ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KnB fic] You are my angel (AoKaga)

    ลำดับตอนที่ #2 : My Bad Black Angel (ครึ่งหลัง)

    • อัปเดตล่าสุด 2 ส.ค. 56


    Title: My Bad Black Angel
    Author: Monochrome bird
    Category:  Drama (แบบไม่ได้ตั้งใจ)

    Pairing: อาโอมิเนะ x คากามิ
    Rating: PG-13
    Disclaimer: ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นของอาจารย์ฟูจิมากิค่ะ พวกเราแค่ยืมมาจิ้นเล่นเท่านั้น 
    Author notes: มาต่อกันเลยค่ะ ว่าเรื่องราวของทั้งคู่จะเป็นอย่างไร


    +++++++++

    คากามิกำลังโดนหมอและพยาบาลเทศนาชุดใหญ่ เพราะเมื่อคืนนี้เหล่าเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลต้องวุ่นวายออกตามหาเขาที่หายตัวไปจากเตียงนอนกลางดึก กว่าจะพบตัวว่านอนหลับอยู่บนดาดฟ้าก็ปาไปเกือบตีสอง ทำเอาหลายต่อหลายคนไม่ได้หลับไม่ได้นอน

    “เอาล่ะ งั้นก็กลับดีๆแล้วกัน”

    ลึกลงไปในจิตใจของคุณหมอและพยาบาลทั้งหลาย ต่างก็รู้สึกโล่งใจที่เด็กหนุ่มมีท่าทีที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือแววตาก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง ไม่ได้ดูว่างเปล่าเหม่อลอยเหมือนเมื่อวาน

    ระหว่างที่คากามิกำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวกลับบ้านอยู่นั้น ก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น แล้วคนที่อยู่ด้านนอกก็ถือวิสาสะเปิดเข้ามาเอง ตอนแรกก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่า ใครมา เพราะพ่อกับแม่คงไม่กลับมาได้เร็วขนาดนี้ แต่พอเห็นหน้าแล้วก็นึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน ไม่คิดว่าจะมาหาถึงที่โรงพยาบาล

    “คากามิจจิ กำลังจะกลับแล้วเหรอ !!!

    คิเสะหอบดอกไม้ช่อใหญ่มาด้วย แต่ลักษณะของดอกไม้นั้นดูเหมือนจะไปขอเดทสาวมากกว่าจะเอามาเยี่ยมไข้ อย่างไรก็ตามใบหน้าของเด็กหนุ่มดูตกใจเป็นอย่างมากที่เหมือนเขากำลังเก็บข้าวของเตรียมตัวจะกลับบ้าน

    “ใช่ หมออนุญาตให้กลับแล้ว”

    เขาคิดว่า เมื่อคิเสะรู้ข่าวเรื่องอุบัติเหตุ จะต้องตรงดิ่งมาหาแน่ๆ แต่ไม่คิดว่าจะเร็วถึงขนาดนี้ แล้วที่สำคัญวันนี้ต้องไปโรงเรียนไม่ใช่เหรอ โดดมาทั้งชุดนักเรียนแบบนี้จะดีรึ ?

    “กลับได้แล้วจริงๆเหรอ ?”

    “กำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเนี่ย”

    “เดี๋ยวๆ เดี๋ยวก่อน จะถอดตอนนี้เลยหรือ เดี๋ยวฉันออกไปก่อนก็ได้”

    เอสแห่งไคโจวเริ่มร้องเสียงหลง เมื่อเห็นคนตรงหน้านั้นถอดเสื้อผ้าให้เห็นกันสดๆ เพราะเมื่อครู่ยังเปลี่ยนอยู่ครึ่งๆกลางๆ คากามินั้นไม่สนใจเท่าไรนัก มันจะต่างอะไรกับการเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ล็อกเกอร์ก่อนแข่งขัน เป็นผู้ชายเหมือนกันไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย จะตกใจทำไม

    “อ๊ะ แผลนั่น...ไม่เป็นอะไรเหรอ ?”

     คิเสะจ้องมองรอยบนแผ่นหลังของคากามิ พอมาสังเกตดูดีๆแล้ว เหมือนกับเป็นรอยแผลเป็นเก่าเสียมากกว่า มันเป็นสีเข้มกว่าผิวรอบข้างเล็กน้อย ไล่ลงมาเป็นทางยาวตั้งแต่บริเวณไหล่จนถึงกลางหลัง เป็นเหมือนกันทั้งสองแผล

    “อ๋อ อันนี้น่ะเหรอ มีมาตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว”

    “หวา เป็นแผลใหญ่ขนาดนี้ตั้งแต่เด็กเลยเหรอ ตอนนั้นคงเจ็บมากเลยสินะ”

    “เปล่าหรอก นี่ไม่ใช่แผลเป็น”

    ไม่ว่าใคร เมื่อเห็นรอยที่แผ่นหลังของคากามิก็ต้องเข้าใจผิดว่าเป็นแผลเป็นทั้งนั้น เพราะทั้งลักษณะของสีและผิวสัมผัส เหมือนกับแผลเป็นไม่มีผิดเพี้ยน แต่ที่จริงมันเป็นเหมือนกับปาน เป็นรอยตำหนิที่มีมาตั้งแต่เกิด เพราะอย่างที่รู้ เขาแทบไม่เคยมีแผลเลย ตั้งแต่ได้พบกับอาโอมิเนะและเขาก็ไม่ได้ซุ่มซ่ามพอจะทำตัวเองให้เป็นแผลใหญ่ขนาดนี้

    “จริงเหรอ เหมือนโดนอะไรกรีดเลยอ่ะ ไม่สิ เหมือนอะไรบางอย่างถูกเฉือนออกไปมากกว่า”

    ที่จริงคากามิฟังคำพูดประมาณนี้มาตลอดชีวิต มีทั้งคนที่ถามเซ้าซี้เพราะคิดว่าเขาโกหก คนที่ตั้งข้อสังเกตเพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกดี แต่ไม่รู้ทำไม พอฟังคำพูดเมื่อครู่ของคิเสะ เหมือนภายในอกมันมีอะไรแปลบๆขึ้นมาแว่บหนึ่ง ราวกับว่ามันไปสะกิดโดนอะไรสักอย่างที่ฝังลึกอยู่ภายในใจ

    “ดูท่าทางจะเจ็บนะ”

    “ก็บอกว่าไม่ใช่แผลไงล่ะ”

    “แต่เห็นแล้ว มันรู้สึกว่าน่าจะเจ็บนี่นา”

    คากามิขี้เกียจจะเถียงให้มากความ ก็เลยรีบใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย จะได้กลับเสียที พอติดกระดุมเสื้อเรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่ก้มลงใส่รองเท้านั้น เขาก็ถูกกอดจากทางด้านหลัง

    “ไม่เจ็บจริงๆเหรอ คากามิจจิ”

    เซ้าซี้เสียจนน่ารำคาญ จะทำเฉยจะไล่อย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยเสียที เหมือนตอนสมัยเด็กไม่มีผิด แถมยังเอาหัวมาถูกับหลังของเขาเหมือนจะอ้อนอีกต่างหาก นี่ถ้าหลังของเขามีแผลจริงๆ แผลคงจะเปิดและมีเลือดไหลซิบๆออกมาแน่ๆ

    ตอนนี้สิ่งที่ทำให้เขาอยากหัวเราะมากที่สุดคือ ท่าทีของอาโอมิเนะซึ่งดูจะอารมณ์เสียขึ้นมาดื้อๆจากการกระทำของคิเสะ เทวดาจอมเอาแต่ใจถึงกับมองหาของแถวนั้น ตั้งใจจะเอามาปาใส่ แต่คากามิรีบส่งสายตาห้ามปรามพร้อมกับแกะมือของคิเสะออก ก่อนที่จะมีข่าวลือว่าในโรงพยาบาลนี้มีผีสิง มีของที่ลอยได้เอง

    “เกือบลืม นี่ของเยี่ยม”

    คิเสะส่งดอกไม้ช่อใหญ่ให้ คากามิยื่นมือออกไปรับก็จริงอยู่ แต่ในใจพยายามคิดหาวิธีกำจัดมันโดยไม่ให้อีกฝ่ายเห็น เขาไม่อยากหอบมันกลับบ้านไปด้วยหรอกนะ ให้หิ้วช่อดอกไม้ขึ้นรถไฟ น่าอายจะตายไป

    “เออ...คือว่า...ฉันน่ะ...”

    ชายหนุ่มที่เพิ่งส่งช่อดอกไม้ให้เริ่มบิดตัวไปมาเหมือนสาวน้อยวัยใส อาโอมิเนะที่ลอยไปมาอยู่แถวนั้นบ่นพึมพำว่า มันจะสารภาพรักหรือเปล่า ถึงต้องทำท่าเขินอายขนาดนั้น ทำเอาคากามิจ้องคนตรงหน้าเขม็ง รอลุ้นว่าอะไรจะออกมาจากปาก

    “พูดอย่างนี้ คากามิจจิอาจจะไม่ชอบ อาจจะลำบากใจ”

    “แต่ฉันอยากบอก...”

    เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังกลั้นหายใจ ในสมองคิดหาคำพูดที่จะตอบปฏิเสธในทันที เขาไม่ได้เกลียดคิเสะหรอกนะ แต่ก็ไม่ได้ชอบด้วย มันคงน่าขนลุกถ้าผู้ชายตัวโตๆสองคนจะมากุ๊กกิ๊ก กลายเป็นแฟนกัน

    “ฉันน่ะ...”

    “ดีใจมากเลยนะ...ที่คากามิจจิรอดมาได้...”

    คำพูดนั้นเหมือนทำให้โลกหยุดหมุนไปหนึ่งวินาที ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่นา แล้วทำไมต้องทำท่าเขินอายให้ตื่นเต้นด้วยเนี่ย ตกลงเรื่องนี้มันลำบากใจที่จะพูดตรงไหน ก็เป็นเรื่องธรรมดานี่นา

    “พอรู้ว่า..คากามิจจิรอดมาได้...ฉันก็ดีใจมากๆเลย...”

    “ดีใจเสียจน...ไม่ได้เสียใจให้กับพวกรุ่นพี่แล้วก็คนอื่นๆ...”

    “ฉันแย่มากเลยสินะ..”

    บางครั้งคากามิก็รู้สึกว่า คิเสะก็เหมือนอาโอมิเนะ ตรงไปตรงมาจนน่าอิจฉา สามารถพูดทุกสิ่งที่อยู่ในใจออกไปได้ทั้งหมด แตกต่างจากตัวเขาที่บางครั้งนึกอยากจะวิ่งหนีความจริง แอบซ่อนตัวเองจากความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น เขายกมือขึ้นแล้ววางลงบนหัวคิเสะ ขยี้หัวนั้นจนยุ่งเหยิง ทำเอาคนถูกขยี้เริ่มโวยวายขึ้นมา

    “ไม่เป็นไรหรอก เห็นแก่ตัวบ้างนานๆครั้งก็ได้”

    “ไม่มีใครโกรธนายหรอกน่า”

    อาจจะดูอวดดีไปสักหน่อยที่พูดแทนคนอื่นๆที่จากไปแล้ว แต่เขาก็เชื่อว่า ถ้าทุกคนมาได้ยิน จะต้องหัวเราะกันแน่ๆ เพราะทุกคนรอบตัวเขา ต่างก็เป็นคนดีที่ไม่คิดถึงแต่ตัวเอง ไม่แน่นะตอนนี้อาจจะเฝ้าดูอยู่จากที่ไกลๆ แล้วหัวเราะกันอย่างสนุกสนานอยู่ก็เป็นได้

    “เอาไว้เรามาเล่นบาสด้วยกันนะ”

    “ได้จริงๆเหรอ ? ได้จริงๆนะ”

    คิเสะดูร่าเริงขึ้นทันที เมื่อพูดถึงบาสเก็ตบอล เจ้าตัวรีบชูนิ้วก้อยขึ้น เพื่อเรียกร้องสัญญาแบบเด็กๆ

    “สัญญานะ คากามิจจิ”

    “ได้สิ ฉันสัญญา...”

    ++++++++++

    เสียงของลูกบาสเก็ตบอลกระทบพื้นในโรงยิมนั้น เป็นเสียงที่ยังคงได้ยินอยู่ทุกเย็น แม้สมาชิกในชมรมจะเหลืออยู่เพียงคนเดียวก็ตาม ในตอนแรกที่ไปโรงเรียน คนรอบข้างนั้นเอาแต่มองคากามิแล้วซุบซิบกัน บ้างก็มองมาด้วยความสงสาร บ้างก็มองมาด้วยความสงสัย และก็มีบ้างที่พูดถึงเขาว่า น่าขนลุกที่รอดมาได้เพียงคนเดียว ทั้งที่คนอื่นโดนย่างสดจนไหม้เกรียม

    แน่นอนว่าบรรดาเพื่อนสนิทของคากามินั้น รู้สึกโกรธที่เพื่อนถูกพูดถึงแบบนั้น จนแทบจะไปท้าตีท้าต่อยกับพวกนั้นด้วยซ้ำ แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้ใส่ใจอะไร คิดว่าพอเวลาผ่านไปสักพัก ก็คงจะเบื่อกันไปเอง ส่วนคนที่เป็นเดือดเป็นร้อนมากที่สุดก็คือ อาโอมิเนะ ที่แม้จะแตะต้องตัวมนุษย์ไม่ได้ แต่ก็ยังมีวิธีกลั่นแกล้งสารพัด เพื่อเอาคืนพวกคนที่ว่าร้ายคากามิ

    มีตั้งแต่ขโมยกระเป๋าเงิน แอบเอารายงานไปทิ้ง เอาโคลนไปเททิ้งไว้ในล็อกเกอร์ หรือแม้กระทั่งขโมยกางเกงในของผู้หญิงไปซ่อนในลิ้นชัก แต่ซ่อนแบบให้คนหาเจอได้โดยง่าย จึงถูกตราหน้าเป็นไอ้บ้ากามไป อาจจะเหมือนการกลั่นแกล้งของเด็กๆ แต่ก็ทำให้พวกนั้นสงบปากสงบคำลงไปได้มาก

    “วันนี้กลับด้วยกันไหม คากามิ ?”

    “ไม่ล่ะ จะไปซ้อม”

    เพื่อนๆมองตามหลังไปอย่างรู้สึกเป็นห่วง แต่ก็ไม่อยากเอ่ยปากห้ามอะไร ที่จริงฟื้นตัวได้ขนาดนี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว ปล่อยให้ทำตามใจไปสักพักเถอะ ชมรมบาสเก็ตบอลนั้นเป็นสถานที่แห่งความทรงจำซึ่ง คนอื่นนอกจากคากามิที่เข้าใจความหมายของมันนั้น ก็ไม่มีใครอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว

    เสียงลูกบาสเก็ตบอลกระทบพื้นจึงยังดังขึ้นทุกเย็น เพราะเจ้าตัวมาซ้อมไม่ได้ขาด แม้จะเป็นการเล่นคนเดียวก็ตาม บางครั้งอาโอมิเนะก็จะมาลงมาเล่นด้วย ซึ่งคากามิก็ไม่ได้โวยวายเหมือนทุกครั้งที่กลัวว่า คนอื่นจะเห็นลูกบาสเก็ตบอลผีลอยไปมา โดยไร้ผู้คน อาจจะเพราะตอนนี้มีข่าวลือเยอะเสียจนถ้าจะมีเพิ่มขึ้นมาอีกสักอย่างสองอย่าง ก็คงไม่เป็นอะไร

    “โอ๊ะโอ๋ วันนี้ก็มาอีกแล้วล่ะ”

    คนที่อาโอมิเนะพูดถึงนั้น ยืนรออยู่หน้าโรงเรียน เพราะหน้าตาดีระดับที่เป็นนายแบบได้สบาย พวกผู้หญิงทั้งหลายจึงต่างจ้องมองกันเป็นตาเดียว แถมตอนแรกจะมาหาประมาณหกโมงเย็น ตอนที่เขากำลังเลิกชมรมจะกลับบ้าน แต่ช่วงหลังๆนี่มาเช้าขึ้นเรื่อยๆ จนพวกสาวๆเริ่มสนใจที่จะเข้าไปทักทาย

    “คากามิจจิ !!

    ทั้งที่กำลังคุยอยู่กับสาวๆที่เข้ามารุมล้อม แต่พอเห็นเขาก็รีบโบกมือให้ พยายามแหวกผู้คนเพื่อเดินตรงเข้ามาหา อาโอมิเนะผิวปากวี๊ดวิ้วเหมือนจะแซว เพราะใบหน้าของคิเสะนั้นดูดีใจเสียจนพูดไม่ออกว่า เลิกมาหาได้แล้ว

    “ไม่มีซ้อมหรือไง ?”

    การแข่งขันอินเตอร์ไฮจบไปแล้ว ซึ่งปีนี้ไคโจวก็สามารถคว้าแชมป์มาได้สำเร็จ ถึงจะรู้ก็เถอะว่า คนตรงหน้ามีความสามารถมากพอ จนไม่ต้องซ้อมก็เอาชนะได้ แต่คนที่ไม่ยอมซ้อมชมรมนั้น ก็ยังน่าโมโหอยู่ดี

    “ฉัน..ขอหยุดน่ะ...”

    คงไม่แปลกอะไรที่ชมรมบาสของไคโจวจะยอมให้คิเสะหยุด โดยไม่คัดค้านอะไร เพราะมีคิเสะอยู่ในทีม ถึงชนะมาได้อย่างสบายๆ จะมาซ้อมหรือไม่มีซ้อมก็คงไม่มีใครกล้าขัด ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดชอบกล

    “อยู่ซ้อมที่ชมรมบ้างเถอะ จะมาที่นี่บ่อยๆไปทำไมกัน”

    คิเสะมาหาเขาอย่างน้อยสัปดาห์ละสามครั้ง บางสัปดาห์ก็มาทุกวัน ทั้งที่เซย์รินกะไคโจวไม่ได้อยู่ใกล้กันสักนิด ต้องต่อรถไฟกี่ต่อ เพื่อจะมาถึงเนี่ย ? มาหาแล้วก็คุยกันสองสามประโยค บางครั้งก็เกาะติดเขาไปจนถึงบ้าน แต่ก็ปฏิเสธไม่ยอมเข้าไปในบ้าน จนไม่รู้ว่า ต้องการอะไรกันแน่

    “ฉันก็แค่...อยากเห็นหน้าคากามิจจิ...”

    พอถามออกไปตรงๆ คำตอบที่ได้กลับมาก็เกินกว่าที่คาดคิดเอาไว้ แถมคนตอบนั้นยังแอบเสหลบตา เหมือนรู้สึกอายที่พูดออกมาแบบนั้น ทำเอาเขารู้สึกเขินตามไปด้วย

    “ก็แค่อยากเห็นว่า คากามิจจิไม่เป็นไรจริงๆ”

    “ไม่งั้น มันจะรู้สึกไม่สบายใจน่ะ”

    คิเสะนั้นเป็นคนตรงไปตรงมา แม้จะเป็นคนละแบบกับอาโอมิเนะก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นก็จะพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาจนหมด อย่างไม่มีปิดบัง เพราะอย่างนั้นก็เลยรู้สึกว่าคุยด้วยง่าย แม้จะชอบพูดอะไรแปลกๆแบบเหนือความคาดหมายอยู่บ่อยๆก็เถอะนะ

    “ถ้างั้น...มาแล้วก็เข้าไปเล่นบาสด้วยกันสิ”

    “เอ๋ ?”

    “จะมายืนคอยเฉยๆ ทำไมให้เสียเวลาล่ะ”

    คากามิเผลอตัวยกมือขึ้นลูบหัวคนตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ก็ช่วยไม่ได้นี่ ไปๆมาๆเหมือนหมอนี่มันพยายามจะอ้อนเขานี่นา แถมยังเผลอทำต่อหน้าสายตาหลายคู่ที่กำลังจ้องมองพวกเขาอยู่

    ต้องโดนอาโอมิเนะล้อเรื่องนี้ไปอีกหลายวันแน่ๆ...

    คากามิหันไปมองอาโอมิเนะที่เขาเดาว่า คงกำลังหัวเราะจนน้ำตาไหล อาจจะถึงกับกลิ้งไปมาในอากาศ แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด อาโอมิเนะนั้นกำลังจ้องมองมาทางเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีรอยยิ้มแม้แต่นิดเดียว ดวงตาสีน้ำเงินที่มักมีประกายสดใส เต็มไปด้วยความสนุกสนานร่าเริง ตอนนี้ดูเย็นชาและแข็งกร้าวอย่างน่าประหลาด

    เขารู้สึกได้ว่า...อาโอมิเนะกำลังไม่พอใจอยู่...

    แล้วอยู่ๆเจ้าตัวก็กางปีกออก กระพืออย่างแรงจนกระทั่งเกิดลมพัดรุนแรง แล้วก็บินสูงขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็ว ผู้คนรอบข้างต่างตกใจกับกระแสลมที่อยู่ๆก็พัดอย่างรุนแรงและเริ่มพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์กันยกใหญ่

    “คากามิจจิ ?”

    คากามิเงยหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบน เขาไม่เห็นอะไรอยู่บนนั้นเลยนอกจากก้อนเมฆและพระอาทิตย์ เขาไม่รู้เลยว่าอาโอมิเนะหายไปไหน แล้วอยู่ๆทำไมถึงโกรธขึ้นมา

    ...เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว...

    ++++++++++

    “มายืนทำหน้ามุ่ยอยู่ตรงนี้ ไม่สมกับเป็นอาโอมิเนะคุงเลยนะครับ”

    “ตามยุ่งเรื่องชาวบ้าน ก็ไม่สมกับเป็นนายเหมือนกันนั่นแหละ เท็ตสึ”

    สถานที่ที่อาโอมิเนะกำลังยืนอยู่นั้นคือ ทุ่งกว้างที่เต็มไปด้วยหญ้าไกลสุดลูกหูลูกตา ครั้งหนึ่งเคยมีหมู่บ้านตั้งอยู่ตรงนี้ เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่แสนสงบสุข ผู้คนมีจิตใจที่งดงาม มันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ตัวเขานั้นเปลี่ยนแปลงไป จากเมื่อก่อนที่ไม่เคยสนใจหรือใส่ใจอะไรนอกจากตัวเอง ก็ได้พบสิ่งที่เขาเห็นว่าสำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

    “ดูเหมือนครั้งนี้เวลาจะหมดเร็วกว่าปกตินะครับ”

    “ก็นะ ดันเผลอให้เข้ามายุ่งวุ่นวายกับปีกนี่มากเกินไปน่ะสิ”

    “เอ๋ ? อย่างอาโอมิเนะคุงเนี่ยนะครับ ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนั้นได้...”

    จะให้บอกได้อย่างไรล่ะว่า เอาปีกไปห่มคลุมให้ เพราะอยากกอดปลอบแต่กอดไม่ได้ เวลาที่คนสำคัญกำลังเจ็บปวดและโศกเศร้า การได้แต่มองดูนั้น มันทรมานยิ่งกว่าอะไร การที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลยนั้น มันน่าเจ็บใจที่สุด

    “แล้วครั้งนี้...”

    “จะไปโดยไม่ลาอีกเหรอครับ...”

    คำพูดของเท็ตสึนั้นแทงลึกเข้าไปในหัวใจเสมอ แต่เขาก็รู้ดีว่า นั่นเป็นคำถามที่เกิดขึ้นจากความห่วงใย ทั้งตัวเขาและคากามิ ชีวิตของพวกเรานั้นยาวนานมาก เมื่อเทียบกับมนุษย์ การที่สามารถเฝ้ามองดูคนคนหนึ่งไปตลอดชีวิตนั้น เป็นทั้งความสุขและคำสาปในเวลาเดียวกัน

    “นอกจากทำอย่างนั้นแล้ว ฉันจะทำยังไงได้ล่ะ...”

    ฉันอาจจะมีอำนาจและพลังมากมายอยู่ในตัว ยิ่งมีปีกแล้วก็ยิ่งแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น แม้แต่ในสวรรค์เบื้องบนก็มีเพียงไม่กี่คนที่มีความสามารถทัดเทียม ถึงอย่างนั้นเขาก็มีสิ่งที่ไม่อาจเอาชนะได้ มีสิ่งที่หวาดกลัว สิ่งที่ไม่ต้องการจะเจอ ไม่ต้องการจะเห็น เพราะอย่างนั้น เขาจึงต้องไปโดยไม่บอกลา

    “น่าสงสาร คากามิคุงนะครับ”

    “ครั้งนี้ ไม่น่าจะเป็นอะไรหรอก มีคิเสะอยู่ด้วยนี่นะ”

    “เอ๋ ? คิเสะคุงเหรอครับ ?”

    “ใช่ เขามีคนอยู่ข้างๆแล้ว คงจะไม่เป็นอะไร...”

    สมเพชตัวเองชะมัด ทั้งที่รู้ว่าไม่อาจอยู่ด้วยกันไปจนชั่วนิรันดร์ รู้ทั้งรู้ว่า เวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว ควรจะดีใจที่คากามิมีคนคอยอยู่เคียงข้าง คอยช่วยเหลือ คอยดูแล เป็นมนุษย์ที่สามารถโอบกอดปลอบโยนได้ เมื่อยามหมองเศร้าและก็เป็นมนุษย์ที่สามารถสัมผัสตัวกันได้ เมื่อต้องการจะสัมผัส เมื่ออยากรู้สึกถึงความอบอุ่นจากร่างกายของอีกฝ่าย

    แต่ก็ยัง...หงุดหงิดจนแทบคลั่ง...

    เกลียดเวลาที่เห็นนายแตะตัวคนอื่น ยิ่งแตะด้วยความอ่อนโยนก็ยิ่งไม่ชอบ มันเป็นความอิจฉา เพราะฉันไม่อาจสัมผัสตัวนายได้ บางครั้งอยากจะกอดนายไว้ อยากจะรู้สึกถึงความอบอุ่นจากตัวนาย แต่ก็ทำไม่ได้สักอย่าง ไม่อยากให้นายมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดียว แต่ก็อิจฉาเวลานายให้ความสำคัญกับคนอื่น ฉันมันบ้า บ้าบอจริงๆที่เป็นแบบนี้

    “จะบ้าเหรอครับ คิเสะคุงเนี่ยนะครับ จะอยู่เคียงข้างคากามิคุงได้...”

    “ฉันก็เห็นมันดูมีความสุขดี ออกจะติดคากามิแจ”

    “อาโอมิเนะคุงก็รู้อยู่แก่ใจว่า มันเป็นแค่ความหลงใหลในรสชาติของปีกที่ยังเหลือในตัวคากามิคุง”

    “ถ้าหากวันหนึ่ง คิเสะคุงได้เจอคนคนนั้นขึ้นมา จะทำยังไงครับ”

    คนที่ทำให้คิเสะคุงยอมสละทุกอย่าง ทั้งพลังอำนาจและชีวิตอันยืนยาว แล้วไปเกิดเป็นมนุษย์ ยอมวนเวียนอยู่ในโลกอันกว้างใหญ่ เพียงเพราะเชื่อว่าสักวันหนึ่งจะได้อยู่ร่วมกัน ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า จะได้เจอกันเมื่อไหร่ ความรู้สึกอันยิ่งใหญ่นั้น ไม่มีทางจบลงเพียงเพราะการหลงใหลในเสน่ห์ของเวทมนต์อย่างแน่นอน

    “คงไม่ได้เจอในชีวิตนี้หรอก อาจจะเป็นชีวิตถัดไป หรืออีกหลายชีวิต”

    “แล้วอาโอมิเนะคุงมั่นใจได้ยังไงครับ”

    “ก็ในชีวิตนี้ คิเสะมันได้เจอกับคากามิแล้วนี่ คงไม่บังเอิญได้เจอกับคนคนนั้นแล้วล่ะ”

    “แต่เรื่องที่บังเอิญอย่างโหดร้าย ก็มีอยู่บ่อยครั้งไม่ใช่หรือครับ”

    ดวงวิญญาณมนุษย์นั้นจะไปเกิดในสถานที่ต่างๆ ไม่มีใครรู้ว่าที่ไหน โลกใบนี้กว้างใหญ่ไพศาลนัก การจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ไม่ใช่เรื่องง่าย ในบางชีวิตพวกเขาอาจเกิดในประเทศเดียวกัน บ้านอยู่ละแวกใกล้กัน เคยเดินสวนกัน แต่กลับไม่มีโอกาสได้พูดคุยทำความรู้จัก สุดท้ายชีวิตนั้นก็จบลงไป โดยไม่ได้พูดกันสักคำ

    “นั่นสินะ เรื่องที่บังเอิญอย่างโหดร้าย มันเคยเกิดขึ้นแล้วนี่นา..”

    ++++++++++

    ประโยคแรกที่อาโอมิเนะได้ยินหลังจากบินลอดหน้าต่างเข้ามาในบ้านก็คือ หายไปไหนมา  แล้วตามด้วยคำบ่นว่าเป็นชุด  ตอนแรกเขาก็อยากตอกกลับไปแรงๆอยู่เหมือนกัน แต่พอสังเกตดีๆก็จะรู้ว่า คากามิรอเขากลับมาอย่างกระวนกระวายจนไม่เป็นอันทำอะไร ถ้วยจานชามที่แช่น้ำไว้ตั้งแต่ตอนเช้าก็ยังไม่ได้ล้างทำความสะอาด ถุงขยะสดที่วันนี้ต้องเอาไปทิ้งก็ยังตั้งอยู่ที่เดิม และที่สำคัญก็คือ เจ้าตัวยังอยู่ในชุดนักเรียน ทั้งที่ปกติจะต้องรีบถอดกักคุรัน เพราะบ่นว่ามันทั้งอึดอัดและน่ารำคาญ

    “โทษที”

    คากามิแทบไม่เชื่อหูตัวเองที่ได้ยินคำขอโทษออกจากอาโอมิเนะ ไดคิ อยู่ด้วยกันมา 10 ปี นี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายยอมพูดคำคำนี้แล้วจะไม่ให้ตกใจได้อย่างไร แถมน้ำเสียงที่พูดก็ฟังดูไม่เหมือนการล้อเล่น ออกไปทางจริงจังเสียด้วยซ้ำ

    “กินข้าวกันเถอะ หิวแล้ว”

    “ยังไม่ได้กินข้าวอีกเหรอ ?”

    มนุษย์ที่มีกระเพาะใหญ่เกินกว่ามาตรฐานทั่วไปอย่างคากามินั้น เป็นคนที่ต้องกินข้าวให้ครบ 3 มื้อและตรงเวลา ไม่งั้นกระเพาะอาหารจะส่งเสียงประท้วงอย่างรุนแรง ซึ่งตอนนี้เลยเวลากินข้าวเย็นมาเกือบ 3 ชั่วโมงแล้ว ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น นาฬิกาของกระเพาะอาหารถึงไม่ยอมทำงาน

    “ก็รอนายกลับมากินด้วยกันไงเล่า”

    อาโอมิเนะรู้สึกสงสัยว่า คากามิจะรู้ตัวไหมว่า คำพูดประโยคนี้มีความหมายมากมายเพียงใดสำหรับเขา การที่มีคนรอคอยการกลับมา มีคนรอกินข้าวด้วยนั้น มันเป็นสิ่งที่พิเศษยิ่งกว่าพลังหรืออำนาจใดๆที่เขามีอยู่ตอนนี้ การเป็นมนุษย์นั้น บางครั้งก็มีเรื่องน่าอิจฉามากมายเหลือเกิน มากมายเสียจนนึกอยากจะไปเกิดเป็นมนุษย์

    ...แม้รู้ดีว่าความปรารถนานั้น....มันเป็นไปไม่ได้ก็ตาม...

    “วันนี้ดึกแล้ว คงทำได้แต่อะไรง่ายๆล่ะนะ”

    ระหว่างที่อาโอมิเนะนั่งรอคอยอาหารอยู่ ก็ได้ยินเสียงบ่นว่า ลืมล้างจานชามบ้างล่ะ ลืมทิ้งขยะบ้างล่ะ โชคดีที่เจ้าตัวยังสลัดกักคุรันออกไปก่อนที่จะเข้าไปในครัว ไม่อย่างนั้นอาจจะได้ยินเรื่องบ่นเพิ่มขึ้นอีก มันเป็นเรื่องแปลกที่คากามิลืมทำสิ่งที่เคยทำเป็นกิจวัตรประจำวัน เพราะปกติชายหนุ่มเป็นคนใช้ชีวิตอย่างมีระเบียบวินัย

    “นี่ คืนนี้ว่างไหม ?”

    “พรุ่งนี้เหรอ ? ตอนกี่โมงล่ะ”

    “ฉันถามว่า คืนนี้ว่างไหม ไม่ใช่พรุ่งนี้ว่างไหม”

    “คืนนี้ ฉันก็กำลังทำอาหารอยู่นี่ไง”

    อาโอมิเนะลุกขึ้น เดินเข้าไปในห้องครัว แล้วตรงเข้าไปจับกระทะที่คากามิกำลังทำกับข้าวอยู่ ทำให้ชายหนุ่มผมแดงเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยสายตาตำหนิปนรำคาญ ปากขยับเล็กน้อย คงกำลังคิดคำมาโวยใส่เขา แต่ไม่ยังไม่ทันได้พูด ก็ถูกขัดขึ้นมาก่อน

    “ฉันหมายถึงหลังกินข้าว ล้างจาน ทิ้งขยะ หรืออะไรก็แล้วแต่เสร็จ”

    “นายจะมีเวลาให้ฉันสักนิดไหม ?”

    ตอนที่ถามนั้นอาโอมิเนะยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนเกือบจะโดน ทำเอาคากามิผงะถอยหลังแทบไม่ทัน ตอนแรกคิดว่าจะโดนจูบเสียด้วยซ้ำ แต่ที่จริงพวกเขาจูบกันไม่ได้นี่ ในเมื่อสัมผัสร่างกายอีกฝ่ายไม่ได้ แล้วจะจูบได้อย่างไร

    “ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย”

    “อยู่ดีๆนายก็เข้ามาใกล้นี่นา !!

    แม้อาโอมิเนะชอบมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆตัวคากามิไม่ยอมห่างไปไหนไกลก็จริงอยู่ แต่กลับถอยห่างรักษาระยะกับคากามิไว้ประมาณหนึ่ง หากอีกฝ่ายเผลอเข้ามาใกล้ อาโอมิเนะก็จะถอยห่างออกไป นั่นทำให้คากามิโตมาแบบเคยชินกับการอยู่ใกล้ชิดกัน แต่ก็มีระยะห่างของมันอยู่ในตัว

    “จะอะไรก็ช่างเถอะ ขอเวลาสัก 15 นาทีได้ไหม”

    “15 นาทีเหรอ ?”

    “แค่ 15 นาที อย่าเรื่องมาก คิดเยอะเป็นผู้หญิงได้ไหม”

    หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เริ่มโต้เถียงกันอย่างเร้าร้อน เพราะไม่มีใครยอมใคร แต่อีกอย่างหนึ่งที่เร้าร้อนขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นสีดำก็คือ วัตถุดิบที่ถูกลืมไว้ในกระทะซึ่งคากามิกำลังพยายามทำให้มันกลายเป็นอาหารเย็น พอรู้ตัวอีกทีทุกอย่างก็สายเกินแก้ คากามิได้แต่ทิ้งก้อนดำๆทั้งหมดลงในถังขยะ

    “เอ้า อยากจะทำอะไรก็ทำ ฉันว่างแล้ว”

    อาหารเย็นของบ้านคากามิวันนี้ จบลงที่บะหมี่ถ้วย ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ไม่ต้องกินก็อยู่ได้นั้น เอาแต่นั่งมองเฉยๆ เพราะไม่ชอบกินอาหารสำเร็จรูป ที่จริงเจ้าของบ้านก็ไม่ชอบเท่าไรนัก แต่ตอนนี้มันจำเป็น เพราะในตู้เย็นแทบไม่เหลืออะไรให้ทำกับข้าวอีกแล้ว

    “ไปด้วยกันหน่อยสิ”

    “ไปไหน ?”

    อาโอมิเนะไม่ยอมตอบ แต่ชี้ไปที่กระเป๋าเป้ซึ่งเป็นสัญญาณที่รู้กันดีว่า หมายความว่าอย่างไร

    ในตอนเด็ก คากามิสามารถบินบนท้องฟ้าได้ โดยการสะพายเป้เอาไว้ที่หลัง แล้วให้อาโอมิเนะจับเป้ ยกเด็กน้อยให้ลอยขึ้นไปกลางอากาศ เพื่อเฝ้ามองเมืองโตเกียวจากมุมสูง และยังบินผาดโผนไปมาอย่างรวดเร็วและสนุกสนาน ราวกับกำลังเล่นเครื่องเล่นในสวนสนุก แต่ตอนนั้นก็ส่วนตอนนั้น ตอนนี้ก็ส่วนตอนนี้ เขาโตจนสูงเกือบเท่าอาโอมิเนะแล้ว ขืนเล่นอะไรแผลงๆแบบสมัยเด็ก เดี๋ยวจะร่วงตกลงมา ตายแบบศพไม่สวยได้

    “พูดเป็นเล่นน่า ฉันโตแล้วนะ”

    “แล้วไง ?”

    “ขืนทำแบบตอนเด็ก ก็ได้ร่วงลงมาพอดี”

    อาโอมิเนะเดินไปหยิบเป้ขึ้นมา แล้วยื่นมันมาให้ตรงหน้าเขา ดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นจ้องมองมาด้วยแววตาจริงจัง ทุกคำพูดที่ออกจากริมฝีปากในช่วงเวลานั้น ราวกับมีมนต์ขลังแปลกประประหลาด

    “ฉันไม่ปล่อยให้นายตกหรอก...”

    “นายไม่เชื่อใจฉันเหรอ...คากามิ...”

    ทั้งที่น่าจะโวยวายกลับหรืออย่างน้อยก็ตอบปฏิเสธโดยมีเหตุผลมารองรับมากมาย แต่สุดท้ายเขาก็เพียงแต่พยักหน้าน้อยๆ แล้วยื่นมือออกไปรับเป้นั้นมา

    สุดท้ายแล้ว...เขาก็ไม่เคยเอาชนะอาโอมิเนะได้เลยสักครั้ง....

    ++++++++++

    การบินบนท้องฟ้าหลังจากไม่ได้ทำมานานนั้น ให้ความรู้สึกสดชื่นอย่างไม่น่าเชื่อ ความกลัวจะร่วงลงมานั้น ปลิวหายไปเมื่อได้สัมผัสกับสายลมเย็นที่แล่นเข้ามาปะทะกับใบหน้า อาโอมิเนะน่าจะใช้เวทมนต์อะไรบางอย่าง คากามิถึงได้รู้สึกเหมือนเป้นั้นยึดติดอยู่กับร่างกายจนเหมือนเป็นอวัยวะส่วนหนึ่ง

    การเดินทางนั้นจบลงที่สนามสตรีทบาสเก็ตบอล แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว แต่ทั้งสองคนก็ยังแข่งบาสเก็ตบอลตัวต่อตัวกัน ท่ามกลางแสงอันน้อยนิดที่เกิดจากเวทมนต์ของอาโอมิเนะ ถึงจะดูขี้โกงไปสักหน่อย เพราะเทวดานั้นมองเห็นได้ดีทั้งในที่มืดและที่สว่าง แต่คากามิก็ไม่ละความพยายามที่จะเอาชนะ

    สุดท้ายก็เหมือนเช่นทุกครั้ง คากามิไม่อาจเอาชนะได้ เขาลงไปนอนแผ่หลาอยู่บนพื้น เหงื่อนั้นไหลท่วมตัวแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้เล่นบาสเก็ตบอลกับอาโอมิเนะอย่างเอาจริงเอาจังขนาดนี้ คงตั้งแต่เกิดเรื่องกับเซย์ริน เขาก็เลยพยายามหนีความจริงโดยการเล่นบาสเก็ตบอลไปวันๆเท่านั้น

    “ถ้าอยากเล่นบาส ก็บอกกันตั้งแต่ต้นสิ”

    “ไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียวหรอก”

    อาโอมิเนะนั่งลงข้างๆคากามิ แล้ววาดมือไปมาในอากาศ เกิดเป็นแสงสีทองรูปวงกลมคล้ายกับวงแหวนที่อยู่เหนือศีรษะของเทวดาในรูปวาดต่างๆ ก่อนจะหดเล็กลงเหลือเป็นแค่แหวนสีทองวงหนึ่ง

    “เอ้า สุขสันต์วันเกิด”

    วันนี้คือวันที่ 2 สิงหาคม วันเกิดของคากามิ แม้แต่เจ้าของวันเกิดเองก็ยังลืมไปแล้วว่า วันนี้เป็นวันเกิดของตัวเอง แหวนที่ตกลอยอยู่ตรงหน้านั้น เป็นแหวนสีทองเกลี้ยงๆไร้ลวดลายใดๆ แต่ถึงจะเป็นแหวนเรียบๆ มันก็ยังตลกๆอยู่ดีที่เขาได้แหวนเป็นของขวัญวันเกิด

    “ทำไมทำหน้าแบบนั้น”

    “ก็ไม่คิดว่านายจะให้แหวนนี่”

    คากามิเอื้อมมือไปคว้ามันมาไว้ในมือ เขารู้สึกเหมือนมีกระแสพลังอะไรบางอย่างไหลเวียนอยู่ในแหวนวงนั้น พอยกขึ้นมาดูใกล้ๆ ก็เหมือนจะเห็นละอองแสงสว่างสีทองเล็กๆวนเวียนอยู่รอบๆ

    “ไม่ใช่แหวนเสียหน่อย”

    “นี่คือวงแหวนแห่งคำอธิษฐาน”

    มนุษย์สามารถขอพรจากวงแหวนแห่งคำอธิษฐานได้หนึ่งข้อ อะไรก็ได้เท่าที่อำนาจของเทวดาผู้วาดวงแหวนนั้นจะบันดาลให้ได้ แต่มีเงื่อนไขอยู่อย่างหนึ่งก็คือ คำขอนั้น จะต้องเป็นคำขอที่มาจากหัวใจจริงๆ ฉะนั้นหากขอเล่นๆสุ่มสี่สุ่มห้าก็จะไม่เห็นผลอะไร

    “คำของั้นเหรอ ? แต่ฉันไม่อยากได้อะไรนี่นา”

    “พูดเป็นเล่นไป มันต้องมีสักอย่างสิ ที่อยากได้”

    “ไม่อยากได้อะไรจริงๆ”

    คากามิลุกขึ้นมานั่ง เพื่อจะได้มองตาอีกฝ่ายได้ตรงๆ สิ่งที่ลอดผ่านริมฝีปากซึ่งมีรอยยิ้มประดับอยู่นั้น สร้างความรู้สึกหลากหลายให้เกิดขึ้นในใจของอาโอมิเนะ

    “ก็ฉันมีนายอยู่ด้วยแล้วนี่นา”

    “จะอยากได้อะไรอีกล่ะ”

    มันเป็นทั้งความสุขและความขมขื่นในเวลาเดียวกัน ดีใจเหลือเกินที่ได้รับความสำคัญถึงเพียงนี้ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้ดีว่าตัวเองไม่อาจอยู่เคียงข้างคากามิตลอดไปได้

    “แค่นายอยู่กับฉันตลอดไป ก็พอแล้วล่ะ”

    คำพูดที่มาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างแห่งความสุขนั้น ช่างทิ่มแทงหัวใจมากมายเหลือเกิน เมื่อถึงวันที่เขาต้องจากไป เขาจะพรากความสุขนี้ไปจากคนตรงหน้าหรือเปล่า คากามิจะยังยิ้มได้เหมือนที่ผ่านมาไหม

    ...ถ้าเขาไม่อยู่...จะร้องไห้หรือเปล่านะ...

    “อาโอมิเนะ ?”

    อยู่ดีๆเทวดาเจ้าปัญหาก็โน้มตัวมาข้างหน้า ใช้แขนข้างหนึ่งอ้อมไปข้างหลัง เหมือนจะโอบกอดเขาไว้ ทั้งที่ความจริงแล้ว หากร่างกายสัมผัสกัน มันก็จะทะลุผ่านไป แต่อาโอมิเนะก็ยังยกแขนค้างไว้อยู่อย่างนั้น

    “ช่วยอยู่เฉยๆสักพักได้ไหม คากามิ...”

    ...ฉันอยากกอดนาย...

    ++++++++++

    อีกไม่นานดวงอาทิตย์ก็จะโผล่พ้นขอบฟ้า ส่องแสงสว่างเพื่อให้สิ่งชีวิตทั้งหลายได้เริ่มต้นวันใหม่อีกครั้งหนึ่ง  อาโอมิเนะยืนมองคนที่หลับสนิทอยู่บนเตียงนอน ผมสีแดงนั้นยุ่งเหยิง จากการพลิกตัวไปมา แต่ยังโชคดีที่ไม่ใช่คนนอนดิ้นเท่าไรนัก เสื้อผ้าจึงยังเรียบร้อยอยู่เหมือนเดิม

    “หน้าตาตอนนอนเนี่ย ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”

    ในตอนที่คากามิยังเด็ก อาโอมิเนะเคยอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าอีกฝ่ายจะหลับไปหลายต่อหลายครั้ง แม้ตอนที่โตแล้ว จะไม่ถูกขอร้องแบบนั้นอีก แต่อาโอมิเนะก็ยังชอบแอบเข้าไปจ้องมองใบหน้ายามหลับของคากามิอยู่ดี

    “ขอโทษนะ....”

    “แต่ฉันต้องไปแล้ว”

    การลาจากนั้น มันเป็นเรื่องที่ขมขื่นเสมอและสิ่งที่ยากที่สุดก็คือ การเอ่ยคำอำลา ฉันไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับนาย เพราะรู้ดีว่าฉันคงไม่อาจจากไป หากได้เห็นน้ำตา นายยังมีชีวิตอีกยาวไกล จะได้พบเจอผู้คนอีกมากมาย ได้หัวเราะและร้องไห้กับเรื่องราวต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต สักวันหนึ่งนายจะได้เจอคนที่นายยินดีจะใช้ชีวิตร่วมกันตลอดไป คนที่จะหัวเราะด้วยกันยามเมื่อมีความสุข คนที่จะโอบกอดนายไว้เมื่อยามร้องไห้

    ...คนที่เป็น...มนุษย์เหมือนกับนาย...

    เมื่อท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่างอาบไล้ ก็ถึงเวลาที่ฉันจะต้องไป เราจะไม่ได้พบกันอีก จนกว่าดวงวิญญาณของนายจะถึงเวลาวนเวียนมาเกิดในครั้งต่อไป กลายเป็นคนใหม่ที่ไม่มีความทรงจำใดๆเกี่ยวกับฉัน แล้วเราค่อยพบกันอีกครั้ง ส่วนตอนนี้ ถึงเวลาจากกันแล้ว นี่จะเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายของชีวิตนี้

    อาโอมิเนะปลดปล่อยพันธนาการเวทมนต์ทั้งหมดออกเป็นครั้งแรกและมันจะเป็นเพียงครั้งเดียวที่จะได้สัมผัสริมฝีปากของคากามิ ได้รู้สึกถึงความอบอุ่นจากร่างกาย เป็นจูบแรกและจูบลาเช่นเดียวกับทุกชีวิตที่ผ่านมา

    “ไปก่อนนะ...”

    “แล้วพบกันอีกครั้ง...ในชีวิตใหม่...”

    เมื่อปีกสีขาวถูกกางออก เทวดาก็โบยบินขึ้นไปบนท้องฟ้า...

    เหลือเพียงขนนกสีขาวที่ร่วงหล่นอยู่เท่านั้น...

    ++++++++++

    คากามิตื่นนอนในตอนเช้า โดยไม่ต้องอาศัยนาฬิกาปลุก เดินงัวเงียเข้าไปล้างหน้า แปรงฟันแล้วเข้าไปในครัว ตั้งใจว่าจะทำอาหารเช้า อยู่ๆเขาก็รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไป

    “อาโอมิเนะ...”

    ใช่แล้ว ไม่มีเสียงยียวนกวนประสาท หรือง่วงเหงาหาวนอน ให้ได้ยินเลยแม้แต่นิดเดียว เช้าที่มีเขาอยู่คนเดียวในบ้านนั้น มันเงียบถึงเพียงนี้เชียวหรือ ว่าแต่อาโอมิเนะหายไปไหนกันแน่นะ หรือว่ายังไม่ตื่นนอน

    “อาโอมิเนะ”

    เขาลองเรียกชื่อนั้นอีกครั้ง เพื่อหวังว่า จะได้ยินเสียงขานรับว่า รู้แล้วโว้ย เรียกอยู่นั่นแหละ รำคาญนะเฟ้ย ได้เห็นร่างนั้นลอยออกมาด้วยท่าทางเกียจคร้าน เอ่ยถามว่ามีอะไรเป็นอาหารเช้า บ่นนู้นบ่นนี่ไปตามประสา แล้วก็กินทุกอย่างที่เขาทำจนหมดอยู่ดี

    “อาโอมิเนะ !!

    ถึงจะตะโกนเรียก ก็ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา บางทีอาจจะแค่ออกไปบินเล่นตอนเช้าก็ได้ สักพักก็คงโผล่หน้ามาล่ะมั้ง ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก สักพักก็คงกลับมา ไม่ต้องกังวลไปหรอก สักพักก็คงกลับมา

    ...แล้วความรู้สึกแปลกๆ ที่อยู่ในอก...นี่มันคืออะไร... 

    ปกติแล้ว อาโอมิเนะไม่เคยทิ้งเขาไปไหนไกล พยายามวนเวียนอยู่รอบตัวเขาเสมอ เพื่อปกป้องเขาจากอันตรายต่างๆ เมื่อวานจึงเป็นครั้งแรกที่อยู่ๆอาโอมิเนะก็หายตัวไป แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ไปเงียบๆเหมือนอย่างในวันนี้

    การมีอาโอมิเนะอยู่ข้างๆเสมอ กลายเป็นความเคยชินอันแสนโหดร้าย เพราะในตอนนี้เขารู้สึกว่าหัวใจมีรูกลวงโบ๋อันใหญ่ เหมือนชิ้นส่วนบางอย่างหลุดหาย หาเท่าไรก็หาไม่เจอ

    “อาโอมิเนะ...อาโอมิเนะ...”

    เขาเรียกชื่อนั้นซ้ำไปซ้ำมา เหมือนจะวิงวอน เขาไม่รู้ว่า ตัวเองบ้าไปแล้วหรือเปล่า แต่เขาอยากเห็นอีกฝ่ายบินลอดเข้ามาทางหน้าต่าง หัวเราะเยาะเย้ยล้อเลียนท่าทีของเขาในตอนนี้ เขาไม่อยากอยู่คนเดียวตามลำพัง ไม่สิ เขาอาจจะไม่สามารถอยู่คนเดียวอีกแล้วก็เป็นได้ ความเคยชินของการมีนายอยู่ด้วยนั้นมันซึมลึกเข้าไปในจิตใจ ไม่อาจแก้ไข

    “คากามิคุง...”

    ชายร่างเล็กผู้มีผมสีฟ้าอ่อนยืนอยู่ตรงหน้าเขา พยายามยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แต่ดูจากแววตาก็รู้ว่า ยิ้มนั้นไม่ได้มาจากหัวใจจริงๆ คุโรโกะยื่นมือมาแตะที่ใบหน้าของเขาอย่างอ่อนโยน น่าแปลกที่คากามิสามารถสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของมือนั้น มันไม่ได้ทะลุผ่านไปดังเช่นที่เกิดขึ้นกับอาโอมิเนะ

    “ทำไม...”

    “ผมจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังเองครับ คากามิคุง”

    “มันอาจจะยาวไปสักหน่อย แต่ช่วยฟังด้วยนะครับ”

    ตามตำนานของมนุษย์มักเล่าขานถึงเทวดาผู้มีปีกสีขาว แต่ย้อนกลับไปหลายพันปีก่อนหน้านี้ เหล่าเทวดามิได้มีปีก มนุษย์ต่างหากเล่าที่มีปีก เพียงแต่ในร้อยล้านหรือพันล้านคน จะมีเพียงแค่หนึ่งคนเท่านั้นที่มีปีก ไม่ใช่ว่าเกิดมาแล้วจะรูปร่างผิดกับมนุษย์คนอื่นๆ มีปีกสีขาวงอกออกมาจากหลังก็ไม่ใช่ เพียงแต่จะมีรอยตำหนิตั้งแต่เกิดเป็นสีจางๆเหมือนตราประทับรูปปีกอันใหญ่ที่ตรงกลางหลัง

    มนุษย์ผู้มีปีกนั้นสุดแสนพิเศษ เพราะภายในตัวนั้นมีพลังเวทที่ทำให้เหล่าเทวดาหลงใหล รู้สึกรักใคร่และอยากมาอยู่ใกล้ชิด นอกจากนี้เทวดายังสามารถได้รับสืบทอดปีกของมนุษย์ หลังจากที่คนผู้นั้นสิ้นอายุขัยแล้ว แต่ต้องได้รับคำอนุญาตจากผู้เป็นเจ้าของเสียก่อน จึงจะนำปีกไปได้ เทวดาผู้ได้รับปีกนั้นจะมีพลังมหาศาลจนไม่อาจมีผู้ใดบนสวรรค์ทัดเทียม เว้นแต่จะได้รับปีกมาเช่นเดียวกัน

    “ฉะนั้น เทวดาอย่างผมจึงไม่มีปีก”

    “และมีเพียงอาโอมิเนะคุงเท่านั้นที่มี”

    คุโรโกะหยุดเพื่ออธิบายเสริมเล็กน้อยระหว่างการเล่าเรื่อง คากามิพยักหน้ารับซึ่งมีความหมายทั้ง “ฟังอยู่” และ “เข้าใจล่ะ” ที่ผ่านมาคากามิไม่เคยรู้เรื่องของอาโอมิเนะเลย เพราะเจ้าตัวไม่ชอบพูดเรื่องของตัวเอง เวลาถามก็จะเฉไฉไปมาจนน่ารำคาญ

    “แสดงว่า อาโอมิเนะได้รับสืบทอดปีกมาสินะ”

    “ใช่ครับ แต่เรื่องมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น”

    เพราะปีกอันน่าหลงใหล เหล่าเทวดามากมายจึงลงมาจากสวรรค์ บ้างก็แค่อยากมาอยู่ใกล้ชิด บ้างก็อยากพูดคุยสนทนา บ้างก็อยากมาคลอเคลียถูไถ แน่นอนว่าในบรรดาทั้งหมดย่อมมีผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของ อยากครอบครองพลังแห่งปีกเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว เวลาผ่านไป ความรู้สึกอยากครอบครองพลังนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความรัก เทวดาผู้หนึ่งหลงรักมนุษย์ผู้มีปีก มิใช่แค่เพียงเพราะพลังเวทที่น่าเสน่หา แต่เป็นเพราะจิตใจอันบริสุทธิ์และงดงามของมนุษย์ผู้นั้น นานวันไปเทวดาผู้นั้นยิ่งลืมจุดประสงค์ เพียงแค่อยากอยู่ใกล้ อยากอยู่ด้วยกันไปตราบนานเท่านาน

    เรื่องนี้น่าจะจบลงอย่างมีความสุข หากมนุษย์ผู้นั้นไม่บังเอิญได้รู้ว่า ตัวเองมีพลังเช่นใดแฝงอยู่ เมื่อรับรู้ถึงความสำคัญของเวทมนต์แห่งปีกที่มีอยู่ในตัวเอง จึงคิดว่าเทวดาผู้นั้นต้องการแค่เพียงพลังเวทของปีก ถึงได้มาใกล้ชิด วันเวลาแห่งความสุขเหล่านั้นเป็นเพียงภาพลวงตา ทุกอย่างที่ทำลงไปเพียงเพื่อหวังได้ครอบครองปีกของเขา

    “แล้วต่อจากนั้นล่ะ...”

    คากามิถามขึ้น เมื่อคุโรโกะหยุดเล่า เหมือนเจ้าตัวกำลังกล้ำกลืนอะไรบางอย่างลงไปในลำคอ เหมือนเป็นเรื่องยากลำบากที่จะต้องเล่าถึงเรื่องราวต่อจากนี้

    “จากนั้น มนุษย์ผู้นั้นก็ไปหาเทวดาที่ตัวเองหลงรัก”

    “เอ่ยปากขอยืมดาบที่มีความสามารถในการตัดเวทมนต์”

    เทวดาผู้นั้นส่งให้ด้วยความไม่รู้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจคนรักของตน แล้วมนุษย์ผู้นั้นก็ใช้พลังของตัวเอง กางปีกสีขาวที่หลังออก ใบหน้านั้นขยับยิ้มอันแสนเศร้า แล้วเอ่ยคำพูดที่แสดงถึงความทุกข์ที่อยู่ในใจตน

    หากต้องการปีก...ก็จะให้...เอาไปเถอะ...

    แล้วต่อจากนี้ก็เลิกมาเล่นสนุก...กับชีวิตของฉันเสียที...

    ดาบที่ตัดเวทมนต์นั้น แม้แต่บนสวรรค์ก็ยังถือว่าเป็นของดีที่หายาก ฟันลงไปเพียงแค่ครั้งเดียวก็สามารถตัดเวทมนต์ทุกอย่างได้หมดสิ้น ปีกที่อยู่กลางหลังนั้นจึงโดนตัดแยกออก ไม่มีเลือดสีแดงไหลทะลัก ไม่มีบาดแผลใดๆเกิดขึ้น แต่ความเจ็บปวดนั้นย่อมมี เพราะปีกเป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณ การที่มันถูกฉีกกระชากออกมานั้น เป็นเรื่องที่แสนโหดร้าย

    “มันเป็นความเจ็บปวดที่ไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมได้”

    คุโรโกะจิกมือแน่นลงกับขาตัวเอง เหมือนต้องการสะกดกลั้นความรู้สึก ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด คุโรโกะก็ยังคงเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เมื่อนึกถึกภาพปีกที่ถูกฉีกกระชากออกในตอนนั้น

    “ความเจ็บปวดนั้น ทำให้วิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง วนเวียนไปเกิดในชีวิตใหม่”

    คากามิเคยได้ยินอาโอมิเนะเล่าเรื่องการเกิดและตายของมนุษย์อยู่บ้าง เขารู้ว่าดวงวิญญาณทั้งหลายจะไม่ดับสูญและจะเกิดมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเกิดมาที่ไหนและเมื่อไหร่

    เทวดาผู้นั้นได้แต่กอดร่างอันไร้ชีวิตเอาไว้ แล้วร้องไห้ เพียงแค่ความเข้าใจที่ผิดพลาด นำไปสู่เรื่องราวอันแสนโหดร้าย จากนั้นเทวดาผู้โศกเศร้าจึงหยิบเอาชิ้นส่วนของปีกที่ถูกตัดออกมา

     ....แล้วกินมันลงไป...

    พอฟังมาถึงตอนนี้คากามิก็สะดุ้งเล็กน้อย แปลว่าอาโอมิเนะกินปีกที่เป็นเสมือนร่างวิญญาณของผู้ที่รักที่สุด คากามิรู้สึกว่าหัวใจบีบตัวอย่างรุนแรง เหมือนความโศกเศร้าและเจ็บปวดจากเรื่องราวนั้น ซึมลึกเข้าไปในจิตใจของเขาเช่นกัน

    “เพราะได้ปีกมาอย่างไม่ถูกต้อง ถึงได้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านขึ้นเสมอ”

    “คากามิคุงคงเห็นแล้วว่า ขนปีกของอาโอมิเนะคุงร่วงเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด”

    ในความคิดของคากามินั้น การที่ขนปีกของอาโอมิเนะร่วงกลับกลายเป็นเรื่องปกติ อาจเพราะเขาเห็นมันร่วงลงมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน จึงไม่คิดว่า มันเป็นสัญญาณอันตรายแต่อย่างใด

    “ที่จริงอาโอมิเนะคุงก็เก่งพอที่จะควบคุมการต่อต้านของปีกได้ เพียงแต่...”

    “เจ้าตัวดันตามหาเจ้าของปีก...พอยิ่งเข้าใกล้ ก็ยิ่งเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน...”

    “ร่างกายก็ยิ่งแย่...”

    ได้ฟังมาถึงตอนนี้ คากามิก็ยิ่งตกใจ หมายความว่าที่อาโอมิเนะหายไป เพราะเกิดจากปฏิกิริยาต่อต้านของปีกงั้นหรือ มันเหมือนกับโรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์ไหม นายกำลังเจ็บปวดหรือทรมานอยู่หรือเปล่า อาโอมิเนะ

    “รู้ทั้งรู้ว่า จะเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังดื้อเข้าใกล้ ทั้งโง่ทั้งบ้าจริงๆเลยนะครับ คนคนนั้น”

    ในใจของคากามินั้นเจ็บแปลบด้วยความรู้สึกอิจฉา คนที่อาโอมิเนะรักมากมายถึงเพียงนี้ ยอมสละให้ทุกอย่าง ไม่หวั่นเกรงต่อความเจ็บปวดของตัวเอง เพียงแค่ได้อยู่ใกล้ๆ ช่างเป็นคนที่น่าอิจฉาจริงๆ

    “คากามิคุง ?”

    น้ำตามันดันไหลออกมา โดยไม่รู้ตัว เป็นน้ำตาที่น่าสมเพชที่สุด เพราะมันเกิดจากความเสียใจที่ได้รู้ว่า อาโอมิเนะมีคนสำคัญอยู่แล้ว เป็นน้ำตาที่เป็นเครื่องยืนยันว่า เขาได้ลงรักเทวดาจอมเอาแต่ใจเข้าเสียแล้ว

    “แล้ว...อาโอมิเนะได้เจอคนคนนั้นหรือยังล่ะ...”

    “ได้เจอแล้วครับ”

    “แล้ว...ได้คุยกันบ้างหรือเปล่า...”

    “คุยกันเยอะเลยครับ”

    “แล้ว...คนคนนั้นเขาว่ายังไงบ้าง...”

    “เดี๋ยวนะครับ คากามิคุง”

    ดวงตาสีฟ้าอ่อนของคุโรโกะจ้องมองมาทางเขาเหมือนต้องการจะค้นหาอะไรบางอย่าง แล้วเจ้าตัวก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ปฏิกิริยาแบบนั้นทำให้คากามิรู้สึกงุนงงว่า เขาพูดอะไรผิดไปหรืออย่างไร

    “พวกคุณนี่ทั้งโง่ทั้งบ้าด้วยกันทั้งคู่เลยนะครับ”

    “คากามิคุงยังไม่รู้อีกเหรอครับว่า ที่ผมเล่าไปทั้งหมด...เรื่องคนสำคัญของอาโอมิเนะคุง...”

    “หมายถึงคุณนั่นแหละครับ...คากามิคุง”

    หา ? ฉันเนี่ยนะ ไอ้โศกนาฏกรรมที่เหมือนบทละครน้ำเน่า นั่นคือเรื่องราวของฉันกับอาโอมิเนะเหรอ พูดเป็นเล่นไป ทำไมตัวฉันในอดีตถึงงี่เง่าขนาดนั้น แล้วไปเข้าใจผิดอีท่าไหน ถึงได้ประชดชีวิตโดยเอาดาบปาดปีกตัวเองทิ้งได้หน้าตาเฉย คิดยังไงก็รู้สึกว่ามันงี่เง่าเกินกว่าจะรับได้

    “นายแน่ใจเหรอว่า เป็นฉันจริงๆ ?”

    “แน่ใจสิครับ”

    “ถึงมนุษย์จะไม่สามารถจดจำดวงวิญญาณของมนุษย์ด้วยกันเองได้ แต่เทวดาอย่างพวกเราแยกแยะออกได้อย่างง่ายดาย แล้วที่สำคัญ คากามิคุงเองก็มีรอยตำหนิตั้งแต่เกิดอยู่กลางหลังไม่ใช่หรือครับ”

    “รอยนั่นคือแผลเป็นที่ติดตามมา ตั้งแต่ตอนนั้น”

    ที่จริงแล้วลึกๆลงไปในใจ คากามิก็รู้สึกว่า ตัวเองมีอะไรบางอย่างผูกพันกับอาโอมิเนะตั้งแต่แรกเจอ แถมช่วงหลังๆมานี่ ยังชอบเห็นภาพแปลกประหลาดแว่บขึ้นมาในหัว แบบนี้เขาเรียกว่า ระลึกชาติหรือเปล่านะ จะอะไรก็ช่างหัวมันเถอะ สรุปว่า เมื่อหลายพันปีก่อน เขาชิงฆ่าตัวตายหนีอาโอมิเนะมา แล้วหลังจากนั้น อาโอมิเนะก็ตามหาเขามาเรื่อยๆจนเจอ ถ้าเป็นอย่างนั้นตอนนี้ เจ้าบ้านั่น มันหายหัวไปไหนวะ ??

    “นายเล่าเรื่องทั้งหมดนี่ ให้ฉันฟังทำไม ?”

    “ก็เพราะผมเบื่อแล้วน่ะสิครับ พวกคุณเจอกันแล้วก็จาก แล้วก็เจอกันอีกในชีวิตใหม่ อย่างนี้ไม่รู้กี่รอบ”

    “จะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไรล่ะ ?”

    ตกลงไม่ใช่ว่า เจ้าโง่มิเนะเพิ่งตามหาฉันเจอเหรอ ? ทำไมเจอกันมาตั้งหลายครั้งแล้วไม่ยอมบอก จะว่าไปทำไมเรื่องสำคัญขนาดนี้ถึงไม่เล่า มัวแต่อมพะนำอยู่นั่นแหละ ก็พูดๆมาสิว่า หลายพันปีก่อน ฉันเชือดตัวเองทิ้ง นายก็เลยมาตามหา หรือว่ากลัวฉันเอาเรื่องนี้ไปล้อ ??

    “เพื่อปกป้องคากามิคุงน่ะสิครับ...”

    “หา ?”

    คุโรโกะอธิบายให้ฟังว่า เพราะอาโอมิเนะได้ปีกมาอย่างไม่ถูกต้อง ปีกจึงอยากกลับไปหาเจ้าของอยู่เสมอ เพียงแต่ว่าตอนนี้ปีกนั้นมีพลังแข็งแกร่งมากขึ้น เพราะอยู่กับอาโอมิเนะมานานจนซึมซับพลังของเทวดาเข้าไปด้วย หากปล่อยให้ปีกถ่ายเทพลังทั้งหมดกลับไปสู่เจ้าของเดิม ร่างกายของคากามิซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดาไม่มีทางรับไหวแน่นอน

    “ดูถูกกันมากไปแล้ว”

    “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว”

    ครั้งแรกที่อาโอมิเนะหาคากามิเจอนั้น ผ่านจากตอนเกิดเรื่องมาร่วมร้อยปี ซึ่งทั้งคู่ก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสนุกสนานเหมือนดังเช่นตอนนี้ แต่มันดันไปเกิดเรื่องตอนคากามิอายุประมาณ 24 ปี อยู่ดีๆร่างกายก็ทรุดลงอย่างรวดเร็ว โดยที่หมอตรวจไม่เจออาการผิดปกติที่ไหนเลย และนั่นก็คือครั้งแรกที่อาโอมิเนะพบว่า ขนปีกของเขาร่วงหล่นจนเกือบหมด ยิ่งร่วงหล่นคากามิก็ยิ่งแย่

    “ในชีวิตนั้น คุณจากไปตอนอายุ 26 ปี หลังจากทรมานมานานเกือบ 2 ปี”

    “แล้วอยู่ๆปีกที่ร่วงหล่นของอาโอมิเนะคุงก็กลับฟื้นสภาพดังเดิม แต่พลังนั้นคุ้มคลั่งจนเกือบควบคุมไม่ได้”

    “อาโอมิเนะคุงต้องเอาดาบเฉือนร่างกายตัวเอง ให้เลือดไหลอาบไปทั่วปีก เพื่อยุติความบ้าคลั่งนั้น”

    แม้สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า เทวดาจะไม่แก่ไม่ตาย แต่ก็มีช่วงอ่อนแอ หลังจากสูญเสียเลือดเป็นจำนวนมากจึงต้องเข้าสู่ภาวะจำศีล เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งเวลาบนโลกมนุษย์ก็ผ่านไปร้อยกว่าปี อาโอมิเนะออกตามหาคากามิอีกครั้ง จากการพบและการจากหลายต่อหลายครั้ง อาโอมิเนะเริ่มรู้แล้วว่า พลังจะถูกถ่ายทอดเมื่อสัมผัสร่างกายของกันและกัน เขาจึงร่ายเวทไว้กับตัวเอง ไม่ให้เขาและคากามิสัมผัสตัวกันได้ แต่เวทมนต์นั้นไม่สามารถครอบคลุมไปถึงปีก

    “ฉะนั้นผมถึงแตะตัวคากามิคุงได้เป็นปกติ ในขณะที่คากามิคุงแตะตัวอาโอมิเนะคุงไม่ได้”

    “อาโอมิเนะคุงร่ายเวทนี้กับตัวเองทุกครั้งที่หาคากามิคุงเจอ”

    อาโอมิเนะไม่ได้หาคากามิได้เจอครบทุกชีวิตที่เกิดมา เพราะบางครั้งคากามิก็เกิดมาในช่วงที่ชายหนุ่มยังจำศีลอยู่ หรือบางครั้งก็ไม่สามารถหาเจอได้ทันเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ ถึงอย่างนั้นอาโอมิเนะก็ยังตามหาครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อพบและจาก วนเวียนซ้ำอยู่ร่ำไป

    “ที่จริงหากอาโอมิเนะคุงตัดใจ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับคากามิคุง ทั้งสองคนคงจะมีชีวิตที่สบายกว่านี้”

    “อาโอมิเนะคุงก็เคยพยายามที่จะหยุดตามหาคากามิคุง แต่สุดท้ายก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้”

    เพราะอยากเจอ ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆก็อยากที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน แม้รู้ดีว่า นั่นคือการพบกันเพื่อจาก แต่ก็ยังเลือกที่จะเจอ แม้รู้ว่าเมื่อใกล้ชิด จะต้องแลกมาซึ่งความเจ็บปวดของตัวเอง ต้องหลั่งเลือดเพื่อให้พลังแห่งปีกสงบลงก็ตาม

    “การไม่แก่ไม่ตาย นี่ก็ลำบากน่าดูนะ มนุษย์อย่างเราๆ เดี๋ยวตายแล้วเกิดใหม่ก็ลืมทุกอย่างหมดแล้ว”

    “นั่นสินะครับ ไม่งั้นก็ต้องยอมไปเกิดเป็นมนุษย์”

    “ทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ ?”

    “ได้สิครับ ใกล้ตัวคุณก็มีอยู่คนหนึ่งที่เคยเป็นพวกผมมาก่อน”

    ในตอนที่คากามิกำลังพยายามนึกว่า คนคนนั้นน่าจะเป็นใคร คุโรโกะก็สาธยายคุณสมบัติด้านนิสัยของคนคนนั้นออกมาทีละอย่างสองอย่าง จนไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่า คนคนนั้นเป็นใคร

    “ที่เขามาวุ่นวายกับคากามิคุงช่วงนี้ ก็เพราะยังสัมผัสได้ถึงพลังแห่งปีกที่ยังเหลือตกค้างอยู่”

    “คิเสะคุงถึงได้ถูกใจคากามิคุงเป็นพิเศษไงล่ะครับ”

    จะว่าไปก็เคยนึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่า แค่เขาเอาชนะได้ในการแข่งซ้อมเล็กๆ ไม่น่าจะทำให้คนที่เล่นบาสเก็ตบอลได้เก่งกาจตั้งแต่เด็ก ติดอกติดใจถึงขนาดนั้น

    “แล้วทำไมคิเสะ ถึงมาเป็นมนุษย์ได้”

    “เพราะความรักไงล่ะครับ”

    ไม่ว่าเทวดาหรือมนุษย์ เมื่อมีความรักแล้ว ก็ยอมทำได้ทุกอย่าง คิเสะนั้นตกหลุมรักมนุษย์คนหนึ่ง จึงยอมทิ้งพลังอำนาจและชีวิตอันเป็นนิรันดร์ แล้วไปเกิดเป็นมนุษย์ จากตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ผ่านมาหลายชีวิตแล้ว ทั้งสองคนก็ยังไม่เคยเจอกันสักครั้ง ความหวังของทั้งคู่ยังไม่เป็นจริง

    “เรื่องที่ผมอยากเล่าให้คากามิคุงฟังก็มีเท่านี้”

    คุโรโกะส่งกระดาษใบหนึ่งให้กับคากามิ บนนั้นเขียนแผนที่เอาไว้อย่างลวกๆ แต่ก็อ่านแล้วพอเข้าใจได้ว่า สถานที่นั้นตั้งอยู่ตรงไหน

    “อาโอมิเนะคุงน่าจะอยู่ที่นั่นครับ เพราะตอนนี้ใกล้จะถึงเวลากรีดเลือดแล้วเข้าสู่ช่วงจำศีล”

    “ทีนี้จะทำยังไง ก็ขึ้นกับคากามิคุงแล้วล่ะครับ”

    คากามิกำกระดาษใบนั้นไว้ในมือ แล้วรีบวิ่งไปยังประตูหน้าบ้าน ตอนที่กำลังจะก้าวออกไป ชายหนุ่มหันมายิ้มกว้างให้อย่างสดใส แล้วพูดกับคุโรโกะด้วยเสียงอันดังว่า

    “ขอบใจนะ”

    คุโรโกะ เท็ตสึยะยิ้มบางๆด้วยความรู้สึกยินดีจากหัวใจ หากถามว่าเขาเล่าเรื่องพวกนี้ทั้งหมดไปเพื่ออะไร เขาก็ตอบได้อย่างมั่นใจเลยว่า เพื่อตัวเอง เพราะเขาเห็นคากามิคุงที่หมองเศร้าครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากอาโอมิเนะคุงจากไป คนที่จำศีลอยู่คงไม่รู้ว่า คากามิคุงนั้นมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างยากลำบากเพียงใด เมื่อรู้สึกว่า ตัวเองถูกทิ้งเอาไว้เพียงลำพัง โดยไม่ได้รับคำอธิบายใดๆเลย

    “หวังว่าครั้งนี้คงเรียบร้อยนะ”

    “ไม่งั้นคราวหน้า ตอนที่อาโอมิเนะคุงยังหลับอยู่”

    “ผมจะแย่งคากามิคุงมาเป็นของผมแล้วนะ”

    ++++++++++

    สถานที่ที่คุโรโกะเขียนไว้ให้ในแผนที่นั้นเป็นที่ที่เขารู้จักดี มันอยู่ลึกเข้าไปใกล้กับบริเวณที่พวกเขาชอบไปเล่นสตรีทบาสเก็ตบอลด้วยกัน  ท่ามกลางต้นหญ้าสูงที่ไม่มีใครมาดูแล เขามองเห็นร่างของใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ท่ามกลางขนนกสีขาวที่ร่วงหล่นลงมาแล้วปลิวไปตามสายลม

    “อาโอมิเนะ !!

    เจ้าของชื่อหันมาตามเสียงเรียก ก่อนที่คากามิจะกระโดดโถมเข้าใส่ทั้งตัว จนล้มกลิ้งไปบนพื้นด้วยกันทั้งคู่ ฝ่ายที่ถูกทับรีบจะถอยห่างทันที แต่โดนยึดตัวเอาไว้แน่นด้วยการกอด

    “เฮ้ย !! ปล่อยสิ !!

    ขนนกสีขาวยิ่งร่วงลงมามากขึ้นกว่าเดิม จนแทบเหลือแต่โครงปีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคากามิตัดสินใจแล้วว่า ยังไงก็จะไม่ยอมปล่อย เพราะรู้ดีว่า หากไม่รั้งตัวเอาไว้ตอนนี้ เขาไม่มีทางจะได้เจออาโอมิเนะอีกอย่างแน่นอน

    “ทำบ้าอะไรของนาย !!

    หากเป็นคนอื่น อาโอมิเนะอาจจะถีบหรือต่อยจนกระเด็นไปแล้ว เห็นอย่างนี้ ก่อนได้รับปีกมาเขาก็เป็นเทวดาสายประยุทธ์ที่เก่งที่สุดบนสวรรค์เชียวนะ แล้วแค่มนุษย์เดินดินธรรมดา จะเอาอะไรมาสู้กับเขาได้ นี่เพราะเป็นคากามิ เขาจึงไม่อยากใช้ความรุนแรงด้วย

    “ปล่อยสิวะ !! อยากตายหรือไง !!

    “ก็ให้มันตายไปเลยสิ !!

    คำพูดนี้ของคากามิทำให้อาโอมิเนะฉุนขาด ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด สิ่งที่อาโอมิเนะเกลียดที่สุดก็คือ ยามที่คากามิพูดจาเหมือนไม่รักตัวเอง ไม่ห่วง ไม่สนใจชีวิตของตัวเอง

    “อย่ามาพูดเล่นอย่างนี้นะ !!

    อาโอมิเนะจับตัวคากามิเหวี่ยงลงไปกับพื้น กระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายขึ้นมา แต่ดวงตาสีแดงคู่นั้นกลับไม่มีประกายของความหวาดกลัวหรือว่าตกใจเลยแม้แต่นิดเดียว กลับจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขา เหมือนต้องการจะค้นหาความลับอะไรบางอย่าง

    “นายคิดว่า...ฉันอ่อนแอสินะ...”

    คำพูดนั้นแผ่วเบา จนเหมือนแต่ละคำนั้นยากเหลือเกินที่จะเค้นให้มันลอดผ่านริมฝีปากออกมาได้ น้ำเสียงของคากามินั้นทำให้มือของอาโอมิเนะสั่นระริกจนต้องยอมปล่อย

     “ใช่...ฉันอ่อนแอ...”

    “เพราะฉันไม่อาจเข้มแข็งได้ เมื่อต้องอยู่เพียงลำพัง...”

    “ฉันจำเป็นต้องมีนาย...”

    คากามิค่อยๆยันตัวลุกขึ้นยืน แล้วเอื้อมมือไปดึงรั้งคอเสื้อคนตรงหน้ามา พยายามทำเช่นเดียวกับที่อาโอมิเนะทำเมื่อครู่ แม้ว่าเรี่ยวแรงจะต่างกันอย่างมากก็ตาม

    “ฉันต้องการให้นายอยู่ด้วยกัน ง่ายๆแค่นี้ไม่เข้าใจเหรอไง !!!

    เสียงตะโกนนั้นดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ ก่อนที่จะมีแสงสีทองพุ่งขึ้นมาจากในเสื้อของคากามิ วงแหวนแห่งคำอธิษฐานที่คากามิร้อยมันเอาไว้กับสร้อยคอ เพื่อพกติดตัวนั้น กำลังเปล่งแสงสว่าง มันหลุดออกจากสร้อยได้ด้วยตัวเอง และลอยสูงขึ้นไปด้านบน วงแหวนนั้นขยายตัวใหญ่ขึ้น ราวกับกำลังจะระเบิด

    สิ่งสุดท้ายที่เห็นคือ แสงสว่างจ้าจากวงแหวน ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง

    .

    .

    .

    “คากามิ เฮ้ย คากามิ”

    เสียงเรียกชื่อ ทำให้ชายหนุ่มค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ภาพที่เห็นตรงหน้านั้นมีแต่ความมืดมิด ดำสนิทราวกับห้วงอวกาศว่างเปล่าที่ไร้ซึ่งดวงดาวหรือแสงสว่างใดๆ แต่น่าแปลกที่สามารถมองเห็นรอบข้างได้อย่างชัดเจน  

    “ที่นี่ที่ไหน”

    “ภายในช่องว่างของมิติ”

    คากามิเพิ่งรู้สึกตัวว่า กำลังอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนพิงตัวอาโอมิเนะอยู่ เขาจึงขยับตัวลุกขึ้นนั่งตัวตรง เพื่อไม่ให้เป็นภาระของอีกฝ่าย แต่นั่นกลับทำให้อาโอมิเนะได้โอกาสที่จะถอยห่างจากคากามิ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปยืนอยู่ห่างๆ

    “เกิดบ้าอะไรขึ้นกันเนี่ย...”

    “วงแหวนแห่งคำอธิษฐานตอบสนองต่อคำขอของนายไงล่ะ..”

    “ห่ะ ?”

    “วงแหวนนั้นไม่มีพลังมากพอที่จะต่อกรกับพลังของปีก มันจึงดึงนายกับฉันเข้ามาในช่องว่างของมิติ เพราะที่นี่ปราศจากกระแสของเวลา ร่างกายของนายจึงหยุดนิ่ง ไม่มีทั้งการเติบโตและการเสื่อมสลาย”

    เพราะความหวังของนายคือ ต้องการอยู่กับฉัน แหวนจึงพยายามขังฉันเอาไว้ในช่องว่างของมิตินี้ เพื่อที่จะไม่สามารถหนีไปไหนได้ เพื่อจะทำให้คำอธิษฐานนั้นเป็นจริง

    “ฉันไม่ได้ต้องการแบบนี้ซะหน่อย ของขวัญนายมันไม่ได้เรื่องเลยนะ อาโอมิเนะ”

    “เฮ้ย พูดอย่างนี้ได้ไง ก็นายดันอธิษฐานอะไรบ้าๆเองนี่”

    หลังจากทุ่มเถียงกันไปพักหนึ่ง ทั้งสองคนก็เข้าสู่อารมณ์โกรธ จากที่โวยวายเสียงดัง กลายเป็นเงียบ หันหลังให้กับอีกฝ่าย ไม่ยอมพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

    อาโอมิเนะรู้สึกโกรธมาก คากามิไม่เข้าใจหรอกว่า เขาผ่านอะไรมาบ้าง เขาต้องทนดูคากามิเจ็บปวดและจากไปมากี่ครั้งแล้ว เขาเป็นเทวดานะ เขามีชีวิตยืนยาวพอที่จะรู้ว่า อะไรคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป หากเรายังใกล้ชิดกัน หากเขายังดื้อที่จะอยู่ด้วยกันต่อไป

    ...มันน่ากลัวเสีย...จนไม่อยากนึกถึง...

    การเห็นมนุษย์เกิดแล้วก็ตายนั้น เป็นเรื่องปกติธรรมดา เทวดาอย่างพวกเขาเห็นมนุษย์ทั้งหลายย้ายจากชีวิตหนึ่งไปอีกชีวิตหนึ่งซ้ำไปซ้ำมา เป็นพันเป็นหมื่นครั้ง แต่มีเพียงคากามิเท่านั้นที่ต่างออกไป ทุกครั้งที่ชีวิตนั้นจบลง ทุกครั้งที่ดวงวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง อาโอมิเนะรู้สึกเหมือนว่า อะไรบางอย่างถูกฉีกกระชากออกไปจากหัวใจ

    “โทษที...”

    “ฉันไม่น่าขออะไรแบบนั้นเลย...”

    อยู่ๆคากามิก็มากอดจากทางด้านหลัง เอาหัวซบพิงไปกับหลังของเขา ในสมัยที่ยังเป็นเด็ก คากามิทำเช่นนี้หลายต่อหลายครั้งเวลาที่มาขอโทษเขา เหมือนต้องการจะงอนง้อ ก็เลยเข้ามาอ้อนให้ยอมใจอ่อน

    ...แต่มันก็ใช้ได้ผลทุกครั้ง...

    อาโอมิเนะถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะแกะมือนั้นออก แล้วหมุนตัวมากอดอีกฝ่ายหนึ่งเอาไว้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากสัมผัส ไม่ใช่ว่า เขาไม่อยากจะกอดคนคนนี้เอาไว้ แต่รู้ดีและเข้าใจเกินว่า จะทำลงไปโดยไม่ยั้งคิด เพราะสิ่งที่ตามมานั้น มันหนักหนายิ่งนัก

    “นายนี่มันจริงๆเลย...”

    เขาก้มลงจูบคนตรงหน้า ถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดผ่านทางริมฝีปาก โดยไม่ใช้เสียง ความรักนี้มีทั้งความสุขและความเศร้า แต่ไม่ว่าจเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด จะต้องทุกข์ทรมานแค่ไหน ก็ยังคงรัก และจะรักตลอดไป

    ...จะรักไปตลอดชีวิต...อันเป็นนิรันดร์ของฉัน...

    “นี่ อาโอมิเนะ...”

    “หืม”

    เขากำลังนอนหนุนตักคากามิ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาอยากทำมาตลอด แต่ไม่กล้าที่จะทำ การสัมผัสร่างกายกันตรงๆนั้น เคยเป็นเรื่องต้องห้ามร้ายแรงสำหรับตัวเขา แต่ตอนนี้จะยังไงก็ช่างหัวมันแล้ว

    “ทำไมคิเสะต้องไปเกิดเป็นมนุษย์ด้วยล่ะ อยู่ด้วยกันอย่างนี้ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรนี่นา”

    “มนุษย์อย่างพวกนายสัมผัสเวทมนต์ไม่ได้ ก็เลยไม่รู้”

    เทวดากับมนุษย์นั้นมีปัญหามากมาย ไม่ใช่แค่เรื่องอายุขัยที่แตกต่างกัน แต่เป็นเรื่องของกระแสพลังในตัว เพราะเทวดาอย่างพวกเรามีเวทมนต์ที่สามารถบันดาลสิ่งต่างๆได้ แต่มนุษย์นั้นไม่มี การอยู่ร่วมกันนานๆ จะทำให้กระแสพลังในตัวมนุษย์บิดเบี้ยวและปั่นป่วน ถ้าโชคดี มนุษย์ผู้นั้นก็อาจจะใช้เวทมนต์ได้ แต่ถ้าโชคร้ายก็อาจจะพิกลพิการไป

    “แล้วใครจะยอมเสี่ยงให้คนสำคัญของตัวเอง กลายเป็นคนพิการล่ะ”

    ที่จริงนั้นการอยู่ร่วมกันยังไม่เท่าไร เพราะหากออกห่างจากกันบ้างนานๆครั้ง ร่างกายก็จะปรับสมดุลของกระแสพลังได้เอง แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดเป็นเรื่องของความรู้สึกและความต้องการ ซึ่งมนุษย์กับเทวดาก็ไม่แตกต่างกัน อยากจะครอบครองเป็นเจ้าของอีกฝ่าย อยากมีสัมพันธ์ทางกาย อยากจะรู้จักทุกซอกทุกมุมในตัวของอีกคนหนึ่ง

    “ถ้าเผลอเลยเถิดไปจนถึงขั้นนั้นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่”

    “เพราะสำหรับเทวดาอย่างเรานั้น การมีสัมพันธ์ทางกายหมายถึงการแต่งงาน”

    เทวดานั้นต่างจากมนุษย์ เพราะจะตกหลุมรักได้เพียงครั้งเดียวในชีวิตอันยืนยาวนั้น ความรักนั้นต่างจากการหลงใหล เทวดาทั้งหลายต่างรู้ดี เมื่อตัวเองมีความรัก ทุกอย่างนั้นจะเปลี่ยนแปลงไป หากโชคดีตกหลุมรักเทวดาด้วยกันเอง ก็คงไม่เป็นไร แต่ก็มีอยู่บ่อยๆที่เทวดาดันมาตกหลุมรักมนุษย์

    “แน่นอนว่า เมื่อผ่านการแต่งงาน คนทั้งคู่จะถือเป็นสามีภรรยากัน”

    “และสามีภรรยานั้น จะต้องเท่าเทียม”

    ในกรณีที่เป็นเทวดาด้วยกันเอง พลังเวทของคนที่สูงกว่าจะไหลไปยังคนที่ต่ำกว่า เพื่อให้มีพลังเท่าเทียมกัน แต่ในกรณีของมนุษย์ผู้ไร้พลังใดๆ พลังเวทครึ่งหนึ่งในตัวเทวดาจะหลั่งไหลไปสู่ร่างกายมนุษย์อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาก็คือ ร่างกายอันเปราะบางและไม่เหมาะสมที่จะกักเก็บพลังเวทจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หากโชคร้ายอาจมีผลกระทบถึงวิญญาณ ทำให้มาเกิดไม่ได้นานหลายร้อยปี

    “คิเสะก็เลยไปเกิดเป็นมนุษย์ เพราะอยากจะอยู่ด้วยกัน อยากจะแบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิตด้วยกัน ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่า ลงไปเกิดแล้ว จะได้เจอกันเมื่อไหร่ อาจจะไม่ได้เจอกันเลยก็ได้”

    “ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เจอกันเลยเหรอ ?”

    “ก็ไม่ได้ไปสนใจมันเท่าไรหรอก แต่เท่าที่เคยได้ฟังคุโรโกะเล่ามา ดูเหมือนจะยังไม่ได้เจอกันเลยสักครั้ง”

    พอได้ยินอย่างนั้น ก็รู้สึกเสียใจแทนคิเสะขึ้นมา ทั้งที่ยอมทิ้งชีวิตอันเป็นนิรันดร์มาเพื่อความรัก แต่กลับยังไม่มีโอกาสได้เจอคนสำคัญคนนั้น จะต้องผ่านอีกกี่ชีวิต ใช้เวลาอีกนานเท่าไร ดวงวิญญาณทั้งสองถึงจะได้พบกัน

     “นี่อาโอมิเนะ...”

    “อะไร ?”

    “นายน่ะ...”

    คากามิลังเลเล็กน้อยว่า ควรจะพูดดีหรือไม่ แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว จะมาลังเลอะไรอีก ถ้าไม่พูดทุกอย่างออกไปก็คงจะมานั่งเสียใจทีหลังแน่ๆ

    “นายไม่คิดอยากจะมาเป็นมนุษย์บ้างหรือไง...”

    คำถามนั้น ทำให้ทุกอย่างเงียบสงัดลงอีกครั้ง แต่ก็ไม่แปลกอะไร เพราะมันเป็นคำถามที่ฟังดูเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ เขากำลังขอให้อาโอมิเนะสละทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งพลังที่ยิ่งใหญ่ ทั้งชีวิตอันยืนยาว เพื่อมาอยู่กับมนุษย์เดินดินไร้ค่าอย่างเขา มันจึงเป็นเรื่องที่ฟังยังไงก็เป็นเพียงแค่ความเห็นแก่ตัวของเขาคนเดียวเท่านั้น

    “อยากสิ...”

    “เพียงแต่ว่า...ฉันไม่อยากอ่อนแอ...”

    อาโอมิเนะพลิกตัวตะแคงแล้วหันไปกอดเอวคากามิไว้หลวมๆ เหมือนเจ้าตัวต้องการซ่อนใบหน้าของตัวเองไว้ ไม่อยากให้เห็นสีหน้าอะไรบางอย่างหรือเปล่านะ

     “หากเป็นมนุษย์แล้ว  คงไม่สามารถปกป้องนายได้เหมือนกับที่ทำอยู่ตอนนี้”

    คำตอบที่ได้รับมานั้น เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมาย มันไม่ได้อยู่ในความคิดของคากามิเลยแม้แต่นิดเดียว นั่นสินะ สำหรับเทวดาอย่างอาโอมิเนะ ตัวตนของเขาคงทั้งอ่อนแอและน่าสงสาร หากไม่ปกป้องเอาไว้ ก็อาจจะตายลง เมื่อไหร่ก็ได้ ถึงจะเป็นอย่างนั้น สำหรับมนุษย์แล้ว การใช้ชีวิตแบบที่เป็นอยู่ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว สักวันอาจจะต้องตาย แต่เพราะเป็นแบบนั้น พวกเราจึงพยายามใช้ชีวิตอย่างเต็มที่เสมอ

    “ไม่ต้องปกป้องฉันก็ได้...ฉันไม่ตายง่ายๆหรอกน่า...”

    “นายก็พูดอย่างนั้นได้ นายไม่เคยเห็นตัวเองตายมาเป็นร้อยครั้งเหมือนฉันนี่”

    “แต่ถ้านายมาเป็นมนุษย์เหมือนฉัน สักวันก็ต้องตาย นายกลัวหรือเปล่าล่ะ ?”

    “ถ้าได้ตายตอนที่มีนายอยู่ข้างๆ ก็คงไม่เลวนักหรอก”

    คำพูดนั้นทำให้คากามิหัวเราะ ชอบทำเป็นพูดดี หาว่าเขาไม่รักตัวเองบ้างล่ะ ชอบเห็นความตายเป็นเรื่องเล่นๆบ้างล่ะ ตัวเองก็เหมือนกันนั่นแหละ พูดเรื่องความตายได้หน้าตาเฉย

    “นี่ ฉันขอพรจากนายได้หรือเปล่า...”

    “อะไรของนายอีกล่ะ”

    “แค่ข้อเดียวเท่านั้น นายเป็นเทวดาไม่ใช่เหรอ”

    “ยุ่งยากจังนะ นายอยากได้อะไรล่ะ”

    คากามิยิ้มบางๆที่มุมปาก ก่อนจะก้มลงจูบที่จมูกของอาโอมิเนะเบาๆ เป็นสัมผัสที่อ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรักใคร่ บางครั้งความรู้สึกนั้นก็ถ่ายทอดทางร่างกายได้ดีกว่าการใช้คำพูด

    “ฉันอยากใช้ชีวิตร่วมกับนาย...”

    “เป็นคำขอที่ง่ายมากเลยใช่ไหมล่ะ”

    “แต่ถึงฉันจะไปเกิด ก็ไม่รู้ว่า จะได้เจอกันในชีวิตนี้หรือเปล่า”

    ที่จริงถึงจะเป็นชีวิตหน้าหรือชีวิตถัดไป ก็ใช่ว่าจะได้เจอกันง่ายๆ แม้ความรู้สึกของเราจะไม่เปลี่ยน แต่โลกมนุษย์นั้นกว้างใหญ่ โชคชะตาก็ชอบเล่นตลกให้ชีวิตของคนเราสวนทางกันไปมา ไม่ได้พบเจอ

    “ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะตามหานายเอง”

    “จะตามหานายให้เจอให้ได้...”

    คากามิยิ้มกว้างอย่างสดใส เป็นรอยยิ้มที่เจิดจ้าซึ่งแสดงถึงตัวตนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป คากามิเป็นคนเข้มแข็งและมุ่งมั่น บางครั้งอาจจะโศกเศร้าและร้องไห้ แต่ก็ไม่เคยยอมแพ้ ไม่เคยเชื่อว่า ในชีวิตนั้นมีสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้ ถึงจะยากแค่ไหน หากใช้ความพยายาม ก็ต้องสำเร็จอย่างแน่นอน

    พอคากามิเป็นคนพูดแล้ว รู้สึกเหมือนกับว่า มันจะเป็นความจริงขึ้นมาได้ง่ายๆ ถึงโลกมนุษย์จะกว้างใหญ่เพียงใด สักวันคากามิก็จะหาเขาจนพบและพวกเราจะได้ใช้ชีวิตด้วยกันอีกครั้ง แม้จะเป็นชีวิตอันแสนสั้นของมนุษย์ แต่พวกเราจะได้หัวเราะด้วยกัน ร้องไห้ด้วยกัน สามารถกอดและสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของร่างกาย เมื่อถึงเวลาต้องจากกัน เราคนใดคนหนึ่งจะนอนหลับไป โดยมีอีกคนอยู่เคียงข้างจนถึงลมหายใจสุดท้าย นั่นก็เป็นชีวิตอย่างที่เขาอยากได้มิใช่หรือ

    “นายนี่น้า...ฉันไม่เคยเอาชนะนายได้จริงๆ”

    อาโอมิเนะเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว แล้วอยู่ๆห้วงอวกาศรอบข้างก็แตกออก ราวกับว่าสิ่งที่รายล้อมรอบตัวของพวกเขานั้นเป็นเพียงแค่กำแพงกระจกสีดำ ตอนนี้ทั้งคู่กลับมาอยู่ที่เดิม ณ ทุ่งกว้างที่เต็มไปด้วยต้นหญ้า ที่ซึ่งอาโอมิเนะกำลังเตรียมจะหลั่งเลือดเพื่อสงบความบ้าคลั่งของปีก

    “เอาล่ะ งั้นก็ลากันตรงนี้เลยแล้วกัน”

    สำหรับอาโอมิเนะแล้วครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่การจากลานั้น ไม่สร้างความเจ็บปวด มันเป็นการจากลา เพื่อพบกันอีกครั้ง เขาจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้เบื้องหลัง แล้วไปเกิดเป็นมนุษย์ มีชีวิตใหม่ที่แสนสั้น หากแต่เต็มไปด้วยความหวังที่จะได้อยู่ร่วมกับคนที่เขารักที่สุดอีกครั้ง

    “ฉันไปก่อนนะ คากามิ...”

    “ไม่ต้องห่วง ฉันจะต้องหานายให้เจอแน่นอน”

    ปีกสีขาวที่หลังถูกกางออกอีกครั้ง คราวนี้ตัวปีกดูสมบูรณ์ ไม่ได้เว้าแหว่งขาดวิ่นเหลือแค่โครงดังเช่นก่อนหน้านี้ อาโอมิเนะยิ้มให้เขา แม้แต่ตอนจากกันก็ยังยิ้มยียวนจนน่าต่อยสักเปรี้ยง แล้วร่างตรงหน้าก็ลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะเลือนหายไป เหลือเพียงแต่ขนนกสีขาวที่ยังร่วงหล่นลงมาไม่หยุด ราวกับหิมะที่โปรยปราย เหมือนกับครั้งแรกที่เราพบกัน

    ลาก่อน....

    แล้วพบกันอีกครั้งนะ...อาโอมิเนะ....

    ++++++++++

    กราบขอบพระคุณคนอ่านที่อ่านมาถึงตรงนี้และขอพูดดังๆอีกครั้งว่า "สุขสันต์วันเกิดนะ คากามิ"
    ไม่เคยเขียนฟิคตอนเดียวจบ (?) ที่ยาวขนาดนี้ คนใกล้ตัวบอกว่า มันเป็น One long shot ไม่ใช่ Oneshot

    สาเหตุที่ผู้เขียนไม่ได้ไปอัพ Color of Fate ก็เพราะมัวแต่ปั่นเจ้าฟิคนี่อยู่ (ยังไม่ได้ไปตายที่ไหนนะคะ)
    ตอนแรกว่าจะเขียนสัก 12 หน้า ทำไมมันยาวตั้ง 40 หน้าไปได้เนี่ย แถมยังมีถ่ายซ่อมช่วงแรกที่เขียนไป 3 รอบ
    พอเขียนรอบ 3 ผ่านแล้ว ดันผูกเรื่องซะยุ่งวุ่นวาย แก้แทบไม่ทัน บางจุดคนอ่านอาจจะรู้สึกว่า อะไรวะ ง่ายๆงี้เหรอ ??
    คนเขียนต้องกราบขออภัย เพราะอยากให้มันจบในวันนี้ ก็เลยต้องบีบให้มันจบอ่ะค่ะ นี่มันก็ยาวมากแล้ว

    ยังไงซะ รู้สึกยังไงก็ได้โปรดคอมเมนต์บอกกันบ้างนะคะ ยินดีรับทุกคำก่นด่าของท่านผู้อ่านอย่างไร้ข้อแก้ตัว
    เอาล่ะ คงได้เวลาไปปั่นอีกส่วนหนึ่งที่จะลงวันเกิดอาโอมิเนะแล้ว หวังว่าทุกท่านคงจะติดตามอ่านกันนะคะ
    ส่วน Color of Fate เขียนไปได้แค่ 3 หน้าเองค่ะ ^^" เดี๋ยวจะพยายามดูนะคะ แต่ยังไงขออนุญาตปั่นฟิคนี้ให้เสร็จก่อน
    ที่จริงแอบอยากเขียนโปรเจค AllxKagami ตอนที่ 2 แต่ไหเยอะเกิน ทุบไม่ทัน (หัวเราะ) แย่จริงๆเลยฉัน

    ขอบคุณทุกท่านอีกครั้ง ที่มาอ่านและจะยิ่งขอบพระคุณมากขึ้น ถ้าคอมเมนต์ค่ะ
    ถ้าถึงวันเกิดอาโอมิเนะ (31 สิงหาคม) แล้วมีคนเมนต์น้อยนิด อาจจะเสียใจจนไม่อยากลงก็ได้นะ
    (ตัดพ้อเล็กๆ เพราะตอนนี้ใช้แรงกายแรงใจเขียนไปยาวมาก ไม่มีคนอ่านอาจจะไม่ต่อ เหนื่อย...)

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×