คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Gintoki's side บทแรก
Gintoki's side บทแรก
++++++++++
มันเป็นอีกวันหนึ่งที่สับสนวุ่นวายของซากาตะ กินโทคิ เมื่อต้องมารับบทเพื่อนสนิทเฉพาะกิจให้กับเจ้าโซโกะ
เนื่องจากไม่อยากให้พี่สาวที่มาเยี่ยมกะทันหัน ต้องเป็นห่วง ใครจะไปคิดว่า คนที่ได้ฉายาจอมซาดิส จะทำหน้าตาไร้เดียงสาสมวัยได้
เมื่ออยู่ต่อหน้าคนในครอบครัว แต่ก็คงไม่พ้นเป็นการเสแสร้งชั่วครั้งชั่วคราว เหมือนกับเพื่อนสนิทที่ซื้อมาด้วยช็อกโกแลต พาเฟ่ จำนวน 3 ถ้วย
“คุณซากาตะ ทานนี่ไหมคะ”
พี่สาวของโซโกะนั้น มองอย่างไรก็เป็นคนสวย ไม่ใช่แค่หน้าตาเท่านั้น แต่กริยามารยาท การพูดจานั้น เรียกได้ว่าเพียบพร้อม
นิสัยก็ดูเป็นคนอ่อนโยนใจดี และเข้ากับคนง่าย ช่างแตกต่างจากน้องชายอย่างสิ้นเชิง หรือนี่จะเป็นการปฏิวัติของพันธุกรรมที่
เกิดบิดเบี้ยวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ขอรับไว้ด้วยความยินดีครับ”
แต่ไม่ทันจะรับมา ซอสทาบาสโก้แบบเผ็ดจี๊ดก็ถูกเหยาะลงมาบนแอบเปิ้ลเชื่อมสีแดงสด คาดเดาได้เลยว่า รสหวานของมันจะ
ถูกเปลี่ยนเป็นรสเผ็ดจนกระเพาะอาหารลุกเป็นไฟ แถมคุณพี่คนสวย ยังยัดเจ้าแอบเปิ้ลที่ผ่านการชะโลมซอสสุดเผ็ดเข้าไปในปาก
ด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมด้วยความสุขของการเป็นผู้ให้
ถึงจะต้องทนทรมานจากรสสัมผัส ของแอบเปิ้ลเชื่อมราดซอสสูตรเผ็ดพิเศษ แต่ก็ไม่อาจโกรธ ผู้ที่เป็นต้นเหตุได้
เธอเป็นคนที่ให้ความรู้สึกใสกระจ่างเหมือนน้ำ ไม่ว่าใคร ก็คงต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตาม เพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มนั้น
พอตะวันลับจากขอบฟ้า สถานที่ที่มาส่งเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ แบบที่พวกคนรวยเท่านั้นจะมีได้ หลังจากร่ำลากันตามมารยาทแล้ว
เหมือนคุณพี่สาวยังมีอะไรบางอย่างอยากจะพูด เจ้าโซโกะเองก็รู้ แต่เหมือนไม่อยากตอบคำถามนั้น ก็เลยรีบตัดบท ขอตัวกลับบ้านในทันที
“คือว่า...เขาคนนั้นล่ะ...”
แม้จะไม่เคยรู้จักหญิงสาวมาก่อน แต่ทำไมเขากลับรู้สึกเหมือนตัวเองเข้าใจว่า เขาคนนั้นของเธอคือใคร
ยิ่งเห็นสีหน้าวิงวอน ร้องขอคำตอบจากน้องชาย ในใจมันก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างประหลาด
น่าแปลก ทั้งที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องตรงไหน แต่ตัวเองกลับไม่อยากให้โซโกะตอบคำถามนั้น
“ไอ้บ้านั่น ไม่ยอมมาพบหรอกครับ”
“เป็นไอ้เบื้อกที่ไร้ความเห็นอกเห็นใจโดยแท้ เจอหน้ากันแต่เช้า แต่ก็ไม่พูดอะไร ผลุนผลันออกไปทำงาน”
พอพูดจบก็เดินจากไป ไม่เหลียวหลังกลับมามองพี่สาวคนสำคัญเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าความเอาแต่ใจและดื้อรั้น
ชนะความห่วงใยที่เจ้าตัวมีต่อคนในครอบครัว ถึงจะเห็นเธอทำหน้าเสียใจที่ได้ยินคำตอบเช่นนั้น
แต่ลึกๆในใจของเขากลับรู้สึกโล่งอก ทั้งที่ไม่เข้าใจเรื่องราวที่คุยกันเลยแม้แต่นิดเดียว
“ความจริงคุณคงไม่ใช่เพื่อนเขาใช่ไหมล่ะคะ ถูกถูลู่ถูกังให้มาทำเรื่องแบบนี้”
หญิงสาวเองก็ไม่ใช่คนโง่ วันนี้แกล้งทำเป็นเชื่อ เพราะอยากให้น้องชายสบายใจ ต่างฝ่ายต่างก็พยายามรักษาความรู้สึกของอีกคนหนึ่ง
แต่ในเมื่อรู้อยู่แล้วก็สามารถพูดสิ่งที่ใจคิดออกไปได้ตรงๆ เพราะคนอย่างเขา คงไม่ใช่เพื่อนที่ดีเท่าไรนักหรอก แล้วเจ้านั่นเอง
ก็ไม่ใช่คนที่นิสัยดีสักเท่าไรนัก อยู่ด้วยกันไป ก็คงมีแต่เรื่องปวดหัวเปล่าๆ แทนที่หญิงสาวจะตกใจหรือแปลกใจ เธอกลับยิ้มอย่างอ่อนโยน
“เป็นคนที่แปลกดีนะคะ แต่ก็ทำให้เด็กคนนั้นคุ้นได้อย่างเป็นกันเอง”
“เหมือนกับเขาคนนั้นเลยล่ะค่ะ”
เขาคนนั้นอีกแล้วหรือ ? เขาคนนั้นที่ว่า ใช่คนเดียวกับที่เอ่ยมาก่อนหน้านี้หรือเปล่านะ
ก่อนที่จะคิดอะไรไปมากกว่านั้น รถตรวจการของชินเซ็นกุมิก็แล่นมาจอดใกล้ๆ แล้วคนที่ลงมาก็ดันไม่ใช่ใครที่ไหน
เป็นคนที่กำลังสงสัยอยู่ตั้งแต่ต้นว่า คนที่เธอพูดถึงนั้น ใช่คนคนนี้หรือเปล่า
ช่วงเวลาที่สองคนนั้นสบตากัน เขาสังเกตเห็นว่า ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ
แม้จะพยายามควบคุมสีหน้าของตัวเองให้เรียบเฉย ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เหมือนกับเวลาของผู้คนหยุดนิ่ง
ไม่มีใครกล้าขยับตัวหรือส่งเสียงใดๆ ได้แต่รอคอยให้หนึ่งในสองคนนั้น พูดอะไรออกมา
“คุณ...โทชิโร่...”
เสียงเรียกชื่ออันแสนแผ่วเบานั้น ทำลายความเงียบลง ก่อนที่เจ้าของเสียงจะล้มฟุบลงไป ในตอนนั้นรอบข้างเต็มไปด้วยเสียง
เอะอะด้วยความตกใจ ยามาซากิรีบปราดเข้าไปประคอง ส่วนเขาเองก็รีบตรงไปทุบประตูคฤหาสน์ เพื่อให้คนออกมาช่วยเหลือ
มีเพียงฮิจิคาตะเท่านั้นที่ยังยืนนิ่ง
ในตอนที่อยากจะตะโกนออกไป ก่นด่าถึงความไร้ประโยชน์ของเจ้าตัวที่ไม่คิดจะช่วยอะไร
แต่พอมองใบหน้านั้นแล้วก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างประหลาด เจ็บจนต้องเบือนหน้าหนี ไม่พยายามมองไปทางนั้น
ใบหน้าของฮิจิคาตะนั้นว่างเปล่า...ราวกับวิญญาณได้หลุดลอยออกจากร่างกายไป...
ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นฉายแววเจ็บปวด...เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส...
เหมือนกับว่า...หากต้องมองดูหญิงสาวทุกข์ทรมานแล้วล่ะก็...
...อยากจะลบตัวเอง...ให้หายไปเลยดีกว่า...
++++++++++
ตลอดเวลาที่ข้างห้องกำลังสาละวนอยู่กับการบรรเทาอาการป่วยของหญิงสาว ฮิจิคาตะเอาแต่ยืนสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียงด้านนอก
ด้วยท่าทีที่ไม่ว่าใครเห็นก็คงต้องหมั่นไส้ แต่สังเกตจากควันสีขาวที่ถูกพ่นออกมาอย่างต่อเนื่อง แสดงว่าความเครียดของเจ้าตัว
กำลังพุ่งปรี๊ดเกินระดับปกติ
“ไหงลูกพี่มาอยู่กับคุณมิซึบะได้ล่ะครับ”
ยามาซากิเอ่ยถามขึ้น หลังจากแอบดูจนแน่ใจแล้วว่า อาการของหญิงสาวกำลังทรงตัว ไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด
พอรู้ว่า หญิงสาวปลอดภัยแล้ว เขาเองก็รู้สึกโล่งใจมาก จนนึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่า ทำไมถึงได้โล่งใจขนาดนี้
“เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย”
ขี้เกียจเล่าเรื่องความเป็นมาตั้งแต่ต้น บวกกับอยากกวนประสาทไอ้บ้าที่ทำผมทรงอาฟโร่นิดๆ ก็เลยไม่ตอบไปตามตรง
แต่พอถามกลับถึงสาเหตุที่ทำทรงผมสุดแสนประหลาด เจ้านั่นกลับย้อนใช้คำตอบเดียวกับที่เขาเพิ่งตอบไป
มันน่าเตะไหมล่ะ จะกวนประสาททั้งที ช่วยคิดประโยคเป็นของตัวเองสักนิดจะได้ไหม
“แล้วพ่อขี้เก๊กทางนั้น ไม่ให้อารมณ์ว่า อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยเลยนี่”
ใจหนึ่งก็อยากกวนประสาท เพราะหมั่นไส้คนที่เอาแต่ยืนเก๊กท่าสูบบุหรี่เหลือเกิน นึกว่าเท่นักหรือไง ?
แต่อีกใจหนึ่ง ก็แค่อยากหันเหความสนใจของนาย ออกจากความกังวลเรื่องอาการป่วยของหญิงสาว จะได้บรรเทาความเครียด
ที่อัดแน่น จนเหมือนจะทำให้เส้นเลือดในสมองแตกปะทุออกมา
“เห็นหน้าปุ๊บ ก็เป็นลมล้มลงปั๊บ ชะรอยพ่อมาดขรึม จะมีเอี่ยวเต็มๆเลยไม่ใช่รึ”
“ไม่เกี่ยวอะไรกับแก”
คำตอบห้วนๆที่กลับมานั้น ฟังเผินๆ ดูเหมือนนิสัยตามปกติของท่านรอง แต่น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง
ระหว่างการพูดเพื่อตัดความรำคาญ กับน้ำเสียงที่ใช้เพื่อปกปิดความกังวลในตอนนี้ อาจเพราะตัวเองเคยเห็นตัวตนอีกด้านหนึ่ง
มาแล้วล่ะมั้ง ถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังกังวลจนแทบบ้า
“ประทานโทษคร้าบ มือที่สามที่ไปสอดเรื่องชายกับหญิงเนี่ย ถือเป็นคนสติไม่ดีนี่เนอะ”
พูดกวนประสาทไปเรื่อย แกล้งทำเป็นเรื่องตลก แกล้งทำเป็นเหมือนไม่รู้ว่า อีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
ถึงตัวเองจะรู้สึกหงุดหงิดที่เห็นฮิจิคาตะเป็นกังวล จนอยากจะลากตัวอีกฝ่ายออกไปให้พ้นจากที่ตรงนี้
แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียง แกล้งแหย่เล่นไปเรื่อย รอให้ฉุนขาดจนลืมสิ่งที่กำลังกังวล น่าจะดีที่สุด
“ทุกท่าน ต้องขออภัยที่ไม่ได้มาต้อนรับขับสู้”
ในตอนที่ฮิจิคาตะกำลังเงื้อดาบ ทำท่าจะฟันใส่เขา เจ้าของบ้านก็เปิดประตูเข้ามาทักทายตามมารยาท พร้อมกับกล่าวขอบคุณที่ช่วยเหลือ
ว่าที่ภรรยาในอนาคตของเขา เมื่อสังเกตเห็นเครื่องแบบของชินเซ็นกุมิจึงได้ถามออกไปว่า เป็นเพื่อนของน้องชายท่านมิซึบะใช่หรือไม่
“ไม่ใช่หรอกครับ”
ก่อนที่ใครจะทันได้ตอบคำถามนั้น เจ้าโซโกะที่โผล่เข้ามาจากทางไหนก็ไม่รู้ ดันชิงตอบคำถามนั้นเสียเอง ถึงจะทำหน้าตาเฉยๆ
เหมือนปกติ แต่รังสีที่แผ่ออกมารอบตัว เหมือนพร้อมจะเป่าหัวคนดับได้ทุกเมื่อ
“แล้วปั้นหน้าแบบไหน ถึงกล้ามาพบกับท่านพี่ได้ไม่ทราบล่ะครับนี่”
หลังจากที่ได้ยินคำถามนั้น ดวงตาสีดำสนิทก็ไหววูบด้วยความรู้สึกเจ็บปวดรุนแรง เป็นเพียงแค่ชั่วเวลาแวบเดียวเท่านั้น
ก่อนที่จะกลับมาเป็นปกติ ภายในตัวของฮิจิคาตะกำลังต่อสู้ เพื่อกดความเจ็บปวดทั้งหลาย ไม่ให้แสดงออกมา
แม้ว่าเจ้าตัวจะอ่อนล้าเพียงใดก็ตาม ก็ไม่มีวันแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น
เจ้ายามาซากิเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็โดนรองหัวหน้าปิดปากแล้วลากตัวออกไปก่อน
ในตอนที่ดวงตาของฮิจิคาตะมองข้ามช่องประตูไปยังอีกด้านหนึ่ง ประสานสายตากับหญิงสาวที่มองกลับมาอย่างอ่อนแรง
เพียงแค่เสี้ยวนาทีนั้น เหมือนคำพูดนับพันพรั่งพรูออกมา คำพูดที่ไม่มีใครได้ยิน ไม่มีใครเข้าใจ นอกจากสองคนนั้น
พอพ้นประตูคฤหาสน์ออกไป เขาก็เร่งฝีเท้าไล่ตามหลังทั้งสองคน ในใจนั้นยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เป็นความหงุดหงิดที่ไม่อาจควบคุมได้ ทางเดียวที่จะหยุดความรู้สึกที่น่ารำคาญนี้คือจะต้องคุยกับฮิจิคาตะเท่านั้น...
“ฮิจิคาตะ !!”
เขากระชากตัวคนที่ตัวเองเรียกชื่อเต็มแรง จนกระทั่งยามาซากิยังเผลอผงะ ถอยหลบออกไป ดาบในมือของอีกฝ่ายฟาดลงมา
เกือบจะโดนเขาเต็มๆ ยามาซากิส่งเสียงโวยวาย พยายามจะห้าม แม้อยู่ในระหว่างโกย กำลังหลบหนีไปให้ไกล
เพื่อตัวเองจะได้พ้นจากรัศมีการโดนลูกหลง
“ต้องการอะไร ? นายต้องการอะไร !!”
คำถามนั้น นายต้องการจะถามใครกันแน่ แววตาของนายที่มองมาในตอนนี้ ไม่ได้มองมาที่ฉัน ไม่ได้มองเห็นฉัน
หรือสนใจฉันเลยแม้แต่น้อย นั่นมันน่าหงุดหงิดมากเลย รู้ไหม ?
“จะต้องการอะไร...”
“ฉันก็ต้องการแค่นายเท่านั้นแหละ...”
เขาเองก็ไม่รู้ว่า อีกฝ่ายถึงขีดจำกัด หรือเพราะคำพูดของเขาไปสะกิดอะไรบางอย่างเข้า รู้เพียงแต่ว่า ช่องว่างในตอนนั้น
ทำให้เขาสามารถฟาดมือไปยังหลังคอ แล้วแบกร่างที่หมดสติของฮิจิคาตะไปยังสถานที่ที่เขาต้องการ
++++++++++
--ตัดฉากเหมือนเดิมนะคะ ขออนุญาตทำตามกฏที่นี่ ไม่ถม ไม่ลิงค์ ฉากที่ไม่เหมาะสมกับเยาวชน ขออภัยที่ทำให้เสียอารมณ์ --
(งวดนี้ตัดหมดทั้งซีน จะได้ไม่รู้สึกค้างมากจนเกินไป 55+)
++++++++++
ซากาตะ กินโทคิเดินถือถุงขนมเซมเป้รสเผ็ดจัด ตรงไปยังโรงพยาบาล ตามคำไหว้วานของหญิงสาว
เพราะกำลังอยู่ในระหว่างทำงาน จึงพยายามสลัดภาพร่างกายของใครคนหนึ่งที่เขากกกอดเอาไว้แน่น จนถึงรุ่งเช้า
“ชิ ตั้งแต่ยุ่งกับหมอนั่น ก็มีแต่เรื่องบ้าๆ”
ปากก็บ่นไปอย่างนั้น แต่ถึงจะถูกดึงเข้าไปพัวพันกับเรื่องวุ่นวายหลายต่อหลายเรื่อง ก็ยังอยากจะอยู่ใกล้ๆ
เพราะรู้ตัวดีว่าไม่ได้เป็นคนความสำคัญ จึงต้องเหนี่ยวรั้งคนคนนั้นเอาไว้ด้วยกำลังทั้งหมดที่มี
...เหมือนดัง...คืนที่ผ่านมา...
ร่างกายซึ่งถูกเรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะอยากตอกย้ำสายใยอันแสนเปราะบางของพวกเรา เพื่อให้ดวงวิญญาณของฉันไม่บ้าคลั่ง
จากความผิดหวังและเสียใจที่ได้รับรู้ว่า หัวใจของนายผูกพันกับใครบางคนอย่างลึกซึ้ง จนไม่อาจเข้าไปแทรกแซง วันคืนแห่ง
ความทรงจำที่ฉันไม่รู้จักและไม่อาจเข้าใจเรื่องราวเหล่านั้นได้
“ยอดเลยไม่ว่าจะไหว้วานอะไร ก็ทำได้จริงๆด้วย”
ถึงจะยิ้มแย้มหรือหัวเราะร่าเริงอย่างไร แต่ใบหน้าของหญิงสาวก็ยังคงมีร่องรอยของความเจ็บป่วยให้เห็นอย่างเด่นชัด
คงเพราะไม่อยากเป็นภาระกับคนอื่น เธอจึงพยายามยิ้มอย่างเต็มที่ ราวกับต้องการจะบอกว่า ฉันไม่เป็นไร
แย่จังเลยนะ..ถ้าเป็นผู้หญิงหน้าตาน่าเกลียด...นิสัยซกมก...คงเกลียดไปแล้ว...
แต่นี่เป็นคนที่สวยทั้งภายนอกและภายใน...ก็ไม่แปลกหรอกที่ฮิจิคาตะคุงจะหลงรัก...
ไม่แปลกหรอก...ที่จะทุ่มเทชีวิตให้...
ก็ถึงขนาดส่งสายลับประจำชินเซ็นกุมิมาเฝ้าเลยนี่นา...
ถึงฝีมือการซ่อนตัวจะห่วยแตก พอถามอะไรนิดหน่อย ก็ดันคายความลับสุดยอดออกมา
แถมเจ้าตัวยังบอกเองว่า ท่านรองสั่งห้ามไม่ให้บอกใคร แล้วไหง มันถึงพูดออกมาง่ายๆแบบนี้ล่ะเนี่ย
ตกลงเจ้ายามาซากิ มันได้เป็นสายลับเพราะฝีมือ หรือถูกยัดเยียดหน้าที่ให้ เพียงเพราะหน้าตาจืดชืดยิ่งกว่าเต้าหู้ไม่ใส่ซีอิ๊วกันแน่เนี่ย
“คุยกับคุณยามาซากิเรื่องอะไรกันเหรอคะ ?”
หญิงสาวถามขึ้น ราวกับรู้ว่า เรื่องที่ทำให้เขาต้องลากตัวยามาซากิไปคุยที่อื่นนั้น เกี่ยวข้องกับเธอโดยตรง
แถมยังเป็น เรื่องว่าที่สามีในอนาคตของเธออีกด้วย จะให้ตอบอะไรได้ นอกเสียจาก ไม่มีอะไรหรอกน่า อย่าคิดมากเลย
“ถ้าผู้ชายแอบคุยกัน แล้วพูดทำนอง อย่าถามแบบเชยๆ ล่ะก็ มันก็ต้องเป็นเรื่องใต้ร่มผ้าอยู่แล้ว”
“คนเป็นผู้ชายเนี่ย มักเป็นแบบนี้อยู่เรื่อย”
เธอเล่าเรื่องสมัยก่อน ออกมาด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข ราวกับหวนระลึกถึงวันคืนที่มีร่วมกันมา ทั้งที่เธอถูกทิ้งไว้ด้านหลังเพียงลำพัง
แต่น้ำเสียงและสีหน้าของเธอกลับสงบ ไม่มีท่าทีของความเสียใจหรือน้อยใจเลยแม้แต่น้อย ออกจะภูมิใจนิดๆด้วยซ้ำ
“ต้องทำตัวให้มีความสุขให้ได้...”
ถึงในบทสนทนา หญิงสาวจะเอ่ยชื่อโซโกะขึ้นมา และบอกว่า ไม่อยากให้น้องชายต้องเป็นห่วง เธอจึงต้องมีความสุขให้ได้
แต่กลับรู้สึกว่า เธอไม่ได้ต้องการมีความสุข เพื่อน้องชายเท่านั้น แต่เพื่อใครอีกคนหนึ่ง
เพื่อเขาคนนั้น...จะได้เดินต่อไปข้างหน้า...
เพื่อเขาคนนั้น...จะไม่หวั่นไหวต่อเส้นทางที่จะมุ่งไป...
เพื่อเขาคนนั้น...จะไม่ต้องหันกลับมา...
...เป็นความคิดคำนึงถึง...คนสำคัญอีกคน...
...คนที่เธอรักที่สุด...ฮิจิคาตะ โทชิโร่...
ระหว่างที่กำลังพูดคุยกัน หญิงสาวก็เริ่มมีอาการไอ ดูเหนื่อยและอ่อนแรงมากขึ้น เขาจึงเตือนให้พักผ่อน
แต่เธอก็ปฏิเสธว่า ยังอยากจะพูดคุยกับคนอื่นอีกสักพัก ยังไม่ทันจะขาดคำ ร่างกายก็ไม่ฟังความต้องการของจิตใจเสียแล้ว
เลือดสีแดงสด หยดลงยังผ้าห่มสีขาว อาการของหญิงสาวกำเริบอย่างรุนแรง พวกหมอและพยาบาลวิ่งเข้ามาในห้องกันเต็มไปหมด
พยายามช่วยเหลือและยื้อชีวิตกันอย่างสุดความสามารถ
กินโทคิมองเข้าไปภายในห้องที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ทุกคนพยายามแย่งชิงดวงวิญญาณของมนุษย์ผู้นี้
จากมัจจุราชที่กำลังสยายปีกอยู่เหนือร่างกายนั้น
ในเวลาแบบนี้...นายไปอยู่ที่ไหนกันนะ...ฮิจิคาตะ...
++++++++++
ท่ามกลางควันไฟที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ เสียงของปืนซึ่งยังคงดังต่อเนื่องไม่หยุด ทำให้ยิ่งนึกสงสัยว่า ใช้สมองส่วนไหนคิด
ถึงบ้าไปลุยเดี่ยวกับพ่อค้าอาวุธในตลาดมืดที่มีลูกน้องเป็นร้อย
เจ้าบ้านั่น !! มันต้องประสาทกลับไปแล้วแน่ๆ ถึงได้กล้าทำแบบนี้
คิดว่า ตัวเองเก่งนักหรือไง !!
อยากด่าว่าโง่ อยากด่าว่าบ้า สักร้อยหน พันหน อยากจะต่อยใบหน้านั่นจังๆสักครั้ง
อย่าเพิ่งตายนะเว้ย !! ไอ้บ้าเอ๊ย !! อยู่ให้ฉันด่านาย มีชีวิตอยู่ให้ฉันต่อยนายก่อน
โทษฐานทำให้ฉันกังวลจนแทบจะเป็นบ้า
…กลัวว่า...จะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว...
คนที่ทั้งโง่ ทั้งบ้า ยืนทำเท่อยู่บนรถของศัตรู ราวกับว่าตัวเองจะสามารถเอาชนะศัตรูทั้งหมด แล้วกลับไปอย่างไร้รอยขีดข่วน
แต่ชีวิตจริงไม่ง่ายแบบนั้น ชุดเครื่องแบบที่ใส่ขาดวิ่นจากแรงปะทะของกระสุนปืน เลือดสีแดงสดจากบาดแผลยังคงไหลออกมาไม่หยุด
แม้เจ้าตัวจะยังต่อสู้ พยายามจับกุมคนร้ายให้หมด แต่สภาพแบบนั้น แค่ยืนให้มั่นก็ยังลำบากเลย
...ทำไมต้องจัดการเรื่องทั้งหมด...ด้วยตัวคนเดียว...
...คิดว่าตัวเอง...อยู่คนเดียว...บนโลกนี้หรืออย่างไร...
หลังจากการต่อสู้จบลง ร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลนั้นทรุดลงกับพื้น ถ้าเป็นคนทั่วไป ก็คงหมดสติไปแล้ว
แต่นี่เป็นรองหัวหน้าปีศาจจอมดื้อด้าน ก็เลยยังกัดฟันต่อสู้กับความเจ็บปวด ออกปากไล่โซโกะที่มาช่วยให้กลับไปโรงพยาบาล
“แกมาอยู่ที่นี่ทำไม !!”
“อย่าทำเป็นเก่งไปหน่อยเลยน่า ถ้าผมไม่มาล่ะก็ คุณฮิจิคาตะ...”
“ก็ให้มันตายไปเลยสิ !!”
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก หลังจากที่เจ้าตัวตะโกนออกมาแบบนั้น ดูท่าทางแล้ว คงตั้งใจที่จะตายสินะ
ถึงได้มาสู้กับคนเป็นร้อย ด้วยตัวเองเพียงคนเดียว มันเจ็บปวดขนาดนั้นเลยหรือ ที่จะมีชีวิตอยู่ โดยปราศจาก เธอคนนั้น
“โทชิ !! เฮ้ย !!”
ร่างกายคงถึงขีดสุดแล้ว คนเจ็บที่ยังปากกล้าถึงได้ล้มพับลงไปกองกับพื้น เดือดร้อนคนอื่นต้องวิ่งวุ่นวาย หาทางพาไป
โรงพยาบาลกันยกใหญ่ กินโทคิทรุดตัวนั่งลงข้างๆ มองใบหน้าที่ซีดขาวจากการเสียเลือดมาก ลมหายใจของคนตรงหน้าหอบถี่
ช่างคล้ายกับตอนที่ถูกฝันร้ายไล่ตามจนต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก มันคือความทรมาน...
ทรมานงั้นหรือ...ฮิจิคาตะ...
ทรมาน...เพราะตัวเองยังคงมีชีวิตอยู่สินะ...
แต่ถึงนายจะต้องทนทรมานอย่างไร...
...ฉันก็ดีใจนะที่นาย...ยังมีชีวิตอยู่...
++++++++++
พอมานั่งตรวจสะกดคำ อ่านเองแล้วรู้สึกว่า เน่ามาก อยากจะโละเขียนใหม่ให้หมด ก็คงใช้เวลาอีกเป็นชาติกว่าจะเสร็จ
หายหัวไปตั้ง 10 เดือน (ไปนับเดือนมาแล้ว) มาดองอีกคงไม่งามเท่าไร - -" ยังไงก็จะพยายามนะคะ
อีก 10 หน้าที่เหลือ จะพยายามแก้ให้มันดีขึ้นกว่านี้ แต่ไม่รับประกันนะว่า มันจะดีขึ้น OTL
ภาษาแปลกประหลาดมากขึ้นทุกที มีแต่ดราม่า ไม่ค่อยรั่วเท่าไร เขียนตอนท่านมิซึบะยากจริงๆ แต่ก็อยากเขียน
ไม่รู้ว่า ท่านผู้อ่านมีความคิดความเห็นอย่างไร บอกกันบ้างนะคะ จะติชม ก่นด่า ขว้างปาของ เชิญเลยค่ะ
แต่อย่าลืมคอมเมนต์กันนะคะ >0<
ปล. ฉากที่หายไปยังใช้กติกาเดิมค่ะ ส่วนเรื่อง Night ก็ให้มาขอในเรื่องนี้ได้เช่นกันค่ะ
ความคิดเห็น