คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : I wish it would come true
Author: Monochrome bird
Category: Drama เป็นหลัก แต่แบ็คกราวน์อยากให้มีกลิ่นอายฮาเฮ
Pairing: โฮลี่ออดอร์ x คุณเกียร์
Rating: 15+
Disclaimer: ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นของคุณภานุวัฒน์ค่ะ พวกเราแค่ยืมมาจิ้นเล่นเท่านั้น
Author notes: ว่าจะลงฉลองเล่ม 15.5 ผ่านมานานจนไม่รู้ยังเรียกว่าฉลองได้ไหม ?
++++++++++
บางครั้งเส้นทางที่เราเลือกเดิน...ก็ยากลำบาก...
หนทางนั้น...ยาวไกล...และมองเห็นเพียงความมืดมิด...
แม้รู้ดี...แต่ก็ยังคงก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ...ไม่คิดจะหยุด...
...ทั้งหมดก็เพื่อคุณ...แม้คุณจะไม่เคยรู้เลยก็ตาม...
++++++++++
“ตรวจสอบเรียบร้อยครับ”
แต่ละคนขานพื้นที่ที่ตัวเองดูแลรับผิดชอบ พร้อมกับข้อมูลในมือ ซึ่งส่วนใหญ่ก็บอกว่า เรียบร้อย ไม่มีปัญหาอะไร
ผมนั่งฟัง GM รายงานสถานการณ์ แล้วยิ่งรู้สึกว่าโลกของเกมมันช่างสงบสุขดีจริงๆ ต่างจากชีวิตจริงของมนุษย์ที่มี
แต่เรื่องสับสนวุ่นวายเต็มไปหมด คนเราถึงได้ชอบหนีเข้าไปเล่นสนุกในเกม
ตอนนี้ GM มักจะชอบประชุมกันในเกม เพราะสะดวกในการเรียกตัวลูกน้องแต่ละคนที่เกาะติดเกมไม่ยอมเลิก แถมยังไม่ต้อง
วุ่นวายกับการจองห้องประชุม ไม่ต้องเตรียมชากาแฟหรือของว่างระหว่างการประชุม ประหยัดทั้งเงินทั้งเวลา ผลลัพธ์ที่ได้
ก็ไม่แตกต่างจากการประชุมในโลกแห่งความจริง แม้แต่น้อย
“อ่านผิดแล้วโว้ย”
เสียงหัวเราะดังขึ้น หลังจากคำพูดเย้าแหย่ตามประสาเพื่อนสนิท ไม่ได้เกรงใจเลยว่า กำลังประชุมรายงานผลกันอยู่
อย่างว่าแหละ หัวหน้าใจดีออกขนาดนั้น พวกลูกน้องก็เลยทำตัวตามสบาย บรรยากาศในห้องเหมือนการรายงานหน้าชั้นเรียน
ของเด็กมัธยม มากกว่าการประชุมเพื่อรายงานผลของผู้ใหญ่วัยทำงาน
ผมมองใบหน้าเดิมที่กำลังยิ้มบางๆ กึ่งขำกึ่งเอ็นดูในความสัมพันธ์แบบเด็กๆของพวกลูกน้อง
ทั้งที่ผู้คนรอบตัวกำลังสนุกสนานรื่นเริง แต่ในหัวผมกลับมีปรากฏภาพใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
สมองยังคงจดจำความรู้สึก ยามได้สัมผัสร่างกายที่เย็นลงเรื่อยๆ ช่วงเวลาที่แสนชิงชังอย่างสุดหัวใจ
นับตั้งแต่วันที่ผมได้สาบานกับตัวเองว่าจะปกป้องคนคนนี้โดยไม่เลือกวิธีการ
ตกลงร่วมมือกับออลสัน เพื่อจะคว่ำ GM ลง และดำเนินเกมไปในทิศทางที่ต้องการ จะแก้ไขทุกอย่าง
แม้จะต้องสูญเสียทุกอย่างที่มีอยู่ แม้จะเป็นการทำลายตัวเองจนหมดสิ้น ก็จะเดินต่อไป
“โฮลี่ ออเดอร์ ตานายแล้ว”
ดวงตาสีดำสนิทหันมามองทางผม ด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกับที่โปรยให้กับทุกคน
ผมได้แต่คลี่ยิ้มตอบ ก่อนจะอ่านรายงานในมือตัวเอง
ทั้งหมดที่ผมทำ...ก็เพื่อปกป้องคุณ...
คุณที่ผมรักยิ่งกว่าสิ่งใด...
++++++++++
หลังจากเลิกการประชุมเสมือนจริงในเกม ผมก็ตรงไปยังร้านกาแฟเล็กๆแถวบริษัท กะว่าจะใช้เวลาพักเที่ยงอันน้อยนิด
จิบกาแฟอย่างเงียบๆ เพื่อผ่อนคลายสมองอันเหนื่อยล้า แต่กลับเจอใครบางคนที่ไม่คาดคิด ไม่สิ ควรบอกว่า ไม่ค่อย
อยากเจอตัวจริง นอกเกมมากกว่า
“อ้าว ? มาซื้อกาแฟเหรอ”
“ครับ”
ในใจแอบคิดว่า มาร้านกาแฟ ไม่ซื้อกาแฟแล้วจะมาทำอะไร แต่พอมองถาดในมืออีกฝ่าย แล้วก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะไม่เห็นอะไร
นอกเหนือจากถ้วยกาแฟหอมกรุ่นที่ส่งไอร้อนออกมา ที่จริงไม่อยากถาม ไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย แต่สุดท้ายปากมันก็พูดออกไปจนได้
“คุณทานข้าวเที่ยงหรือยังครับ”
เกลียดตัวเองจริงโว้ย ทั้งที่บอกกับตัวเองหลายต่อหลายหนว่า ไม่ให้เข้าไปยุ่ง อย่าเข้าไปใกล้ชิด ดูอยู่ห่างๆ เกิดอะไรขึ้น
ค่อยเข้าไปช่วยเหลือ ไม่ใช่เข้าไปจัดการชีวิตเขาเหมือนเมื่อก่อน ยิ่งผูกพันเท่าไร ก็ยิ่งมีเรื่องปวดหัวตามมามากขึ้น
อยากจะให้ความสัมพันธ์ของพวกเรา เป็นแค่เพื่อนร่วมงาน เป็นแค่เจ้านายกับลูกน้อง
เมื่อถึงเวลาที่ผมลงมือ เมื่อคุณได้รู้ความจริงว่า พวกผมวางแผนอะไรไว้
...คุณจะได้ไม่เจ็บปวด...มากนัก...
ดวงตาสีดำมองมาทางผมแล้วยิ้ม ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะโดยไม่ตอบว่าอะไร อยากจะเดินตามไปเค้นคำตอบ
แต่ก็รู้ดีเกินกว่าจะตามไปถาม เพราะเข้าใจในคำตอบของอีกฝ่าย ถึงยิ่งหงุดหงิด ทั้งตัวเอง ทั้งคุณก็ด้วย
แถมผมยังไม่สามารถนิ่งเฉย ทิ้งคุณไว้ได้อีกด้วย !!
ผมวางถาดของตัวเองลงบนโต๊ะตัวเดียวกัน ในถาดมีกาแฟเย็นแก้วสูง ขนาดใหญ่ที่ใส่วิปปิ้งครีม ถัดไปเป็นจานใส่แซนวิช
อีกสองจาน ซึ่งคำตอบของความเงียบจากคุณเกียร์ ก็ไม่ใช่อะไรอื่น นอกเหนือจากคำว่า แล้วแต่นายจะคิด
แน่นอนว่า ผมไม่อาจคิดเป็นอื่นได้ นอกเหนือจาก คุณยังไม่ได้กินข้าวและไม่สนใจจะกินอีกด้วย !!
“ซื้อมาเผื่อเหรอ ?”
คุณเกียร์เอ่ยถาม เมื่อผมหยิบจานแซนวิชวางลงข้างๆกาแฟร้อนของอีกฝ่าย แม้จะไม่ได้พูดอะไรตอบ
แต่ถ้าให้เดา หน้าตาผมคงจะเริ่มออกอาการหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด เพราะคนตรงหน้าดูสนุกกับการได้เห็นปฏิกิริยาของผม
เอ้า สนุกเข้าไป คนที่รู้สึกหงุดหงิด คงมีแต่ผมสินะ แล้วยิ้มทำไม โอ๊ย ผมเกลียดตัวเองชะมัด
สุดท้ายการจิบกาแฟยามเที่ยงที่สงบสุข จะปลีกวิเวกหนีจากพวกลิงทโมนและหลบหน้าใครบางคนก็ล้มเหลว
กลายเป็นว่า ต้องมานั่งกินกาแฟอย่างเงียบๆกันสองคน ถึงจะไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ
แต่ผมกลับไม่รู้สึกอึดอัด แถมยังสบายใจเสียด้วยซ้ำ ที่ได้ใช้เวลาอยู่กับคนคนนี้
...แย่ล่ะสิ...ผมจะหลงติดกับดักอันหอมหวานอีกหรือเปล่า...
++++++++++
“มาช้าจังนะ มัวแต่ไปกินกาแฟอยู่หรือไง ?”
“หุบปากน่า”
พอประชุมผู้ร่วมแผนการทีไร จะต้องได้ยินคำแซวจากเจ้าบ้าพวกนี้ทุกที แล้วใครไปเห็นผมนั่งกินกาแฟอยู่กับคุณเกียร์ล่ะเนี่ย
ถึงเอามาแซวกันได้สนุกปาก
“ใกล้จะได้ดำเนินการตามแผนแล้ว อีกไม่นานหรอก”
“กลัวว่า หัวหน้าจะเปลี่ยนใจน่ะสิ”
“ใช่ๆ เห็นสนิทกับหัวหน้าคนปัจจุบันเสียเหลือเกิน จะยอมหักหลังเพื่อนเหรอ ?”
ผมได้แต่ถอนหายใจ พวกนี้คงไม่ยอมสงบปากสงบคำง่ายๆ ก็เป็นพวก GM ใหม่แกะกล่อง ซึ่งเป็น player ธรรมดา
ตอนนี้ GM เพิ่มจำนวนขึ้นมาก เนื่องจากเบื้องบนอนุมัติให้สามารถดัง player ธรรมดามาเป็น GM ได้ โดยไม่ต้องเข้าสังกัดบริษัท
ทำให้แผนการของเราดำเนินไปได้สะดวกยิ่งขึ้น
การที่ไม่ต้องเข้ามาในบริษัท หมายความว่า โอกาสที่จะได้พบเจอกับคุณเกียร์นั้น จะมีลดน้อยลงตามไปด้วย จะได้ไม่ต้องกังวลว่า
ใครจะถูกบรรยากาศรอบตัวของคนคนนั้น ดึงดูดให้รู้สึกไขว้เขว จนแผนการถูกเปิดเผย ออลสันบอกว่า ผมกังวลมากเกินไป
แต่ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่ ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คนที่หน้าตากวนประสาทอยู่ตลอดเวลา พูดจาแต่ละคำ ฟังแล้วอยากจะต่อยหน้า
แต่กลับทำตามที่หัวหน้าสั่งเสมอ
ใช่ ทำตามที่หัวหน้าสั่ง จนผมนึกสงสัยว่า...ราดิช ยอมร่วมแผนการกับผมจริงๆหรือ ?
แน่นอนว่า ผมไม่ได้เป็นคนเอ่ยปากชวน แต่อยู่ดีๆ เจ้าตัวก็เดินมาบอกผมว่า จะร่วมแผนด้วย
ผมก็งงๆว่า หมายถึงอะไร แต่พออีกฝ่ายแทบจะพูดแผนออกมาจนหมด ด้วยเสียงดังระดับที่คนคงได้ยินกันทั้งชั้น
ผมจึงต้องรีบลากตัวออกมา พร้อมทั้งตอบตกลงจะให้ร่วมด้วย เพื่อรีบปิดปาก ไม่ให้พูดไปมากกว่านั้น
พอถามว่า รู้เรื่องพวกเรามาจากไหน ก็เพียงแค่ทำเสียง หึ ในลำคอ ก่อนจะเดินหนีไป ทิ้งให้ผมยืนงงเป็นไก่ตาแตก
มาจนถึงตอนนี้ ราดิชก็ไม่เคยพูดอะไรออกมาในที่ประชุม เอาแต่นั่งฟังเงียบๆ
“ตอนนี้ก็ดำเนินการตามแผนไปก่อน”
“พวก GM คนอื่นๆน่ะจัดการง่ายอยู่แล้ว ก้างชิ้นโตมีอยู่แค่คนเดียว”
“ใช่ๆ ก้างที่หัวหน้าสนิทสนม จนสงสัยว่า ทำไมไม่ดึงมาเป็นพวกเดียวกันซะเลย”
ถึงจะเรียกว่า ประชุม แต่เหมือนผมโดนจิกกัด เหน็บแนมจากคนรอบข้างอยู่ฝ่ายเดียว แม้จะโต้ตอบด้วยความเงียบ
ก็ไม่มีท่าทีว่าจะยอมหยุด จนกระทั่ง ได้ยินเสียงของกระแทกโต๊ะดังลั่น ทุกคนถึงยอมหุบปากนิ่ง
ส่วนคนที่ทำเสียงดังก็ไม่ใช่ใคร พ่อน้องชายที่ตอนนี้มาทำงานในบริษัท โดยใช้โค้ดเนมว่า แครอท
“เงียบๆกันได้ไหม อย่ามาทำตัวปัญญาอ่อนแถวนี้”
ปากยังคมกริบเหมือนเดิม ผมว่า ความสัมพันธ์ในหมู่ผู้ร่วมแผนการ คงไม่ดีนัก เส้นใยที่ผูกพันพวกเราไว้นั้น
เป็นเพียงเส้นบางๆ ของผลประโยชน์และความสนุกสนานในการเล่นเกม ไม่ใช่ความรัก ความภักดี หรือความชื่นชมใดๆ
รู้สึกแย่ชะมัด ที่ต้องคอยระแวงพวกเดียวกันเอง คอยสืบข่าวการเคลื่อนไหวของคนรอบข้าง ระวังไม่ให้แผนการรั่วไหล
ยิ่งคิด ก็ยิ่งอยากย้อนเวลากลับไป ตอนที่ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ เพื่อใครคนหนึ่ง ถึงจะทำไปบ่นไปก็เถอะ
ช่วงเวลานั้น แม้รู้สึกเหนื่อย แต่ก็สบายใจที่ได้ทำ แม้มีเรื่องหงุดหงิดบ้าง แต่เรื่องพวกนั้นก็มอบเสียงหัวเราะให้
“คุณเกียร์น่ะ...ฉันจะจัดการเอง”
หลังจากเสียงเฉียบขาดของแครอท ห้องนั้นก็ตกอยู่ในความเงียบ เสียงของผมจึงดูก้องกังวานราวกับคำประกาศ
ทุกคนจ้องมองมาทางผม เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่า ได้รับการเคารพ ได้รับการไว้วางใจ ให้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่
แม้มันจะเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีเดียว ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะเริ่มเปิดปากแซว พร้อมผิวปากดังวี๊ดวิ้ว
ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆรับคำพูดเหล่านั้น เหมือนคนจนปัญญาจะโต้ตอบ แต่ที่จริงในใจกลับหวนคิดถึงใครคนหนึ่ง
คุณเกียร์ครับ...ผมจะเอาชนะคุณ...
ไม่ว่าความสามารถคุณมีมากแค่ไหน...ผมจะเอาชนะคุณ...
ถึงจะมีลูกน้องรายล้อมมากมาย...ผมจะเอาชนะคุณ...
...เพราะนั่นเป็นทางเดียว...ที่ผมจะปกป้องคุณได้...
ผมล็อกเอาท์ออกจากเกม หลังจากประชุมเรื่องแผนการเรียบร้อยแล้ว วันนี้ต้องเจอการประชุมติดต่อกันสองครั้ง
รู้สึกเหนื่อยเป็นบ้า ไม่เข้าใจจริงๆว่า คุณเกียร์เทียวไปเทียวมา ประชุมกับผู้ใหญ่คนนู้นคนนี้ ตลอดเวลาได้อย่างไร
ผมกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเอง กะว่าจะสะสางกองเอกสารให้เรียบร้อย จะได้รีบๆกลับบ้านไปนอนเสียที
ก็เห็นอะไรบางอย่างวางอยู่ท่ามกลางกองเอกสาร ห่อขนมสีน้ำตาลเข้มมีประกายเหลือบทองแวววับ ยกขึ้นมาดูใกล้ๆ
ถึงได้รู้ว่า เป็นช็อกโกแลตยี่ห้อหนึ่งที่ราคาแพงระยับ ข้างใต้ช็อกโกแลตนั้นมีกระดาษพับครึ่งถูกทับเอาไว้
พอหยิบขึ้นมาดู แบงก์สีแดงสามใบที่ถูกพับอยู่ในนั้นก็ร่วงลงมา ผมรีบเปิดข้อความอ่านทันที
กินช็อกโกแลต หลังการประชุม ทำให้หายปวดหัวนะ
ส่วนเงินนี่ เป็นค่าข้าวกลางวัน ฉันเลี้ยงเอง ถือเป็นการขอบคุณที่ซื้อแซนวิชมาให้
เกียร์
หลังจากอ่านข้อความ ในใจผมเกิดความรู้สึกหลายอย่าง แต่ที่เด่นชัดที่สุด คงจะเป็นความรู้สึกเซ็งการมองโลกในแง่ดีของอีกฝ่าย
ที่ดันวางเงินตั้งสามร้อยบาทเอาไว้บนโต๊ะ มีเพียงแค่กระดาษและขนมทับเอาไว้ แถวนี้คนเดินผ่านไปผ่านมาตั้งมากมาย
ไม่กลัวของหายบ้างหรือครับ เงินนะครับ เงิน
ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ แล้วถอนหายใจยาว ฉีกห่อขนมกิน พลางบ่นพึมพำว่า ขนาดทิ้งไว้แค่ข้อความก็ยังทำให้ผมเหนื่อยใจอีกจนได้
แต่พอช็อกโกแลตแท่งสีน้ำตาลเข้มแตะถูกลิ้น ผมก็แทบจะคายมันออกมาในทันที
“ขม...”
มองดูฉลากของขนมอีกครั้ง ทำให้รู้ว่า เป็นช็อกโกแลต 100 % ที่เอาไว้ทำขนม รสชาติขมสุดๆ เพราะไม่มีการเจือนมและน้ำตาล
แม้แต่น้อย ไม่ใช่พวกดาร์คช็อกโกแลตที่มีช็อกโกแลตประมาณ 70% และแต่งรสชาติให้หอมหวานน่ารับประทาน
“คุณกินของแบบนี้เข้าไปได้ไงเนี่ย”
พอลองย้อนคิดดู ตอนที่ผมนั่งทำงานอยู่ในห้องนั้น ก็ยังไม่เคยเห็นอีกฝ่ายกินขนมหรือแม้แต่จิบเครื่องดื่มอะไรด้วยซ้ำ
หากผมไม่ใช่คนไปซื้อหามาฝาก แน่นอนว่าเรื่องเงินก็คล้ายๆคราวนี้ มักจะยัดอยู่ตามโต๊ะบ้าง ในสมุดตารางนัดหมายของผมบ้างล่ะ
หรือบางครั้งเจ้าตัวก็เดินเอามายัดใส่กระเป๋าเสื้อผมเสียเฉยๆ
อยากจะปฏิเสธทุกครั้งที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ ส่วนหนึ่งเพราะจำนวนเงินมันมากกว่าที่ผมจ่ายไปเสมอ
แต่อย่างว่าแหละ ไม่ว่าตอนนี้หรือเมื่อก่อน ผมก็ยากที่จะขัดขืนคนคนนั้น ยิ่งเวลาถูกดวงตาคู่นั้นจ้องมอง ริมฝีปากคลี่ยิ้ม
และพูดอะไรบางอย่างด้วยน้ำเสียงราวกับเวทมนต์ ไม่ว่าใครก็ต้องยอมแพ้ ทำตามใจคุณไปเสียทุกครั้ง
“หรือว่าตั้งใจแกล้ง ? คงไม่ว่างขนาดนั้นหรอกมั้ง”
“บ่นพึมพำอะไรอยู่นั่นล่ะ ไม่ทำงานหรือไง”
ผมหันไปยิ้มแห้งๆ ให้กับคนที่มีศักดิ์เป็นน้องชายตามกฎหมาย แล้วเอากระดาษห่อเดิมหุ้มตัวช็อกโกแลตให้เหมือนเดิมที่สุด
เท่าที่สภาพของมันจะอำนวย ก่อนจะพยายามสลัดเรื่องไร้สาระในหัวออกไป หลงเหลือไว้เพียงสมาธิที่จะจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าเท่านั้น
เวลาหมุนผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนเงยหน้ามองอีกทีก็เกือบจะสองทุ่มแล้ว ที่ไม่ทันสังเกต เพราะผู้คนรอบตัวยังอยู่กันครบทุกคน
ต่างก้มหน้าก้มตากันทำงาน ไม่มีใครยอมกลับบ้านสักคน อย่างนี้เรียกว่า งานล้นมือ คงได้ล่ะมั้ง
ผมเผลอมองไปยังประตูไม้สีน้ำตาล ห้องทำงานของหัวหน้า ซึ่งเดาได้เลยว่า เจ้าตัวต้องยังอยู่ข้างในแน่นอน
ถ้าไม่เป็นอะไรก็คงดี...แต่เมื่อตอนเที่ยงสีหน้าก็ดูปกติดี...
หลังจากเริ่มต้นแผนการ ผมก็สาบานกับตัวเองว่า จะยุ่งเกี่ยวกับคุณให้น้อยที่สุด ถ้าพบกันก็ขอให้เป็นแค่ในเกม
เหตุผลข้อแรกคือ กลัวว่าตัวเองจะไม่หนักแน่นพอที่จะดำเนินแผนการต่อไปได้
แต่เหตุผลที่รองลงมาก็คือ ไม่อยากเห็นสีหน้าเจ็บปวดของคุณ ยามเมื่อรู้ความจริงว่า ผมกำลังทำอะไรอยู่
พอถึงตอนนั้นแล้ว แม้อยากกอด ก็คงกอดไม่ได้ จะปลอบใจหรือเป็นที่พึ่งพิง ก็คงไม่มีทางเป็นไปได้
ในตอนนี้จะขอเฝ้าดูอยู่ห่างๆ คอยสังเกตสีหน้า ท่าทางว่ามีอาการเหนื่อยล้าหรือไม่ ถ้าเริ่มรู้สึกว่า ท่าทางไม่ค่อยดี
ก็จะส่งข้อความลับไปบอกคุณรีลิส ให้มาช่วยจัดการ ซึ่งแม้จะสำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง แต่ก็ดูเหมือนความถี่ในการเข้าโรงพยาบาล
จะลดน้อยลงไปเหมือนกัน
เรื่องอาการของคุณเกียร์ คนในบริษัทที่รู้เรื่องนี้คงมีเพียง ผม คุณรีลิสและราดิชเท่านั้น
บางครั้งผมก็นึกสงสัยว่า ทำไมราดิชถึงยอมปิดปากเงียบ ทั้งที่นิสัยน่าจะหงุดหงิด รำคาญใจที่ต้องเก็บงำความลับเอาไว้
จนต้องบอกออกไปให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่สุดท้าย ไม่ว่าเรื่องแผนหรือเรื่องคุณเกียร์ ก็ไม่เคยรั่วไหลออกไป แม้แต่นิดเดียว
“กลับกันเถอะ”
ตอนนาฬิกาบอกเวลาสามทุ่ม ผู้คนรอบตัวเริ่มลดลง หลายคนต่างชักชวนกันกลับบ้าน ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจสองสามหน
ก่อนจะคว้ากระเป๋า แล้วตรงไปทางลิฟท์ ผมยังคงรัวคีย์บอร์ดในมือ เพื่อจัดการกับเอกสารกองสุดท้าย
พร้อมกับโบกมือเป็นเชิงไล่ว่า ให้ทุกคนกลับไปก่อน ขอเคลียร์ตรงนี้อีกแป๊บนึงแล้วจะกลับ
“ยังไม่กลับอีกเหรอ ?”
เสียงที่ถามนั้น ทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง เพื่อย้ำให้ตัวเองแน่ใจว่า ไม่ได้หูฝาดไป ผู้ที่มีตำแหน่งหัวหน้าของเหล่า GM
กำลังยืนอยู่ตรงหน้าผม เสียงเอะอะอยู่ไกลออกไป บริเวณตรงหน้าลิฟท์ รอบตัวของพวกเราเงียบสงบ
“สักพัก ก็จะกลับแล้วล่ะครับ”
“งั้นก็ กลับบ้านระวังๆด้วยนะ”
ผมมองตามแผ่นหลังที่เดินตรงไปยังลิฟท์ แล้วเจ้าตัวก็ถูกดึงเข้าร่วมในวงสนทนาอย่างรวดเร็ว
บางครั้งก็รู้สึกอิจฉาคนรอบข้างนิดๆ อยากกลับไปพูดคุยอย่างสนิทสนมเหมือนเดิม อยากล้มเลิกแผนการทั้งหมด
แต่ไม่ได้หรอก ครั้งนี้จะต้องเข้มแข็งและหนักแน่น จะไม่ลังเล จะไม่เปลี่ยนใจอีกต่อไปแล้ว
ผมหันมาสนใจหน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มต้นทำงานต่อ
กว่างานจะเรียบร้อย ก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่มกว่า ผมลงลิฟท์มาเพียงคนเดียว เอ่ยทักทายยามที่เดินตรวจตรา
ท่ามกลางความมืดของโถงตึกชั้นล่างสุด แสงจากเสาไฟฟ้าภายนอกสาดส่องเข้ามา ทะลุผ่านกระจกใส
ท่ามกลางแสงสว่างนั้น ผมมองเห็นใครคนหนึ่งกำลังยืนแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“คุณ...เกียร์...”
ผมเรียกชื่อนั้นออกไปอย่างแผ่วเบา หากแต่ความเงียบทำให้มันก้องกังวานอยู่ภายในห้อง ร่างนั้นหันมาหาผม แล้วยิ้มให้อย่างเคย
ริมฝีปากที่ไม่ค่อยเอ่ยคำพูดใดออกมา ทำเพียงคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้แก่ทุกคน
“ยืนทำอะไรอยู่ครับ ดึกมากแล้วนะครับ”
“มองแสงไฟน่ะ”
“แสงไฟ ?”
ผมมองเสาไฟฟ้าต้นสูงใหญ่ที่อยู่หน้าตึก แสงสว่างจ้าของไฟถนน ไม่ได้ดูสวยงามหรือโรแมนติคแม้แต่น้อย
นึกสงสัยว่า มองของแบบนี้แล้ว มันสนุกตรงไหนกัน ไม่ใช่ดวงดาวหรือพระจันทร์กลมโตเสียหน่อย
แต่คุณเกียร์ยังคงมองขึ้นไปด้านบน ด้วยแววตานิ่งสนิท ทำให้รู้สึกว่า แสงไฟนั้นอาจมีความนัยที่ผมไม่เข้าใจ
“มาทางนี้ครับ”
แล้วอารมณ์ก็ขึ้นมาอยู่เหนือเหตุผลอีกครั้ง ผมดึงแขนของอีกฝ่าย ลากตัวให้เดินตามมา ภายในลิฟท์เงียบกริบ
คุณเกียร์ไม่ถามอะไรสักคำ เอาแต่เงยหน้ามองตัวเลขบอกชั้นที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงที่หมาย
สถานที่ที่อยากพาขึ้นมาดู ก็เป็นแค่ระเบียงซึ่งมีร้านกาแฟเล็กๆของบริษัท บรรยากาศที่เต็มไปด้วยต้นไม้
ในตอนกลางวันสร้างความร่มรื่น เหมาะแก่การนั่งพักผ่อน แต่ในตอนกลางคืน สิ่งที่ดึงดูดสายตาให้จ้องมอง ก็คือ
ภาพของกรุงเทพฯ ยามราตรี ที่เต็มไปด้วยแสงไฟระยิบระยับ
“อยู่กรุงเทพฯ คงดูดาวไม่ได้ ดูแสงไฟไปแทนแล้วกันนะครับ”
พูดเหมือนจะติดตลก เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกดีใจที่กำลังเอ่อท้นขึ้นมาในตอนนี้ ยามเมื่อเห็นดวงตานั้นเบิกกว้างด้วยความยินดี
ภาพตรงหน้ามันน่าตื่นตาตื่นใจขนาดนั้นเลยหรือ ทั้งที่ก็เป็นแค่แสงไฟจากตึกเท่านั้นเอง
“นายมายืนดูบ่อยๆเหรอ ?”
“เปล่าครับ นี่เป็นครั้งแรกที่มาตอนกลางคืน”
ผมมักจะมายืนกินกาแฟ มองกรุงเทพฯที่สับสนวุ่นวายในยามกลางวัน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมายืนมองเมืองหลวงที่
ไม่เคยหลับใหลพร้อมกับใครสักคน แม้จะไม่โรแมนติคเหมือนไปนอนนับดาวบนภูเขา แต่สิ่งนี้คงจะประทับอยู่ในความทรงจำ
ของผมอีกนานเท่านาน ภาพของกรุงเทพฯท่ามกลางความมืด ซึ่งยังคงสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ
แล้วก็...ใบหน้าของใครคนหนึ่ง...
คนที่ยืนอยู่ข้างๆผม...
ไม่ได้เห็นรอยยิ้มที่มีความสุขขนาดนี้...
...มานานแค่ไหนแล้วนะ...
++++++++++
เกมที่พวกเราดูแลกำลังไหลลื่นไปตามสมดุล เป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น เวลาในการดำเนินไป ตลอดจนถึงผู้คนที่เข้ามาเล่นเกม
ก็เป็นไปอย่างที่วางแผนไว้ สงบสุขจนผมนึกกลัวที่จะทำลายสมดุลนั้นขึ้นมา
“ห่ะ ? จะบอกคุณเกียร์ ?”
“ไม่ได้บอก แค่จะหลอกถาม”
ผมบอกความคิดในหัวตอนนี้กับแครอท ซึ่งเดาอยู่แล้วว่า คงได้รับคำตอบประมาณนี้ มองใบหน้าบึ้งตึงนั้น แล้วก็อยากถอนหายใจ
เข้าใจอยู่หรอกนะว่า คงเกลียดเสียยิ่งกว่าเกลียดคุณเกียร์ แต่ช่วยเข้าใจหน่อยเถอะ ถ้าคนคนนั้นย้ายมาอยู่ฝั่งเรา ทุกอย่างก็ง่ายขึ้น
ราบรื่นขึ้น แถมยังทำให้เจ้าตัวถอยออกจากเกมได้ โดยไม่เสียเลือดเนื้อ
...ไม่ต้องทำร้ายความรู้สึกกัน...
ผมมองตามร่างที่เดินปึงปังออกจากห้องไป จะกี่ครั้งก็ยังคงเป็นเด็กอยู่ดี ถึงตอนนี้จะทำงานอยู่บริษัทเดียวกัน
แต่นิสัยแบบเด็กๆที่โมโหแล้วจะเดินหนี ต้องทำเสียงดัง กึ่งๆเหมือนจะเรียกร้องความสนใจ ก็ยังคงแก้ไม่หาย
มีเพียงอย่างเดียวที่เปลี่ยนไปคือ คนที่แครอทอยากให้สนใจ อยากให้ตามมาง้อจริงๆ ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว
แต่ก็ไม่ได้ออกปากห้ามตรงๆ บอกไป คงไม่เป็นไรมั้ง ?
ว่าแล้วผมก็ล็อกอินเข้าไปในเกม เพื่อตามหาคุณเกียร์
คนที่อยากเจอนั้นตามหาไม่ยากนัก ส่วนหนึ่งเพราะเป็นคนที่เด่นอยู่แล้ว อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะ เจ้าตัวชอบอยู่ในที่เดิมๆ
เดินตามหาไม่กี่ที่ ก็เจอตัว กำลังยืนมองผู้คนเดินไปมาอยู่ในฐานของ GM
ผมยอมรับว่า ชอบมองคุณเกียร์จากทางด้านข้าง ชอบเวลาที่ใบหน้านั้นมองไปข้างหน้า ดวงตาสีดำสนิทที่เหมือนดูเลื่อนลอย
ราวกับไม่อยากคิดอะไรยุ่งยากให้ปวดหัว แต่ลึกๆกลับแฝงไปด้วยความสงบนิ่งและเฉียบคม พร้อมรับมือทุกสถานการณ์
ไม่ว่ามันจะเลวร้ายหรือสับสนวุ่นวายเพียงใด
“ทำไมถึงชอบมายืนตรงนี้ล่ะครับ”
คนที่กำลังยืนอยู่หันกลับมามองผมเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมองยังทิศทางเดิมอีกครั้ง ไม่ยอมตอบคำถามนั้น
ผมก้าวมายืนข้างๆ เพื่อจะได้มองเห็นภาพเบื้องหน้าที่เหมือนกัน แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ นอกจากผู้คนเดินไปมา
นานเท่าไรแล้วนะ ที่ระหว่างเราสองคนมักใช้ความเงียบพูดคุยกัน ไม่อยากจะต้องพูดเรื่องราวไร้สาระให้วุ่นวาย
คุณที่ชอบแสดงออกเป็นนัย ให้ผมเป็นฝ่ายคิดเองมากกว่าใช้คำพูด ตัวผมที่ไม่อยากพูดอะไร เพราะกลัวคุณรำคาญ
ถึงจะรู้ว่า ความเงียบนั้น นำมาซึ่งความไม่มั่นใจ สิ่งที่ทำลายทุกอย่างจนพังพินาศมาแล้วครั้งหนึ่ง
แต่สุดท้าย ผมก็เลือกที่จะใช้ความนัยมากกว่าการพูดตรงๆ
“คนที่มี ESP นี่เยอะขึ้นทุกวันนะครับ”
“อืม นั่นสินะ พวกนี้ก็เก่งกันซะด้วย”
เหล่าผู้คนที่ก้าวล่วงเข้ามาใน Neo Universe เข้ามาเล่นเกมแห่งจินตนาการอันไร้ขอบเขต ความสนุกสนานที่เจือปนด้วย
สิ่งอันตราย ดุจดังลูกกวาดสอดไส้ยาพิษ ESP ที่หลับใหลอยู่ในตัว ถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง แต่เป็นการปลุกที่ทำให้เกิด
ความเป็นพิษขึ้นในร่างกาย จนกระทั่ง ถึงขั้นเสียชีวิต
“แล้วไม่คิดว่า พวกที่มี ESP เนี่ยเอาเปรียบไปหน่อยบ้างหรือครับ”
แม้ปากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ที่จริงคิดว่า น่าอิจฉามากกว่า ผู้คนที่มี ESP อยู่แล้ว ไม่ใช่ถูกกระตุ้นให้ตื่นจากการเล่นเกมนี้
เสมือนร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรค ไม่มีทางเกิดอาการ ESP เป็นพิษ มีแต่จะเลเวลสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ต่างจากคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไวต่อการถูกกระตุ้นจากเกมนี้ เมื่อย่างเท้าเข้าไปในเกมเพียงเล็กน้อย ESP ที่ถูกกระตุ้นก็หลั่งไหลออกมา
มากเกินกว่า ร่างกายจะจัดการได้หมด จนเกิดเป็นผลพิษอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าคนที่ไวต่อการกระตุ้นมีเพียงแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น
แต่หนึ่งในคนเหล่านั้น ก็มีคนสำคัญของเขา
“ฉันคิดว่า ไม่เลย”
“แต่ก็มีหลายคนเห็นว่า การที่มี ESP เกิดขึ้นในเด็กใหม่จำนานมาก ทำให้สังคมเสียสมดุล”
คำพูดบางอย่างแล่นริ้วขึ้นมาแตะที่ปลายลิ้น อยากพูดเรื่องราวทั้งหมดออกไปตรงๆ แต่ลึกๆแล้วยังไม่กล้า
หากผมมั่นใจว่า คุณจะฟังและยอมทำตามในสิ่งที่ผมพูดได้ก็คงจะดี
“ผมสังหรณ์ใจว่า ต่อไปอาจเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นก็ได้”
“แล้วคนที่เดือดร้อนเพราะเรื่องนี้ก็มีไม่น้อยเลยด้วย”
เป็นคำพูดที่เหมือนตอกย้ำสถานภาพของตัวเอง คนที่ได้รับผลกระทบจาก ESP เป็นเหตุ ทำให้ต้องสูญเสียคนสำคัญไป
แล้วในตอนนี้ ผมเองก็กลัวว่า เกมนี้จะทำลายคนสำคัญอีกคนของผม เพราะฉะนั้น ช่วยฟังทีเถอะครับ
ได้โปรด หยุดยุ่งกับเกมนี้เถอะครับ ขอให้สิ่งที่ผมต้องการจะบอก ส่งผ่านไปถึงคุณด้วยเถอะครับ
“อย่ากังวลจนเกินเหตุน่า...”
“ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกของมัน น่ายินดีออก”
ที่จริงตัวเองเตรียมคำพูดมามากมาย อยากจะบอกคุณถึงเรื่องราวของอันตรายที่ซุกซ่อนอยู่ในเกมนั้น แต่เพราะรู้ดีเกินกว่าจะปฏิเสธ
สิ่งที่ตัวเองมองเห็น รู้ดีว่า ถึงพูดไป ก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจคุณได้หรอก
แม้คนอื่นอาจเห็นว่า คุณเกียร์ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆที่เป็นเชิงตอบรับหรือปฏิเสธ แต่ไม่ใช่กับผมที่ใช้ความเงียบสื่อสารกับคุณ
มานานแสนนาน ผมรู้ดีว่า คนคนนั้นไม่เข้าใจและไม่มีทางเข้าใจ
...ไม่มีทางยอมเลิก...แต่โดยดี...
อย่างที่เขาว่ากัน สิ่งที่เป็นกฎตายตัวเด็ดขาดของมนุษย์คือ ไม่มีใครสามารถเข้าใจความทุกข์ของคนอื่นได้ ถ้าไม่ได้เข้าไปอยู่ใน
ห้องที่เรียกว่าความทุกข์นั้นเอง แม้เจ้าตัวจะยอมให้ตัวเองแหลกสลาย ขอเพียงได้ดำเนินเกมต่อไปอย่างราบรื่น จนกว่าร่างกายจะผุพัง
ใช้การไม่ได้ แต่กับผมที่ยืนมองอยู่ข้างๆ คงไม่อาจทนได้อีกต่อไป
ผมจะหยุดคุณ....
ผมจะทำให้คุณเลิกเล่นเกมนี้...
ไม่ว่า...จะต้องทำให้คุณต้องเสียใจ...หรือโกรธมากแค่ไหนก็ตาม...
...ผมก็...อยากให้คุณมีชีวิตอยู่...
++++++++++
ผมเดินลงจากตึกตอนที่ไม่มีใครอยู่อีกครั้ง วันนี้คงไม่มีทางเจอกับคุณเกียร์ตัวเป็นๆนอกเกม เพราะเจ้าตัวถูกสั่งให้ไปประชุมกับ
ผู้บริหารที่ต่างประเทศ หากโผล่มาจริงๆ ก็คงเป็นร่างวิญญาณ คิดแล้ว ก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว เพราะมีความคิดบ้าๆแบบนั้น
ก็เลยไม่แน่ใจว่า ตกลงตัวเองกลัวผี หรือเป็นห่วงว่าคุณเกียร์จะเกิดอุบัติเหตุกันแน่
“อ้าว ?”
ผมส่งเสียงแสดงความแปลกใจออกไป เมื่อเห็นราดิชยืนอยู่แถวลิฟท์ สงสัยเพิ่งจะเลิกงานเหมือนกัน ตั้งแต่ราดิชเข้าร่วมแผนการ
ด้วยกัน ผมก็ไม่เห็นราดิชเฉียดใกล้คุณเกียร์อีกเลย เอาแต่ล็อกอินเข้าไปทำ mission ในเกมตามคำสั่ง จนแทบจะเหมา mission ของ
ทั้งแผนกไปทำหมด ถ้าเป็นเซลล์ขายประกัน คงทำยอดได้สูงสุด รวยเละไปแล้ว
หลายครั้งก็นึกสงสัยว่า ระหว่างสองคนนั้นเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า แต่รู้ดีว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรถาม
บางทีอาจเป็นแค่อารมณ์ขึ้นๆลงๆ ของราดิชก็ได้ เพราะเป็นคนคาดเดายากอยู่แล้ว
“ไปกินข้าวกันไหม ?”
ผมทำนายว่า หน้าร้อนนี้จะมีหิมะตกในประเทศไทย หากหูผมไม่ฝาด ได้ยินว่าคนมีมนุษยสัมพันธ์ติดลบอย่างราดิช ออกปากชวนผม
ไปกินข้าว เหล่มองนาฬิกาก็เห็นว่า สามทุ่มครึ่งแล้ว ตอนมื้อเย็น ผมกินขนมปังไปแล้ว ถ้ากินรอบนี้ก็จะเป็นมื้อดึก ควรไปหรือไม่ไปดี
“ถามอะไรหน่อย”
ยังไม่ทันจะตอบรับหรือปฏิเสธ ก็ดันเปลี่ยนเรื่องพูดเอาดื้อๆ ตามคนคนนี้ไม่ทันจริงๆ แต่ผมก็พยักหน้าตอบรับไป
ถึงแม้ว่าเจ้าตัวยังทำหน้าตากวนประสาท ชวนไม่อยากให้ตอบก็ตาม ลึกๆก็อยากรู้เหมือนกันว่า จะถามอะไร
“ถ้าเคลียร์เกมได้...จะขออะไร”
เป็นคำถามที่นึกสงสัยว่า ควรจะตอบตามความจริง หรือบอกคำตอบที่เตรียมเอาไว้จะดีกว่า ตอนแรกคิดจะบอกออกไปว่า
จะลบ ESP ของทุกคนทิ้งให้หมด เกมอันตรายแบบนี้ควรจบลงได้แล้ว ไม่อยากให้มีใครต้องตายอีก
แต่ความเป็นจริงแล้ว ผมไม่ใช่คนยิ่งใหญ่ที่เป็นห่วงเป็นใยคนอื่นถึงขนาดนั้นหรอก
คนจะตายสักกี่ร้อยกี่พันคนก็ช่าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมพยายามทำ เพื่อเคลียร์เกมนี้เท่านั้น ไม่สิ จะเคลียร์เกมได้หรือไม่
มันไม่สำคัญสำหรับผมหรอก ขอเพียงแค่โค่น GM ได้เท่านั้นก็พอ
...ขอเพียงหยุดคนคนนั้นได้...ก็พอ...
ผมตัดสินใจตอบเหตุผลที่เตรียมเอาไว้ ปิดบังความจริงต่อไป แม้ราดิชจะรู้ดีถึงอาการป่วยของคุณเกียร์
แต่ความตั้งใจของผมก็ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นจะต้องบอก ไหนๆก็พูดเรื่องนี้แล้ว ผมถือโอกาสถามเสียเลยว่า
แล้วนายล่ะ ทำไมถึงเข้าร่วมแผนการ อยากจะขออะไร ต้องการอะไร
“ก็แค่รู้สึกว่า มันน่าสนุกดี”
“ก็เท่านั้น”
ตอนที่พูดจบลิฟท์ ก็มาถึงพอดี ผมมองใบหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงของราดิช แล้วรู้สึกแปลกใจที่ตัวเองสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
บางทีอาจคิดมากไปเอง หรือมองเห็นเพราะเคยชินกับการสังเกตสีหน้าท่าทางของคนอื่นก็เป็นได้
ผมรู้สึกว่า ราดิชไม่ได้พูดความจริงออกมาทั้งหมด ลึกๆแล้วมีอะไรมากกว่านั้น
“อยากจะเอาชนะ...คนคนนั้น...”
ประโยคนี้ดังก้องอยู่ในลิฟท์ ก่อนทุกอย่างจะเงียบลง ทั้งที่ไม่ได้พูดเจาะจงว่าหมายถึงใคร แต่ผมกลับมั่นใจว่า คนคนนั้น
ที่พูดถึงไม่ใช่ใครอื่น นอกจากคุณเกียร์ และผมก็มั่นใจด้วยว่า ราดิชไม่ได้แค่อยากเอาชนะเท่านั้น
จะต้องมีเรื่องอื่นที่ผมไม่รู้ แต่แน่นอนว่า เรื่องราวทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องที่ควรถาม
“สรุปจะไปกินข้าวไหม ?”
ผมถูกถามคำถามเดิมอีกครั้ง เมื่อประตูลิฟท์เปิดออกที่ชั้นล่างสุด คราวนี้ผมตอบตกลงในทันที
ไม่ใช่เพราะอยากถามเรื่องอะไรเพิ่มเติมหรอกนะ แต่ก็บอกเหตุผลไม่ได้เหมือนกันว่า ทำไมถึงได้ตอบตกลง
และก็ไม่รู้ว่า ด้วยเหตุผลอะไร ผมเชื่อใจราดิชมากกว่าคนอื่นๆที่เข้ามาร่วมแผนการ
ราวกับ...พวกเรามีจุดมุ่งหมายเดียวกัน...
++++++++++
ความสับสนวุ่นวายเกิดขึ้นทั่วทุกหนแห่ง ผมอยู่เคียงข้างหัวหน้า GM มานาน พอจะรู้นิสัยเถรตรงที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ทั้งจุดแข็งจุดอ่อนของกองกำลังถูกชี้แจง จนบุกเข้าโจมตีได้โดยง่าย ต้องยอมรับว่า พวกกลุ่มลิงทโมน GM รุ่นแรกนั้น
ออกจะคาดเดายากอยู่สักหน่อย จึงวางแผนบุกในวันที่พวกนั้นออกไปทำ mission ข้างนอกกันหมด
ได้ยินเสียงเอะอะของผู้คน จนรู้สึกว่า ทำไมพวกที่อยู่รอบตัวคุณ มันถึงได้อ่อนแอขนาดนี้ ขาดคุณไปเพียงคนเดียวก็เกิดการระส่ำระสาย
ไม่สมกับเป็นกองทัพ GM อันเกรียงไกร ซึ่งใครๆต่างเกรงกลัว ทั้งที่ฝั่งผมมีเพียงแค่ไม่กี่คน แต่กลับจัดการได้อย่างรวดเร็ว
“มิน่า ถึงไม่ออกไปช่วยสนับสนุนข้างนอก ที่แท้ก็ยืนเสริมพลังตัวเองอยู่แถวนี้นี่เอง”
ผมผ่านประตูเข้ามาได้ เพราะคนที่เฝ้าปากทาง ต้องหยุดประมือกับการ์ลิคและแครอท ที่จริงอยากหันกลับไปอัดมันสักครั้งสองครั้ง
ด้วยความรู้สึกหมั่นไส้มานานแสนนาน แต่นั่นเป็นเรื่องของความรู้สึกส่วนตัว จึงพยายามบอกตัวเองว่า มันอาจทำให้แผนการ
ปั่นป่วนและล้มเหลวได้ อดทนเอาไว้
“ช่วยตอบฉันหน่อยได้ไหมว่า ก่อกบฏไปเพื่ออะไร”
ผมมองคุณเกียร์ที่กำลังชาร์จพลังเพื่อให้ใช้เวทได้ทุกชนิด ผมชอบที่จะมองคุณเตรียมการต่อสู้ ยืนถือ ดิ เอมไพร์
อยู่ท่ามกลางแสงสว่างของเวทในเกม แต่ครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็น เพราะผมจะเอาชนะคุณ
“ไม่ล่ะครับ เดี๋ยวตอนผมมัวคุย คุณก็เพิ่มพลังตัวเองสบายใหญ่เลยน่ะสิ”
ที่จริงก็คำนวณไว้แล้วว่า คุณเกียร์จะต้องเสริมพลังเสร็จก่อน ผมบุกเข้าโจมตี และวิธีการต่อสู้ของคุณก็จะต้องเหมือนเดิม
เป็นแบบแผนเช่นเดียวกับการใช้ชีวิตคุณ เพราะเจ้านิสัยเถรตรงนี่แหละ ทำให้เห็นจุดอ่อนอย่างชัดเจน
line of illusion ถูกร่ายออกมาดังที่คาด ซึ่งสร้างความเสียหายมากมาย แม้ราดิชจะพยายามรับมือ
ผมพยายามตั้งสมาธิกับสกิลในมือ เพื่อขโมยความสามารถนั้นมาเป็นของตัวเอง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบมองการต่อสู้
อยากจะจดจำภาพของคุณเอาไว้ในความทรงจำ เพราะคงไม่มีโอกาสได้เห็นอีกแล้ว
Sign of Cheat ของผมเริ่มทำงาน
ใบหน้าที่มักมีรอยยิ้มเสมอ ดูแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น สกิลนี้ ผมพยายามฝึกฝนเพื่อหาทางเอาชนะคุณ
ในตอนที่สถานการณ์พลิกผัน คุณตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ราดิชก็บุกเข้าประชิดตัว โจมตีอย่างต่อเนื่อง
ผมมองใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นลำบากใจ ระคนกับใช้ความคิดอย่างหนัก อย่าคิดเลยครับ ไม่มีทางหรอก
“HP ตั้ง 4 ล้าน กว่าจะฆ่าได้ มันนานนะเฟ้ย โฮลี่ ออเดอร์”
“ไม่เป็นไร อัดๆไป เดี๋ยวก็ตาย”
อยากจะกัดลิ้นตัวเองตอนที่พูดคำว่า ตาย เป็นคำเพียงคำเดียวที่กลัวแสนกลัว ยามเมื่อมองคุณ
ตาย...คุณจะไม่ตายใช่ไหม จะตายจากไปเพียงแค่ในโลกของเกมเท่านั้น
ผมมองราดิชที่โจมตีคุณอย่างต่อเนื่อง ตัวผมเองคงไม่มีปัญญาไปทำอะไรคุณได้ เพราะ HP ก็ลดลงมากจากการไม่ป้องกันตัวเอง
เอาแต่พยายามใช้สกิลขโมยฟิลด์มา ไม่สิ ไม่ใช่หรอก HP ไม่ได้เหลือน้อยอะไรขนาดนั้น จนถึงต้องหลบออกไปจากการต่อสู้
แต่เพราะผมไม่อยากจะทำร้ายคุณต่างหาก
ถึงจะเป็นแค่เกม...ก็ไม่อยากเป็นคนลงมือ...
อยากหัวเราะตัวเอง ที่คิดแบบนั้น ไม่อยากทำร้าย ไม่อยากลงมือ งั้นหรือ แล้วที่ทำอยู่ไม่เป็นยิ่งกว่าการทำร้ายเหรอ
แค่โจมตีในเกม ทำให้ Game Over แล้วยังไงล่ะ ถึงร่างกายจะมีความเจ็บปวดเสมือนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้รุนแรงอะไร
มันเทียบได้หรือ กับการทรยศหักหลัง ทำลายความเชื่อใจที่คุณมีให้เสียจนป่นปี้
ดิ เอมไพร์ในมือร่วงหล่นลงสู่พื้น พร้อมกับร่างในเกมที่เริ่มเลือนหาย เมื่อสัญญาณ Game Over ปรากฏขึ้น
ผมเห็นราดิช ย่อตัวลงเหมือนจะกอดร่างนั้นเอาไว้ในอ้อมแขน เสียงของคุณที่พูดแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ
“แพ้ซะแล้ว...”
ผมรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ไหลหยดลงมาโดนแก้ม ยกมือขึ้น ก็พบว่า น้ำตาตัวเองไหลลงมาอย่างไม่รู้ตัว
ไม่ใช่ เพราะเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไป แต่เพราะสีหน้าของคุณต่างหาก ในตอนที่หันมาหาผมเป็นครั้งสุดท้าย
คุณน่าจะโกรธผม เกลียดผม ไม่อยากยกโทษให้ แล้วทำไมในตอนนั้นคุณถึงยิ้มล่ะครับ ยิ้มอย่างอ่อนโยน
แล้วทำไม...ผมถึงรู้สึกผิดขนาดนี้...
คนเรามักเตรียมตัวยอมรับความเกลียดชัง เมื่อตัวเองลงมือทำร้ายใครสักคน แต่เมื่ออีกฝ่ายกลับตอบโต้สิ่งนั้น
ด้วยความรู้สึกอ่อนโยน มันยิ่งทำให้ความผิดในใจขยายตัว กดทับหัวใจ จนยิ่งรู้สึกเจ็บ
ทำไมคุณ...ถึงเป็นคนแบบนี้นะ...
เพราะคุณเป็นคนแบบนี้...ผมถึงได้รัก...
ราดิชเอง แม้จะยังคงทำสีหน้าบึ้งตึง แต่กลับมองนิ่งยังบริเวณที่ร่างนั้นเลือนหายไปเมื่อครู่
ในตอนนี้ พวกเราไม่มีเวลามานั่งเสียใจ กับสิ่งที่ตัดสินใจทำลงไปแล้ว ผมรีบส่งสัญญาณให้ทุกคนหลบหนีออกมา
จากLEXITRON เพื่อทำการระเบิดให้สิ้นซาก GM คนอื่นๆ จะได้กลับมารวมตัวกันยากขึ้น
ถึงแม้ทุกอย่างจะถูกทำลายจนหมดสิ้น GM ส่วนใหญ่ Game Over ไป ทรัพย์สินและสิ่งของต่างๆถูกช่วงชิงมาจนหมด
แต่กลับมีสิ่งหนึ่งยังคงหลงเหลือรอดจากการกบฏในครั้งนี้ สิ่งนั้นตกค้างอยู่ในใจของผมและอาจจะอีกหลายๆคน
จมดิ่งลงสู่เบื้องลึกของจิตใจ...
ตกตะกอนเกาะติดอยู่ในความรู้สึก...
ไม่ว่าจะพยายามกำจัดออกไปสักเท่าไร...
...ก็มีแต่จะทำให้ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น...เท่านั้น....
++++++++++
การทำลายฐานทัพในครั้งนี้เป็นประเด็นสำคัญในการประชุมด่วน ซึ่งพวกเราก็คาดกันดีอยู่แล้วว่า จะเกิดขึ้น
ฝ่ายที่โวยวายอย่างหนักคือ ทางฝ่ายเทคนิค เพราะต้องใช้เวลานานแสนนานกว่าจะสร้างLEXITRONเสร็จสมบูรณ์
พวกผมดันมาระเบิดทิ้งเสียเฉยๆ โชคดีที่มีออลสันคอยพูดจาไกล่เกลี่ยปกป้องแผนการอยู่อย่างแนบเนียน ไม่แสดงตัวเข้าข้า'
จนเกินไป อย่างแรกที่ผมอยากเห็นในห้องประชุมก็คือ คุณเกียร์ ผมอยากรู้ว่า คนคนนั้นได้รับผลกระทบจากการโจมตีไหม
Game Over แล้วมีผลต่อสุขภาพร่างกายหรือเปล่า
“ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงต้องก่อกบฏด้วย”
“มันเป็นรูปแบบของการพัฒนาครับ หากพวกเรายึดติดกับระบบเดิมๆ”
“ทุกอย่างก็จะหยุดนิ่ง ไร้ความก้าวหน้า”
ระหว่างที่เหล่าผู้บริหารกำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือด ผมมองสีหน้าของคุณเกียร์ที่สงบนิ่ง ไม่มีรอยยิ้มใดๆ
ผมไม่แน่ใจว่า คนคนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ รู้แต่เพียงว่า ในใจไม่ได้กำลังมีความสุขแน่นอน แต่โชคดีที่ใบหน้านั้นไม่ได้ซีดขาว
หรือมีวี่แววว่า เจ้าตัวจะต้องถูกหามเข้าโรงพยาบาล
“อย่าลืมว่า หลักการของเราคือ ช่วยให้เกมดำเนินไป ไม่ใช่คงอยู่ในแบบเดิมๆ”
“Neo Universe คือเกมที่สามารถพัฒนา เปลี่ยนแปลงได้ตลอด อย่ายึดติดสิ”
ถึงการถกเถียงรอบข้าง จะเผ็ดร้อนและทวีความรุนแรงขึ้นเพียงใด ผมก็ยังจ้องมองแต่ใบหน้าของคนคนนั้น
แต่กลับไม่มีเลยสักครั้งที่ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นจะมองมาทางผม
“แล้วเรื่อง Key Master ล่ะ”
แย่ล่ะสิ พวกเราเล่นไล่ฆ่า ไล่ตาม Key Master ที่พวกคุณหนูคุณชายผู้ถือหุ้นเป็นคนเล่นนี่นา ปัญหาก็คงตามมาอีกเป็นกระบุงโกย
เพราะการที่ Game Over ทั้งที่ถืออาวุธแห่ง Event Horizon ซึ่งมีอานุภาพสูงกว่า คงเป็นการเสียหน้าไม่น้อย ถึงไม่มี Key Master
คนไหน ยอมมาเข้าประชุม รวมทั้งคุณรีลิสด้วย
ผมนั่งฟังออลสันพยายามชี้แจงข้อดี โดยไม่แสดงตัวว่า เป็นฝ่ายผม สมเป็นพวกผู้บริหารจริงๆ เลือกใช้คำได้ดี
ทำให้คนอื่นคล้อยตามได้ โดยลืมคิดว่า เรื่องทั้งหมดที่พูดมานั้น เป็นการเข้าข้างพวกผมชัดๆ
แม้เจ้าพวกโง่ในฝ่ายบริหารจะตามเกมนี้ไม่ทัน แต่ผมแน่ใจว่า มีอีกสองคนที่มองออก นั่นคือ คุณเกียร์และคุณรีลิส
นับเป็นโชคดีที่คุณรีลิสไม่เข้าประชุมด้วย ไม่งั้นจะต้องถูกโวยแหลก จนการประชุมปั่นป่วน หรือถ้ารักษามาดเป็นคุณหนูผู้ดี
ออลสันเองก็คงโดนไล่ต้อนด้วยคำพูดคมกริบ แต่ฟังดูนุ่มนวลอ่อนหวาน
ที่ผิดคาดก็คือ คุณเกียร์ไม่พูดอะไรเลย ลำพังแค่เจ้าตัว Game Over ก็คงไม่ติดใจอะไร แต่นี่ทำให้ GM อีกมากมาย
ต้องGame Over แถมด้วย Key Master แล้วยังทำลายฐานทัพอีก ผมไม่คิดว่า คนอย่างคุณจะนิ่งเฉยได้
คุณกำลังคิดอะไรอยู่ครับ ? คิดจะทำอะไรต่อไป ? ได้โปรดหยุดเถอะครับ อย่ายุ่งเกี่ยวกับเกมนี้อีกเลย
การประชุมยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด เรื่องที่พูดกัน อาจซ้ำไปซ้ำมา ราวกับไร้จุดสิ้นสุด
แต่ผมก็ยังจ้องมองเพียงคนคนเดียวเท่านั้น และในใจภาวนาเพียงเรื่องเดียว
ขอให้แผนการสำเร็จ ขอให้สามารถหยุดยั้งคนคนนั้น ไม่ให้ย่างก้าวเข้าไปในเกมอีก
++++++++++
ผมลางานไปจัดการธุระประมาณสองวัน พอกลับมาทำงานอีกครั้ง ก็นึกว่ามีม็อบจากที่ไหนมาปิดบริษัท เพราะชั้นทำงานของผม
เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แถมยังส่งเสียงเอะอะโวยวาย พอพวกนั้นเห็นหน้าผมก็ตรงเข้ามากระชากตัว อีกแค่นิดเดียวกำปั้นก็จะ
ปะทะโดนหน้า ถ้าไม่ได้ยินเสียงห้ามขึ้นมาเสียก่อน
“ที่นี่บริษัทนะ อยากไปต่อยกัน ก็เชิญที่อื่น”
ผมมองร่างสูงโปร่งของหญิงสาวที่เคยได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้า Key Master คนที่ผมทำ Game Over ไปแล้ว
คาดว่า จะถูกโมโห คงถูกเมินไม่พูดด้วย แอบเสียวๆว่า เธอจะจ้างคนมาลอบยิงหรือเปล่าด้วยซ้ำ
น่าแปลกที่เธอกลับเข้ามาห้าม ในตอนที่ผมกำลังจะโดนคนอื่นรุมกระทืบ ไม่รู้ว่า กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
“มานี่”
เธอลากตัวผมเข้ามาในห้องของคุณเกียร์ แต่ภายในห้องว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ เธอเดินไปยืนพิงโต๊ะ
ก่อนจะถอนหายใจ แต่ไม่ยอมพูดอะไรออกมา ผมมองไปรอบๆห้อง แล้วรู้สึกว่า มันโล่ง จนผิดปกติ
“เกียร์ลาออกแล้วนะ”
มันเป็นผลลัพธ์ที่คาดไว้แล้วว่า จะเกิดขึ้น เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดด้วยซ้ำ จะได้กันให้คุณอยู่ห่างจากเกมให้มากที่สุด
แต่ทำไมในใจกลับรู้สึกแปลกๆ เหมือนไม่อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ไม่อยากให้คุณต้องลาออก
“เจ้าพวกนั้นก็เลยโมโหกันใหญ่ หลายคนจะลาออกตาม”
“ไปๆมาๆ วุ่นวายกันใหญ่ เกียร์ก็เลยสั่งว่า ห้ามลาออก”
“เจ้าพวกนั้นก็ตลกที่เชื่อฟัง แต่สุดท้ายดูเหมือนจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย”
ผมนิ่งเงียบฟังคุณรีลิสพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ระหว่างผมไม่อยู่ ทุกอย่างเป็นเรื่องที่คาดเดาเอาไว้แล้ว เขียนอยู่ในแผนทั้งหมด
แต่พอเป็นความจริงขึ้นมา กลับรู้สึกแย่อยู่ดี ถึงจะน่ารำคาญ ถึงจะเป็นแค่คนที่ทำงานด้วยกัน แต่มาตอนนี้กลับรู้สึกได้ถึง
ความผูกพันอย่างน่าประหลาด ไม่อยากถูกเกลียด ไม่อยากให้แผนกของเราเปลี่ยนแปลงไป
บ้าชะมัด...ทั้งที่รู้อยู่แล้ว...
ทำไมถึงรู้สึกแย่ขนาดนี้วะ...
“ฉันไม่รู้ว่า ควรด่านายว่า โง่หรือบ้าที่ทำลงไป”
ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆตอบรับคำพูดนั้น คุณหนูกระเถิบตัวขึ้นไปนั่งบนโต๊ะทำงาน เอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักด้านหลัง
แล้วหยิบกล่องอะไรบางอย่างออกมา เธอกวักมือเรียกผมให้เดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะยัดเยียดมันลงในมือ
“อะไรครับ”
“ดูเอง”
เจ้าปากกาสีเงินแวววับที่ผมใส่กล่องให้เป็นของเยี่ยมไข้ ในตอนนี้กลับมาอยู่ในมือผมอีกครั้ง ทั้งที่เป็นแค่ปากกาแท้ๆ
แต่กลับรู้สึกหนักอึ้งจนไม่อยากถือมันเอาไว้อีกแล้ว ผมโยนมันทิ้งลงในถังขยะทันที
“ทำอะไรของนาย เสียดายของ”
“ผมให้คุณเกียร์ไปแล้วครับ ถ้าเขาไม่ต้องการก็ทิ้งไปเถอะครับ”
“โอ๊ย นายนี่มันบ้าขนานแท้”
“ขอบคุณครับที่ชม”
ผมเห็นคุณรีลิสหัวเราะออกมาเบาๆเหมือนจะขำที่ผมพูดขอบคุณ เธอเอื้อมมือลงไปเก็บกล่องปากกาขึ้นมา โชคดีที่วันนี้ในถังขยะ
ยังไม่มีอะไรอยู่ข้างใน เพราะผมไม่แน่ใจว่า ถ้ามีอย่างอื่น เธอจะกล้าล้วงมือเข้าไปข้างในไหม
“ฉันสิ ต้องขอบคุณนาย”
“ในที่สุดก็หยุดเกียร์ได้แล้วสินะ...”
“ถึงจะเป็นวิธีที่ทั้งโง่ ทั้งบ้าก็เถอะนะ”
นับตั้งแต่วันที่ตัดสินใจดำเนินแผนการ ผมรู้สึกว่า ตัวเองนอนหลับไม่สนิท ครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆ ทั้งที่ตั้งใจจะแบกรับความเกลียดชังเอาไว้
ตั้งใจทำให้ตัวเองเป็นเป้าหมายของความโกรธแค้น แต่สุดท้ายกลับรู้สึกกลัว รู้สึกเสียใจขึ้นมา ในตอนที่เห็นปฏิกิริยาของทุกคน
ในใจตัวเองเหมือนมีก้อนหินถ่วงอยู่ ก้อนหินที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
แต่แค่ฟังคุณรีลิสพูดแบบนั้น...แค่ได้ยินคำขอบคุณผสมคำด่าทอ...
ความอึดอัดภายในใจก็เบาบางลง...แม้ไม่ได้เลือนหายไปจนหมด...
“เตรียมตัวรับมือกับความเกลียดชังของคนรอบข้างแล้วกัน...”
“ทุกคนที่อยู่รอบตัวนาย...”
เธอเดินผ่านผมออกไปที่ประตู ประโยคสุดท้ายที่ดังแว่วเข้ามาในหูนั้น ผมอยากจะถามย้ำอีกครั้งว่า ฟังผิดไปหรือเปล่า
แต่ก็ไม่ได้ถามออกไป จะเป็นแค่เรื่องที่คิดไปเองก็ช่าง แต่อย่างน้อยในตอนนี้ อยากจะหลอกตัวเองว่าเป็นแบบนั้น
“ทุกคนที่อยู่รอบตัวนาย...”
“ยกเว้น....เกียร์...”
++++++++++
หญิงสาวหันกลับไปมองอาคารสูง เป็นที่ตั้งของบริษัทเกมชื่อดัง ซึ่งเธอคงจะขอถอนตัวไม่ยุ่งเกี่ยวอีกต่อไป
ไม่ใช่ว่าโกรธเรื่องที่โดนทำให้ Game Over แต่เธอเองก็อยากมีส่วนช่วยดึงคนคนนั้นให้ออกห่าง แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี
ในเมื่อหมอนั่นอุตส่าห์เสียสละตัวเอง ยอมตกเป็นเป้าแห่งความเกลียดชัง จะช่วยสักนิดก็ได้
“เจ้านี่ ฝากไว้ที่ฉันก่อนก็แล้วกัน”
“จนกว่าวันที่เกียร์ จะยอมรับมันอีกครั้ง”
ปากกาสีเงินวาวนั้น ไม่ใช่ของเก่า แต่มันมีความนัยซ่อนอยู่ในนั้น เธอไม่รู้หรอกว่า มันคือเรื่องอะไร และไม่อยากรู้ด้วย
แต่จนกว่า เพื่อนของเธอจะยอมรับความรู้สึกนั้นได้อีกครั้ง เธอจะเก็บไว้ให้เอง เพราะไม่อยากให้มันถูกโยนทิ้งไป
อย่างน้อยก็ตอบแทนที่หมอนั่น ยอมช่วยเรื่องที่เธอขออย่างเต็มที่แล้วกัน
“คนหนึ่งก็ทั้งโง่ทั้งบ้า”
“คิดแต่เรื่องของอีกฝ่ายจนไม่สนใจอย่างอื่น”
“อีกคนก็ดื้อเงียบ แถมยังยึดมั่นในสัญญาที่ไร้สาระ”
รีลิสก็รู้ดีว่า เกียร์ไม่มีทางเลิกเล่นเกมหรอก เพราะยังคงยึดมั่นในสัญญาที่ให้ไว้ ตั้งแต่สมัยก่อน เรื่องแค่นี้หยุดคนคนนั้นไม่ได้หรอก
หลักฐานที่ชัดเจนก็คือ เกียร์ให้เธอช่วยทำ EMPIRE LEGACY หลงเหลือไว้ เพื่อกู้คืนอะไรหลายอย่าง หลังจาก Game Over ไปแล้ว
แต่เห็นทำถึงขนาดนั้น ก็เลยพูดไม่ออกว่า ไม่มีประโยชน์หรอก
ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะย้อนคืนมาหรือเปล่า เป็นเรื่องที่ไม่อาจตอบได้ จะเป็นอย่างไรก็ให้ขึ้นกับโชคชะตา
เป็นตัวกำหนดแล้วกัน ในตอนนี้ขอเพียงแค่เธอไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล เพื่อเฝ้าภาวนาให้คนคนหนึ่งปลอดภัย
ขอแค่เธอได้ใช้ชีวิตเรียบง่าย โทรหากันบ้าง ออกไปกินข้าวบ้าง อยากเห็นคนคนนั้นใช้ชีวิตปกติธรรมดา ห่างไกลโรงพยาบาล
มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ให้เธอได้ลากตัวไปเที่ยวไหนต่อไหน ได้อย่างสบายใจ
“แวะไปหาเกียร์หน่อยดีกว่า”
“อยากกินร้านอาหารญี่ปุ่นตรงถนนสุขุมวิทจัง”
หวังเอาไว้ว่า มันจะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขและสนุกสนาน แม้ตัวเธอเองก็รู้ดีว่า มันไม่ยาวนานเท่าไรนัก
++++++++++
จากนั้น Key Master ค่อยๆถูกทำให้ Game Over จนหลงเหลือแค่เพียงคนเดียว พร้อมๆกับที่Key Masterหลายคน รู้สึกขัดใจ
จนให้ผู้ปกครองของตัวเอง ถอนหุ้นออกไปจากบริษัท แต่นั่นก็ไม่ได้สร้างผลกระทบอะไร เพราะบริษัทนั้นมีแต่หุ้นจะขึ้นเรื่อยๆ
จากความโด่งดังของเกมนี้
แผนก GM เองก็ถูกปรับเปลี่ยนหน้าที่ จากที่เมื่อก่อนต้องดูความเรียบร้อยของเกมทุกอย่าง ในตอนนี้ เหลือเพียงแค่ทำให้เกม
ดำเนินไปอย่างราบรื่น หรือที่จริงอาจกล่าวได้ว่า เล่นอิสระเพื่อเคลียร์เกม ภายใต้การควบคุมและวางแผนร่วมกันระหว่าง
โฮลี่ ออเดอร์และออลสันมากกว่า
หน้าที่อื่นๆ เช่น การดูแลควบคุมผู้คน การจัดการท่าไม้ตาย หรือการบันทึกเรื่องราวเหตุการณ์ในเกม เป็นหน้าที่ของแผนกใหม่ที่
ถูกตั้งขึ้น ซึ่งสมาชิกในแผนกก็คือ เหล่า GM เก่าที่ไม่ยอมลงให้กับโฮลี่ ออเดอร์นั่นเอง หลายคนไม่ค่อยอยากกลับมาเล่นเกมอีก
เพราะไม่อยากเจอหน้าพวก GM คนปัจจุบัน จึงกลายเป็นนั่งเฝ้าหน้าจอคอยดูแล
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น จนกองกำลังต่อต้าน GM แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แข็งแกร่งจนกระทั่งเป็นก้างชิ้นสำคัญของแผนการ
ซ้ำยังมี Key Master คนสุดท้ายเป็นผู้นำ ผู้วางแผนที่ชาญฉลาดอีกด้วย
ไม่ว่าเรื่องอะไรจะเกิดขึ้น ก็ช่าง ถึงอยากอธิษฐานของให้ลบ ESP เพื่อให้มนุษย์คนอื่นปลอดภัย ตามแผนการ
แต่ที่จริงแล้ว โฮลี่ ออเดอร์ไม่ได้หวังอะไร นอกเหนือจาก ไม่อยากให้คุณเกียร์เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเกมนี้อีก
เพียงแค่คำขอ ความปรารถนาสั้นๆง่ายๆ เพียงข้อเดียวเท่านั้น
แต่สุดท้ายแล้ว...มันก็ไม่เป็นจริง...
การต่อสู้ของราดิชกับคนในกองกำลังต่อต้าน GM ดึงดูดความสนใจของขาได้อย่างน่าประหลาด อาจเป็นเพราะด้วยเลเวลที่แตกต่าง
กันมาก แต่อีกฝ่ายกลับรับมือราดิชได้ ไม่สิ ไม่ได้เป็นเพราะเหตุผลนั้นหรอก มีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาติดใจมากกว่านั้นต่างหาก
“แกคือ เกียร์ใช่ไหม !!”
เสียงของราดิชที่ตะโกนดังกึกก้อง เป็นสิ่งเดียวกับที่ผมกำลังนึกสงสัย ผู้ที่กำลังอินสตอลเข้าสู่ร่างนั้นคือ คุณเกียร์
ไม่สิ ดูจากท่าทางการเคลื่อนไหว วิธีการต่อสู้ ผมรู้ดีอยู่แล้วว่า นั่นคือใคร เพียงแต่ไม่อยากยอมรับ
ไม่อยากจะเชื่อว่า คุณกลับมาที่นี่อีกครั้ง กลับเข้ามาสู่เกมที่เป็นอันตรายต่อชีวิตคุณ
การต่อสู้นั้นจบลงด้วยผลที่ไม่ค่อยดีนักของทางเรา แต่สิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวผม กลับไม่ใช่เรื่องแผนการหรือความเจ็บใจ
ที่เกิดจากความพ่ายแพ้ แต่กลับเป็นความมืดไร้ที่สิ้นสุด เหมือนในหัวผมถูกปกคลุมด้วยสีดำสนิทของราตรี
ไม่สามารถคิดอะไรออก ไม่สิ ไม่อยากคิดอะไรมากกว่า
พอกลับมาถึงห้อง ผมก็เดินเข้าไปในห้องนอน ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง พยายามรวบรวมสติ นึกถึงเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมา
ห้องแห่งนี้มีเพียงความทรงจำระหว่างผมกับคุณ ถึงมันจะไม่มากมายนัก แต่ก็ไม่เคยมีใครเหยียบย่างเข้ามา นอกจากคุณ
แม้แต่คนที่ได้ชื่อว่า เป็นภรรยา ก็ยังไม่เคยก้าวล่วงเข้ามาในห้องนี้เลยสักครั้ง ราวกับเธอรู้ดีว่า มันเป็นพื้นที่ส่วนตัวของผม
เป็นสถานที่ที่ผมอยากอยู่เพียงลำพัง
“ทำไมกัน...”
ผมนึกอยากได้คำตอบของคำถามนี้ แต่รู้ดีว่า ถึงถามกับตัวเองไป ก็ไม่มีทางรู้ ทั้งที่มันเป็นความปรารถนาเพียงข้อเดียว
ซึ่งยอมทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อทำให้มันเป็นความจริง แต่สุดท้ายมันก็...
“นี่มัน เรื่องบ้าอะไรกัน !!”
ตอนนี้รู้สึก เหมือนเดินวนเวียนในเขาวงกตที่ไร้ทางออก พอรู้ตัวอีกที ก็กลับมาอยู่ที่เดิมอีกครั้ง สับสนและหงุดหงิด
เกลียดที่ตัวเองนั้นไร้พลังที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องใดๆ ก็เลยเผลอระบายอารมณ์กับสิ่งที่อยู่รอบตัว
โคมไฟข้างเตียงซึ่งโดนปัดล้ม ไปพร้อมกับโทรศัพท์ที่วางข้างๆ เพื่อเปิดหนทางโล่ง ให้ผมซัดกำปั้นไปยังกำแพง
รู้ทั้งรู้ว่า มันไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา แต่กลับหยุดตัวเองไม่ได้ ถึงจะรู้สึกเจ็บมือมากแค่ไหน แต่ภายในใจ มันหงุดหงิดยิ่งกว่า
อยากทำอะไรสักอย่าง เพื่อระงับความรู้สึกนั้น อย่างน้อยความรู้สึกเจ็บ ก็จะเข้ามาแทนที่ได้บ้าง
ทำให้ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจเบาบางลง
“โง่ชะมัด...”
“ตลอดมา ทำลงไปแต่เรื่องโง่ๆสินะ”
มือข้างที่ต่อยกำแพงนั้น พรุ่งนี้คงจะบวมช้ำ แต่สักวันหนึ่ง มันก็จะกลับมาหายดีดังเดิม
แต่ความรู้สึกที่อยู่ในใจตอนนี้ ความสมเพชตัวเอง ยังคงย้ำลึกเป็นบาดแผลในใจ จะมีสักวันไหมที่จะหายดี
ในใจตอนนี้รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างประหลาด หวั่นเกรงต่ออนาคตที่ยังไม่มาถึง
“จะต้องให้ผมทำอย่างไรครับ...”
“คุณถึงจะยอมเลิกเล่นเกมนี้”
ในสมองยังจดจำภาพของใบหน้าซีดขาว ลมหายใจที่แผ่วเบา ราวกับกำลังจะหยุดลง ร่างกายที่เย็นลงเรื่อยๆ
เหมือนมัจจุราชกำลังช่วงชิงเอาไฟแห่งชีวิตไปทีละน้อย นั่นล่ะ คือสิ่งที่ผมกลัว
ผมไม่อยากเห็นภาพนั้นอีกครั้ง ไม่อยากให้คุณต้องทุกข์ทรมาน ไม่อยากให้คุณเจ็บปวด
กลัวว่า สักวันหนึ่ง มันจะไม่จบแค่เข้าโรงพยาบาล แต่คุณจะจากโลกใบนี้ไป
“ความปรารถนา...จะกลายมาเป็นความจริง...”
“ถ้าร้องขอ...”
หากเอาชนะเกมนี้ได้ จะได้ขอพรกับ Ruler ซึ่งจะบันดาลความปรารถนาให้เป็นจริงได้
โลกใบนี้จะเป็นอย่างไรต่อไปก็ช่าง ถึงจะต้องมีคนล้มตายเพราะ ESP อีกกี่คนก็ช่าง
ถ้าผมได้ขอพร ผมจะบอกความปรารถนาเพียงข้อเดียวของผม
...ขอให้คุณปลอดภัย...
ผมไม่รู้ว่า Ruler จะจัดการอย่างไร จะปรับเกมให้เข้ากับคลื่นสมองคุณ จะยับยั้งไม่ให้คุณเข้ามาหรือจะทำอะไรก็ทำเถอะ
ขอเพียงคุณไม่ได้รับอันตราย ผมก็พอใจ นั่นคือทั้งหมดที่ผมจะทำ
หากคุณไม่หยุด...ผมก็จะไม่หยุด...
จนกว่าจะได้กุญแจทั้งหมดมา...จนกว่าจะเปิดหนทางไปสู่ Ruler…
กำจัดทุกคนที่ขวางทาง...ละทิ้งได้แม้แต่พวกเดียวกัน...
เพื่อความปรารถนาเพียงข้อเดียวเท่านั้น...เพื่อคำอธิษฐานนั้น...
...จะกลายมาเป็นความจริง...
THE END
++++++++++
ในที่สุดก็ได้พิมพ์คำนี้ซะที เป็นเรื่องที่ยาวนานมากในการแต่ง แถมยังแรร์แสนแรร์
ต้องขอขอบคุณหลายๆคนที่ติดตามอ่านกันนะคะ TT^TT ช่วยเป็นกำลังใจผลักดันให้เขียนของแรร์ได้
ตอนนี้ก็มาบรรจบกับเรื่องปัจจุบันแล้ว โฮลี่ ออเดอร์รู้ว่าเกียร์อินสตอลเข้าร่างเกษมได้ และยังเล่นเกมอยู่
การเขียนฟิคนี้ สนุกมากสำหรับเรา และแม้ตอนนี้จะเป็นตอนจบของตัวเรื่องหลัก แต่เราก็ยังไม่ปิดเรื่อง
เพราะยังอยากเขียนตอนพิเศษต่อไป ตอนนี้มีอยู่ในกรุ 1 ตอน ไว้โพสวันหลัง วันนี้ขี้เกียจจัดหน้าแล้ว
ที่จริงไม่อยากเชื่อว่า จะแต่งจนจบ แต่ก็แต่งมาได้ รู้สึกดีใจมากๆเลยล่ะค่ะ
ที่อยากเขียนมาก จนอาจเขียนต่อไปคือ ฝั่งของราดิชค่ะ เพราะเห็นภาพในเล่ม 15.5 แล้วทำเอาเพ้อไป
ที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แต่ก็จิ้นบรรเจิดไปตามประสาคนชอบคู่แรร์ เห็นอะไรนิดหน่อยก็จับมาจิ้นได้หมด
แต่จะได้เขียนไหม คงขึ้นกับว่า ร่างพล็อตไหวไหม กลัวร่างแล้วตัน
ไหนๆเขียนคำว่า THE END ขอขอบคุณอย่างเป็นทางการซะหน่อย
ขอบคุณที่สุดคือ คุณภานุวัฒน์ที่เขียนเรื่องสนุกๆ สร้างตัวละครดีๆมาให้ทั้งรักทั้งเพ้อ จนออกมาเป็นฟิคความยาว 9 ตอน
จำนวนหน้าเกิน 100 ไปแล้ว ต้องขอบคุณจริงๆค่ะ แม้ว่าที่จริงคนเขียนอาจจะอยากบีบคอเรา ตอนที่มาเห็นฟิคนี้ก็ได้
(ก็เปลี่ยนเรื่องเขาซะมั่วไปหลายตอน - -" แถมทำนิสัยตัวละครปั่นป่วนพอสมควร แล้วก็เขียนวายอีกต่างหาก)
ขอบคุณแมวยักษ์ ที่ตรวจสะกดคำ คอยก่นด่าเรื่องภาษาและการใช้คำซ้ำ ช่วยคิดพล็อตและชื่อเรื่อง เป็นเพื่อนเพ้อกับเรา
ถ้าไม่มีแก เราคงเขียนไม่ได้หรอก เพราะตัน TT^TT เราต้องการคนเพ้อด้วย
ขอบคุณนักอ่านที่คอมเมนต์ทุกท่านนะคะ ไม่ว่าจะเป็น ท่านSweet bakery ที่มาคอมเมนต์เป็นคนแรก
ทำให้เรารู้ว่า มีคนอ่านฟิคเราด้วย ไม่ใช่กดเข้ามา แล้วก็จากไป โดยยังไม่อ่าน 555+
ท่านnoname ที่ทำให้เรามีกำลังใจปั่นต่อไป
ท่านnaya-devil ที่เข้ามาอ่านรวดเดียวหลายตอน ถึงจะบ่นว่า ไม่ชอบเกียร์เคะก็เถอะนะ
ท่านTRipLE333 ที่แวะเวียนมาคุย บอกความรู้สึกตอนอ่าน ดีใจค่ะ ที่มีคนจิ้นคู่รองในฟิคด้วย 555+ (ถึงจะแปลกแต่ดีใจจริงๆนะ)
ท่าน1234 ที่แม้ไม่มีล็อกอิน แต่ก็คอยคอมเมนต์ให้ ทำให้อยากลงตอนต่อไปเร็วๆ
ท่าน NiGhT_DaRk_nEsS ที่แม้จะมาช้า แต่ก็คอมเมนต์ตอนเก่าๆให้ ขอบคุณนะคะ คู่นี้แรร์ ใครมาตามหามัน
เราคิดว่า ต้องซิงโคทางวิญญาณกับเราได้แน่ๆ ไม่เคยคิดว่า จะมีใครจิ้นคู่นี้ได้ >0<
แล้วก็ขอบคุณนักอ่านทุกท่านนะคะ ที่เข้ามาอ่าน แม้จะไม่เคยคอมเมนต์ แต่ก็หวังว่า ฟิคนี้คงทำให้ท่านสนุกสนานได้
แล้วก็เริ่มมีจิ้นเอนเอียงไปทางคู่แรร์คู่นี้บ้างนะคะ 555+
ถ้ายังไงพบกันตอนหน้าที่เราโพสตอนพิเศษนะคะ มีคิดไว้หลายตอน แต่ไม่รู้พล็อตจะล่มไหม
ปล. เกือบลืม ขอคอมเมนต์ด้วยนะคะ ใครเคยเมนต์ ก็ช่วยเมนต์อีกสักครั้งนะคะ ส่วนคนที่ไม่เคยเมนต์ ก็มาเล่ากันบ้างว่า
อ่านจนจบแล้วรู้สึกอย่างไรบ้างนะคะ คนเขียนยินดีรับทุกคำก่นด่า 555+ ด้วยความเต็มใจค่ะ
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ แล้วพบกันในตอนพิเศษนะคะ
ความคิดเห็น