คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Gintoki's side บทหลัง
Gintoki's side บทหลัง
โรงพยาบาลเป็นสถานที่ที่เกลียดแสนเกลียด เพราะมันเต็มไปด้วยบรรยากาศอันแสนเศร้า เหมือนมีเงามืดปกคลุมอยู่ตลอดเวลา
ยิ่งคนที่จากไปเป็นคนรู้จักด้วยแล้ว เหมือนบรรยากาศอันน่าอึดอัดนั้น ยิ่งขยายตัวเพิ่มขึ้น จนเหมือนหายใจไม่ออก
กินโทคิเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าของโรงพยาบาล หวังจะไปสูดอากาศ ให้ความรู้สึกอึดอัดจนน่าอาเจียนนี้บรรเทาเบาบางลงบ้าง
แต่ใครจะไปคิดว่า เขาจะมีโอกาสได้เห็น ภาพที่สลักเอาไว้ในความทรงจำอีกนานแสนนาน
ร่างของใครคนหนึ่ง ยืนอยู่ใต้ท้องฟ้าสีดำสนิท ไร้ซึ่งแสงของดวงดาวใดๆ มีเพียงจันทราที่ส่องสว่างสุกใส ราวกับต้องการอวดแสง
แข่งกับดวงตะวัน และสิ่งที่แสงจันทร์สะท้อนให้เห็น คือ หยดน้ำที่พร่างพราวอยู่บนราวระเบียงเหล็กสีเงินวาว ซึ่งร่วงหล่นมา
จากดวงตาสีดำสนิทของใครบางคน
ถึงจะเคยเห็นด้านที่อ่อนแอ...ถึงจะเคยเห็นเมื่อยามโศกเศร้า...
เวลาที่ถูกฝันร้ายไล่ตาม...เวลาที่หวาดกลัวต่อบาปที่ได้กระทำลงไป...
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็น...น้ำตาของคนที่ได้ฉายาว่า...รองหัวหน้าปีศาจ...
ได้ยินเสียงพร่ำบ่นเบาๆ ราวกับต้องการหลอกตัวเองว่า น้ำตานี้ไม่ใช่ของจริง ไม่ใช่น้ำตาแห่งความโศกเศร้า
เมื่อยามต้องสูญเสียผู้เป็นที่รักยิ่งไป เป็นเพียงแต่น้ำตาที่เกิดมาจากปฏิกิริยาโดยธรรมชาติของร่างกาย จากการกินของเผ็ดจัด
ขนมเซมเป้ที่เขากัดกิน เพราะอยากลิ้มรสโชคชะตาเช่นเดียวกับอีกฝ่าย รสชาติของมันกระจายไปทั่วปาก ยิ่งทำให้นึกถึงหญิงสาว
ผู้จากไป เธอผู้มีรอยยิ้มอันงดงาม แม้พบพานกันเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ยังรับรู้ได้ว่า เธอใช้ชีวิตอย่างงดงามเหลือเกิน
....อยากกอดคนคนนั้น...
อยากให้รับรู้ว่า ยังมีใครอีกคนอยู่ตรงนี้…ขอให้เข้มแข็ง..
อย่าได้เจ็บปวดจนดวงวิญญาณต้องแตกสลายไปตามเธอคนนั้น...
...ได้โปรดมีชีวิตอยู่...กับฉัน...
...แม้หัวใจ...จะไม่ได้เป็นของฉันก็ตาม...
อยากใช้อ้อมแขนนี้เพื่อปลอบประโลมและแบ่งบันความเศร้าโศก แต่รู้ดีว่า หากแสดงความเห็นใจแม้เพียงเล็กน้อย
กำแพงของจิตใจนั้นจะยิ่งหนาแน่นขึ้น เพราะไม่อยากให้ใครเห็น ความอ่อนแอของตัวเอง ไม่ต้องการความสงสารใดๆ
การแกล้งทำเป็นไม่เห็น ปล่อยให้ร้องไห้ ระบายความทุกข์โศกเพียงลำพัง น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
พระจันทร์ในคืนนี้ยังคงส่องแสงนวลผ่องลงมาจากฟากฟ้า ราวกับกำลังโอบกอดร่างนั้นเอาไว้อย่างอ่อนโยน
...พระจันทร์เอย...
...โอบกอดคนคนนั้น...แทนฉันที...
++++++++++
“ลูกพี่ ไม่ได้เจอกันนานนะครับ...”
คนที่เอ่ยทักนั้น มีสีหน้ายิ้มแย้มตามปกติ แต่น่าแปลกที่ตัวเขากลับเห็นความเศร้าวนเวียนอยู่รอบตัวคนตรงหน้า
พวกชินเซ็นกุมิเนี่ย ไม่ว่าคนไหนก็เก๊กท่าทำเป็นเข้มแข็งอยู่นั่นแหละ ทั้งที่จริงๆแล้วเจ็บจนแทบจะขาดใจ
“ตั้งใจหลบหน้าใครบางคนหรือเปล่าครับ ?”
เจ้าเด็กแสบนี่ ทั้งที่ตัวเองเจ็บปวดจากการสูญเสียคนสำคัญ ก็ยังมีอารมณ์มากวนประสาทชาวบ้านได้อีก
แต่ที่พูดมาก็ถูก เขาไม่อยากเผชิญหน้ากับคนคนนั้นในตอนนี้ เพราะกลัวว่า หัวใจตัวเองจะไม่สามารถยอมรับความเศร้าโศกในแววตานั้นได้
...คงเพราะ..รู้สึกอิจฉา...
แม้จะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ก็ยังคงมีตัวตนอยู่ในความทรงจำ มีชีวิตอยู่ภายในหัวใจของใครอีกหลายคน
ช่างเป็นคนที่โชคดียิ่งนัก เพราะไม่ถูกลืมเลือนไป แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใดก็ตาม
“เป็นกำลัง...”
“ช่วย...เป็นกำลังให้เขาที...”
เสียงนั้นพูดแผ่วเบา แต่หนักแน่นในความรู้สึก รู้ได้ทันทีเลยว่า คนคนนั้นสำคัญมากมายเพียงใด
ถึงจะยังเจ็บปวด ถึงจะยังคงโศกเศร้า แต่ก็ห่วงใย แม้จะไม่แสดงออก แต่ที่จริงก็คอยเฝ้าดู
และคงภาวนาให้พบกับความสุข เช่นเดียวกับที่ภาวนาให้กับพี่สาวของตัวเอง
“พวกนายนี่เหมือนกันเลยนะ ชอบทำเป็นเก๊กท่าตลอด”
เก๊กท่าว่า ตัวเองเข้มแข็งและเย็นชา เป็นคนที่โหดร้าย ไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่น
แต่ที่จริงแล้วกลับตรงกันข้าม นึกถึงเรื่องของคนอื่นมากกว่าเรื่องของตัวเองเสมอ
และถ้าเป็นไปได้ ก็จะแอบยื่นมือเข้าไปให้ช่วยเหลืออย่างเงียบๆ เพราะไม่ต้องการคำขอบคุณใดๆ
“ใครจะเข้มแข็ง เหมือนลูกพี่ล่ะครับ”
เสียงหัวเราะนั้น ฟังแล้วขมขื่นมากกว่ารู้สึกตลกขบขัน แต่ในตอนนี้คงทำได้เพียงพยายามมีชีวิตอยู่ต่อไป
น้ำตานั้นคงไม่ไหลรินออกมาจากดวงตาอีกแล้ว แต่มันยังคงไหลรินอยู่ภายในใจ ทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทนกระเสือกกระสนดิ้นรนต่อไป
เพื่อมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขให้มากที่สุด ทดแทนที่เธอคนนั้นไม่สามารถทำได้
“ไม่เป็นไรหรอกครับ...ผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว...”
นั่นสินะ เพราะไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว เหตุผลง่ายๆสั้นๆที่หลายคนอาจจะไม่เข้าใจถึงความสำคัญของมัน
แต่คนที่เคยรู้สึกถึงความเหงาจากก้นบึ้งของจิตใจ ความเดียวดายจากการต้องมีชีวิตอยู่เพียงลำพัง
ย่อมรู้ดีว่า การที่มีผู้คนอยู่รายล้อมรอบตัวนั้น มีคุณค่ามากมายเพียงใด
“นั่นสินะ...ครอบครัวของนาย...”
ครอบครัวที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่ผูกพันกันด้วยสายใยที่มีชื่อว่า ชินเซ็นกุมิ
คนที่เติบโตขึ้นมาด้วยกันจากการต่อสู้อันยากลำบาก ผ่านเรื่องราวมากมาย ผ่านความสุขและความเศร้า
เสียงหัวเราะและน้ำตา ทั้งเกลียดและให้ความสำคัญยิ่งกว่าใครๆ ...เป็นครอบครัวที่สำคัญ...
“เพราะฉะนั้น...”
รอยยิ้มของโซโกะในตอนนี้ ไม่ใช่รอยยิ้มเยาะๆหรือเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นดังเช่นที่เคยเห็นตามปกติ
แต่มันเป็นรอยยิ้มที่แสดงถึงความเข้มแข็งของเจ้าตัว บางทีหัวหน้าหน่วยหนึ่งแห่งชินเซ็นกุมิ อาจไม่ได้มีดีแค่ความซาดิสก็เป็นได้
ลึกลงไปภายใต้นิสัยอันไม่น่าคบนั้น มีพลังอันแข็งแกร่ง ซึ่งใช้ปกป้องคนสำคัญด้วยชีวิตของตนเอง
“เพราะฉะนั้น...ฝากพี่สาวของผมด้วยนะครับ...”
++++++++++
ไม่รู้ว่ากี่ครั้งหรือกี่หนที่มายืนมองแสงไฟที่ลอดออกมาจากหน้าต่างห้องของรองหัวหน้าแห่งชินเซ็นกุมิ
บางครั้งก็ตัดสินใจปีนต้นไม้ขึ้นไป เพื่อเฝ้าดูคนในห้องกำลังเขียนงานเอกสารอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วก็ตัดสินใจเดินกลับไปยังบ้านของตัวเอง
ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ใช้เวลาอยู่เพียงลำพัง หรือบางครั้งก็แอบเข้าไปในห้อง เพื่อจะรอได้เห็นสีหน้าหงุดหงิด จากการต่อปากต่อคำที่แสนสนุกสนาน
ในวันนี้ต่างออกไปจากทุกวัน เพราะเขากำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูและกำลังตัดสินใจจะกดกริ่งเรียกเจ้าของบ้าน มันอาจจะดูเป็น
เรื่องแสนปกติธรรมดาสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับพวกเขานั้น เรื่องแปลกประหลาดสำหรับคนทั่วไปเป็นเรื่องที่ยิ่งกว่าปกติธรรมดา
ในทางกลับกันการที่เขามายืนรอเจ้าของบ้านมาเปิดประตู จึงเป็นเรื่องประหลาดเสียยิ่งกว่าประหลาด
ประตูไม้สีน้ำตาล ค่อยๆเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าของเจ้าของบ้านที่ไม่ได้เห็นมานานหลายวัน เส้นผมสีดำนั้นยุ่งเหยิง
เสื้อผ้าก็ดูยับเยิน ไม่เรียบร้อย แต่ที่น่าเป็นห่วงมากกว่าความหล่อของคนตรงหน้า เห็นจะเป็นใบหน้าซึ่งอิดโรยและอ่อนล้า
ราวกับว่า เวลาที่ผ่านมา เจ้าตัวไม่ได้สนใจหรือใส่ใจตัวเองแม้แต่นิดเดียว
“มีธุระอะไร ?”
น้ำเสียงที่ห้วนแข็งนั้น ทำให้รู้สึกใจชื้นไปได้บ้าง ดูเหมือนว่า ยังมีพลังใจในการมีชีวิตอยู่อย่างเต็มเปี่ยม แม้ว่าสภาพร่างกายจะดูย่ำแย่ก็ตาม
นั่นสินะ รองหัวหน้าปีศาจไม่มีทางยอมแพ้อะไรง่ายๆหรอก
“ก็แค่แวะมาดูตามคำไหว้วานน่ะ”
คำไหว้วานของเจ้าโซโกะที่จะต้องส่งบิลไปตามเก็บเงินทีหลัง คนอย่างคุณกินน่ะไม่ทำงานฟรีๆหรอกนะ
ในเมื่อรับคำไหว้วานมาแล้ว ก็ต้องทำให้สมกับจำนวนเงินที่จะส่งไปเรียกเก็บเสียหน่อย ไม่งั้นจะเสียชื่อร้านสารพัดจ้าง
“งั้นก็ขอรบกวนด้วยนะ”
“เฮ้ย !!”
แล้วชายหนุ่มผมเงินก็กระชากประตูให้เปิดกว้างออก แล้วเดินดุ่มๆเข้าไปในบ้าน โดยไม่สนใจเสียงโวยวายของท่านรองที่เป็นเจ้าของบ้าน
ไม่สิ สาเหตุที่โวยวายคงไม่ใช่เรื่องประตูหรือการบุกรุกเข้ามาในบ้านหรอก แต่เป็นเพราะเขาลากตัวฮิจิคาตะให้ตามมาด้วยต่างหาก
“ปล่อยนะเว้ย !!”
กินโทคิเหวี่ยงร่างที่ตัวเองถูลู่ถูกังลากเข้ามา ไปยังพื้นห้อง ถ้าในยามปกติ คงต้องใช้ความพยายามพอสมควรในการบังคับ
แต่นี่คงเพราะปล่อยตัวเองให้อ่อนแอลง ถึงได้ไม่มีเรี่ยวแรงขนาดนี้
“ไอ้บ้าเอ๊ย ทำอะไรของแกวะ !!”
กินโทคิย่อตัวลง แตะที่ใบหน้านั้น นี่คือใบหน้าเดียวกับที่เขาเคยจ้องมองในยามค่ำคืนจริงๆหรือ ในตอนนี้ มันช่างดูซีดขาว
ราวกับป่วยไข้ คนคนนี้อ่อนแอลงมากเพียงใดกันนะ หรือว่าความเจ็บปวดภายในใจกำลังกัดกินร่างกายนี้อย่างช้าๆ
“กินข้าวบ้างไหม ?”
“พูดบ้าอะไรของแก...”
“แล้วนอนบ้างหรือเปล่า ?”
“ถามอะไรของแก...”
กินโทคิกระชากร่างนั้นมากอดไว้ในอ้อมแขน โดยไม่สนใจการดิ้นรนหรือเสียงโวยวายที่ดังลั่น ริมฝีปากค่อยๆถูกปิดลงเหลือเพียง
เสียงอู้อี้ภายในลำคอเท่านั้น มือของเขาค่อยๆปลดเปลื้องอาภรณ์ตรงหน้าออกอย่างช้าๆ พร้อมกับจ้องมองร่างที่เหมือนหมดแรง
จะดิ้นรนขัดขืน ร่างกายนั้นผ่ายผอมลงจนน่าตกใจ
“ฮิจิคาตะคุง คนที่ไม่รู้จักดูแลตัวเองน่ะเป็นคนโง่รู้ไหม ?”
“ฉันไม่อยากให้ไอ้บ้าของหวานมาสั่งสอนเรื่องสุขภาพหรอกนะ”
คำพูดนั้นกับเรียกเสียงหัวเราะจากเจ้าของผมสีเงิน เพราะเขาเพิ่งรู้ตัวว่า คิดถึงการถกเถียงกันด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้ขนาดไหน
ดีแล้วล่ะที่มาเจอ ถ้าหากหลบหน้าอยู่แบบนั้นไปเรื่อยๆ ก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น
“หิวแล้ว กินข้าวกันดีกว่า ฮิจิคาตะคุง”
“หา ?”
ก็น่าจะงงอยู่หรอก เมื่อกี๊ทำท่าเหมือนจะกด แล้วอยู่ๆก็มาชวนกินข้าว ถ้าไม่ใช่ซากาตะ กินโทคิ ทำไม่ได้นะเนี่ย
ท่านรองจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อย แล้วนั่งมองเจ้าบ้าผมเงิน เดินไปรื้อค้นข้าวของในตู้เย็นบ้านเขา
“ตู้เย็น บ้านไหน มีแต่มายองเนสเนี่ย !!”
“เหลวๆเละๆ อย่างนี้ กินเข้าไปได้ยังไง ?”
นั่นเป็นคำอุทานแรกที่ทำให้เจ้าของบ้านรู้สึกปรี๊ดขึ้นยิ่งนัก ในฐานะสาวกมายองเนส ไม่ยอมให้ใครมาดูหมิ่นของกินที่เป็นเลิศที่สุด
ในใต้หล้าอย่างแน่นอน แถมคนพูดยังเป็นเจ้าบ้าที่ปุ่มรับรสพิการอีกด้วย !!
“คนอย่างแกไม่เข้าใจความสุดยอดของมายองเนสหรอก !!”
“ลองเอาหัวขี้เลื่อยนั่นไปโขกกำแพงดู เผื่อว่าปุ่มรับรสจะทำงานได้ดีขึ้นมาบ้าง !!”
แน่นอนว่า คนอย่างซากาตะ กินโทคิมีหรือ จะยืนนิ่งให้โดนด่าอยู่ฝ่ายเดียว ก็เถียงกลับไปในทันทีว่า
ของที่อร่อยนั้น ต้องมีรสหวานนำ รสหวานตาม และรสหวานซ่อนเร้นต่างหาก ถึงจะเป็นอาหารที่สุดยอดอย่างแท้จริง
การถกเถียงดำเนินต่อไปราวกับไม่มีที่สิ้นสุด...
แต่นั่นคงจะเรียกได้ว่า...เป็นความปกติธรรมดาของทั้งสองคนล่ะมั้ง...
++++++++++
ในยามค่ำคืนนั้น มีเพียงแสงจันทร์นวลผ่องที่สาดส่องเข้ามาภายในห้อง ร่างในชุดกิโมโนสีดำกำลังหลับสนิท
หลังจากต่อล้อต่อเถียงกันจนเหนื่อย ดูเหมือนว่า ร่างกายนั้นจะถึงขีดจำกัด ก็เลยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่เขาเชื่ออยู่ลึกๆก็คือ คนคนนั้นรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจ จนสามารถพักผ่อนได้
คนที่ได้ฉายาว่า รองหัวหน้าปีศาจนั้น ยากนักที่จะเปิดเผยความอ่อนแอออกมา การถามถึงความทุกข์ที่ถูกเก็บซ่อนไว้ยังส่วนลึกที่สุดนั้น
ยิ่งเป็นการไล่ต้อนให้เจ้าตัวกดดันตัวเองมากขึ้นไปอีก เพราะคนรอบข้างนั้นรู้ดี ก็เลยไม่อยากถาม ไม่อยากแสดงให้เห็นว่า เป็นห่วง
ได้แต่เฝ้ามองห่างๆอยู่แบบนั้น
โดยเฉพาะเจ้าโซโกะ...คงเป็นห่วงมากกว่าใครเขา เพราะคิดว่าเรื่องของพี่สาวตัวเองเป็นสาเหตุ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
จนต้องยอมละทิ้งทิฐิ มาขอร้องให้เขาช่วย
“มีคนรักเยอะจริงๆเลยน้า...ฮิจิคาตะคุงเนี่ย...”
ถ้าอีกฝ่ายได้ยินประโยคนี้ จะทำหน้ายังไงนะ จะโกรธเหมือนทุกทีหรือเปล่า อาจจะได้เห็นใบหน้านั้นแดงระเรื่อขึ้นมาก็ได้
แต่ยังไงซะ ก็คงต้องถูกตะโกนใส่ โดนด่าว่า บ้าแน่ๆ
“แล้ว...ใครกัน...”
“ใคร...ที่ฮิจิคาตะคุงรัก...”
ทั้งที่อุตส่าห์ลืมความเจ็บปวดพวกนั้นไปได้แล้ว ทั้งที่ลบล้างความรู้สึกที่น่ารังเกียจพวกนั้นออกไปได้แล้ว
แต่สุดท้าย มันก็ยังวนเวียนอยู่ในจิตใจ เพียงแค่แอบซ่อนอยู่ รอคอยที่จะกระซิบบอกถ้อยคำแห่งความอิจฉา
ผู้ที่ได้ครอบครองหัวใจดวงนั้น มีเพียงเธอคนนั้น...เธอผู้งดงาม...
...ไม่ใช่เจ้าหรอก...ซากาตะ กินโทคิ...
ยามเมื่อหัวใจสั่นไหวด้วยความรู้สึกที่น่าเกลียดชัง กำลังจมดิ่งลงสู่ความมืดมิดแห่งจิตใจของตัวเอง
คนที่กำลังนอนหลับสนิทก็สะดุ้งตื่น ร้องออกมาเสียงดัง จนกระทั่งตัวเขาเองยังสะดุ้งตกใจตามไปด้วย
“เฮ้ย !! ฮิจิคาตะคุง ตกใจหมด”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นฮิจิคาตะคุงสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่อีกฝ่ายถึงกับร้องตะโกนออกมา และไม่เคยมีครั้งไหน
ที่ได้เห็นน้ำตา ในตอนนี้คนตรงหน้ากำลังกอดตัวเองที่สั่นไม่หยุด ไม่สิ กำลังใช้เล็บจิกเข้าไปในแขนตัวเอง เพื่อควบคุมสติมากกว่า
ริมฝีปากพึมพำอะไรบางอย่าง คล้ายจะเป็นคำขอโทษ
“ฮิจิคาตะ !! ฮิจิคาตะ !!”
“บ้าเอ๊ย !!”
เขาไม่รู้ว่า สิ่งใดปรากฏขึ้นในความฝันคืนนี้ รู้แต่เพียงฮิจิคาตะนั้นตัดขาดตัวเองออกจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
ถึงเขาจะเขย่าตัวหรือเรียกชื่ออย่างไร ก็ไม่มีการโต้ตอบ เหมือนเจ้าตัวจมดิ่งลงไปสู่ความกลัวที่เขาไม่รู้จัก ไม่แปลกใจเลยว่า
ทำไมคนตรงหน้าถึงได้อ่อนล้าลงถึงเพียงนั้น หากโดนความฝันที่น่ากลัวเช่นนี้ไล่ตาม เป็นใครก็คงไม่อาจข่มตาหลับลงได้
กินโทคิใช้มือทั้งสองข้าง จับใบหน้า บังคับให้อีกฝ่ายหันมาสบตากันตรงๆ
“โธ่เว้ย !!! มองฉันสิ !! แล้วฟังที่ฉันพูดให้ชัดๆ !!”
“ฉันรักนายนะโว้ย !!”
ในวินาทีที่เขาตะโกนคำนั้นออกไป ดวงตาสีดำนั้นก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เหมือนคำพูดนั้นสามารถแทรกซึมเข้าไปในจิตใจที่
สับสนนั้นได้ เป็นคำพูดเดียวที่อีกฝ่ายได้ยิน
“บางทีฉันก็นึกสงสัยว่า ทำไมตัวเองถึงรักนายขนาดนี้...”
"ฉันเกลียดที่เห็นนายเป็นแบบนี้ เข้าใจไหม !!”
“มาคุยกันให้รู้เรื่องนะ ฮิจิคาตะ !!”
มือที่จิกลงไปในแขนตัวเองนั้นคลายออก เปลี่ยนมาเป็นผลักไสตัวเขาให้ออกไปห่างๆ แรงผลักนั้นเบาเสียจนเหมือนกับว่า
เจ้าของกำลังฝืนทนต่อสู้กับบางอย่าง จนใกล้หมดแรง ทำให้เขายิ่งรู้สึกหวาดหวั่นต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป
น้ำตานั้นหยุดไหลแล้ว ร่างกายเองก็หยุดสั่น หากแต่บางอย่างกำลังไหลทะลักออกมาจากในหัวใจ
“เป็นเพราะนายนั่นแหละ !!”
แล้วอยู่ๆคนตรงหน้า ก็ตะโกนออกมาเสียงดังลั่น แม้ว่าเสียงนั้นจะแหบแห้งและสั่นเครือ แต่ก็รู้ดีว่า ประโยคที่ตะโกนออกมานี้
สื่อถึงความอัดอั้นที่เก็บซ่อนเอาไว้ในใจมากมาย
“ฉัน...ไม่สามารถปกป้องสิ่งสำคัญเอาไว้ได้...”
“แต่ฉันกลับมีสิ่งสำคัญ...เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ...”
“แบบนี้มันบ้าชัดๆ บ้าเอ๊ย !!”
ฮิจิคาตะกำหมัดกระแทกมือตัวเองลงกับพื้น แต่กินโทคิไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายทำตัวเองเจ็บมากไปกว่านี้ ข้อมือทั้งสองนั้นถูกดึงรั้ง
เข้ามาใกล้ ตัดสินใจแล้วว่า หากฮิจิคาตะอยากทำอะไรสักอย่าง ให้ตัวเองเจ็บ เพื่อเป็นการระบายสิ่งที่เก็บกดอยู่ในใจ ก็ขอให้มาลง
กับตัวเขาดีกว่า ถ้าเป็นแบบนั้น เขาจะสบายใจมากกว่า ต้องทนดูอีกฝ่ายทุกข์ทรมานอยู่เพียงลำพัง
“สิ่งสำคัญนั่น...รวมถึงฉันด้วยใช่ไหม...”
เขาคงไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองเกินไปใช่ไหม หากเขาเป็นต้นเหตุของความทุกข์ทรมานนี้ แสดงว่า เขาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับฮิจิคาตะใช่หรือเปล่า
สำคัญจนกระทั่งทำให้อีกฝ่ายเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ หากนายรู้สึกว่าต้องแบกรับอะไรบางอย่างที่หนักหนาเพราะอยู่กับฉันแล้วล่ะก็
ขอให้นายแบ่งปันความเศร้าและทุกข์ทรมานนั่น มาให้ฉันบ้างเถอะ
“ฮิจิคาตะ...ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดที่ต้องให้นายมาปกป้องหรอก...”
“อยู่กับฉันไม่ต้องทำตัวเข้มแข็งก็ได้...”
กินโทคิรั้งร่างนั้นมาไว้ในอ้อมกอด ในตอนนี้ เขารู้สึกว่า คนตรงหน้าช่างตัวเล็กและอ่อนแอเสียเหลือเกิน เหมือนว่าความแข็งแกร่ง
ทั้งหมดที่ใช้เป็นเกราะป้องกันตัวเอง แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หลงเหลือเพียงตัวตนที่แสนเจ็บปวด
“ถ้าอยากร้องไห้…ก็ร้องเถอะนะ...”
“แค่ร้องไห้เอง...”
เขากดหน้าของคนในอ้อมแขนให้ซุกลงกับไหล่ เพราะรู้ดีว่า หากเขายังจ้องมองอยู่แบบนั้น คนตรงหน้า ไม่มีวันหลั่งน้ำตาออกมาเด็ดขาด
เสื้อของเขาถูกมือทั้งสองกำแน่น เหมือนต้องการสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ แต่ยังคงไม่มีน้ำตาไหลออกมา
“ถ้าหากฮิจิคาตะคุงรู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น...รู้สึกว่าตัวเองต้องรับผิดชอบแล้วล่ะก็...”
“คุณกินจะช่วยรับความผิดนั่นด้วยดีไหม ? แบ่งกันคนละครึ่งนะ”
“ไม่สิ เมื่อกี๊ฮิจิคาตะคุงบอกว่า เป็นเพราะฉันนี่นา งั้นฉันก็ต้องรับไปคนเดียวเต็มๆสิ”
ทั้งที่พูดจาเป็นเหมือนเรื่องตลก แต่กลับทำให้คนในอ้อมแขนนั้นสะอื้น น้ำตาไหลพรั่งพรูลงมาอย่างมิอาจกลั้น
ชายหนุ่มผมเงินใช้มือลูบแผ่นหลังนั้นอย่างแผ่วเบา ราวกับต้องการย้ำเตือนว่า เขายังอยู่ตรงนี้ ไม่ได้จากไปไหน
“เจ้าบ้าเอ๊ย พูดอะไรบ้าๆ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า คุณกินน่ะเข้มแข็ง...”
“แค่ความรู้สึกผิดจิ๊บจ๊อยของฮิจิคาตะคุง...คุณกินรับเอาไว้ได้อยู่แล้ว...”
ถึงจะเห็นความอ่อนแอของคนคนนี้มาหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่เคยคิดเลยว่า คนที่วิ่งไปข้างหน้าตามเส้นทางที่ตัวเองเชื่อนั้น
จะแบกรับความรู้สึกผิดเอาไว้มากมายถึงเพียงนี้ เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นความอ่อนแอที่แท้จริง ความหวาดกลัวต่อโชคชะตาที่
ไม่อาจควบคุมได้ ความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนสำคัญ น้ำตานั้นคงไม่อาจชำระล้างสิ่งที่เกาะกินอยู่ในใจออกไปได้หมด
แต่มันคงจะบรรเทาเบาบางลงได้บ้าง อย่างน้อยในวันพรุ่งนี้ เมื่อฮิจิคาตะคุงตื่นขึ้นมา ก็จะมีแรงออกไปวิ่งไล่จับโจร
ตะโกนด่าลูกน้องได้แน่ๆ
แล้วในคืนพรุ่งนี้...จะได้นอนพักผ่อน...
ไม่ต้องกังวล...ไม่ต้องกลัวจะสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย...
หลับให้สนิท...หลับให้สบาย...
...คุณกิน...จะคอยอยู่ข้างๆเอง...
...จะอยู่ข้างๆ...ตลอดไป...ในทุกๆคืน...
++++++++++
ไม่ว่าเมื่อไหร่ของสำคัญของคนเราก็มีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะเหน็ดเหนื่อยหรือหวาดกลัวเพียงใดก็มีแต่ต้องวิ่งไปข้างหน้า
ในมือกำดาบแน่น แม้จะหวาดหวั่นยามเมื่อนึกถึงการสูญเสีย แต่อย่างไรก็ตามมนุษย์เราก็ทำได้เพียงแค่ดิ้นรนต่อไปเท่านั้น
“ตรงนั้นน่ะ !! คุยอะไรกัน !!”
เสียงดังลั่นของท่านรอง ทำเอาเหล่าลิ่วล้อชินเซ็นกุมิถึงกับสะดุ้งไปตามๆกัน เมื่อ 3 วันก่อนท่านรองยังมีสภาพทรุดโทรมเหมือน
ผีดิบก็ไม่ปาน แต่ไปๆมาๆ ร่างกายกลับสดชื่นแจ่มใส ราวกับได้ไปชุบตัวมาใหม่ที่สปา แต่อารมณ์หงุดหงิดง่ายยังเหมือนเดิมเป๊ะ
สปาเองก็ไม่ช่วยอะไร จนพวกลูกน้องเองก็หวั่นใจว่า จะมีสักวันที่เส้นเลือดฝอยในสมองของท่านรองจะแตกดังโพละ
จนต้องหามส่งโรงพยาบาล
“เสียงดังแต่เช้าเลยนะ ฮิจิคาตะคุง”
เสียงยียวนกวนประสาทของชายหนุ่มผมเงิน ทำให้รองหัวหน้าที่กำลังสวมบทปีศาจหันขวับ ตั้งใจจะเอาดาบไปฟันเจ้าคนน่ารำคาญ
ให้ขาดเป็นสองท่อน แต่ก็ไวสู้เจ้าของร้านสารพัดจ้างไม่ได้ พอพูดเสร็จปุ๊บ ก็รีบเผ่นให้พ้นรัศมีดาบ ไปทำธุระที่ได้รับการไหว้วานมาทันที
“อ้าว ลูกพี่ มาทำงานหรือครับ ?”
โอคิตะ โซโกะหัวหน้าหน่วยหนึ่ง ที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่ริมทางเดิน เจ้าตัวทำท่าเหมือนกำลังตั้งใจดูการฝึกซ้อมของลูกน้อง
แต่ดูยังไงก็เหมือนนอนเล่น กินขนม อ่านหนังสือการ์ตูนอยู่มากกว่า แถมยังเป็นจัมป์เล่มล่าสุดอีกต่างหาก
“แหม น่าอิจฉาพวกกินภาษีประชาชนจริงๆ”
“พวกผมก็ทำงานกันอย่างแข็งขันนะครับ”
ว่าแล้วก็ป้อนขนมเข้าไป นอนเกาพุง แล้วหันไปพลิกหน้าการ์ตูนอ่านต่อ นี่มันขยันทำงานตรงไหนกันวะ !!
เอาภาษีที่เหล่าประชาชนเหน็ดเหนื่อยทำงาน คืนมาเดี๋ยวนี้นะเว้ย !!
“โซโกะ !! โซโกะ !!”
เสียงของใครบางคนที่เมื่อกี๊เพิ่งว้ากลูกน้องจนขวัญหนีดีฝ่อ กำลังตะโกนเรียกท่านหัวหน้าหน่วยหนึ่ง ซึ่งกำลังขยันนั่งๆนอนๆ
กินภาษีประชาชนอยู่อย่างมุ่งมั่น เจ้าตัวจึงต้องยอมละทิ้งภารกิจอันแสนสำคัญ ปิดจัมป์ ทิ้งถุงขนม ลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย
“ดูเหมือนพี่สาวของผม จะเรียกแล้วล่ะครับ”
เฮ้ย พี่สาวแก อยู่บนสวรรค์แล้วไม่ใช่เรอะ ที่แหกปากตะโกนอยู่ มันผู้ชายทั้งแท่งไม่ใช่เรอะ !!
แล้วใครที่ไหนมันรักพี่สาวปานจะกลืนกิน จนเอาบาซูก้ามาจ่อหัว หาจังหวะเป่าดับวันละหลายสิบรอบ
“ขอบคุณนะครับ...”
เป็นเสียงแผ่วเบา จนกินโทคิไม่แน่ใจว่า หูฝาดไปหรือเปล่า เพราะเจ้าเด็กหัวดื้อตรงหน้า คงไม่ยอมพูดเรื่องแบบนี้ออกมาเป็น
ครั้งที่สองแน่ๆ แถมเจ้าตัวยังทำหน้าตาเฉยเมย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
“ที่ช่วยเรื่อง...พี่สาว...”
เสียงที่แผ่วเบาลอยมาในอากาศ คนพูดขยับยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเดินไปหาเจ้าของเสียงเรียก ที่ดูหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ
พี่สาวงั้นรึ ? บางทีอาจจะเป็นอย่างนั้นจริงๆก็ได้ …
ฮิจิคาตะคุงน่ะ...จู้จี้จุกจิก...อย่างกับเป็นเจ๊ใหญ่ของพวกชินเซ็นกุมิเลยนี่นา...
++++++++++
เมื่อพระจันทร์ฉายแสงนวลผ่องบนขอบฟ้า ใครคนหนึ่งจะต้องปีนหน้าต่างเข้ามาในห้อง เข้ามานอนเอกเขนกกินน้ำกินขนม
ราวกับเป็นบ้านของตัวเอง ถึงเจ้าของบ้านจะมีสีหน้ารำคาญใจแบบสุดๆ บางครั้งก็บ่นหรือโวยวายเวลาเจอหน้ากันไปบ้าง
แต่เขาก็รู้ดีว่า อีกฝ่ายรอคอยการมาเยือนของเขาอยู่เช่นกัน
ระหว่างพวกเรา...ไม่ต้องมีคำพูดหรือคำอธิบายใดๆ ให้มันยุ่งยากหรอก...
หากฮิจิคาตะคุงหน้าบึ้ง...ถือว่าอยู่ในอารมณ์ปกติ...
หากฮิจิคาตะคุงตะโกนด่าเสียงดัง...ถือว่าร่าเริงแจ่มใส...
หากฮิจิคาตะคุงเอาดาบออกมากวัดแกว่ง...ถือว่าร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง...
คงไม่มีอะไรน่ายินดีไปมากกว่านี้อีกแล้ว...
เรื่องราวทุกอย่างไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย เพียงแค่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ให้คืนวันผ่านไปดังเช่นปกติ
แม้ว่าเรื่องปกติธรรมดาของพวกเรานั้น จะไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาของคนอื่นก็ตาม
“เจ้าบ้าเอ๊ย !!”
เสียงก่นด่านั้นหายไป เมื่อเจ้าของเสียงถูกกระแทกลงไปนอนกับพื้น เอกสารทั้งหลายปลิวกระจัดกระจายไปรอบตัว
ทำเอาคนที่นั่งทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจยิ่งอยากชกหน้าโง่ๆนั่นสักเปรี้ยงให้หายแค้น แต่ก็ไม่อาจทำได้
“นั่นมันเอกสารสำคัญนะโว้ย !!”
“ช่างมันก่อนเถอะน่า”
ตัวต้นเหตุที่ทำให้เอกสารเละเทะไม่มีชิ้นดี กำลังใช้มืออันชำนาญปลดเครื่องแบบของชินเซ็นกุมิออกอย่างรวดเร็ว
ฮิจิคาตะถอนหายใจยาวหนึ่งครั้ง ก่อนจะใช้ฝ่ามือดันหัวสีเงินๆนั่นออกไปให้ห่างตัว แต่เจ้ามือข้างนั้นยังคงไม่หยุดรุกล้ำเข้าไปในเสื้อผ้า
เจ้าตัวจึงต้องงอขาแล้วถีบเข้าไปให้เต็มแรง ส่งผลให้อีกฝ่ายต้องงอตัวด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย โหดชะมัด”
ฮิจิคาตะปรายตามองเล็กน้อย เหมือนระอาใจมากกว่าเป็นห่วง ก่อนจะตั้งอกตั้งใจ เก็บเอกสารที่หล่นกระจัดกระจายมาเรียงต่อกัน
ตามลำดับที่ถูกต้อง หลังจากเล่นบทสำออยไปสักพักแล้วท่าทางไม่ได้ผล กินโทคิจึงลงไปนอนกลิ้งบนพื้น ทับเอกสารบางแผ่นที่
เจ้าตัวกำลังจะเก็บขึ้นมา
“เขยิบไปสิ”
ไม่พูดเปล่า เอาเท้าเขี่ยด้วยอีกต่างหาก นี่คนนะคร้าบ ไม่ใช่ก้อนหิน ถึงได้ใช้เท้าเขี่ยให้หลบไปพ้นๆ
ช่วยกรุณาปฏิบัติกับผมในระดับเดียวกับที่ปฏิบัติกับมนุษย์ทั่วไปหน่อยสิครับ
“ใจร้ายจังเลยนะ เอกสารพวกนี้สำคัญนักหรือไง”
“ก็บอกแล้วว่า เอกสารสำคัญ”
ฮิจิคาตะก้มลงเก็บเอกสาร เมื่อเห็นว่าคนผมเงินจอมวุ่นวายยอมลุกขึ้นนั่ง ไม่นอนทับเอกสารพวกนั้นแล้ว แต่มีหรือที่คนอย่าง
ซากาตะ กินโทคิจะถอยง่ายๆ ระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังเอื้อมมือมาหยิบเอกสารนั้น ก็จัดการคว้าตัวมากอด ประกบริมฝีปากจูบอย่างล้ำลึก
เผื่อว่าเจ้าตัวจะยอมโอนอ่อนผ่อนตามบ้าง
แผนนี้อาจจะสำเร็จ ถ้าไม่ใช่ว่าเอกสารในมือที่เจ้าตัวเพิ่งเก็บรวบรวมมาได้ หล่นกระจัดกระจายเต็มพื้นอีกครั้ง
ท่านรองแห่งชินเซ็นกุมิผู้มีความรับผิดชอบสูงส่ง ก็เลยประเคนหมัดงามๆเสยไปที่ปลายคาง ในฐานเล่นอะไรไม่ดูตาม้าตาเรือ
“โอ๊ย ฉันอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า เอกสารพวกนี้อีกรึเนี่ย”
ระหว่างที่คลำคางตัวเองซึ่งปวดตุบๆ จากฤทธิ์หมัดของคนที่ฝึกฝนตนเองทุกวัน ก็รู้สึกได้ว่า ดวงตาสีดำสนิทนั้นจ้องมองมาทางเขา
แถมยังจ้องเขม็งจนรู้สึกหวั่นๆว่า จะโดนทุบอีกสักสองสามที แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ฮิจิคาตะเดินเข้ามาประชิดตัวเขาอย่างรวดเร็ว
ไม่รู้จะทำยังไง ก็ได้แต่หลับตาแน่น เตรียมรับหมัดที่ประเคนมาให้
ไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด...มีเพียงสัมผัสแผ่วเบาที่แก้ม...
เสียงกระซิบบอกบางอย่างที่ข้างหู ทำให้เขารีบลืมตาขึ้น ตั้งใจจะคว้าตัวคนตรงหน้ามากอด แต่ช้าไปเสียแล้ว ท่านรองรู้ทัน
ก็เลยถอยหนีไปยังอีกฟากหนึ่งของห้อง และไม่ลืมจะหอบเอาเหล่าเอกสารไปด้วย
“เอาเถอะ คืนนี้คุณกินจะยอมรอหน่อยก็ได้ เห็นแก่สัมผัสที่ตรงนี้ กับคำพูดเมื่อครู่ล่ะนะ”
แล้วชายหนุ่มผมเงินก็นอนเอกเขนกจ้องมองอีกฝ่ายทำงาน โดยคิดจะไม่รบกวนอะไร คืนนี้คงไม่ใช่คืนที่เขาจะได้กอดคนตรงหน้า
อย่างเต็มที่ ดังใจเขาต้องการ แต่เอาเถอะ ตอนนี้เขาเองก็รู้สึกพอใจเสียยิ่งกว่าพอใจแล้วนี่นะ
เพราะประโยคสั้นๆนั่น...แค่เพียงประโยคเดียว….
...นายต่างหาก...ที่เป็นสิ่งสำคัญของฉัน...
ใช่แล้ว ความสุขนั้น ไม่จำเป็นต้องแสวงหาด้วยการตักตวงความหอมหวานจากร่างกายเพียงอย่างเดียว แค่ได้นอนมองฮิจิคาตะคุงที่
ก้มหน้านิ่ง แกล้งทำเป็นตั้งใจเขียนเอกสาร เพื่อแอบซ่อนใบหน้าที่แดงซ่านนั้น ก็ทำให้เขามีความสุขได้เช่นกัน
“ยิ้มบ้าอะไรของนาย...”
“ก็แค่มีความสุขเท่านั้นน่ะ”
ความสุขของการได้ใช้เวลาร่วมกัน...
ความสุขของการเดินก้าวเดินไปพร้อมกัน...
ความสุขของการได้แบ่งปันเรื่องราวต่างๆ...
...พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป...เนอะ...ฮิจิคาตะคุง...
++++ Gintoki's side Fin ++++
ขอบคุณท่านผู้อ่านสำหรับคอมเมนต์นะคะ ส่วนเนื้อหาที่หายไปตอนที่แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ส่งให้นะคะ ตอนนี้เริ่มง่วงแล้ว
สำหรับภาคของมิซึบะ ฝั่งคุณกินก็จบลงเสียที เขียนแบบเมาๆตั้งนาน พอครึ่งหลังค่อยมีกลิ่นอายกินทามะ
ช่วงแรกๆนี่ดราม่าเสียยิ่งกว่าดราม่า จนคนเขียนยังงงๆกะตัวเองอยู่ แต่ฝีมือยังไม่ดีขึ้นเท่าไร ฮ่าๆ
สำหรับภาคนี้ ตั้งใจจะให้ท่านรองตกต่ำถึงขีดสุด (โดนท่านฮิจิคาตะเอาดาบฟันหัวแบะ) อยากให้อ่อนแอสุดๆด้วย
เพราะตั้งใจไว้ว่า ยามที่ท่านรองอ่อนแอที่สุด คนที่จะช่วยกอบกู้ได้ก็มีแต่คุณกินคนเดียวเท่านั้นแหละ !!!
ถ้าให้คุณคอนโดมากอบกู้ คุณฮิจิคาตะอาจจะยิ่งกดดันตัวเองมากขึ้นก็ได้ มีแต่คุณกินเท่านั้นที่พึ่งได้
ก็เลยออกมาเป็นภาคนี้ที่อยากเขียนมากมาย แต่สุดท้ายที่อยากเขียนแต่ยังไม่ได้เขียนคือ คุณฮิจิยังไม่ได้บอกรักสักคำ
(แต่ก็บอกไปนิดนึงแล้วนะ สำหรับคนปากหนักอย่างนั้น) ยังไงซะภาคนี้จะต้องมีบทของคุณฮิจิอีกบทถึงจะสมบูรณ์
ว่าแต่ เมื่อไหร่จะได้เขียน - -""" เมื่อไหร่จะหยุดยาว จะได้เขียน !! (หยุดยาววันแม่ ก็ขึ้นเวร)
ยังไงก็ขอบคุณคนอ่านอีกครั้งและอย่าลืมคอมเมนต์นะคะ คนเขียนจะได้พยายามปั่นอีกบท + epilogue
ตอบคอมเมนต์
@ Pigpaeng แฮะๆ ตอนนี้คงเฉลยความรู้สึกของคุณฮิจิไปได้บ้างแล้ว แต่ให้สมบูรณ์คงต้องรออีกบทนึงนะคะ
ที่บอกว่าคุณกินคอยดูแลอยู่ฝ่ายเดียวนั้นไม่ผิด เพราะคนเขียนตั้งใจให้เป็นแบบนั้น ฮ่าๆ อยากให้รู้สึกว่า
คุณฮิจินั้นขาดคุณกินไม่ได้ ขาดไปต้องตายแน่ๆ อะไรแบบนั้น แต่เจ้าตัวยังปากหนักอยู่
ภาคหน้าว่าจะเขียนความอ่อนแอของคุณกินบ้าง (ภาคหน้านะคะ ไม่ใช่บทหน้า) แต่จะมีปัญญามีเวลาเขียนไหมนะ TT^TT
@อุเมะ มัตสึยาม่า เดี๋ยวส่งตามไปให้เน้อ รอแป๊บนึงนะ
@ ohanmina_Neji อัพเร็วที่สุด เท่าที่ทรัพยากรเวลาและอารมณ์จะอำนวยแล้วเน้อ ยังไงก็ขอให้ติดตามกันต่อไป
ความคิดเห็น