คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Extra II : For her wish (Carrot's side)
Title: For her wish
Author: Monochrome bird
Category: Drama เป็นหลัก แต่แบ็คกราวน์อยากให้มีกลิ่นอายฮาเฮ
Pairing: โฮลี่ออดอร์ x คุณเกียร์
Rating: PG-13 ไม่มากไปกว่านี้
Disclaimer: ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นของคุณภานุวัฒน์ค่ะ พวกเราแค่ยืมมาจิ้นเล่นเท่านั้น
Author notes: เขียนตอนนี้เสร็จจะครบเดือนได้แล้ว เขียนจบหลังโพสตอนเก่า 7 วัน ส่งให้คนตรวจสะกดคำอ่าน
มันก็ดองไว้ ติดสอบอีกต่างหาก จนล่วงเลยมาจนป่านนี้ - -“ ในที่สุดก็ได้โพส
(ตอนนี้อ่านแล้วจะได้อารมณ์มาก ถ้าจำอารมณ์ตอนที่แล้วได้ค่ะ ใครลืม ควรอ่านซ้ำอีกครั้ง)
++++++++++
ผมจำเรื่องราวเกี่ยวกับแม่ไม่ได้เลยสักอย่าง...
ทั้งใบหน้า...ทั้งน้ำเสียง...ทั้งการสัมผัส...
อาจเพราะผม...ไม่ได้ต้องการแม่...
...เพราะผมมี...พี่สาว...อยู่ข้างๆเสมอ...
++++++++++
ตั้งแต่ผมจำความได้ ใครๆก็บอกว่า พี่สาวของผมมี ใบหน้ารูปไข่ ผมยาวสลวย ดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายสดใส จมูกเป็นสันได้รูป
ริมฝีปากแดงอวบอิ่ม ทุกอย่างที่อยู่บนใบหน้านั้น รับกันได้อย่างเหมาะเจาะ นอกจากความงามที่เห็นได้ด้วยตาแล้ว พี่สาวของผมยัง
เก่งอีกต่างหาก ความเก่งนั้น การันตีได้จากใบประกาศนียบัตรเกียรตินิยมอันดับหนึ่งของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย
ชื่อดังแห่งหนึ่งของประเทศไทย ใครๆจึงพากันชื่นชมว่า พี่สาวของผมเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อม ทั้งรูปกายและสมอง แถมพ่วงฝีมือ
ทำอาหารที่ไม่เป็นสองรองใคร
พูดถึงเรื่องนิสัยแล้ว พี่สาวเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับคนอื่นง่าย ใครที่ได้มีโอกาสรู้จักพูดคุย ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า
รู้สึกสบายใจที่ได้คุยด้วย แต่เอาเข้าจริงๆ พี่สาวเป็นคนปิดตัวเองอยู่ไม่น้อย เพราะเธอมีเส้นขีดของตัวเองในเรื่องความสนิทสนม
คนที่ข้ามกำแพงนั้นมาได้ มีน้อยจนนับได้ด้วยนิ้วมือข้างเดียว ส่วนนิสัยช่างพูดช่างคุยนั้น สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเกราะกำบังทาง
สังคมต่างหาก
ผมจึงอดคิดไม่ได้ว่า คนที่พี่สาวใส่ใจจริงๆ คนที่พี่ยิ้มให้จริงๆนั้น อาจมีแค่ผมกับพ่อก็ได้ นั่นทำให้ผมนึกวาดภาพคนที่จะมาเป็น
คู่ชีวิตของพี่สาวไว้เสมอ ชายหนุ่มคนนั้นจะต้องอายุมากกว่าพี่นิดหน่อย มีบุคลิกภาพดี ท่าทางดูเป็นผู้นำ ลักษณะภายนอกเป็น
คนอ่อนโยน แต่มีความเฉียบขาดและเฉียบคมอยู่ภายใน การศึกษาจะต้องอยู่ในระดับแนวหน้า หน้าที่การงานก็ต้องไม่ด้อยไปกว่า
พี่สาว ส่วนหน้าตาไม่ต้องหล่อมากก็ได้ แต่ไม่ใช่น่าเกลียดจนรับไม่ได้ เอาเป็นว่า ควรโกนหนวดเคราให้เรียบร้อย
ผมเผ้าไม่ยุ่งเหยิง ดูแลจัดแต่งให้เป็นทรง ที่สำคัญต้องสูงกว่าพี่อย่างน้อยห้าเซนติเมตร ยืนคู่กันแล้วใครๆก็ต้องบอกว่า เหมาะสม
แล้วทำไมกันนะ คนที่เป็นแฟนพี่สาวผม...จะต้องเป็นเจ้าบ้านั่นด้วย...
ครั้งแรกที่เจอหน้ากันคือ สถานที่ออกกำลังกาย ซึ่งอยู่ๆพี่ก็ออกปากขอร้องให้ไปเป็นเพื่อน คุยไปคุยมาก็สรุปได้ว่า
จะเอาผมไปเป็นข้ออ้างในการเจอนั่นเอง ทั้งที่วันนั้นตัวเองก็ยุ่งจะตายอยู่แล้ว ยังจะเจียดเวลาไปหาอีก
ไม่รู้เจ้านั่นมีดีอะไร ผมฟังเรื่องของคนคนนี้มาหลายครั้ง เวลากินข้าวเย็นด้วยกัน แต่นึกวาดภาพไม่ออก
พิจารณาคนตรงหน้าดูตั้งแต่หัวจรดเท้า...
หน้าตาแสนธรรมดา ไม่ใกล้เคียงคำว่า หล่อเลยแม้แต่น้อย หนวดเคราก็ไม่ยอมโกน ผมจะช่วยหวีสักนิดไม่ได้หรือไง
เสื้อผ้าไร้รสนิยมนั่นมันอะไรกัน ไม่ต้องแต่งตัวด้วยของราคาแพงก็ได้ แต่ขอให้ดูดีสักหน่อยเถอะ
...พี่ชอบมันตรงไหนเนี่ย ?...
ปัดความคิดวุ่นวายออกไปจากหัว ไม่อยากเข้าไปเป็นก้างขวางคอ เวลาพี่ก็ยิ่งมีน้อยๆอยู่ ก็เลยรีบขอตัวไปว่ายน้ำ
ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้อยากจะลงสระสักเท่าไร ลอบสังเกตคนทั้งคู่จากที่ไกลๆ แต่ก็มองไม่เห็น เอาเถอะ ช่างเถอะ
พี่ไม่ได้เอ่ยปากออกมาตรงๆเสียหน่อยว่า ชอบมัน แค่พูดถึงบ่อยๆเท่านั้นเอง อาจจะคิดไปเองก็ได้
แล้วจู่ๆก็โดนพี่สาวเรียกขึ้นจากสระว่ายน้ำ ชี้แจงเหตุผลที่จะต้องไปแล้ว ซึ่งผมเองก็ไม่แปลกใจนักหรอก
ผมว่าพี่ควรไปตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้วด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที เพราะพี่ดันไม่ยอมให้ผมกลับบ้านคนเดียว
ต้องให้เจ้าผู้ชายคนนั้นไปส่ง ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่า สภาพแบบนั้น จะพึ่งพาอะไรได้
หลังจากยอมตกลง เพราะกลัวว่าพี่จะไปจัดการเรื่องราวต่างๆไม่ทัน ผมก็ต้องยอมทนตอบคำถามโง่ๆของเจ้าบ้านั่น
ที่ทำยังกับผมเป็นเด็กประถม ซึ่งผมก็ตอบไปแบบสั้นๆห้วนๆ จะได้โมโหกับความไม่มีสัมมาคารวะจนหยุดถามเสียที
แต่ก็ไม่สำเร็จ คนข้างๆยังคงถามต่อไปเรื่อยๆอย่างอารมณ์ดี จนน่าหมั่นไส้
“แล้ววันนี้ ทำไมมาว่ายน้ำล่ะ ?”
เป็นคำถามที่กระตุ้นต่อมหงุดหงิดได้ดียิ่งกว่าคำถามอื่นๆ เพราะรู้สึกว่า อีกฝ่ายไม่ได้ล่วงรู้ถึงความยากลำบากในชีวิตพี่ของเขาเลย
แม้แต่น้อย รู้บ้างหรือเปล่าว่า ตัวเองพิเศษแค่ไหน พี่พยายามแค่ไหน เพื่อช่วงเวลาสั้นๆที่จะได้เจอ
“เพราะคุณโทรมา...”
ยิ่งเห็นสีหน้างุนงงของอีกฝ่าย ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น จนเผลอพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปตรงๆ
หลังจากนี้ผมคงไม่ใช่แค่เด็กไม่มีสัมมาคารวะ แต่กลายเป็นเด็กก้าวร้าว ปากร้ายไปแน่นอน
“คุณโง่หรือเปล่าเนี่ย ?”
“คิดว่า พี่ออกไปเที่ยวกับใครที่ไหนก็ได้หรือไง ?”
“ที่จริงวันนี้พี่เองก็มีธุระ แต่พอคุณโทรมาก็เลยลากผมออกมาด้วย เป็นข้ออ้าง...”
“ถ้าไม่ใช่คุณ พี่คงตอบปฏิเสธไปแล้วล่ะ...”
ผมรอฟังคำดุว่า เพราะพูดจาชวนหาเรื่องกับผู้ใหญ่ แต่คนที่กำลังขับรถไปส่งที่บ้านกลับเงียบ สีหน้าดูเหมือนกำลังครุ่นคิด
บางอย่างอยู่ ไม่ว่าจะคิดเรื่องพี่หรือคิดเรื่องผมเป็นเด็กไม่ดีก็ช่าง เงียบปากไปได้ก็ดีแล้ว
รู้ซะบ้างนะว่า...นายน่ะมันน่ารำคาญขนาดไหน...
พี่ชอบคนแบบนี้...เข้าไปได้ยังไงเนี่ย...
กลับมาที่เรื่องสองคนนั้นเป็นแฟนกัน ใช่ๆ พอมีสถานภาพแฟน ก็เลยเจอกันบ่อยขึ้น ต้องกินข้าวเย็นด้วยกันบ่อยๆ
เข้าใจอยู่หรอกว่า มาหาพี่ แต่อย่ามาขัดจังหวะ เวลาส่วนตัวของครอบครัวตอนอาหารมื้อเย็นได้ไหม
ข้อดีอย่างเดียวคงจะเป็น ฝีมือการเล่นเกมที่ไม่เป็นสองรองใคร เพราะเมื่อก่อนผมไม่มีคู่แข่งที่ฝีมือทัดเทียมกัน
จะเล่นเกมกับใครมันก็ชนะง่ายๆ น่าเบื่อจะตาย ตอนนี้มีคู่แข่งที่เก่งพอจะลับฝีมือได้ ก็นับว่าไม่เลวร้ายเท่าไรนักหรอก
“กินข้าวได้แล้ว”
พี่สาวทำท่าจะมากระชากปลั๊กของเครื่องเล่นเกมออก ทำให้พวกเรารีบวางจอยสติ๊กลง วิ่งตรงไปยังโต๊ะอาหาร
เพื่อให้เธอพึงพอใจ และไม่ทำการดับชีวิตเครื่องเกม ทำให้ที่เล่นมาทั้งหมดสูญเปล่าในทันที
แล้วนั่นก็คือข้อเสียอีกอย่าง เล่นเกมด้วยกันทีไร สนุกจนลืมเวลาทุกที ปกติผมไม่ใช่เด็กติดเกมหรอกนะ
ยอมรับได้มากขึ้น ตอนที่ให้ช่วยตามหาพี่สาว วันนั้นสามทุ่มแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของพี่ โทรเข้ามือถือก็ปิดเครื่องตลอด
แม้จะไม่ได้พูดจาขอร้องดีๆ แต่ฝ่ายนั้นก็ไม่ได้ปฏิเสธการร้องขอความช่วยเหลือ แถมยังขับรถมารับเขาที่บ้าน
เพื่อพาไปหาพี่สาวด้วยซ้ำ โอเค ก็นับว่า เป็นผู้ชายที่พึ่งพาได้อยู่บ้างล่ะ
ในครั้งแรกที่รู้ว่า พี่อยู่โรงพยาบาลก็นึกเป็นห่วงว่า จะมีอันตรายร้ายแรงหรือเปล่า
พอเห็นหน้าก็เลยเผลอวิ่งเข้าไปหาแบบเด็กๆ กว่าจะรู้ตัวก็กอดพี่สาวแน่นด้วยความยินดีไปแล้ว น่าขายหน้าชะมัด
พอมองไปรอบๆอีกครั้ง ก็ไม่เห็นร่างของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนพี่ หายหัวไปไหนเนี่ย ?
สักพักก็ได้คำตอบว่า อีกฝ่ายปลีกตัวไปดูอาการของหัวหน้าตัวเอง ผมนึกสงสัยว่า ทำไมจะต้องดูแลกันขนาดนั้น
หรือหัวหน้าแผนกเป็นคนไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีใครคอยช่วยเหลือหรืออย่างไร
“พี่ครับ ?”
ผมเรียกชื่อพี่ เมื่อเห็นว่า สายตาคู่นั้นเหม่อมองไปทางที่ทุกคนบอกว่า เป็นทางไปห้องของหัวหน้า GM
เธอเหมือนสะดุ้งเล็กน้อย จากภวังค์ของความคิด แล้วจึงหันมายิ้มให้
“ดึกแล้ว กลับกันซะทีนะ”
“ไม่รอโฮลี่ ออเดอร์หรือครับ ?”
เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นสีหน้าแปลกประหลาดของพี่สาว มันเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งลังเลใจ ลำบากใจ
และในนั้นมีความเสียใจปะปนอยู่ด้วยเช่นกัน แต่สิ่งนั้นก็ปรากฏออกมาเพียงวูบเดียว ก่อนที่จะเหลือเพียงรอยยิ้ม
แม้ว่า ผมจะดูออกว่า รอยยิ้มนั้น ไม่ใช่รอยยิ้มที่แท้จริง แต่ก็ไม่อยากพูดออกมา เพราะรู้ดีว่า พี่อยากให้ผมสบายใจ
“ไม่เป็นไรหรอก เขาคงมีธุระยุ่งวุ่นวายน่ะ”
ผมยอมให้พี่จูงมืออย่างว่าง่าย เนื่องจากดูพี่กำลังสับสนและมีเรื่องให้คิดอยู่ในใจ จะมาเถียงกันด้วยเรื่องเดิมๆว่า ผมโตแล้ว
ไม่ชอบให้จูงมือ มันก็คงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมเท่าไรนัก ที่สำคัญคือ ผมรู้สึกว่าพี่กำลังต้องการสิ่งเชื่อมโยงที่เป็นรูปธรรม
กับคนรอบข้าง อยากได้สิ่งยึดเหนี่ยวตัวเองเอาไว้
ผมมองกลับไปยังทางที่ทอดยาวไปยังประตูห้อง ภายในห้องนั้นมีคนที่ผมไม่รู้จักอยู่และคงมีแฟนของพี่ผมอยู่ด้วย
ไม่รู้ว่า เพราะเหตุผลอะไร ถึงได้รู้สึกติดใจห้องนั้นมากนัก อยากจะเปิดเข้าไปดูว่า ด้านในพูดคุยอะไรกัน
วันนั้นเราสองคนกลับบ้าน โดยแทบไม่พูดคุยอะไรกันเลย แต่ยังคงกุมมือของกันและกันเอาไว้ จนถึงบ้าน
จากความเงียบของกรุงเทพฯยามค่ำคืน...
จากสีหน้าของพี่สาว...ซึ่งครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆ...
จากความผูกพันของการเติบโตมาด้วยกัน...
...ผมคิดว่า...ผมรู้แล้วว่า...พี่กำลังกังวลเรื่องอะไร...
...และนั่น...ทำให้ผมยิ่งเกลียดผู้ชายคนนั้น...มากขึ้นกว่าเดิม...
++++++++++
เมื่อคืนเพิ่งมีเรื่องราววุ่นวาย เช้าวันนี้พ่อก็ประกาศบนโต๊ะอาหารเรื่องที่จะไปอยู่กับอีกครอบครัวหนึ่งที่ต่างประเทศ
พี่ดูโกรธมากที่พ่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมาต่อหน้าผม ทั้งที่ตกลงกันแล้วว่า เธอจะเป็นคนบอกเอง เสียงปะทะคารมระหว่างพ่อและพี่
ไม่ใช่เรื่องที่น่าฟังนัก แต่ผมคิดว่า ไม่ควรเอ่ยอะไรเป็นการขัดจังหวะจะดีกว่า
ในความเป็นจริงแล้ว ผมไม่รู้สึกอะไรด้วยซ้ำ กับการที่พ่อจะจากไปที่อื่น สำหรับผมแล้ว ตัวตนของพ่อเบาบางจนแทบสัมผัสไม่ได้
มีเพียงช่วงเวลากินข้าวเท่านั้นที่จะมีโอกาสพูดคุยกัน พ่อมักจะนั่งอยู่ตรงระเบียงกับกระถางต้นไม้ของพ่อ ผมจำไม่ได้ว่า
พ่อเคยกอด เคยสอนการบ้าน หรือแม้แต่พูดคุยเรื่องสัพเพเหระด้วยกันสองคน ทุกครั้งที่พวกเราพูดคุย จะต้องมีพี่เป็นตัวเชื่อมโยง
มีพี่เป็นผู้นำการสนทนา ฉะนั้น ถึงจะมีหรือไม่มีพ่อ ก็ไม่ได้แตกต่างกันสำหรับผม
แต่พี่คงเป็นห่วง...ห่วงมากเกินไป...ดังเช่นทุกครั้ง...
การทะเลาะกันรุนแรงจนพ่อเก็บข้าวของออกจากบ้านไป ส่วนพี่ก็ไปนั่งซึมอยู่ที่หลังบ้าน ไม่ยอมไปทำงาน ไม่ยอมทำอะไร
ผมซึ่งไม่คุ้นเคยกับการมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์หน้าไหน แถมยังไม่รู้จักวิธีปลอบใจคน ก็ได้แต่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ
เฝ้ามอง...จนกระทั่ง...มีคนมาเยือนที่บ้าน...
พอเปิดประตูบ้านมาเห็นหน้าของคนที่ได้ชื่อว่า เป็นแฟนพี่ ความหงุดหงิดที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อ ก็พวยพุ่งขึ้นมาทันที
ยิ่งเห็นใบหน้าที่ยิ้มเหมือนไม่รู้สึกถึงความลำบากของคนอื่นสักนิด ก็อยากปิดประตูใส่หน้า แต่ยั้งใจไว้
“นาย ? มาทำไม ?”
ผมทักทายด้วยคำพูดเป็นเชิงไล่แขก แต่มีหรือ หน้าด้านอย่างนั้นจะยอมจากไป หลังจากอีกฝ่ายเริ่มต้นถามเรื่องพี่สาว
เขาก็รู้สึกใจอ่อนขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็ยังเป็นห่วง พอเห็นพี่ไม่ไปทำงาน ก็อุตส่าห์มาหาที่บ้าน
แต่มัน...เป็นแค่ความใจดี...
ความใจดี...ครึ่งๆกลางๆ...
เหมือนความรักที่พ่อให้พวกเรา...
พอนึกถึงพ่อ ผู้ชายที่ไม่ตัดสินใจอะไรให้เด็ดขาดไปสักอย่าง พ่ออยู่ที่นี่กับพวกเรา แต่เหมือนอยากจะไปอยู่กับครอบครัวทางโน้น
มากกว่า ใจของพ่อไม่อยู่ที่นี่นานแล้ว แต่พ่อทำเหมือนว่า ยังถูกความรับผิดชอบผูกมัดเอาไว้
มันเป็นความรักแบบครึ่งๆกลางๆ ที่ยิ่งทำให้คนได้รับเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก
“นายน่ะ...”
“อย่ามาหาพี่ด้วยความรู้สึกครึ่งๆกลางๆจะได้ไหม...”
“พี่มีเรื่องให้คิดมากพออยู่แล้ว อย่าทำให้พี่ต้องกังวลมากไปกว่านี้จะได้ไหม...”
ความรู้สึกในใจที่พรั่งพรูออกมาจากปาก ถ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ คงไม่มีวันพูดออกมา
โดยเฉพาะต่อหน้าผู้ชายคนนี้ คนที่เขาเกลียดแสนเกลียด แต่ต้องยอมทน เพราะเป็นคนที่พี่รัก
“ถ้าไม่สามารถให้ความรู้สึกทั้งหมดกับพี่ได้...ก็ช่วยถอยห่างออกไปได้ไหม”
“อย่าทำให้พี่ ต้องเข้าใจผิดไปมากกว่านี้เลย...”
“อย่ามาวุ่นวายกับพี่เลยนะ...”
อยากผลักไสคนคนนี้ออกไปจากชีวิต แต่รู้ดีว่าพี่ต้องการ พี่อยากให้คนคนนี้อยู่เคียงข้าง
พี่สาวไม่ใช่คนเข้มแข็ง แต่พยายามเข้มแข็งเสมอ เพื่อผม พยายามปกป้องดูแลผมเพียงลำพังเสมอมา
คนคนนี้เป็นแฟนของพี่ ผมไม่ปฏิเสธว่า เขาและพี่ดูมีความสุข ยามอยู่ด้วยกัน แต่บางสิ่งบางอย่างที่สัมผัสได้
โดยเฉพาะวันนั้น วันที่อยู่โรงพยาบาล เมื่อเขาหายตัวไป เพื่อไปหาใครคนหนึ่ง
อาจเป็นเรื่องที่คิดมากไปเองก็ได้ แต่ทำไมตัวเองกลับแน่ใจอย่างประหลาดว่า คนในห้องนั้นจะต้องสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า
พี่สาวของเขาแน่ๆ แล้วทุกอย่างก็จะลงเอยเหมือนเรื่องพ่อของเขา
...แต่เอาเถอะ...มันเป็นเรื่องของสองคนนั้น...
...ไม่ใช่เรื่องที่ผม...ควรจะยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว...
“พี่อยู่หลังบ้าน ถ้าจะไปหา ก็อย่ายืนบื้อล่ะ”
บอกที่อยู่ของพี่ไป แล้วหมุนตัวเดินห่างออกไป จะแอบดูก็ได้ แต่ไม่คิดอยากทำ เพราะตัดสินใจแล้วไม่ใช่หรือว่า
ให้เป็นเรื่องของสองคนนั้น อย่าได้เอาความคิดตัวเองไปยุ่งเกี่ยว
สุดท้ายแล้วพี่สาวก็มาหาผมด้วยใบหน้าที่ผ่านการร้องไห้มา แต่กลับมีรอยยิ้มของความสุขและออร่าแห่งความยินดีเปล่งประกาย
ออกมาจากตัว เธอบอกผมเรื่องการแต่งงาน ซึ่งทำเอาผมช็อกอยู่เหมือนกัน เพราะมันรวดเร็วมากเสียจนตั้งตัวไม่ทัน พี่เพิ่งเป็น
แฟนกับเขาไม่ถึงปีเลยนะครับ จะแต่งกันแล้วเหรอ
พอมองใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขนั้น เห็นมือของคนสองคนที่กุมกันและกันเอาไว้ ก็ต้องถอนหายใจ
แม้ต่อไปนี้ คนที่พี่กุมมือ จะไม่ใช่ผม คนที่พี่จะนึกถึงคนแรก จะไม่ใช่ผม
ถึงผมจะไม่ชอบหน้าเจ้าบ้านั่นและคิดว่า พี่จะต้องเจอคนที่ดีกว่านี้แน่
รู้ทั้งรู้ว่า...ชีวิตของพี่ อาจไม่ได้มีแต่ความสุข...
...แต่หากนั่นเป็นชีวิตที่พี่เลือก...หากเขาเป็นคนที่พี่เลือก...
...ผมก็จะเอ่ยคำว่า...ยินดีด้วยครับ...
++++++++++
งานแต่งงานของพี่ผมจัดอย่างยิ่งใหญ่อลังการ จนนึกสงสัยว่า ใช้เงินไปมากมายแค่ไหน ผมมองผู้คนมากมายที่มาร่วมยินดีแล้ว
นึกสงสัยว่า ทุกคนอยากมางานแต่งพี่ผม หรืออยากมากินเลี้ยงกันแน่ แต่เอาเถอะ พี่ดีใจก็ดีแล้วล่ะ
ระหว่างกำลังยืนทักทายคนนู้นคนนี้ข้างๆพี่สาว เจ้าบ่าวก็สะกิดเรียกผม บอกว่าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย
อยากจะด่าอยู่หรอก แต่เห็นสภาพหน้าตาเหมือนอยากตาย ก็เลยพยักหน้าส่งๆ จะไปตายที่ไหนก็ไป
แต่อย่ามาตายให้ใครเห็นแถวนี้ ผมเองก็ไม่ชอบคนเยอะๆเหมือนกัน แต่จะให้ทิ้งพี่ไว้คนเดียวก็ไม่ได้
เมื่อเห็นสัญญาณว่ารับรู้จากผม ว่าที่พี่เขยของผมก็หายตัวออกจากงานไปได้อย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ
ไม่รู้ว่า เวลาผ่านไปนานแค่ไหน ผมจึงพาพี่สาวกลับมายังห้องแต่งตัว ถามว่าเหนื่อยไหม อยากกินน้ำหรือเปล่า
“นี่ ถ้าสักวันหนึ่งโฮลี่ ออเดอร์”
มาจนถึงวันแต่งงานพี่สาวก็ยังเรียกโค้ดเนมของเขาอยู่อีกเหรอครับ แถมป้ายมงคลสมรสในงานก็ยังเป็นชื่อโค้ดเนม
จนผมนึกสงสัยว่า บริษัทนี้ลืมไปแล้วหรือยังว่า ลูกน้องตัวเองชื่ออะไรกันบ้าง หรือพี่เองก็ลืมชื่อสามีตัวเอง
หวังว่า เจ้าบ้านั่นคงเซ็นชื่อลงในทะเบียนสมรสถูกนะ ไม่ใช่เขียนโค้ดเนมลงไป
“มาฟังดีๆสิ อย่าเดินไปเดินมาแบบนั้น”
พี่สาวดึงตัวผมให้หยุดเดินวนไปมา ผมจึงนั่งยองๆลงกับพื้น เพื่อให้สายตาอยู่ในระดับสายตาเดียวกับพี่ที่นั่งบนเก้าอี้
วันนี้พี่สวยมาก ดูมีความสุขมากจริงๆ ถึงคนที่แต่งงานด้วยจะเป็นเจ้าบ้าที่ไม่คู่ควรสักเท่าไร แต่ทำให้พี่มีความสุขได้ขนาดนี้
ก็ควรขอบคุณมันสินะ
“สักวันหนึ่ง...หากโฮลี่ออเดอร์...”
“เลือกคนอื่น...เหมือนพ่อ...”
ผมกำลังจะอ้าปากขัด พี่มาพูดเรื่องอะไรในวันมงคลแบบนี้ เหมือนพูดว่า สามีจะทิ้งพี่ไปในสักวันหนึ่ง
โอเค ถึงผมจะไม่ได้ถือเรื่องโชคลางสักเท่าไร แต่มาพูดในวันงานแต่ง ผมว่า ไม่ค่อยดีเท่าไรนะ
“ช่วยปล่อยเขาไปเถอะนะ...”
ผมนึกสงสัยว่า มันทำเสน่ห์ยาแฝดใส่พี่หรือเปล่า ถึงได้รักได้หลงมันขนาดนี้ ยอมปล่อยให้มันไปหาคนอื่นทั้งที่ตัวเองเป็นภรรยา
ที่ถูกต้องตามกฎหมาย แถมมีสักขีพยานในงานแต่งเป็นคนเกือบทั้งบริษัทเนี่ยนะ ใจกว้างไปไหมครับ พี่
“พี่รู้...ว่าคนที่เขารักไม่ใช่พี่...”
“พี่รู้ ?”
แม้จะทวนคำเหมือนสงสัย แต่ที่จริงผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่า พี่รู้ จากสายตาในวันนั้นที่พี่มองทางเดินซึ่งทอดยาว
ในโรงพยาบาลสู่ประตูห้องที่มีใครคนหนึ่งอยู่ ในเมื่อพี่รู้ แล้วตกลงแต่งงานกับเขา ทำไมครับ
ถึงจะอยากถามแบบนั้น แต่แน่นอนว่า ไม่กล้าถามออกไป จึงได้แต่นิ่งเงียบ
“แต่พี่ต้องการใครสักคนมาอยู่ข้างๆ...”
“ถึงจะเป็นการเหนี่ยวรั้งไว้แบบโง่ๆ แต่พี่ก็อยากใช้ชีวิตร่วมกับเขา”
“อย่าว่าพี่เลยนะ...”
ผมเอื้อมมือไปโอบกอดพี่สาวเอาไว้ วันนั้นผมแน่ใจว่าพี่มีความสุข ที่ได้แต่งงานกับคนที่พี่รัก
แม้พี่จะรู้ว่า เขาไม่ได้รักพี่ที่สุดก็ตาม ผมไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกนั้นและไม่เห็นด้วยกับความคิดนั้นเท่าไรนัก
แต่สุดท้ายแล้ว ผมก็เอ่ยบอกถ้อยคำที่เชื่อว่า พี่อยากจะฟังจากปากผมมากที่สุด
“ผมไม่ว่าพี่หรอกครับ...”
“ผมเชื่อว่าเขา...จะทำให้พี่มีความสุขได้...”
ถ้าถามหัวใจในตอนนี้ ผมตอบไม่ได้หรอกว่า ผมพูดเรื่องจริงหรือเพียงแค่อยากให้พี่สบายใจเท่านั้น
ตอนที่เขาเดินเข้ามาในชีวิต พี่ดูสดใสขึ้น มีชีวิตชีวา มีความสุข แต่ในขณะเดียวกัน มันเหมือนพวกเราจำเป็นต้องดิ้นรน
เพื่อไขว่คว้า เหนี่ยวรั้งความสุขที่เคยได้สัมผัสเอาไว้กับตัว แบกรับความกลัวว่า มันจะหลุดลอยไปเอาไว้
“ถ้าพี่ร้องไห้ ผมจะฆ่ามันเอง...”
มีแต่ประโยคนี้เท่านั้นที่ผมมั่นใจว่า เป็นความจริงจากหัวใจ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ผมจะปกป้องพี่เอง
จะไม่ให้ใครมาแตะต้องหรือทำร้าย ถึงจะเป็นคนที่พี่รัก หากมันมาทำให้พี่เจ็บปวด
...ผมนี่แหละ...จะฆ่ามันเอง...
++++++++++
หลังจากงานแต่งงาน บ้านเราก็ยังคงมีสมาชิกเท่าเดิมคือ 3 คน เพียงแต่ไม่ใช่ผม พี่สาวและพ่อ แต่เป็นผม พี่สาวและพี่เขย
ทุกครั้งที่คิดว่า ต้องเรียกเจ้านั่นเป็นพี่เขยหรือพี่ชาย นึกอยากจะกัดลิ้นตัวเองตายทุกที
ไม่นานนักผมก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ต้องการได้ และได้รับอนุญาตจากพี่สาวให้ไปอยู่หอพัก
ปล่อยให้คู่ข้าวใหม่ปลามัน อยู่บ้านกันสองคน ไม่อยากจะรบกวน เห็นแล้วมันรู้สึกพิกล
แต่ก็ต้องยอมรับว่า พี่ดูสดใสขึ้นมาก หลังจากมีคนอยู่เคียงข้าง เป็นคนที่จะร่วมชีวิตกัน แบ่งปันทุกข์และสุข
พอเห็นพี่เป็นแบบนั้น ก็ต้องยอมรับ แม้ไม่ชอบขี้หน้าสักเท่าไร แต่ถ้าทำให้พี่สาวมีความสุขได้ ก็โอเค
ฉันจะยอมรับว่า นายเป็นพี่เขยก็ได้ แต่จะไม่เรียกหรอกนะ มันกระดากปาก
ผมใช้ชีวิตมหาวิทยาลัยอย่างคุ้มค่า ทั้งการเรียนและกิจกรรม ต้องทำอย่างเต็มที่ จึงไม่ค่อยได้กลับบ้าน หมกตัวอยู่ที่หอ
ตลอดทั้งเทอม เพราะมั่นใจว่าพี่มีความสุขดี และมีคนดูแล แม้จะเป็นคนดูแลที่ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวนัก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว อีกไม่นานผมก็จะจบการศึกษาแล้ว พร้อมๆกับคู่แต่งงานในบ้านที่กำลังจะฉลองครบรอบปีที่สี่
ของการแต่งงาน แต่ทั้งคู่ยังเหมือนเป็นคู่แต่งงานใหม่ บางทีก็หวานกันเสีย จนผมรู้สึกว่า ตัวเองเป็นส่วนเกิน
ถึงจะรู้สึกแปลกๆ แต่ความคิดที่จะออกไปอยู่คนเดียวก็ไม่มีอยู่ในสมอง แน่ล่ะ ผมจะต้องกลับไปอยู่บ้าน เพื่อดูแลพี่
จะแน่ใจได้อย่างไรว่า เจ้าบ้านั่น ไม่ไปมีกิ๊กที่ไหน ให้พี่เจ็บปวด ช้ำใจ
“วันนี้มีเค้กแครอทของโปรดนะจ๊ะ”
ผมยิ้มรับ ขณะที่วางกระเป๋าลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น พี่สาวเดินออกมาจากครัว เพื่อบอกว่า เมนูของว่างวันนี้มีอะไร
ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ได้ยินเสียงพี่ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี เหมือนเช่นทุกครั้งที่กลับบ้าน
เค้กแครอทนั้น ไม่ใช่ของที่ผมโปรดปรานเท่าไรนัก รสชาติมันก็อร่อยดี หากเป็นของที่พี่ทำ ที่จริงไม่ว่าพี่ทำอะไร
ก็อร่อยหมดนั่นแหละ เพียงแต่ผมอยากแกล้งเจ้าบ้าที่เกลียดแครอทจนเข้าไส้ แอบเขี่ยทิ้งทุกครั้งที่พี่สาวไม่เห็น
ฉะนั้นก็เลยแกล้งขอเค้กแครอททุกครั้งที่พี่สาวถามว่า อยากกินอะไร เพราะจะให้ตอบว่า อยากกินผัดแครอท มันก็แปลกๆ
ไปๆมาๆ กลายเป็นว่า ถ้าเมื่อไหร่เขาโทรมาบอกว่า จะกลับบ้าน จะต้องมีเค้กแครอทหอมกรุ่นรออยู่ทุกครั้ง
“เดี๋ยวรอกิน หลังกลับมาพร้อมกันก็ได้ครับ”
ผมรีบพูดดักไว้ก่อน ไม่งั้นพี่จะเดินเข้าไปตัดเค้กหนึ่งชิ้นมาเสิร์ฟพร้อมชา หรืออาจเป็นโกโก้ร้อนๆ ตอนนี้ผมไม่หิวเท่าไรนัก
รอกินหลังอาหารจะดีกว่า ลิ้มรสชาติของเค้ก พร้อมดูสีหน้ากล้ำกลืนของใครบางคนแกล้มไปด้วย ถึงจะสนุก
“พี่สบายดีใช่ไหมครับ ?”
ผมสังเกตลักษณะท่าทางของพี่แล้ว แม้จะอารมณ์ดี แต่ร่างกาบซูบลงไปหรือเปล่า ทำไมเขาถึงรู้สึกแปลกๆ
แน่นอนว่าพี่สาวปฏิเสธอย่างนุ่มนวลตามปกติ ผมจึงไม่อยากคาดคั้นอะไรอีก
ได้ยินเสียงเปิดประตูรั้ว คุณพี่ชายตามกฎหมายคงกลับมาถึงบ้านแล้ว ยังไม่ทันจะคิดอะไรต่อ ร่างนั้นก็เปิดประตูแล้วก้าวเข้ามา
ในบ้าน แถมยังเอ่ยทักทายผมแบบกวนนิดๆ ผมเองก็ตอบกลับแบบเจ็บแสบไม่แพ้กัน ก่อนที่เจ้าตัวจะหันไปสวีทหวานกับพี่สาว
โดยไม่สนว่ามีคนนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้คนหนึ่ง
พวกเราโดนไล่ออกไปทำงานในสวน เพราะพี่สาวไม่อยากให้เล่นเกมกัน ระหว่างรอเธอทำอาหาร สงสัยจะกลัวพวกเราไม่ยอมเลิก
จนต้องใช้อาญาสิทธิกระชากปลั๊กไฟ จึงจะน้อมรับบัญชาแต่โดยดี
ผมจึงถือโอกาสถามเรื่องสุขภาพของพี่ กับคนที่อยู่ด้วยกันตลอดว่า สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติไหม
“โทษที แต่บังคับให้ไปหาหมอไม่ได้”
นั่นคือคำตอบที่ผมคาดเดาอยู่แล้วว่าจะได้รับ เห็นอย่างนี้แต่พี่เป็นคนดื้อ ยากที่ใครจะมาบังคับกะเกณฑ์ได้
ระหว่างที่ผมหันกลับไปมองทางครัว นิ่งคิดวิธีการหลอกพาพี่สาวไปโรงพยาบาลให้ได้
เสียงอะไรบางอย่างก็ดังขึ้น เหมือนเสียงถ้วยชามหล่นลงกระทบพื้น แตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงอะไร
พวกเราทั้งสองคนก็รีบวิ่งไปยังห้องครัวทันที
จากการบังคับด้วยการขึ้นเสียงเล็กน้อย พี่ก็ยอมมาโรงพยาบาล ผมรีบพาพี่สาวเข้าไปตรวจอาการ ซึ่งหมอก็ดูแปลกใจกับ
ผลการตรวจที่ปรากฏขึ้นในกระดาษ หลังจากตรวจสอบเพิ่มเติมอีกหลายหน ผมก็สังเกตเห็นว่า ใบหน้าของแพทย์เคร่งเครียดขึ้น
เรื่อยๆ จนนึกอยากถามออกไปตรงๆว่า มีอะไรหรือครับ
“พี่สาวของคุณมีอาการของโรคที่ค่อนข้างแปลกน่ะครับ”
โรคนี้เป็นโรคใหม่ที่วงการแพทย์เพิ่งพบไม่นาน แต่ผู้คนมีแนวโน้มจะเกิดเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะสันนิษฐานว่า
ต้นตอของโรคมาจากการใช้ระบบสมองจูนเข้ากับเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลาย แต่ในเมื่อยังพิสูจน์ไม่ได้ จึงไม่สามารถประกาศห้าม
หรือแจ้งเตือนได้ เพราะคงโดนพวกนายทุนทั้งหลายต่อต้านว่า ออกข่าวโจมตี สร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจ
“เพราะว่าเป็นโรคใหม่ ที่นี่ยังไม่มีเครื่องมือเพียงพอจะให้การรักษา”
“แต่ถ้าเป็นที่ต่างประเทศล่ะก็...”
จากนั้นคุณหมอก็ให้คำแนะนำเรื่องโรงพยาบาล และยินดีอย่างยิ่งที่จะเป็นธุระติดต่อ เพื่อส่งตัวไปรักษาต่อ
ผมรับฟังทุกอย่าง และพยายามจดจำรายละเอียดให้ครบถ้วน แม้ว่าตอนนี้สมองจะมึนชาจากความรู้สึกเป็นห่วงและกังวล
สุดท้ายก็กล้ำกลืนทุกอย่างลงไป แล้วทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้ในตอนนี้ เพื่อช่วยพี่
พอออกมาจากห้องหมอ คิดว่าต้องรีบแจ้งข่าวให้กับใครอีกคนหนึ่งซึ่งคงเป็นห่วงพี่ไม่แพ้กัน ตอนนี้อาจกังวลจนแทบบ้า
เพราะไม่ได้รู้ข่าวคราวอะไรเลย ทำได้เพียงแค่รอเท่านั้น แต่ผิดไปจากที่คิด เจ้าบ้านั่นกลับไปยืนคุยกับใครสักคนอยู่
เมื่อสังเกตดีๆแล้ว ผมก็รู้ในที่สุดว่าเป็นใคร
หัวหน้า GM...คุณเกียร์...
ผมนึกสงสัยมาตลอด ตั้งแต่เหตุการณ์ที่โรงพยาบาลในวันนั้น ว่าเบื้องหลังประตูห้องนั้นมีคนแบบไหนกันนะ
รู้เพียงแต่เป็นหัวหน้า GM ซึ่งผมก็มีโอกาสได้พบตอนงานแต่งงานของพี่ เขาเป็นคนที่ดูดี มีบุคลิกอบอุ่น อ่อนโยน
ไม่ว่าใครที่ได้มีโอกาสพูดคุย ก็คงจะรู้สึกสบายใจ แม้แต่ผมเองที่เกลียดผู้คน ยังรู้สึกดีที่ได้พูดคุยกัน
ด้วยเหตุผลนั้น...ผมจึงจดจำใบหน้านั้นได้อย่างแม่นยำ...
ความรู้สึกแย่ๆยิ่งโหมกระหน่ำเข้ามาในใจ เหมือนถูกตอกย้ำว่า คนที่พี่รักและต้องการให้อยู่เคียงข้างนั้น เห็นความสำคัญของ
คนอื่นยิ่งกว่าภรรยาตัวเอง แม้พี่จะรู้ดีและยอมรับในข้อนั้น แต่ผมไม่มีทางยอมแน่ เพราะมันเป็นเรื่องที่ทำให้พี่ต้องเสียใจ
ผมเกลียดมัน ผมเกลียดที่พี่รักมัน ทั้งที่มันไม่ได้รักพี่ที่สุด
“ถ้าห่วงมากนัก ก็ไปกับทางนู้นเลยไป”
คำพูดที่ออกจากปากเป็นคำขับไล่ไสสง แต่รู้ดีว่า ที่จริงอยากเหนี่ยวรั้งคนคนนี้ไว้ต่างหาก
เพราะพี่สาวคงไม่อาจมีชีวิตเพียงลำพังได้ พี่สาวคงไม่อาจมีความสุข หากไม่มีเจ้าบ้านี่อยู่เคียงข้าง
พี่เองก็รักนาย ส่วนนายเองก็ดูแลเอาใจใส่พี่เป็นอย่างดี ทั้งที่ใครๆก็บอกว่า คู่นี้ดูมีความสุขมากกว่าใครๆ
แล้วทำไมนาย...ถึงไม่รักพี่ที่สุด...ถึงไม่ห่วงใยและเห็นความสำคัญของพี่มาเป็นอันดับแรก...
ฉันอยากบอกความรู้สึกที่แท้จริงในใจฉัน...
ฉันเกลียดนาย...แต่พี่รักนาย...
ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย...แต่พี่ต้องการนาย...
ฉะนั้น...ช่วยอยู่ข้างๆพี่ตลอดไปได้ไหม...
...ฉันขอร้องนาย...โฮลี่ออเดอร์...
++++++++++
โมโห...โมโห...โมโห...
ทำไมถึงไม่ฟังกันบ้างนะ...
ในตอนนี้ในสมองผมมีแต่เรื่องพี่ โกรธก็โกรธ แต่ห่วงก็ห่วง จนไม่รู้ว่า ควรทำยังไงดี ขอร้องก็แล้ว เถียงกันก็แล้ว
ทำยังไงพี่ถึงจะยอมไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ ในเมื่อมีทางรักษา ทำไมพี่ถึงไม่ยอม ไม่เข้าใจเลยสักนิด
แม้จะออกจากบ้านมาสักพักหนึ่ง กำลังยืนรอรถเมล์ เพื่อไปต่อรถตู้กลับไปยังหาที่มหาวิทยาลัย
รู้สึกได้ว่า กระเป๋าที่สะพายอยู่ข้างตัวนั้นอุ่น เพราะมีเค้กที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆถูกยัดอยู่ข้างใน
ถึงอากาศจะร้อนจัด จนกระทั่งใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ แต่เขากลับยังอยากสัมผัสความอบอุ่นนั้น
...ความอบอุ่นของพี่...
พอกลับไปถึงมหาวิทยาลัย ก็มีเรื่องรายงานและการเรียนมากมาย จนไม่เหลือเวลาให้นั่งจมอยู่กับความเครียด
ระหว่างที่กำลังฟาดฟันกับรายงานและการบ้านกองมหึมาซึ่งอาจารย์ทั้งหลายพร้อมใจกันมอบให้
ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ฟังจากเสียงเรียกเข้าก็รู้ว่า ใครโทรมา จึงตัดสินใจว่า จะไม่รับ
เพราะรู้ดีว่า รับไป ก็ต้องมีเรื่องทะเลาะกันให้ปวดหัวเปล่าๆ คนโทรเองก็คงรู้ว่าผมคิดอย่างไร เพราะไม่นานนัก ก็ยอมหยุดโทร
แต่สักพักก็มีเสียง SMS ดังขึ้น ผมหยิบมือถือขึ้นมากดอ่านข้อความ แล้วก็ต้องรีบโทรกลับไปหาพี่ในทันที
น้ำเสียงของผมในตอนนี้คงจะฟังดูยินดีแบบสุดๆ เพราะในที่สุดพี่ยอมฟังคำขอร้องของผม ยินดีที่จะไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ
จากการพูดคุยกันสักพัก ผมพอจะรู้ว่า คนที่ทำให้พี่เปลี่ยนใจก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คุณสามีที่รักของคุณพี่ ซึ่งปกติก็เห็นหุบปากนิ่ง
ไม่กล้าเถียงภรรยา แต่พอเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ก็พูดโน้มน้าวพี่ได้สำเร็จ
...ต้องขอบคุณล่ะนะ...
เป็นครั้งแรกที่นึกขอบคุณคนคนนั้นจากใจจริงๆ แม้ลึกๆแล้วจะเจ็บนิดๆที่พี่ไม่ฟังเขา แต่กลับฟังเจ้าบ้านั่น
ท่าทางชีวิตนี้คงจะต้องผูกเจ้านั่นให้ติดอยู่กับพี่ จะล่ามโซ่เอาไว้ ไม่ให้หนีไปไหนเลย คอยดู
ว่าแล้วก็รีบเคลียร์รายงานและการบ้านอย่างรวดเร็วที่สุด เพื่อจะกลับไปค้างที่บ้าน
อยากจะอยู่กับพี่ให้มากที่สุด...เพื่อเป็นกำลังใจ...
แม้มันอาจ...ไม่ใช่สิ่งที่พี่ต้องการก็ตาม...
เป็นเวลาหลายวันที่ผมไปมหาวิทยาลัยจากบ้าน และปฏิเสธการเข้าร่วมกิจกรรมทุกชนิด ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เพื่อตรงดิ่งกลับบ้าน
ถึงจะเสียเวลาเดินทางร่วมสี่ชั่วโมง แต่ผมก็ยังดิ้นรนกลับมากินข้าวเย็นกับพี่สาว
ที่น่าขำคือ พี่สาวทำเค้กแครอทแทบทุกวัน จนผมยังนึกสงสารเจ้าบ้านั่นขึ้นมานิดหน่อย แต่พอเห็นหน้าตาที่ยิ้มแห้งๆ
พร้อมกับคำชมว่าอร่อย ทั้งที่ฝืนกล้ำกลืนก้อนเค้กที่ทำจากผักซึ่งเกลียดแสนเกลียด ก็รู้สึกว่า อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันนะ
“วันนี้ โฮลี่ ออเดอร์จะกลับช้าหน่อย”
“หิวไหม ? รอกินข้าวพร้อมกันไหวไหม”
ผมพยักหน้ารับ ขณะที่มือยังคงเขียนรายงานไม่หยุด พี่สาวเองก็ตีความไปแล้วว่า ผมรอได้ ทั้งที่จริงๆมันอาจหมายความว่า
ผมหิวแล้วครับ ก็ได้ แต่ช่างเถอะ กินช้าหน่อยก็ดี จะได้มีเวลาทำรายงานอย่างต่อเนื่อง
“ขอโทษนะ ที่ทำให้เป็นห่วง”
“ถ้ารู้ ก็อย่าทำให้เป็นห่วงสิครับ”
“สองคนนี่ พูดเหมือนกันเลยน้า”
ผมคงเผลอทำหน้าตาไม่พอใจออกไป เพราะพี่สาวหัวเราะทันที แน่ล่ะ ใครจะอยากเหมือนเจ้าบ้านั่น
ระหว่างที่กำลังจะอ้าปากบอกความคิดในใจ อยู่ดีๆของในมือพี่ก็ร่วงหล่นลงมาที่พื้น
เสียงของช้อนส้อมที่กระทบพื้น ดังจนแสบแก้วหู แต่นั่นไม่ได้ทำให้ตกใจเท่ากับมือทั้งสองที่สั่นอย่างควบคุมไม่ได้
“พี่ฮะ !!”
ผมกระโจนออกไปหาพี่อย่างรวดเร็ว ตัวของพี่สั่น คงไม่ใช่เพราะความกลัว แต่อาจเป็นอาการอะไรสักอย่าง
ในตอนที่กดเบอร์โทรศัพท์เรียกรถพยาบาลนั้น มือผมเองก็สั่นเช่นกัน ผมรู้สึกกลัวมาก กลัวอยากบอกไม่ถูก
แต่พี่ที่กำลังอาการไม่ดี กลับเป็นฝ่ายกุมมือผม แม้ว่ามือของพี่จะสั่นเทา แต่กลับอบอุ่น
...เหมือนจะปลอบโยน...ผมที่กำลังหวาดกลัว...
ตอนที่ไปถึงโรงพยาบาลนั้น ผมเห็นผู้คนวิ่งวุ่นวายเอาเครื่องมือมาช่วยชีวิต ผมถูกห้ามไม่ให้ตามเข้าไป จึงมานั่งสงบสติอารมณ์
นึกขึ้นมาได้ว่า ยังไม่ได้โทรบอกเจ้าบ้านั่น ก็เลยรีบโทรไปหา รู้สึกได้ว่าตัวเองยังคงพูดสับสน แต่ก็พยายามย้ำสถานที่ให้ชัดเจน
หวังว่า เจ้าบ้านั่น คงรีบมานะ
ผมนั่งภาวนาอยู่หน้าประตูห้อง รู้สึกว่า ทำไมแต่ละชั่วโมง แต่ละนาที มันถึงได้ยาวนานนัก
สวดอธิษฐานแก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถืออยู่ในใจ สลับกับกดโทรศัพท์โทรหาคนที่ไม่มาเสียที
ระหว่างที่กำลังจะกดโทรออกไปอีกเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้ หมอก็เดินออกมาจากห้อง
“ขอโทษนะครับ แต่ว่าเครื่องมือที่นี่มีไม่พอ”
“ขอให้เตรียมใจไว้ด้วยครับ”
“แล้ว...เออ...”
ดูหมอจะไม่แน่ใจสิ่งที่จะพูดต่อไป จนผมต้องถามย้ำว่า อะไรหรือครับ ?
“เหมือนคนไข้จะพูดคำว่า...โฮลี่ ออเดอร์...ตลอดเลยครับ...”
ผมรู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างตีเข้าอย่างจัง ในวินาทีแห่งความเป็นความตาย พี่คิดถึงใครคนหนึ่งอย่างสุดหัวใจ
แต่เจ้าบ้านั่น มันไปมุดหัวอยู่ที่ไหนนะ ทำไมยังไม่มาอีก รถจะติดให้ตายยังไง ก็น่าจะมาถึงแล้ว
ผมกดโทรศัพท์โทรออกอีกครั้ง ปลายสายยังคงไม่รับโทรศัพท์ตามเดิม แม้ว่าจะโทรสักกี่หนก็เหมือนเดิม
ผมควรจะทำอย่างไรดี ? ผมควรจะทำยังไง ? ผมจะต้องทำอย่างไรครับ พี่ ?
ผมก้าวเข้าไปในห้องของพี่ เครื่องมือทั้งหลายที่ไม่อาจช่วยชีวิต ถูกถอดออกจนหมด บนเตียงนั้น
พี่ยังคงยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนดังเดิม แม้รู้ดีว่า เวลาของตัวเองกำลังจะหมดลง ช่วงเวลาที่ต้องต่อสู้กับความตาย
พยายามมีชีวิตอยู่ให้นานที่สุด เพียงเพื่อความปรารถนาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น อยากจะพบใครคนหนึ่งเป็นครั้งสุดท้าย
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะแตกสลาย ราวกับโลกที่มีชีวิตอยู่ค่อยๆพังทลายลงตรงหน้า
แม้แต่ความหวังครั้งสุดท้ายของพี่ ผมก็ยังไม่สามารถจะช่วยอะไรได้เลย ทั้งที่โศกเศร้าเสียใจจนแทบบ้า
แต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว อาจเพราะทุกอย่างในตัวกำลังหยุดลง ไปพร้อมๆกับชีวิตของพี่
“มานี่สิ”
เสียงของพี่นั้นแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน ผมก้าวเดินไปหาอย่างช้าๆ แล้วกุมมือพี่แน่น
มือที่จูงผมเดินข้ามถนนตอนเด็กๆ มือที่ทำอาหารแสนอร่อย มือที่ลูบหัวปลอบโยนผม ยามเมื่อพบเรื่องทุกข์ใจ
เป็นมือที่แสนอบอุ่น แม้ในตอนนี้ที่แสงเทียนแห่งชีวิตริบหรี่ลงจนแทบมอดดับ มันก็ยังอบอุ่น
“รออีกเดี๋ยวนะครับ สักพักพี่ก็จะเห็นไอ้บ้านั่นวิ่งหน้าตื่นมา”
“หน้าตาต้องดูไม่ได้แน่ๆ ต้องตลกแน่ๆเลยครับ”
เสียงที่พูดออกไปนั้นสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้ อยากจะเล่าให้เป็นเหมือนเรื่องตลก อยากให้พี่สาวสบายใจ
แต่ในตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตายตามพี่ไป เพราะไม่อาจทนความโดดเดี่ยวที่จะต้องเผชิญได้
การถูกทิ้งไว้เพียงคนเดียว มันน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้เชียวหรือ มนุษย์เราไม่อาจอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียวจริงๆสินะ
“ช่างเถอะจ้ะ ช่างเขาเถอะ”
“แต่ว่า...”
“พี่น่ะ อยากขอโทษที่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันให้นานกว่านี้”
“พี่อยากเห็นเธอโต อยากเห็นคนที่เธอรัก อยากเห็นเธอแต่งงานและสร้างครอบครัวที่มีความสุข”
มือของพี่นั้นบีบมือผมเบาๆอย่างอ่อนแรง คงเห็นว่า ใบหน้าของผมมันจวนเจียนจะร้องไห้อยู่แล้ว
ที่จริงผมไม่ได้กลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่มันอึดอัดจนไม่อาจร้องไห้ได้ ไร้ซึ่งทางระบายความเศร้าออกมา
“พี่ขอโทษนะจ้ะ...”
“เข้มแข็งไว้นะ...เธอไม่ได้อยู่เพียงคนเดียวบนโลกนี้หรอก”
“คนคนนั้น...เขาคงยินดีที่จะช่วยเหลือเสมอ”
ผมรู้ว่าคนคนนั้นของพี่หมายถึงใคร ไอ้บ้าที่ไม่ยอมมาเสียที ไอ้บ้าที่พี่รักหมดใจ แต่กลับไม่โผล่หัวมาให้เห็นในเวลานี้
เป็นครั้งแรกที่อยากเห็นหน้ามัน อยากให้มันมาอยู่ตรงนี้ มาเสียทีสิ ไอ้บ้าเอ๊ย
“กับไอ้บ้า...แล้งน้ำใจนั่น...ไม่เอาหรอก...”
พี่กลับหัวเราะเบาๆ เหมือนจะขำ ยกมือขึ้นลูบหัวผมเป็นเชิงเอ็นดู สัมผัสเบาๆจากมือนั้น ทำให้ผมยิ่งอยากยื้อแย่งดวงวิญญาณนี้
จากมัจจุราช อย่าพรากพี่จากไปเลยนะ จะแลกด้วยสิ่งใดก็ได้ ขอเพียงพี่มีชีวิตอยู่
“อย่าได้โกรธเกลียดเขาเลยนะ...การที่เขาไม่มา เขาคงมีเหตุผลของเขา”
“อะไรจะสำคัญกว่าภรรยาตัวเองที่กำลังป่วยอยู่”
พี่มองผม เหมือนกับจะถามว่า ไม่รู้จริงๆ หรือแค่แกล้งบ่นกันแน่ เมื่อผมไม่พูดอะไรต่อ พี่จึงได้คำตอบว่า ผมไม่รู้จริงๆว่า
มีสิ่งใดสำคัญกับเจ้าบ้านั่น มากกว่าภรรยาที่กำลังป่วยและอาจจากไปได้ทุกเมื่อ
“คนที่เขารักที่สุดไงล่ะ...”
แม้เสียงที่พี่พูดนั้นจะแผ่วเบา จากความเหนื่อยล้าของร่างกายที่ต้องต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ หากแต่มันกลับหนักแน่นในความรู้สึก
ของคนที่ได้ยิน เสียงนั้นไม่ได้เจือความโกรธ ความอิจฉาหรือความน้อยเนื้อต่ำใจเลย แม้แต่น้อย
เหมือนเธอกำลังพูดเรื่องปกติ ธรรมดาทั่วไป ไม่สิ น้ำเสียงแสดงออกถึงความรักที่มีต่อคนที่ถูกพูดถึงด้วยซ้ำ
“คนที่รักที่สุด ก็ควรจะเป็นภรรยาไม่ใช่หรือครับ”
“ก็น่าจะเป็นแบบนั้น แต่สำหรับโฮลี่ ออเดอร์คงจะไม่ใช่”
ใบหน้าของคนที่ผมเคยเห็นเพียงไม่กี่ครั้ง ปรากฏชัดในสมอง ทั้งที่ไม่น่าจะจดจำได้ด้วยซ้ำ แต่มีอะไรบางอย่างที่ทำให้
ผมรู้สึกติดใจคนคนนี้ พี่สาวเองก็เคยพูดไว้ตั้งแต่วันแต่งงานถึงเรื่องความสัมพันธ์ในอดีตของคนที่เธอรัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป
เกือบสี่ปี ผมก็เกือบจะลืมเลือนคำพูดของพี่ในวันนั้น
“ตลอดมา เขาทำหน้าที่สามีอย่างดีที่สุด ดูแลเอาใจใส่พี่เสมอ...”
“นั่นทำให้พี่รักเขามากขึ้นทุกวัน แต่สำหรับเขา พี่ไม่ใช่ที่หนึ่ง...”
“ไม่ใช่คนที่เขารักที่สุด...”
ใครจะไปคิดว่า คู่สามีภรรยาที่ใครๆก็ว่า เป็นต้นแบบของคู่ชีวิตที่แสนสมบูรณ์และมีความสุขนั้น ลึกๆลงไปแล้ว คนที่เป็นภรรยา
รู้ว่า ในใจของสามียังคงมีที่ให้ใครคนหนึ่งอยู่เสมอ ไม่คิดจะขัดขวางหรือถือโกรธ แต่กลับยอมรับ
“อย่าได้โกรธ...อย่าได้เกลียดเขาเลยนะ...”
“เขาทำทุกอย่างดีที่สุดแล้ว เท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้...”
“คนเรา...จะหลอกตัวเองไปตลอด...ไม่ได้หรอกนะ...”
เสียงของพี่เริ่มแหบพร่า เหมือนแทบไม่มีแรงจะพูด แต่เมื่อผมกำลังจะออกปากห้าม ไม่ให้พูดอะไรอีก พี่กลับเป็นฝ่าย
เอานิ้วแตะปากผม เป็นเชิงว่า ฟังพี่ก่อน อย่าเพิ่งพูดอะไร
“พี่อยากให้เธอสองคน มีความสุขมากกว่าใครๆ...”
“ถึงแม้พี่จะไม่อยู่แล้ว แต่อยากให้พวกเธอสองคนเป็นครอบครัวกันเหมือนเดิม...”
“ช่วยเหลือกัน ดูแลกัน...”
“รักกัน...”
น้ำตาหยดใสๆไหลลงมาจากดวงตากลมโตที่งดงามของพี่ ผมไม่เข้าใจถึงความหมายของมันเท่าไรนัก
รู้แต่เพียงว่า พี่พูดสิ่งที่อยากพูดจนหมดแล้ว พี่คงไม่ต่อสู้กับความตายที่ทำให้เจ็บปวดอีกต่อไป ตั้งใจจะหลับอย่างสงบ
ผมได้ยินเสียงพึมพำ แต่ฟังไม่ค่อยได้ศัพท์ว่าเป็นอะไร เหมือนพี่คงไม่อาจรับรู้สิ่งรอบข้างได้อย่างชัดเจน
“โฮลี่...ออเดอร์...”
สิ่งนั้นเป็นคำพูดเดียวที่ผมจับความได้ จากเสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยินของพี่ ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดลง
ในห้องนั้นเงียบสนิท ไม่มีเสียงใดๆ อีกต่อไป มันเงียบเสียจน เหมือนทุกอย่างในห้องนั้นได้ตายไปจนหมด
ผมก้มลงจูบเบาๆที่แก้มของพี่ ดังเช่นที่เคยโดนบังคับให้ทำอยู่เสมอ เมื่อครั้งเป็นเด็ก
“ลาก่อน ฝันดีนะครับพี่”
ผมเดินออกมานอกห้อง ทรุดตัวลงนั่งอยู่ในเก้าอี้ตรงนั้น เหมือนเรี่ยวแรงทั้งหมดเหือดหาย โลกตรงหน้าจะดับวูบลง
ความตาย น่ากลัวเพราะมันคือการพรากจาก การถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง การต้องใช้ชีวิตโดยปราศจากคนคนนั้น
ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาตามทางเดิน ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนสงบนิ่งอยู่ตรงหน้าผม ใบหน้านั้นแสดงออกถึงความเจ็บปวด
และเสียใจอย่างสุดซึ้ง ในตอนนั้นความโกรธเข้ามาบดบังความเศร้าจนหมดสิ้น ผมลุกขึ้นยืนกระชากคอเสื้อ
ตะโกนถามด้วยเสียงดัง ลืมเลือนไปแล้วว่า ที่นี่เป็นโรงพยาบาลที่ต้องการความสงบ
“หายหัวไปไหนมาวะ !!”
โผล่หัวมาทำไมตอนนี้ มาเอาตอนนี้ จะมีประโยชน์อะไร พี่จากไปแล้ว จากไปอย่างไม่มีวันกลับมา
พี่เรียกชื่อนั้น เรียกแก แม้แต่ตอนที่สติตัวเองเริ่มพร่าเลือน ก็ยังพึมพำออกมาเป็นชื่อแก
“แก...แก...แกหายไหน...”
“พี่เรียกหาแกตลอดเลยนะ...จน...”
น่าแปลกที่พอจ้องมองใบหน้านั้น คำพูดของพี่ก็ลอยขึ้นมาในหัว เสียงอันอ่อนโยนที่บอกกับผมเป็นครั้งสุดท้าย
มือที่จับแน่นนั้นคลายออก น้ำตาที่ไม่ยอมไหลออกมา ในตอนนี้กลับพรั่งพรูลงมาจากดวงตาอย่างไม่อาจหยุดยั้ง
เพียงแค่เห็นใบหน้าของเจ้าคนแล้งน้ำใจ แต่กลับรู้สึกเหมือนได้รับการปลดปล่อย เพราะรู้ดีว่า ไม่ใช่เราเพียงคนเดียว
ที่ต้องแบกรับความโศกเศร้านี่เอาไว้ แต่เป็นใครอีกคนหนึ่งที่สามารถร่วมแบ่งปันความทุกข์ด้วยกันได้
...อย่าได้โกรธ...อย่าได้เกลียดเขาเลยนะ...
ตกลงครับพี่ ผมจะเชื่อฟังคำพูดของพี่ ผมจะไม่เกลียด จะไม่โกรธ จะไม่ทำร้ายคนสำคัญของพี่
ระหว่างที่โฮลี่ ออเดอร์เดินผ่านไป ผมยังคงเอามือทุบกำแพง เพื่อระบายอารมณ์โกรธและอึดอัดที่อยู่ในใจ
เพราะตอนนี้ในหัวของผมสับสน ที่จริงอยากต่อยหน้าเจ้านั่นสักเปรี้ยง ไม่สิ อยากฆ่ามันมากกว่า
แต่ผมจะไม่ทำอะไรมัน เพื่อพี่นะครับ เพื่อพี่เท่านั้น ไม่ใช่ว่า ผมยกโทษให้มัน แต่เพราะพี่ไม่เคยถือโกรธ
...ผมจึงคิดว่า...ตัวเองไม่มีสิทธิโกรธ...
++++++++++
ในตอนที่รู้เหตุผลที่แท้จริง ของการมาช้าในวันนั้น ยามเมื่อเห็นเจ้าบ้านั่นก้มหัวขอร้อง ไม่ให้ใครรู้ถึงการจากไปของพี่สาว
เพราะอยากปกป้องใครคนหนึ่งที่เห็นว่า สำคัญที่สุด ผมควรจะโกรธและโวยวาย แต่ในใจกลับสงบอย่างไม่น่าเชื่อ
กลับรู้สึกว่า ยอมรับได้ที่จะไม่บอกใคร ว่าพี่จากไป หรืออาจเพราะผมเอง ก็ไม่อยากจะยอมรับความจริงข้อนั้น
“ได้ ไม่บอกก็ไม่บอก”
ผมตอบโฮลี่ ออเดอร์ไปเพียงแค่นั้น ดูอีกฝ่ายก็งุนงงกับปฏิกิริยาตอบรับของผมเหมือนกัน
เพียงเพื่อพี่เท่านั้น เพราะพี่บอกไว้ให้ต่อจากนี้ยังคงเป็นครอบครัว ยังคงช่วยเหลือและดูแลกัน
ฉะนั้นหากเป็นสิ่งที่นายต้องการแล้ว จะช่วยหน่อยก็แล้วกันนะ เจ้าบ้า จะช่วยนายให้ปกป้องสิ่งสำคัญที่ยังเหลืออยู่
คราวนี้ดูแลให้ดีแล้วกัน อย่าให้ต้องสูญเสียไปอีกล่ะ อย่ามานั่งเสียใจภายหลังที่ไม่ทำอะไร
...อย่าให้พี่ที่อยู่บนสวรรค์...ต้องเป็นห่วง...
ผมได้ฟังเรื่องราวของอาการป่วยของพี่อย่างละเอียด โรคนั้นถูกตั้งชื่อว่า ESP เป็นพิษ ซึ่งมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก
การเล่นเกม Neo Universe แม้จะไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลของฝ่ายบริหารที่มาเปิดเผยเรื่องนี้ แต่ก็ตัดสินใจว่าจะช่วยเหลือ
หลังจากเรียนจบจะมาทำงานเป็น GM ที่บริษัท เพื่อหาทางเคลียร์เกม ยุติเรื่องบ้าๆนี้ให้ได้
“ใครห่วงแก ?”
ผมตอบเจ้านั่นไป เมื่อได้ยินคำว่าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ไปทำในสิ่งที่ชอบเถอะ
“ฉันทำเพื่อพี่ต่างหาก...”
เพื่อพี่ที่บอกว่า พวกเรายังคงเป็นครอบครัว...จะต้องช่วยเหลือ จะต้องดูแลกัน...และรักกัน
อันหลังดูจะยากซะหน่อยนะครับพี่ แต่เอาเป็นว่า ผมจะช่วยมัน ทำในสิ่งที่ตั้งใจแล้วกัน
เพราะผมจะทำตามความปรารถนาสุดท้ายของพี่ ให้เป็นจริง จะเชื่อสิ่งที่พี่พูดเอาไว้
เชื่อว่า...ผมยังมีครอบครัว...
แม้จะเป็นคนที่ทั้งบ้าทั้งโง่...
ถึงจะเกลียดขี้หน้า...
...แต่ก็เป็นครอบครัว...ที่สำคัญของผม...
++++++++++
ต้องกล่าวขอบคุณสำหรับคอมเมนต์อีกครั้งค่ะ ท่าน 1234
ตอนนี้บทบรรยายเยอะเป็นพิเศษ เพราะเป็นความคิดของแครอท เด็กช่างคิด ช่างจดจำ
ที่จริงตอนนี้มีชื่อเล่นๆว่า Sis-con เด็กติดพี่ เพราะเขียนด้วยธีมนั้นจริงๆ เขียนให้รู้สึกว่ารักพี่มาก
จะได้มองโฮลี่ ออเดอร์ในอีกแบบหนึ่ง มองในแบบที่จะเกลียดก็เกลียดไม่ลง แต่ก็ทำใจให้รักไม่ได้
ส่วนตอนจบ ตอนนี้เขียนจบแล้ว แต่ขอแก้ฉากนิดนึง ช่วงนี้งานเข้า ก็เลยช้าๆ บวกกับทุบไหดองอย่างอื่นอยู่ค่ะ
เพราะฉะนั้นอีกไม่นานคงได้เขียนคำว่า END แต่ยังอยากเขียนตอนพิเศษอีกตอน ส่วนจะเป็น side ของใครมารอชมกันค่ะ
แล้วก็เช่นเคย ใครกดเข้ามาอ่าน อย่าลืมทิ้งคอมเมนต์นะคะ >< สำหรับคู่แรร์คู่นี้
ความคิดเห็น