ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ExE fic] I wish (โฮลี่ออเดอร์Xเกียร์)

    ลำดับตอนที่ #1 : I Wish I could reach you

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.พ. 53


    Title: I Wish I could reach you
    Author: Monochrome bird
    Category:  Drama เป็นหลัก แต่แบ็คกราวน์อยากให้มีกลิ่นอายฮาเฮ
    Pairing: โฮลี่ออดอร์ x คุณเกียร์
    Rating: PG-13 (สำหรับตอนนี้ จนกว่าจะคืบหน้า)
    Disclaimer: ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นของคุณภานุวัฒน์ค่ะ พวกเราแค่ยืมมาจิ้นเล่นเท่านั้น
    Author notes: เรื่องนี้ อาจจะมีคาแรกเตอร์บิดๆเบี้ยวๆไปบ้าง แต่ก็แต่งด้วยความรักที่มีต่อคุณเกียร์นะคะ 555+

    ++++++++++

    มนุษย์...เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความอยากได้ไม่สิ้นสุด...
    หลายสิ่งหลายอย่างที่ทำไม่ได้ในโลกนี้...ก็ยังคงต้องการ...
    สร้างโลกใหม่ขึ้นมา เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง...
     
    Neo universe เกมแห่งอนาคต...
    เพื่อความปรารถนาที่เป็นไปไม่ได้...จะกลายมาเป็นความจริง....
     
    ++++++++++
     
    โลก เสมือนจริงนั้น มียุคบุกเบิกที่ผู้เล่นยังเข้ามาไม่มากนัก ผู้ดูแลทั้งหลายต่าง
    คอยเฝ้าดูและตรวจตราระบบต่างๆให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย หนึ่งในกลุ่มนั้น
    คือเหล่า
    GM เกม มาสเตอร์ที่ควบคุมให้เกมดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น
     
    ใน วันนี้หัวหน้าของเกมมาสเตอร์เดินเข้ามาเอ่ยทักทายทุกคนในที่ทำงานอย่างเคย
    รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้านั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยสักวัน นิสัยเข้ากันง่ายกับลูกน้อง
    ไม่ถือตัว ตรงไปตรงมา มีความยุติธรรม ทำให้หลายๆคนรักและเคารพ รวมทั้งตัวเขาเอง
     
    “สวัสดีครับ...”
     
    ในที่ทำงานของเหล่าเกมมาสเตอร์นั้น มีกฎให้เรียกชื่อโค้ดเนมในเกม เพื่อไม่ให้สับสนเวลาเข้าไปดูแล
    หากมีใครไปตะโกนชื่อจริงในเกมขึ้นมาจะยุ่งเสียเปล่าๆ ฉะนั้นก็ทำให้ชินเสียตั้งแต่อยู่ในโลกแห่งความจริง
     
    “มาทำงานเช้าเหมือนเดิมเลยนะครับ คุณเกียร์”
     
    “แต่นายก็มาก่อนฉันนี่”
     
    “เมื่อวานผมมีเวรน่ะครับ”
     
    พวก เกม มาสเตอร์เองก็ต้องผลัดกันเข้าไปดูแลเกมตลอดเวลา แต่จะให้เล่นเกมกันนานๆก็คงไม่ดี
    ฉะนั้นจึงเป็นการผลัดเวรกันเฝ้า ไปๆมาๆ พวกที่ได้เวรกลางคืนออกจะสบายกว่าด้วยซ้ำ
    เพราะเหมือนได้นอนหลับตามเวลาที่ควรจะเป็น แถมยังได้เข้าไปควบคุมในช่วงเวลาที่มีผู้เข้าไปเล่นเกม
    จำนวนมาก ก็ต้องสนุกกว่าอยู่แล้ว
     
    “เหนื่อยหน่อยนะ”
     
    คำพูดของคุณและริมฝีปากที่ขยับไปตามจังหวะการพูดนั้น...
    แล้วก็...ทุกท่วงท่าในการเคลื่อนไหว...
    ผมจ้องมองมันอยู่ตลอดเวลา...
     
    เวลาคุณยิ้มให้กับคนอื่น...เวลาคุณกำลังหัวเราะ...
    คุณจะรู้ไหมนะ...ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่...
     
    บางทีก็นึกสงสัย...คุณเป็นใครกันนะ...
    ถึงทำให้ผมสับสนวุ่นวายได้ถึงขนาดนี้...
    แต่ถึงจะคิดอย่างไร...สุดท้ายผมก็ยังคงมองแต่คุณ...
     
    ...คุณคนเดียวเท่านั้น...
     
    ++++++++++
    เสียง เอะอะวุ่นวายทำให้ผมที่เพิ่งมาถึงบริษัท รู้สึกแปลกใจ ตามปกติแล้ว ถึงที่ทำงานแห่งนี้จะมีเสียงอึกทึก
    จากการเล่นสนุกของคนวัยทำงานที่หัวใจยัง เด็กอยู่บ้าง แต่หัวหน้าก็จะออกมาเอ็ดทุกครั้ง ราวกับเป็นคุณครู
    ที่ควบคุมเด็กไม่ให้วิ่งเล่นกันในห้องเรียน แล้วก็ได้คำตอบว่า คนที่ทำหน้าที่ควบคุมนั้น กำลังนอนนิ่งอยู่กับพื้น
    รอบๆมีลูกน้องที่ดูจะแตกตื่น ยังกับเด็กไม่มีผิด พอเห็นภาพนั้น แล้วก็รู้สึกหงุดหงิดใจ ก็เลยแหวกผู้คนเข้าไปข้างใน
    แล้วตรงเข้าไปเขย่าตัวเรียกเบาๆ แต่ไม่มีการตอบรับใดๆ
     
    “ถอยสิ !! มุงกันอยู่ได้ !!”
     
    พอตวาดไปคำเดียว ทุกคนก็ถอยกรูดไปข้างหลัง ปล่อยให้คนที่กำลังประคองนั้นช่วยเหลือกันต่อไป
    มันน่าโมโหจริงๆ โตกันจนทำงานได้แล้ว แค่หัวหน้าคนเดียว ช่วยไม่เป็นหรือไง
     
    “โทรเรียกรถพยาบาลหรือยัง ?”
     
    “คงไม่เป็นไรหรอกครับ หัวหน้าคงแค่ทำงานหนักเกินไป”
     
    คน ที่ดูเหมือนจะประคองร่างที่ไร้สตินั้น ตั้งแต่ทีแรกตอบ พร้อมหัวเราะแห้งๆ คงอยากจะเตือนตั้งแต่เกิดเรื่อง
    แต่ไม่รู้จะห้ามยังไงดี เจ้านิสัยหัวดื้อ เถรตรงของคุณเนี่ย มันสร้างความลำบากให้กับคนรอบข้างคุณนะครับ
     
    “งั้นก็พาไปห้องพยาบาลก่อนแล้วกัน”
     
    เหล่า คนที่ดูแลกันอยู่นั้น เริ่มถกเถียงกันว่า จะพาหัวหน้าไปด้วยวิธีไหน จนคนที่เพิ่งมาถึงทนไม่ไหว ก็เลยอุ้มเสียเอง
    ไม่ต้องพึ่งใคร แล้วก้าวฉับๆออกจากวงล้อม ที่เหล่าผู้คนพร้อมใจกันเปิดทางให้ เพราะกลัวจะโดนตวาดใส่อีกรอบ
     
    ห้อง พยาบาลของบริษัทไม่ได้อยู่ไกลจากห้องทำงานของพวกเราเท่าไรนัก อาจเพราะคนที่นี่ซุ่มซ่ามชอบทำนิ้วตัวเอง
    มีแผลบ้าง ทำกาแฟลวกบ้าง บางทีก็นอนไม่พอ เลยแอบมางีบบ้าง บริษัทก็เลยย้ายห้องนี้มาไว้ใกล้ๆเสียเลย
     
    คุณ หมอประจำห้องพยาบาลแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นหน้าผม ก็แหงล่ะ ผมไม่เคยซุ่มซ่ามทำตัวเองเจ็บ
    หมอก็เลยไม่ค่อยคุ้นหน้าเท่าไร แต่เมื่อรู้ว่า ใครเป็นคนไข้ ก็ถอนหายใจ แล้วตรวจดูเล็กน้อย
     
    “เป็นอย่างนี้อีกแล้วเหรอเนี่ย”
     
    “คุณเกียร์เป็นบ่อยหรือครับ ?”
     
    “ก็สักเดือนละหนสองหนได้มั้ง”
     
    คุณ หมอตอบขณะกำลังปลดไทด์และกระดุมเสื้อเม็ดบนๆออก เพื่อให้หายใจได้สะดวก สีหน้าเจ้าตัวดูจะดีขึ้น
    เล็กน้อย หลังจากหลุดออกมาจากกลุ่มไทยมุง อย่างว่าแหละนะ ใส่เสื้อเชิ้ตติดกระดุมคอผูกไทด์ แล้วยังมาโดนมุง
    ไม่มีอากาศ ใครจะไปฟื้นได้
     
    “ปกติไม่ค่อยเห็นเข้ามาเวลานี้หรอก จะเป็นเอาตอนดึกๆทำงานล่วงเวลานู้น ก็เลยไม่ค่อยมีใครรู้”
     
    “ตอนนี้คงแตกตื่นกันใหญ่เลยสิ”
     
    ผม พยักหน้าตอบ แล้วก็หันไปมองร่างที่นอนอยู่บนเตียง ดวงตาคู่นั้นปิดสนิท ลมหายใจสม่ำเสมอ
    แต่ใบหน้าซีดขาวนั้น ดูดีขึ้นมาบ้างแล้ว ค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย
     
    “ให้นอนๆไป เดี๋ยวก็หายแล้ว”
     
    แต่ ท่าทางความสงบจะมาเยือนห้องพยาบาลได้ไม่นานนัก ก็มีคนเข้ามาเพราะซุ่มซ่ามทำอะไรสักอย่างบาดนิ้ว
    ร้องโวยวาย ราวกับว่า ตัวเองถูกแทงมาอย่างนั้น คุณหมอถึงกับขมวดคิ้ว หิ้วกล่องยาแล้วลากตัวเจ้าคนนั้นออกไป
     
    “ฉันจะไปรับมือกับฝูงลิงทโมนข้างนอกนะ ไม่งั้นหัวหน้าพวกนายจะไม่ได้พัก”
     
    ผมพยักหน้าตอบอีกครั้ง แล้วยิ้มให้กับคนเจ็บที่คุณหมอดึงหูเพื่อลงโทษที่ส่งเสียงดังในห้องพยาบาล
     
    “เออ นายน่ะ ดูท่าทางจะเป็นผู้เป็นคน มากกว่าเจ้าพวกนี้”
     
    “ช่วยห้ามหัวหน้าหน่อยสิ อย่าทำงานให้มันมากนัก ทำแค่ปริมาณที่มนุษย์ทั่วไปเขาทำกัน”
     
    “ฝากด้วยนะ”
     
    พอ ประตูบานนั้นปิดลงไปสักพัก ผมก็ได้ยินเสียงแหกปากด้วยความเจ็บปวดของคนข้างนอก ก่อนจะเงียบสนิทอย่างรวดเร็ว
    ไม่แน่ใจว่า กลัวจนสลบ หรือคุณหมอมีมาตรการสยองอะไรที่ทำให้หุบปากได้ในทันที
     
    เมื่อไม่มีเสียงโวยวายของคนอื่นแล้ว ห้องทั้งห้องก็เงียบสนิท ผมจึงได้แต่นั่งมองร่างของคนที่ได้ชื่อว่า เป็นหัวหน้า
    จะในเกมหรือนอกเกม เขาก็เป็นคนเก่ง เป็นที่นับถือของผู้คนทั้งหลาย ใครๆก็ต่างฝากความหวังเอาไว้
    แต่คุณก็ไม่เห็นจำเป็นต้องแบกภาระมากมาย ทำงานจนล้มป่วยแบบนี้
     
    คุณไม่ใช่ตัวละครในเกมนะครับ...คุณเหนื่อยได้ป่วยได้...
    แล้วก็ตายได้ด้วย...
     
    ระหว่าง กำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่นั้น คนบนเตียงก็รู้สึกตัว ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ขยับตัวจะลุกขึ้นนั่ง
    จนต้องรีบเข้าไปห้ามเอาไว้ แต่ก็ไม่สำเร็จ คนตรงหน้านั่งเอามือนวดขมับเบาๆ ทำท่าเหมือนกำลังปวดหัว
    ใบหน้านั้น...ไม่มีรอยยิ้มอย่างเคย...
     
    “ปวดหัวเหรอครับ...”
     
    “เปล่าหรอก แค่มึนนิดหน่อยน่ะ”
     
    พอ หันมาพูดด้วย ริมฝีปากนั้นก็คลี่ยิ้มโดยอัตโนมัติ จนนึกสงสัยขึ้นมาว่า รอยยิ้มที่เห็นเป็นปกตินั้น
    เป็นรอยยิ้มที่แสดงถึงความสุขของเจ้าตัวหรือเปล่า ที่จริงแล้วอาจจะรู้สึกเหนื่อย
    แต่ไม่อยากให้ใครรู้ใครเป็นห่วงก็เลยยิ้มสินะ
     
    “ดูแลตัวเองบ้างนะครับ”
     
    “อืม...ไม่เป็นไรหรอก...”
     
    “ทุกคนเขาเป็นห่วงนะครับ...”
     
    พออ้างถึงคำว่า ทุกคน ดูเหมือนคนตรงหน้าจะมีสีหน้าอ่อนลง คล้ายจะสำนึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย
     
    “ขอโทษนะ...”
     
    “ขอโทษผม แล้วได้อะไรขึ้นมา...ช่วยทำงานให้น้อยลงหน่อยจะดีกว่านะครับ”
     
    คุณเกียร์เพียงแค่หัวเราะเบาๆ ที่ ได้ยินผมพูดแบบนั้น อาจจะคิดว่า เป็นคำพูดล้อเล่น
    แต่ที่จริงแล้ว ผมค่อนข้างจริงจังกับมันเลยทีเดียว เวลาที่เห็นคุณยืนอยู่อย่างสง่างามท่ามกลางผู้คน
    ไม่ว่าจะเป็นที่นี่หรือในเกม ผมอยากจะครอบครอง อยากเป็นเจ้าของคุณ แต่ยามเห็นคุณอ่อนแอลง
    ผมรู้สึกอยากจะปกป้องคุณ จะกอดคุณเอาไว้
     
    “อยากปล่อยให้ทุกคน เขาเล่นสนุกกันมากกว่า...”
     
    พอ ได้ยินคำพูดนั้นแล้ว ก็ต้องขมวดคิ้ว ด้วยเหตุผลนี้หรือ ถึงเอาผู้ใหญ่ที่นิสัยเหมือนเด็กมาไว้ใกล้ตัว
    จะตามใจกันเกินไปหรือเปล่า ตอนนี้ทำงานได้เงินเดือนแล้วนะ จะมาเล่นสนุกอะไรกันอีก
     
    “เล่นสนุก จนลืมไปว่า ตัวเองเป็นผู้ใหญ่หรือเปล่าครับ...”
     
    “แค่คุณไม่สบายยังทำอะไรไม่ถูกเลย”
     
    คุณ เกียร์หัวเราะอีกครั้ง ดูท่าทางจะไม่ได้กังวลใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผิดกับผมที่รู้สึกอยากจะเชือดเจ้าพวกนั้นทิ้งรายตัว
    ข้อหาไร้สาระเกินกว่าเหตุ
     
    “แต่นั่นก็เป็นข้อดีของพวกเขาน่า...”
     
    “GM น่ะ ต้องทำให้เกมดำเนินไปอย่างราบรื่นไม่ใช่เหรอ”
     
    “ถ้าไม่นิสัยเด็กๆแบบนั้น จะไม่เข้าถึงโลกของเกมหรอก”
     
    ที่ คุณพูดมามันก็จริงครับ เพราะเจ้าฝูงลิงทโมนวัยเกินยี่สิบเหล่านั้น ทำงานได้ดีเกินคาด
    ในการประเมินสถานการณ์ เสนอรายงานหรือตามเก็บรายละเอียดต่างๆของเกม
    แต่พวกงานที่ต้องใช้หัวในการบริหาร จัดการ ก็ถูกโยนมากองรวมที่หัวหน้า
     
    “คุณน่าจะหาใครที่ไว้ใจได้สักคน มาช่วยงานนะครับ”
     
    “ที่ไม่ใช่พวก...เออ... ผู้ใหญ่หัวใจเด็กน่ะครับ”
     
    “แล้วนายล่ะ ?”
     
    ดวง ตาสีดำสนิทนั้นมองมาทางผม เหมือนต้องการจะถาม แม้รู้ว่า คำถามนั้นคืออะไร
    แต่ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองจนเกินไป ก็เลยเอ่ยปากถามย้ำออกไป ถึงความหมายของประโยคนั้น
     
    “ผม ทำไมหรือครับ ?
     
    “ไม่มาช่วยงานฉันเหรอ ?”
     
    “จะดีเหรอครับ ?”
     
    ในใจน่ะ อยากจะไปใจจะขาดอยู่แล้ว เพียงแต่ถ้าตอบรับออกไปทันทีก็คงจะไม่ดี อยากฟังเหตุผลที่เลือกเราด้วย
     
    “นายไม่อยากทำเหรอ ?”
     
    “ไม่ใช่ไม่อยากครับ”
     
    “แค่สงสัยว่า ทำไมคุณถึงเลือกผม”
     
    ตอนที่ถามออกไปนั้นก็รู้สึกอยากตบปากตัวเองสักหน จะถามตรงไปตรงมาอะไรขนาดนั้นว่ะ แล้วอีกฝ่ายจะตอบได้ยังไงเล่า
     
    “ก็นายดูเป็นผู้นำดี...ท่าทางจะเป็นคนที่คนอื่นจะเคารพเชื่อฟัง..”
     
    คำตอบนั้นกลับออกมาจากปากอย่างง่ายดาย สมกับเป็นคนที่มีนิสัยตรงไปตรงมา ไม่ปิดบังซ่อนเร้นอะไร
    คุณที่เป็นแบบนี้ ผมทั้งรู้สึกอิจฉา ทั้งรู้สึกเป็นห่วง อย่างบอกไม่ถูก
     
    “ถ้าเกิดฉันเป็นอะไรไป นายคงจะเป็นผู้นำทุกคนต่อได้...”
     
    “คุณจะเป็นอะไรหรือครับ ?”
     
    คำ ถามนั้น เหมือนจะถามเรียบๆ ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่แท้ที่จริงแล้ว ในใจกลับรู้สึกแปลกๆที่ได้ยินเหมือนว่า
    คนตรงหน้าจะหายตัวไปที่ไหนสักแห่ง พูดอย่างนี้ เหมือนเตรียมใจเอาไว้แล้ว
     
    “เปล่าหรอก ก็แค่เตรียมไว้เฉยๆน่ะ”
     
    “ทุกอย่าง มันก็เป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็นนั่นแหละ...”
     
    ใน ตอนนั้น ผมไม่รู้ว่า ตัวเองทำอะไรลงไป เพราะผมลุกขึ้นแล้วก็ดึงตัวคนตรงหน้าเข้ามากอดเอาไว้แน่น
    ท่ามกลางความตกใจและงุนงงของอีกฝ่าย ถึงจะเอ่ยถามว่า ผมเป็นอะไรซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    แต่ก็ไม่คิดจะผลักไสหรือขัดขืนแม้แต่น้อย
     
    “ผมเหนื่อย...ขออยู่แบบนี้สักพักเถอะครับ...”
     
    “คุณดูมีพลังงานเหลือเฟือ ขอแบ่งมาให้ผมบ้าง...”
     
    ผมเหนื่อย...ที่จะเฝ้ามองคุณ...คิดเรื่องต่างๆของคุณ...
    ในขณะที่คุณไม่เข้าใจอะไรเลย...ไม่รู้เลยสักนิดถึงความรู้สึกของผม...
    เกลียดคำพูดของคุณ...เวลามันทำให้ผมไม่สบายใจ...
     
    “สงสัย นายคงต้องพักบ้างแล้วล่ะ...”
     
    “โฮลี่ ออเดอร์...”
     
    มือของคุณที่โอบกอดผมตอบ...
    ความอบอุ่นจากร่างกายที่ถ่ายทอดเข้ามา...
    คำพูดแสดงความห่วงใย...
     
    เพราะคุณเป็นแบบนี้...ผมถึงได้รัก...
     
    จะมีสักวันไหมนะ...ที่ผมจะได้กอดคุณเอาไว้...
    กอดคุณ...ขณะที่คุณเข้าใจความหมายของความรู้สึกนี้...
    ถ่ายทอดความอบอุ่นของร่างกาย...ด้วยสัมผัส...
    แล้วฟังเสียงคุณกระซิบชื่อผมอย่างแผ่วเบา...
     
    ความหวังนั้น...อาจไม่มีวันเป็นจริง...
    จะอยู่โลกนี้...ในเกม...หรือว่าที่ไหน...
    แต่สำหรับตอนนี้...อย่างน้อย...
     
    ...ผมก็...ได้สัมผัสคุณ...
     
    ++++++++++

    ถ้าใครอ่านเรื่องนี้แล้วชอบ หรือว่าชอบคู่นี้อยู่แล้ว ช่วยโพสคอมเมนต์หน่อยนะคะ
    จะได้แต่งต่อ ถ้ามีคนมาโพสสัก 1 คอมเมนต์ จะแต่งต่อค่ะ (จะได้รู้ว่ามีคนอ่าน)
    ถ้าไม่มีก็พับโปรเจคไป แต่ก็ไม่แน่ค่ะ ถ้าอยากแต่งมาก อาจจะรีบแต่งตอนต่อไปก็ได้  55+
    ยังไงก็ ถ้าใครแวะเวียนเข้ามา ก็ฝากฟิคเรื่องนี้ด้วยนะคะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×