ตอนที่ 37 : Special Ch. I การพบกันของโชคชะตา [สปอย]
เพียงกระพริบตาหนึ่งครั้ง คุณชายเฟย์ลินน์ตัวน้อยในวันวานก็เติบโตขึ้นเป็นคุณชายแสนสง่างาม รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลาทว่าเจือความอ่อนโยน รอยยิ้มสดใสคล้ายแสงแดดอ่อนๆ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ยิ่งขับให้ชายหนุ่มดูนุ่มนวลและอบอุ่น
ชีวิตของการก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ไม่ได้ง่ายแต่ก็ไม่ได้เต็มไปด้วยขวากหนามมากมายอะไร ทุกอย่างล้วนถูกจัดเตรียมเอาไว้โดยแอชลีย์หมดแล้ว
ตั้งแต่อายุ 18 ปี เฟย์ลินน์ก็มักได้เรียนรู้งานเล็กๆ น้อยๆ ของตระกูลคิมมาบ้างจนกระทั่งตอนนี้เขากลายเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งแล้วภาระหน้าที่ก็เริ่มมากขึ้น ได้ทำงานจริงจังมากขึ้นภายใต้การดูแลของคุณพ่อ
ไม่นานมานี้ชายหนุ่มได้รับทราบว่าตนเองจะต้องเดินทางไปร่วมการประชุมของผู้ประกอบการรายใหญ่ต่างๆ ในอีสเทิร์นพอร์ตพร้อมคุณพ่อ ธุรกิจของทางตระกูลคิมเองก็กำลังเติบโตไปด้วยดีฉะนั้นการประชุมสำคัญครั้งนี้พวกเขาจึงได้รับเชิญให้เข้าร่วมด้วย
ไปคราวนี้อาจเรียกว่าเป็นผู้ติดตาม แม้เขาไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วยเหมือนคุณพ่อแต่แค่ได้ติดตามไปก็นับว่าได้เรียนรู้งานมากมายแล้ว อีกทั้งนี่จะเป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสไปตรวจสอบท่าเทียบเรือของตระกูลคิมซึ่งทำสัญญาเช่าจากทางนาวีเจี้ยนหรือก็คือตระกูลแลมเบิร์ตด้วยตนเอง
ฉะนั้นเขาจึงทั้งประหม่าและตื่นเต้นมาก
นับเป็นครั้งที่สองแล้วกับการมาเยือนอีสเทิร์นพอร์ต ครั้งแรกเป็นเมื่อตอนเขาอายุ 8 ขวบ ครั้งนี้นอกจากคุณพ่อแล้วท่านแม้เองก็มาเช่นกัน พวกเราถือโอกาสอันเหมาะเจาะนี้หลบอากาศหนาวมาพักผ่อนยังเมืองท่าทางตะวันออก
เพราะเดินทางตั้งแต่เช้าตอนมาถึงโรงแรมพวกเรายังมีเวลาให้เดินเล่นเที่ยวเตร่กันก่อนจะเริ่มทำงานในวันพรุ่งนี้ แอชลีย์แนะนำให้ลูกชายพาซินเธียไปเดินเล่นตลาดพื้นเมืองของอีสเทิร์นพอร์ต ที่นั่นมีของมากมายให้เลือกซื้อแทบจะทุกประเภทที่ต้องการ โดยเฉพาะเครื่องเทศที่ท่านแม่ชอบ ส่วนตัวแอชลีย์นั้นเนื่องจากยังมีธุระให้ต้องจัดการจึงแยกออกไปคุยธุระอีกที่หนึ่ง
ตลาดแห่งนี้คึกคักมากแม้จะเป็นช่วงบ่ายเฟย์ลินน์พาซินเธียไปเลือกซื้อเครื่องเทศยังร้านประจำแห่งหนึ่ง เจ้าของร้านเป็นคนจากดินแดนทางใต้รูปร่างสูงใหญ่และมีผิวสีแทน แม้จะมาไม่กี่ครั้งแต่พวกเขาก็สามารถพูดคุยกันได้อย่างสนิทสนม พ่อค้าคนนั้นจำซินเธียได้ในทันทีด้วยลักษณะเด่นของคนแดนใต้นั้นโดดเด่นและมีลักษณะที่มองเพียงปราดเดียวก็ดูออก
ซินเธียแนะนำเฟย์ลินน์ให้กับพ่อค้าคนนั้นรู้จักว่านี่คือลูกชายของตน พวกเขาคุยกันต่ออีกหลายประโยคก่อนสุดท้ายจะจ่ายเงินและใช้บริการขนส่งบรรดาเครื่องเทศทั้งหมดให้ส่งไปยังโรงแรม นอกจากของที่เลือกซื้อแล้วก็ยังได้รับของแถมมาอีกมากมายถือเป็นน้ำใจจากคนบ้านเดียวกัน
เมื่อได้ของที่ต้องการแล้วที่เหลือก็เป็นเพียงการเดินดูของเรื่อยเปื่อย เฟย์ลินน์ไม่ได้สนใจสิ่งไหนเป็นพิเศษ มากสุดก็ทำเพียงเข้าไปมองเท่านั้นสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้สิ่งใดติดมือกลับมาเลยนอกจากหมวกรูปร่างแปลกตาสองใบที่เขาซื้อให้กับคุณพ่อกับท่านแม่
ในระหว่างที่กำลังจะกลับนั้นจู่ๆ ทั้งสองคนก็ได้ยินคล้ายมีคนตะโกนเรียกใครบางคน มันคงจะไม่ใช่เรื่องน่าสนใจเลยหากว่าชื่อนั้นจะไม่ใช่ชื่อที่ติดอยู่ในความทรงจำของคนทั้งสอง
“ฟราน!!!! ไอ้บ้า”
พลันหัวใจเต้นระรัว ชายหนุ่มรีบหันไปทันทีราวกับถูกบางอย่างสะกิดเข้า ทว่า ก็พบเพียงความว่างเปล่า นอกจากกลุ่มคนที่เดินสวนกันไปมาขวั่กไขว่แล้วก็ไม่มีสิ่งใดอีก
เฟย์ลินน์หันไปสบตากับมารดา ดวงตาทั้งสองคู่สื่อสารกันด้วยความรู้สึกซับซ้อนยากจะกล่าว เขาแน่ใจว่าตนเองไม่ได้หูฟาดอย่างแน่นอนและความคิดนั้นก็ได้รับคำยืนยันจากสีหน้าของท่านแม่
“เฟรย์ เมื่อครู่...” ซินเธียเอ่ยด้วยความไม่แน่ใจ
“อย่างไรก็ตาม เรากลับโรงแรมกันก่อนเถอะครับ วันนี้ท่านแม่เหนื่อยมากแล้ว”
ซินเธียพยักหน้ารับเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินกลับไปยังทางเดิม ในใจเต็มไปด้วยความสับสน ด้านเฟย์ลินน์นั้นรู้สึกไม่ต่าง ตอนที่ประคองท่านแม่เดินไปนั้นก็ยังอดหันกลับมามองด้านหลังอีกครั้งไม่ได้
ไม่ผิดแน่ คำที่ตนได้ยินเมื่อครู่ไม่ผิดแน่
มันคือชื่อของพี่ชายฝาแฝดที่หายสาบสูญไป
คืนวันนั้นพวกเขากลับไปถึงโรงแรมด้วยจิตใจสับสน ต่อให้ไม่พบใครแต่มันก็ยากจะเชื่อว่าพวกเขาเพียงแค่หูฝาดไป เฟย์ลินน์ตัดสินใจว่าจะยังไม่คุยเรื่องนี้กับคุณพ่อ ท่านแม่เองก็เห็นพ้องเช่นเดียวกัน
เช้าวันถัดมาเฟย์ลินน์ติดตามแอชลีย์ไปยังท่าเรือนาวีเจี้ยน ทุกสามปีการประชุมใหญ่ระหว่างผู้ประกอบการมักจะหมุนวนสถานที่จัดไปเรื่อยๆ โดยครั้งนี้ทางนาวีเจี้ยนได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพ
ระหว่างเดินทางไปยังตึกที่ใช้จัดการประชุมพบเหล่านักธุรกิจประปราย ทุกคนล้วนรู้จักมักคุ้นกันดี ท่านชายคิมถือโอกาสนี้แนะนำลูกชายคนเล็กให้คนเหล่านั้นรู้จัก พวกเขายินสนทนากันตามมารยาทครู่หนึ่งก็มุ่งหน้าเข้าสู่ห้องประชุม
แอชลีย์กำชับลูกชายเล็กน้อยเรื่องที่สามารถเดินสำรวจบริเวณโดยรอบได้แต่อย่าเดินเพ่นพ่านไปไหนไกลอีกก่อนหมุนตัวเดินตามคนอื่นๆ เข้าไปในตึก
เพราะไม่มีอะไรทำสุดท้ายก็เลยได้แต่เดินเตร็ดเตร่อยู่แค่บริเวณนั้น ชายหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบกาย นาวีเจี้ยนคือท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในเมืองตะวันออกแห่งนี้ ในแต่ละวันมีเรือจากต่างแดนเข้ามาขอเทียบท่ามากมาย
เขามองเรือลำที่อยู่ไม่ไกล มันมีขนาดใหญ่กว่ามนุษย์สามถึงสี่เท่าไม่ทราบว่ามาจากดินแดนทางใด ภาษาของกลุ่มคนบนเรือแตกต่างฟังไม่รู้ความอีกทั้งการแต่งตัวก็ยังแปลกตา
พ่อค้าต่างแดนกลุ่มนั้นเจรจาบางอย่างกับผู้ดูแลของท่าเรือจากนั้นพวกเขาก็ให้คนไปขนของลงมาเป็นลังไม้ขนาดใหญ่วางเรียงบริเวณพื้นใต้เรือ คนงานเปิดมันออก ผู้ดูแลเดินเข้าไปตรวจสินค้าทีละลังอย่างตั้งใจ กระบวนการนี้ดูเหมือนจะเป็นขั้นตอนของการตรวจสอบสินค้าที่จะนำมาขายว่าเป็นของประเภทใด ของใช้หรือวัตถุดิบ
ชายหนุ่มมองต่ออีกครู่ใหญ่ ตอนแรกดวงตาอำพันจับจ้องเรือลำใหญ่ตรงหน้ามองดูการทำงานของเหล่าพ่อค้าด้วยความสนใจแต่พอนานเข้าดวงตาก็เริ่มเลื่อนลอย เขาขบคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานตอนออกไปเดินเที่ยวชมตลาดพื้นเมืองกับท่านแม่
ฟราน
เสียงเรียกชื่อนั้นยังติดในใจคล้ายก้อนตะกอนที่ไม่อาจกำจัดออก ได้แต่ตกค้างอยู่ก้นบึ้งของห้วงความคิดเช่นนั้นพอวันหนึ่งกระแสน้ำถูกสะกิดเศษละอองก็แตกตัวลอยคว้าง
อาจเพราะมัวแต่เหม่อลอยจึงไม่ทันระวัง ประสาทสัมผัสรอบกายทำงานช้าลงชั่วขณะ กว่าจะรู้ตัวอีกครั้งก็เป็นตอนที่แขนข้างหนึ่งถูกกระชากให้หันกลับไป
"เรากำลังจะสายแล้ว! ผมตามหาคุณทั่วไปหมดมายืนทำบ้าอะไรตรงนี้"
"หา?"
เฟรย์สับสนมึนงง ขืนท่อนแขนของตัวเองซึ่งถูกอีกคนพยายามฉุดกระชากให้เดินตามไปด้วยกันเอาไว้ เขาจ้องพินิจพิจารณาคนตรงหน้าที่ตัวเล็กกว่าหนึ่งช่วงศีรษะ ใบหน้าหมดจดดูอ่อนวัย ดวงตาสีท้องทะเลและกลุ่มผมสีอ่อน ดูแล้วน่าจะอายุน้อยกว่าตนอีกด้วย
อัลฟ่า?
เขามองคนตรงหน้าอีกครั้งอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่การไม่สามารถสัมผัสได้ถึงฟีโรโมนของทางนั้นก็เป็นตัวช่วยยืนยันได้ดี ส่วนสาเหตุที่ไม่คิดถึงเบต้าก็เพราะนาวีเจี้ยนแห่งนี้นอกจากเหล่าพ่อค้าทั่วไปแล้วก็คงจะมีแต่อัลฟ่าเดินเตร็ดเตร่ให้เห็น
เรื่องเกี่ยวกับการที่คนของตระกูลแลมเบิร์ตมีแต่อัลฟ่าไม่เว้นแม้กระทั่งคนงานในตำแหน่งเล็กๆ นั้นเป็นที่รู้กันไปทั่วสำหรับแวดวงชั้นสูงหรือกลุ่มธุรกิจมันจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับการเดา อีกทั้งในหมู่อัลฟ่าด้วยกันเองจะสามารถสัมผัสฟีโรโมนของฝ่ายตรงข้ามได้เช่นกัน เจ้ากลิ่นที่ว่าคนตรงหน้าก็มีอยู่หรอก แต่ไม่รู้ทำไมเขารู้สึกแปลกๆ พิกล
พอการกระทำถูกหยุดชะงัก คนคนนั้นถึงได้ค่อยมีเวลาหันมามองกันให้มากขึ้นอีกนิด ดวงตาคู่นั้นทำทีสำรวจก่อนจะเอ่ยออกมา
"โอ้ แปลกนะกับการได้เห็นคุณในสภาพปกติธรรมดาบ้าง"
ชายหนุ่มขมวดคิ้วหลังโดนวิจารณ์เสื้อผ้า ซึ่งวันนี้เลือกสวมเชิ้ตสีฟ้าอ่อนสบายๆ สวมทับด้วยเสื้อนอกสีกรมเข้ากันได้ดีกับกางเกงสีขาว... เกี่ยวกับการแต่งกายของตนนั้นก็เป็นลักษณะนี้เฉกเช่นทุกวัน ไม่เห็นจะมีอะไรผิดแปลกไป คนตรงหน้านี้ต่างหากที่ดูแปลกน่ะ
ต่างคนต่างเงียบไปครู่หนึ่ง ขบคิดเรื่องแตกต่างกัน โดยเฉพาะเฟรย์นั้นสมองของชายหนุ่มมีแต่ความสับสนมึนงง ไม่เข้าใจการมาของคนตรงหน้าเลยสักนิด และเพราะมัวแต่งงอยู่นั่นแหละถึงได้ถูกฉวยโอกาสฉุดกระชากลากถูให้เดินตามไป
"เรื่องอื่นเอาไว้ก่อน เราไม่มีเวลาแล้ว!" เด็กหนุ่มปริศกล่าวจริงจัง
สมองของชายหนุ่มเบลอไปหมด ทั้งไม่เข้าใจตัวเองที่บ้าจี้เดินตามแรงจูงของคนเด็กกว่า ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรมากแต่พอเห็นอาคารตรงหน้าอันเป็นจุดหมายในใจก็รู้สึกสังหรณ์ไม่ดี ภายในใจหนาวยะเยือกยิ่งกว่าเดิมเมื่อพวกเขาเข้าไปในอาคารดังกล่าวอันเป็นสถานที่จัดประชุม และขณะนี้คุณชายคิมก็ได้เข้ามานั่งอยู่ด้านในห้องประชุมเรียบร้อยแล้ว!
เฟย์ลินน์สังเกตบรรยากาศรอบกายกระทั่งสายตาไปบรรจบเข้ากับดวงตาสีอำพันเคร่งขรึมจ้องเขม็งมาอยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มสะดุ้งพยายามส่งยิ้มไปให้ผู้เป็นบิดาแต่เพราะความประหม่ามุมปากจึงกระตุกไม่หยุด
ก่อนหน้านี้คุณพ่อก็ได้กำชับมาแล้วว่าไม่ให้เดินเพ่นพ่าน แต่ใครจะคาดคิดล่ะ เขาไม่ได้ตั้งใจเข้ามาในนี้เสียหน่อย เห็นได้ชัดเจนว่ามันเป็นอุบัติเหตุ
ก็ได้แต่หวังว่าคุณพ่อจะเข้าใจ ฉะนั้นจึงได้ค่อยๆ ลากสายตาออกมาจากบิดาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพอดิบพอดี
เวลานี้ผู้เข้าร่วมประชุมมากันพร้อมหน้าแล้ว ตรงด้านหน้าห้องประชุมมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกไปเริ่มพูดเป็นคนแรกถือเป็นการเปิดการประชุมอย่างเป็นทางการ เสียงปรบมือดังต้อนรับ เฟย์ลินน์เองก็ยังมือขึ้นตบตามคนในห้องด้วยความแนบเนียน
การประชุมดำเนินไปราวๆ สามชั่วโมงก็สิ้นสุดลง เฟรย์พยายามตั้งใจฟังและเก็บทุกถ้อยคำมาขบคิด ในความโชคร้ายยังนับว่าโชคดี การจับพลัดจับพลูเข้ามาร่วมครั้งนี้ทำให้ชายหนุ่มได้เปิดประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น อีกอย่างตอนกลับโรงแรมหากจะโดนคุณพ่อตำหนิก็ยังพอมีความรู้ไปพูดโอ้อวดเพื่อลดโทษลงได้บ้าง
เดิมทีใช่ว่าแอชลีย์จะไม่อยากให้ลูกชายได้มีโอกาสเข้ามาฟังอะไรแบบนี้ แต่เพราะการจัดประชุมนั้นเชิญแต่ระดับผู้บริหารใหญ่มาทั้งนั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมเด็กคนนั้นถึงได้ลากพาตนเข้ามาถึงในห้องประชุมได้
พอทุกอย่างเสร็จสิ้นลงเขาคิดว่าจะไปรอเจอคุณพ่อหน้าห้องเพราะรู้ดีว่างานแบบนี้จนถึงตอนท้ายก็จะมีการพบปะพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อยตามประสานักธุรกิจ
ตอนดินออกมาเขาเต็มไปเดินออกอยู่แล้วไม่คาดว่าคนข้างตัวไม่รู้กลัวอะไรถึงได้จับต้นแขนของเฟรย์เอาไว้แน่นพลางดึงให้เดินออกไปพร้อมกัน
แต่ลากออกไปได้ไม่ทันไรคนข้างตัวก็หยุดเดินเอาเสียดื้อๆ จนเฟย์ลินน์ที่ถูกลากให้เดินมาด้วยกันเกือบจะหยุดไม่ทันแล้วเสียการทรงตัว
“นาวี่”
เสียงทุ้มอันคุ้นหูดังขึ้น เฟย์ลินน์รีบเงยน้าขึ้นทันที
แล้วร่างทั้งร่างก็แข็งค้างไป
ซึ่งไม่ใช่แค่ตน เฟรย์สัมผัสได้โดยไม่ต้องกันไปมองว่าคนข้างตัวนั้นก็มีอาการไม่ต่างกันอีกทั้งมือที่จับต้นแขนเอาไว้ก็เผลอเพิ่มแรงบีบมากขึ้นจนรู้สึกเจ็บเล็กน้อย
แต่ทั้งหมดนั้นไม่ได้อยู่ในความสนใจของชายหนุ่ม
เขาจ้องเขม็งไปยังคนตรงหน้า ร่างกายสูงใหญ่ ใบหน้าเคร่งขรึมเรียบเฉย เป็นสีหน้าอันแสนคุ้นเคย ไม่สิ ต้องเรียกว่าใบหน้าที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วเลยต่างหาก!
ต่างคนต่างนิ่งอึ้ง คล้ายกับห้วงเวลาถูกหยุดไปชั่วขณะ ท่ามกลางเสียงพูดคุยของเหล่าผู้ประกอบการเดินสวนกันออกมาจากห้องประชุมดังจอแจบรรยากาศรอบตัวคนทั้งสามกลับเงียบสงัด
ยืนจ้องกันอยู่นานชายหนุ่มตรงหน้าเป็นคนแรกที่ได้สติ เขาลดมือที่ถือกล่องพลาสติกลงแล้วเอ่ยปากเรียกใครสักคนให้เข้าไปหา ซึ่งน่าจะหมายถึงเด็กหนุ่มข้างกายของเฟรย์ในตอนนี้
“นาวี่ มาทางนี้” ชายหนุ่มเรียกเสียงเข้ม ในดวงตาอำพันเต็มไปด้วยท่าทีระแวดระวัง
เด็กหนุ่มรีบปล่อยมือที่จับแขนเฟรย์เอาไว้ราวกับต้องของร้อนก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหลบอยู่ด้านหลังของคนตรงหน้า
ไม่ผิดแน่
เฟรย์เผลอกำมือแน่นไว้ข้างหนึ่ง ต่อให้เขาจะไม่เคยพบพาน เพียงได้ยินเรื่องเล่าจากท่านแม่มาโดยตลอด แต่พอได้มองเห็นอีกคนยืนอยู่ตรงหน้ากลับมั่นใจได้ในทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดให้มากความ
คนที่รอคอยมาตลอด หวังว่าสักวันคงได้พบกันอีกครั้ง คนที่ไม่เคยได้อยู่ร่วมกันแต่กลับเกิดความรู้สึกผูกพันอย่างน่าประหลาดคล้ายมีสายใยบางอย่างเชื่อมโยงจิตใจของทั้งสองเอาไว้
พี่ชายฝาแฝดของเขา ฟรานซิส
ดีใจ ตื่นเต้น ประหม่า มึนงง หลากหลายความรู้สึกไม่ทันตั้งตัวอัดแน่นอยู่ภายในอก ทั้งที่เคยแอบคิดไว้ว่าหากมีโอกาสได้พบกันประโยคแรกที่จะพูดคืออะไร แต่พอเจอเข้าจริงเขากลับกลายเป็นคนน้ำท่วมปาก พูดไม่ออกแม้แต่สักครึ่งคำ แต่ยืนเงียบงันเหมือนคนบื้อใบ้อยู่แบบนั้น
“คุณเป็นใคร”
ในที่สุดฟรานซิสก็ยอมเปิดปากครั้งแรกจากการเล่นสงครามประสาทมานาน ในน้ำเสียงนั้นเจือแววสงสัยใคร่รู้ ระแวดระวังเอาไว้
พอได้ยินน้ำเสียงที่มีความคล้ายคลึงกัน เฟย์ลินน์ก็สามารถควานหาสติของตัวเองพบในที่สุด เขาถูมือไปมาด้วยความรู้สึกประหม่าและตื่นเต้น ในใจอยากจะพูดเรื่องดีใจที่ได้พบกันออกไปแต่ก็คิดว่าอาจจะฟังดูไม่เหมาะสมหรือดูเป็นคนแปลกประหลาด สุดท้ายเลยได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่แบบนั้น
ใจเขารู้ดี เพราะท่านแม่คอยพร่ำบอกเสมอเกี่ยวกับการที่ตนนั้นมีพี่ชายฝาแฝด แต่สำหรับฟรานซิสแล้วอีกฝ่ายคงไม่ได้คิดแบบนั้น
“ผมเฟย์ลินน์ครับ” เขาตัวกระแอม แอบเหล่ตามองเด็กหนุ่มด้านหลังพี่ชายแวบหนึ่ง แล้วแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ โดยไม่ลืมถามชื่ออีกฝ่ายด้วยเพื่อแสดงมารยาทอันดีงามต่อให้ในใจอยากจะตะโกนคำว่าพี่ชายออกไปมากแค่ไหนก็ตาม “เฟย์ลินน์ คิม ส่วนคุณ...?”
“ฟรานครับ” เจ้าตัวตอบกลับมาเรียบๆ
“ฟราน...” เฟย์ลินน์ครางในลำคอ รู้สึกตื่นเต้นเพราะฟรานยังใช้ชื่อเดิมยิ่งเป็นคำยืนยันได้ดี เขาสงบใจแล้วหันไปหาเด็กหนุ่มอีกคน
“ส่วนคุณทางนั้น นาวี่? สินะครับ” เอ่ยชื่ออย่างไม่แน่ใจนัก เขาเรียกตามที่ได้ยินฟรานเมื่อครู่
“เขาคือนาวีเนซ” ฟรานแก้ ไม่รู้ทำไมถึงคล้ายกับมองเห็นประกายความขุ่นข้องใจอยู่ในดวงตาคู่นั้น เมื่อถูกเน้นย้ำมาแล้วเขาจึงรีบแก้คำใหม่ทันที
“อ้อ... คุณชายนาวีเนซ แลมเบิร์ตแห่งนาวีเจี้ยน”
อัลฟ่าหนุ่มคนนี้เป็นที่รู้จักอยู่แล้วในอีสเทิร์นพอร์ตกับฐานะนายท่าคนต่อไป ฉะนั้นต่อให้พึ่งพบกันครั้งแรกแต่พอได้ยินชื่อก็ทำให้นึกออกทันที
“ผมพอจะเข้าใจเหตุผลของการกระทำคุณก่อนหน้าแล้วล่ะ ไม่เป็นไรนะครับเรื่องแบบนี้บางทีมันก็เกิดขึ้นได้” เฟรย์ส่งยิ้มละไมไม่ถือสาหาความให้คุณชายแลมเบิร์ต
ถ้าจะเป็นเพราะคิดว่าเขาเป็นฟรานอย่างนั้นมันก็สมเหตุสมผลแล้วล่ะ ต่อให้พี่ชายจะดูรูปร่างแข็งแรงกว่านิดหน่อยแต่หากไม่สังเกตดีๆ หรือยู่ในสถานการณ์เร่งรีบแบบก่อนหน้าจุมองผิดไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแล้ว อีกทั้งเฟรย์ยังนึกขอบคุณเด็กหนุ่มอย่างสุดหัวใจ ความผิดพลาดในครั้งนี้นำพาให้เขามาพบพี่ชายฝาแฝดโดยบังเอิญ
“ขอโทษด้วยนะครับ” ทางนั้นตอบกลับมา
“พี่... เอ่อ คุณฟรานรอสักครู่นะครับ”เฟย์ลินน์เหมือนพึ่งนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้ เขาหันซ้ายหันขวา “อย่าพึ่งไปไหน!”
กล่าวจบแล้วก็วิ่งย้อนกลับไปทางห้องประชุมทันที ก่อนหน้าเพราะมัวแต่ตื่นเต้นดีใจมากไปหน่อยสิ่งที่อยู่ในหัวก็ลืมไปหมด ตอนนี้เขาต้องรีบนำเรื่องนี้ไปบอกให้คุณพ่อรู้โดยเร็ว
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นแอชลีย์กำลังติดพันอยู่กับนักธุรกิจกลุ่มหนึ่ง ทีแรกตั้งใจว่าทันทีที่การประชุมเสร็จสิ้นลงจะเข้าไปคุยกับลูกชายคนเล็กถามไถ่ถึงสาเหตุที่อีกฝ่ายเข้ามานั่งร่วมอยู่ในการประชุมแทนการยืนรออยู่ด้านนอกตามที่ตกลงกันไว้ ยังไม่นับที่เดินเข้ามาพร้อมกับลูกชายของฮิลล์อีกแต่แผนการในหัวก็ต้องหยุดลงชั่วคราวเนื่องจากนักธุรกิจเหล่านี้กำลังสนใจจะร่วมลงทุนด้วย กลับกลายเป็นว่าพูดคุยหารือกันนานจนลืมเวลา
“คุณพ่อครับ”
แอชลีย์เห็นลูกชายเดินเข้ามาใกล้ก็หันไปกล่าวกับผู้คนในวงสนทนาสองสามคำ ในใจรู้สึกโล่งอกกับการสามารถปลีกตัวออกมาได้เสียที
“มีอะไรอย่างนั้นหรือ”
เฟย์ลินน์ยื่นใบหน้าเข้าไปกระซิบข้างใบหูของผู้เป็นบิดาถึงสิ่งที่พึ่งประสบมา ประเด็นนี้ค่อนข้างอ่อนไหวสำหรับครอบครัวเขาจึงไม่อาจพูดออกไปได้มากท่ามกลางกลุ่มชนเช่นนี้ พอได้ยินคำพูดนั้นใบหน้าเรียบเฉยของแอชลีย์เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที เรียวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันฉายแววจริงจัง
“นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ”
“เป็นเขาจริงครับ ผมให้ยืนรออยู่ด้านนอก” เฟย์ลินน์เองก็ยืนยันด้วยใบหน้าจริงจังไม่แพ้กัน หน้าตาเหมือนกันขนาดนี้คงเป็นใครคนอื่นไปอีกไม่ได้อีกแล้ว
พูดถึงตรงนี้ความตื่นเต้นในใจของชายหนุ่มยังไม่หายไปเลยสักนิด
แอชลีย์ยืนนิ่งคล้ายกำลังใช้ความคิด เขาผละออกไปหากลุ่มผู้ประกอบการอีกด้านเพื่อเอ่ยลา “ผมมีธุระต้องรีบไปจัดการวันนี้ขอตัวกลับก่อนนะครับ หวังว่าจะมีโอกาสคุยกันวันหน้า”
“ครับ ไม่เป็นไร ในเมื่อมีธุระสำคัญพวกเราก็ไม่คิดรั้งคุณไว้” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งตอบรับ แม้แววตาจะเจือความเสียดายเล็กน้อยแต่มันก็เป็นแค่ชั่ววูบเดียว
แอชลีย์โค้งลาตามมารยาท รีบหมุนตัวกลับมาหาลูกชายคนเล็กทันที เอ่ยเสียงเข้ม “รีบนำทางไป”
สิ่งที่เฟย์ลินน์กล่าวนั้นเป็นความจริง มีชายหนุ่มสองคนยืนสนทนากันอยู่บริเวณมุมหนึ่งไม่ไกลจากห้องประชุม คนหนึ่งยืนหันหน้ามา มองปราดเดียวก็รู้ว่าคือคุณชายแลมเบิร์ต ส่วนอีกคนที่กำลังยืนหันหลังอยู่นั้นยังไม่เห็นใบหน้าแต่กลับให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
แอชลีย์สูดลมหายใจเข้าลึกในวินาทีที่ฝีเท้าก้าวเข้าไปใกล้คนทั้งสองมากขึ้นเรื่อยๆ ก้อนเนื้อในอกเต้นระรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมานาน
จวบจนกระทั่งระยะห่างร่นเหลือเพียงหนึ่งช่วงแขน เด็กหนุ่มคนนั้นหันกลับมาเชื่องช้า นัยน์ตาอำพันทอประกายอ่อนสบกันนิ่งยิ่งตอกย้ำความรู้สึกพรั่งพรูภายในใจให้แทบล้นทะลักออกมา
“สวัสดีครับ” ฟรานค้อมศีรษะให้ กล่าวทักทายตามมารยาท
“เธอ...” กล่าวเพียงเท่านั้นแล้วเงียบไป แอชลีย์ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนคำพูด “เราไปหาที่คุยกันสักหน่อยดีไหม”
“ผมจะสั่งให้คนเตรียมห้องรับรองให้ครับ” นาวี่กล่าวอย่างรู้งานในฐานะเจ้าบ้าน แม้จะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกประหลาดระหว่างพวกเขา ทว่าก็ได้แต่เก็บงำความรู้สึกนั้นเอาไว้ในใจชั่วคราวก่อน
“ขอบคุณ” ท่านชายคิมพึมพำตอบ เป็นฝ่ายเดินตามว่าที่นายท่าแลมเบิร์ตไปยังห้องรับรองในตึกสำนักงานซึ่งตั้งอยู่คนละอาคารกับห้องประชุมใหญ่
ภายในห้องรับรองนั้นบรรยากาศไม่ได้แตกต่างจากตอนอยู่ในโถงห้องประชุมมาก ฝ่ายของตระกูลคิมนั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม ส่วนฟรานนั่งกับนาวี่ เด็กหนุ่มลอบมองอัลฟ่าทั้งสามโดยไม่ปริปากอะไร ผ่านมาราวห้านาทีแล้วก็ยังไม่มีใครคิดเปิดปาก แม้แต่น้ำชาที่นำออกมารับรองก็ไม่มีใครคิดแตะต้อง
แต่พอได้มองได้มาสังเกตชัดเจนแล้ว นอกจากคุณเฟย์ลินน์จะมีใบหน้าเหมือนกับฟราน คนทั้งสองก็มีหลายส่วนคล้ายคลึงกับท่านชายคิม นี่คงไม่ใช่ว่า...
นาวีเนซหันไปมองคนข้างกาย แต่ไหนแต่ไรฟรานก็ไม่มีที่มาที่ไปชัดเจน ทุกคนทราบเพียงแต่ว่าชายหนุ่มเป็นเด็กกำพร้าซึ่งถูกคุณโรสรับมาเลี้ยงเท่านั้น ตอนเขามาอยู่คริสตัลสตรีมครั้งแรกก็มีความคิดเป็นของตนเองแล้ว ไม่มีใครพูดถึงเรื่องอดีตอีก ฟรานเองก็ไม่เคยเอ่ยถึงพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด
หากจะมีก็เพียงครั้งนั้น ในบึงน้ำที่เรานั่งอยู่บนเรือด้วยกัน
“เธอ... ชื่ออะไรนะ” แอชลีย์เอ่ยขึ้นมาในที่สุดหลังปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาพักใหญ่ ซึ่งฟรานก็ยังคงตอบคำถามเดิมด้วยท่าทีสงบนิ่ง
“ฟรานครับ”
แอชลีย์พยักหน้า เขาเงียบไปอีกครั้ง
“นานมาแล้ว ฉันกับภรรยามีลูกชายฝาแฝดคู่หนึ่ง” อัลฟ่าตรงหน้าเปรย ทอดสายตาทะลุออกไปนอกหน้าต่างไร้ซึ่งจุดพัก “น่าเสียดาย มีคนไม่ต้องการให้พวกเขามีชีวิตอยู่และด้วยสถานการณ์บีบบังคับ พวกเรารักษาลูกเอาไว้ได้เพียงคนเดียว”
น้ำเสียงของแอชลีย์นั้นเดี๋ยวหนักเดี๋ยวเบาคาดเดาอารมณ์ของอีกฝ่ายได้ค่อนข้างยาก เขายังคงเล่าต่อไปท่ามกลางความสนใจของคนทั้งสาม
“เราพยายามตามหาลูกชายคนโตไม่ว่าจะที่ไหนก็ตามแต่ก็ไม่พบแม้แต่ร่างไร้วิญญาณ นั่นทำให้พวกเรายังคงมีความหวังเสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม เอาแต่คิดว่าในกรณีเลวร้ายหากเขาไม่อยู่แล้วอย่างน้อยมันก็ควรจะมีร่องรอยบ้าง ฟังดูช่างเป็นความคิดที่ดื้อรั้นนะว่าไหม?”
แอชลีย์ลากสายตากลับมาสบเข้าไปยังดวงตาสีเดียวกันของชายหนุ่มตรงหน้า ริมฝีปากคลี่รอยยิ้มเจือจางไม่บ่งบอกอารมณ์แท้จริง
“ไม่หรอกครับ ทุกคนมีสิทธิ์จะคาดหวังคุณคิดแบบนั้นไม่ใช่เรื่องผิด” ฟรานกล่าว
“อืม ก็ใช่” ท่านชายพยักหน้า “ท่านแม่ของพวกเขา... หมายถึงภรรยาของฉันเคยมอบกำไลไว้ให้ลูกๆ คนละวง มันทำจากทองคำขาวฝังอควอมารีนเอาไว้”
ไม่ต้องรอให้เอ่ยถึง เฟย์ลินน์ถอดสิ่งที่ตนสวมอยู่ออกมาวางลงบนโต๊ะตรงหน้าที่คั่นระหว่างคนทั้งสี่เอาไว้ ฟรานมองเครื่องประดับตรงหน้านิ่ง ในดวงตาปรากฏแวววูบไหวระลอกใหญ่ นาวีเนซเองก็กำลังมองจุดเดียวกับชายหนุ่ม กำไลวงนั้นคุ้นตามาก ไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยก็รู้ว่ามันคล้ายกับวงที่ทำให้ตนกับฟรานมีปัญหากัน
ไม่ผิดแน่
“กำไลวงนี้มีกลไกค่อนข้างพิเศษ มีเพียงเจ้าของผู้สวมใส่มันเท่านั้นถึงจะถอดออกได้อย่างอิสระ เธอคิดว่ามันเหมือนกับสิ่งที่ตนเองมีบ้างไหม”
ดวงตาทรงอำนาจจับจ้องชายหนุ่มตรงหน้านิ่ง ภายใต้คำถามมั่นใจก่อนหน้านั้นเหมือนเป็นการโยนหินถามทาง ยิ่งสังเกตปฏิกิริยาตอบสนองของคนตรงหน้าก็ยิ่งทำให้มั่นใจมากขึ้น
“ผม...” ฟรานมีท่าทีสับสน ชายหนุ่มเอื้อมมือไปกุมกำไลที่ซ่อนอยู่ใต้เนื้อผ้าแน่น
“ฟราน เราไปพบท่านแม่กันเถอะนะ ท่านแม่จะต้องดีใจมากแน่ๆ ที่ได้เห็นพี่” เฟรย์ลินร้องขอ ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นเต็มไปด้วยความร้อนรนและตื่นเต้นผสมปนเปกันไปหมดจนไม่คิดจะรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ ต่อให้ไม่เห็นกำไลนั่นแต่เขาก็มั่นใจตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้สบตากันแล้ว
ว่ากันว่าความสัมพันธ์ของฝาแฝดนั้นคล้ายมีบางอย่างเชื่อมถึงกันอยู่ มันเป็นความรู้สึกที่อยู่เหนือธรรมชาติและแตกต่างจากพี่น้องปกติทั่วไป
“เฟรย์” แอชลีย์ปรามลูกชายคนเล็กที่ทำท่าจะลุกเข้าไปหาอีกฝ่าย “ให้เวลาเขาหน่อย”
คุณชายรองตระกูลคิมยอมนั่งลงตามเดิม เขาวางมือทั้งสองไว้บนหน้าขากำๆ แบๆ อยู่อย่างนั้น
“พวกเราจะไม่เร่งรัด ไม่ต้องกังวลนะ ค่อยๆ คิด” แอชลีย์หันกลับมามองลูกชายคนโตอีกครั้ง ใช่ว่าในใจของตนจะไม่ร้อนรน ตัวเขาเองรู้สึกไม่ต่างไปจากลูกชายคนเล็กเลยแต่เพราะเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและสถานการณ์ตรงหน้าก็ค่อนข้างอ่อนไหวมาก ไม่ควรรีบร้อน
เฝ้ารอมาถึงยี่สิบปี ความรู้สึกบางอย่างที่ติดค้างเป็นเงามืดในใจก็ถูกปัดเป่าจนหมดสิ้น วันนี้ได้พบหน้ากันแล้ว ให้รออีกหน่อยจะเป็นไรไป
“ทุกอย่างมันกะทันหันเกินไป” ทางนั้นเอ่ยออกมาในที่สุด น้ำเสียงดูเลื่อนลอยอย่างหาได้ยากจะพบ
“พวกเราเข้าใจ” เลี่ยงจะใช้คำแทนตัวสนิทสนมอย่างคำว่าพ่อเอาไว้ในใจ เนื่องด้วยยังไม่อยากให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าถูกฝืนบังคับ ยัดเยียดคำว่าครอบครัวมากเกินไป
คงไม่มีใครสนิทใจได้ทันทีทันใดหลังจากอยู่ตัวคนเดียวมานานและวันหนึ่งก็มีคนเดินมาบอกคุณว่าพวกเขาคือครอบครัวของคุณ แอชลีย์มองเห็นถึงจุดนั้นจึงไม่อยากรีบร้อน หยิบยื่นเวลาให้ฟรานได้คิด
“แล้ว... ที่ผ่านมาเธอใช้ชีวิตแบบไหน พอจะเล่าได้ไหม” แอชลีย์วางเรื่องหนักๆ ลงก่อนแล้วเปลี่ยนไปถามเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาของลูกชายแทน
“ครับ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะเริ่มเปิดปากเล่าเมื่อตอนยังเด็กเขาเติบโตมาในตลาดมืด ทว่าความเป็นอยู่ไม่ได้ย่ำแย่นักอย่างน้อยก็ดีกว่ากลุ่มอื่นๆ เป็นที่รู้กันว่าอัลฟ่าเด็กนั้นมีราคาสูงมาก พวกเขามักจะถูกซื้อไปเลี้ยงดูเป็นลูกบุญธรรม หรือไม่ต่อให้ถูกรับไปอยู่ข้างกายก็ยังได้อยู่ในตำแหน่งสำคัญ ฟรานก็เป็นหนึ่งในประเภทนั้น ชายหนุ่มเล่าว่าตนถูกสองสามีภรรยาอัลฟ่ารับเลี้ยงและร่วมฝึกในสถาบันโรส การฝึกเป็นอย่างไร ชีวิตประจำวันตลอดช่วงที่ยังอาศัยอยู่ในคริสตัลสตรีมถูกบอกเล่าออกมาแบบกระชับได้ใจความ
“ผมไปซีแลนด์กับคุณอัลตอนอายุ 15 และพึ่งกลับมาเมื่อไม่นานมานี้”
ฟรานพูดถึงการออกเดินทางไปใช้ชีวิตในดินแดนอีกด้านหนึ่งของทะเลเป็นเวลา 6 ปี ไม่ได้ลงรายละเอียดปลีกย่อยอะไรมากแค่เล่าไปตามสิ่งที่เขาเคยเล่าให้คนอื่นฟัง ข้อมูลทั้งหมดไม่ต่างไปจากสิ่งที่นาวีเนซรู้เช่นกัน เรื่องปูมหลังของตนเองนั้นไม่ถือเป็นความลำบากทางจิตใจอะไร มันไม่ได้มีอะไรสลักสำคัญเป็นพิเศษ และต่อให้ปกติไม่เล่าแต่หากมีคนถามก็ยินดีตอบโดยไม่คิดมาก
“อย่างนั้นสินะ ส่วนตอนนี้ก็เป็นผู้ช่วยให้กับคุณชายแลมเบิร์ต?” แอชลีย์ระบายยิ้ม ในใจรู้สึกอุ่นซ่านระหว่างฟังเส้นทางการเติบโตของลูกชายที่พลัดพราก ยิ่งได้ยินว่าฟรานพูดภาษาของชาวอีแลนด์ได้ในดวงตาก็ยิ่งทอประกายของความภาคภูมิใจ
“เธอโตมาได้ดีมากจริงๆ”
“เป็นแค่งานเล็กๆ น้อยๆ ในนาวีเจี้ยนเท่านั้นครับ” ตอบอย่างถ่อมตัว
แอชลีย์พยักหน้ารับอีกหลายครั้ง นั่งมองลูกชายคนโตต่ออีกครู่ใหญ่แล้วถึงค่อยลุกขึ้นยืน มือกลัดกระดุมสูทตัวนอก ทั้งฟรานและนาวีเนซรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายจะกลับแล้วจึงรีบลุกขึ้นตามผู้ใหญ่ทันที
“รบกวนเวลาพวกเธอมากแล้ว” ท่านชายกล่าว
“ไม่หรอกครับ”
ได้ยินคำตอบนั้นใบหน้าเคร่งขรึมดูอ่อนโยนลงพร้อมมุมปากแย้มรอยยิ้มยากจะพบพาน คำตอบนั้นของฟรานถือเป็นสัญญาณอะไรบางอย่างที่ดี
“พรุ่งนี้ช่วงบ่ายหากเธอมีเวลาว่างก็มาที่โรงแรมได้นะ” แอชลีย์เอ่ยชื่อโรงแรมระดับห้าดาวในตัวเมืองอีสเทิร์นพอร์ต “พวกเราจะรอ”
กล่าวจบก็หมุนตัวเดินนำออกไปก่อน เหลือเพียงเฟย์ลินน์ที่ยังทำท่ารั้งๆ รอๆ อยู่ นาวีเนซเห็นดังนั้นก็เข้าใจทันทีว่าเจ้าตัวคงมีเรื่องบางอย่างอยากจะพูดจึงปลีกตัวออกไปเดินส่งท่านชายคิมด้านนอก ทิ้งสองพี่น้องให้มีเวลาได้พูดคุยกันตามลำพัง
รอจนเสียงประตูห้องรับรองปิดลงแล้วฟรานถึงค่อยหันกลับมาสบตาคนที่มีใบหน้าเหมือนตนทุกส่วน
“มีอะไรหรือเปล่า”
“คือ” เฟย์ลินน์เดินเข้ามาใกล้ ใช้ปลายนิ้วเกาแก้มเบาๆ ดูราวกับเป็นท่าประจำยามรู้สึกประหม่า น้ำเสียงมีความลังเลแต่สุดท้ายก็ยอมเอ่ยออกไป
“ผมขอกอดพี่ได้ไหม?”
ฟรานอึ้งไปเล็กน้อยด้วยไม่คาดกับคำขอแสนซื่อตรงนี้
แต่เขาก็ยอมพยักหน้าตกลง “ได้สิ”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ในที่สุดก็เจอกันซะทีนะคร้าาา
ฮืลเจอลูกซินเธียแล้วไม่ยอมบอกเลยนะทั้งที่ช่วยตามหาแท้ๆน่ะ
Ig.
SOw sM. G
Hssett. Lmmmd cmshl
Ga
Gm.
C
N mc
Mm ft gm of esxges k
Ml k
Awge oy
Whg wkir
Gs.
อ่านแล้วแฮปปี้มาตลอดแล้วเหมือนอยู่ๆมาตกหลุมอากาศดราม่าเฉยเลย