่”
ตัวเองเป็นคนขอให้เล่าเองแท้ๆ มีการมาด่ากันตามหลังอีก ใช้ได้ที่ไหน สีแดงมันเป็นสีนำโชคจริงอย่างที่เธอว่าไง แค่ใช้คำว่าแอบเปิ้ลคำเดียว วากามัตสึที่น่าหนวกหูก็ยอมหุบปากเชียวนะ อย่างนี้ไม่เรียกว่าโชคช่วยแล้วเรียกว่าอะไร ?
“อ๊ะ นั่นคากามินนี่”
สาวน้อยชี้ไปทางร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ก็เห็นชายหนุ่มผมแดงกำลังยืนคุยอะไรสักอย่างอยู่กับพนักงานของที่นั่น ในมือยังหอบหิ้วถุงพลาสติกใบใหญ่ข้างละ 2 ใบ ถึงไม่บอกก็พอเดาได้ว่า ในนั้นจะต้องเป็นบรรดาของสดที่ซื้อเตรียมไปเก็บไว้ในตู้เย็นแน่ๆ
“ดูท่าทางกำลังลำบากนะ”
คำว่าลำบากออกจะห่างไกลความจริงไปหน่อย ที่จริงคือดูกำลังงงมากกว่า เหมือนพนักงานของซุปเปอร์มาร์เก็ตกำลังอธิบายอะไรสักอย่างที่คากามิไม่เข้าใจอยู่ แล้วทำไมตอนฟังไม่วางของเอาไว้บนโต๊ะก่อนฟร่า จะถือไว้ทำไมให้มันหนักเนี่ย
พอข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้าม ถึงได้เห็นอย่างชัดเจนว่า คากามิกำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะยาวตัวหนึ่งซึ่งมีวงล้อเสี่ยงโชคตั้งอยู่ด้านบน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า เป็นแคมเปญของซุปเปอร์มาร์เก็ตซึ่งให้ชิงโชคลุ้นตั๋วรางวัลไปเที่ยวต่างประเทศ โดยใช้ใบเสร็จมาแลกรับตั๋วคูปองที่ใช้ในการหมุนวงล้อเสี่ยงโชค
“คากามิน เป็นอะไรหรือเปล่า”
คนถูกเรียกชื่อหันมามองด้วยความแปลกใจ หลังจากสนทนากันพักหนึ่ง ถึงได้รู้ว่า คากามิไม่ค่อยเข้าใจวิธีการชิงโชคแบบนี้ แล้วที่ขำที่สุดก็คือ คากามิบอกว่า ไม่เข้าใจวิธีว่า ลูกหินมันจะตกลงมาได้อย่างไร
“ทำแบบนี้สิ”
อาโอมิเนะถือวิสาสะหันไปหมุนวงล้อหนึ่งครั้ง ไม่ว่าใครก็คงคิดว่า ลูกหินสีธรรมดาที่ได้รับทิชชู่เป็นของรางวัลคงจะตกลงมาอย่างแน่นอน แต่กลับไม่เป็นแบบนั้น ลูกหินสีทองเป็นประกายกลับกลิ้งลงมา ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่จับจ้องมา ทุกอย่างเงียบสงัดลง เพราะไอ้คนหมุน มันไม่ได้ยื่นคูปองขอแจ้งสิทธิก่อน อยู่ๆก็ไปหมุนเอาดื้อๆ
“คุณลูกค้าครับ...”
หลังจากการเจรจาอยู่พักหนึ่ง คากามิจึงให้คูปองใช้สิทธิในการหมุนแก่ร้านไปจนหมด แล้วรับรางวัลเป็นทิชชู่กับข้าวสารน้ำหนัก 20 กิโลกรัมมาแทน ซึ่งเจ้าตัวก็ดูจะดีใจกับของกินมากกว่าตั๋วเครื่องบิน แต่ทีนี้ปัญหามันก็ยังไม่จบสิ้น เพราะการขนข้าวสารน้ำหนัก 20 กิโลกรัม กลับบ้านนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วไหนจะถุงของสดที่เจ้าตัวหิ้วอยู่เต็มสองมือ
“เอ้า ฝากหน่อยนะ ฉันจะไปส่งคากามิ”
อาโอมิเนะโยนกระเป๋าให้เพื่อนสมัยเด็ก แล้วยกกระสอบข้าวสารขึ้น ชายหนุ่มทำหน้าเบ้เล็กน้อยด้วยน้ำหนักของมัน ก่อนที่ใครจะทันได้อ้าปากคัดค้านแผนการนี้ เจ้าตัวก็รีบดักคอขึ้นมาว่า
“ไอ้นี่มันหนักมากเลยนะ รีบๆไปกันได้แล้ว”
โชคดีที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตนั่นไม่ได้ห่างจากบ้านของคากามิมากนัก การเดินทางขนกระสอบข้าวสารของอาโอมิเนะจึงจบลงด้วยดี แน่นอนว่า เจ้าของบ้านรีบเชื้อเชิญให้เข้าไปนั่งพักและอยู่กินอาหารเย็นด้วยกันเป็นการตอบแทน แต่ครั้งนี้อาโอมิเนะปฏิเสธทันควัน ไม่ใช่เพราะไม่อยากอยู่ แต่เพราะมียัยซัทสึกิอยู่ด้วยต่างหาก
ช่วงเวลาที่ได้นั่งกินอาหารเย็นด้วยกันในห้องนี้ กลายเป็นความทรงจำที่แสนล้ำค่า จนรู้สึกว่า เป็นพื้นที่ที่ไม่อยากให้ใครเหยียบย่างเข้าไป ไม่อยากแบ่งปันให้ใคร ต้องการผูกขาดเอาไว้เป็นของตัวเองเพียงคนเดียวเท่านั้น
“วันนี้คำทำนายก็แม่นเนอะ”
“แม่นตรงไหน ?”
“ก็สีแดงนำโชคดีมาให้จริงๆไม่ใช่เหรอ หมุนได้รางวัลที่หนึ่งเชียวนะ”
อาโอมิเนะพยายามนึกย้อนว่า ในตอนนั้นเขามีอะไรในตัวที่เป็นสีแดงหรือเปล่า หลังจากปฏิเสธพวงกุญแจสยองขวัญของซัทสึกิไปแล้ว เขาก็ไม่ได้ซื้อแอบเปิ้ลหรืออะไรสีแดงติดมือมากินเสียหน่อย ตกลงสีแดงที่ว่านั่น มันมีซะที่ไหนล่ะ
“อ้าว...ก็คากามินไงล่ะ”
คำพูดนั้นทำเอาอาโอมิเนะสะอึกไปเหมือนกัน เพราะคนที่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการเสี่ยงโชคครั้งนี้ก็คือ ชายหนุ่มผู้มีผมสีแดงเพลิงเป็นเอกลักษณ์ หากไม่ไปเห็นคากามิกำลังยืนทำหน้าตางุนงงอยู่ตรงซุปเปอร์มาร์เก็ต เขาก็คงไม่มีโอกาสไปหมุนวงล้อหรือเล่นเกมเสี่ยงโชคใดๆอย่างแน่นอน
“วันนี้ไดจัง โชคดีจังเลยนะ”
“สีแดงเป็นสีนำโชคจริงๆด้วยสินะ”
สีแดงนั้นเป็นสีนำโชคของฉัน ไม่ใช่แค่เฉพาะวันนี้เท่านั้น ถึงจะเป็นพรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรือว่าวันไหนๆ สีแดงก็ยังคงเป็นสีที่นำพาแต่เรื่องดีๆมาให้เสมอ
เพราะมันเป็นสีผมของคนคนนั้น...
...สีผมของคากามิ...
++++++++++
แม้วันนี้จะเป็นวันอาทิตย์ที่อากาศแจ่มใส แต่อาโอมิเนะ ไดคิ ก็ยังนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงนอน ไม่คิดอยากจะออกไปเล่นสตรีทบาสเก็ตบอลเลยแม้แต่นิดเดียว สาเหตุก็เพราะข้อความสั้นๆที่ปรากฏอยู่ในมือถือ ซึ่งทำให้เจ้าตัวรู้สึกเบื่อหน่ายจนไม่อยากออกจากบ้านไปไหน
“โทษทีนะ ฉันต้องไปอเมริกา แล้วจะโทรหา”
ถึงการเล่นบาสเก็ตบอลจะสนุกสนานมากมายเพียงใด แต่การเล่นเพียงลำพังนั้น กลับน่าเบื่อกว่าที่คิด เพราะคู่แข่งคนสำคัญของเขาต้องบินไปอเมริกากะทันหันโดยไม่บอกไม่กล่าวอะไร นอกจากส่งข้อความสั้นๆมากลางดึก พอโทรกลับไป ก็ไม่มีใครรับสาย เดาว่าเจ้าของคงทิ้งโทรศัพท์มือถือไว้ที่บ้าน ไม่ได้เอาติดตัวไปด้วย
อาโอมิเนะจ้องมองข้อความสั้นๆในโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง เขาอ่านมันเป็นร้อยๆครั้ง แต่ก็ไม่เห็นจะเข้าใจมากขึ้นเลยสักนิด ได้แต่หวังว่าจะได้รับโทรศัพท์จากอีกฝ่าย แต่นี่ก็ผ่านมา 4 วัน แล้ว ไม่เห็นมีข่าวคราวอะไรเลย ไม่รู้ว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนอะไร ถึงต้องรีบร้อนไปอเมริกา ถ้าอธิบายให้ฟังสักนิด เขาคงไม่รู้สึกหงุดหงิดถึงขนาดนี้
โทรศัพท์ในมือนั้น อยู่ๆก็แผดเสียงเพลงดังลั่น เบอร์ที่ไม่รู้จักปรากฏบนหน้าจอ แต่ถึงอย่างนั้น อาโอมิเนะก็รีบกดรับอย่างรวดเร็ว เสียงที่ได้ยินนั้นก็เป็นเสียงที่คุ้นเคย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใคร แต่กลับไม่ใช่คนที่เขารออยู่
“ไดจัง วันนี้อยู่บ้านใช่ไหม”
แล้วนิ้วมือก็เลื่อนไปกดที่ปุ่มสีแดงอย่างจงใจ โทษทีนะ ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์อยากจะเข้าสังคมหรือเสวนากับใคร ยกเว้น หมอนั่น แต่โทรศัพท์มือถือก็ยังดังอีกครั้งด้วยหมายเลขเดิม อาโอมิเนะกดปุ่มวางสายซ้ำแล้วซ้ำอีก นึกสงสัยว่า ยัยซัทสึกิอยู่ที่ไหนกันนะ ถึงได้เอาเบอร์แปลกๆโทรเข้ามาแบบไม่หยุดหย่อน อย่ามายุ่งวุ่นวายกับฉันตอนนี้จะได้ไหม
หลังจากผ่านการต่อสู้ระหว่างคนโทรเข้ากับคนที่ไม่ยอมรับสายสักพัก อาโอมิเนะก็ยอมกดรับสาย เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า ยัยนั่นต้องการอะไรกันแน่ ถึงได้ไม่ละความพยายามในการโทรเข้ามา
“เอ้า มีอะไรก็ว่ามา”
“อาโอมิเนะ ขอโทษที่ติดต่อไปช้านะ”
เสียงที่ได้ยินนั้น ทำให้คนรับสายต้องลองจ้องมองเบอร์ที่ปรากฏอีกครั้ง พบว่า มันเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วนี่เขากดตัดสายคากามิทิ้งไปบ้างหรือเปล่าเนี่ย
“อา ไม่หรอก แล้วนี่นายอยู่ไหน”
“ยังอยู่ที่อเมริกาเลย พอดีทางนี้มีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย”
คากามิได้รับโทรศัพท์จากเลขาฯของพ่อซึ่งโทรมาแจ้งว่า พ่อประสบอุบัติเหตุให้รีบมาทางนี้ด่วน แถมยังจองตั๋วเครื่องบินให้เสร็จสรรพ ชนิดที่ว่า สามารถบินไปอเมริกาได้เลยทันที แต่พอไปถึงที่นั่น พ่อของเขากลับแค่ข้อมือเคล็ดนิดหน่อยจากการหักพวงมาลัยแบบกะทันหัน นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
“ตัวรถพังยับเยินไม่มีชิ้นดี ไม่รู้รอดมาได้ยังไง”
ถึงจะพูดไปหัวเราะไป เหมือนเป็นเรื่องตลก แต่เขากลับจับความรู้สึกกังวลในน้ำเสียงนั้นได้ ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ก็ยังมีกะใจส่งข้อความมาบอกเขา อย่างนี้ควรจะดีใจหรือเปล่านะ ที่ได้รับความสำคัญถึงขนาดนี้
“อยากเล่นบาสกับนายจังเลย”
รู้ดีเลยล่ะว่า คากามิพูดออกมาโดยไม่ได้คิดอะไร พูดออกมาจากใจจริงของตัวเอง จากความคิดในตอนนั้น ไม่มีอะไรแอบแฝงเลยสักนิด แต่กลับรู้สึกเหมือนได้ยินคำว่า ฉันคิดถึงนาย หรือไม่ก็ ฉันอยากเจอนาย ทำเอาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อไปดี ในท้องก็รู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาแบบแปลกๆ แตกต่างจากเวลามันบิดเกร็งเพราะความตื่นเต้นในขณะที่เล่นบาสเก็ตบอล แต่ก็ไม่ใช่ความรู้สึกเลวร้าย แบบเวลาที่ถูกความเครียดเข้าจู่โจม
“อาโอมิเนะ ?”
ปลายสายเรียกชื่อ เมื่อเห็นว่าเขาเงียบไป เขาจึงตอบรับสั้นๆในลำคอ พยายามควบคุมเสียงตัวเองให้เป็นปกติมากที่สุด หลังจากไถ่ถามเรื่องราวทั่วๆไปรอบตัวสักพัก ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวคากามิดังลอดโทรศัพท์เข้ามา เจ้าตัวพูดตอบเป็นภาษาอังกฤษกลับไป 2-3 ประโยค เร็วจนเขาไม่สามารถฟังได้ทัน ก่อนจะขอตัววางสายก่อน
“แล้วนายจะกลับมาเมื่อไหร่”
“คงอยู่นี่อีกสักสองสัปดาห์น่ะ”
“จนกว่าตาแก่จะหาย...”
ทำเป็นบ่นนู้นนี่ ที่จริงตัวเองก็ห่วงอยู่เหมือนกันสินะ โชคดีที่ตอนนี้เป็นปิดเทอม นอกจากซ้อมบาส ก็คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ที่จริงจะอยู่จนหมดปิดเทอมฤดูร้อนเลยก็ยังได้ หรือว่ามีเรื่องอะไรทำให้ต้องรีบกลับมา
“ก็ขาดซ้อมนานๆคงไม่ดี”
“ของกินที่ญี่ปุ่นก็อร่อยกว่า”
ท่าทางในหัวนายจะมีแต่เรื่องบาสเก็ตบอลกับเรื่องของกินนะเนี่ย ตั๋วเครื่องบินมันแพงไม่ใช่หรือไง ไปทั้งทีก็อยู่ให้มันนานๆหน่อยสิ แถมยังได้ไปถึงดินแดนสวรรค์ของบาสเก็ตบอล ไม่นึกคันไม้คันมืออยากวาดลวดลายกับพวกคนอเมริกาที่ว่ากันว่า ระดับสูงกว่าคนญี่ปุ่นอย่างเทียบชั้นกันไม่ได้ ไม่ใช่หรือ ท่าทางน่าสนุกดีออก ไม่เห็นต้องห่วงซ้อมเลย อยู่ที่นั่นน่าจะได้ลับฝีมือมากกว่าอีก
“แต่ฉันอยากเล่นบาสกับนาย...”
ครั้งที่สองแล้วนะที่พูดประโยคนี้ คราวนี้จะไม่ให้คิดไปไกลได้อย่างไร โชคดีที่เหมือนคากามิถูกใครบางคนเร่งให้วางสาย จึงรีบตัดบทบอกเขาว่า แล้วจะโทรมาอีก แม้อีกฝั่งจะตัดสายไปแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังนั่งนิ่ง ปล่อยให้โทรศัพท์พ่นเสียงตรู๊ดๆใส่หูอยู่เกือบสามนาที
...ฉันอยากเล่นบาสกับนาย...
คำพูดนี้ยังดังก้องอยู่ในหัว เหมือนเสียงที่สะท้อนกลับไปกลับมาไม่หยุดเสียที อาโอมิเนะล้มตัวลงนอนแผ่บนเตียง มองโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ราวกับว่า มันเป็นหน้าต่างวิเศษที่สามารถมองทะลุไปเห็นคนที่เขารักซึ่งอยู่อีกประเทศหนึ่งได้
เจ้าบ้าคากามิ...ฉันจะบอกอะไรให้นะ...
คนที่ยิ่งกว่าอยากเล่นบาสกับนายน่ะ...คือฉันต่างหาก...
รีบกลับมาเร็วๆสิ...ไอ้บ้าเอ๊ย...
...ฉันอยากเจอนาย...จนแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว....
ใครจะรู้ว่า นั่นเป็นแค่ปฐมบทความทรมานของอาโอมิเนะ ไดคิ ดังคำกล่าวที่ว่า ยามอยู่ใกล้กันไม่เห็นค่า จากไปไกลจึงเพิ่งรู้สึก แม้ความสัมพันธ์ของสองคนนี้จะไม่ได้ตรงตามคำพูดนี้เป๊ะๆ แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่อาโอมิเนะรู้ว่า อาการลงแดงจากการขาดคากามินั้นเป็นอย่างไร
“โมโมอิ ช่วงนี้มันไปหัวกระแทกอะไรมาหรือเปล่า ?”
ไม่แปลกที่วากามัตสึจะรู้สึกสงสัย เพราะอาโอมิเนะมาซ้อมทุกเย็นไม่ได้ขาด แม้จะไม่ยอมซ้อมตามโปรแกรม เอาแต่ชู้ตลูกคนเดียวบ้างล่ะ ซ้อมเลี้ยงลูกวนไปมาบ้างล่ะ แต่ที่รู้แน่ๆก็คือ เจ้าตัวแผ่รังสีดำทะมึนจนไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งด้วย แม้กระทั่งกัปตันจอมโวยวาย ก็ยังปิดปากเงียบ ปล่อยให้เอสจอมเอาแต่ใจทำสิ่งที่ตัวเองต้องการ
ผู้จัดการสาวยิ้มแทนคำตอบ ใช่ว่าเธอจะไม่รู้ แต่คิดว่า ไม่ควรพูดออกไปจะดีกว่า เพราะเพื่อนของเธอเองก็ไม่เคยบอกเล่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนออกมาตรงๆ เธอเพียงแค่รับรู้มันได้จากความใกล้ชิดและบรรยากาศรอบตัวที่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป
“ขอโทษครับ ขอโทษครับ”
ซากุไรเริ่มขอโทษอย่างไม่มีเหตุผล เมื่ออาโอมิเนะกระโดดขึ้นดังค์ลูกอย่างแรงจนแป้นบาสสั่น โชคดีที่มันยังไม่หัก เจ้าตัวทำท่าเหมือนยังไม่สาแก่ใจ จะกระโดดขึ้นไปอีกสักรอบ แต่ลูกบาสเก็ตบอลกลับไม่เป็นใจ กลิ้งออกไปนอกสนามเสียไกลจนเจ้าตัวต้องเสียเวลาเดินไปเก็บ
“มองอะไร...”
พาลกับแป้นบาสไม่พอ ยังไปพาลกับสมาชิกคนอื่นในทีมที่คงขวัญผวา หลังจากได้ยินน้ำเสียงข่มขู่กับสายตาอาฆาต อาจจะต้องนอนฝันร้ายถึงหน้าตาถมึงทึงของเอสประจำทีมไปอีกสองสามวัน
ปกติถึงอาโอมิเนะจะขี้โมโห ขี้รำคาญ เอาแต่ใจสักเพียงใด แต่ก็ไม่เคยหาเรื่องใครก่อน ยกเว้นว่าคนคนนั้นจะเข้าไปยุ่งวุ่นวาย สอดปากในสิ่งที่เจ้าตัวทำอยู่ ฉะนั้นการเข้ามาในชมรม แต่ไม่ยอมซ้อมตามแผน แถมยังจงใจทำเสียงดังหลายต่อหลายครั้ง เหมือนอยากหาเรื่องใครสักคนนั้น เป็นพฤติกรรมที่แปลกเสียยิ่งกว่าแปลก
“สรุปมันเป็นอะไรของมัน”
วากามัตสึเหล่มองผู้จัดการสาวซึ่งถอนหายใจยาว แน่นอนว่าเธอรู้ดีถึงสาเหตุ แต่ถึงบอกไปก็ใช่ว่าจะทำอะไรได้ คงได้แต่รอว่าเมื่อไหร่คนคนนั้นจะกลับมา เพื่อนของเธอจะได้กลับมาเป็นคนเดิม ที่ถึงจะทำพฤติกรรมแย่ๆสักแค่ไหน ก็ยังดีกว่านิสัยที่เป็นอยู่ในตอนนี้หลายเท่านัก
อาโอมิเนะเลี้ยงลูกผ่านบรรดาสมาชิกในทีมที่กำลังซ้อมอยู่ในสนาม ก่อนจะดังค์ลูกอย่างแรง จนแป้นบาสโยกคลอนอีกครั้ง คนดวงซวยที่เผลอหันไปมองด้วยความชื่นชม กลับโดนด่าเสียยับเยินจนแทบอยากจะเดินหนีออกไปจากสนาม เสียงขอโทษของซากุไรผสมกับเสียงตะโกนของวากามัตสึ โมโมอิเริ่มรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไร
รีบกลับมาเร็วๆเถอะนะ...คากามิน...
หลังจากอาโอมิเนะ ปล่อยออร่าดำทะมึนออกมาหลายวัน จนทำให้คนรอบข้างเดือดร้อนกันไปทั่ว ฟ้าก็ส่งเทวดาลงมาโปรดเหล่าสมาชิกชมรมบาสแห่งโทโอ เพียงแค่รับสายโทรศัพท์ทางไกลของใครคนหนึ่ง ก็เหมือนมีแสงสว่างปัดเป่าความมืดมิดออกไป เอสของทีมนั้นร่าเริงขึ้นทันตา เมฆหมอกและไอพิษที่เคยรายล้อมรอบตัวนั้นจางหายไปจนหมด
แม้ไม่มีใครรู้ว่า โทรศัพท์สายนั้น มาจากใคร หรือพูดว่าอะไรบ้าง แต่ทุกคนนึกขอบคุณปลายสายอยู่ในใจที่ทำให้ยุคมืดจบลงได้เสียที พอจบการซ้อม ผู้จัดการทีมก็เอ่ยปากพูดในสิ่งที่ทุกคนนั้นนึกสงสัย แต่ไม่กล้าพอที่จะถามออกไป
“เมื่อกี๊ใครโทรมาเหรอ”
“อ๋อ”
เพราะเป็นการสนทนาระหว่างคนสองคน ไม่ได้ตั้งใจป่าวประกาศให้ใครต่อใครรู้ คนรอบข้างที่แม้จะพยายามเงี่ยหูฟังอย่างสุดชีวิต ก็จับความได้เพียงแค่คำว่า “คากามิ” “อเมริกา” แล้วก็ “วันอาทิตย์นี้”
“เอ๋ คากามิน จะกลับมาวันอาทิตย์นี้เหรอ”
และแล้วผู้จัดการสาวก็จัดการสรุปประโยคที่ทุกคนอยากรู้ ในระดับเสียงที่ดังพอจะฟังรู้เรื่อง ไม่ว่าตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจทั้งชมรมก็ได้รับรู้แล้วว่า เทวดาองค์ไหนที่มาโปรด ทำให้จอมมารนั้นกลับตัวกลับใจ เลิกทำร้ายประชาชนตาดำๆด้วยสายตาพิฆาต จนบาดเจ็บล้มตายกันเป็นทิวแถว หลังจากส่งคำขอบคุณจากเบื้องลึกของหัวใจ ไปให้แก่คนคนนั้น ก็มีความสงสัยอะไรบางอย่างผุดขึ้นมาในใจของทุกคนโดยมิได้นัดหมาย หลายต่อหลายคนมองสบตากัน นายก็สงสัยอย่างนั้นใช่ไหม สงสัยเหมือนฉันใช่ไหม
คากามิ...นี่เป็นใครกันเหรอ ???
++++++++++
เป็นดังที่หลายคนคาดเอาไว้ พออารมณ์ดีขึ้น เอสแห่งโทโอ ก็ไม่โผล่หัวมาที่ชมรมเลย แน่นอนว่าไม่มีใครเรียกร้องหรือนึกอยากจะเห็นหน้าเลยสักนิด แม้แต่วากามัตสึเองก็ยังไม่คิดจะบ่นสักคำ เพราะกลัวว่าจะเกิดกลียุคครั้งใหม่ขึ้นที่ชมรมอีก ส่วนอาโอมิเนะ ไดคิ ก็โดดชมรมไปเล่นบาสอยู่คนเดียวที่สนามสตรีทบาสเก็ตบอลตามปกติ ถึงจะอารมณ์ดีขึ้น เพราะรู้แล้วว่าคากามิกำลังจะกลับมาญี่ปุ่น แต่ความรู้สึกอยากเจอนั้น ก็ไม่ได้บรรเทาเบาบางลง แม้แต่นิดเดียว แถมการเล่นบาสที่นี่ ที่สนามแห่งนี้ ยิ่งทำให้นึกถึงภาพของใครคนหนึ่งซึ่งไม่ว่าจะพ่ายแพ้สักกี่ครั้ง ใบหน้าก็ยังคงมีรอยยิ้ม
...รอยยิ้มแห่งความสนุกสนานที่ได้เล่นบาสเก็ตบอล....
แต่ก่อนเคยคิดว่า การเล่นบาสเก็ตบอลกับผู้อื่น เป็นเรื่องน่ารำคาญ เพราะชัยชนะนั้นได้มาอย่างง่ายดายเสียจนไม่รู้สึกยินดีกับมันแม้แต่นิดเดียว วันคืนอันน่าเบื่อหน่ายที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า วงจรที่คิดว่าตัวเองไม่มีวันหลุดพ้น มาบัดนี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป การเล่นบาสคนเดียวนั้นสนุกก็จริงอยู่ แต่กลับเทียบไม่ได้เลยกับการเล่นบาสกับคากามิ ทั้งความสนุกสนาน ทั้งความตื่นเต้น ช่างแตกต่างกันมากมายเหลือเกิน
ลูกบาสสีส้มลอดลงห่วงไปอีกครั้ง อาโอมิเนะก้มลงเก็บมันขึ้นมาจากพื้น แล้วโยนลงห่วงไปอีก พอคิดถึงเวลาอีกฝ่ายพยายามปัดป้องไม่ให้เขาทำแต้ม เวลาที่ได้หลอกล่อ เวลาที่ได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อเอาชนะการแข่งขัน แล้วก็เวลาที่ได้เห็นสีหน้าเจ็บใจของคากามิ ทุกอย่างผุดขึ้นมาในหัว ราวกับวีดีโอที่ถูกบันทึกไว้
แต่จะทำอย่างไรได้ นอกจากรอ ถึงจะคิดอะไรมากมายไปก็เท่านั้น
“ไดจัง มาอยู่ที่นี่เอง”
ผู้จัดการสาวแห่งโทโอยืนทำแก้มป่องอยู่ริมสนามบาส ใครเห็นก็คงคิดว่า กริยานี้ดูน่ารักน่าเอ็นดู แต่สำหรับเขาที่โดนงอนมานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่เด็กจนโต ท่าทางแบบนี้ให้ความรู้สึกน่ารำคาญเสียมากกว่า
“มีอะไรล่ะ มาตามถึงนี่”
แต่ก็เพราะเป็นเพื่อนกันมานานนี่แหละ ถึงรู้ดีว่า ซัทสึกิจะไม่ก้าวเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของเขามากจนเกินไป หากไม่ใช่เรื่องสำคัญ เธอจะไม่เอ่ยปากห้ามปราม จะมีก็แต่บ่นไปเรื่อยเปื่อยในบางครั้ง คงเพราะรู้ดีว่า หากเธอยิ่งก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นมากเท่าไร เขาก็จะยิ่งหนีไปไกลมากขึ้นเท่านั้น เธอจึงเว้นระยะอย่างเหมาะสม เพื่อจะได้คอยติดตามดูอยู่ข้างๆ ไม่ห่างไปไหน
“ก็คุณน้าน่ะ...”
คุณน้าที่ว่า ก็คือคุณแม่ของอาโอมิเนะ ซึ่งตอนนี้อาจเรียกได้ว่า เป็นโรคประสาทอ่อนๆ จากแรงกดดันและความเสียใจที่ถาโถมเข้ามา ยามเมื่อลูกชายคนโตหนีออกจากบ้าน ของที่เคยแตกไปแล้วครั้งหนึ่ง ถึงจะเอามันมาประกอบกลับคืนอย่างไร ก็ไม่อาจเป็นเหมือนเดิม มีแต่ต้องคอยเฝ้าระวัง พยายามดูแลอย่างทะนุถนอม แม่ของอาโอมิเนะ ก็เช่นเดียวกัน
“ไปวุ่นวายกับบ้านเธออีกแล้วรึ ?”
แม้ในยามปกติ แม่ของเขาจะเพิกเฉยเสียจนนึกสงสัยว่า แม่มองเห็นเขาอยู่ในสายตาบ้างหรือเปล่านะ แต่เมื่อภาพในอดีตตามมาหลอกหลอน แม่ของอาโอมิเนะก็จะเดินไปที่บ้านโมโมอิ ไปถามว่า เห็นไดคิ บ้างไหม ถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่กลับไม่รับฟังคำตอบใดๆและจะหยุดเมื่อเห็นลูกชายที่ตามหาอยู่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเท่านั้น
“เอ้า กลับก็กลับ”
ถึงปากจะว่าอย่างไร แต่ที่จริงอาโอมิเนะก็ไม่อาจตัดใจ ทำตัวเฉยชากับแม่ได้ ความทรงจำที่ดีในวัยเยาว์มีมากเกินกว่า จะสามารถทนนิ่งดูดาย ลึกลงไปก็นึกเป็นห่วง แต่ถ้อยคำอันโหดร้ายและสายตาที่ว่างเปล่านั้น ก็ยังคงสร้างบาดแผลสดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนไม่อาจทำตัวเป็นเด็กดีได้
“อ้าว จะไปไหน ไดจัง”
แทนที่จะตรงกลับบ้าน อาโอมิเนะก็เลี้ยวเข้าร้านสะดวกซื้อ คว้าตะกร้าใบหนึ่ง โยนทั้งน้ำแร่ น้ำอัดลม น้ำผลไม้ นม แล้วก็บรรดาขนมปังทั้งหลายลงไป คงตั้งใจจะสะสมเสบียง กะว่าอาจจะไม่ได้ออกจากบ้านอีกหลายวัน ในตอนที่กำลังจะวางตะกร้าลงบริเวณเคาน์เตอร์จ่ายเงิน ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรดลบันดาลให้ถุงทำนายซองหนึ่ง หล่นลงมาในตะกร้าพอดิบพอดี
ยังไม่ทันที่จะได้คิดอะไร พนักงานก็หยิบถุงทำนายขึ้นมายิงบาร์โค้ด เป็นอันว่า อาโอมิเนะตกกระไดพลอยโจน ได้ซื้อถุงทำนาย สินค้ายอดฮิตในตอนนี้มาพร้อมกับเหล่าเสบียงโดยบังเอิญจนเหมือนโชคชะตากลั่นแกล้ง
“เอ๋ ซื้อถุงทำนายเหรอ”
ไม่ใช่แค่เพื่อนสมัยเด็กอย่างโมโมอิ ซัทสึกิหรอกที่ตกใจ หากใครหน้าไหนมาเห็นเอสแห่งโทโอ ถือถุงทำนายเดินออกจากร้านสะดวกซื้อ ก็ต้องตกใจทั้งนั้นแหละ โชคยังดีที่ลักษณะของมันไม่ใช่สีหวานแหววหรือมีลายอะไรน่ารักๆ ดังที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่เป็นซองสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ ไม่มีลวดลายอะไร
ที่จริงอาโอมิเนะไม่มีความสนใจในถุงทำนายที่ซื้อมาแม้แต่นิดเดียว ความบังเอิญที่ทำให้เขาได้มันมาไว้ในมือนั้น มันเหลือเชื่อจนไม่อาจเล่าให้ใครฟังได้ หลังจากฟังคำรบเร้าของหญิงสาวที่ดูจะตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าคนซื้อ อาโอมิเนะจึงแกะซองออก แล้วดึงแผ่นกระดาษคำทำนายที่อยู่ด้านในออกมาอ่าน
ตัวหนังสือในกระดาษนั้นเป็นสีทองอร่าม...หรือว่านี่จะเป็น...
“คำทำนายสีทองนี่นา !!”
“อ่านเร็วๆสิ ไดจัง”
ไม่แปลกอะไรที่หญิงสาวจะตื่นเต้น เพราะคำทำนายสีทองนั้น เป็นยิ่งกว่าความใฝ่ฝันของเหล่าผู้คนที่ชื่นชอบการซื้อถุงทำนาย ด้วยคำร่ำลือว่า คำทำนายนั้นจะบอกอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งมีความแม่นยำ 100 % แถมมักมีรายละเอียดครบถ้วน จนไม่อาจพูดได้ว่าเป็นคำทำนายแบบเหวี่ยงแห
“วันแห่งพระอาทิตย์จะเกิดเรื่องร้าย”
“มีเรื่องไม่คาดฝันของผู้ที่อยู่ห่างไกล”
อาโอมิเนะจ้องมองประโยคสุดท้ายในคำทำนายที่ยาวกว่าปกตินั้น รู้สึกเหมือนตัวเองกลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อย ก่อนจะอ่านมันออกมา
“ท่านจะสูญเสียของสำคัญ...และไม่มีวันได้กลับคืนมา...”
สิ่งที่เขียนไว้ ทำเอาความร่าเริงของหญิงสาวหดหายไปในทันที ตามคำร่ำลือ คำทำนายสีทองนั้นจะเขียนแต่เรื่องดีๆเอาไว้ ผู้ที่ได้พบกับคำทำนายนี้ จึงเหมือนได้รับพรแห่งความสุข ดังนั้นคำทำนายสีทองจึงเป็นที่ใฝ่ฝันของผู้คนที่เชื่อในศาสตร์แห่งถุงทำนาย เพราะทุกคนก็ต่างหวังว่าตัวเอง จะได้พบเจอกับสิ่งดีๆ
“กลับบ้านกันเถอะนะ”
“อืม”
อาโอมิเนะรับคำ แต่ยังคงจ้องมองประโยคทั้งหลายที่เขียนเอาไว้ในกระดาษ ตัวหนังสือสีทองวิบวับนั้น ดูทั้งสวยงามและทรงพลัง ทั้งยังแฝงด้วยความน่ากลัวอย่างประหลาด
วันแห่งพระอาทิตย์ ไม่อาจคิดเป็นอื่นได้ นอกเหนือจากวันอาทิตย์ที่มีตัวอักษรพระอาทิตย์อยู่ในคำนั้น
ผู้ที่อยู่ห่างไกล ก็เห็นจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเหนือจาก...คากามิ...
ของสำคัญ...ของสำคัญที่จะสูญเสีย...
คิดได้เพียงแค่นั้น อาโอมิเนะก็รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองถูกบีบอย่างแรงด้วยความหวาดหวั่น หากร้อยเรียงประโยคทั้งหมดเข้าด้วยกัน จะเป็นอะไรไปได้ นอกเสียจาก ในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ซึ่งคากามิกลับมา จะมีเรื่องไม่คาดฝันที่ไม่ใช่เรื่องดีๆ และมันอาจจะนำมาซึ่งการสูญเสียอะไรบางอย่าง
สูญเสีย...ของสำคัญ...
สูญเสีย...อะไร...
++++++++++
คากามิกำลังหัวเราะ...
เขารู้สึกว่ามันตลกมาก เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ใครจะไปคิดว่า คนอย่างอาโอมิเนะ ไดคิ จะเชื่อเรื่องคำทำนายอะไรนั่น แม้รู้ดีว่า ปลายสายคงจะรู้สึกหงุดหงิดที่เขาหัวเราะไม่หยุด แต่มันขำนี่นา ใครจะไปหยุดได้
“หยุดหัวเราะได้แล้ว คากามิ”
“ก็นายดันเชื่ออะไรพิลึกกึกกือเองนี่”
ได้ยินเสียงพ่นลมหายใจด้วยความโมโห มีเคืองด้วยล่ะ หรือว่าตอนนี้ไปเข้าพวกกับมิโดริมะแล้ว สงสัยอีกหน่อยจะได้เห็นอาโอมิเนะยืนถือลัคกี้ไอเทมประจำวัน เพื่อปัดเป่าความโชคร้าย พอคิดภาพแบบนั้นในหัว คากามิก็หลุดขำออกมาอีกรอบ
“นายกลับมาไฟล์ทไหน”
“เดี๋ยวนะ”
คากามิหยิบตั๋วเครื่องบินมาดู แล้วบอกหมายเลขไฟล์ทที่บินกลับ ปลายสายงึมงำอะไรสักอย่าง แล้วถามทวนอีกครั้ง แถมยังย้ำให้บอกช้าๆด้วย แม้จะมองไม่เห็น แต่คากามิรู้สึกได้ว่า อาโอมิเนะกำลังจดบันทึกลงในกระดาษอย่างตั้งอกตั้งใจ ทำเอาเขาเกือบหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง สรุปว่า กังวลมากเลยใช่ไหมเนี่ย
“จะมารับหรือไง ?”
“ไม่ล่ะ”
“แล้วถามทำไมเนี่ย ?”
“ถึงกี่โมง ?”
คากามิแอบโกรธนิดๆที่อีกฝ่ายไม่สนใจคำถามของเขา แต่ก็ยอมตอบแต่โดยดี ไฟล์ทที่เขากลับมาคงจะถึงสนามบินราวๆสามทุ่มกว่า เมื่อรวมกับเวลาเดินทางถึงบ้าน อาจจะยาวไปถึงห้าทุ่ม
“จะรอ...”
“ห่ะ ?”
“จะรออยู่ที่บ้าน”
ในตอนแรกคากามิคิดจะหาคำพูดตอกกลับไป หวังจะได้ฟังเสียงโวยวายที่ไม่ได้ยินมานาน แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เพราะรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงจริงจังและความกังวลที่แสนตลกขบขันของอีกฝ่าย
“แล้วเจอกันนะ...อาโอมิเนะ”
++++++++++
ถึงคากามิจะบอกว่า จะมาถึงบ้านราวๆห้าทุ่ม แต่อาโอมิเนะก็ไขกุญแจเข้ามานั่งรอ ตั้งแต่ยังไม่แปดโมงเช้า แม้จะพกกุญแจสำรองติดตัวอยู่ตลอดเวลา แต่อาโอมิเนะก็แทบไม่เคยได้ใช้มัน ไม่สิ พูดกันให้ชัดๆก็คือ ใช้ไปแค่ครั้งเดียว ตอนตั้งใจเอาซีดีมานั่งดูกวนประสาทคากามิ นอกจากนั้น ก็ไม่เคยได้ใช้ เพราะมาที่นี่พร้อมกับเจ้าของบ้านทุกครั้ง
ห้องของคากามินั้น เริ่มมีฝุ่นจับเล็กน้อย เพราะไม่มีใครเข้ามาทำความสะอาด แต่อาโอมิเนะก็ไม่ได้สนใจเท่าไรนัก ตรงเข้าไปนั่งเอกเขนกดูทีวี ปล่อยให้เวลาผ่านไปจนกระทั่งกระเพาะอาหารเริ่มส่งเสียงประท้วง คนที่เคยชินกับการนั่งเฉยๆก็มีอาหารมาเสิร์ฟให้ เหลือบมองนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว อาหารเช้าก็ไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่แปลกที่จะรู้สึกหิว
เมื่อก่อนบ้านของคากามินั้น ไม่เคยมีราเม็งถ้วยเก็บเอาไว้เลย แต่อาโอมิเนะสังเกตเห็นว่า เจ้าตัวเริ่มซื้อมาเก็บไว้บ้าง ตั้งแต่ให้กุญแจบ้านกับเขา แล้วยังชอบพูดเป็นนัยๆถึงตำแหน่งที่เก็บ หรือไม่ก็เปรยๆถามว่า รสไหนอร่อย เหมือนตั้งใจซื้อมาเก็บไว้ให้เขากินอย่างนั้นแหละ
นี่มัน...คลังราเม็งถ้วยชัดๆ...
ชายหนุ่มจ้องมองไปในตู้ ซึ่งอัดแน่นด้วยราเม็งถ้วยรสชาติต่างๆ จนใกล้เคียงจะครบทุกรสทุกยี่ห้อในซุปเปอร์มาร์เก็ต บางทีเจ้าของบ้านอาจจะกลัวซื้อมาแล้วไม่ถูกใจเขา ไปๆมาๆ ถึงได้มีเยอะขนาดนี้ ตัวเองก็ไม่กินราเม็งถ้วยแท้ๆ ซื้อมาทำไมเยอะแยะเนี่ย หมดอายุไปบ้างหรือยังนะ
ในที่สุดอาโอมิเนะก็เลือกราเม็งถ้วยออกมาได้สองรส จัดแจงเสียบกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า พอน้ำเดือดแล้วก็เทลงไป ปิดฝาอย่างดี แล้วยกกลับมานั่งที่หน้าทีวีเหมือนเดิม รายการในโทรทัศน์นั้นเป็นเกมการแข่งขันตอบปัญหาชิงรางวัล ซึ่งแขกรับเชิญที่เป็นดาราตลกนั้น แม้จะตอบคำถามแทบไม่ได้เลย แต่ก็สร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้ชมได้เป็นอย่างดี
แล้วอยู่ๆโทรทัศน์ก็ตัดเข้าสู่ข่าวกะทันหัน อาโอมิเนะหยิบราเม็งถ้วยขึ้นมาเริ่มกิน นึกรำคาญที่อยู่ดีๆก็มีข่าวด่วนมาแทนที่รายการ บนจอสี่เหลี่ยมของโทรทัศน์เปลี่ยนเป็นภาพมหาสมุทรซึ่งมีเครื่องบินจอดอยู่ ดูเหมือนตัวลำจะถูกไฟไหม้และร่วงลงมาใกล้ๆกับอะไรสักอย่างซึ่งอาโอมิเนะไม่ทันได้ฟัง เพราะสายตาของเขากำลังจับจ้องอยู่ที่หมายเลขไฟล์ทบนหน้าจอโทรทัศน์
“ตอนนี้ยังไม่มีการยืนยันจำนวนผู้เสียชีวิต แต่คาดว่า มีมากกว่า แปดสิบราย”
ชายหนุ่มค่อยๆเอามือล้วงลงไปในกระเป๋าแล้วดึงกระดาษโน้ตใบเล็กออกมา เขาจ้องมองกระดาษนั้น เพื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขบนหน้าจอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ราวกับ...โลกทั้งใบก็ถล่มลงมา...
อาโอมิเนะเป็นคนไม่เชื่อเรื่องโชคลาง เขาไม่คิดว่าสิ่งของหรือพิธีกรรมใดๆจะสามารถนำมาซึ่งโชคดีหรือโชคร้ายได้ แต่เขาเชื่อในเรื่องพรหมลิขิต เชื่อว่าชีวิตมีเส้นทางที่โชคชะตากำหนดมา มีผู้คนและเรื่องราวที่ต้องพบเจอ ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เช่นเดียวกับการได้เจอคากามิ คนที่เปลี่ยนโลกทั้งใบของเขา คนที่ทำให้ชีวิตเขาสว่างสดใส เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
และตอนนี้...โชคชะตากำลังจะเอาคนคนนั้น...กลับคืนไป...
ชายหนุ่มไม่ได้เชื่อเรื่องการทำนายทายทักอย่างจริงจัง ทุกครั้งที่อ่านก็รู้สึกเหมือนมันเป็นเรื่องตลกเสียมากกว่าจะเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริงในอนาคต ยกเว้นครั้งนี้เพียงครั้งเดียวที่มีอะไรบางอย่างติดค้างอยู่ในใจของเขา นับตั้งแต่ได้เห็นตัวหนังสือสีทองพวกนั้น หลังจากโทรศัพท์คุยกับคากามิ ก็พยายามคิดว่า มันคงจะเป็นแค่ความกังวลแปลกๆของตัวเอง คงเพราะไม่ได้เจออีกฝ่ายเป็นเวลานาน ก็เลยคิดอะไรฟุ้งซ่าน บ้าๆบอๆไปเรื่อย
แต่ความกังวล...ความกลัวในตอนนั้น มันช่างแตกต่างกับความรู้สึกในตอนนี้...
คงไม่สามารถอธิบายทั้งหมดออกมาเป็นคำพูดได้ รู้แต่เพียงว่า โลกตรงหน้ากลายเป็นสีเทาดำอย่างรวดเร็ว เหมือนทุกอย่างกำลังตกอยู่ในความเงียบงันแห่งความโศกเศร้า ไม่ได้ยินเสียงอะไร ไม่เห็นสีสันใดๆ เขาไม่ได้รู้สึกอยากร้องไห้ ไม่ได้อยากร้องตะโกนโวยวาย หรือต้องการให้ใครมาอยู่ข้างๆ เขารู้สึกเหมือนโชคชะตาฉีกกระชากเอาสีสัน ความสุขและเสียงหัวเราะไปจากตัวเขา
เหมือนร่างกายหนักอึ้ง ทุกส่วนของร่างกายไร้ซึ่งเรี่ยวแรง หากหลับตาลงตอนนี้ เขาจะตื่นขึ้นอีกครั้งหรือเปล่า การที่ไม่มีคนคนหนึ่งอยู่บนโลกใบนี้ มันน่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ เขาจำไม่ได้แล้วว่า ก่อนหน้านี้เคยอยู่โดยปราศจากคนคนนั้นได้อย่างไร เขามีชีวิตอยู่มาได้อย่างไรกันนะ ทำไมถึงนึกไม่ออก ทำไมถึงไม่อาจจดจำได้
สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาในสมองมีเพียงภาพใบหน้าของคนคนนั้น รอยยิ้มกว้างที่สดใสร่าเริง เสียงซึ่งพูดประโยคด้วยคำห้วนสั้น เพราะใช้คำภาษาญี่ปุ่นยากๆที่ซับซ้อนไม่เป็น ความอบอุ่นของคนคนนั้นที่ไม่อาจสัมผัสได้ด้วยร่างกาย แต่ฝังลึกเข้าไปในจิตใจ ยามเมื่อได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน มันช่างมีความสุขมากจริงๆ
“อาโอมิเนะ ?”
“ทำอะไรอยู่น่ะ ?”
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นทันที ภาพที่ปรากฏแก่สายตานั้น เขายังนึกสงสัยอยู่ว่า นั่นคือความจริงหรือความฝัน มันไม่ใช่จินตนาการของเขาเองใช่ไหม หรือว่าเขานอนหลับแล้ววิญญาณหลุดออกจากร่างกายมายังโลกแห่งความตาย ถึงได้เห็นคากามิยืนอยู่ตรงหน้า
แต่โลกแห่งความตาย...คงไม่หน้าตาเหมือนห้องของคากามิหรอกมั้ง...
“ทำหน้ายังกับเห็นผี มีอะไรเหรอ ?”
ถามได้เพียงแค่นั้น คนที่เพิ่งกลับเข้าบ้านมาก็โดนกอดแน่นจนหายใจไม่ออก
“คากามิ...”
“อะไรของนายเนี่ย !!”
“คากามิ...”
“เป็นอะไรของนาย มันอึดอัดนะเว้ย !!”
“คากามิ...”
“เรียกทำไม ก็ฟังอยู่นี่ไง”
“คากามิ...”
ชายหนุ่มอยากเอาศอกกระแทกท้องจังๆ สักหนให้หายบ้า แต่พอได้ยินเสียงเรียกชื่อเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรียกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับจะวิงวอน ก็เปลี่ยนใจ คนตรงหน้าเขานั้น ดูภายนอกเป็นพวกหยิ่งยะโส จองหอง น่าหมั่นไส้เป็นที่สุด แต่ว่าลึกลงไปเป็นแค่เจ้าคนขี้อ้อนที่ต้องให้เขามาคอยดูแล
“เอ้า อยากกอดก็กอดไป อยากเรียกก็เรียกไป”
“พอใจเมื่อไหร่ ก็ปล่อยแล้วกัน...”
++++++++++
“ไม่ใช่เรื่องตลกนะ...”
พอได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว คากามิก็หัวเราะออกมาไม่หยุด เพราะแทนที่อาโอมิเนะจะเล่าแค่ว่า ฟังข่าวเครื่องบินตกแล้วเห็นหมายเลขไฟล์ทเป็นหมายเลขเดียวกับที่คากามิบอกว่า จะโดยสารกลับมาญี่ปุ่น ก็เลยรู้สึกตกใจ แต่ชายหนุ่มกลับเล่าทุกอย่างตั้งแต่เรื่องของถุงทำนายอันแรก จนไปถึงอันสุดท้ายที่มีคำทำนายสีทอง รวมถึงเรื่องราวต่างๆซึ่งเกิดขึ้นอย่างสอดคล้องกับคำทำนายอีกด้วย
“ก็มันขำนี่”
ที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องตลกจริงๆนั่นแหละ ถ้าคากามิไม่ถูกพ่อเปลี่ยนเที่ยวบิน เร่งให้กลับก่อนกำหนดเดิม ก็คงจะประสบอุบัติเหตุอย่างที่อาโอมิเนะกังวล แต่ไม่รู้ว่าสิ่งใดที่ไปดลใจให้พ่อของเขา ถึงได้จัดแจงเปลี่ยนตั๋วเครื่องบินเอาเองตามใจชอบ แถมยังออกปากไล่เขาตรงๆว่า ให้กลับไปญี่ปุ่นเสียที
แถมพอถามเหตุผล...ก็ไม่ยอมบอกซะนี่...
ถึงจะไม่เข้าใจการกระทำของพ่อ แต่สิ่งที่คากามิรู้แน่ๆก็คือ อาโอมิเนะเป็นห่วงเขาจริงๆ ทั้งสีหน้าท่าทางตอนที่เห็นเขา มันเป็นการผสมปนเประหว่างความตกใจ แปลกใจและดีใจ เขายังคงจดจำความอบอุ่นของร่างกายยามเมื่อถูกกอดแน่น จนรู้สึกเจ็บ เหมือนว่าอีกฝ่ายต้องการยืนยันว่า เขาที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้านั้น เป็นของจริง ไม่ใช่แค่ความฝัน
อาโอมิเนะยังนั่งทำหน้าบูดบึ้ง เพราะเขาหลุดขำออกไปหลายต่อหลายครั้ง ใครจะไปคิดว่า คนอย่างอาโอมิเนะจะเชื่อคำทำนายถึงขนาดเอาเรื่องราวต่างๆมาผูกโยงกันได้ ทั้งที่ไม่เห็นมันจะเกี่ยวกันเลยสักนิด
คากามิไม่เคยสนใจเรื่องโชคชะตา ยิ่งเป็นเรื่องการทำนาย ยิ่งไม่เคยสนใจ ไม่ว่าชีวิตจะถูกกำหนดเส้นทางเอาไว้แล้วหรือไม่ ก็ไม่เห็นต้องไปใส่ใจ แค่ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำให้เต็มที่ เท่านั้นก็เพียงพอ ส่วนผลลัพธ์ที่ตามมานั้น จะเกิดจากการเลือกของตัวเองหรือจากโชคชะตากำหนด ก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเรานั้นจะควบคุมได้ เพราะฉะนั้นอนาคตจะเป็นยังไง ก็ช่างหัวมันเถอะ
“ฉันก็อยู่ตรงนี้แล้ว เลิกทำหน้าแบบนั้นซะทีเถอะ”
แล้วอยู่ๆอาโอมิเนะก็พุ่งเข้ามากอดเขา เอาหน้าซบลงกับไหล่ จึงไม่อาจรู้ได้ว่า อีกฝ่ายกำลังทำหน้าตาแบบไหนอยู่ รู้แต่เพียงว่า ร่างกายของคนตรงหน้าสั่นน้อยๆ เหมือนว่ายังคงมีความไม่มั่นใจ กังวลหรือหวาดกลัวอะไรบางอย่างฝังลึกอยู่ภายในจิตใจ ไม่อาจลบออกไปได้ในทันที
“นายต้องอยู่ทำกับข้าวให้ฉันกินไปตลอดชีวิต ห้ามหนีไปไหน”
“เข้าใจไหม เจ้าบ้าคากามิ”
ครั้งนี้คากามิไม่ตอบอะไร เพราะเขาจะไม่ตอบรับคำสัญญาที่ไม่รู้ว่าจะรักษาได้หรือไม่ แม้จะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่เขาก็รู้ดีว่า อาโอมิเนะไม่ได้หมายถึงเรื่องการเดินทาง สิ่งที่คนตรงหน้าหวาดกลัวนั้นคือ การจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ เขาไม่อาจเลือกได้ว่า ชีวิตของตัวเองจะยาวนานเพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่เขาสามารถทำได้ก็คือ...
จะไม่ปล่อยให้โดดเดี่ยว...ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ...
จะอยู่เคียงข้าง...ไปจนกว่าจะสุดเส้นทางเดินแห่งโชคชะตา...
...จนกว่าชีวิตนี้...จะสิ้นสุดลง...
++++++++++
แถมท้าย
“เฮ้ย !!!!”
ตอนที่อาโอมิเนะกำลังจะเตรียมตัวกลับบ้าน เจ้าตัวก็เกิดร้องเสียงดังลั่น จนเจ้าของบ้านต้องรีบหันขวับไปตามเสียงอย่างตกใจ ก็เห็นคนที่เดินออกไปเกือบถึงหน้าประตูบ้าน วิ่งกลับมารื้อของกระจุยกระจายเหมือนต้องการค้นหาอะไรบางอย่าง
“ทำอะไรของนาย !!”
“อยู่ไหนวะ !!”
“อะไรอยู่ไหน ?”
“กระเป๋าตังค์ !!! มันหายไปไหนไม่รู้”
และแล้วในวันแห่งพระอาทิตย์ตามคำทำนาย ก็เกิดเรื่องร้ายขึ้นจริงๆ แต่ของสำคัญที่สูญเสียไปนั้น เป็นกระเป๋าสตางค์สีดำสนิท ซึ่งข้างในบรรจุเงินค่าขนมเกือบทั้งเดือน
แล้วก็...ไม่ได้กลับคืนมา...
ตรงตามทำนายทุกประการ...
+++++++++
ขอโทษที่ช้ามากถึงช้าที่สุด อยากบอกว่าฟิคนี้อาถรรพ์มาก เราเขียนทีไร งานเข้าทุกที จนเขียนไม่จบซะที
ตอนสองว่าเผาแล้ว ตอนนี้เผายิ่งกว่าอีก ตอนจบแปร่งๆพิกล แต่ตัดสินใจแล้วว่า ยังไงก็ต้องโพสให้ทันวันนี้ให้ได้ เพราะมันสองเดือนแล้ว
ต้องขอโทษคนอ่านอีกครั้งนะคะ นานมากๆๆๆ ไม่รู้คิดว่าคนเขียนตายไปแล้วหรือเปล่า เหอๆๆ
เวลาก็ไม่ค่อยจะมี แต่โปรเจคไหดองก็ยังงอกขึ้นเรื่อยๆ ใครรออ่าน Allxkagami ตอนหนึ่งใกล้เกิดค่ะ เพราะมีครั้งหนึ่งไม่มีธัมไดร์ทฟิคหลัก แต่มีคอม เลยนั่งพิมพ์เล่นไปได้ตั้งเยอะ แต่ฟิคเผานะคะ (หัวเราะ ภาษาเน่าได้ใจ)
สัญญาและสาบานว่าจะตั้งใจเขียนต่อไป ขอให้ทุกคนช่วยอวยพรให้ไม่มีงานเยอะด้วยนะคะ
แอบถามเล่นๆ โรคเจคไหดองในอนาคต ระหว่าง อาโอมิเนะ 5 ขวบ คากามิ 23 ปี กับ คากามิ 5 ขวบ อาโอมิเนะ 23 ปี อยากเห็นอะไรมากกว่ากัน (สรุปอยากเห็นใครเด็กใครแก่ คนนึงเด็กมาก อีกคนนึงเข้าวัยผู้ใหญ่แล้ว) เป็นพล็อตฉลองเดือนสิงหา ที่มีวันเกิดทั้งคู่
อย่าลืมมาตอบกันนะคะ
เข้าสู่ช่วงตอบคอมเมนต์
Razeo : งวดนี้นานกว่าเดิมอีก คิดว่าเลิกเขียนไปแล้วหรือเปล่าคะ ขอโทษจริงๆนะคะ
Black wolf_mew : งวดนี้มีคากามินน้อย มีแต่อาโอมิเนะเพ้อเจ้อ ไม่รู้จะชอบหรือเปล่า ^^"
หิมะเลือด : ตอนนี้คุณภรรยาไม่อยู่ คุณสามีเลยห่อเหี่ยวเลย
Hima : งวดนี้ไม่ค่อยมีอะไรกุ๊กกิ๊กเลย ขอโทษด้วยนะคะ
รอยเปื้อน : ตอนนี้คากามิไม่ค่อยได้ปลอบ เอาแต่ขำซะด้วยสิ ไม่รู็อาโอมิเนะจะงอนหรือเปล่า
I am ja : ตอนนี้ชีวิตอาโอมิเนะก็ยังดราม่าต่อไป ขอโทษทีนะคะที่ทำให้รอนาน
Kretis : ดีใจที่มีคนรออ่าน AllKaga ค่ะ เราก้จะเพิ่มจำนวนไหดองต่อไปอย่างมุ่งมั่น
god or demon : I like all Kagami too >//<
hnee : ไม่รู้ว่า ตอนนี้ยังน่ารักอยู่หรือเปล่า เพราะคนเขียนปั่นหัวอาโอมิเนะเล่นซะเยอะเลย
shou_en : ไม่รู้ว่า ไม่ได้อัพนาน แล้วคิดว่า คนเขียนหายไปหรือยัง ยังไงก็ให้คนที่ชอบฟ้าไฟมาอ่านกันเยอะๆนะคะ
terewasabi : คนนี้คงไม่ต้องตอบเมนต์มั้ง เห็นอยู่ตลอดว่าคนเขียนโวยวายอะไรในเฟซบ้าง แล้วกแกงกะหรี่ไม่ใส่มังฝรั่งนะ เป็นเวอร์ชั่นที่ใส่แต่เนื้อกะหอมหัวใหญ่ ไปหากินได้ที่ Cocoichibanya
Hasegawa michiyo : ตอนนี้ไม่มีคุโรโกะช่วยเลยเกือบแย่เลย สงสัยคู่นี้จะขาดน้องดำไม่ได้
Blue anemone : ตอนนี้อาจจะไมชอบภาษาแล้วก็ได้ค่ะ เพราะว่าเผามากๆเลย ส่วนเรื่องสมาคมนั้น ขอรับแค่ตำแหน่งคนเขียนฟิคดราม่าประจำสมาคมแล้วกันนะคะ
fakanda : สงสัยฟิคคราวนี้จะมีอารมณ์เดียวคืออารมณ์เผาค่ะ คนเขียนผิดไปแล้ว OTL
ขอโทษอีกครั้งที่หายไปนานค่ะ ถ้าใครยังตามอ่านอยู่ ได้โปรดคอมเมนต์เถอะค่ะ จะได้นับว่าคนตามอ่านยังไม่ไปไหน
ได้โปรดอย่าปล่อยให้คนเขียนห่อเหี่ยวจนเขียนไม่ได้นะคะ จะพยายามอย่างดีที่สุด (เมื่องานไม่ทับ ฮา)
ชักกังวลว่า ทุกคนจะอยู่ได้จนจบซีรี่ย์ไหม ถ้าอิฉันยังช้าอยู่แบบนี้ ^^"
ขอโทษอีกครั้งแล้วก็ขอบคุณจริงๆคือที่ยังอ่านกันอยู่
ความคิดเห็น