ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KnB fic] We'll always be together (AllxKagami)

    ลำดับตอนที่ #1 : KurokoxKagami : Love & Fear

    • อัปเดตล่าสุด 12 ก.ค. 56


    Title: Love & Fear
    Author: Monochrome bird
    Category:  Drama (ขมๆหวานๆ)

    Pairing: คุโรโกะ x คากามิ
    Rating: PG-13
    Disclaimer: ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นของอาจารย์ฟูจิมากิค่ะ พวกเราแค่ยืมมาจิ้นเล่นเท่านั้น 
    Author notes: ฟิคนี้เขียนที่ทำงานมากกว่าที่บ้านอีก ห้ามบอกเจ้านายนะคะ


    +++++++++

    พระอาทิตย์อัสดงของยามเย็นนั้น เป็นสัญญาณว่า ตอนนี้ถึงเวลาที่ผู้ปกครองจะทยอยมารับนักเรียนกลับบ้านกันแล้ว คุณครูทั้งหลายต่างพากันออกมาส่งเด็กๆที่หน้าประตูโรงเรียน ส่งยิ้ม เอ่ยคำอำลา แล้วโบกมือให้แก่เด็กน้อยที่ยิ้มอย่างร่าเริงสดใส เมื่อได้เจอพ่อกับแม่

    คุโรโกะ เท็ตสึยะยืนส่งยิ้มบางๆ พร้อมกับโบกมือให้กับพวกเด็กๆ ถึงจะเป็นคุณครูที่พูดน้อยและไม่ได้ยิ้มเก่ง แต่พวกเด็กๆก็ติดกันเกรียวกราว อาจจะเพราะสัมผัสได้ถึงความใจดีและอ่อนโยนในตัวคุณครู นอกจากนี้คุณครูคุโรโกะยังมีฝีมือในการกำราบเด็กดื้อทั้งหลาย ทั้งพวกเด็กชอบแกล้ง เด็กที่งอแงไม่ยอมนอนกลางวัน ไม่เห็นมีคนไหนกล้าดื้อกับคุณครูเลยแม้แต่คนเดียว

    “คุโรโกะกลับบ้านไปก่อนก็ได้นะ”

    “แต่ว่า ฮิโระคุงยัง...”

    ฮิโระคุงเป็นเด็กในความดูแลของคุณครูคุโรโกะ เป็นเด็กที่ผู้ปกครองมักจะมารับช้าเสมอ แต่ถึงถามไปว่า ที่บ้านมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ฮิโระคุงก็ไม่เคยเอ่ยปากบอกอะไร ปกติก็เป็นเด็กค่อนข้างเงียบ พูดน้อยอยู่แล้ว จะให้เอ่ยปากเล่าเรื่องที่บ้านก็คงลำบาก แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครบังคับให้พูด เพียงแค่บอกว่า ถ้ามีเรื่องลำบากอะไรอยากให้ช่วยก็ขอให้บอกพวกคุณครูแล้วกันนะ

    “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจัดการเอง”

    คนที่เอ่ยปากบอกให้คุโรโกะกลับบ้านนั้นคือ คุณครูอาโอกิ เป็นเจ้าของที่นี่และเป็นคุณครูที่อายุมากที่สุด เด็กๆทั้งหลายต่างติดอกติดใจเรื่องเล่าของคุณครูผู้สูงวัยคนนี้ มักจะรบเร้าให้เล่านิทานให้ฟังอยู่เสมอ และนั่นก็คือไม้ตายเด็ดที่เอาไว้ใช้กล่อมเด็กๆนอน หรือไม่ก็ปลอบให้หยุดร้องไห้

    “วันนี้คากามิคุง หยุดงานไม่ใช่เหรอ”

    คุโรโกะเอียงคอเล็กน้อย เพราะรู้สึกสงสัยว่า คุณครูอาโอกิทราบได้อย่างไร ถึงเขาจะไม่ได้ปิดบังเรื่องที่อาศัยอยู่กับคากามิคุง แต่ก็ไม่น่าจะรู้ไปถึงเรื่องวันหยุดได้เลยนี่นา

    “อ๋อ เมื่อวานเจอกันที่ซุปเปอร์น่ะ”

    ถึงคุโรโกะจะไม่ได้เอ่ยปากถามออกไป แต่บ่อยครั้งที่คุณครูผู้สูงวัยคนนี้มักจะเข้าใจคำถามที่อยู่ในใจของเขาเสมอ นับว่าเป็นเจ้านายที่ทำงานด้วยแล้ว สบายใจเป็นที่สุด

    “ไปเถอะ”

    ครั้งนี้คุโรโกะโค้งให้แทนคำขอบคุณและคำเอ่ยลา ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อจากชุดเครื่องแบบเป็นชุดธรรมดา เพื่อกลับบ้าน แม้ว่าระยะทางจะเท่าเดิมและเป็นช่วงเวลาเดิม แต่การกลับบ้านเฉยๆ กับกลับบ้านโดยที่รู้ว่ามีคนรอเราอยู่นั้น มันข่างแตกต่างกันมากมายเหลือเกิน ส่วนลึกๆในใจรู้สึกอยากวิ่งมากกว่าเดิน แต่ถ้าทำอย่างนั้น มีหวังหมดแรงก่อนจะถึงบ้านแน่ๆ

    “กลับมาแล้วครับ”

    “อ้าว กลับมาแล้วเหรอ”

    คากามิอยู่ในชุดอยู่บ้านสบายๆ ในมือถือชามอะไรสักอย่าง ดูท่าทางคงจะกำลังเตรียมอาหารอยู่ จะว่าไป ครั้งสุดท้ายที่มีโอกาสได้กินอาหารของคากามิคุงก็นานมากแล้ว เพราะอีกฝ่ายนั้นมีงานรัดตัวอยู่ตลอดเวลา น้อยครั้งนักที่จะมีเวลาว่างสบายๆมานั่งทำอาหารแบบนี้

    “ทำอาหารอยู่เหรอครับ”

    “วันนี้เป็นสตูว์นะ”

    ที่จริงอยากเอ่ยปากบอกว่า มีวันหยุดทั้งที น่าจะพักให้สบายๆ ไม่น่าต้องมานั่งทำนู้นทำนี่ให้เหนื่อยเลย แต่ไม่พูดออกไปจะดีกว่า อุตส่าห์ตั้งใจทำขนาดนั้นแล้ว ที่สำคัญอาหารที่ซื้อเข้ามา ก็คงไม่อร่อยถูกปาก เท่ากับทำเองล่ะมั้ง

    “ไปล้างหน้าล้างมือก่อนนะ”

    “แล้วมากินข้าวกัน”

    ถ้าลองพูดแบบนี้ แสดงว่า ไอ้ชามที่ถืออยู่ในมือนั่น คือข้าวเช้าที่กำลังเตรียมอยู่สินะ แสดงว่า วันนี้ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตน่าจะมีอะไรลดราคาเป็นพิเศษ ไม่ก็ คงเบื่ออาหารนอกบ้านเต็มที มีเวลาก็เลยทำเต็มที่เสียหน่อย

    “คากามิคุง”

    เสียงเรียกชื่อทำให้คนที่กำลังจะกลับเข้าไปในครัวชะงัก พอเห็นเขากวักมือเรียกให้เดินเข้ามาหา ก็ยอมเดินมาแต่โดยดี แถมยังรู้ด้วยอีกว่า เขาคิดอะไรอยู่ เพราะเจ้าตัวยอมโน้มตัวลงมา ให้เขาสัมผัสเบาๆที่แก้ม

    “ไปล้างมือได้แล้ว”

    คนตรงหน้าพูดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหายกลับเข้าไปในครัว พร้อมกับหน้าแดงสุกยังกับลูกมะเขือเทศ ใจจริงอยากจะแกล้งให้มากกว่านี้สักหน่อย แต่เก็บเอาไว้คืนนี้ค่อยรวบยอดทีเดียวจะดีกว่า

    พอคุโรโกะล้างหน้าล้างมือเสร็จ ก็พบว่าบนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารมากมายหลายชนิด จนคนที่มาเห็นอาจจะคิดว่า บ้านนี้กำลังจัดปาร์ตี้เลี้ยงฉลองอะไรสักอย่าง แต่อย่างว่าแหละ คากามิคุงเป็นคนกินจุ ถ้าไม่ทำเยอะขนาดนี้ คงกินไม่อิ่มแน่ๆ

    “นายก็กินเยอะๆหน่อยนะ”

    ตัวเขาเองได้ชื่อว่า เป็นคนกินน้อย จนทำให้คนทำอาหารนึกกังวลอยู่เสมอ กลัวว่าอาหารที่ทำจะไม่ถูกปาก ไม่อร่อย ถึงได้กินน้อยขนาดนี้ แต่ที่จริงอาหารของคากามิคุงอร่อยมาก และเขาก็เจริญอาหารมากกว่าที่กินปกติทั่วไปหลายเท่า เพียงแต่มันคงยังไม่เป็นที่พอใจของคากามิคุง

    “พรุ่งนี้ ต้องไปกี่โมงครับ”

    “เห็นหัวหน้าว่า หยุดได้อีกวันนะ”

    คากามิคุงทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ดับเพลิง ต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเข้ากะ ด้วยความที่จำนวนพนักงานมีน้อย จึงทำงานกันแบบแทบไม่มีวันหยุด แถมเจ้าตัวเป็นคนขี้สงสาร ก็เลยยอมอยู่เย็น ไม่ก็เข้ากะดึกให้กับพนักงานที่มีครอบครัวแล้วอยู่เสมอ จนเป็นที่รักใคร่ของทุกคน

    เป็นที่รักของทุกคนมันก็ดีอยู่หรอก...แต่ทำแบบนี้บ่อยๆก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ...

    ถึงจะย้ายมาอยู่ด้วยกันก็จริง แต่ช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันนั้นมีน้อยนิดเหลือเกิน คุโรโกะต้องทำงานเป็นเวลา ต้องออกจากบ้านแต่เช้า ในขณะที่ หากคากามิเข้ากะดึก ก็จะไม่กลับบ้านจนกว่าจะเช้า ตารางเวลาของทั้งสองคนจึงสวนกันไปมาอยู่เสมอ บางครั้งคุโรโกะก็อดคิดไม่ได้ว่า จะย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันเพื่ออะไร ?

    “วันนี้ทำงานเป็นไงบ้าง”

    “ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษครับ”

    ใครจะไปคิดว่า คนหน้านิ่งอย่างคุโรโกะจะเหมาะกับงานดูแลเด็ก ครั้งแรกที่คุณครูอาโอกิชวนให้ไปทำงานด้วยกัน เขาเองยังรู้สึกแปลกใจและไม่มั่นใจว่าจะทำได้ดีหรือเปล่า แต่พอเวลาผ่านไป งานนี้กับเหมาะกับเขาอย่างไม่น่าเชื่อ

    “เมื่อวันก่อน เจอคุณครูอาโอกิที่ซุปเปอร์”

    “แกให้สูตรเด็ดมาด้วย เดี๋ยวจะทำให้กินพรุ่งนี้นะ เชื่อฝีมือได้เลย”

    คากามิคุงยกนิ้วโป้งขึ้น เป็นสัญญาณว่า มั่นใจแบบสุดๆ ที่จริงตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา ผมยังไม่เคยเห็นคากามิคุงทำอะไรที่ไม่อร่อยเลยสักครั้ง มีแค่ระดับอร่อย อร่อยมาก แล้วก็อร่อยจนบรรยายไม่ถูกเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นจะมีสูตรเด็ดหรือไม่มี ผมก็ไม่เคยสนใจเลยสักครั้ง

    “มีอะไรอยากกินหรือเปล่าล่ะ ?”

    “อนุญาตให้รีเควสได้หนึ่งอย่าง”

    “ผมอยากกินคากามิคุง”

    คุโรโกะมองคนตรงหน้าสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะเสหลบตา แกล้งทำเหมือนมองออกไปนอกหน้าต่าง ใบหน้านั้นเริ่มมีสีเลือดปรากฏขึ้นจางๆ เขาจึงตัดสินใจยันตัวขึ้น แล้วบรรจงกัดลงไปบนใบหูนั้นเบาๆ เพียงแค่นั้นคากามิคุงรีบเอามือปิดหูตัวเอง ใบหน้านั้นเปลี่ยนจากสีชมพูจางๆ กลายเป็นสีแดงแปร๊ด

    “กินวันนี้เลยได้ไหมครับ ?”

    คุโรโกะถือหลักว่า เมื่อตัดสินใจทำอะไรแล้วต้องทำให้ถึงที่สุด ในเมื่อบอกออกไปแล้วว่าตัวเองต้องการอะไร ก็ไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปได้ ยิ่งถ้าพรุ่งนี้หยุดด้วยแล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

    “ฉันหมายถึงอาหาร”

    “ผมรู้ครับ”

    เขายกมือของคนตรงหน้าขึ้นมาจูบ มือที่ใหญ่โตและเต็มไปด้วยรอยด้านจากการทำงาน แต่เป็นมือที่เขารักยิ่งกว่าอะไร คุโรโกะไล่จูบไปตามข้อนิ้ว บางครั้งก็เผลอใช้ปลายลิ้นสัมผัส ทำเอาเจ้าของมือสั่นสะท้าน แต่ก็ไม่อาจหักหาญน้ำใจดึงมือกลับมาได้

    “นะครับ..”

    “ให้ผมนะครับ คากามิคุง...”

    แน่นอนว่า คำขอร้องของคุโรโกะไม่ได้จบแค่มือ แต่รุกล้ำเข้าไปในส่วนลึกของเสื้อผ้า ค่อยๆปลดกระดุมและใช้มือไล้ไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย คากามิหลับตาแน่นด้วยความอาย แม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่กริยาที่อีกฝ่ายแสดงออกมา ยิ่งทำให้เขารู้สึกอยากแกล้งมากขึ้นเรื่อยๆ

    ลิ้นที่สอดลึกเข้าไปในในโพรงปาก เป็นเหมือนคำบอกรักที่ไร้เสียง คำว่ารักนั้นแสนสั้น ผู้คนต่างก็พูดกันอย่างง่ายดาย แต่ไม่ใช่สำหรับคุโรโกะ เขารู้สึกว่า คำคำนี้ช่างแสนหนัก เพราะมันอัดแน่นไปด้วยความรู้สึก หากไม่พูดออกไปด้วยความรู้สึก มันคงจะง่ายดาย แต่กลับคนที่มีความหมายจริงๆ ย่อมไม่อาจเอ่ยออกไปได้ง่ายๆ

    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นเสียงที่คุโรโกะเกลียดที่สุด เพราะทั้งคู่รู้ดีว่า เสียงนี้โทรมาจากที่ทำงานของคากามิคุง แม้จะดื้อดึงเพียงใด แต่คุโรโกะย่อมรู้ดีว่า เวลาไหนเป็นเวลาที่ควรถอย เขาดึงมือกลับ แล้วเฝ้ามองคากามิคุงเดินไปรับโทรศัพท์ เป็นดังที่คิดเอาไว้ ที่ทำงานโทรมาเรียกตัวด่วน

    “ขอโทษทีนะ คุโรโกะ”

    นั่นคือคำพูดสุดท้าย ก่อนที่คากามิคุงจะรีบออกจากบ้านไป คุโรโกะมองประตูบ้านที่ปิดลง แล้วกลับมานั่งที่เดิม อาหารบนโต๊ะนั้นมากมายมหาศาล ไม่มีทางที่เขาจะกินคนเดียวได้หมด แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือ เขาไม่อยากอาหารเลยสักนิด การต้องมานั่งกินอาหารที่คากามิคุงทำเพียงลำพังนั้น ทำให้ต่อมรับรสไม่ทำงาน ถึงจะรู้ดีว่า มันอร่อยแค่ไหน แต่ไม่สามารถทำใจกลืนมันลงไปได้เลย

    สุดท้ายคุโรโกะก็เก็บอาหารทั้งหมดลงกล่อง...เข้าตู้เย็นไป...

    โดยไม่ได้แตะต้องเลย...แม้แต่คำเดียว...

    ++++++++++

    วันนี้คงเป็นยามเช้าที่สดใสสำหรับใครหลายๆคน เพราะท้องฟ้านั้นปลอดโปร่ง ไร้ซึ่งหมู่เมฆที่มาบดบังดวงอาทิตย์ แสงแดดนั้นอบอุ่นกำลังดี เหมาะแก่การเอาเสื้อผ้าออกมาตาก ในเวลาที่อากาศแจ่มใส จิตใจของมนุษย์ก็จะแจ่มใสตามไปด้วย โดยทั่วไป คุโรโกะก็รู้สึกอย่างนั้นแหละ ในวันที่มีแสงแดดอบอุ่น ก็จะรู้สึกว่า วันนี้มีชีวิตชีวามากกว่า วันที่อากาศหนาวเย็น แต่ทว่าเช้านี้ แตกต่างออกไปจากวันอื่น เขาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกปวดหัวตุบๆ คงเพราะนอนหลับไม่สนิท

    พอเดินออกมาจากห้องนอน สิ่งแรกที่มองหาคือร่างของใครบางคนที่อาจกลับมาแล้วนอนแผ่หลาอยู่ในแถวทางเดินด้วยความเหนื่อย หรืออาจกำลังสาละวนทำอะไรสักอย่างอยู่ในครัว แต่กลับไม่มีเลย บ้านทั้งบ้านเงียบสนิท มีเขาอยู่เพียงลำพัง เสียงฝีเท้าของตัวเองนั้น สะท้อนก้องกังวานไปทั่ว ในยามปกติไม่เคยรู้สึกว่า มันเป็นเสียงที่อ้างว้างขนาดนี้เลย

    เมื่ออาบน้ำ แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินไปยังห้องครัว เปิดตู้เย็นเพื่อมองหาว่ามีอะไรกินบ้าง พอเห็นกับข้าวเมื่อคืนที่ยัดอยู่เต็มจนแทบจะล้นออกมา ความอยากอาหารก็ยิ่งลดลงจนเหลือศูนย์ คุโรโกะจึงแค่ดื่มน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว แล้วเตรียมตัวออกไปทำงาน

    ในตอนที่ใส่รองเท้าอยู่นั้น เขาได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ถ้าเป็นตามปกติเขาคงไม่สนใจ เพราะได้เวลาออกจากบ้านแล้ว หากใครมีธุระสำคัญ ก็คงโทรเข้าโทรศัพท์มือถือเองนั่นแหละ แต่วันนี้แตกต่างออกไป ความกังวลใจแปลกๆยังบิดมวนอยู่ในตัวเขา แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่คากามิคุงถูกเรียกออกไปตอนดึก แม้เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาก็ยังคงรู้สึกกังวลและไม่เคยสามารถหลับสนิทได้เลยสักครั้ง

    “ฮัลโหล”

    “คุโรโกะเหรอ ?”

    อยากให้เป็นเสียงของคากามิคุงแทบขาดใจ แต่กลับไม่ใช่ เป็นเสียงของใครคนหนึ่งที่คุ้นเคย แม้จะยังนึกไม่ออกในทันทีว่าเป็นใคร แต่ก็มั่นใจว่า รู้จักแน่นอน

    “ฉันเอง โคซากิ”

    อ๋อ คุณโคซากินั่นเอง คุณโคซากิเป็นเพื่อนร่วมงานของคากามิคุง เป็นคนที่คากามิคุง มักไปอยู่เวรดึกให้แทนอยู่เสมอ เพราะภรรยาของคุณโคซากิเสียไปแล้ว จึงต้องดูแลลูกเพียงลำพัง เจ้าตัวดูจะเกรงอกเกรงใจบ้านเขาอยู่มาก แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกเหนือจากยอมรับน้ำใจที่คากามิคุงเสนอให้ เพราะฉะนั้นคุณโคซากิจึงมักจะส่งของกินของฝากมาให้อยู่เสมอ

    “ตั้งใจฟังให้ดีนะ ตั้งสติให้ดีๆ”

    “ตอนนี้คากามิอยู่โรงพยาบาล...”

    การเข้าออกโรงพยาบาลอาจจะไม่ใช่เรื่องน่าตกใจสำหรับอาชีพพนักงานดับเพลิง พวกเขามักจะได้แผลไฟไหม้เล็กๆน้อยๆ เป็นของแถมจากการปฏิบัติงาน คากามิคุงเองก็ชอบเอาแผลมาอวดเขา ยิ่งเป็นแผลใหญ่ก็ยิ่งเอามาโชว์ เหมือนเป็นเรื่องขำขัน ทั้งที่มันไม่ตลกเลยสักนิด แสดงให้เห็นว่าการได้แผลนั้น กลายเป็นเรื่องปกติเสียยิ่งกว่าปกติ สำหรับคนทำอาชีพนี้ ไม่มีความจำเป็นอะไรจะต้องโทรศัพท์มาบอก นอกเสียจากว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมันร้ายแรงยิ่งกว่านั้น

    “คากามิเขา...”

    คำพูดของคุณโคซากะทำให้ทุกอย่างอื้ออึงไปหมด ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความสับสน นั่นเป็นสิ่งที่เขากลัวมาตลอด นับตั้งแต่คากามิคุงบอกว่า จะไปเป็นนักผจญเพลิง เป็นสิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุด แต่ก็ไม่อาจออกปากห้ามคนคนนั้นได้ เพราะมันคือความฝัน ความฝันที่คนคนนั้นมีชีวิตที่สดใสและเปล่งประกายยิ่งกว่าใครๆ

    “ช่วยรีบมาหน่อยนะ คุโรโกะ”

    “ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้”

    แค่ควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นก็ยังยาก ถึงจะทำใจไว้แล้วว่า สักวันเรื่องแบบนี้ก็ต้องเกิดขึ้น แต่พอมันเกิดขึ้นจริงๆแล้ว รู้สึกว่าตัวเองสั่นไปหมด ไม่ใช่ในความหมายของร่างกาย สิ่งที่กำลังสั่นไหวนั้นคือ ตัวตนที่อยู่ภายในต่างหาก เหมือนแกนทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นคุโรโกะ เท็ตสึยะกำลังสั่นคลอนและใกล้จะพังทลายลง

    ++++++++++

    คุโรโกะมองร่างของคนที่นอนอยู่บนเตียง ที่จริงก็ไม่ต่างจากตอนนอนหลับบนโซฟาในห้องนั่งเล่นเท่าไรนัก ถ้าแขนขาไม่มีผ้าพันแผลสีขาวอยู่เต็มไปหมด จากการคุยกับแพทย์เจ้าของไข้ ดูเหมือนบาดแผลจะไม่ร้ายแรงเท่าไรนัก ถึงบาดแผลจะกว้าง แต่ก็ไม่ลึก อาการดูคงที่ ไม่น่ามีอันตรายถึงชีวิต ตอนนี้รอเพียงแค่อย่างเดียว

    ...รอให้ฟื้นขึ้นมา...

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คากามิคุงต้องอยู่โรงพยาบาล แต่ปกติเป็นแค่การนอนดูอาการหนึ่งคืนแล้วก็กลับ แถมยังได้รับแจ้งข่าวเอาตอนเย็นๆค่ำๆทุกที เพื่อนร่วมงานหลายคนเคยกระซิบบอกว่า มันเกรงใจ ต้องรอเวลาเลิกงานก่อน ถึงจะยอมให้โทรหา ขืนแอบโทรไปบอกนายก่อน ฉันก็โดนโกรธเอาสิ แต่วันนี้ต่างออกไป เพราะคนป่วยไม่ฟื้นขึ้นมา ทางคุณหมอจึงให้โทรตามญาติมาคุยกันเรื่องอาการ ซึ่งครอบครัวเพียงคนเดียวของคากามิคุงนั้น อยู่ต่างประเทศ จะให้โทรตามมาทันทีก็คงไม่ได้ ก็คงต้องเป็นเขาที่แม้ไม่ได้เกี่ยวพันทางสายเลือดก็จริงอยู่ แต่ก็คงพอจะเรียกว่า ครอบครัวได้เหมือนกัน

    “วิ่งเข้าไปช่วยเด็กน่ะ”

    “มุทะลุเหมือนเคย”

    “ห้ามแล้วก็ไม่ฟัง”

    “ก็มันงี่เง่านี่นะ”

    ทั้งหมดคือคำวิพากษ์วิจารณ์จากเพื่อนร่วมงานซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ดูเหมือนเมื่อวานไฟจะโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง ทุกคนพยายามฉีดน้ำเลี้ยง ไม่ให้ลุกลาม แต่ตอนนั้นลมค่อนข้างพัดแรง ไฟจึงไม่มีทีท่าว่าจะดับลงง่ายๆ แล้วอยู่ๆก็มีเด็กน้อยโผล่หน้าออกมาจากชั้นสอง ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคนที่ไม่คิดว่า จะมีใครเหลืออยู่ในนั้น ยังไม่ทันที่ใครจะคิดวางแผนหรือคิดจะทำอะไร คากามิก็วิ่งเข้าไปในนั้น โดยไม่ฟังเสียงทัดทานของใครสักคน

    “แต่ก็สมกับเป็นคากามิล่ะนะ”

    ถึงจะโดนด่าว่าโง่ ว่าบ้าอย่างไร นั่นก็คือคำด่าด้วยความรักและความเป็นห่วงของเพื่อนร่วมงานทุกคน หากยังใช้ชีวิตแบบไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนี้ สักวันอาจจะไม่โชคดีอย่างวันนี้ก็ได้

    “ตอนมันถล่มลงมา ฉันทำอะไรไม่ถูกเลย”

    “ใช่ดิ ฉันต้องเดินไปตบกะโหลก นายค่อยขยับ”

    หลังจากที่สามารถเข้าถึงตัวเด็กน้อยได้แล้ว คากามิก็รีบวิ่งกลับลงมา ในตอนนั้นไฟได้ทำลายโครงสร้างของอาคารไปมากพอสมควรแล้ว จึงมีส่วนของเพดานร่วงลงมา บรรดานักดับเพลิงเร่งฉีดน้ำแล้วเข้าไปช่วยเหลือ โชคยังดีที่เศษซากที่ตกลงมานั้นมีจำนวนไม่มากเท่าไรนัก จึงสามารถช่วยเหลือออกมาได้ทัน ก่อนเปลวไฟจะลามมาถึง

    “เห็นหมอบอกว่า ที่ยังไม่ฟื้น คงเพราะโดนกระแทกที่ศีรษะน่ะครับ”

    “มันขี้เกียจ เลยไม่อยากตื่นมากกว่า”

    “เอาชีสเบอร์เกอร์มาห้อยไว้ อาจจะละเมองับก็ได้นะ”

    แม้จะหัวเราะกันอย่างร่าเริง แต่คุโรโกะก็รู้ดีว่า นั่นเป็นเพียงแค่การกลบเกลื่อนความกังวล และทำให้บรรยากาศดีขึ้นเท่านั้น แท้ที่จริงแล้วทุกคนต่างรู้สึกเป็นห่วงคนที่ยังนอนอยู่บนเตียง ไม่ยอมลืมตาขึ้นมาเสียที

    “งั้นพวกเรากลับกันก่อนนะ คุโรโกะ ฝากไอ้บ้านั่นด้วย”

    “อย่าให้มันปีนหนีออกจากโรงพยาบาลล่ะ”

    “มัดมันไว้เลยนะ”

    หลังจากทุกคนกลับไปกันหมดแล้ว ห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ เงียบเสียจนคุโรโกะรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของลมหายใจ เขาค่อยๆพิจารณาคนที่นอนอยู่ตรงหน้าอีกครั้งอย่างตั้งใจ ครั้งนี้เปลวไฟได้ละเว้นส่วนของใบหน้าเอาไว้ แม้ผมจะไหม้เล็กน้อย แต่แทบไม่มีรอยแผลบนใบหน้าเลย ส่วนแขนขานี่ไม่ต้องพูดถึง ทั้งหมดถูกห่อหุ้มด้วยผ้าสีขาว ส่วนลำตัวนั้น เท่าที่มองลอดช่องว่างระหว่างเสื้อผ้าเข้าไป ก็เห็นผ้าพันแผลสีขาวอยู่บ้าง แต่จากปากคำของคุณหมอ ดูเหมือนจะรุนแรงน้อยกว่าบริเวณแขนขา

    เขาไม่เคยได้พิจารณาใบหน้ายามหลับของคากามิคุงเลยสักครั้ง เพราะนอกจากเจ้าตัวจะมีนิสัยตื่นเช้าแล้ว ยังเป็นคนตื่นไว ทั้งที่ไม่ได้ทำเสียงอะไรแท้ๆ แต่ถ้านั่งจ้องมองพิจารณาใบหน้านั้นสักพัก เป็นอันต้องตื่นขึ้นมาทุกที แถมยังเหมือนจะรู้ด้วยว่า เขากำลังจ้องมองอยู่

    คุโรโกะ กี่โมงแล้ว...

    เป็นคำพูดที่ได้ยินอยู่เสมอ ตอนที่คากามิคุงกำลังงัวเงีย ขยี้ตาตัวเองตอนเพิ่งตื่นนอน น่าแปลกที่ตอนนี้ เขาเหมือนกำลังรอคอยให้คนตรงหน้าตื่นขึ้นมาพูดคำคำนั้น ทั้งที่ปกติจะต้องรู้สึกเสียดายทุกครั้ง ที่ไม่ได้มองใบหน้ายามหลับนั้นให้นานอีกนิด

    ทุกอย่างเงียบสงบเสียจนน่ากลัว ร่างบนเตียงนั้นแทบไม่ไหวติง จนหัวใจของเขารู้สึกกังวลว่า วิญญาณของคนที่เขารักนั้นยังอยู่ที่นี่ ยังไม่ไปที่ไหนใช่ไหม เขากลัวเหลือเกินว่า คนตรงหน้าจะไม่มีวันลืมตาขึ้นมา กลัวว่าตัวเองจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มที่สดใสนั้นอีก กลัวเหลือเกินที่ต่อไปนั้น...จะต้องอยู่เพียงลำพัง...

    เขารู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่หยดลงบนหลังมือ แล้วก็เพิ่งรู้สึกตัวว่า น้ำตาของตัวเองไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เพียงแค่จินตนาการถึงอนาคตซึ่งไม่มีคนคนนี้ ความอ้างว้างก็เข้าถาโถมจิตใจจนต้องหลั่งน้ำตา

    “คากามิคุง...”

    เสียงกระซิบเรียกชื่อนั้นแผ่วเบาและแหบแห้ง เพราะความกลัวนั้นกัดกินเข้าไปจนส่วนลึกของจิตใจ ช่วยตื่นขึ้นมาทีเถอะครับ แล้วเรียกชื่อผม ช่วยบอกผมทีว่า เรื่องที่ผมกังวลนั้นมันไร้สาระเสียจนน่าหัวเราะ ช่วยยิ้มเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เพื่อปัดเป่าความเศร้าหมองทั้งหมดออกไป

    ...ได้โปรดเถอะครับ...คากามิคุง...

    ไม่รู้ว่า เพราะคำวิงวอนหรือเสียงเรียกของเขาหรือเปล่า ดวงตาที่เคยปิดสนิทนั้นจึงค่อยๆเปิดขึ้นอย่างช้าๆ น้ำเสียงแหบแห้งที่ลอดผ่านลำคอออกมานั้น เป็นคำพูดที่แสนคุ้นเคย คำพูดที่เขาได้ยินอยู่เสมอ

    “คุโรโกะ กี่โมงแล้ว”

    หลังจากแจ้งพยาบาลให้ทราบ หมอก็เข้ามาตรวจอาการอีกเล็กน้อย ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดี ดูอาการให้บาดแผลดีขึ้นอีกสักนิด ก็คงกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ ไม่น่ามีปัญหาอะไร

    พอรู้ข่าว่า คากามิฟื้น ก๊วนนักผจญเพลิงที่เพิ่งกลับไปไม่นาน ก็ยกขบวนกันมาเยี่ยมอีกรอบ ห้องพักจึงเต็มไปด้วยเสียงฮาเฮและความสนุกสนานเช่นเดิม แต่ละคนหอบหิ้วเอาของกินมาด้วยมากมาย เพราะรู้ดีว่า คนป่วยเป็นคนกินจุเสียจนถ้าแพ้พนันต้องเลี้ยงข้าวแล้วล่ะก็ จะต้องหมดตัวอย่างแน่นอน

    “ทำให้คนอื่นเป็นห่วงอยู่เรื่อยนะ”

    “ใช่ๆ คุโรโกะนี่น่าสงสารเป็นบ้าเลย”

    “ทำอะไรใช้หัวคิดหน่อยสิ”

    คำบ่นคำด่านั้น เป็นคำพูดที่ไม่ใช่การตำหนิอย่างจริงจัง มันเต็มไปด้วยความยินดีที่เห็นคนตรงหน้าปลอดภัยต่างหาก คุโรโกะมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกเป็นสุข รอบตัวของคากามิคุงนั้น มักเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม เป็นสถานที่ที่อยู่แล้วช่างมีความสุขเหลือเกิน

    มีความสุข...จนนึกหวาดหวั่น...หากต้องเสียมันไป...

    ++++++++++

    ในช่วงแรกของการกลับมาพักฟื้นที่บ้าน คุโรโกะไม่ยอมให้คากามิทำอะไรทั้งนั้น นอกจากนั่งๆนอนๆ ซึ่งตอนแรกคนเจ็บก็ยอมแต่โดยดี แต่พอเวลาผ่านไปสักพักก็ทำนู้นทำนี่ อย่างเก็บกวาดบ้าน ทำอาหาร แน่นอนว่าคุโรโกะออกปากห้าม แต่ก็ไม่อาจห้ามได้ เพราะคากามิบอกว่า เบื่อรสชาติของอาหารที่ซื้อมา อยากทำกินเองมากกว่า เนื่องด้วยคุโรโกะ เท็ตสึยะมีความสามารถในการทำอาหารเป็นศูนย์ จึงต้องจำยอมให้คนเจ็บลุกขึ้นมาเตรียมนั่นเตรียมนี่ โชคยังดีที่ไม่ดื้อออกไปซื้อวัตถุดิบเอง แต่เขียนลิสต์ยาวเป็นหางว่าวให้เขาไปซื้อมาให้

    “กลับก่อนนะครับ”

    “ไปดีมาดีนะ”

    ช่วงนี้คุณครูคุโรโกะกลับบ้านเร็วเกือบทุกวัน ถ้าไม่ติดงานจริงๆ พอถึงเวลาเลิกงาน ก็จะรีบไปลาคุณครูอาโอกิ แล้วตรงดิ่งไปยังซุปเปอร์มาร์เกต เพื่อซื้อของตามรายการ ในช่วงหลังๆ คากามิเริ่มสอนให้เขาดูราคาข้าวของว่าอันไหนถูกอันไหนแพง ถ้ามีวัตถุดิบที่ถูก ก็ให้ซื้อเอาไว้ก่อน ถ้าของในรายการมันแพง ก็อาจจะต้องตัดทิ้งไปบ้าง แล้วเปลี่ยนแปลงเมนูอาหารแทน ช่วงแรกๆคุโรโกะก็มึนๆกับราคาและวิธีการเลือกวัตถุดิบ แต่พอผ่านไปสักพัก ก็พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง

    “กลับมาแล้ว”

    เมื่อก่อนนั้น แทบจะไม่ได้พูดคำคำนี้เลย เพราะมักจะกลับมาเจอบ้านที่ว่างเปล่า แต่ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาประโยคนี้ทุกครั้งที่ก้าวเข้าบ้าน แล้วก็จะเห็นใครคนหนึ่งโผล่ออกมาจากครัว ยิ้มให้เขา แล้วก็เอ่ยตอบคำต้อนรับกลับบ้าน สิ่งที่ตามมาก็คือ สัมผัสเบาๆที่แก้ม ซึ่งกลายมาเป็นธรมเนียมว่า เมื่อเขามาถึงบ้าน จะต้องได้รับจูบต้อนรับกลับบ้านที่แก้ม แน่นอนว่า คนอย่างคากามิคุงไม่อยู่ดีๆนึกอยากจะหวานขึ้นมาหรอก แต่เป็นเพราะเขาอารมณ์บูดทุกครั้งที่กลับมาแล้วเห็นคากามิคุงทำนั่นทำนี่อยู่ในบ้าน ซึ่งคากามิคุงก็แก้ปัญหาด้วยการจูบเบาๆแทนการง้องอน แทนคำขอโทษ เพื่อทำให้หายอารมณ์เสีย ไปๆมาๆ ก็เลยกลายเป็นธรรมเนียมว่า เมื่อเขามาถึงบ้าน จะต้องมีจูบเบาๆที่แก้มเป็นการต้อนรับ

    “วันนี้หัวผักกาดถูกมาก”

    “งั้นเหรอ เอามาทำอะไรดีนะ”

    พวกเขาพูดคุยกันด้วยบทสนทนาแบบนี้ทุกวัน แต่น่าแปลกที่ไม่รู้สึกเบื่อเลยสักนิด กลับรู้สึกชอบด้วยซ้ำ เหมือนชีวิตลื่นไหลดำเนินไปอย่างที่มันควรจะเป็น ทั้งสงบและเรียบง่าย รู้สึกมีความสุขและอบอุ่นหัวใจเหลือเกิน

    “ไปอาบน้ำ ล้างหน้า ล้างมือก่อนไป”

    คุโรโกะทำตามอย่างว่าง่าย ในตอนที่ตั้งใจจะเข้าไปเอาเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยน เขาก็เหลือบไปเห็นชุดเครื่องแบบของคากามิคุงถูกแขวนอยู่ ดูแว่บเดียวก็รู้ว่าเป็นชุดใหม่ เพราะชุดทั้งหมดที่อยู่ในตู้นั้น ไม่มีทางสะอาดเอี่ยมอ่องไร้รอยขีดข่วนอย่างนี้แน่นอน

    จิตใจของคุโรโกะ เท็ตสึยะกำลังสั่นไหว...

    การที่ได้รับเครื่องแบบใหม่มานั้น มันคือสัญญาณบ่งบอกว่า ช่วงเวลาอันแสนสงบสุขนี้กำลังจะจบลงใช่หรือเปล่า คากามิคุงเองก็หยุดงานมาเป็นเวลานาน บาดแผลเกือบจะหายดีทั้งหมดแล้ว เจ้าตัวเองก็ยังบ่นว่า เบื่อการอยู่บ้านเฉยๆ ถึงจะรู้ดีว่า สักวันคากามิคุงก็ต้องกลับไปทำงาน แต่พอถึงเวลาจริงๆ กลับรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

    คุโรโกะเอื้อมมือไปแตะเครื่องแบบนั้น รู้สึกเหมือนปลายนิ้วตัวเองชา ราวกับว่าร่างกายไม่อยากสัมผัสสิ่งนี้ ไม่อยากยอมรับความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป เหมือนอะไรในตัวกำลังปริแตก ความกลัวที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้กำลังไหลล้นออกมา

    ...ไหลล้น...จนท่วมท้นอยู่เต็มจิตใจ...

    ++++++++++

    แม้ว่าปกติคุโรโกะจะเป็นคนกินน้อยอยู่แล้ว แต่วันนี้เขาแทบไม่แตะต้องอาหารเลยสักนิด จนคากามิคุงต้องเอ่ยปากถาม

    “เป็นอะไรหรือเปล่า ?”

    “คากามิคุง...”

    ภายในใจนั้นมีข้อขัดแย้งมากมาย ไม่รู้ว่าควรจะพูดออกไปดีหรือไม่พูดออกไปดี ถึงความกังวลที่อยู่ในใจ ถึงความสับสนที่ไม่รู้จะจัดการอย่างไร ถึงความกลัวที่แทบจะทำให้หยุดหายใจ อาชีพนักดับเพลิงนั้นเป็นงานที่เสี่ยงอันตราย แต่ก็เป็นงานที่คากามิคุงรักและเลือกที่ทำ เป็นงานที่เจ้าตัวมักพูดถึงด้วยรอยยิ้มและดวงตาที่สดใสร่าเริง

    เขาจะพูดได้อย่างไร...ว่าเขาเกลียดมัน...

    เขาเกลียดค่ำคืนที่โทรศัพท์ดังขึ้น แล้วอีกฝ่ายต้องรีบเร่งออกไปเพื่อทำงาน เขาเกลียดค่ำคืนที่ตัวเองต้องภาวนาขอให้อีกฝ่ายปลอดภัยกลับมา เขาเกลียดค่ำคืนที่ต้องนอนหลับอยู่เพียงลำพังบนเตียงกว้างจนถึงรุ่งเช้า

    เขาเกลียดเช้าที่ต้องตื่นขึ้นมาในบ้านที่ว่างเปล่า เขาเกลียดเช้าที่ไม่มีกลิ่นอาหารหอมกรุ่นจากในครัว เขาเกลียดเช้าที่เงียบสงัด ไม่ได้ยินเสียงพูดของใคร เหมือนกับเขาอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้

    แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นทำนองที่คุโรโกะรู้จักเป็นอย่างดี เสียงเรียกเข้าแบบนี้ไม่ได้ดังขึ้นมาหลายสัปดาห์แล้ว แต่ตอนนี้มันกำลังดังไม่หยุด คากามิเอื้อมมือจะไปรับโทรศัพท์ แต่ถูกคุโรโกะคว้ามือเอาไว้เสียก่อน

    “อย่ารับนะครับ...”

    “หา ?”

    “ได้โปรดอย่ารับนะครับ”

    ถึงปกติคากามิคุงจะเป็นคนหัวช้าและไม่ค่อยเข้าใจอะไรสักเท่าไร แต่ดูเหมือนครั้งนี้ชายหนุ่มจะเข้าใจสิ่งที่เขาอยากบอกโดยไม่ต้องเอ่ยออกมาเป็นคำพูด จูบเบาๆที่หน้าผากนั้นแสนอ่อนโยน เหมือนต้องการจะปลอบโยนเขา แล้วค่อยๆดึงมือออก เพื่อเอื้อมไปรับโทรศัพท์

    “อืม เข้าใจแล้ว”

    “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร สบายมาก”

    “จะไปเดี๋ยวนี้”

    คำพูดนั้นทำเอาคุโรโกะสะดุ้งพอสมควร ถึงจะรู้อยู่แล้วก็เถอะว่า โทรศัพท์นั้นเป็นเสียงเรียกข้าวของที่ทำงาน แต่ในใจก็ยังภาวนาให้ไม่ใช่เรื่องด่วน เขาไม่อยากให้คากามิคุงไปทำงานที่เสี่ยงอันตรายอีก อย่างน้อยจนครบวันหยุดที่ได้รับมาก็ยังดี พอเจ้าตัววางโทรศัพท์ คุโรโกะก็ตั้งใจจะคว้าตัวเอาไว้ แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนใจ

    “ไปก่อนนะ คุโรโกะ”

    รอยยิ้มของคากามิคุงนั้น ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด ทุกครั้งที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ถึงแม้จะต้องทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างก็จะทำ ทั้งที่เป็นเรื่องเสี่ยงอันตรายแท้ๆ แต่กลับยิ้มได้สดใส เหมือนกับตอนที่เล่นบาสเก็ตบอลด้วยกัน แล้วเขาจะออกปากห้ามได้อย่างไร ในเมื่ออีกฝ่ายยิ้มได้สดใสถึงเพียงนั้น

    “งั้นก็...”

    “ไปดีมาดีนะครับ”

    แต่ละคำนั้นผ่านปลายลิ้นออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบภายในใจ พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกของตัวเองไม่ให้เอื้อมมือไปคว้าตัวอีกฝ่ายเอาไว้ ได้แต่มองแผ่นหลังที่วิ่งออกไปทางประตูหน้า จนกระทั่งได้ยินเสียงปิดประตู คุโรโกะจึงนอนแผ่ลงกับพื้น รู้สึกเหมือนหมดแรง

    เป็นอะไรไป เข้มแข็งหน่อยสิ ทำใจเอาไว้ตั้งแต่ คากามิคุงบอกว่า จะไปเป็นนักดับเพลิงแล้วไม่ใช่เหรอ ตั้งใจเอาไว้ว่า จะยอมกอดความกลัวทั้งหมดของชีวิตเอาไว้ และยอมรับในสิ่งที่คนคนนั้นอยากทำนี่นะ แล้วจะมางี่เง่าอะไรเอาตอนนี้ คุโรโกะ เท็ตสึยะ

    หลงมัวเมาไปในช่วงเวลาแห่งความฝัน ความสงบสุขที่ทำให้อยากหยุดช่วงเวลานั้นไว้จนชั่วนิรันดร์ แต่มันคงไม่มีวันเป็นไปได้ เพราะนั่นเป็นแค่ความฝันของเขาเพียงคนเดียว ไม่ใช่ความฝันของคากามิคุง การถูกกักขังเอาไว้ในบ้าน ทำแต่สิ่งเดิมๆที่น่าเบื่อหน่ายนั้น ไม่ใช่การใช้ชีวิตของคากามิ ไทกะ ไม่ใช่เลยและนั่นก็เป็นชีวิตของคนที่เขาเลือกเองว่า อยากจะอยู่ข้างๆไปตลอดชีวิตที่ยังเหลืออยู่

    เปลวไฟที่เผาผลาญทั้งชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนนั้นช่างน่ากลัว...ในคืนนี้เหล่านักผจญเพลิงก็ยังทำงานอย่างขยันขันแข็งและกล้าหาญ เพื่อช่วยปกป้องรักษาชีวิตของผู้คนทั้งหลาย...

    เขาเองก็จะภาวนา ขอให้ทุกคนปลอดภัย แล้วเฝ้ารอประตูบ้านเปิดออก เพื่อจะได้เห็นใครคนหนึ่งก้าวเข้ามา ด้วยใบหน้าที่แม้เปื้อนคราบเขม่าควันขะมุกขะมอม แต่มีรอยยิ้มสดใส

    ...กลับมาแล้ว คุโรโกะ...

    +++++++

    ก่อนอื่นก็ต้องกล่าว สวัสดีท่านผู้อ่าน ทั้งที่เคยเจอกันแล้วในซีรี่ย์อื่น แล้วมาเจอกันอีกครั้ง ทั้งท่านผู้อ่านที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก
    ความฝันที่อยากเขียน AllxKagami มีมานานแล้ว แต่ความสามารถในการเขียนเป็นเรื่องยาวแบบคากามิคนเดียวอยู่ท่ามกลาง
    บรรดาหนุ่มๆทั้งหลายนั้น ยากเกินไป ก็เลยส่งมาทีละคู่ๆ สะสมพลัง (?) เอาไว้ตอนสุดท้ายน่าจะพอเขียนได้

    ยังไงตอนแรกของโปรเจคก็ต้อง คุโรโกะคากามิ เท่านั้น เพราะสองคนนี้เป็นคู่แสงเงาตัวเอกของเรื่อง
    แม้ว่าคนเขียนจะชอบพ่อดำกิมากกว่าก็ตาม (หัวเราะ)
    ไม่รู้ว่า อ่านกันแล้วเป็นยังไง อยากสารภาพตามตรงว่า ห่างไกลจากตอนแรกที่คิดไว้มากพอดู แต่ก็เป็นฟิคในระดับเผาที่น่าพอใจ
    เอาไว้ว่างๆ คงจะได้ปั่นคู่ต่อไป เป็นใครมาลุ้นกันนะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×