คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : I wish I could touch your feeling
Author: Monochrome bird
Category: Drama เป็นหลัก แต่แบ็คกราวน์อยากให้มีกลิ่นอายฮาเฮ
Pairing: โฮลี่ออดอร์ x คุณเกียร์
Rating: PG-13 (คืบหน้านิดเดียว...)
Disclaimer: ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นของคุณภานุวัฒน์ค่ะ พวกเราแค่ยืมมาจิ้นเล่นเท่านั้น
Author notes: ทำไมยิ่งแต่งรู้สึกว่า โฮลี่ออเดอร์ไร้น้ำยาชอบกล ^^"
++++++++++
เรื่องราวต่างๆในโลกนี้...เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา...
สิ่งต่างๆในโลกนี้...ล้วนไม่แน่นอน...
ความรู้สึกระหว่างคุณกับผม...จะแปรเปลี่ยน...ไปในทางใด...
...ผมอยากจะรู้...
++++++++++
หลายคนคงรู้สึกเกลียดเช้าวันจันทร์ เพราะมันเป็นวันแรกของการทำงาน จุดสิ้นสุดของวันหยุดพักผ่อนอันแสนสบาย
ต้องตื่นแต่เช้า ลากสังขารมายังบริษัท เพื่อต่อสู้กับกองงานที่ไม่มีท่าทีว่าจะหมดลง
แต่สำหรับผมแล้ว เช้าวันจันทร์ เป็นแค่วันหนึ่งที่แสนปกติ ธรรมดา ทำไมน่ะเหรอ ?
ก็เพราะผมทำงานล่วงเวลาวันเสาร์ อาทิตย์ จนเคยชินแล้วน่ะสิ
ตั้งแต่มาอยู่กับคุณเกียร์ ก็ได้เจอกับคนบ้าทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์ ไม่เคยคิดจะมีวันหยุดเหมือนชาวบ้านกับเขาสักที
ทั้งที่ไม่ได้มีคำสั่งหรืองานเร่งด่วนอะไร ก็ยังเห็นมาหมกตัวอยู่ที่บริษัทตลอด
จากเหตุการณ์ครั้งก่อน เป็นบทเรียนสอนผมว่า หากต้องการจะดูแลคนคนนี้ ต้องดูให้ตลอด
คลาดสายตาไปนิดเดียว ก็จะทำเรื่องชวนปวดหัว เป็นอันตรายต่อร่างกายตัวเองได้ในทันที
“กินข้าวหรือยังครับ ?”
ผมถามคำถามนี้ แทนคำทักทายตอนเช้า เมื่อเห็นหน้าคนที่กำลังอ่านเอกสาร และเรียบเรียงข้อมูลต่างๆตามปกติ
ไม่มีการตอบรับใดๆ นอกจากอาการพยักหน้าตอบเล็กน้อย ซึ่งคนทั่วไปคงเข้าใจว่า กินแล้ว
แต่ผมรู้ดีว่า นั่นหมายถึง อืม ได้ยินแล้ว ส่วนคำตอบของคำถามว่า กินหรือยัง ขอเดาว่า ยัง
“กินอะไรไหมครับ ?”
“ไม่เป็นไร นายไปกินเถอะ”
ลองตอบมาแบบนี้ แปลว่ายังไม่ได้กินแน่ๆ แถมดูจากการตอบรับที่แสนสั้นแล้ว จะลากให้ไปกินข้าวด้วยกันคงยาก
ดันมาสนใจคนบ้างานก็คงจะต้องทำใจ อยากดูแลเขาเองนี่ ไม่มีใครมาขอร้องเสียหน่อย
“งั้น เดี๋ยวผมมานะครับ”
เหลือเวลาอีกตั้งชั่วโมง กว่าจะถึงเวลาเข้างาน แต่เป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว ที่จะเห็นหัวหน้าเดินเข้าบริษัทตอน6.30
เอ่ยทักทายพวกที่อยู่เวรเมื่อคืน แล้วหายหน้าเข้าไปในห้อง จะเห็นอีกทีก็สองสามทุ่ม ตอนกำลังจะกลับบ้าน
บริษัทของพวกผมนั้น มีชั้นหนึ่งเป็นร้านขายอาหารและร้านขายของเบ็ดเตล็ดต่างๆมาเปิด
นึกสงสัยว่า ที่นี่มันที่ทำงานจริงหรือเปล่า บริษัทอื่นเขามีของพวกนี้ตั้งอยู่ในตึกทำงานไหม ?
พอเห็นพวกลิงทโมนที่เข้าเวรเมื่อคืนกำลังนั่งโซ้ยข้าวเช้า คุยกันเรื่องเกมอย่างออกรส
ก็ทำให้ยิ่งรู้สึกว่า นี่ไม่ใช่บริษัทแล้ว !! นี่มันโรงอาหารโรงเรียนชัดๆ !!
“โฮลี่ ออเดอร์ มากินข้าวด้วยกันสิ !!”
เมื่อหนึ่งในกลุ่มนั้นมองเห็นเขา ก็ส่งเสียงเรียกให้มาร่วมวงนั่งกินข้าวด้วยกัน ผมปฏิเสธทันควัน
แล้วรีบตรงไปซื้อแซนวิชกับนมมากินเป็นอาหารเช้า แน่นอนว่า ผมไม่ลืมซื้อเผื่อให้ใครคนหนึ่งที่เช้านี้ ดูจะยุ่งเสียเหลือเกิน
“ไม่เปลี่ยนใจเหรอ ไก่ทอดอร่อยนะ”
เสียงของเจ้าพวกนั้นตะโกนไล่หลัง ทำให้ผมนึกรำคาญใจว่า ทำไมถึงไม่โตกันซะที อายุตั้งเท่าไรกันแล้ว
ยังจะทำเสียงดังอยู่ได้ คิดว่าที่นี่เป็นสนามเด็กเล่นหรืออย่างไร ก้มลงมามองของในมือ แล้วก็ต้องถอนหายใจ
ถ้าคุณเกียร์มาด้วย ก็คงจะหัวเราะ ลูบหัวเจ้าพวกนั้นอย่างเอ็นดูสินะ แล้วเขาก็จะต้องนั่งกลืนข้าวในวงสนทนาที่แย่งกัน
พูดเรื่องของตัวเอง คิดแล้ว คงน่ารำคาญน่าดู ดีแล้วล่ะครับ ที่คุณไม่มา
เมื่อผมกลับมาที่ห้องอีกครั้ง ก็ได้เห็นภาพที่ไม่เคยคาดคิดว่า จะได้เห็น
คนที่กำลังนั่งทำงานอย่างตั้งใจเมื่อครู่ ฟุบหน้าลงกับโต๊ะทำงาน
แอบหลับระหว่างเวลาทำงานเสียแล้ว ไม่สิ เข็มสั้นของนาฬิกายังชี้อยู่ระหว่างเลขเจ็ดกับเลขแปด
ยังไม่ถึงเวลาเข้างานเสียหน่อย ปล่อยให้นอนต่อไปอีกสักนิดจะดีกว่า
ผมกองของกินเอาไว้ที่มุมหนึ่ง แล้วหันไปมองเอกสารซึ่งกระจายอยู่เต็มโต๊ะ
งาน งาน งานแล้วก็งาน ชีวิตนี้ของคุณคงมีแต่งาน อยากรู้จริงๆว่า คุณมีงานอดิเรกแบบไหน อย่าบอกนะครับว่า ทำงาน
สายตาหยุดลงที่ใบหน้าของคนที่กำลังหลับ การได้มองคนคนนี้ใกล้ๆ ทำให้นึกถึงคืนนั้นในโรงพยาบาล
วันที่ผมได้สัมผัสกับกลีบปากนุ่ม โดยที่คุณไม่รู้ตัว มามองใกล้ๆแบบนี้แล้ว อยากจะสัมผัสอีกครั้ง
“โฮลี่ ออเดอร์ ?”
คนที่หลับอยู่ ขยับตัวแล้วยกมือขึ้นขยี้ตาเบาๆ ผมไม่เปิดช่องว่างให้ รีบยัดเยียดอาหารเช้าใส่ในมือทันที
เพราะถ้าได้จับปากกาหรือเอกสารแล้ว กลัวว่าจะไม่วางอีกเลย จนกว่าจะเสร็จ
“ขอบใจนะ”
เช้านี้ก็ยังว่าง่ายเหมือนเดิม ถึงจะเป็นคนไม่ค่อยดูแลตัวเอง ชอบทำงานจนลืมกินข้าว ล็อกอินจนเกินเวลา
แต่ถ้ามีคนหาข้าวมาให้กิน เตือนเรื่องเวลากิน เวลานอน ก็ยอมฟังแต่โดยดี ไม่มีการปริปากบ่น
“ต้องให้นายดูแล ขอโทษนะ”
ราวกับอ่านใจได้ คุณเกียร์พูดเรื่องที่ผมกำลังคิดอยู่ในสมอง จนทำให้เผลอกลืนแซนวิชทูน่าคำโตลงไปในลำคอ
อยากจะพูดออกไปเหลือเกินว่า ผมยินดีจะดูแล แล้วก็คำขอโทษที่พูดบ่อยๆนั่น ขอซื้อได้ไหมครับ ไม่อยากจะฟัง
ทำไมชอบขอโทษ คุณไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย การมีคนมาทำอะไรให้ มันแย่ขนาดนั้นเชียวหรือครับ
“สงสัยต้องหาแฟนแล้วล่ะ”
คำพูดนี้ทำเอาเกือบจะสำลักนมที่กำลังกิน โชคดีที่ยังเก็บอาการไว้อยู่
เฮ้ย !! คุณครับ สรุปคุณไม่รู้จริงๆเหรอครับว่า ที่ผมทำให้คุณขนาดนี้ มีจุดประสงค์อะไรอยู่
ถ้าเป็นหัวหน้าคนอื่นที่ไม่ใช่คุณ มันจะทำงานหนักจนตาย หรือไม่กินไม่นอนจนเข้าโรงพยาบาล ผมก็ไม่สนใจหรอก
อยากจะยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก แล้วถอนหายใจซ้ำสักสามสิบรอบ เมื่อได้ยินประโยคนั้น
ผมไม่ได้เป็นคนดีขนาดที่ ถ้าคุณมีใครอยู่ข้างๆ ก็ยังจะคอยดูแลเอาใจใส่หรอกนะครับ
ที่ทำลงไปน่ะ หวังผลนะครับ แค่อยากให้ค่อยเป็นค่อยไป คุณจะได้ไม่อึดอัด
สรุปว่า เหตุการณ์ในวันนั้น ที่ผมคิดว่า คุณตอบรับผม...มันเป็นการคิดไปเองหรือครับ...
ยังคงจดจำความอบอุ่นของร่างกาย...ยามเมื่อได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด...
ราวกับว่า นาฬิกาหยุดเดิน...ทุกอย่างหยุดนิ่ง...เพื่อจะเก็บภาพนั้นไว้ตราบนานเท่านาน...
ช่วงเวลาที่เหมือนคุณกำลังเปิดใจ เป็นฝ่ายเข้าหาผมก่อน...
ช่วงเวลาที่คุณโอบกอดตอบ...มิใช่ผมแตะต้องคุณเพียงฝ่ายเดียว...
ช่วงเวลาที่ผมกำลังจะพูดบางสิ่ง...อยากจะประทับจูบลงไปบนริมฝีปากของคุณ...
พวกมารผจญ !! ก็บุกกันเข้ามา !!
ตอนนั้นเพิ่งจะแปดโมงเช้า ได้ยินว่าเจ้าพวกลิงทโมนนัดรวมตัวกัน ตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมง
ทำไมเวลาไปทำงาน ไม่รู้จักไปเช้าๆแบบนี้บ้างวะ !!
พอถึงเวลาอนุญาตให้เยี่ยมคนป่วยได้ ก็แห่กันเข้ามาในห้อง ตอนจังหวะนั้นพอดี
แล้วยังไงต่อเหรอ ?
เจ้าลิงพวกนั้นก็ไม่สนใจใครน่ะสิ ต่างกรูกันเข้ามาห้อมล้อม แย่งกันอ้อน จนคุณเกียร์ต้องลูบหัวคนนู้นคนนี้
ปากก็พูดปลอบไม่หยุด สรุปว่ามาเยี่ยม หรือมาทำให้คนป่วยเหนื่อยมากขึ้นกันแน่เนี่ย
สุดท้ายผมก็ยืนกอดอก ทำหน้าหงิกๆอยู่ในห้อง นานพอสมควร กว่าเจ้าพวกนั้นจะกลับไป
“โฮลี่ ออเดอร์ ?”
เมื่อเห็นผมเงียบไปนาน คนตรงหน้าก็เลยเรียกชื่อผมอีกครั้ง หารู้ไม่ว่า ในสมองก็กำลังคิดเรื่องของคุณนั่นแหละครับ
ผมพยายามค้นหาความจริงในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น แต่ก็ยังไม่เห็นคำตอบว่า คำพูดเมื่อกี๊คิดจริงจังหรือแค่ล้อเล่น
“คุณเกียร์ ชอบผู้หญิงแบบไหนเหรอครับ”
อยากจะเตะปากตัวเองสักครั้ง แต่ก็ถามออกไปแล้ว ดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะตั้งใจคิดเสียด้วยสิ
ไม่น่าถามออกไปเลย จะถามให้ตัวเอง มีเรื่องให้คิด ทำไมว่ะ ปวดหัว
“ก็คง...”
แล้วโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นขัดจังหวะ คุณเกียร์รีบคว้ามันขึ้นมากดรับสายทันที หลังจากฟังไปสักครู่หนึ่ง
ก็หันมาทำท่า เหมือนจะขอโทษผมแล้วรีบเดินออกไปจากห้องทันที
เมื่อในห้อง เหลือแต่ผม กับกองขยะถุงพลาสติก จากการกินอาหารเช้าแบบเร่งรีบ
จะทำอะไรได้นอกจากถอนหายใจ แล้วกวาดถุงพลาสติกเหล่านั้นลงถังขยะ
เงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาอีกครั้ง ก็พบว่า แปดโมงตรงพอดี
ได้เวลาทำงานแล้วสินะ...
++++++++++
แม้ตอนนี้จะเกือบหกโมงเย็นแล้ว ก็ยังไม่เห็นคุณเกียร์กลับมาเหยียบห้องเลยสักครั้ง
ส่วนกองงาน ก็มีแต่คนเอามาส่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงผมจะช่วยสะสางมันไปบ้าง แต่บางอย่างก็ต้องรอคุณกลับมาทำเอง
“โฮลี่ ออเดอร์ ?”
ในที่สุดเจ้าของห้องก็กลับมาเสียที ไม่ใช่ใครต่อใครที่เอางานมากองไว้แล้วก็จากไป ผมมองนิ่ง พิจารณาดูจากสภาพแล้ว
คงมีเรื่องปวดหัวต้องตามแก้อีกแน่นอน แต่จะดูเครียดๆเหนื่อยๆอย่างไร รอยยิ้มก็ยังไม่จางหายไปจากใบหน้า
“ยังไม่กลับอีกเหรอ ?”
“ทำงานเพลินน่ะครับ”
ตอบไม่ได้ว่า รอคุณอยู่ครับ เพราะขี้เกียจฟังคนที่สมองมีแต่งานถามว่า รออยู่ทำไม มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า
ผมเริ่มเก็บข้าวของและเอกสาร ทั้งที่ยังทำงานอยู่ครึ่งๆกลางๆ เพราะตั้งใจว่า จะลากอีกฝ่ายกลับบ้านตอนนี้
“นายกลับไปก่อนเลยนะ”
เหมือนจะรู้ทันว่า กำลังจะเอ่ยปากชวนกึ่งบังคับให้กลับบ้าน เลยพูดดักทางไว้ก่อน
พอเห็นคุณกำลังจับปากกา ทำท่าเหมือนจะเริ่มทำงานอีกครั้ง ในใจตะโกนบอกว่า ส่องกระจกบ้างหรือเปล่า
สภาพของคุณมันโทรมมากเลยนะครับ กลับไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยทำงานก็ได้
“มีเรื่องยุ่งหรือครับ”
คำโวยวาย คงเหลือแค่คำถามสั้นๆเท่านั้น
“นิดหน่อยน่ะ”
นิดหน่อย ? แต่ทำให้คุณโทรมได้ถึงขนาดนี้ ถ้าเครียด ถ้าเหนื่อย บอกผมบ้างก็ได้ครับ
มีอะไรที่ผมช่วยได้ ก็จะช่วย ถึงคุณไม่อยากให้ผมช่วย ผมก็จะช่วยครับ
“มีเรื่องอะไรหรือครับ”
“ประชุมกับฝ่ายเทคนิคมาน่ะ...”
“ฝ่ายนั้นกำชับเรื่องล็อกอินเกิน 7 ชั่วโมง”
อยากจะเดินไปกล่าวขอบคุณฝ่ายเทคนิค แล้วซื้อของไปคารวะสักหน เพิ่งเคยเห็นคิดอะไรได้ถูกใจก็คราวนี้
แปลว่า ต่อไปนี้ คุณจะไม่สามารถทำงานล่วงเวลาได้แล้วสินะครับ อย่างน้อย คุณก็ล็อกอินนานไม่ได้
“ฝ่ายเทคนิค ก็เลยอยากจะติดกลไกอัตโนมัติที่จะตัดออกจากระบบ เมื่อล็อกอินเกิน 7 ชั่วโมง”
ฟังๆดูก็มีแต่เรื่องดีๆนี่ครับ player เองก็จะได้ปลอดภัย ถ้ามีคนถูกหามเข้าโรงพยาบาล เพราะเล่นเกมนานเกินไป
คงเสียชื่อบริษัทน่าดู อาจถูกหนังสือพิมพ์โจมตีว่า เป็นเกมอันตราย การป้องกันไว้ก่อน ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว
มีอะไรที่ทำให้คุณทั้งเครียด ทั้งเหนื่อยได้ขนาดนี้ล่ะครับ ดูแลลิงทั้งฝูง ยังไม่เห็นเหนื่อยเลย
“ทีนี้ ตอนที่ทดสอบดู ปรากฏว่า เล่นแล้วเกมค้างบ่อยมากๆ ดูจะเป็นการเพิ่มอะไรที่หนักเกินไป สำหรับเครื่อง”
“เขาอยากได้คนไปทดสอบดูน่ะ”
“อยากได้ GM ไปทดสอบเกม หลังจากติดกลไกแล้ว ก่อนทำการปรับปรุงระบบจริงๆ”
ผมนึกสงสัยว่า ทำไมฝ่ายเทคนิคถึงไม่ทดสอบเอง เวลามีปัญหา จะได้เข้าใจได้ตรงจุดมากกว่า
พอถามออกไป คุณเกียร์ก็ยิ้มเหนื่อยๆ แล้วตอบอย่างชัดเจนว่า
“ฉันก็ถามแบบนั้น แต่ฝ่ายเทคนิคสารภาพว่า คนทางนั้น...”
“เล่นเกมห่วย...”
หลังจากผมทำหน้าเอ๋อๆ นั่งฟังคำอธิบายต่อว่า ฝั่งเทคนิคนั้น มีแต่พวกบ้าคอม ชอบแต่ตัวเลข 01 เรียงกันบนหน้าจอ
ไม่ชอบเล่นเกมจริงๆแต่ประการใด แต่ให้ดูแลระบบ ทำนู้นทำนี่น่ะ ถึงไหนถึงกัน เวลาเข้าไปทดสอบ ก็เลยเล่นแบบไม่ค่อยตั้งใจ
ตีมอนสเตอร์แต่ตัวง่ายๆ แล้วก็ออกมา มันก็ไม่มีปัญหาเกิดขึ้น อยากได้พวกที่เล่นจริงจังมาทดสอบมากกว่า
“ฉันก็อยากจะไปเป็นตัวทดสอบให้นะ...แต่ว่า...”
เดี๋ยว หยุดก่อนครับ งานคุณกองท่วมหัวขนาดนั้นแล้ว ยังจะหางานมาให้ตัวเองเพิ่มอีกเหรอครับ
ทำไมถึงไม่ส่งใครสักคนไปล่ะครับ GM ก็มีเยอะเหมือนฝูงลิง ทำไมต้องให้คุณไปทำเองครับ
“ฉันมันเป็นพวกไม่เหมือนคนอื่น ก็เลยไม่ได้”
แน่สิครับ คุณเป็นหัวหน้าจะเหมือนคนอื่นได้ยังไงกัน ที่สำคัญคือ เจ้าพวกนั้น มันชอบเล่นเกมไม่ใช่เหรอครับ
ส่งไปสักคน คงไม่มีอะไรเสียหายหรอก ส่งไปสิครับ ส่งไปเลย จะได้ลดตัวน่ารำคาญลงอีกหนึ่ง
“ลองให้คนอื่นทดสอบก็เห็นบ่นว่า น่ารำคาญ ต้องมานั่งทดสอบนู้นนี่ เล่นอย่างอิสระไม่ได้”
เฮ้ย !! พวกแกทำงานอยู่นะเว้ย ไม่ได้เล่นเกม !!
นึกภาพตาม ก็รู้สึกว่าเห็นใครต่อใครลงไปชักดิ้นชักงอบนพื้นห้อง เพื่อให้คุณครูมาโอ๋
แถมคุณครูคนนี้ยังโอ๋จริงๆเสียด้วย ผมล่ะปวดหัวกับความคิดของคุณจริงๆ
“ผมไปก็ได้ครับ”
อยากจะถอนหายใจสักสี่ร้อยรอบก่อนตอบ หรือว่าจริงๆคุณต้องการหลอกให้ผมพูดประโยคนี้
เอาเถอะ ผมไม่ใช่เด็กเอาแต่ใจ ร้องโวยวาย จะเล่นอยู่ท่าเดียวเสียหน่อย ผมจะไปทำงานให้เองครับ
“นาย...อยากไปเหรอ ?”
“ก็ไม่ได้อยากไปหรอกครับ แต่มันเป็นงานนี่ครับ”
ผมอยากจะอยู่ใกล้ๆคุณมากกว่าครับ ไปอยู่ทางนู้นก็คงต้องห่างคุณไปบ้าง
หวังว่า จะดูแลตัวเองได้นะครับ อย่าให้ผมต้องวิ่งกลับมา เพราะตกใจที่คุณเป็นอะไรไปอีก
“ขอโทษนะ...”
“ถ้าจะขอโทษ ขอสิ่งแลกเปลี่ยนแทนได้ไหมครับ...”
ใบหน้าของคนตรงหน้าดูจะงุนงง แต่ก็พยักหน้ารับแต่โดยดี เหมือนจะให้พูดต่อ
ไม่คิดจะปฏิเสธหน่อยเหรอครับ คุณนี่มันตรงไปตรงมา เผยจุดอ่อนตัวเองออกมาง่ายๆ
“ข้อหนึ่ง คุณต้องเลิกทำงานล่วงเวลาเสียที”
“ข้อสอง กินข้าวให้ครบสามมื้อ แล้วก็กินให้ตรงเวลาด้วย”
“ข้อสาม...”
ตอนนี้พระอาทิตย์ใกล้จะลับหายไปแล้ว แสงสีทองอ่อนนั้นสาดส่องเข้ามาในห้อง
ผมเอื้อมมือไปแตะใบหน้านั้น เมื่อไม่เห็นว่า อีกฝ่ายมีท่าทีจะขัดขืนหรือถอยหนี จึงค่อยๆโน้มตัวเข้าไปใกล้
ขณะที่รู้สึกได้ถึงลมหายใจ คนตรงหน้ากำลังหลับตา ราวกับเป็นคำอนุญาต
ประตูบานใหญ่ ก็เปิดออกอย่างรวดเร็ว กระแทกผนังห้องดังลั่น
“หัวหน้าครับ !! แย่แล้วครับ !!”
อารมณ์ที่กำลังได้จังหวะกระเจิดกระเจิงไปพร้อมกับคำโหวกเหวกโวยวายนั้น
ทำไมกันนะ สถานการณ์กำลังเป็นใจ !! ทำไมต้องมีก้างมาขวางด้วยเนี่ย !!
แถมคุณเกียร์ยังเลือกที่จะสนใจก้างมากกว่า เดินเข้าไปถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แล้วตามออกไปแก้ปัญหาให้
ผมเชื่อแล้วครับว่า...คุณเป็นแม่พวกมัน...
ผมนั่งทำหน้าบึ้ง ต้อนรับคนที่กลับมาห้องตัวเองอีกครั้ง คราวนี้อีกฝ่ายยอมกลับบ้านแต่โดยดีเหมือนไม่อยากขัดใจอะไรอีก
อาจจะเพราะรู้ดีว่า ผมกำลังเข้าสู่โหมดอารมณ์เสียแบบสุดๆ ถึงได้นิ่งเงียบ
สุดท้ายแล้ว ผมก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ ทั้งที่ตัวเองรู้สึกหงุดหงิดมาก แต่ก็ยอมเป็นคนเปิดปากชวนคุยก่อน
ทำไมน่ะหรือ พอเห็นสีหน้าที่ดูเหม่อๆ เหงาๆนั้นแล้ว ไม่อยากจะปล่อยไปแบบนั้น
แล้วยิ่งพอพูดด้วยแล้ว ได้รับรอยยิ้มเป็นของขวัญตอบกลับมา ผมจึงได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจ
...ทำไมจะต้องยอมลงให้คนคนนี้ทุกที...
++++++++++
วันรุ่งขึ้น ผมมาถึงที่ทำงานตรงเวลาเข้างานพอดีเป๊ะ เพราะยังหงุดหงิดเรื่องเมื่อวานไม่หายและรู้ดีว่า ถ้าเห็นคนคนนั้น
กำลังทำงานอยู่ ก็คงไม่พ้นจะต้องวิ่งไปหาข้าวเช้ามาให้กิน
แต่ในวันนี้กลับมีพวกลิงทโมนออกมายืนต้อนรับผม ทำยังกับว่า ที่ที่ผมจะไปนั้น เป็นสนามรบ ไม่ใช่ฝ่ายเทคนิคที่อยู่ห่างกัน
แค่ชั้นเดียว แต่ละคนทำหน้าเหมือนผมเป็นผู้สละชีพ เพื่อแผ่นดินก็ไม่ปาน
“ไปดีมาดีนะครับ”
พอได้ฟังตัวแทนคนหนึ่งพูด ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ไม่ใช่เดินขึ้นบันได 1 ชั้น
เพื่อไปทำงานที่ฝ่ายเทคนิค ระหว่างที่กำลังเดินขึ้นบันไดนั้น สมองก็พาลคิดถึงคนที่วันนี้ยังไม่ได้เห็นหน้า
“เออ...”
เมื่อเห็นหน้าเขาก็เหมือนทุกคนจะรู้ว่า มาจากอีกแผนกหนึ่ง คนที่นั่งรัวแป้นคอมพิวเตอร์อยู่ใกล้ประตูทางเข้า ไม่พูดอะไร
นอกจากชี้มือให้เดินลึกเข้าไปข้างใน
“โฮลี่ ออเดอร์สินะครับ”
หลังจากเดินตามที่คนนู้นคนนี้ชี้มือ แต่ไม่ยอมพูดอะไรไปสักพัก ก็ได้พบคนที่ยอมเปิดปากพูดด้วยแล้ว
“ขอโทษที่ไม่ได้ออกไปรับ อย่างที่เห็น ทางนี้ก็ยุ่งๆ”
ออกไปรับ ? ทางนี้ก็เกรงใจกันเกินว่าเหตุอีกแล้ว ผมเดินขึ้นบันไดมาแค่ชั้นเดียวนะครับ ไม่ได้เพิ่งมาจากสนามบิน
แอบกวาดสายตาไปรอบๆ ก็พบว่า แต่ละคนกำลังง่วนทำอะไรกันอยู่อย่างตั้งใจ
“เรื่องที่อยากให้ทำก็แค่ เข้าไปเล่นเกมน่ะครับ ถ้ามีปัญหาตรงไหนก็ขอให้รายงานด้วย”
“ส่วนคนที่จะดูแลคุณก็คือ...”
หันไปตะโกนเรียกชื่อใครคนหนึ่งที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินเข้ามาหา เป็นหญิงสาวที่ต้องยอมรับว่าสวยไม่น้อย
เธอดูโดดเด่น เพราะเป็นหญิงสาวคนเดียว ท่ามกลางผู้ชายมากมาย ใบหน้านั้นมีรอยยิ้มน้อยๆ
หลังจากผ่านการแนะนำตัวไปแล้ว เธอคนนั้นก็จัดการอธิบายเรื่องราวของกลไกอัตโนมัตินั่นให้ผมฟัง
โชคดีที่เธอสามารถอธิบายมันเป็นภาษาที่มนุษย์ทั่วไปสามารถเข้าใจได้ ไม่ใช่พ่นศัพท์เทคนิคเป็นไฟ
ผมได้ออกความคิดเห็นในส่วนที่ผมเข้าใจ และดูเหมือนเธอจะตั้งใจฟัง จดจำ พร้อมที่จะแก้ไขให้ดีขึ้น
นานๆจะเจอฝ่ายเทคนิคที่สามารถคุยกันได้รู้เรื่อง หรือบางทีฝ่ายเทคนิคคงตั้งใจเลือกเธอขึ้นมา เพราะเหตุผลนี้ก็ได้
หลังจากเข้าไปในเกม ด้วยการล็อกอินตัวที่มีกลไกในการตัดระบบอัตโนมัติเมื่อครบ 7 ชั่วโมง
รู้สึกได้ว่า การเคลื่อนไหวมันอืดๆ เวลาเล่นเกมแล้วมันแปลกๆ เหมือนตัวเองมีตุ้มน้ำหนักถ่วงอยู่ที่แขนขา
บางทีก็เลยถูกมอนสเตอร์ทำร้ายแบบที่ไม่ควรจะเป็น โชคยังดีที่ไม่เจอ player โหดๆ ก็เลยพอจะจัดการได้
ที่น่ารำคาญก็คือ ฝ่ายเทคนิคชอบสั่งให้ล็อกเอาท์ แล้วก็ให้ล็อกอิน เข้าๆออกๆทั้งวัน เพื่อตรวจสอบอะไรก็ไม่ทราบ
ถ้าเป็นพวกลิงทโมน คงจะต้องโวยวายด้วยความขัดใจ ถ้ากำลังเดินตะลุยมอนสเตอร์อยู่ดีๆ ก็ถูกสั่งให้ออกจากเกม
แต่ก็ต้องยอมรับว่า ทำงานกันเร็วพอดู อาการอืดๆที่มีตั้งแต่เริ่มแรกนั้น ค่อยๆดีขึ้น
ผมเดินออกจากฝ่ายเทคนิค ตอนเวลาเลิกงานพอดี เพราะฝ่ายนี้มีคติว่า เวลาทำงานก็ทำให้เต็มที่ พอถึงเวลาเลิกก็ต้องเลิก
อาจด้วยเหตุผลนี้ ก็เลยไม่ค่อยพอใจที่คุณเกียร์ก่อเรื่องวุ่นวาย จากการทำงานล่วงเวลาล่ะมั้ง
ผมยืนอยู่หน้าบริษัท มองขึ้นไปยังชั้นบน เห็นว่าไฟห้องทำงานของใครบางคนยังเปิดอยู่ ก็ได้แต่ถอนหายใจ
++++++++++
ผ่านไปเกือบจะสองอาทิตย์นับตั้งแต่วันที่เข้ามารับตำแหน่งหนูทดลองของฝ่ายเทคนิคเป็นครั้งแรก ผมไม่ได้กลับไปที่โต๊ะทำงาน
ของตัวเองเลยสักครั้ง และไม่ได้เข้าไปเล่นเกมจริงๆจังๆสักหน ได้แต่วิ่งไปตามที่ฝ่ายเทคนิคจะสั่ง เพื่อตรวจสอบอะไรบางอย่าง
ทุกครั้งที่ออกมายืนด้านหน้าตึกสูง มองกลับขึ้นไปยังชั้นที่มีห้องทำงานของคนคนนั้นอยู่ เวลาเห็นแสงไฟแล้วอยากจะกลับขึ้นไป
หา เอ่ยถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง อยากรู้ว่า ดูแลตัวเองบ้างหรือเปล่า แต่เหตุผลที่ตัดสินใจไม่ขึ้นไป ก็เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่า คำตอบคือ
อะไร กลัวว่าพอไปเห็นกับตาแล้ว จะยิ่งทำให้นึกห่วง จนไม่เป็นทำอะไร หรืออาจไม่ยอมขึ้นไปทำงานที่ฝ่ายเทคนิคอีกเลยก็ได้
เพื่อตัดความวุ่นวายทั้งหมด ก็อย่าไปให้เห็นหน้า จนกว่าจะเสร็จงานดีกว่า
“โฮลี่ ออเดอร์”
เสียงเรียกโค้ดเนมที่ไม่ค่อยจะได้ยินใครเรียกในเกมมานาน สำหรับพวกเขาที่การเล่นเกมคือ การทำงานแล้ว คนที่จะรู้จักชื่อได้นั้น
คงไม่พ้นเป็น GM สักคน
“ไม่เห็นหน้าตั้งนาน”
จำไม่ได้หรอกว่า คนคนนี้เป็นใคร แต่ก็พอเดาได้ว่า เป็น GM สักคน ท่าทางที่ดูเหมือนจะกลัวๆเขาอยู่นิดหน่อย
ทำให้รู้สึกว่าน่ารำคาญ แต่ก็พยายามไม่ใส่ใจ
“ไปทำงานที่ฝ่ายเทคนิค เบื่อไหม ? เหงาไหม ?”
คำถามอะไร ไม่เห็นอยากจะตอบตรงไหน ไม่ได้สนิทสนมกันเป็นพิเศษเสียหน่อย ทำไมจะต้องมาวุ่นวายด้วย
แต่เผอิญฝ่ายเทคนิคพูดเสียงตามสายเข้ามา เป็นระบบพิเศษที่เอาไว้สั่งงานตัวทดลองอย่างเขาโดยเฉพาะ บอกให้ลองพูดคุยดู
ทางที่ดีควรลองไปลุยมอนสเตอร์ ทำคอมโบดูสักหน อยากรู้ว่า เครื่องมันจะอืดไหม
ยังไม่ทันจะอ้าปากตอบ เพราะมัวแต่คิดว่า จะทำตามคำสั่งของฝ่ายเทคนิค ชวนหมอนี่ไปหามอนสเตอร์เลเวลสูงๆอย่างไรดี
ก็กลับมีคำถามที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินตามมา
“คิดถึงคุณเกียร์หรือเปล่า ?”
ในบริบทของเจ้าพวกนี้ คุณเกียร์คงเหมือนคุณครู เป็นคนที่เคารพ เวลาปิดเทอมไปก็คงจะคิดถึงอยากเจอ
สำหรับเขาแล้ว คำถามนี้มันคงเป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น ไม่ใช่แค่อยากเห็นหน้า อยากพูดคุย อยากเล่าเรื่องอะไรให้ฟัง
แต่มันเป็นความรู้สึกที่ได้มีสายสัมพันธ์เชื่อมต่อกัน
อยากจะสัมผัส...ร่างกายนั้น...ให้ลึกซึ้งยิ่งกว่าตอนนี้...
“พักนี้คุณเกียร์กินข้าวกับพวกเราบ่อยๆด้วยนะ”
กินข้าว ? คนอย่างนั้นไปกินข้าวด้วยเหรอ ? หรือเจ้าพวกนี้ไปออดอ้อนจนถึงห้องทำงาน เพราะว่า ไม่มีเขาคอยจ้องด้วยสายตา
กินเลือดกินเนื้ออยู่ข้างๆว่า อย่าไปกวน ถ้านั่งกินข้าวเข้าสู่วงสนทนาของเจ้าพวกนี้ มิต้องเสียการเสียงาน จนต้องทำล่วงเวลา
จนถึงตีสามเหรอ
“แถมยังกลับบ้านเร็วด้วยนะ หกโมงเย็นก็กลับบ้านแล้ว”
ถึงเวลาเลิกงานจริงๆ จะเป็นตอนห้าโมงเย็น แต่การที่หัวหน้า GM ที่มักจะอยู่โยงเฝ้าบริษัทถึงสองสามทุ่ม กลับบ้านตั้งแต่
หกโมงเย็นนั้น เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเป็นที่สุด
โฮลี่ ออเดอร์ !! รีบขยับสักทีสิ ยืนคุยกันอยู่ได้ !!
เสียงในสายเร่งให้ไปทำงานต่อ ไม่ใช่ยืนสนทนาเรื่องสัพเพเหระเล่นๆกันต่อไป แต่ก่อนที่จะทันได้ชักชวนให้ไปทำงานด้วยกัน
คนที่เขายืนคุยด้วยกันหายตัวไปอย่างรวดเร็ว เพราะเห็นอะไรบางอย่างที่น่าสนใจมากกว่า การยืนคุยกัน
ฟังจากเสียงโวยวายในสายแล้ว ฝ่ายเทคนิคดูจะหงุดหงิดพอสมควรที่ยังไม่ได้ทดสอบคอมโบ หรืออย่างอื่นที่ตั้งใจไว้
มีเสียงเอะอะของการถกเถียงกันเล็กน้อย ก่อนที่ไมค์จะถูกตัดสาย ไม่ให้ได้ยินเสียงคุยกันของทางนั้น
ในเมื่อไม่มีคำสั่งต่อ โฮลี่ ออกเดอร์จึงยืนรออยู่เฉยๆก่อน มองทิวทัศน์รอบตัว
ในหัวนั้นผุดภาพของใครคนหนึ่งขึ้นมา คราวนี้ไม่ใช่ภาพที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน กำลังจับปากกาเขียนอะไรบางอย่าง
แต่เป็นภาพที่สายลมพัดผ่านเส้นผม ยืนเหม่อมองไปข้างหน้า ท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียวใน Neo Universe
ความรู้สึกในตอนนี้ควรจะถูกเรียกว่า...ความคิดถึง...
++++++++++
เหมือนวันนั้นจะเกิดสงครามย่อยๆขึ้นในฝ่ายเทคนิค เพราะต้องตกลงกันเรื่องการแก้ไขอะไรหลายอย่าง จึงเกิดการประชุม
เฉพาะกิจขึ้น เพื่อสรุปการทำงานให้ชัดเจน ดังนั้นตัวทดลองอย่างเขา จึงว่างงานชั่วคราว จนกว่ามนุษย์ทั้งหลายที่อยู่ใน
ห้องประชุมจะตกลงกันได้
คนอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับการประชุมบอกเขาว่า เขาสามารถไปเดินเล่น นั่งจิบกาแฟ อ่านหนังสือ หรือกลับบ้านไปเลยก็ได้
เพราะการประชุมของฝ่ายเทคนิคนั้น ไม่ค่อยเกิดขึ้นเท่าไร แต่ถ้าประชุมแล้ว จะไม่เลิกง่ายๆแน่
เผลอๆจะตีกันไปอีกสามสี่วัน กว่าจะรู้ข้อสรุปของการถกเถียงกันในครั้งนี้
เมื่อรู้สึกว่า ตัวเองกลายเป็นส่วนเกินของแผนกที่กำลังเร่งปรับปรุงแผนงานอยู่ จึงตัดสินใจเดินออกมาจากที่ตรงนั้น
แต่ไม่ลืมกำชับว่า หากจะให้ทำงานเมื่อไหร่ ก็โทรไปตามได้ทันที
บันไดหนึ่งชั้นที่เป็นระยะห่างระหว่างเขากับสถานที่เดิมนั้น เหมือนทอดยาวขึ้น เมื่อเขาค่อยๆเดินกลับไปยังที่นั่น
บรรยากาศยังคงเหมือนเดิม สนุกสนาน ฮาเฮและไร้สาระเป็นที่สุด เขาเดินผ่านกลุ่มคนที่กำลังคุยเรื่องตลกโปกฮา แล้วหยุดยืนที่
หน้าประตูห้องทำงานของใครคนหนึ่ง
ยกมือขึ้น เพื่อเคาะประตูสองสามครั้ง ก่อนจะเปิดเข้าไปข้างใน
ภาพตรงหน้าไม่เคยเปลี่ยนแปลง ชายหนุ่มผมดำนั่งอยู่หลังเอกสารกองใหญ่ ในมือมีปากกาที่เคลื่อนไหวไปมาไม่หยุด
แต่เมื่อเห็นว่า คนที่เข้ามาเป็นเขา ก็หยุดทำงาน หันมาเอ่ยทักทาย
“อ้าว โฮลี่ ออเดอร์ ทำงานทางนั้นเป็นยังไงบ้าง”
ในตอนแรกก็บอกตัวเองว่า ถึงจะเจอหรือไม่ได้เจอ ก็ไม่ได้แตกต่างกัน ไม่อาจแตะต้องหรือสัมผัสได้มากกว่านั้น
ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของเขา ได้แต่เฝ้ามองเรื่อยไปทุกวัน มันจะมีคุณค่าอะไร
แต่ในตอนนี้ สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าที่เขาไม่ได้เห็นมาสองอาทิตย์ ริมฝีปากที่คลี่ยิ้มอันแสนงดงาม
ไม่แน่ใจว่า ในสมองตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่บ้าง...
พอรู้ตัวอีกที ก็ทำลงไปแล้ว...
ผมก้าวเร็วๆมายืนอยู่หน้าโต๊ะทำงาน แสงแดดยามบ่ายที่ส่องมาจากกระจกด้านหลัง เจิดจ้าจนต้องหรี่ตา
แล้วผมก็โน้มตัวลง เพื่อสัมผัสกับริมฝีปากนั้น รู้สึกถึงความอบอุ่นในโพรงปากได้ไม่นาน ก็ถูกมือของคนตรงหน้าผลักไส
ขืนตัวหนีออกจากสัมผัสนี้
“ทำอะไรน่ะ...”
ผมไม่ตอบ เพราะไม่รู้ว่าจะตอบไปทำไม คำถามนั้น ไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบ เพียงแค่อยากจะตอกย้ำถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เท่านั้น ผมยอมรับว่า ผมทำลงไปโดยไม่รู้ตัว แต่นั่นก็ไม่ได้ต่างจากความตั้งใจที่แท้จริงเท่าไรนัก
“รสชาติของซอสมะเขือเทศ...”
ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมตัวเองถึงพูดออกไปแบบนั้น ถึงจะมีรสชาตินั้นติดค้างมาจากรสจูบจริงๆก็เถอะ
คนตรงหน้าดูงงๆ กับคำพูดของผมแล้วก็ผูกโยงเรื่องกันเองเฉยเลย
“นี่เป็นข้อแลกเปลี่ยนอีกข้อหนึ่งเหรอ ?”
“ข้อแลกเปลี่ยน ?”
จากนั้นผมถึงได้รู้ว่า คนคนนี้จริงจังกับคำพูดล้อเล่นของผมขนาดไหน ช่วงที่ผมไปทำงานที่ฝ่ายเทคนิคนั้น
คนคนนี้กินข้าวครบสามมื้อ พยายามทำงานล่วงเวลาให้น้อยที่สุด ดูแลตัวเองให้มากขึ้น ทุกอย่างเกิดจากคำพูดส่งๆ
และช่วงเวลาที่ผมแค่คิดอยากจะ...จูบ...คนคนนี้เท่านั้นเอง
จะว่าไป...ตอนนั้น เราก็กำลังจะจูบ...
ถ้าไม่มีก้าง !! ป่านนี้คงได้จูบไปแล้วล่ะ !!
“เมื่อกี๊ไม่นับนะครับ...”
พอได้โอกาสก็ถือว่าไปตามน้ำเลยแล้วกัน ถ้าคุณยินดีจะให้ผมจูบ ผมก็ยินดีที่จะรับไว้ด้วยความเต็มใจครับ
หน้าตาคุณเกียร์ดูตกใจ เมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่ผมแอบเก๊กหน้าจริงจัง เหมือนกับว่า การจูบนั้นสำคัญมาก
หากไม่ได้จูบจากคุณแล้ว ผมคงไม่สามารถกลับไปทำงานที่ฝ่ายเทคนิคได้ อาจจะหดหู่ตายอยู่ตรงนี้
“แต่ว่า...”
“อย่าต่อรองสิครับ”
หัวหน้าของผมทำหน้าเหมือนยอมรับโดยดุษฎี ทั้งที่ตัวเองมีอำนาจสั่งใครให้ไปทำงานก็ได้ แต่กลับมานั่งลำบากใจกับ
ข้อเรียกร้องของลูกน้องอยู่อย่างนี้ ก็เพราะอย่างนี้…คุณถึงได้น่ารักไงครับ
“อืม...”
แสงสีส้มแดงของพระอาทิตย์ยังส่องเข้ามาในห้อง นึกอยากเอื้อมมือไปปิดม่าน จะได้เห็นคนตรงหน้าชัดๆ
แต่ไม่มีเวลาอีกแล้ว เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ากำลังหลับตาลง แทนคำอนุญาตอีกครั้ง
อยากจะพิจารณาดูใบหน้านี้อีกสักพัก แต่ถ้าช้าอาจจะพลาดโอกาสสำคัญไป มีก้างเข้ามาป่วน แล้วจะยุ่ง
ผมเอื้อมมือไปแตะที่ใบหน้า ก่อนจะก้มลง เพื่อสัมผัสริมฝีปากนั้นอีกครั้ง
คนตรงหน้าขืนตัวเล็กน้อย เมื่อลิ้นเริ่มรุกไล่ไปเพื่อสำรวจทั่วทั้งโพรงปาก แต่ครั้งนี้ผมไม่ยอมให้พลาดอีกแน่
มือข้างหนึ่งรั้งตัวเอาไว้ไม่ให้หนี ส่วนอีกข้างหนึ่งประคองอยู่ด้านหลัง ไม่นานนักความรู้สึกขัดขืน ก็แปรเปลี่ยนเป็นการโอนอ่อน
พร้อมกับความหวานที่ค่อยๆแผ่ซ่านไปทุกบริเวณ มือของผมเริ่มคลำเปะปะเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ตสีขาว เพื่อจะสัมผัสความอบอุ่นของ
ผิวกาย โดยไม่มีอะไรขวางกั้น ในช่วงเวลาที่ร่างกายของเราแนบชิดกัน ริมฝีปากของผมเริ่มไล่เรียงลงมาตามซอกคอขาวและกำลัง
จะเร่งเร้าอารมณ์ให้พุ่งสูงขึ้นไปอีก
เสียงโหวกเหวกโวยวายของใครสักคนก็ดังมาจากด้านนอก พร้อมกับประตูห้องที่ถูกเตะให้เปิดออก
ใครคนหนึ่งเดินเอาเอกสารกองสูงมาส่งตามปกติ แต่เหมือนคราวนี้เหมือนจะเข้ามาผิดเวลาสักหน่อย
คุณเกียร์ดันตัวผมออกอย่างสุภาพ ติดกระดุมที่ถูกผมแกะออกไปจนหมดด้วยท่าทีนิ่งสนิทจนน่าแปลกใจ
“เอาอะไรมาส่ง”
ทำไมอารมณ์คุณมันถึงเปลี่ยนแปลงเร็วแบบนี้ล่ะครับ !! หันไปคุยเรื่องงานได้หน้าตาเฉย
ถ้าคุณจะตกใจสักนิด ผลักผมทิ้ง หรือแสดงท่าทีให้เห็นสักหน่อยว่า เมื่อกี๊เรากำลังทำอะไรกันอยู่
เราไม่ได้กำลังยืนคุยเล่น ชมพระอาทิตย์ยามเย็น ก่อนก้างชิ้นโตจะเข้ามานะครับ
โฮลี่ ออเดอร์เสยผมตัวเองขึ้นอย่างขัดใจ มองแผ่นหลังของคนที่เขาเพิ่งจะได้สัมผัสลึกซึ้งมากขึ้นเมื่อครู่
แล้วยิ่งอยากจะไปกระชากตัวมาสานต่อสถานการณ์ แต่ก็ต้องสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้
“ไม่สบายหรือเปล่าครับ...”
“เปล่า...”
เสียงของคุณเกียร์ดูแปลกๆ จนต้องหันกลับไปดูสักหน่อย พอดีกับที่คนคนนั้นหันกลับมา เหมือนตั้งใจจะพูดอะไรกับผม
เมื่อเราสบตากันพอดี ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นก็รีบหลบ มองหลุบต่ำลงทันที แถมยังแสร้งหันกลับไปคุยเสียอย่างนั้น
ผมมั่นใจว่า ผมไม่ได้ตาฝาดที่เห็นใบหน้านั้นเป็นสีแดงระเรื่อน้อยๆ จะบอกว่า ไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงไม่ใช่
แต่คงไม่อยากแสดงออกมาตรงๆ ทำแบบนี้ก็น่ารักไปอีกแบบนะ
“ยิ้มอะไร...”
นั่นสินะ ผมรู้สึกได้ว่า ตัวเองกำลังฉีกยิ้มกว้างเหมือนคนบ้า เมื่อยามมองใบหน้านั้นทำหน้าลำบากใจ
พอรู้ตัวว่า ผมมองอยู่ สมาธิของคุณก็เลยไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไร ผมจึงได้เห็นคนที่ปกติวางท่าทีสุขุม
มีอาการแปลกๆตลอด จนกระทั่งใกล้ถึงเวลาเลิกงาน
“เลิกงานแล้ว ไปกินข้าวกันไหมครับ...”
“อ่ะ...ได้สิ...”
เหมือนจะรับปากไม่เต็มปากเต็มคำ แต่ก็ถือว่า เป็นการตกลง ระหว่างที่กำลังคิดหาร้านอาหารอยู่นั้น ผมก็สังเกตเห็นรอยจ้ำแดงๆ
บางอย่างอยู่ที่ต้นคอสีขาว สิ่งนั้นทำให้ผมฉีกยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีอีกครั้ง เมื่อนึกภาพว่า หากมีลิงทโมนสักตัวเกิดเห็นเข้าแล้วถาม
ขึ้นมา คุณจะทำหน้าตาอย่างไร
ถึงตอนนี้...ผมจะไม่ได้เป็นเจ้าของคุณ...
ผมก็รู้สึกว่า...ตัวตนของผมสำคัญกับคุณไม่น้อย...
แค่คำพูดเล่นๆของผม...คุณยังเก็บเอาไปคิด...
แล้วถ้าผม...บอกคุณอย่างจริงจัง...
ถึงความรู้สึกในใจที่เก็บเอาไว้...นานแสนนาน...
คุณจะตอบรับมันไหม...
...ตอบรับ...ที่จะเป็นของผมเพียงคนเดียว...
++++++++++
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ 1 คอมเมนต์นะคะ ดีใจมากมายค่ะ
เพราะแต่งคู่อภิมาหาแรร์ เลยไม่แน่ใจว่าจะมีคนอ่านหรือเปล่า TT^TT มีใครผ่านมาอ่าน เราก็ดีใจมากแล้วค่ะ
ยิ่งแต่งแต่ละตอน จำนวนหน้าใน word ก็ยาวขึ้นเรื่อย จนรู้สึกว่า ตัวเองก็สนุกกับการเขียนเหมือนกันค่ะ
ถ้าใครมีโอกาสได้แวะเวียนเข้ามาอ่าน ก็ขอบคุณนะคะ
ถ้าช่วยคอมเมนต์บอกกล่าวติชมกัน ก็จะยิ่งขอบคุณ
อีกไม่นานคงมีตอน 4 ค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่แวะเวียนเข้ามา
ความคิดเห็น