ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KnB fic] You are my angel (AoKaga)

    ลำดับตอนที่ #1 : My Bad Black Angel (ครึ่งแรก)

    • อัปเดตล่าสุด 2 ส.ค. 56


    Title: My Bad Black Angel
    Author: Monochrome bird
    Category:  Drama (แบบไม่ได้ตั้งใจ)

    Pairing: อาโอมิเนะ x คากามิ
    Rating: PG-13
    Disclaimer: ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นของอาจารย์ฟูจิมากิค่ะ พวกเราแค่ยืมมาจิ้นเล่นเท่านั้น 
    Author notes: ฟิคนี้เป็นฟิคเผา แต่เขียนด้วยความบ้าพลังมากๆ เพิ่งเผาเสร็จเมื่อกี๊ยังอุ่นๆ


    +++++++++

    ครั้งแรกที่พบกันนั้น มีขนนกมากมายโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า เทวดาที่มีปีกสีขาวอันใหญ่ได้ลอยลงมาจากสวรรค์ มายืนอยู่ตรงหน้าเขา แล้วก็บอกกับเขาว่า ฉันคือเทวดาประจำตัวของนาย

    ต่อจากนี้ไป...ฉันจะปกป้องนายเอง...

    ++++++++++

    รุ่งเช้าของคากามิ ไทกะนั้นเหมือนกับแทบจะทุกวัน ตื่นนอนมาล้างหนา แปรงฟัน แต่งตัวแล้วลงมาทำอาหารเช้าแบบง่ายๆกินก่อนไปโรงเรียน พ่อแม่ของคากามิมีงานยุ่งอยู่เสมอ บางครั้งก็ต้องเดินทางไปต่างประเทศเป็นเวลาหลายเดือน เขาจึงต้องรับผิดชอบเรื่องของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก จนกลายเป็นความเคยชินที่ต้องอยู่ในบ้านเพียงคนเดียว

    ที่จริง..จะบอกว่าคนเดียวก็ไม่ถูกนัก...

    พอทำอาหารเช้าเสร็จ คากามิก็ยกจานที่ประกอบด้วยไข่ดาวและขนมปังปิ้งไปวางบนโต๊ะตรงหน้าโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่น ใช่ว่าเขามีนิสัยชอบดูทีวีไปกินข้าวไปซะเมื่อไหร่ แต่เพราะอีกคนหนึ่ง ไม่สิ ควรใช้คำเรียกว่าอะไรดีนะ

    สิ่งที่นั่งเกาะติดอยู่หน้าโทรทัศน์ไม่ยอมไปไหน มีชื่อเรียกว่า อาโอมิเนะ ไดคิ เจ้าตัวบอกว่าแบบนั้นนะ เขาเจอสิ่งนี้เป็นครั้งแรกตอนอายุ 6 ขวบ มันเหมือนกับภาพฝันตอนกลางวันที่มีขนนกสีขาวล่องลอยอยู่ในอากาศ แล้วก็มีเทวดาซึ่งมีปีกสีขาวปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า

    เพียงแต่เทวดานั่น...ไม่เหมือนเทวดาเลยสักนิด...

    ถ้าว่ากันตามตำนาน เรื่องเล่าหรือแม้กระทั่งหนังสือนิทานของเด็ก เทวดาควรจะมีรูปลักษณ์งดงาม มีผมสีทองยาวสลวย สวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ มีรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยน แล้วที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขานี่มันยังไง นอกจากจะตัวดำแล้ว ยังแต่งตัวยังกับชุดอยู่บ้าน ไม่มีเค้าของความงามเลยแม้แต่นิดเดียว ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ นิสัย ปกติเทวดาประจำตัว ควรจะใจดีและเป็นที่พึ่งพิงในยามทุกข์ไม่ใช่หรือ แต่นี่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะพูดคุยกันดีๆ หลุดออกมาจากปากแต่ละคำ ก็มีแต่ประโยคชวนโมโหทั้งนั้น

    “ไข่ดาว ขนมปังอีกแล้วเหรอ ?”

    นั่นไง คำพูดชวนให้ของขึ้นหลุดออกมาจากปากอีกแล้ว อยากจะจับหัวโขกลงไปในจานอาหารเช้าดูสักครั้งเหมือนกัน ทำให้กินแล้วยังจะมาบ่นอีก แต่ครั้นจะไม่ทำเผื่อ ก็ขี้เกียจมาฟังเสียงโอดครวญโวยวายว่า ทำไมถึงไม่ได้ทำเผื่อล่ะ แล้วอาหารของฉันล่ะ ก็ทำๆไปซะ จะได้ตัดรำคาญไป

    “จะกินหรือไม่กิน ?”

    อาโอมิเนะยิ้มยียวนแทนคำตอบ ก่อนจะจิ้มไข่ดาวเข้าปาก เป็นรอยยิ้มที่เห็นทีไรก็อยากเอาอะไรปาใส่หน้าทุกที บนสวรรค์นี่ไม่มีคอร์สสอนเทวดาให้มีมาตรฐานเท่ากันทุกองค์เหรอ ไอ้บ้านี่ถึงได้เป็นอย่างนี้

    “ถ้าไม่กิน ขอนะ”

    ยังไม่ทันที่จะอนุญาต ไส้กรอกก็เข้าไปในปากของคนถามในทันที เพียงแค่นั่งเหม่อแค่แป๊บเดียวก็โดนเทวดานิสัยไม่ดีแย่งไส้กรอกไปกินซะแล้ว

    “ไส้กรอก !!!

    คากามิเผลอยกมือขึ้น หวังจะตบหัวอีกฝ่ายให้ทิ่ม แต่ลืมไปว่า มนุษย์นั้นไม่อาจแตะต้องตัวเทวดาได้ มือนั้นจึงเลยผ่านร่างไป แล้วกระแทกเข้ากับขอบโต๊ะ เจ้าตัวเจ็บจนแทบจะร้องออกมาทันที

    “เอ้า นึกยังไงเอามือไปกระแทกโต๊ะเล่น”

    แม้ว่าอาโอมิเนะจะสามารถสัมผัสสิ่งของได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ โทรทัศน์ ถ้วยจานชามรวมถึงอาหาร แต่กลับไม่สามารถแตะต้องสิ่งมีชีวิตได้เลย ทุกอย่างที่มีชีวิตนั้นจะทะลุผ่านตัวของอาโอมิเนะไป

    จะแตะได้...ก็ต้องตายก่อน...

    นั่นคือสิ่งที่เจ้าตัวเคยพูดเอาไว้ ซึ่งฟังเผินๆดูเหมือนเป็นเรื่องล้อเล่นสนุกสนาน แต่คากามิกลับรู้สึกได้ว่า มีอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้นแฝงอยู่ในคำพูด บางอย่างที่เป็นความเสียใจฝังลึกอยู่ในจิตใจและไม่อาจลืม

    ++++++++++

    โรงเรียนเซย์รินนั้น ไม่ใช่โรงเรียนที่เด่นดังทางด้านบาสเก็ตบอล ชมรมบาสเก็ตบอลเองก็เพิ่งก่อตั้งมาได้ 2 ปี แม้ปีที่แล้วจะทำผลงานได้เป็นที่น่าจับตามอง แต่ก็ยังไปไม่ถึงเป้าหมายคือ การชนะเลิศในการแข่งขันอินเตอร์ไฮ ปีนี้ทุกคนจึงพยายามกันอย่างหนักอีกครั้ง เพื่อหวังจะคว้าชัย

    “อย่างนี้มันสนุกตรงไหน ?”

    อาโอมิเนะมานั่งรอตอนที่คากามิซ้อมชมรมเสมอ และบ่นอย่างนี้แทบทุกครั้ง นั่นก็เพราะไม่มีใครมองเห็นอาโอมิเนะ ไม่มีใครได้ยินเสียง เพราะฉะนั้นถึงพูดอะไรออกไป คนที่จะได้ยินก็มีแค่คากามิคนเดียว บางครั้งคนรอบข้างจึงรู้สึกตกใจที่อยู่ๆคากามิก็หงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

    “พักได้”

    พอหยุดพักคากามิก็วิ่งออกไปนอกโรงยิมจนทุกคนในชมรมต้องมองหน้ากันแล้วนึกสงสัยว่า เจ้าตัวอยากไปห้องน้ำมากหรืออย่างไร ถึงต้องรีบขนาดนั้น แต่ที่จริงแล้วคากามิต้องการจะออกไปยืนคุยกับอาโอมิเนะต่างหาก หรือถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ออกไปไล่อาโอมิเนะให้ไปที่อื่น เป็นรอบที่ห้าร้อย

    “ไปดูสาวๆ ทางโน้นไป”

    “สาวๆก็น่าสนใจนะ แต่ว่า...”

    อาโอมิเนะกางปีกออกแล้วใช้ปีกนั้นปัดป้องลูกฟุตบอลที่กำลังลอยมา ซึ่งถ้าปล่อยให้เป็นไปตามหลักการทางฟิสิกส์ปกติของโลก ลูกบอลจะต้องกระแทกเข้ากับส่วนหัวของคากามิ แต่นี่มันกลับเหมือนโดนแรงอะไรบางอย่างดีดกลับออกไปให้เปลี่ยนวิถีอย่างรวดเร็ว

    เหล่าชมรมฟุตบอลที่ไม่มีความสามารถในการมองเห็นเทวดา ต่างก็อ้าปากค้าง เมื่อลูกฟุตบอลที่เปลี่ยนวิถีอย่างกะทันหันนั้นลอยเฉียดหัวพวกเขาไปเพียงแค่นิดเดียว แถมยังเพิ่มความเร็วและความแรงขึ้นอีกเป็นเท่าตัว

    “อาโอมิเนะ !!!

    อยากจะตะโกนโวยวายดังๆอยู่หรอก แต่เดี๋ยวคนจะสงสัยว่า อาโอมิเนะเป็นใคร จึงได้แต่สะกดกลั้นความโกรธเอาไว้ ส่วนตัวต้นเรื่องที่อยู่ตรงหน้า ก็ยืนยิ้มด้วยสีหน้าพึงพอใจในผลงานของตน ดูท่าทางจะสนุกกับใบหน้าเอ๋อเหรอของบรรดาสมาชิกชมรมฟุตบอลที่ต้องเข้ามาพัวพันโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว

    “ฉันบอกแล้วไงว่าให้ปล่อยๆไปบ้างน่ะ”

    อาโอมิเนะนั้นเป็นเทวดาอารักษ์ประจำตัวคากามิ หรืออย่างน้อยเจ้าตัวก็บอกแบบนั้น ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นอันตรายแบบไหน จะเล็กหรือใหญ่ อาโอมิเนะก็จะปกป้องคากามิเสมอ ดังนั้นคากามิจึงเติบโตมาแบบแทบจะไร้รอยขีดข่วน เป็นที่น่าแปลกใจของผู้คนรอบข้าง แถมยังชอบมีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นอยู่เสมอ แม้กระทั่งในสนามบาสที่คากามิย้ำนักย้ำหนาว่า อย่าเข้ามายุ่ง ลูกบาสเก็ตบอลก็เคยหยุดนิ่งก่อนจะร่วงลงไปบนพื้นตอนที่มันอยู่ห่างจากหน้าของคากามิแค่นิดเดียว นี่ยังไม่นับรวมผู้เล่นคนอื่นที่จะเข้ามาเบียดแย่งลูก ถูกผลักกระเด็นออกไปด้วยแรงลึกลับ

    “ได้ยังไงเล่า ฉันเป็นเทวดาประจำตัวนายนะ ก็ต้องทำหน้าที่สิ”

    ที่จริงคากามิ อยากให้อาโอมิเนะปล่อยให้เขาเจออันตรายเล็กๆน้อยๆบ้าง อย่างเช่นการโดนลูกฟุตบอลกระแทกหัวนั้น ไม่ได้ทำให้เขาเจ็บถึงตายหรอกน่า แต่อาโอมิเนะก็ไม่ยอมฟังและปกป้องเขาเรื่อยมา จนตอนนี้เซนส์ในการระวังอันตรายของเขาลดลงจนแทบจะเหลือศูนย์ หากไม่มีอาโอมิเนะ คงกลายเป็นคนที่มีแผลเต็มตัวแน่ๆ

    “ทีเมื่อเช้าล่ะปล่อยให้ฉันเจ็บ”

    วูบหนึ่งคากามิรู้สึกผิดขึ้นมา เพราะรู้ดีว่า อาโอมิเนะไม่ได้อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น แต่ไม่สามารถป้องกันได้ ตอนอายุ 10 ขวบ คากามิเคยทำน้ำร้อนหกใส่ขาตัวเองเป็นแผลพองใหญ่ อาโอมิเนะนั้นมีสีหน้าเป็นห่วงและรู้สึกผิดอย่างชัดเจน ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่คากามิได้รู้ว่า หากเป็นบาดแผลที่เขาเป็นคนทำเอง ไม่ว่าจะสะดุดหกล้ม ทำมีดบาด หรือว่าน้ำร้อนลวก อาโอมิเนะก็ไม่อาจช่วยเหลือได้ทั้งสิ้น ขอบเขตความสามารถหยุดอยู่แค่อันตรายจากสิ่งรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ สิ่งของหรือมนุษย์ แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกิดขึ้นจากการกระทำของคากามิ

    “คากามิ ยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น โค้ชโกรธใหญ่แล้วที่นายหายตัวไป”

    “เออ จะไปเดี๋ยวนี้”

    คากามิหันกลับมาหาอาโอมิเนะ นึกอยากจะดีดหน้าผาก ตบหัวหรือทำอะไรสักอย่าง แต่ก็รู้ดีว่า สัมผัสตัวกันไม่ได้ สุดท้ายจึงได้แต่พูดว่า

    “ฉันต้องกลับไปซ้อมแล้ว”

    “ถ้าจะตามมา ก็อย่าบ่นอะไรน่ารำคาญอีกล่ะ เจ้าโง่มิเนะ”

    ++++++++++

    ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของคากามิ ที่เขาค้นพบสนามสตรีทบาสเก็ตบอลเก่าๆในบริเวณที่ไม่มีผู้คนผ่านไปมา ที่จริงจะเรียกว่าสนามสตรีทบาสเก็ตบอลก็ไม่ถูกนัก เป็นแค่ที่ว่างโล่งๆ ซึ่งมีคนเอาแป้นบาสเก่าๆมาตั้งไว้เท่านั้นเอง แต่ข้อดีของสถานที่แห่งนี้ก็คือ มันรายล้อมด้วยที่ดินรกร้างซึ่งถูกปล่อยให้หญ้าขึ้นสูง เพราะฉะนั้นคนปกติทั่วไปไม่มีใครอยากมาเดินเล่นแถวนี้หรอก

    “บ้าเอ๊ย !!

    “จะชนะฉันเร็วไปอีกร้อยปี”

    คากามิเจอสนามแห่งนี้ตอนอายุประมาณ 8 ขวบ และเขาก็มักจะมาเล่นบาสเก็ตบอลกับอาโอมิเนะที่นี่เสมอ ส่วนเหตุผลที่ต้องเป็นที่นี่เท่านั้นก็เพราะว่า ไม่มีใครมองเห็นอาโอมิเนะ และคงเป็นเรื่องใหญ่ หากมีคนเห็นลูกบาสเก็ตบอลลอยไปมา โดยไม่มีผู้เล่น จึงต้องเลือกสถานที่ที่ไม่มีคนผ่านไปผ่านมา

    “เอาใหม่ ครั้งนี้ฉันไม่แพ้แน่”

    “จะสักกี่ครั้งก็เหมือนกันแหละ”

    ทุกครั้งที่อาโอมิเนะเล่นบาสเก็ตบอลกับคากามิจะเก็บปีกเอาไว้ เพื่อไม่ใช้ความสามารถในการลอยตัว ตอนเด็กๆคากามิคิดว่า ถ้าตัวสูงขึ้นเท่ากับอาโอมิเนะจะต้องสามารถเล่นบาสเก็ตบอลได้ทัดเทียมกันแน่ๆ คากามิจึงเฝ้าเพียรฝึกฝนจนมีความสามารถพิเศษในการกระโดดที่สูงกว่าคนทั่วไป แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่อาจชนะอาโอมิเนะได้อยู่ดี

    “ชนะ...อีก...แล้ว...”

    อาโอมิเนะฉีกยิ้มกว้าง พร้อมกับย้ำประโยคนั้นทีละคำแบบตั้งใจกวนประสาทกันเห็นๆ ในตอนนั้นพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว แสงสีส้มแดงนั้นอาบไล้ไปทั่วบริเวณสนามบาสเก็ตบอล และส่องสว่างมาทางด้านหลังของอาโอมิเนะ

    เหมือนภาพอะไรบางอย่างผุดขึ้นมาในสมองของคากามิ...

    ภาพนั้นเป็นเวลายามเย็นที่ท้องฟ้าถูกฉาบด้วยสีแดงส้ม เพียงแต่รอบข้างเป็นป่าซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ ตรงหน้าเขานั้นมีใครคนหนึ่งยืนอยู่ คนที่มีเส้นผมสีน้ำเงินและปีกสีขาวที่กลางหลัง พอหันหลังกลับมาก็ยิ้มให้เขา เป็นยิ้มที่ดูกวนประสาทชวนโมโห แต่น่าแปลกที่เขารู้สึกว่า...

    ...คิดถึงรอยยิ้มนั้น...เหลือเกิน...

    ++++++++++

    “สวัสดีครับ”

    “เฮ้ย !!!

    ร่างที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันข้างๆคากามินั้น มีชื่อว่าคุโรโกะ เท็ตสึยะ เป็นเทวดาเช่นเดียวกับอาโอมิเนะ เพียงแต่เป็นคนละประเภทกันล่ะมั้ง เพราะในขณะที่อาโอมิเนะมีลักษณะภายนอกที่ดูเตะตาจนน่าโมโห คุโรโกะกลับมีตัวตนอันแสนจืดจางจนเรียกได้ว่า ถ้าไม่พูดออกมา จะไม่รู้เลยว่า ยืนอยู่ตรงนั้น

    “ไง เท็ตสึ”

    “ดูท่าทางสบายดีนะ”

    คุโรโกะชอบแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนอาโอมิเนะเสมอ พวกเขามักมาพูดคุยเรื่องราวต่างๆที่คากามิฟังแล้วไม่เข้าใจ แต่ก็พอเดาได้ว่า เป็นเรื่องของสวรรค์ล่ะมั้ง เพราะมันเกี่ยวกับเรื่องภาระหน้าที่ในการปฏิบัติงาน ตลอดไปจนถึงเรื่องเพื่อนคนนั้นคนนี้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง

    “ยังเป็นปีกที่น่ารำคาญเหมือนเดิมนะครับ”

    ในเวลาปกติ อาโอมิเนะไม่เคยเก็บปีกและไม่คิดจะเก็บ มันจึงดูเกะกะในสายตาของคนรอบข้าง แน่นอนว่ารวมถึงคากามิด้วย แต่นี่เป็นแค่หนึ่งในหลายเรื่องที่ชายหนุ่มบ่นมาตั้งแต่เด็กจนโต และกลายเป็นเรื่องที่คากามิไม่สนใจจะบ่นอีกต่อไป

    “อิจฉาล่ะสิ”

    “ไม่ล่ะครับ”

    ตอนแรกคากามิคิดว่า เทวดาทั้งหมดจะต้องมีปีก แต่มารู้เอาทีหลังจากคุโรโกะว่า มีเพียงอาโอมิเนะเท่านั้นที่มี พอถามเหตุผลออกไป ก็โดนเจ้าตัวชิงตอบว่า ก็ฉันเป็นคนพิเศษกว่าคนอื่นน่ะสิ คำตอบที่ได้รับดูน่าหมั่นไส้ แต่คากามิกลับรู้สึกว่า มีอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น แต่อาโอมิเนะไม่อยากพูดก็เลยพยายามกลบเกลื่อนด้วยการพูดจากวนประสาท

    “กินข้าวเย็นด้วยกันไหม ?”

    “ไม่ล่ะครับ”

    คุโรโกะปฏิเสธทุกครั้งที่ชวน และเคยอธิบายให้ฟังว่า ที่จริงพวกเราไม่ต้องกินอะไรก็อยู่ได้ แต่ที่อาโอมิเนะเรียกร้องจะกินด้วยแทบทุกมื้อ เป็นเพราะนิสัยส่วนตัวไม่ใช่ความจำเป็นแต่ประการใด

    “งั้นก็ตามใจ”

    พอคากามิเข้าไปเตรียมอาหารในห้องครัว คุโรโกะก็มองไปรอบๆห้อง มีขนนกสีขาวร่วงอยู่เป็นจำนวนมาก โชคดีที่ไม่นาน มันก็จะจางหายไป เพราะไม่ใช่ของบนโลกใบนี้ ไม่อย่างนั้นคากามิจะต้องปวดหัวกับการทำความสะอาดแน่ๆ

    “ขนปีกร่วงลงมาเยอะเลยนะครับ ใกล้ถึงเวลาแล้วสินะครับ”

    “ก็เหมือนทุกครั้งนั่นแหละ”

    “อาโอมิเนะคุงก็ดันรนหาที่ด้วยการกินอาหารที่คากามิคุงทำด้วยอีกต่างหาก”

    ในตอนนั้นคุโรโกะคิดจะบ่นว่าอะไรให้มากกว่านั้น แต่พอเห็นสายตาของเพื่อนที่มองไปยังห้องครัว เป็นสายตาที่อ่อนโยนเสียจนไม่อยากเชื่อว่า มาจากอาโอมิเนะ ไดคิคนนั้น เขาจึงตัดสินใจว่า จะไม่พูดอะไรให้มากความ เพราะถึงพูดไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร เรื่องที่เจ้าตัวตัดสินใจแล้ว ก็คงต้องปล่อยให้ทำให้ถึงที่สุด

    “ช่วยไม่ได้นี่นา เท็ตสึ...ก็อาหารที่หมอนั่นทำ.”

    “มันอร่อยชะมัด...

    ++++++++++

    การแข่งขันอินเตอร์ไฮในปีนี้ยังคงดุเดือดและร้อนแรงดังเช่นทุกปี ทีมเซย์รินฝ่าฟันเอาชนะเข้ามาได้จนถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ในตอนที่ทุกคนในทีมกำลังจะแยกย้ายกันกลับบ้านนั้น อยู่ๆก็มีเสียงเรียกชื่อคากามิดังขึ้น

    “คากามิจจิ !!

    คงจะมีแค่คนเดียวที่เรียกคากามิด้วยชื่ออันแปลกประหลาดแบบนี้ คนคนนั้นก็คือ คิเสะ เรียวตะ เอสของทีมไคโจว ชายหนุ่มกำลังโบกมือให้ด้วยท่าทีร่าเริงสุดขีด ก่อนจะรีบวิ่งตรงเข้ามาหา

    “นี่ๆ รอบต่อไปก็จะได้แข่งกันแล้วนะ”

    คิเสะนั้นจัดได้ว่าเป็นผู้เล่นที่ได้รับการจับตามองอยู่ในขณะนี้ ด้วยความสามารถอันโดดเด่น ทั้งที่เพิ่งเล่นบาสเก็ตบอลมาได้ไม่นาน แต่กลับเก่งขึ้นมากในระยะเวลาสั้นๆ จนได้รับฉายาว่าเป็นอัจฉริยะ และอัจฉริยะคนนั้นก็ติดอกติดใจคากามิเป็นอย่างมาก เพราะสมัยประถมคากามิเคยชนะคิเสะได้ในการแข่งซ้อมระหว่างโรงเรียน ซึ่งนั่นเป็นความพ่ายแพ้ครั้งแรกในชีวิตและกลายมาเป็นความประทับใจ

    “ฉันมาทวงสัญญาในตอนนั้น”

    หลังจากที่คิเสะแพ้ เจ้าตัวก็รบเร้าให้คากามิสัญญาว่า จะมาแข่งกันใหม่อีกครั้งตอนอยู่มัธยมปลายในสนามแข่งอย่างเป็นทางการ ซึ่งปีที่ผ่านมาเซย์รินแพ้ไปก่อนจะได้แข่งกับไคโจว สัญญานั้นจึงยังไม่บรรลุผล

    “ครั้งนี้ฉันไม่แพ้แน่”

    “ถ้าคิดว่าชนะได้ก็ลองดู”

    หลังจากท้าทายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน คากามิส่งสายตาข่มขู่อาโอมิเนะที่เอาแต่หัวเราะไม่หยุด แถมยังเริ่มแซวนู้นแซวนี่เกี่ยวกับสัญญา บอกว่าเป็นสัญญาขอแต่งงานบ้างล่ะ เป็นการหมั้นหมายของเด็กๆบ้างล่ะ ทั้งที่ตอนสัญญาตัวเองก็อยู่ด้วยแท้ๆ ทำเป็นจำไม่ได้

    “เลิกหัวเราะได้หรือยัง”

    พอกลับมาถึงบ้าน คากามิจึงมีโอกาสพูดกับอาโอมิเนะ ตลอดเวลาที่อยู่ข้างนอกคากามิต้องพยายามข่มใจอย่างหนัก ไม่ให้ตอบโต้คำพูดของอาโอมิเนะด้วยความโมโห เพราะถ้าลืมตัวโวยวายออกไป มีหวังคนอื่นต้องคิดว่า เขาเป็นบ้าแน่ๆ ก็นอกจากเขาไม่มีใครสามารถมองเห็นอาโอมิเนะได้เลยสักคน

    เทวดาจอมนิสัยเสียแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าถูกโกรธ ลอยตัวไปนั่งลงตรงโซฟา มือคว้ารีโมทขึ้นมาเปิดทีวีดูอย่างสบายอารมณ์ แถมยังเอามือตบเบาะข้างๆ เหมือนจะชวนให้เขามานั่งดูด้วยกัน แม้คากามิจะยังโมโหอยู่ แต่ก็ผ่านเหตุการณ์แบบนี้มามากพอที่จะรู้ว่า หงุดหงิดไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะไอ้บ้าที่อยู่ตรงหน้าเขา เป็นพวกที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองทำผิดเลยสักครั้ง สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจ แล้วหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ

    “ฉันบอกนายกี่ทีแล้วว่า อย่ามาโดนปีกฉัน !!

    “ก็ปีกนายมันเกะกะนี่ !!

     

    แม้คากามิจะไม่สามารถแตะต้องตัวอาโอมิเนะได้ก็ตาม แต่ปีกนั้นดูเหมือนจะแตกต่างออกไป คากามิสามารถสัมผัสได้ถึงความนุ่มฟูที่เหนือกว่าขนนกใดๆบนโลกนี้ หลายต่อหลายครั้งที่เขาลูบปีกนั้นเล่นหรือพยายามเอามันมาใช้แทนผ้าห่ม ก็เป็นต้องอุดหูเพราะเสียงโวยวายของอาโอมิเนะซึ่งหวงปีกยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ช่วงหลังๆนี่แค่แตะโดนนิดๆหน่อยๆก็จะเก็บซ่อนปีกทันที ไม่รู้ว่าจะงกไปไหน

    “ไม่อยากให้โดนก็เก็บไปซะสิ”

    คงเพราะเมื่อกี๊ยังโมโหอยู่ คากามิก็เลยไม่ยอมลงให้ง่ายๆ แถมยังเอามือไปแตะปีกอีกครั้งอย่างจงใจ ทว่าครั้งนี้ต่างออกไปจากครั้งที่ผ่านๆมา เหมือนมีอะไรบางอย่างผุดขึ้นมาภายในใจของเขา ราวกับน้ำที่รั่วไหลออกมาจากรูเล็กๆ ดูเหมือนจะน้อยนิด แต่กลับเอ่อล้นขึ้นมาเรื่อยๆ

    “คากามิ ?”

    มันเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ มันเป็นทั้งความสุขและความโศกเศร้า ความคะนึงหาและความอยากผลักไส ความยินดีและความเจ็บปวด เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันมาจากไหน รู้แต่ว่า น้ำตาของเขากำลังไหลออกมา ไหลออกมาโดยไร้เหตุผล

    “ไม่เป็นไร...”

    คากามิเอาหลังมือปาดน้ำตาออกไป แต่มันก็ยังคงไหลออกมาไม่หยุด อาโอมิเนะกำลังมองมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง ทำท่าเหมือนกับอยากจะดึงตัวเขามากอดเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้ทำ เพราะรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ พวกเขาไม่อาจสัมผัสตัวกันได้

    “ไม่มีอะไรหรอก...”

    “ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นแหละ”

    ยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งตอกย้ำ...ยิ่งพูดเหมือนยิ่งลวงหลอก...

    พูดย้ำซ้ำๆ...ราวกับพยายามหลอกให้ตัวเองเชื่อว่า...

    ....ไม่มีอะไรจริงๆ....

    ++++++++++

    ในที่สุดก็มาถึงการแข่งขันกับทีมไคโจว บรรดาสมาชิกของเซย์รินรวมตัวที่โรงเรียนก่อนจะขึ้นรถบัสไปยังสนามแข่ง ทุกคนต่างพากันพูดคุยกันแต่เรื่องทีมคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคนิคการเล่น การวางกลยุทธ์และฝีมือของผู้เล่นแต่ละคน แน่นอนว่าคิเสะ เรียวตะเป็นคนที่ถูกพูดถึงมากที่สุด ทั้งในฐานะเอสของทีมไคโจวและในฐานะของผู้เริ่มต้นสัญญากับคากามิ

    “งั้นครั้งนี้ก็เป็นการแข่งขันแห่งคำสัญญา ระหว่างเอสทั้งสองสินะ”

    “พอพูดอย่างนี้แล้วมันดูโรแมนซ์ขึ้นมาทันทีเลย”

    สุดท้ายคำสัญญาของคากามิก็กลายเป็นเรื่องหยอกล้อกันในทีม ไม่ต่างจากการล้อเลียนของอาโอมิเนะเท่าไรนัก มันคงเป็นเรื่องตลกที่ผู้ชายสองคนมีสัญญาต่อกันตั้งแต่สมัยเด็ก แถมฝ่ายหนึ่งยังดูจะยึดมั่นถือมั่นกับสัญญานั้นเป็นอย่างมากอีกด้วย

    “แล้วคากามิจจิคิดยังไงกับเรื่องนี้ครับ ?”

    “ใช่ๆ คากามิจจิคิดยังไงกับคิเสะคุงครับ?”

    การล้อเลียนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคิเสะมันเริ่มขึ้นจาก รุ่นพี่คนหนึ่งของเซย์รินเคยเล่นทีมเดียวกับรุ่นพี่ที่ไคโจว ด้วยความรักและปรารถนาดีต่อรุ่นน้องจึงได้โทรไปถามเพื่อนเกี่ยวกับคิเสะอย่างละเอียด พออีกฝ่ายรู้ว่า คากามิจจิของคิเสะนั้นอยู่เซย์รินก็เลยยิ่งคุยกันยาว ไปๆมาๆทั้งทีมเซย์รินก็เลยได้รู้ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลายปี คิเสะนั้นหมกมุ่นอยู่กับคากามิจจิที่เคยเอาชนะเขาได้ตอนประถมขนาดไหน ทั้งที่เขาแทบจะไม่รู้จักอีกฝ่ายเลยแม้แต่นิดเดียว เคยแข่งบาสเก็ตบอลด้วยครั้งนั้นครั้งเดียว แล้วก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย จะว่าไปหน้าตาก็เกือบจะลืมไปแล้ว ถ้าไม่ใช่คนที่มาตื้อให้สัญญาอะไรบ้าๆบอๆ อาจจะจำไม่ได้แล้วก็เป็นได้

    “คากามิจจิของเรานี่ เนื้อหอมเหมือนกันนะ”

    “สาวๆต้องอิจฉาแน่ๆเลย”

    ที่จริงหน้าตาของคิเสะ เรียวตะนั้นจัดว่าอยู่ในระดับหน้าตาดีไปจนถึงดีมาก ไม่แปลกที่สาวๆจะมาตามเชียร์ตามกรี๊ดกันถึงข้างสนาม แต่ที่แปลกก็คือเจ้าตัวดันเอาแต่หมกมุ่นคิดเรื่องเขาตั้งแต่ม.ต้นจนถึงม.ปลาย จนหลายต่อหลายคนเริ่มนึกสงสัยว่า แท้ที่จริงแล้วคากามิจจิเป็นผู้หญิงหรือเปล่า ? คิเสะถึงได้ปฏิเสธสาวๆคนแล้วคนเล่า เอาแต่สนใจเรื่องบาสเก็ตบอลเพื่อหวังจะทำตามสัญญาในวัยเยาว์

    “แข่งครั้งนี้จบ คากามิของเราอาจจะถูกขอแต่งงานก็ได้นะ”

    ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน แทรกด้วยเสียงโวยวายของคากามิเป็นระยะๆ อยู่ๆโลกตรงหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เหมือนมีแรงปะทะอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาจากทางขวามือ

    แล้วรถก็หมุนคว้างอย่างไม่อาจควบคุมได้

    คากามิรู้สึกได้ว่าตัวเองโดนเหวี่ยงลอยขึ้นกลางอากาศ เขาเห็นภาพคนอื่นๆรอบตัวปะทะเข้ากับตัวรถหรือเบาะนั่ง ก่อนที่อะไรบางอย่างจะห่อหุ้มตัวเขาไว้ มันเป็นสัมผัสฟูนุ่มที่รู้จักดี นั่นคือปีกของอาโอมิเนะ  เมื่อถูกปกป้องด้วยปีก เขาก็ไม่สามารถขยับตัวและไม่สามารถเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวได้ เขาได้ยินแต่เสียงร้องของผู้คนและเสียงอะไรบางอย่างแตกหรือระเบิด ทุกอย่างดูสับสนและอื้ออึง เหมือนจะสั้นและรวดเร็วแต่ที่จริงนั้นยาวนาน

    “อาโอมิเนะ เกิดอะไรขึ้น”

    ตอนที่ถามออกไปนั้น คากามิก็รับรู้ได้ถึงความร้อนจากรอบตัว มันเกิดขึ้นเพียงแค่แว่บเดียวเท่านั้น ก่อนที่ทุกอย่างตรงหน้าจะดับวูบลง

    .

    .

    .

    กลิ่นเหม็นไหม้....

    คากามิค่อยๆลืมตาขึ้น แม้จะรู้สึกเวียนหัวและอยากจะอาเจียน เหมือนถูกจับเหวี่ยงไปมาหลายรอบ ก็ยังพยายามฝืนลุกขึ้น เพราะรู้สึกว่าจะต้องมีคนรอให้เขาไปช่วยเหลืออยู่แน่ๆ แต่ความเป็นจริงนั้นโหดร้ายยิ่งกว่าที่คาดคิด รอบข้างนั้นไม่มีผู้บาดเจ็บหรือรอการช่วยเหลือแต่อย่างใด ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว นอกจากคากามิ ทุกอย่างกลายเป็นสีดำที่ไหม้เกรียมเหลือเพียงซากที่แยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร

    ...โกหกใช่ไหม...

    มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่เข้าใจว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อกี๊พวกเรายังพูดคุย หัวเราะด้วยกันอย่างสนุกสนานอยู่เลยไม่ใช่เหรอ แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น นี่มันอะไรกัน มันเป็นแค่ฝันร้ายของฉันใช่ไหม สักพักก็จะได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก ฉันจะลืมตาตื่นขึ้นที่บ้าน เล่าความฝันไร้สาระนี้ให้อาโอมิเนะฟัง แล้วก็โดนหัวเราะเยาะ

    เอาล่ะ ตื่นขึ้นเสียทีสิ ก่อนที่น้ำตามันจะไหลออกมา...

    “มาทางนี้ พบผู้รอดชีวิตหนึ่งคน”

    จากนั้นคากามิก็ไม่ได้ยินอะไรอีก รู้แต่ว่ามีคนมากันมากมาย ถามอะไรหลายต่อหลายอย่าง แต่สมองของเขาอื้ออึงไปหมด เสียงทุกเสียงเหมือนกับตีกันมั่วซั่วจนจับความไม่ได้ เขาถูกพาตัวมายังโรงพยาบาล ถูกให้ตรวจอะไรต่างๆมากมาย เพื่อหาอาการบาดเจ็บ ท่ามกลางความตกใจของเหล่าหมอและพยาบาล เขารู้ดีที่สุดว่า เขาไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน ไม่มีแม้กระทั่งรอยฟกช้ำสักรอย

    แน่ล่ะ...ก็อาโอมิเนะปกป้องเขานี่นา...

    ปกป้องแต่เขา...เพียงคนเดียว...

    ++++++++++

    ถึงจะตรวจอย่างละเอียดแล้วว่าไม่มีความผิดปกติที่ตรงไหน แต่หมอก็ยังยืนยันจะให้คากามิอยู่ดูอาการที่โรงพยาบาลก่อนหนึ่งคืน ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือตอบรับเป็นพิเศษแต่อย่างใด หลังจากที่อธิบายเรื่องราวต่างๆทางโทรศัพท์ให้พ่อกับแม่ซึ่งอยู่ต่างประเทศฟังจนหมด คากามิก็นั่งเงียบๆอยู่ในห้องพักผู้ป่วย ไม่แตะต้องอาหาร ไม่ยอมพูดคุยอะไร เอาแต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง

    พอถึงเวลาดับไฟ คากามิจึงเดินขึ้นไปด้านบน ขึ้นบันไดไปทีละชั้น สูงขึ้นไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนกระทั่งถึงดาดฟ้าของโรงพยาบาล เขาแหงนหน้ามองขึ้นไปด้านบน ในวันนี้ท้องฟ้ามืดสนิทไม่เห็นทั้งพระจันทร์และดวงดาว มีเพียงแสงไฟจากในตัวเมืองเท่านั้นที่ส่องสว่างอยู่ในขณะนี้

    “คิดจะทำอะไรน่ะ ?”

    “ไม่รู้สิ...”

    ทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นรวดเร็วจนไม่อยากจะเชื่อว่านั่นคือความจริง ทั้งที่เมื่อวานยังเล่นบาสเก็ตบอลด้วยกันอยู่เลย แต่มาตอนนี้กลับเหลือเพียงแค่เขาคนเดียว เหตุใดความเป็นจริงถึงได้เปราะบางและเปลี่ยนแปลงได้ง่ายถึงเพียงนี้ แล้ววันพรุ่งนี้ล่ะ จะมีอะไรเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า

    “แค่อยากจะดูดาวล่ะมั้ง”

    คากามินอนลงไปบนพื้นดาดฟ้าอย่างไม่กลัวสกปรก เพื่อจะได้จ้องมองท้องฟ้าได้นานเท่าที่ต้องการ แม้ว่าในตอนนี้จะไม่มีแสงใดๆนอกเหนือจากแสงไฟที่เกิดขึ้นจากมนุษย์ แต่เขาก็ยังอยากมองขึ้นไปด้านบน ผ่านหมู่เมฆที่บดบัง ผ่านความมืดที่แอบซ่อนเอาไว้ เขาอยากจะเห็นดวงดาวสักดวง

    “นี่ อาโอมิเนะ คนที่ตายไปแล้วน่ะ จะกลายเป็นเทวดาหรือเปล่า ?”

    “หา ? ไม่หรอก ไม่เป็นแบบนั้นหรอก”

    อาโอมิเนะเกาหัวด้วยความลำบากใจว่า ควรจะอธิบายอย่างไรดี ให้คนตรงหน้าฟังแล้วรู้สึกสบายใจ กลับมาร่าเริงสดใส แต่ความจริงย่อมเป็นความจริง พวกเขานั้นไม่ได้เกิดจากวิญญาณของเหล่ามนุษย์ แต่เหมือนเป็นอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งที่อาศัยอยู่ในดินแดนสูงขึ้นไปเบื้องบน ที่ที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสวรรค์

    “งั้นสวรรค์ก็ไม่มีอยู่จริงน่ะสิ”

    “ถ้าเป็นที่ที่มนุษย์เชื่อว่าจะไป หลังจากความตายแล้วล่ะก็”

    “ไม่มีอยู่หรอก...”

    เทวดาที่มนุษย์เล่าขานถึงนั้น หมายถึงพวกเขานั่นแหละ เพราะช่วงเวลาหลายพันหลายหมื่นปีที่ผ่านมา เผ่าพันธุ์ของเขานั้นชอบลงมายุ่งเกี่ยวกับมนุษย์ ทั้งช่วยเหลือ ทั้งกลั่นแกล้ง บางครั้งก็ปกป้อง บางครั้งก็สร้างความวุ่นวาย จนถูกเรียกขานว่าเป็นเทวดา แม้เรื่องเล่าที่ดีจะมีอยู่มากกว่า แต่แท้ที่จริงแล้วเหล่าเทวดานั้น ไม่ได้อ่อนโยนใจดีอย่างนั้นเสมอไป

    สรวงสวรรค์ซึ่งเป็นบ้านเกิดนั้นอยู่สูงขึ้นไปในหมู่เมฆ ตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่ดารา ไม่ต่างจากตำนานเล่าขานของเหล่ามนุษย์ เพียงแต่มันอาจจะไม่ได้สวยงามและสงบสุขดังเช่นที่วาดฝัน ทุกที่ย่อมมีการแก่งแย่งแข่นขัน ผู้มีอำนาจย่อมได้รับการยำเกรง ผู้ที่อ่อนแอถูกข่มเหงรังแก ไม่ได้เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความสุขแต่อย่างใด

    “ถ้างั้น...ก็คงจะกลายไปเป็นดวงดาวล่ะมั้ง...”

    อาโอมิเนะรู้ว่า ดวงวิญญาณของมนุษย์จะว่ายเวียนกลับมาเกิดอีกครั้งในโลกใบนี้ เป็นคนใหม่ที่ไม่สามารถจดจำเรื่องราวในอดีตได้ แล้วดำเนินชีวิตต่อไปอีกครั้ง วนเวียนไปเรื่อยๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพียงแต่ไม่อาจรู้ได้เลยว่า จะไปเกิดที่ใดและเมื่อไหร่ แล้วก่อนการเกิดนั้นดวงวิญญาณไปอยู่ที่ใดกันแน่

    “ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น...”

    คากามิเอื้อมมือขึ้นด้านบน เหมือนอยากจะไขว่คว้าอะไรบางอย่างเบื้องบน แม้รู้ดีว่า ไม่มีทางเอื้อมถึง การอยากจะหยิบดวงดารานั้น ก็ไม่ต่างจากการอยากให้คนที่ตายแล้วฟื้นคืน มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่ทุกคนก็ยังเฝ้าใฝ่ฝันว่า มันจะเป็นความจริงขึ้นมาได้

    “สักวันฉันก็จะกลายเป็นดวงดาวอยู่บนนั้น”

    “ไม่เร็วนักหรอก...”

    อาโอมิเนะขัดขึ้นเล็กน้อย แล้วอยู่ๆเจ้าตัวก็กางปีกที่หลังออก ขนนกมากมายปลิวว่อนในอากาศ งดงามราวกับหิมะกำลังโปรยปรายลงมา เพียงแต่สัมผัสนั้นไม่ได้หนาวเย็น เป็นสัมผัสที่แสนนุ่มนวลและอ่อนโยน

    “ฉันจะปกป้องนายเอง...”

    คากามิรู้สึกเหมือนภาพตอนวัยเยาว์นั้นย้อนกลับคืนมาอีกครั้ง ในครั้งแรกที่ได้พบกัน เขาก็เห็นขนนกสีขาวมากมายโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า แล้วเทวดาผู้มีปีกสีขาวก็พูดกับเขาด้วยประโยคเดียวกัน เหมือนที่เขาได้ยินเมื่อครู่ มันเป็นเหมือนคำสัญญาหรืออาจเป็นคำสาบาน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

    เพียงแต่ในครั้งนี้อาโอมิเนะได้เอาปีกนั้น มาปิดคลุมบนตัวเขาเอาไว้ เหมือนเป็นผ้าห่ม ราวกับแทนการโอบกอด เพราะไม่อาจสัมผัสตัวกันได้ ราวกับเป็นคำปลอบโยนที่ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ

    “นั่นสินะ...คงไม่เร็วนักหรอก...”

    คากามิหลับตาลง ปล่อยให้ตัวเองล่องลอยไปในความอบอุ่นที่ได้รับจากปีกคู่นั้น ปล่อยให้ความเจ็บปวดในใจนั้นค่อยๆถูกเยียวยาด้วยสัมผัสอันอ่อนโยน แม้ว่าบาดแผลนี้จะไม่มีวันจางหาย แต่หากมีนายอยู่ด้วยกันแล้ว ฉันคงสามารถผ่านวันคืนอันแสนโหดร้ายไปได้

    ...นายจะอยู่กับฉันใช่ไหม...อาโอมิเนะ...

    ...จนกว่าจะถึง...ลมหายใจสุดท้ายแห่งชีวิต...

    ++++++++++
     

    เผอิญว่ามันยาว ก็เลยตัดเป็น 2 ตอน ไปอ่านตอนที่ 2 ต่อกันเลยค่ะ ^0^/

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×