ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ExE fic] I wish (โฮลี่ออเดอร์Xเกียร์)

    ลำดับตอนที่ #13 : Extra IV : Wish to the sea (Rewind)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 113
      0
      2 พ.ค. 55

    Title: Wish to the sea
    Author: Monochrome bird
    Category:  Drama เป็นหลัก แต่แบ็คกราวน์อยากให้มีกลิ่นอายฮาเฮ

    Pairing:
    โฮลี่ออดอร์ x คุณเกียร์
    Rating: R ล่ะมั้ง ??
    Disclaimer: ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นของคุณภานุวัฒน์ค่ะ พวกเราแค่ยืมมาจิ้นเล่นเท่านั้น
    Author notes: อยากเขียนตอนนี้มานานแล้ว แต่ไม่ว่างเขียนเสียที จนล่วงเลยมาจนป่านนี้


    ++++++++++

    ทะเลเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับคู่รักทั้งหลาย ไม่มีอะไรจะสุขเกินกว่า การได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันในวันหยุด
    บนหาดทรายสีขาว น้ำทะเลสีสวย ท้องฟ้าสดใส เราสองเดินเล่นอยู่บนชายหาด จับมือกันไว้ตลอดทาง
    มองพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน คุยเรื่องสัพเพเหระกันอย่างมีความสุข นั่นคือ วันหยุดในอุดมคติอันสุดแสนโรแมนติค


    แล้วในวันหยุดยาวซึ่งใครต่อใครต่างพากันแพ็คกระเป๋าเดินทางไปยังต่างจังหวัด ไปดูหาดทรายสวยทะเลใสกันตามที่ต่างๆ
    ผมก็ยังจมจ่อมอยู่กับเก้าอี้ทำงาน ใช้เวลาอย่างสุดแสนโรแมนติคกับคนที่ผมรักแสนรัก ด้วยการปั่นงานกองสูงท่วมหัวไปเรื่อยๆ
    โดยแทบไม่เอ่ยอะไรกันเลยแม้แต่ประโยคเดียว


    ทั้งหมดก็เป็นความผิดของเจ้าพวกลิงทโมนนั่นแหละ !!!

    เพราะช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมาในเกมมีอีเวนต์พิเศษประจำเทศกาลมากพอสมควร ก็เลยมีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย ใหญ่บ้างเล็กบ้าง
    เป็นกรณีไป แต่ที่งานมันกองจนสูงท่วมหัวแบบนี้ เพราะเจ้าบ้าพวกนั้น ดันไม่ยอมรีบๆรายงาน มัวแต่เล่นสนุกจนส่งงานช้า
    ไปๆมาๆ ก็เลยต้องมานั่งเขียนรายงานในวันสิ้นปี


    ...ปีใหม่ปีนี้...ผมจึงได้ฉลองด้วยการเขียนรายงานข้ามปี...

    ถ้าเป็นไปตามความเชื่อโบราณ ตอนปีใหม่ทำอะไร ปีหน้าก็จะต้องทำแบบนั้นไปตลอดทั้งปี สงสัยผมคงต้องทำงานหนัก
    จนโงหัวไม่ขึ้นทั้งปีทั้งชาติแน่ๆ เพราะตอนนี้เริ่มรู้สึกปวดไหล่ ปวดหลัง ราวกับมีใครมานั่งทับ

    ทั้งปวดตา ทั้งมึนงง แต่มือมันก็ยังไม่ยอมหยุดพิมพ์รายงาน เพราะรู้ดีว่า มันต้องทำให้เสร็จ ทำให้เสร็จ ให้ได้ !!!

    “ไปกินข้าวกันไหม ?”

    ผมหันควับจากหน้าจอคอมพิวเตอร์มองไปทางต้นเสียงทันที หูฝาดหรือเปล่า หูแว่วแน่ๆ หรือผีที่นั่งอยู่บนไหล่แกล้งกระซิบ
    บอกให้ตกใจเล่น ร้อยวันพันปีไม่เห็นเคยนึกอยากจะกินข้าว มีแต่ต้องเอามายัดเยียดให้ถึงโต๊ะทำงานบ้างล่ะ ฉุดกระชากลากถู
    ลงไปที่ร้านบ้างล่ะ แล้ววันนี้เกิดอาเพศอะไรขึ้นมา ??


    “ไม่หิวเหรอ ?”

    คนนั้นถามซ้ำด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเป็นปกติ ผมรู้สึกว่าตัวเองพยักหน้ารับไปตามความเคยชิน
    แล้วฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เฮ้ย ไม่ใช่ดิ ก็เลยรีบสั่นหน้า ทำเอาคนถามหลุดขำ เพราะท่าทีลุกลี้ลุกลนของผม


    “เอาเป็นว่า ไปกินข้าวกันเถอะ”

    ผมแทบจะดีดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที งานที่อยู่ในหัวปลิวหายไปหมด เกือบลืมกดเซฟงานเอาไว้ด้วยซ้ำ
    วันนี้เป็นวันแรกที่ผมจะได้ไปกินข้าวกับคุณเกียร์เยี่ยงปุถุชนคนอื่นเขา จะไปกินที่ร้านไหนกันนะ
    พวกเราแทบไม่ได้ไปกินข้าวที่อื่นเลย นอกจากโรงอาหารบริษัท


    “อยากกินอะไรล่ะ ?”

    คนชวนหันมาถาม ผมคิดถึงของกินมากมายลอยไปมาในสมอง แต่ในวันสิ้นปีแบบนี้ จะยังมีร้านไหนเปิดอยู่หรือเปล่านะ
    ร้านข้างทางแสนอร่อย ก็น่าจะปิด เพื่อพาครอบครัวไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือไม่ก็หยุดพักผ่อน หลังจากทำงานเหน็ดเหนื่อย
    มาตลอดทั้งปี จะพาไปกินร้านอาหารดีๆ ก็ไกลจากบริษัทจนนึกเสียดายเวลาเดินทาง


    “คุณเกียร์รู้จักร้านดีๆ ที่เปิดช่วงวันสิ้นปีหรือเปล่าครับ”

    อีกฝ่ายเป็นคนเอ่ยปากชวนเอง น่าจะมีแผนอยู่บ้าง อาจจะมีร้านอยู่ในใจแล้วก็ได้ เพียงแต่ถามเขาไปตามมารยาทอย่างนั้นเอง
    แต่ดูจากสีหน้าที่เหมือนงงๆ ท่าทางจะไม่เข้าใจคำถามของผม


    “คุณเกียร์ตั้งใจจะไปกินข้าวร้านไหนเหรอครับ ?”

    เปลี่ยนคำถามใหม่ให้ง่ายขึ้นและตรงประเด็น คุณเกียร์จึงยกมือขึ้นชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง แทนการตอบคำถาม
    ผมมองตามนิ้วเรียวยาวนั้น แล้วหันกลับมามองหน้าเจ้าตัว สลับกับหันกลับไปมองป้ายหน้าร้าน ไปมาหลายรอบ
    เมื่อแน่ใจว่า คนตรงหน้าเอาจริง จึงค่อยถอนหายใจยาว


    ...เรามันบ้าที่คิดฟุ้งซ่านไปเองสินะ...

    สิ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ในทิศทางที่คุณเกียร์ชี้ไปก็คือ ร้านมินิมาร์ทซึ่งมีจำนวนสาขามากที่สุดในประเทศไทย หรือเรียกขานกัน
    โดยทั่วไปว่า...7-11 การนั่งละเลียดรับประทานอาหารกลางวันแสนอร่อย ในร้านบรรยากาศดีๆ หรือแม้แต่ร้านข้างทางอันโด่งดัง
    ไม่ได้อยู่ในสมองของคนคนนั้น แม้แต่นิดเดียว


    “ไปกันเถอะครับ”

    รู้สึกเหมือนหัวใจผมห่อเหี่ยวลงไปทุกที ยิ่งได้ยินเสียง ติ๊งต่อง พร้อมกับเสียงของพนักงานที่พูดตามหน้าที่ว่า ยินดีต้อนรับค่ะ
    แต่สีหน้าและน้ำเสียงนั้นไม่มีความยินดีอยู่เลยแม้แต่น้อย ท่าทางจะเบื่อหน่ายกับการมาทำงานช่วงวันหยุดยาว

    แต่แล้วใบหน้าของสาวน้อยก็มีสีแดงระเรื่อปรากฏขึ้นจางๆ พร้อมกับเจ้าตัวก้มหน้างุด หลบสายตาทันที เมื่อคนที่มากับผม
    ส่งยิ้มตอบกลับไป เมื่อได้ยินคำว่า ยินดีต้อนรับ


    ...โดนโจมตีด้วยรอยยิ้ม...เขินจนติด damage แล้วสินะ...

    นั่นสินะ ไม่ว่าใครที่ได้เห็นรอยยิ้มนั้น เป็นครั้งแรก ก็คงจะมีอาการแบบนี้ โชคดีที่ผมเห็นมันทุกวัน จนเคยชิน
    ตอนนี้ก็เลยมีภูมิต้านทานมากขึ้น กล้าปฏิเสธ กล้าพูดคำว่า ไม่ กล้าบังคับให้ทำนู่นทำนี่
    ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะก็ แค่คนคนนั้นยิ้มให้ ก็ต้องยกธงขาวยอมแพ้ ตามใจทุกอย่าง ไม่กล้าขัดเลยแม้แต่นิดเดียว


    “แล้วจะเอาอะไรล่ะ ?”

    คุณเกียร์ยืนอยู่หน้าตู้แช่แข็งของร้าน พลางไล่ดูชื่ออาหารที่เขียนอยู่บนกล่อง
    ตามปกติคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับงานและไม่ค่อยมีเวลาให้กับตัวเอง น่าจะมีโอกาสได้กินอาหารพวกนี้บ่อยๆ
    แต่ดูท่าคุณจะไม่รู้จักเลยสักอย่าง เพราะเห็นตั้งอกตั้งใจอ่าน ราวกับไม่เคยกินมาก่อน


    คงเพราะ...เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สนใจเรื่องปากท้องตัวเอง...
    หากมีงาน...ก็ลืมความหิวไปได้ล่ะมั้ง...

    หลังจากเลือกเสร็จ ก็ส่งให้พนักงานนำไปอุ่นในไมโครเวฟ คนทั่วไป ก็คงจ่ายเงินแล้วยืนรอ
    เป็นที่รู้กันดีว่า สักพักพนักงานก็จะเอาไปอุ่นให้เอง แต่คุณเกียร์กลับเอ่ยปากฝากฝังด้วยเสียงทุ้มนุ่ม ราวกับการอุ่นอาหารแช่แข็ง
    เป็นงานอันแสนสำคัญในบริษัท ซึ่งต้องรบกวนเวลาเป็นอย่างมาก ทำเอาสาวน้อยที่ไม่เคยชินกับมนุษย์แบบนี้
    ถึงกับต้องโค้งศีรษะกลับ พลางปฏิเสธว่า ไม่ได้ลำบากอะไรหรอกค่ะ


    ผมคงเป็นบ้าไปแล้ว...เพราะช่วงระยะเวลา 15 นาทีที่รออุ่นอาหาร เป็นช่วงเวลาอันแสนหงุดหงิดของผม การต้องมานั่งมอง
    สาวน้อยวัยใสกำลังสนทนาด้วยท่าทีเขินอายกับหัวหน้าของผม ซึ่งเอาแต่ถามนู่นถามนี่ถึงสิ่งของต่างๆที่ตั้งเรียงรายอยู่
    ในมินิมาร์ทแห่งนี้ ทำให้ต่อมหึงของผมเริ่มทำงานอย่างไม่อาจควบคุมได้ รู้ทั้งรู้ว่าคุณเกียร์ไม่ได้คิดอะไร
    สาวน้อยคนนั้นก็คงไม่ได้คิดจะสานสัมพันธ์อะไรไปมากกว่านี้ แต่ผมก็ยังรู้สึกหงุดหงิดจนไม่รู้ว่า ควรจะทำอย่างไร


    เสียงของไมโครเวฟนั้น เหมือนเสียงระฆังดังหมดยกบนสังเวียนการต่อสู้อันดุเดือดในจิตใจตัวเอง
    ผมพยายามควบคุมตัวเอง ไม่ให้ไปกระชากตัวคนตรงหน้าออกมา เพื่อจะได้หยุดพูดจาเหมือนจีบคนอื่นแบบไม่รู้ตัวซะที
    พนักงานสาวค่อยๆหยิบกล่องใส่ในถุงอย่างบรรจง แล้วส่งให้คุณเกียร์ด้วยท่าทีนอบน้อม


    “ขอบคุณค่ะ โอกาสหน้าเชิญใหม่นะคะ”

    ผมดีใจอยู่ลึกๆที่เธอไม่ถามตามแบบฉบับของพนักงานว่า รับขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มไหมคะ เพราะคุณเกียร์อาจจะสนใจ
    และเริ่มต้นถามคำถามเกี่ยวกับของกินที่ถูกเสนอขึ้นมาก็ได้ ไปๆมาๆอาจจะต้องยืนถลึงตารอพนักงานอุ่นซาลาเปาอีกก็เป็นได้
    สีหน้าของเธอในตอนนี้ ช่างแตกต่างจากตอนแรกที่เหยียบเข้ามาในร้าน รอยยิ้มที่เกิดจากความสุขใจนั้น ฉายชัดอยู่บนใบหน้า
    ถ้ามีลูกค้าหลงมาอีกสักคนสองคน คงได้ยินคำว่า ยินดีต้อนรับค่ะ ด้วยน้ำเสียงสดใส ยินดีให้บริการแน่ๆ


    พอมองภาพแบบนั้นก็ต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้ง การมายืนหงุดหงิด จากการที่คนอื่นได้เห็นรอยยิ้ม ได้มีความสุข
    จากความอ่อนโยนของคนคนนั้น ช่างเป็นเรื่องไร้สาระจริงๆ
    ในขณะที่ในหัวมีเรื่องคิดอยู่มากมาย นิ้วเรียวยาวของใครคนหนึ่งก็จิ้มลงตรงกลางหน้าผาก ผมรีบยกมือขึ้นลูบตรงนั้น
    แทนการป้องกันตัว พลางจ้องมองใบหน้าที่ยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยน


    “ขมวดคิ้วมากๆ ระวังหน้าแก่เกินวัยนะ”

    พูดจบก็เดินนำลิ่วกลับไปยังบริษัท ผมเฝ้ามองแผ่นหลังของคนที่ทั้งรักทั้งหลงใหล ความปรารถนาอยากครอบครองมีเพิ่มพูนขึ้น
    ทุกขณะ จนกลัวว่าตัวเองจะเป็นบ้าเข้าสักวัน


    ถึงจะอยากจับขังเอาไว้ภายในห้อง...
    ถึงจะอยากซ่อนไว้ไม่ให้ใครเห็น...
    ถึงจะอยากตีตรวนผูกมัดคุณสักเพียงใด...
    สุดท้าย...ก็ได้แต่ยอมรับความจริง...

    ...คุณ...ไม่มีวันเป็นของผม...เพียงคนเดียว...

    ++++++++++

    หลังจากทำสงครามกับกองงานตลอดวันหยุดยาวของปีใหม่ ฝ่ายเราที่มีกำลังพลเพียง 2 คน ก็เอาชนะเอกสาร
    จำนวนนับหมื่นใบมาได้อย่างสวยงาม ก่อนจะเตรียมพร้อมกับการต่อสู้ขนาดย่อมๆกับกองงานที่ดูเยอะ
    เมื่อเทียบกับคนปกติ แต่ไม่ถึงขั้นมากมายมหาศาลอย่างที่เพิ่งจัดการไป


    “โฮลี่ ออเดอร์ ช่วงนี้ยุ่งหรือเปล่า ?”

    เสียงของผู้บัญชาการเพียงคนเดียวของผมที่บนโต๊ะมีกองงานเอกสารอยู่เต็มไปหมด ผมมองภาพนั้นแล้วนิ่งคิดว่า ควรจะตอบอย่างไรดี
    มันก็ยุ่งเป็นปกติล่ะครับ มีตอนไหนบ้างหรือครับที่พวกเราไม่ยุ่ง ช่วยบอกผมหน่อยเถอะ


    “ก็นิดหน่อยครับ”

    ตัดสินใจตอบเลี่ยงๆตามที่ถนัด แล้วรอดูว่า คนตรงหน้าจะพูดว่าอย่างไรต่อไป คุณเกียร์คลี่ยิ้มเหมือนโล่งใจที่ได้ยินคำตอบแบบนั้น
    ทำเอาผมแอบรู้สึกขนลุกหน่อยๆ จะมีงานโหดๆอะไรมาให้ทำอีกหรือเปล่านะ


    “ไปทะเลกันไหม ?”

    งวดนี้บริษัทจัดประชุมสัมมนากันที่ทะเลหรือครับ แล้วจะพาผมไปทิ้งไว้กลางวงสนทนาของพวกผู้บริหารอีกหรือเปล่า
    แต่เอาเถอะครับ ผมจะไปด้วยก็ได้ จะได้สบายใจว่า คุณกินเป็นเวลา นอนเป็นเวลา ไม่ได้ทำงานหักโหมจนเกินไป


    “ที่ไหนหรือครับ

    “อยากไปที่ไหนล่ะ ?”

    อ้าว ? งานประชุมครั้งนี้เขาอนุญาตให้เลือกสถานที่ได้ด้วยหรือครับ หรือว่าคุณรีลิสใช้อาญาสิทธิ์เข้าควบคุมการประชุมนี้แล้ว
    ถ้าคุณรีลิสไป ผมไม่ไปน่าจะดีกว่านะครับ เดี๋ยวหน้าตาของผม มันจะไประคายเคืองพระเนตรขององค์หญิง แล้วจะเกิดกลียุค
    พาเอาคนรอบข้าง ซวยไปด้วยนะครับ


    “แล้วนี่ใครไปบ้างครับ ?”

    “หืม ? อยากให้ชวนคนอื่นอีกเหรอ ?”

    ผมรู้สึกได้ว่า ตัวเองกำลังงงเป็นไก่ตาแตก นิสัยคุยกันสั้นๆแบบไม่ค่อยอธิบายรายละเอียดเริ่มทำพิษ
    ผมทั้งงงทั้งสับสนว่า ตกลงงานประชุมในครั้งนี้ เป็นอย่างไรกันแน่ หรือว่า มันจะไม่ใช่เรื่องงาน ? อย่าบอกนะว่า...


    “คุณเกียร์...กำลังชวนผมไปเที่ยวทะเลเหรอครับ ?”

    คำถามโง่ๆหลุดออกมาจากปากโดยไม่ได้ทันได้ยั้งคิด ไม่สิ ควรจะเรียกว่า ไม่อยากคิดแล้วมากกว่า ถามมันตรงๆนี่แหละ
    เข้าใจง่ายดี มัวแต่อ้อมไปอ้อมมารักษามาด ก็ไม่ต้องรู้เรื่องกันแล้วล่ะ


    “ก็ใช่น่ะสิ แล้วนายคิดว่าอะไรล่ะ”

    “ลางานไปสัก 2-3 วันดีไหม ?”

    โอ้ พระเจ้าครับ !! คุณเกียร์ชวนผมไปเที่ยวทะเล !!
    คนที่เห็นงานสำคัญมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ ใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตขลุกตัวอยู่ที่บริษัท คอยดูแลทั้งงานเอกสาร ทั้งเรื่องราว
    ในเกมให้เป็นระเบียบเรียบร้อย จนไม่สนใจเวลากินเวลานอนของตัวเอง กำลังจะลางานไปเที่ยวกับผมครับ ถึงพรุ่งนี้หิมะตกเมืองไทย
    หรือว่าแผ่นดินไหวจนตึกถล่ม ผมก็ยังไม่ตกใจเท่านี้เลยครับ


    “ไม่อยากไปเหรอ ?”

    “เปล่าครับ !!

    ผมรีบตอบเสียงดังฟังชัด ก่อนที่โอกาสนี้จะหลุดลอยไป คนเอ่ยปากชวนหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินผมร่ายชื่อสถานที่เที่ยวออกมายาวเหยียด
    ราวกับท่องมนต์ ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ นี่มันใกล้เคียงกับปาฏิหาริย์เลยล่ะ


    “งั้นก็ช่วงอาทิตย์หน้าแล้วกันนะ”

    “ครับ !!

    ผมเตรียมตัวเข้าโหมดต่อสู้กับกองงานในทันที ความรู้สึกดีใจและตื่นเต้นถูกเปลี่ยนมาเป็นพลังงานในการทำงาน
    กำลังใจที่เคยเหือดหายไปกับปีใหม่ที่แสนแห้งเหี่ยว ฟื้นคืนกลับมาในทันที เมื่อเกิดความตั้งใจอย่างแรงกล้า


    ผมจะต้องไปเที่ยวทะเลกับคุณเกียร์ให้ได้ !!!

    ++++++++++

    น้ำทะเลสีครามสดใส หาดทรายสีขาวเนียนละเอียดที่มีปูตัวเล็กวิ่งไปมา แล้วรีบมุดลงรูยามเมื่อคลื่นซัดสาดขึ้นมาบนฝั่ง
    เปลือกหอยหลากสีสัน แต่งแต้มพื้นทรายให้ดูงดงาม ราวกับมีคนตั้งใจมาเรียงเอาไว้ ท้องฟ้าในวันนี้ก็ปลอดโปร่งแจ่มใส
    เหมาะแก่การมาเที่ยวทะเล ทุกอย่างดูสวยงามเหมือนดั่งที่ฝันไว้


    ยกเว้น...คุณรีลิส...

    ในภาพฝันริมทะเลนั้น ไม่มีหญิงสาวยืนอยู่ข้างคุณเกียร์ พูดคุยกันอย่างออกรส หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ทิ้งให้ผมหอบหิ้วสัมภาระ
    ทั้งหลายลงจากรถอยู่คนเดียว กระเป๋านับสิบใบตั้งเรียงรายอยู่ในกระโปรงหลังรถ หนึ่งในจำนวนนั้นเป็นของผม และใบที่เล็กที่สุด
    ในจำนวนนั้นเป็นของคุณเกียร์ ที่เหลือนั้นเป็นของคุณรีลิส ส่วนมีอะไรอยู่ในกระเป๋าบ้างนั้น เป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดา
     

    เอ้า ชักช้าอยู่นั่นแหละ

    คุณหนูบ่นนิดๆ ก่อนจะชี้ทางไปยังบ้านพัก คุณเกียร์ยิ้มให้ผมอย่างเห็นอกเห็นใจ แล้วหันไปพูดคุยอะไรสักอย่างกับเธอ
    ดูเหมือนเจ้าตัวจะเบะปากนิดๆเหมือนไม่พอใจ แต่ก็พยักหน้ารับแล้วเดินนำลิ่วไปทางบ้านพักแบบไม่คิดจะรอใคร


    ให้ฉันช่วยนะ

    ผมเข้าใจเหตุผลที่เธอทำหน้าตาแบบนั้นในทันที เพื่อนสุดรักสุดหวงของเธอ กำลังจะกลายมาเป็นผู้ใช้แรงงาน เทียบเท่ากับผม
    แถมยังเป็นการเสนอตัวมาช่วยเองอีกต่างหาก คุณหนูท่านย่อมไม่พอใจอยู่แล้ว


    ไม่เป็นไรครับ ผมถือได้

    ผมหมายความตามที่พูดจริงๆ ไม่ได้พูดตามมารยาท เพราะถึงมันจะหนักแค่ไหน ถ้าต้องให้คุณมาถือของหนักๆ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อ
    การพลัดตกหกล้ม ผมว่าผมกัดฟันแบกไปเองดีกว่า ขี้เกียจมาวุ่นวายพาคุณไปส่งโรงพยาบาล


    คิดว่า ฉันถือไม่ไหวหรือไง ?

    ถูกเผงเลยครับ อยากจะพูดแบบนั้น หรือไม่ก็พยักหน้าตอบ แต่ก็ทำได้แค่ส่ายหน้าแล้วบอกปฏิเสธอย่างรักษาน้ำใจ
    มือทั้งสองข้างเริ่มสั่นระริกจากน้ำหนักกระเป๋าที่ถือไว้ ผมว่าเราหยุดคุยแล้วรีบเดินไปกันดีกว่า
    ไม่อย่างนั้นผมอาจต้องเป็นคนเข้าโรงพยาบาลเพราะไหล่หลุด


    ส่งมาเถอะ ไม่เป็นไรหรอกน่า

    ผมต้องส่งกระเป๋าให้อย่างเสียมิได้ เพื่อไม่ให้การถกเถียงนั้นยาวนานไปมากกว่านี้ จากการยืนแบกมันมาสักครู่หนึ่ง
    ทำให้ผมรู้น้ำหนักของแต่ละใบอย่างคร่าวๆ จึงพยายามส่งกระเป๋าที่มีน้ำหนักย่อมเยาไปให้


    ไปกันเถอะครับ

    สุดท้ายแล้วคุณเกียร์ก็ถือกระเป๋าใบเล็กของตัวเองและกระเป๋าใบย่อมๆของคุณรีลิสอีกหนึ่งใบ
    ส่วนผมก็กัดฟันแบกที่เหลือไปด้วยสีหน้าที่มีแต่รอยยิ้ม


    แต่เป็นการปั้นยิ้มสุดชีวิต...เพื่อไม่ให้คนข้างๆเอ่ยปากว่าจะช่วยถือเพิ่ม...

    การมาเที่ยวทะเลในครั้งนี้นั้นแทบไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะเป็นอภินันทนาการจากคุณหนูซึ่งเป็นแขกกิตติมศักดิ์แบบไม่ได้รับเชิญ
    ที่จริงผมควรเสนอตัวเป็นคนจัดการเรื่องที่พักเอง ตั้งแต่ตอนคุณเกียร์เอ่ยปากชวน ก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่า คนบ้างานแบบนั้น
    คงไม่รู้จักที่เที่ยวที่ไหนเลย


    บ้านพักริมทะเลของตระกูลที่มั่งคั่งนั้น เป็นบ้านหลังใหญ่ทาสีขาวสะอาดตา ราวกับเป็นบ้านสำหรับถ่ายทำภาพยนตร์
    เวลาพระเอกนางเอกมากุ๊กกิ๊กกันริมทะเล แต่ที่สุดยอดกว่านั้นคือ ข้างในอัดแน่นไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
    จนไม่แน่ใจว่า เป็นบ้านพักผ่อนริมทะเลหรือว่า ฐานทัพลับเมื่อต้องการลี้ภัย


    ช้า ช้า ช้า

    เธอยังคงบ่นด้วยคำพูดเดิม ขณะนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้โซฟาตัวใหญ่ที่ควรจะตั้งอยู่ในห้องนั่งเล่นหรูใจกลางเมือง
    มากกว่ามาอยู่ในบ้านพักริมทะเล


    เอาของขึ้นไปเก็บบนห้องได้แล้ว

    โห สั่งกันยังกับว่า ผมเป็นข้าทาสบริวารของคุณยังไงยังงั้น แต่ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษที่มีอยู่น้อยนิด คงจะปล่อยให้
    คุณหนูผู้เป็นเจ้าของบ้าน ลงมือขนของเองก็คงจะไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องแบกกระเป๋าทั้งหมดขึ้นไปตามคำสั่ง


    บนชั้นสองของบ้าน แบ่งเป็นห้องพักหลายห้อง แน่นอนว่าห้องใหญ่ที่สุดนั้น ถูกจับจองโดยเจ้าของบ้าน และถึงผมนึกอยากจะ
    ไปนอนห้องเดียวกับคุณเกียร์ ก็ไม่กล้าย่างเท้าเข้าไปใกล้ห้องนั้นหรอก ตราบใดที่ดวงตาคู่นั้นยังคอยจ้องจับผิดผมอยู่


    รอจนตกดึกคืนนี้...ผมค่อยแอบย่องเข้าไปแล้วกัน...

    ++++++++++

    ใช้เวลานานอยู่เหมือนกัน กว่าจะเสร็จสิ้นภารกิจเปิดหน้าต่างทุกบานในบ้าน ตามคำสั่งของคุณหนู
    ผมรีบเดินตามไปยังชายหาด ซึ่งหญิงสาวได้ลากตัวคุณเกียร์ไปเดินเล่นด้วยกัน พอเห็นตัวของคนที่กำลังนึกถึงอยู่
    ก็คิดจะเอ่ยปาก แต่ก็เปลี่ยนใจ เพราะอยากมองเพื่อเก็บภาพที่อยู่ตรงหน้าเอาไว้


    ภาพของคุณเกียร์ที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขาสั้น ยืนอยู่ในน้ำลึกประมาณครึ่งแข้ง ลมทะเลเบาๆพัดให้เสื้อที่ไม่ได้
    ติดกระดุมนั้นเปิดออก เผยให้เห็นผิวขาวเนียนเสมอกันทั้งตัว ไม่มีรอยต่อระหว่างเสื้อผ้าเหมือนคนทั่วไป
    ต้องขอบคุณสไตล์การแต่งตัวด้วยเสื้อแขนยาวตลอดทั้งปีและนิสัยบ้างานที่ออกจากบ้านก่อนพระอาทิตย์ทำงานและกลับบ้าน
    เมื่อพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไป  


    เก็บอาการหน่อย เช็ดน้ำลายด้วย

    เสียงของก้างชิ้นสำคัญดังขึ้นข้างๆ เธออยู่ในชุดกระโปรงยาวแขนกุดลายลูกไม้สีขาว เข้ากับบรรยากาศริมทะเล
    บนศีรษะมีหมวกที่เข้ากันกับชุดอย่างพอเหมาะ ใครมาเห็นเข้าก็ต้องคิดว่า เธอคนนี้ช่างสวยเสียจริงๆ

    แต่ใครที่ว่านั้นคงไม่ใช่ผม เพราะคนที่ผมอยากมองนั้น ไม่ใช่สาวงามปานนางฟ้าคนนี้

    เพื่อนฉันสวยใช่ไหมล่ะ

    พูดออกมาได้เต็มปากเต็มคำเลยนะครับว่า สวย ทั้งที่เพื่อนคุณเป็นผู้ชายแท้ๆ
    ผมเองยังเก็บคำชมนั้น เอาไว้ในใจ ไม่บอกใครหรอกครับว่า ผมคิดยังไง

    ระหว่างที่การต่อปากต่อคำยังไม่เริ่มต้นขึ้น เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นขัดจังหวะ คุณรีลิสรีบรับทันที
    ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด หลังจากวางโทรศัพท์เธอก้าวเร็วๆไปหาคุณเกียร์


    มีเรื่อง คงต้องไปก่อน

    ผมได้ยินแค่นั้น เพราะประโยคอื่นเบาเกินกว่าจะจับความได้ เธอหันกลับมาทำตาเขียวใส่ผม เหมือนเป็นการขู่เล็กน้อย
    ก่อนจะรีบควักมือถือออกมา คงจะโทรเรียกใครมารับล่ะมั้ง ? อาจจะเป็นเฮลิคอปเตอร์ก็ได้


    หลังจากทางสะดวก ผมก็เดินไปหาคุณเกียร์อย่างช้าๆ รู้สึกว่าทุกย่างก้าวที่สัมผัสพื้นทราย เหมือนตื่นเต้นแปลกๆ
    ทั้งที่ไม่ได้มีอะไรเสียหน่อย ทำไมใจถึงเต้นตึกตักขนาดนี้นะ


    คุณเกียร์ครับ

    หืม ?

    ในช่วงเวลาสั้นๆที่คนคนนั้นหันมาหา อาจจะเพราะดวงอาทิตย์เผอิญอยู่ในตำแหน่งด้านหลังพอดีก็ได้
    แต่รู้สึกว่า รอยยิ้มของคุณมันช่างเจิดจ้าเหลือเกิน เจิดจ้าจนรู้สึกตาพร่าไปหมด


    โฮลี่ออเดอร์ ?

    เสียงเรียกชื่อผม ทำให้สติกลับคืนมา บางทีผมคงโดนมนต์อะไรสักอย่างที่คุณเกียร์ชอบร่ายใส่คนรอบข้าง
    ทำให้เกิดผลตะลึงงันไปชั่วครู่ ที่จริงผมควรมีภูมิต้านทานมนต์นี้แล้ว แต่เหมือนชายหาดทำให้มนตราแข็งแกร่งขึ้นมาก
    ราวกับที่ย้อนกลับไป เมื่อตอนเจอกันครั้งแรก เหมือนคุณมีประกายระยิบระยับ งดงามจนอดจ้องมองไม่ได้


    ครับ...

    ไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่าการรับคำ ดวงตาสีดำสนิทนั้นจ้องมองมาทางผมอย่างงงๆ เหมือนไม่เข้าใจว่า ทำไมผมถึงได้
    ลุกลี้ลุกลนแปลกๆ อย่าถามนะครับ เพราะผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวผม


    ลมทะเลเย็นดีนะ...

    คุณเกียร์หันไปทางอื่น เหมือนจะเริ่มชวนคุยเรื่อยเปื่อย คงอยากให้ผมลดความตื่นเต้นที่ไม่รู้ว่า มาจากไหนล่ะมั้ง
    ผมจ้องมองแผ่นหลังนั้น รู้สึกอยากเข้าไปกอดขึ้นมา แต่เดี๋ยวจะยิ่งถูกมองว่าบ้า ก็เลยได้แต่ยืนมองนิ่งๆ จนกระทั่งอีกฝ่ายทำท่าเซ
    ราวกับจะล้ม ผมจึงรีบก้าวยาวๆไปหา กะว่าจะไปคว้าตัวเอาไว้


    เฮ้ย !!”

    เผลออุทานออกมาดังลั่น เมื่ออีกฝ่ายหมุนตัวกลับมาแล้วผลักผมเสียเต็มแรง จนลงไปนั่งก้นกระแทกพื้นอยู่ในน้ำตื้นๆ
    ทั้งงงทั้งเปียก แถมยังเจ็บแปลบๆ เพราะล้มแบบไม่ทันตั้งตัว คนผลักก็ยืนยิ้มเหมือนดีใจที่แกล้งสำเร็จ


    ผมโดนแกล้ง ?
    คุณเกียร์...แกล้งผม...

    โอ้ พระเจ้า !!! คนอย่างคุณนี่นะครับ แกล้งคนอื่น !! ผมไม่อยากจะเชื่อ !!
    ร้อยวันพันปี เห็นดีต่อคนอื่นสารพัด แทบจะดีจนเหมือนเป็นเทวดาไม่ใช่มนุษย์เดินดิน แล้วคิดยังไงถึงมาแกล้งกัน
    หรือว่า เริ่มติดนิสัยของคุณรีลิสมาแล้ว ?

    น้ำทะเลเย็นดีหรือเปล่า ?

    ใบหน้าที่ผมรักนั้นยังคงยิ้มเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ไม่ใช่รอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนและสว่างไสว ดังเช่นปกติ แต่เป็นรอยยิ้มที่
    เหมือนในใจกำลังนึกขำ รู้สึกสนุกที่ได้เห็นหน้าตาเหวอๆของผม


    ดูท่า...จะสนุกมากสินะครับ...

    ผมยันตัวไปข้างหน้า เหมือนจะใช้มือช่วยพยุงให้ลุกขึ้น แต่เปล่าเลย ผมตั้งใจจะกระเถิบตัวไปข้างหน้า เพื่อจะได้เอื้อมมือให้
    ถึงคุณต่างหาก คนที่ไม่ค่อยได้แกล้งใครอย่างคุณ คงไม่ทันผมหรอก กว่าคุณจะสังเกตว่ามีอะไรแปลกๆ ผมก็คว้าข้อเท้าคุณได้แล้ว
    ลงมาเปียกด้วยกันเถอะครับ คุณเกียร์
    !!

    เป็นไปอย่างที่คิด อีกฝ่ายล้มแบบไม่ทันตั้งตัว เสียงดังไม่แพ้ตอนที่ผมล้มก้นกระแทกเมื่อครู่
    เหมือนเสียงดังนั้น จะเข้าไปกระทบอะไรบางอย่างในสมอง ทำให้ผมฉุกคิดเรื่องสำคัญขึ้นมาได้
    ซวยแล้ว !! ตอนโมโหก็คิดอยากเอาคืนแบบสุดๆ แต่ดันลืมนึกว่า ถ้าเกิดอีกฝ่ายล้มหัวกระแทกพื้น ต้องส่งโรงพยาบาลขึ้นมา
    มิกลายเป็นเรื่องใหญ่หรือ


    คุณเกียร์ครับ !!”

    ผมรีบปราดเข้าไปหาทันที เจ้าตัวเอามือยันพื้นไว้ได้ทัน หัวเลยไม่กระแทกพื้น แต่ดูท่าจะเจ็บพอสมควร
    เพราะเห็นนิ่วหน้า ราวกับกำลังสะกดกลั้นความเจ็บปวด


    เวรแล้ว !! ผมขอโทษครับ !!

    ไม่กล้าถามออกไปว่า เจ็บมากไหม หรือเป็นยังไงบ้าง เพราะตัวเองเป็นคนทำเขาเองแท้ๆ ได้แต่นิ่ง ทำอะไรไม่ถูก
    อยากถาม อยากช่วย รู้สึกเป็นห่วง แต่ไม่รู้ว่า ควรพูดอะไร หรือทำอะไรดี
    บ้าเอ๊ย ไม่ควรทำแบบนั้นเลย ไอ้บ้าเอ๊ย คิดยังไงถึงได้ทำแบบนั้นลงไป

    ระหว่างที่สมองกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก มือของคนข้างๆก็คว้าตัวผม กดให้หัวจมลงไปในน้ำ
    พอเงยหน้าขึ้นมาจากน้ำได้ ก็รีบหายใจเอาอากาศเข้าไปเต็มปอด พร้อมกับมองหาต้นเหตุที่กำลังยืนยิ้ม
    ดูท่าทางจะไม่เป็นไร อาการเจ็บเมื่อครู่ก็ลงเป็นแค่การเล่นสนุกสินะ

    “ดูเหมือนจะหายเกร็งแล้วสินะ”

    จริงด้วย ความรู้สึกแปลกๆเหมือนไม่กล้ามองคุณเกียร์นั้นหายไปจนหมดสิ้น นั่นคือเหตุผลที่อยู่ๆคุณก็นึกสนุก
    อยากแกล้งผมขึ้นมาสินะ จะเป็นคนที่เอาแต่คิดถึงคนอื่นไปถึงไหน


    “ทั้งที่ก็เจอรีลิสออกบ่อย แต่ก็ยังเกร็งอยู่สินะ”

    ใครว่าล่ะครับ สำหรับผมแล้ว คุณรีลิสเป็นสิ่งที่ต้องหนีให้ห่าง แต่ดันไม่สามารถหนีได้ต่างหาก ไม่ได้เกร็งไม่ได้รู้สึกกลัวเลยสักนิด
    บางทีก็นึกอยากสวนกลับไปแรงๆ แต่กลัวคุณหนูจะพาคุณไปเก็บไว้ที่ไหนสักแห่ง ไม่ให้ผมเจอมากกว่า นั่นแหละที่ผมกลัวที่สุด


    เพราะ...ผมหลงคุณหัวปักหัวปำนี่ครับ...


    ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปแค่ไหน แต่การได้ใช้เวลาอยู่กับคุณนั้น เป็นความสุขที่สุดในชีวิต มารู้ตัวว่า เวลาคงผ่านไปนานแล้ว
    ตอนที่ได้ยินเสียงคุณไอติดต่อกันไม่หยุด


    “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ?”

    ผมเดินเข้าไปลูบหลังเบาๆ คนตรงหน้าเหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ติดที่ร่างกายไม่ยอมหยุดไอ
    ผมจึงกึ่งลากกึ่งจูงคนคนนั้นให้ขึ้นมาจากทะเล น่าเสียดายที่ไม่มีผ้าขนหนูหรืออะไรมาห่อตัว
    เพราะตอนแรกคงคิดว่าจะเดินเล่นให้เปียกน้ำ แค่เข่า แต่ดันกลายเป็นการแกล้งลากลงไปให้เปียกน้ำทั้งตัว


    อากาศวันนี้ ท้องฟ้าปลอดโปรงไร้เมฆฝน แดดแรงเหมาะแก่การมาเล่นน้ำทะเลเป็นอย่างยิ่ง
    แต่สำหรับมนุษย์ที่เข้าๆออกๆโรงพยาบาลอย่างคุณเกียร์แล้ว การมาแช่น้ำพร้อมกับตากแดด คงจะไม่ดีต่อร่างกายเท่าไรนัก


    “เดินไหวไหมครับ”

    ถามไปอย่างนั้นแหละ รู้ดีอยู่แล้วว่า เจ้าตัวต้องพยักหน้ารับว่า เดินไหว แม้ตัวจะเริ่มสั่นน้อยๆราวกับจับไข้ ก็แน่ล่ะ
    ถึงแดดจะแรงขนาดไหน แต่ทะเลก็ยังมีลมพัดผ่าน หนาวๆร้อนๆ สลับกันแบบนี้ มันชวนให้ไข้ขึ้นชัดๆ


    “กลับกันเถอะครับ”

    คงไม่สามารถพูดอะไรได้ดีกว่านี้ ผมจึงจูงมือแล้วเดินนำพากลับไปยังที่พัก แสงจากดวงอาทิตย์ยังคงร้อนแรง
    จนผมรู้สึกแสบผิวนิดหน่อย แต่ทำไมกันนะ มือที่ผมกุมอยู่ถึงสั่นไม่หยุด


    ...แถมยัง...เย็นจนน่ากลัว....

    ++++++++++

    พอรู้ตัวอีกที พระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปแล้ว ผมนั่งเฝ้าคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงตลอดบ่าย
    โชคดีที่หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย คุณเกียร์ก็ไม่ปฏิเสธที่จะกินยาและยอมนอนหลับพักผ่อนแต่โดยดี


    ที่จริงคุณกำลังไม่สบายอยู่หรือเปล่าครับ ?

    สงสัยเพราะผมทำท่าดีใจเสียจนออกนอกหน้า คุณถึงไม่กล้าบอกยกเลิกการมาเที่ยวครั้งนี้ แม้ว่าตัวเองกำลังอาการไม่ค่อยดีก็ตาม
    ไม่สิ ถึงไม่มาเที่ยว คุณก็คงลากสังขารไปทำงานตามปกติอยู่ดี มันผิดที่ผมดันสนุกเสียจนลืมตัว ไม่ได้สังเกตอาการของคุณเลยแม้แต่นิดเดียว


    ขอโทษนะครับ...

    คนตรงหน้าค่อยๆลืมตาขึ้น ราวกับได้ยินคำพูดในใจของเขา  ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นอย่างช้าๆ ผมเอามือแตะที่หน้าผาก
    แม้จะไม่มีไข้ แต่หน้าตายังคงซีดเซียว ไม่น่าไว้ใจเท่าไร


    “กี่โมงแล้วเนี่ย”

    “ทุ่มนึงครับ”

    “ป่านนี้แล้วเหรอ”

    “ขอโทษทีนะ นายเลยหมดสนุกไปด้วยเลย”

    ความรู้สึกผิดฉายชัดอยู่บนใบหน้านั้น ผมถอนหายใจยาว ก่อนจะโน้มตัวลงไปจูบที่หน้าผากเบาๆแทนคำปลอบโยน
    ไม่อยากเห็นคุณทำหน้าตาแบบนั้นเลย ยิ้มเถอะครับ ยิ้มให้สดใสเหมือนที่ผ่านมา รอยยิ้มแบบที่ผมอยากจะเก็บใส่กล่อง
    ล็อกกุญแจเอาไว้เป็นเจ้าของเพียงคนเดียว


    “หิวหรือเปล่าครับ ?”

    ที่จริงคำถามนี้ไม่ควรถามกับมนุษย์บ้างานที่ลืมเวลากินข้าวแทบทุกมื้อ คนป่วยส่ายหน้าช้าๆ ผมจึงเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์
    ก่อนจะดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ รวบกอดเอาไว้ แล้วพลิกตัวขึ้นไปนอนบนเตียงด้วยกัน คุณเกียร์ไม่ดิ้นรน ออกจะงุนงงเสียมากกว่า


    “จะนอนแล้วเหรอ ?”

    “ไม่ต้องห่วง ผมอาบน้ำแล้วครับ”

    “นั่นไม่ใช่ประเด็นนะ”

    ผมจูบลงบนเรือนผมสีดำอย่างรักใคร่ ก่อนจะกระชับอ้อมกอด รั้งตัวอีกคนหนึ่งให้เข้ามาใกล้ ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นจ้องมองมาทางผม
    ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกเขินอาย หรือว่าโมโหน้อยๆ แบบที่ผู้หญิงชอบทำกัน เวลาถูกผู้ชายหยอกล้อ แต่เป็นแววตานิ่งสนิท
    เหมือนกำลังรอคำตอบของคำถามที่ถามออกไป


    ไม่มีหวั่นไหวบ้างเลยหรือไงนะ...

    ผมแกล้งทำเป็นไม่เห็นคำถามที่ปรากฏอยู่ในดวงตานั้น แล้วไล่เรียงจูบตั้งแต่ใบหูลงมายังซอกคอ ไม่มีการขัดขืนใดๆ
    นอกจากการเรียกชื่อผมด้วยเสียงต่ำๆ ฟังดูเหมือนจะเริ่มหงุดหงิด ไม่พอใจขึ้นมาบ้างแล้ว


    “ให้ผมกอดคุณเถอะนะครับ...”

    “ตามใจผมบ้างเถอะนะ...”

    คำพูดนั้นได้ผลเกินคาด คุณเกียร์ชะงักไปสักพัก เสียงถอนหายใจที่แทบไม่เคยได้ยินหลุดออกมาจากปาก
    ผมยิ้มกริ่ม ก่อนจะจูบเบาๆที่ริมฝีปากนั้น ดูเหมือนคุณจะยอมผมแต่โดยดีแล้วสินะ


    “งั้นก็มานอนกันเถอะครับ ได้เวลาพักผ่อนแล้ว”

    “หลับตาสิครับ พรุ่งนี้จะได้ตื่นขึ้นมาอย่างสดใส”

    คุณเกียร์เลิกคิ้ว เหมือนต้องการถามว่า ตกลงให้นอนหลับแน่เหรอ ? ไม่ได้มีความหมายอื่นใช่ไหม ?
    ผมได้แต่ยิ้มรับ ใจจริงนั้นอยากจะแตะต้องร่างกายนี้ อยากจะเร่งเร้า อยากจะครอบครอง อยากเห็นใบหน้านั้น แสดงอารมณ์ที่
    ไม่เคยมีใครได้เห็น นอกจากผม


    แต่ไม่ใช่ตอนนี้...ไม่ใช่ในเวลานี้...

    “ผมไม่รังแกคนป่วยหรอกครับ...”

    ผมจูบเบาๆอีกครั้งที่ริมฝีปาก ก่อนจะบังคับดึงตัวอีกฝ่ายให้นอนซบกับแขนของผม จะได้กอดถนัดๆ
    คืนนี้จะไม่ทำอะไรนอกเหนือจากกอดเอาไว้เฉยๆหรอกครับ สาบานได้ครับ สาบานด้วยเกียรติทั้งหมดที่ยังเหลืออยู่


    “โฮลี่ ออเดอร์...”

    “ครับ ?”

    “ถอยออกไปหน่อยสิ...”

    “อึดอัดเหรอครับ ?”

    ถึงจะถามออกไปแบบนั้น แต่ก็ยังไม่คลายวงแขนที่โอบกอดไว้ แน่ล่ะ คืนนี้ผมจะกอดคุณให้แน่นๆ ไม่ยอมให้หนีไปไหนหรอก
    ถึงคุณขอร้อง ผมก็ไม่มีทางยอมปล่อย อย่าคิดนะว่าผมจะใจอ่อน


    “มันร้อนน่ะ”

    ไม่พูดเปล่า ขยับตัวถอยห่าง แล้วปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนสุดออก ร้อนถึงผมต้องรีบตะครุบมือนั้นอย่างรวดเร็ว
    ให้ตายสิ คนคนนี้ไม่ไหวจริงๆ ไม่รู้หรือไงว่า ผมคิดยังไงกับคุณ เห็นว่าไม่สบายอยู่หรอกนะ ถึงไม่แตะต้อง
    แต่ถ้ามายั่วกันแบบนี้ใครมันจะไปทนไหว


    “จับมือฉันไว้ทำไม”

    “คุณก็อย่าถอดเสื้อสิครับ”

    “ไม่ได้จะถอด...”

    ผมปล่อยมือนั้น แล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก สรุปว่าแค่ร้อน ก็เลยจะปลดกระดุมเม็ดบนออกสินะครับ จะได้หายอึดอัด
    สงสัยผมจะเป็นไอ้โรคจิตจริงๆ ถึงได้คิดเตลิดเปิดเปิงว่า คุณจะแกะมันทุกเม็ด แล้วโชว์ผิวที่ทำให้ผมสามารถตบะแตกได้
    ภายใน 10 วินาที


    “ไม่ได้จะถอดเสื้อ...”

    “แค่จะแกะกระดุมเฉยๆ มันร้อน...”

    เฮ้ย !!! ว่าอะไรนะครับ !!! กว่าจะได้สติ กระดุมเสื้อทั้งแผงก็ถูกมือนั้นแกะไปหมด แถมเจ้าตัวยังทำท่าเหมือนจะแบะสาบเสื้อออกจากกัน
    ดูท่าทางจะร้อนจริงๆ ไม่ใช่สิ
    !! นี่คุณ ไม่คิดจะระวังตัวเลยหรือไงครับ ชักสงสัยว่า ตั้งใจยั่วกันหรือเปล่า ??

    “หืม ?”

    “รู้สึกเหรอ”

    แว้ก
    !!! อย่าเพิ่งตื่นขึ้นมาสิ ลูกพ่อ ออกมาสร้างความอับอายทำไม !!
    ผมตัดสินใจลุกพรวดขึ้นจากเตียง ถอยไปติดกำแพงให้ห่างจากคุณเกียร์ที่สุด ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ !!!

    คนที่อยู่ตรงหน้าผม ยันตัวลุกขึ้นมานั่ง แล้วหัวเราะเบาๆ ดูท่าทางจะขำกับอาการตกใจของผม
    แน่ล่ะ สำหรับคุณมันเป็นเรื่องน่าขำนี่ครับ แต่สำหรับผม นั่นเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องใช้ความอดทนมากมายเลยนะครับ


    “ทั้งที่ตอนอยู่บริษัท ชอบดึงดันขนาดนั้นแท้ๆ”

    “แล้วตอนนี้เป็นอะไรไป...”

    ตอนอยู่บริษัทนั่นคุณสบายดีนี่ครับ แล้วมันก็แค่จูบนิดๆหน่อยๆ พอให้ลิ้มรสความหอมหวานของชีวิต
    แต่ตอนนี้คุณกำลังไม่ค่อยสบาย ถ้าทำตอนนี้ คงไม่หยุดแค่จูบหรอกครับ ต้องเตลิดเปิดเปิงไปจนสุดทางแน่


    “ก็คุณไม่สบายอยู่...”

    “ฉันไม่ได้บอบบางขนาดนั้น”

    “ไม่ต้องกังวลไปหรอก”

    เอาล่ะ เกียรติที่มีอยู่น้อยนิดของผม แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เมื่อผมนั่งลงบนเตียง แล้วเริ่มรุกไล่เข้าไปในริมฝีปากนั้น
    ไม่ว่าจะจูบสักกี่ครั้ง ก็ยังสัมผัสได้ถึงความหอมหวานที่ยากจะห้ามใจ อยากจะลิ้มรสมันไปเรื่อยๆ ซึมซับทุกอณูของความรู้สึกร้อนผ่าว
    ที่อยู่ในปากนั้น

    “โฮลี่ออเดอร์...”

    เสียงที่เรียกชื่อผมนั้นแผ่วเบาและแหบพร่า ดวงตาสีดำนั้นเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา สีหน้าท่าทางทุกอิริยาบถของคุณ
    มันช่างเร้าอารมณ์เสียจนนึกสงสัยว่า เป็นเพราะธรรมชาติของคุณ หรือเพราะผมหลงคุณจนหน้ามืดตามัวกันแน่


    “อยู่ข้างๆฉันนะ...”

    ผมไม่รู้ว่า คำพูดของคุณเกียร์หมายถึงแค่คืนนี้หรือต่อจากนี้เป็นต้นไป รู้แต่ว่า ตราบใดที่คุณยังไม่ออกปากไล่ ผมไม่มีทางจะทิ้งคุณ
    ไปไหนโดยเด็ดขาด ไม่ต้องให้คุณร้องขอ ตัวผมเองก็อยากจะอยู่เคียงข้างคุณ ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ ตราบเท่าที่ร่างกายนี้ยัง
    ไม่เน่าเปื่อย ยังคงเคลื่อนไหว
     

    ...ผมจะไม่มีวัน...จากไป...

    ผมยกมือของคุณเกียร์ขึ้นมาจูบที่ข้อนิ้ว แทนคำตอบนั้น ผมถือว่ามันเป็นการสาบาน เป็นสัญญาที่ไร้คำพูด หากแต่ผูกพัน
    ด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมี ทุกอย่างที่ผมสามารถยกให้ได้ ผมจะยกให้คุณ คนที่ผมรักที่สุดในโลก รักมากกว่าใครๆ


    “อยู่...ด้วยกัน...”

    เหมือนสติสัมปชัญญะของคุณเกียร์เริ่มพร่าเลือน คำพูดที่หลุดออกมาจากปาก เหมือนกำลังเพ้อเพราะพิษไข้เสียมากกว่า
    เป็นความตั้งใจของเจ้าตัวเอง แต่เมื่อลองเอามือวัดไข้ ก็พบว่า ตัวไม่ร้อนแต่อย่างใด


    “มือ...อย่าปล่อย...”

    “ครับ”

    ผมดึงตัวคุณเกียร์มากอดจากทางด้านหลัง จูบลงบนเรือนผมสีดำอย่างอ่อนโยน แล้วกุมมือนั้นเอาไว้ สอดประสานนิ้วเข้าด้วยกัน
    เพื่อให้รู้สึกมั่นใจว่า ผมไม่ได้หายไปไหน ยังอยู่ข้างๆคุณ กำลังกุมมือของคุณอยู่


    “ผมอยู่ตรงนี้ครับ...และจะไม่ไปไหน...”

    “จะกุมมือของคุณไว้ตลอดไป...”

    “ผมสัญญา...”

    ++++++++++

    สิ่งแรกที่รู้สึกได้คือ แสงของดวงอาทิตย์ที่ส่องลอดผ้าม่านเข้ามาในห้อง แต่สิ่งที่ทำให้ผมลุกพรวดพราดขึ้นมาด้วยความตกใจคือ
    ความว่างเปล่าของเตียง ซึ่งไม่มีใครนอนอยู่ข้างๆผม เหลือบไปเห็นกระดาษที่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียง เขียนด้วยลายมือหวัดๆ
    รีบหยิบขึ้นมาอ่าน


    ไปทะเลก่อนนะ...

    นั่นเป็นเนื้อความสั้นๆที่เขียนบนกระดาษทำให้ผมต้องรีบแต่งตัวแบบลวกๆ คว้ารองเท้าแตะมาใส่ แล้ววิ่งออกไปยังชายหาดในทันที

    บนหาดทรายที่ไร้ผู้คน มีร่างของใครคนหนึ่งยืนกางแขนรับลมอยู่ ผมสีดำสนิทปลิวไปทางด้านหลัง เช่นเดียวกับเสื้อเชิ้ตที่เจ้าตัว
    ไม่ได้ติดกระดุมข้างหน้า มันจึงโบกสะบัด ดูคล้ายปีกสีขาว ใบหน้าที่มีรอยยิ้มบางๆ ดูสงบนิ่ง ราวกับกำลังจะล่องลอยขึ้นสู่สรวงสวรรค์


    “โฮลี่ออเดอร์ ?”

    รู้สึกตัวอีกที ผมก็เข้าไปกอดคนคนนั้นจากทางด้านหลัง แถมยังกอดแน่นเหมือนกลัวว่าจะหายไป แต่ก็ยอมรับว่า วูบแรกที่ได้เห็น
    คิดว่าคุณกำลังจะโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้ากว้าง ไปยังที่ที่ผมเอื้อมไม่ถึง จากไปยังที่ไกลแสนไกล
    มันเป็นการเล่นตลกของความกลัว
    ผสมกับความตกใจที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นคุณ เป็นความกลัวที่ไร้เหตุผล แต่ก็ไม่อาจสลัดมันทิ้งไปได้


    “คุณจะไม่ไปไหนใช่ไหมครับ ?”

    “กอดอยู่อย่างนี้ แล้วจะไปได้ยังไง ?”

    “ถ้าปล่อย...คุณจะหายไปหรือเปล่าครับ...”

    เป็นคำถามที่งี่เง่าสิ้นดี แต่ในตอนนี้ผมต้องการคำตอบ รู้ดีว่า มันไร้สาระจนน่าหัวเราะ
    แต่ผมก็ยังอยากได้ยินคำตอบจากปากของคุณ ช่วยตอบผมมาได้ไหมครับ


    “ได้โปรด...อย่าทิ้งผมไว้เพียงคนเดียว...”

    คนในอ้อมแขนผม หมุนตัวกลับมามามองหน้ากันตรงๆ ใบหน้านั้นมีรอยยิ้มที่เจิดจ้า เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่อยู่ด้านหลัง
    มือทั้งสองแตะแก้มผมเบาๆเหมือนจะปลอบโยนความกลัวที่ไร้เหตุผลนั้น


    “แล้วฉันจะไปไหนได้...”

    “ฉันไม่ไปไหนหรอก...”

    ผมไม่รู้ว่าตัวเองบ้าไปหรือเปล่า ที่รู้สึกเหมือนรอยยิ้มนั้นคือสิ่งเคลือบแฝงความเศร้าที่อยู่ภายใน
    มีบางอย่างที่คนตรงหน้าไม่อาจเอื้อนเอ่ย ความลับที่ผมไม่เคยรู้และอาจไม่มีวันได้รู้


    หลังจากจ้องตากันพักหนึ่ง ผมก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ ต้องยอมปล่อยคนตรงหน้าออกจากอ้อมแขน แม้จะรู้สึกโหวงๆในอกก็ตามที
    เวลาหลงรักใครนี่มันลำบากจริงๆ แค่เรื่องนิดหน่อยกลับรู้สึกว้าวุ่นใจได้ขนาดนี้


    “กลับกันเถอะ เดี๋ยวรีลิสก็คงกลับมาแล้ว...”

    ผมพยักหน้าตอบด้วยท่าทีเซ็งๆ อยู่ด้วยกันสองต่อสองได้ไม่นาน ก้างชิ้นใหญ่จะกลับมาอีกแล้วหรือนี่
    ยังไม่ทันจะได้ตักตวงความสุขของการมาเที่ยวกันสองคนอย่างเต็มที่เลย น่าเสียดายชะมัด


    “นี่...เคยขอพรจากทะเลบ้างหรือเปล่า ?”

    “หา ? ขอกับทะเลหรือครับ ?”

    ถ้าขอพรกับพระหรือของศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง เช่น พวกต้นไม้ หรือเหรียญปลุกเสก ยังพอเข้าใจบ้าง แต่มาขอพรกับทะเลนี่
    ยิ่งแสดงให้เห็นว่า ชาตินี้ทั้งชาติคงไม่มีวันเข้าใจระบบความคิดของคุณเกียร์เป็นแน่แท้


    “ก็...ทุกชีวิตเกิดจากทะเล...ทะเลเป็นมารดาของทุกสรรพสิ่ง...”

    “ทะเลก็น่าจะใจดี...ยอมตอบสนองต่อคำอธิษฐาน..”

    ผมพยายามจูนระบบความคิดให้เข้ากับเหตุผลที่คุณเกียร์ยกมา แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร ก็ได้แต่พยักหน้าเออออ
    ไปตามเรื่องตามราว


    “แล้วคุณขออะไรกับทะเลหรือครับ ?”

    คุณเกียร์ดูจะลังเลเล็กน้อยที่จะตอบ ทำเอาผมยิ่งนึกสงสัยว่า คนที่ดูไม่มีกิเลส ไม่มีความต้องการอะไรเป็นพิเศษอย่างคุณ
    จะอธิษฐานขอสิ่งใดจากทะเลกันนะ


    “อยากกลับคืนสู่ท้องทะเล...เมื่อไม่สามารถอยู่บนโลกนี้ได้อีกแล้ว...”

    คำพูดนั้นทำเอาผมนิ่งอึ้งไปทันที ผมจ้องเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น พยายามค้นหาแววตาล้อเล่น อยากให้อีกฝ่ายหัวเราะ
    ออกมาดังๆ แล้วบอกว่า เรื่องเมื่อครู่เป็นแค่การโกหก แต่ก็ดูไม่มีวี่แวว


    “ถ้าถูกทะเลโอบล้อม กอดเอาไว้ คงจะไม่หนาวอีกต่อไป อบอุ่นเหมือนกลับไปอยู่ในท้องแม่”

    พอสิ้นประโยคนั้น คุณเกียร์ก็ต้องอุทานออกมาเบาๆด้วยความตกใจ เพราะผมโผเข้าไปกอดแน่นอีกครั้ง
    แต่ดูเหมือนคราวนี้คุณเกียร์จะยอมให้กอดแต่โดยดี ไม่มีการดิ้นรนขัดขืน หรืออาจเป็นเพราะรู้สึกเหนื่อยแล้วก็เป็นได้


    “เป็นอะไรไปเหรอ ? โฮลี่ออเดอร์”

    ยากที่จะบรรยายความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจตอนนี้ มันเป็นเช่นเดียวกับตอนที่เห็นคุณเกียร์ยืนกางแขนรับลมทะเล
    หากไม่รีบเข้าไปกอดไว้ เจ้าตัวอาจกลับไปยังทะเล ถึงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ก็เถอะนะ แต่รู้สึกกังวลจนแทบบ้า
    ไม่อยากจะปล่อยคนคนนี้ให้คลาดสายตา อยากจะขังเอาไว้ เพื่อให้แน่ใจว่า จะอยู่ข้างๆเขาตลอดไป


    “ผมไม่อยากได้พรจากทะเลหรอกครับ...”

    “ขอแค่มีคุณก็พอ...แค่คุณไม่หายไปไหนก็พอ...”

    หากจะอธิษฐานขอพรสักข้อหนึ่ง ผมจะไม่ขอทรัพย์สินเงินทอง หรืออำนาจใดๆ เพราะสิ่งที่ผมอยากได้ที่สุดในโลกนั้น
    มันอยู่ในอ้อมแขนของผมแล้ว ดังนั้น คนที่ผมจะร้องขอคำอธิษฐานที่อยากได้ที่สุดในตอนนี้ก็คือ คุณ

    ขอให้คุณอย่าได้จากไปไหน ขอให้ผมได้อยู่เคียงข้างคุณตลอดไป ได้กอดคุณอยู่อย่างนี้

    “ถ้ากลัวฉันหายไป งั้นกุมมือกันเอาไว้แบบนี้ ดีไหม ?”

    คุณเกียร์พยายามดึงมือข้างหนึ่งของผมมาจับไว้  ผมจึงต้องยอมปล่อยตัวคนตรงหน้า เหลือเพียงแค่สัมผัสจากมือเท่านั้น
    ที่เชื่อมต่อพวกเราเอาไว้ด้วยกัน


    “จับเอาไว้แบบนี้แล้วกัน จะได้ไม่ต้องกังวล”

    “ถ้าจะไม่ให้กังวล ก็ต้องจับไว้ตลอดไปนะครับ”

    พูดด้วยน้ำเสียงล้อเล่น แต่ก็เป็นสิ่งที่คิดอยู่ในใจด้วยเช่นกัน เพราะการจับมือเป็นการเชื่อมโยงความรู้สึก เป็นดังหลักประกันว่า
    คนคนนั้นยังอยู่ตรงนี้ ยังอยู่ข้างๆกัน


    “อยากจับก็จับสิ อย่าเป็นฝ่ายปล่อยก่อนก็แล้วกัน”

    ท้องทะเลอันแสนกว้างใหญ่ เกลียวคลื่นที่ซัดสาดเข้าสู่ชายฝั่ง ท้องนภาสีสวยที่มีหมู่เมฆและดวงตะวันลอยประดับอยู่เบื้องบน
    ผมได้เก็บทุกรายละเอียดของช่วงเวลาอันแสนมีค่านี้เอาไว้ในใจ พร้อมกับคำสาบานที่ไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูด แต่สลักเอาไว้ในจิตใจ


    ผมจะกุมมือของคุณ...ไม่มีวันปล่อย...
    และพร้อมจะเดินไปด้วยกัน...ไม่ว่าเส้นทางนั้นจะยาวไกลเพียงใด...
    จะอยู่เคียงข้างคุณ....ในทุกช่วงเวลาของชีวิตนับจากนี้ไป...

    ...นั่นคือ...คำสัญญา...

    ++++++++++

    สวัสดีค่ะ ไม่ได้เจอกันนานนะคะ ประมาณ 1 ปีครึ่ง เผอิญว่าย้ายแผนกทำงานแล้วไม่ได้เขียนอะไรเลย
    ตอนนี้เป็นตอนที่อยากเขียนมากค่ะ อยากเขียนฉากที่สองคนนี้ไปทะเล ได้เห็นคุณเกียร์ใส่เสื้อเชิ้นกับกางเกงขาสั้น
    อันนี้ก็ย้อนกลับไปช่วงสองคนนี้ยังหวานแหววกันอยู่ อยู่ระหว่างตอนที่ 4 กับ ตอนที่ 5 อะไรประมาณนั้น
    ยังคงคอนเซปน้ำเน่าตลอดรายการ ถ้ามีโอกาสก็อยากเขียนถึงตอนปัจจุบันอีกนะคะ (แต่ะจะเอาเวลาที่ไหนมา ??)
    เล่มนี้ก็ลงฉลองเล่ม 20 ของ ExE พอดี ซึ่งคนเขียนเองก็ดีใจมากตอนเห็นเล่ม 20 บนแผงค่ะ

    ถ้าผู้ใดอ่านก็อย่าลืมฝากคอมเมนต์กันไว้นะคะ
    แล้วก็ ถ้าผู้ใดอ่านแล้วแปลกๆ ตอนนี้ก็เหมือนกับตอน 4 อ่ะค่ะ ผู้เขียนทำการตัดบางอย่างออก
    ส่วนครั้งนี้ถ้าใครอยากได้ตัวเต็มกรุณาทิ้งอีเมลล์และตอบคำถามว่า คุณเกียร์สูงประมาณกี่เซนติเมตร
    (ในหนังสือมีค่ะ ใบ้ให้ว่าเป็นคำพูดของสามหนุ่มตอนไปเจอคุณเกียร์ตัวจริงแล้วบ่นว่า สูงจัง)

    มีคนทิ้งอีเมลล์ไว้ แต่ไม่ทำตามกติกาครั้งก่อนค่ะ ลองย้อนกลับไปอ่านดีๆนะคะ แล้วค่อยทิ้งอีเมลล์ใหม่
    ใครไม่ทำตามกติกา เราไม่ส่งให้นะคะ เพราะเรื่องนี้ผู้เขียนแต่งสนองความอยากตัวเองเป็นหลักค่ะ
    ที่จริงไม่ได้หวังให้มีคนอ่านเยอะแยะ แต่ก็ดีใจนะคะที่มีคนอ่านคู่อภิมหาแรร์

    เจอกันคราวหน้าค่ะ ถ้ามีโอกาสได้เขียนอีก


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×