[KnB fic] Is it you, Aominecchi ? (AoKise)
Warning Yaoi !!! AominexKise เรื่องนี้แต่งเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้แก่ใครบางคน อาจจะไม่เหมาะกับแฟนที่เหนียวแน่นของฟ้าเหลืองเท่าไรนัก
ผู้เข้าชมรวม
1,894
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“อยากเล่นบาสเก็ตบอลด้วยกันเหรอ ?”
“ก็เอาสิ คิเสะ...”
เสียงนาฬิกาปลุกแหลมสูงที่กรีดร้องอยู่บนหัวเตียง ทำให้ชายหนุ่มต้องยื่นมือไปกดมันอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจ ขยี้ตาไล่ความง่วงออกไป
คิเสะ เรียวตะตื่นนอนที่บ้านตัวเองในประเทศญี่ปุ่น มันเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดที่ได้อยู่บ้านเป็นเวลานานๆ หลังจากใช้ชีวิตแบบไปๆมาๆระหว่างญี่ปุ่นกับประเทศต่างๆด้วยเรื่องหน้าที่การงาน เขาเป็นนักบิน ซึ่งมีตารางงานแน่นขนัดจนแทบไม่ได้กลับบ้าน จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่า ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ได้นอนอยู่บ้านยาวๆแบบนี้
“โอ๊ย”
การขยับตัวผิดท่าทำให้เขารู้สึกเจ็บแผลที่บริเวณหัวไหล่ ซึ่งเกิดจากการเอาตัวเข้าปกป้องผู้โดยสารหญิงคนหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าเรื่องราวก่อนหน้านั้นเป็นอย่างไร รู้แต่เพียงว่า ตอนที่เห็นใบมีดสีเงินวาวสะท้อนแสงไฟ ตัวมันก็ขยับไปโดยอัตโนมัติ เข้ามาบังร่างของเธอคนนั้นเอาไว้
สนามบินเป็นที่ที่เกิดอาชญากรรมร้ายแรงค่อนข้างน้อย เนื่องจากมีระบบป้องกันและตรวจสอบการผ่านเข้าออกเป็นอย่างดี คิเสะไม่รู้ว่า ผู้ชายคนนั้นพกมีดผ่านการตรวจมาได้อย่างไร แต่โชคดีที่เขาถูกควบคุมตัวหลังจากนั้น หญิงสาวที่เกือบตกเป็นเหยื่อนั้นร่ำรวยมหาศาล เธอกำลังขอแยกทางกับผู้ชายที่ต้องการทำร้ายเธอ เป็นเหมือนละครน้ำเน่าเก่าๆ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า มันเกิดขึ้นอยู่เสมอ
เงินและความรักมักเป็นต้นเหตุของความรุนแรง เพราะมันคือต้นกำเนิดของแรงปรารถนาในหัวใจ สิ่งซึ่งทุกคนพร้อมยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาครอบครอง จนขาดสติยั้งคิด ไตร่ตรองและทบทวนในเรื่องราวต่างๆ ลืมนึกถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาจากการกระทำนั้น
ใช่แล้ว โดยเฉพาะความรัก...
คิเสะเปิดน้ำเย็นขึ้นมาล้างหน้าและพยายามชำระล้างร่างกายด้วยการเช็ดตัว เพราะหมอยังสั่งห้ามไม่ให้แผลโดนน้ำ การอาบน้ำจึงเป็นเรื่องต้องห้ามในขณะนี้ ในตอนที่น้ำเย็นกระทบใบหน้านั้น คิเสะนึกถึงความฝันเมื่อยามรุ่งสาง มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามองเห็นความฝันนั้น หากแต่เช้าวันนี้มันชัดเจนยิ่งกว่าวันไหนๆ
ความฝันของเขามักย้อนกลับไปสมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น ในตอนที่โลกของเขายังเยาว์วัยและเปี่ยมไปด้วยความสุข ทุกอย่างดูน่าสนใจและสนุกสนานไปหมด ตอนนั้นเขาได้พบกับใครคนหนึ่งที่ไม่มีวันลืมชั่วชีวิต เจ้าของผมสีน้ำเงินเข้ม และรอยยิ้มที่สดใส คนที่มอบแรงบันดาลใจใหม่ๆในการใช้ชีวิตให้แก่เขา
และก็เป็นคนที่ขยี้มัน...จนแหลกเป็นผุยผง...
ปกติแล้วคิเสะจะอ้อยอิ่งอยู่บนที่นอนจนเกือบสิบโมง จมดิ่งไปในความฝันอันแสนสุข แต่วันนี้เขามีนัดสำคัญ จึงต้องรีบตื่นขึ้นมาเตรียมตัวให้พร้อม บางทีก็นึกขำตัวเองที่รีบร้อนราวกับจะไปทำงาน แต่นัดในครั้งนี้ก็สำคัญกับเขาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการทำงานเช่นกัน มันคือนัดรวมทีมไคโจว
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเป็นจังหวะ คิเสะเหลือบมองนาฬิกาก็เห็นว่า เขาสายแล้ว บาดแผลที่ไหล่นั้นทำให้เคลื่อนไหวได้ลำบากกว่าที่คิดและการนั่งๆนอนๆอยู่กับบ้าน ทำให้เขาเกียจคร้านเสียจนไม่อยากจะทำอะไรอย่างเร่งรีบ
“คิเสะ นายอยู่ไหนแล้ว”
เสียงที่ลอดมาตามสายนั้น ดูเหมือนจะเป็นของรุ่นพี่โมริยามะ ผู้ซึ่งตอนนี้กำลังสืบทอดกิจการของที่บ้านต่อ รุ่นพี่คนนี้ของเขาขึ้นชื่อเรื่องการจีบหญิง อยากได้แฟนสาวแสนสวยมาควง แต่เมื่อปีก่อน รุ่นพี่ของเขาแต่งงานกับผู้หญิงหน้าตาเรียบร้อย ธรรมดาๆ ผู้ซึ่งจะกลายมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการดำเนินกิจการของบ้าน
“กำลังจะออกไปแล้วครับ”
“เร็วๆนะ ทุกคนรอนายอยู่คนเดียวเนี่ย”
ไม่ใช่แต่เพียงรุ่นพี่โมริยามะเท่านั้น หลายต่อหลายคนก็เปลี่ยนไปมาก คนที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือรุ่นพี่คาซามัตสึ คนที่เขาไม่เคยนึกเลยว่า เจ้าตัวจะกลายเป็นหนึ่งในวงดนตรีเพลงร็อค ซึ่งตอนนี้กำลังมีชื่อเสียงโด่งดัง ถึงจะรู้มาบ้างว่ารุ่นพี่เล่นกีตาร์แต่สมัยเรียนมัธยมปลายนั้น เขาคงไม่สามารถนึกภาพรุ่นพี่ที่แสนเฮี้ยบยืนดีดกีตาร์ไฟฟ้าอยู่บนเวทีคอนเสิร์ตได้
หลังจากแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว คิเสะก็รีบตรงดิ่งไปยังสถานที่นัดทันที มันเป็นร้านกาแฟเล็กๆ ซึ่งเจ้าของเป็นเพื่อนสนิทของรุ่นพี่โมริยามะ พวกเขาได้รับมุมพิเศษสำหรับการนัดเจอกันทุกครั้ง เมื่อก่อนเพื่อตัวเขาเองที่เป็นนายแบบจะได้ไม่ต้องถูกวิ่งไล่ ส่วนในปัจจุบันก็เพื่อรุ่นพี่คาซามัตสึ จะไม่ถูกแฟนเพลงตามกรี๊ด ขอลายเซ็น
“ช้ามากเลยนะ คาซามัตสึโดยเรียกตัวกลับไปแล้วเนี่ย”
คิเสะกวาดตามองไปรอบโต๊ะเห็นจริงดังที่ว่า ก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา เขาอยากเจอรุ่นพี่คาซามัตสึ อยากฟังรุ่นพี่เล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟัง แม้ภาพนอกรุ่นพี่จะเปลี่ยนไปมาก แต่ภายในยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคำพูดคำจา ความเจ้าระเบียบ ตลอดจนถึงความรับผิดชอบในฐานะเป็นรุ่นพี่ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด คิเสะก็รู้สึกว่า ตัวเองยังคงเผลอพึ่งพารุ่นพี่คาซามัตสึอยู่เสมอ
“เอ้า นี่ของนาย”
ซองจดหมายที่ดูแปลกตาถูกส่งมาให้เขา ขณะกำลังนั่งลงที่โต๊ะ หน้าซองจ่าหน้าถึงเขา แต่มันไม่ใช่จดหมายธรรมดา มันคือบัตรเชิญไปงานแต่งงาน เมื่อมองชื่อที่เขียนอยู่บนการ์ด คิเสะยากจะบอกได้ว่า ตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร
“รุ่นพี่คาซามัตสึ กำลังจะแต่งงานเหรอครับ”
“แล้วนายคิดว่า ในมือนั่นมันอะไรล่ะ ?”
ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอก อายุขนาดรุ่นพี่ก็ควรจะมีครอบครัวได้แล้ว เพียงแต่ไม่เคยมีวี่แวว ไม่เคยได้ยินรุ่นพี่เล่าอะไรให้ฟังเลย หลังจากถามถึงเจ้าสาวสองสามประโยค รุ่นพี่โมริยามะก็บรรยายสรรพคุณ ตลอดจนเรื่องราวที่ทั้งสองได้พบกันให้ฟังยืดยาวเสียจนคิเสะนึกสงสัยว่า มันเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง
“แล้วนายล่ะ ? มีคนพิเศษหรือยัง ?”
ถึงอายุจะยังไม่ขึ้นเลขสาม แต่ก็ถึงวัยที่สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้แล้ว ไม่แปลกใจอะไรที่คนรอบข้างจะถามเรื่องนี้กับเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่คนใกล้ตัวกำลังจะมีงานมงคล คิเสะทำเพียงแค่ส่ายหน้าแล้วส่งยิ้มให้ ก่อนจะเฉไฉไปคุยเรื่องอื่น เขาไม่อยากให้ใครรู้ว่า ลึกลงไปในใจของเขานั้น มีคนคนหนึ่งที่ไม่อาจลืมได้
ถึงจะพยายามคบหรือทำความรู้จักกับใคร ถึงจะพยายามที่จะรักหรือผูกพันกับใคร แต่สุดท้ายแล้วความสัมพันธ์ก็ไปกันไม่รอด เพราะตัวเขาเองมักจะมีภาพของใครคนหนึ่งที่อยู่ในใจ คนที่เขามักวิ่งตามอยู่ข้างหลังเสมอ ภาพของเสื้อฟอร์มสีขาวซึ่งมีหมายเลขหกอยู่ที่ข้างหลัง
แผ่นหลัง...ของอาโอมิเนะ ไดคิ...
++++++++++
ในตอนแรก เขาคิดว่าจะต้องโทรศัพท์ไปขอโทษรุ่นพี่คาซามัตสึที่ไม่สามารถไปร่วมงาน เนื่องจากงานแต่งงานนั้นอยู่เลยกำหนดลาพักของเขาแล้ว แต่กลับโชคดีอย่างประหลาดที่แผลบนหัวไหล่ของเขาเกิดการอักเสบ จนยังไม่สามารถกลับไปทำงานได้ คิเสะจึงมีเวลามากพอจะไปร่วมงานแต่งงานของรุ่นพี่คาซามัตสึ
งานแต่งงานถูกจัดขึ้นที่บ้านเกิดของเจ้าสาวที่เป็นชาวสวน สองข้างทางของถนนหนทางเต็มไปด้วยไร่นาและพืชผล เป็นภาพที่คิเสะไม่เคยเห็นมาก่อน เขาเกิดในเมืองและใช้ชีวิตอยู่แต่ในเมืองเท่านั้น
“ยินดีด้วยนะครับ รุ่นพี่”
เกือบทุกครั้งที่เขาเจอรุ่นพี่คาซามัตสึ ชายหนุ่มจะอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์สบายๆ สวมแว่นกันแดดสีดำเรียบๆ เพื่อปกป้องใบหน้าของตัวเองจากกลุ่มแฟนเพลง แต่มาวันนี้รุ่นพี่อยู่ในชุดสูทสำหรับพิธีแต่งงาน ถึงจะไม่ได้เต็มยศแบบที่จัดกันในเมือง แต่มันทำให้คิดถึงยามที่รุ่นพี่ยังใส่ชุดนักเรียนของไคโจว เป็นภาพที่ไม่ได้เห็นมานานแสนนาน
“ขอบใจนะที่มา นึกว่านายจะมาไม่ได้ซะแล้ว”
คิเสะได้แต่ยิ้มแทนคำตอบ ไม่สามารถพูดออกไปได้ว่า ที่มาได้ เพราะว่าแผลเกิดอักเสบขึ้นมา เขากล่าวแนะนำตัวกับเจ้าสาว แล้วแสดงความยินดีกับทั้งคู่อีกครั้ง ก่อนจะปลีกตัวออกมา เพื่อให้คนอื่นๆได้เข้ามาแสดงความยินดีบ้าง
“หนาวเหมือนกันนะ”
ตอนนี้เป็นช่วงที่กำลังจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง อากาศยังไม่ได้เย็นจัด แต่ก็มีบางครั้งที่มีลมเย็นๆพัดผ่านมา คิเสะเดินเล่นออกมาไกลจากงานโดยไม่รู้ตัว บางทีอาจเป็นจิตใต้สำนึกของเขาไม่อยากอยู่ในงานนานๆก็เป็นได้ งานแต่งงานนั้นเป็นการป่าวประกาศว่า คนทั้งสองจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เป็นการประกาศถึงความรัก สาบานว่าจะซื่อสัตย์และเดินเคียงข้างกันตลอดไป มันเป็นความรู้สึกที่คิเสะเคยมีให้ใครคนหนึ่ง ไม่สิ ถึงตอนนี้มันก็ยังมีอยู่ เพียงแต่ว่าเป็นไปไม่ได้เท่านั้นเอง
“อยากเล่นบาสเก็ตบอลจัง”
ลูกบอลกลมๆสีส้มที่พาเขามาพบกับใครคนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล แม้ว่ามันจะเจ็บปวดแต่เขาไม่เคยตำหนิโชคชะตา ออกจะขอบคุณเสียด้วยซ้ำที่ทำให้เขาได้รู้สึกรักใครคนหนึ่งถึงขนาดนี้
“อาโอมิเนจจิ...”
“คิเสะ ?”
เสียงที่เรียกชื่อเขา ทำเอาเจ้าตัวรีบหันไปตามเสียงจนเกือบจะเสียหลักล้มลงไปคลุกฝุ่นที่พื้น คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นยังคงดูเหมือนเมื่อตอนมัธยมปลาย ทั้งใบหน้า ทรงผมและรอยยิ้มยิงฟันตามแบบฉบับของเจ้าตัว
“อาโอมิเนจจิ มาทำอะไรที่นี่ !!”
“ฉันสิต้องถามนาย ก็นี่มันบ้านฉัน”
“หา !!”
ถ้าดูจากสไตล์การแต่งตัว อาโอมิเนะคงไม่ได้โกหก เพราะชายหนุ่มใส่เสื้อยืดหลวมๆสบายๆ กับกางเกงที่ดูจะเคลื่อนไหวได้สะดวก ทั้งตัวดูเลอะเทอะไปด้วยดิน ราวกับเพิ่งทำไร่ทำสวนมาเมื่อครู่ จะว่าไปมือข้างหนึ่งก็กำลังถือพลั่วอันเล็กๆอยู่นี่นะ หรือว่าจะกลายมาเป็นคนสวนจริงๆ
“ตกลงนายมาทำอะไรที่นี่ ?? คิเสะ”
“อาโอมิเนจจิ มาปลูกข้าวโพดเหรอ ??”
ต่างฝ่ายต่างถามสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ และไม่ยอมตอบคำถามของตัวเอง อาโอมิเนะทำสีหน้าระอา ก่อนจะเช็ดมือตัวเองกับกางเกงที่เปื้อนอยู่ เจ้าตัวเอ่ยถามคิเสะเป็นเชิงชวนว่า ไปนั่งพักในบ้านของเขาไหม จะได้คุยกัน ชายหนุ่มนักบินเผลอพยักหน้าตอบไปโดยไม่ทันคิดว่า ตัวเองมาที่นี่เพื่ออะไร มานึกได้อีกทีก็ตอนที่ไปนั่งอยู่ในบ้านของอีกฝ่ายแล้ว
ระหว่างที่อาโอมิเนะขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า คิเสะก็รีบโทรศัพท์ไปหารุ่นพี่โมริยามะ โกหกว่า มีธุระด่วน ขอกลับก่อน อีกฝ่ายเองทำน้ำเสียงเหมือนไม่ค่อยเชื่อ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรให้มากความ พอวางโทรศัพท์อาโอมิเนะก็กลับมาพอดี ชายหนุ่มถือถ้วยชามาด้วยสองใบ ก่อนจะวางลงตรงหน้าเขา
“เอ้า กินน้ำซะสิ”
คิเสะกระพริบตาสองสามครั้ง เมื่อมองเห็นถ้วยชาที่วางอยู่ตรงหน้า คนคนนี้คืออาโอมิเนจจิที่เขารู้จักจริงหรือเปล่านะ เพราะอาโอมิเนจจิคนนั้นน่ะ ไม่มีทางไปเตรียมชามาให้เขาหรือแขกคนไหนๆหรอก ถึงจะร้องขอก็อาจจะบ่นว่ายุ่งยากน่ารำคาญ ใบชาอยู่ตรงนั้น แก้วอยู่ตรงโน้นไปจัดการเองแล้วกัน นั่นสิถึงจะเป็นอาโอมิเนจจิแบบที่เขาจำได้
“จ้องอะไร ? ไม่ได้ใส่ยาพิษไว้หรอกน่า”
ท่าทางตอนหัวเราะนั้น ทำให้คิเสะกลืนก้อนขมๆลงไปในลำคอ ก่อนจะยกชาขึ้นมาดื่ม การได้พบกันโดยไม่คาดคิดนี้ สร้างความรู้สึกหลากหลายขึ้นในหัวใจของเขา ไม่สิ ควรจะบอกว่า มันไปขุดเอาความรู้สึกที่เขาพยายามฝังเอาไว้ แกล้งๆทำเป็นว่า มันไม่มีอยู่ขึ้นมาจนหมดสิ้น เพียงแค่ได้เห็นคนตรงหน้าหัวเราะ ความรู้สึกยินดีก็เอ่อท้นขึ้นมาในจิตใจ คิเสะเพิ่งรู้ว่าตัวเองคิดถึงภาพนี้ขนาดไหน
“ตกลงนายมาทำอะไรที่นี่”
“มางานแต่ง”
ไม่แปลกที่ชายหนุ่มผิวเข้มจะขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ ก็ที่นี่มันมีแต่ไร่กับสวน ไม่ใช่โรงแรมหรือรีสอร์ทที่เหมาะแก่การจัดงานเสียหน่อย แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจยิ่งขึ้นก็คือ อีกฝ่ายไม่ถามอะไรต่อ กลับหันไปคุ้ยหาอะไรบางอย่างในกล่อง ก่อนจะส่งขนมให้เขากินเพิ่มเติม
“อาโอมิเนจจิ ปลูกข้าวโพดเหรอ ?”
“เปล่า”
คำตอบนั้นทำให้คิเสะรู้สึกว่าตัวเองโล่งใจอย่างประหลาด คนใจร้อนวู่ว่ามอย่างอาโอมิเนะน่ะหรือ จะสามารถอดทนรอ ดูแลปลูกพืชผักได้ บางทีอาจจะแค่มาเยี่ยมบ้านเกิด อาจจะเป็นบ้านของคุณตาคุณยายหรือญาติฝ่ายไหนสักคนก็เป็นได้ เนื้อตัวที่เลอะเทอะอาจจะเกิดจากการช่วยงานในสวน แต่คงไม่ได้ทำจริงจังหรอก ตัวเขาเองก็ได้ยินข่าวเมื่อนานมาแล้วว่า อาโอมิเนจจิได้ไปอเมริกา ได้เล่นในNBA กลายเป็นนักบาสเก็ตบอลอาชีพ แล้วจะมาทำไร่ทำสวนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
“ฉันไม่ได้ปลูกข้าวโพด ฉันปลูกแอบเปิ้ลกับมะเขือเทศต่างหาก”
คิเสะรู้สึกเหมือนมีอะไรสักอย่างหล่นลงมากระแทกหัวอย่างจัง สีหน้าของคนที่อยู่ตรงหน้าเหมือนไม่ได้กำลังล้อเล่น แถมพูดยังเสริมด้วยอีกว่า แถวนี้มีไร้ข้าวโพดที่ไหน พูดอะไรของนายน่ะ จะว่าไปเขาถามบ้าอะไรของเขากันนะ นั่นสิ ทำไมต้องถามถึงข้าวโพดด้วย เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
“แล้วนายมายังไงล่ะ”
“ก็มารถเมล์”
คิเสะโกหกอีกครั้ง เพราะที่จริงเขาติดรถรุ่นพี่โมริยามะมา อาโอมิเนะมองนาฬิกาบนผนังแล้วหันมาหาเขา เลิกคิ้วเหมือนจะถามอะไรสักอย่าง เขาไม่เข้าใจกริยานั้นเลยแม้แต่น้อย จนชายหนุ่มเอ่ยปากถามขึ้นมาว่า
“รถเมล์เที่ยวสุดท้าย มันกำลังจะออกแล้วไม่ใช่เหรอ”
เฮ้ย !! จริงดิ !!
คิเสะรู้ว่า มีรถเมล์มาถึงที่นี่ได้ แต่ไม่รู้ว่าหมดกี่โมง คันแรกและคันสุดท้ายมีเมื่อไหร่ เขารีบลุกขึ้นยืน วิ่งถลาออกไปนอกบ้านด้วยท่าทางราวกับอยากจะกระโจนไปยังถนนใหญ่ ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกของอาโอมิเนะทางด้านหลัง แต่เขาก็ไม่ได้สนใจที่จะหยุดฟัง หากพลาดรถเมล์คนนี้แล้ว คงไม่สามารถกลับได้ จะหาที่พักที่ไหนก็คงไม่มี แล้วแถวนี้ก็คงไม่มีแท็กซี่ด้วย
ระหว่างที่กำลังวิ่งนั้น ตัวเขาถูกกระชากอย่างแรงจากทางด้านหลัง แทบเซถลาล้มไปจนคนกระชาก เมื่อหันกลับไปก็เห็นอาโอมิเนะยืนทำหน้าถมึงทึงใส่เขา ใบหน้านั้นมีเหงื่อเกาะพราว หายใจหอบเพราะความเหนื่อยจากการวิ่ง แล้วตะคอกด้วยเสียงที่ดังจนแก้วหูแทบทะลุ
“ป้ายรถเมล์ มันอยู่ทางโน้น !!”
ทางโน้นที่ว่านั้นคือทิศทางตรงข้ามกับที่เขาวิ่งมา ก็ว่าทำไมวิ่งมาตั้งนาน ถึงไม่เจอป้ายรถเมล์เสียที ก็ว่าขามาตอนที่อยู่บนรถ มันก็ดูไม่ได้ไกลขนาดนี้ หงายนาฬิกาขึ้นดูก็พบว่า เวลาผ่านมาเกือบห้านาทีแล้ว ไม่รู้วิ่งกลับไปตอนนี้จะยังทันไหม แต่ไม่ทันตั้งท่าจะวิ่ง ชายหนุ่มผู้อยู่ในพื้นที่ก็ออกปากห้ามทันที
“วิ่งกลับไปก็ไม่ทันแล้ว”
“ทีหลังก็หัดฟังคนอื่นเขาพูดบ้างสิ”
การโดนตะคอกทำให้คิเสะรู้สึกสำนึกผิดขึ้นมานิดๆ วันนี้เขาทำอะไรลงไปบ้างนะ โกหกพวกรุ่นพี่ ทำเรื่องลำบากให้อาโอมิเนจจิ แถมคืนนี้ยังไม่รู้ว่าจะกลับยังไง เอายังไงกับชีวิตต่อดีเนี่ย
“คืนนี้อยู่บ้านฉันก่อนแล้วกัน”
“ยังไงก็ไม่มีรถกลับอยู่แล้วนี่”
เหมือนชีวิตจะลำบากก็จริงอยู่ แต่ที่จริงนี่เป็นโชคมหาศาลสำหรับคิเสะที่จะได้อยู่กับอาโอมิเนะนานขึ้น สำหรับเขาแล้วการได้อยู่ใกล้ๆคนตรงหน้าจะนานขึ้นสักนาทีหรือสักวินาทีก็เป็นช่วงเวลาที่มีค่ายิ่ง ส่วนไอ้การทะเลอทะล่าวิ่งออกไปเมื่อครู่นั้น มันเกิดจากการขาดสติยั้งคิดไปสักหน่อย รู้อย่างนี้แกล้งๆทำเป็นไปไม่ทันเสียตั้งแต่ทีแรกก็ดี จะได้ไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมาให้เหนื่อย
“อ้าว ไดคิ นั่นใครกันล่ะ”
ระหว่างทางที่เดินกลับนั้น อาโอมิเนะเอ่ยทักทายคนซึ่งเดินสวนกัน รอยยิ้มและคำพูดนั้น ทำให้คิเสะรู้สึกว่าตัวตนของอาโอมิเนะนั้นช่างห่างไกลออกไปเรื่อยๆ อาโอมิเนะที่เขารู้จักนั้นสนใจแต่เรื่องบาสเก็ตบอลและเรื่องของตัวเองเท่านั้น อาโอมิเนะที่เขารู้จักจะไม่ถามถึงทานาเบะซัง จะไม่พูดถึงเรื่องพยากรณ์อากาศ ไม่ถามเรื่องหัวไชเท้าของบ้านข้างๆ มันเหมือนกับว่าคนตรงหน้านั้นเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนที่เขาไม่รู้จัก
“เอ้า คิเสะ ยืนเหม่ออะไรล่ะ เร็วเข้าสิ”
แต่ถึงจะเปลี่ยนไปยังไง หัวใจของคิเสะนั่นแหละที่ยืนยันได้ดีที่สุดว่า คนตรงหน้านี้คืออาโอมิเนจจิตัวจริง คนที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นระรัวเพียงแค่มองสบตา คนที่ทำให้หัวใจของเขาเอ่อล้นด้วยความสุขเพียงแค่รอยยิ้ม คนที่ทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดได้เพียงแค่...
...คำพูดสั้นๆเพียงแค่ประโยคเดียว...
++++++++++
อาจจะไม่แปลกอะไรที่อาโอมิเนะเปลี่ยนแปลงไป เพราะคนรอบข้างคิเสะเองก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกัน เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงของอาโอมิเนะนั้น สร้างความแปลกใจและตกตะลึงให้แก่ชายหนุ่มเป็นอย่างมาก เริ่มจากที่เจ้าตัวทำกับข้าวได้อร่อยอย่างเหลือเชื่อ จากวัตถุดิบสดๆที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น เป็นกับข้าวเรียบง่ายที่แสนอร่อย แถมยังทำงานบ้าน ปัดกวาดเช็ดถู เก็บข้าวของได้เรียบร้อย จนภาพล็อกเกอร์อันแสนรกในสมัยมัธยมต้น คงเหลือเป็นแค่ความทรงจำ
นอกจากน้ำชาและขนมรับรองแขกแล้ว การตระเตรียมเสื้อผ้า ที่หลับที่นอน ตลอดจนอุปกรณ์เครื่องใช้ส่วนตัวต่างๆนั้น เป็นไปโดยธรรมชาติเสียจนคิเสะนึกสงสัยว่า มีแขกมาเยือนที่นี่บ่อยหรือ แต่ถึงจะสงสัยอย่างไร คิเสะก็ไม่กล้าที่จะถามออกไป ส่วนหนึ่งเพราะไม่รู้ว่า ควรจะเริ่มตรงไหนดี และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะรู้สึกสังหรณ์ลึกๆว่า เป็นเรื่องที่ไม่ควรถาม
“พรุ่งนี้ รถเที่ยวแรกมีตอนแปดโมง นายจะไปเที่ยวแรกเลยไหม ?”
ที่จริงคิเสะอยากจะอยู่ที่นี่สักหลายๆวัน อยากจะใช้เวลารู้จักอาโอมิเนะคนใหม่ อยากจะใกล้ชิดคนที่ยังคงทำให้ใจของเขาเต้น ทั้งที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปี เพียงแต่เขาจะหาข้ออ้างอะไรในการอยู่ที่นี่ต่อได้ล่ะ และที่สำคัญการอยู่ที่นี่จะเป็นการรบกวนอีกฝ่ายหรือเปล่า
“ถ้ายังไม่อยากกลับ ก็ไม่ต้องกลับก็ได้”
เขาคงนิ่งเงียบไปนานจนผิดปกติ อาโอมิเนะถึงได้พูดแบบนั้นออกไปมา ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเข้าใจไปว่า เขามีปัญหาอะไรสักอย่าง เลยหลบลี้หนีหน้าผู้คนมายังชนบทที่ห่างไกล เผลอๆจะคิดว่า เรื่องที่เขามางานแต่งงานนั้นเป็นเรื่องโกหก คิเสะใช้ประโยชน์จากความเข้าใจผิดนั้นในทันที เขานึกขอบคุณเทวดาหรือพระเจ้าองค์ใดก็ตามที่ดลใจให้สถานการณ์เป็นแบบนี้
“เอาล่ะ นอนได้แล้ว”
เมื่อทั้งห้องมืดสนิท คิเสะลอบมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายด้วยความคิดถึง คนที่เขานึกอยากเจอมาตลอด แต่ก็ไม่กล้าไปหา เพราะกลัวว่าตัวเองจะเจ็บปวด กลัวว่าจะไม่อาจหักห้ามใจได้ จึงพยายามกลบฝังความรู้สึกนั้นเอาไว้ให้มิดชิดที่สุด มีหลายอย่างที่เขาอยากถาม ทั้งเรื่องบาสเก็ตบอล ทั้งเรื่องชีวิตที่ผ่าน ทั้งเรื่องเหตุผลที่ชายหนุ่มอยู่ที่นี่เพียงลำพัง
แต่ตอนนี้ช่างมันก่อนเถอะ...ช่างมัน...
เมื่อก่อนนั้น ยามที่เข้าสู่ห้วงนิทรา คิเสะจะฝันเห็นใครคนหนึ่งในชุดฟอร์มของเทย์โค เส้นผมสีน้ำเงินนั้นเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ กำลังวิ่งนำหน้าเขาไปข้างหน้าพร้อมด้วยรอยยิ้ม ตัวเขาเองได้แต่ยืนนิ่งมองตามแผ่นหลังที่ไกลออกไป แต่สำหรับคืนนี้คิเสะคิดว่า เขาคงไม่ฝันแบบนั้นอีกแล้ว เพราะแผ่นหลังที่เขาฝันถึงอยู่ตรงหน้านี้
...เป็นของจริง...ไม่ใช่เพียงความฝัน...
++++++++++
คิเสะกำลังยืนอยู่ท่ามกลางพืชผักผลไม้ที่เจริญเติบโตงอกงามดี ในตอนแรกที่ตื่นขึ้นมา เขาถามตัวเองว่า เรื่องเมื่อวานนี้เป็นเรื่องโกหกหรือเปล่านะ ? ที่จริงอาโอมิเนจจิอาจจะแค่ล้อเล่นก็ได้ บางทีอาจจะมีเฝ้าบ้านให้ญาติผู้ใหญ่ชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ได้ผันตัวจากนักบาสเก็ตบอลมืออาชีพ มาเป็นคนสวนหรอกมั้ง คงเป็นแค่เรื่องตลก อำกันเล่นๆเท่านั้นแหละ
“คิเสะ มาช่วยตรงนี้หน่อย”
แต่ดูเหมือนว่าพระเจ้าเบื้องบนจะยัดเยียดความจริงลงในมือของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะอาโอมิเนะตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่ ออกไปดูแลเหล่าพืชผลด้วยความรักและเอาใจใส่ เสียจนคิเสะแอบรู้สึกอิจฉาตาร้อนขึ้นมานิดๆ
“จับเอาไว้นะ”
“นายขนเจ้านี่ ไปตรงนั้น”
“แล้วก็...”
หลังจากทำงานในไร่จนเหงื่อออกชุ่ม คิเสะเริ่มนึกสงสัยแล้วว่า เหตุผลที่อาโอมิเนะยอมให้เขาอยู่ที่นี่โดยไม่ถามอะไรนั้น เป็นเพราะอยากจะได้แรงงงานเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ที่จริงเขาก็ออกจะตกใจปนกับชื่นชมอยู่เล็กน้อยที่อาโอมิเนะสามารถดูแลสวนกว้างใหญ่ด้วยตัวคนเดียวได้
“เจ็บแฮะ”
การทำงานในไร่นั้นยุ่งวุ่นวายเสียจนเขาลืมไปแล้วว่า ตัวเองมีแผลที่ไหล่ สงสัยกลับไปโตเกียวคราวนี้ มันคงบวมช้ำและอักเสบมากกว่าเดิมแน่ๆ แล้วถ้าเขาเกิดถูกหมอถามว่า ไปทำอะไรมา ควรจะตอบว่าอะไรดีนะ ??
“เอ้า คิเสะ”
แอบเปิ้ลสีแดงสดถูกโยนมาให้ ชายหนุ่มคว้าหมับเอาไว้ได้ทัน ก่อนมันจะร่วงลงพื้น ผลไม้สีแดงสดในมือของเขามีรอยกัดไปแล้วหนึ่งรอย แสดงให้เห็นว่า คนที่โยนมาให้แอบชิมไปแล้วคำหนึ่ง แถมยังเป็นคำใหญ่มากอีกด้วย
“ลองกินดูสิ อร่อยนะ”
คิเสะมองผลไม้ในมือ เขารู้สึกว่าภายในหัวตัวเองหมุนคว้างจากจินตนาการอันบรรเจิดที่ไม่อาจควบคุมได้ นี่มันจูบทางอ้อม มันเป็นจูบทางอ้อมนี่นา หัวใจที่เต้นระรัวของเขานั้นแทบจะหลุดออกมาจากอก เขายกผลแอบเปิ้ลขึ้นแล้วบรรจงกัดลงไปในตำแหน่งใกล้เคียงที่เดิม
“คิเสะ ร้อนเหรอ ? หลบเข้าไปในร่มก่อนก็ได้”
“เปล่าๆ ไม่ได้ร้อน”
“แต่หน้านายแดงมากเลยนะ หลบเข้าไปก่อนเถอะ”
คิเสะพยักหน้าสองสามครั้ง แล้วเดินกลับเข้าไปยังที่ร่มอย่างว่าง่าย ระหว่างนั้นชายหนุ่มพยายามกำแอบเปิ้ลในมือไว้แน่น พอเผลอก้มลงมองผลไม้ในมือทีไร ก็รู้สึกเหมือนเลือดทั่วทั้งร่างกายสูบฉีดขึ้นไปที่ใบหน้า เมื่อครู่เขาทำอะไรลงไป เขาคิดบ้าอะไรถึงได้ทำอย่างนั้น...
เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ...บ้าไปแล้วจริงๆ...
++++++++++
หลังจากที่อาโอมิเนะรู้เรื่องแผลที่หัวไหล่ของคิเสะ ชายหนุ่มผิวเข้มก็ไม่เคยขอให้อีกฝ่ายช่วยทำงานในไร่อีกเลย แถมยังเสียงดังใส่เขาอีกด้วยว่า ทำไมไม่รีบบอกก่อน เดี๋ยวถ้าเป็นอะไรเยอะขึ้นมาจะทำยังไง ? คิเสะจึงนั่งมองอีกฝ่ายทำงานอย่างขยันขันแข็ง โดยไม่รู้ว่า ตัวเองควรจะทำอะไรดี ไม่มีคำพูดที่เสือกไสให้เขากลับ ไม่มีคำพูดที่ชักชวนให้เขาอยู่ หลายต่อหลายครั้งที่คิเสะคิดว่า ตัวเองควรจะกลับได้แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถตัดใจได้อยู่ดี
เขารู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน ที่ความรู้สึกต่ออาโอมิเนะนั้นไม่ได้ลดลงไปเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะเป็นอาโอมิเนะที่กำลังเล่นบาสเก็ตบอลอยู่ในสนาม หรืออาโอมิเนะที่กำลังดูแลบรรดาพืชผักอย่างตั้งใจ เขาก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายมีประกายแสงที่ทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหวได้เสมอ
มาคิดดูดีๆแล้ว ใช่ว่า อาโอมิเนะจะเปลี่ยนไป ควรใช้คำว่า กลับมาเหมือนเดิม จะดีกว่า เพราะตอนที่เขาเพิ่งเข้าชมรมตอนช่วงมัธยมต้น ตอนที่เพิ่งเจอกับอาโอมิเนจจิไม่นาน ชายหนุ่มก็เป็นเพียงหนุ่มน้อยนักกีฬ่านิสัยดี ร่าเริงแจ่มใส เข้ากับคนง่าย มาเปลี่ยนเป็นเกรียนตัวพ่อก็ตอนช่วงปลายๆของปีสอง
“นี่...อาโอมิเนจจิ....”
“หืม ?”
“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ”
“แล้วนายคิดว่า ฉันควรจะอยู่ที่ไหนล่ะ ?”
ในสนามบาสเก็ตบอล..นั่นคือคำตอบที่คิเสะคิดอยู่ในใจ แต่ไม่กล้าพูดออกไป เขารู้ดีว่า อีกฝ่ายคงจะต้องมีเรื่องอะไรสักอย่าง อาจจะเป็นปัญหาทางด้านสุขภาพหรือปัญหาครอบครัวที่ทำให้อาโอมิเนะเปลี่ยนอาชีพจากนักบาสเก็ตบอลมาเป็นชาวสวนในชนบทอันห่างไกล
“นายชอบทำสวนเหรอ ?”
“ก็ไม่ได้ชอบหรอก”
“อ้าว ?”
อาโอมิเนะวางมือจากงานที่ทำอยู่ แล้วเดินตรงมาหาคิเสะ ชายหนุ่มโน้มตัวลงมากระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู แม้ที่จริงจะไม่ได้มีอะไรแปลกหรือซับซ้อน แค่เจ้าตัวอยากจะลดเสียงให้เบาลง ก็เลยเดินมากระซิบ แต่ความใกล้ชิดนี้ก็ทำให้หัวใจคิเสะเต้นระรัวได้มากพอที่เจ้าตัวจะต้องเอาเล็บจิกแขนตัวเอง เพื่อเรียกสติ
“ถ้าบอก จะเก็บเป็นความลับได้หรือเปล่าล่ะ ?”
คิเสะพยักหน้าเร็วๆแทนคำตอบ อาโอมิเนะหัวเราะออกมาเบาๆให้กับท่าทางกระตือรือร้นจนเกินกว่าเหตุของเขา ช่วยไม่ได้นี่นา ก็เขาอยากรู้นี่ เรื่องของคนที่ชอบ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องอยากรู้อยู่แล้ว
“ฉันมาอยู่ที่นี่ เป็นเพื่อนคนคนหนึ่ง”
“เจ้าของสถานที่แห่งนี้...”
ในตอนที่พูดนั้น อาโอมิเนะไม่ได้มองเขาเลยแม้แต่นิดเดียว เอาแต่เงยหน้ามองขึ้นไปยังท้องฟ้าเบื้องบน ราวกับประโยคนั้น เป็นข้อความที่ต้องการจะกระซิบบอกใครสักคนที่อยู่บนนั้น
หรือไม่ก็...ไม่อยากให้น้ำตามันไหลออกมา....
++++++++++
“พ่อหนุ่ม พ่อหนุ่ม”
อยู่ดีๆ ก็มีป้าแก่ๆ ซึ่งเป็นคนแถวนี้มากวักมือเรียกเขา ตอนแรกคิเสะคิดว่า ป้าต้องการจะขอแรงให้เขาช่วยทำอะไรบางอย่าง แต่ปรากฏว่า ป้ากลับยื่นจดหมายให้เขาซองหนึ่ง เป็นซองสีขาวที่ไม่มีข้อความหรือลวดลายใดๆเลย
“ฉันฝากด้วยนะ”
“ได้ครับ ผมจะเอาไปให้อาโอมิเนะ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่”
คุณป้าส่ายหน้าเหมือนเอือมระอา ทำเอาคิเสะงงเป็นไก่ตาแตกว่า คุณป้าที่ไม่รู้จักกันคนนี้ ต้องการอะไรจากเขากันแน่ ถ้าไม่ได้ฝากจดหมายไปให้อาโอมิเนะ แล้วซองจดหมายในมือเขานี่ จะเป็นของใครได้อีกล่ะ
“มันเป็นของเธอ...”
“คนคนนั้น...เขาฝากมันเอาไว้ให้เธอ...”
“ช่วยรับไว้หน่อยได้ไหม...พ่อหนุ่ม”
คิเสะก้มลงมองซองจดหมายสีขาวสะอาดในมือ แล้วนึกสงสัยว่า มันมีอะไรอยู่ข้างในกันแน่ เขาค่อยๆบรรจงแกะซองออกอย่างช้าๆ เพื่อเปิดมันอย่างทะนุถนอม ภายในมีเพียงกระดาษที่ถูกพับเป็นทบเอาไว้เพียงอย่างเดียว คิเสะค่อยๆไล่อ่านข้อความในจดหมายนั้นอย่างช้าๆ เพื่อซึมซับทุกข้อความทุกความหมายที่เขียนอยู่บนนั้น
แล้วน้ำตา...ก็ไหลรินออกมา...
ข้อความในจดหมายนั้น เป็นของใครคนหนึ่งที่เคยอยู่ที่นี่ เป็นคนที่รู้ตัวว่าตัวเองเหลือเวลาอยู่บนโลกใบนี้อีกไม่มากแล้ว ด้วยความรู้สึกเป็นห่วงอาโอมิเนะ จึงได้เขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา ขอให้คุณป้าฝากให้ใครสักคนที่มาอยู่ที่นี่ อยู่ด้วยกันกับอาโอมิเนะเกินว่าสองเดือน ที่จริงเขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไม่ถึงสองสัปดาห์ด้วยซ้ำ แต่คุณป้าคงจะรอจนรู้สึกเหนื่อยและท้อแท้ กลัวว่าทั้งชีวิตจะไม่มีโอกาสได้มอบจดหมายนี้ให้แก่ใครสักคน ก็เลยเอามายัดเยียดให้เขาเสียเลย
เนื้อความในจดหมายนั้น เป็นการฝากฝังอาโอมิเนะไว้กับใครสักคนที่เจ้าตัวน่าจะมีแนวโน้มที่จะเปิดใจรับ ขอให้อดทนกับนิสัยไม่ดีหลายๆอย่าง ทั้งความเอาแต่ใจ ความฉุนเฉียว ความไม่มีเหตุผล ขอให้ช่วยดูแล อย่าปล่อยให้ความเศร้าของการสูญเสีย ทำลายชีวิตของอาโอมิเนะได้
“เรามันบ้าจริงๆ”
การอ่านเรื่องราวที่เขียนเอาไว้ในจดหมายนั้น ทำให้คิเสะเห็นอะไรหลายอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผืนดินแห่งนี้ ไม่สิ มันเห็นชัดอยู่แล้วต่างหาก แต่เขาแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น แกล้งทำเป็นไม่รู้ต่างหากล่ะ
พื้นที่ทุกตารางนิ้วในสวนนั้น ทั้งนิสัยดูแลเอาใจใส่ผู้อื่น ทั้งความสามารถในการทำอาหาร ทั้งหมดเป็นสิ่งที่อาโอมิเนะนั้นตั้งใจทำเพื่อคนคนนั้น ทุกอย่างสื่อความหมายไปถึงคนคนนั้น แม้จะไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว แต่คิเสะก็มั่นใจว่า ชายหนุ่มยังคงเพียรพยายามที่จะทำสิ่งนี้ต่อไปและจะทำต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมดลมหายใจ
“บ้าเอ๊ย”
ความทรงจำตอนสมัยมัธยมต้นย้อนคืนกลับมา ในวันที่เขาพูดความรู้สึกของตัวเองกับอาโอมิเนะ ชายหนุ่มปฏิเสธเขาอย่างไร้เยื่อใย ตอนนั้นเขารู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองถูกฉีกกระชากมาบดขยี้ไม่มีชิ้นดี ความรู้สึกที่จมลึกลงไปในความเศร้า ได้บอกกับตัวเองเอาไว้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า จะเลิกรักคนคนนี้
คนที่ไม่มีวัน...รักเราตอบ...
++++++++++
“คิเสะ คิเสะ”
“อ๊ะ ครับ”
“เหม่ออะไรน่ะ ? ตั้งใจหน่อยสิ”
เกือบเดือนแล้วที่คิเสะกลับมาทำงาน แต่เหมือนสติสะตังของเขายังไม่ค่อยเข้าที่ ในวันนั้นเขาเผ่นกลับมาโตเกียวโดยไม่ได้ร่ำลา นอนร้องไห้ จมดิ่งอยู่กับความเศร้า สมเพชในความงี่เง่าของตัวเองจนพอใจแล้ว ก็ค่อยพยายามฟื้นตัวกลับมา เพราะรู้ดีว่า ชีวิตต้องเดินต่อไปข้างหน้า หากในวันนี้เขายังมีลมหายใจ ก็ต้องดิ้นรนกันต่อไป ไม่ว่ามันจะเจ็บแค่ไหนก็ตาม
“กลับบ้านไปนอน ได้แล้วไป”
ทุกคนที่ทำงานต่างแสดงความเป็นห่วงเป็นใยเขาอย่างชัดเจน เหมือนกับคิดว่าแผลที่โดนแทงที่ไหล่สามารถกระทบกระเทือนถึงสมองได้ อย่างไรก็ตาม เขาแค่เหม่อลอยเวลาว่างๆ คิดฟุ้งซ่านตอนไม่มีงานทำ หากเป็นเวลาอยู่ในหน้าที่แล้ว เขาก็ไม่ได้ละเลยหรือบกพร่องตรงไหน ทุกคนจึงไม่ได้ตำหนิอะไร
“งั้นก็ไปก่อนนะครับ”
ปกติแล้วคิเสะจะให้แท็กซี่ไปส่งจนถึงหน้าบ้าน แต่วันนี้เขามีอารมณ์นึกอยากจะเดินเล่น จึงให้แท็กซี่แวะส่งกลางทาง ก่อนจะเดินชมบรรยากาศสองข้างทาง พวกต้นไม้เริ่มผลัดใบเป็นสีแดงสดกันหมดแล้ว เหมือนโลกใบนี้กลายเป็นโลกสีแดง ทำให้เขาหวนนึกถึงผลไม้สีแดงสุกที่เคยอยู่ในมือ ช่วงเวลาที่เขามีความสุขเหมือนกับความฝัน
“นี่ๆ ไปเล่นบาสเก็ตบอลกันเถอะ”
“เอ๋ ? ไม่เอาอ่ะ ถึงจะเล่นไปก็ไม่มีทางชนะพวกนั้นได้หรอก”
นี่คือบทสนทนาของเด็กชายสองคนในชุดนักเรียนมัธยมต้น คนหนึ่งพยายามตื้อให้ไปเล่นบาสเก็ตบอลด้วยกันให้ได้ แต่อีกคนดูไม่อยากไป ภาพนั้นทำให้เขาคิดถึงตัวเองในสมัยก่อน เพียงแต่อีกฝ่ายไม่ใช่ว่าไม่อยากไป เพราะกลัวแพ้ แต่บางทีก็ทำยึกยักเล่นตัว เพื่อจะแกล้งเขาเท่านั้นแหละ
“แพ้ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ แค่ได้เล่นก็สนุกแล้ว”
“จริงไหม ?”
มันเป็นคำพูดที่เรียบง่ายและได้ยินอยู่บ่อยครั้งในสถานที่ต่างๆ แต่ในตอนนี้มันกลับเป็นชิ้นส่วนที่เชื่อมตัว ไขปริศนาเขาวงกตในใจของคิเสะได้สำเร็จ เหมือนสิ่งที่วนเวียน ขมวดเป็นปมนั้นค่อยๆคลายออก คำตอบที่เขานึกอยากให้ใครสักคนบอก อยู่ใกล้แค่นี้เอง ทำไมถึงไม่สามารถคิดได้นะ
ตัวเขาเอง หลงรักอาโอมิเนะมาเป็นสิบปี รักโดยที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ตอบสนองต่อความรักนั้น เป็นความรักเพียงข้างเดียว แต่สุดท้ายก็ยังคงรักไม่ใช่เหรอ ถึงโลกนี้จะเปลี่ยนไปอย่างไร ถึงจะดิ้นรนพยายามเปลี่ยนตัวเองแค่ไหน แต่สุดท้ายมันก็เป็นแค่การหนีความจริงในใจ เพราะเขาก็ยังรักคนคนนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
“เรานี่มันทั้งโง่ทั้งบ้าเลยนะ”
“ที่หลงรักคนแบบนั้นได้”
อาโอมิเนจจิคนใจร้าย เป็นคนที่ไม่เคยคิดถึงจิตใจคนอื่น เมื่อตอนมัธยมต้นที่มีโอกาสได้ใกล้ชิด วาดหวังอยากอยู่ด้วยกันตลอดไป ก็ทำเย็นชาไม่สนใจ กลายเป็นคนขวางโลกไม่น่าคบ พอทำใจได้ อยากจะตัดใจ โชคชะตาก็กลั่นแกล้งให้เราได้พบกัน ทำให้ได้สัมผัสถึงด้านที่อ่อนโยนซึ่งไม่ได้เห็นมานาน ทำให้นึกถึงช่วงเวลาในวัยเยาว์ ซึ่งตัวนายเปล่งประกายเจิดจ้า จนฉันตกหลุมรักในครั้งแรกที่เห็น
“เอาล่ะ เป็นไงก็เป็นกัน”
ในเมื่อตัดสินใจแล้ว...ก็ลุยกันเลย...
++++++++++
ท่ามกลางแสงแดดที่ส่องลงมาจากท้องฟ้าสีคราม ตอนนี้เริ่มเข้าสู่หน้าหนาวแล้ว ลมเย็นๆพัดผ่านมา จนทำให้รู้สึกแสบผิว อาโอมิเนะ ไดคิกำลังจัดการกับสวนของตัวเองอยู่ เขาตั้งใจว่า บรรดาพืชผักทั้งหลายจะเติบโต เก็บเกี่ยวได้ประมาณอาทิตย์หน้า แล้วหลังจากนั้นเขาก็จะหยุดพักงาน เพราะในฤดูหนาวคงยากที่จะปลูกอะไรงอกงามดี
อาโอมิเนะเกลียดฤดูหนาว เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เขาว่างเสียจนชอบคิดอะไรฟุ้งซ่าน หิมะที่ตกลงมาทับถมกันนั้นเหมือนสิ่งที่ทับซ้อนกันในใจเขา หนาแน่นและหนักแน่น หนาวเย็นและด้านชา เสียจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ การนั่งอยู่คนเดียวในบ้าน ใช้ชีวิตแบบเรื่อยๆไปวันๆ มันช่างยาวนานเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด
“น่าเบื่อจังเลยนะ...”
หิมะแรกโปรยปรายลงมาโดนตัว อาโอมิเนะสบถออกมาเบาๆ เพราะบรรดาพืชผักยังเติบโตไม่ได้ที่ อาจจะตายเพราะความหนาวเย็นก็เป็นได้ ชายหนุ่มเกลียดหิมะและเกลียดความยาวนานของฤดูหนาว หลังจากหิมะแรกร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า มีเพียงสีขาวโพลนเท่านั้นที่จะเข้าครอบคลุมโลกใบนี้ ราวกับทุกอย่างกำลังหลับใหล ในห้วงเวลาที่หยุดนิ่ง
“ช่างหัวมันเถอะ...”
“จะยังไงก็ช่างมันเถอะ”
บางครั้งชายหนุ่มก็รู้สึกเหนื่อยกับการมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพียงลำพัง ใบหน้าของใครคนหนึ่งที่เขาได้เจอเมื่อประมาณสองเดือนก่อนแว่บขึ้นมาในหัว เจ้าบ้าผมทองที่ชอบแจกยิ้มให้เขาไปทั่ว แถมไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็ยิ้มได้อยู่เสมอ ราวกับว่า โลกของมันไม่เคยอับสิ้นแสงแห่งความหวัง
ถ้ามีเจ้าบ้านั่น...อยู่ด้วยล่ะก็...
อาโอมิเนะสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป เคยได้ยินมาว่าคิเสะมีหน้าที่การงานดี เป็นถึงนักบินของสายการบินชื่อดัง แล้วจะมีจมปลักอยู่ในบ้านนอกเหมือนเขาได้อย่างไร ครั้งก่อนคงมีเรื่องไม่สบายใจบางอย่าง ถึงได้หนีมาเที่ยวคนเดียว จะว่าไป ไอ้บ้านั่นจะไปจะมาดันไม่ยอมบอก อยู่ๆก็หายตัวไป โชคดีที่คุณลุงแถวสถานีจำหน้าได้ บอกว่ามีผู้ชายผมทองที่หน้าตาไม่คุ้น เพิ่งนั่งรถเมลล์กลับไป
แล้วเกิดอะไรขึ้นล่ะ...เห็นทำหน้ายังกับหมาถูกทิ้ง...
ที่จริงอาโอมิเนะก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เกิดอะไรขึ้นกับคิเสะ ในตอนแรกเขาเพียงแต่ต้องการจะให้ที่หลบภัยแก่เพื่อน เพราะเขาเข้าใจดีถึงความทุกข์ทรมานของการอยากหนีความจริงในเรื่องบางอย่าง เขาไม่ถาม เพราะคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่อยากเล่า แต่พอเวลาผ่านไป จากที่เขาเป็นคนให้ก็กลายเป็นคนได้รับ เขารู้สึกสุขใจ...ยามเมื่อได้อยู่ด้วยกัน...
“อาโอมิเนจจิ !!”
เสียงเรียกชื่อเขาทำให้ต้องหันกลับไปมองในทันที คนที่เขากำลังนึกถึงยืนอยู่ตรงนั้น ใส่เสื้อโค้ทตัวยาวไม่เข้ากับบรรยากาศรอบข้างเลยสักนิด แถมเหมือนเจ้าตัวจะเอากระเป๋าล้อลากใบใหญ่มาด้วย นี่ตั้งใจจะมาทำอะไรกันแน่เนี่ย
“อาโอมิเนจจิ”
เจ้าตัวเรียกชื่อเขาอีกครั้งแล้วทิ้งกระเป๋าล้อลากในมือ แล้ววิ่งมาหา ก่อนจะสะดุดล้มลงตรงหน้าเขา ก็แน่ล่ะ รองเท้าที่ใส่มา มันเหมาะสำหรับเดินในที่แบบนี้ที่ไหนกันล่ะ พอก้มตัวลงไปจะช่วยเหลือให้ลุกขึ้นยืน คิเสะก็ยันตัวลุกขึ้น เงยหน้ามองสบตาเขา ดวงตาสีทองคู่นั้นมองตรงมาทางเขา ด้วยแววตาซื่อตรง
“อาโอมิเนจจิ ฉันชอบนาย...”
เหมือนโลกของเขาหยุดหมุนไปพักหนึ่ง นายว่าอะไรนะ ?? นายชอบฉันเหรอ ??
“ไม่ต้องตอบอะไรทั้งนั้น ฉันรู้ว่า นายเคยปฏิเสธฉัน เพราะอย่างนั้น ไม่ต้องปฏิเสธซ้ำสองหรอก”
“ฉันไม่อยากฟังคำปฏิเสธ ฉันแค่อยากบอกนายเท่านั้น”
“แล้วก็...”
ชายหนุ่มผมทองค่อยๆยันตัวลุกขึ้นด้วยตัวเอง แม้จะมีดินโคลนเลอะเทอะเสื้อผ้าที่ดูราคาแพง แต่เจ้าตัวกลับยิ้มกว้างให้กับเขา เป็นรอยยิ้มที่สดใส เหมือนกับว่าคนคนนี้สามารถรู้สึกได้ถึงความสุขของคนทั้งโลก
“ฉันจะทำให้นายหลงรักฉันให้ได้เลย !!”
ฤดูหนาวในปีนั้นเป็นฤดูหนาวที่อาโอมิเนะจะจดจำไปอีกนานแสนนาน มันเป็นครั้งแรกตั้งแต่คนคนนั้นจากไปที่หน้าหนาวนั้นไม่ได้หยุดนิ่งเสียจนน่ารำคาญ ไม่ได้เย็นชาจนน่าเจ็บปวด แต่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ความมีชีวิตชีวาที่ได้รับจากคนคนหนึ่ง แสงสีทองที่ก้าวเข้ามาในชีวิตของเขา
ในยามที่ชีวิตเต็มไปด้วยความเศร้า...มากมายเสียจนไม่รู้ว่ามันจะสิ้นสุดลงเมื่อใด...
โชคชะตาได้ส่งความสุขเล็กๆ...ที่ดูเผินๆไม่ค่อยจะได้เรื่องได้ราวสักเท่าไร...
แต่ความสุขนั้น...ก็ค่อยๆเติบใหญ่ในใจของเขาจนกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้...
ความสุขเล็กๆ...ที่เป็นสีทอง...
..ความสุขที่มีชื่อว่า...คิเสะ เรียวตะ...
++++++++++
ผลงานอื่นๆ ของ monochrome bird ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ monochrome bird
ความคิดเห็น