ตอนที่ 2 : Ch 1
วินเทอร์ฟอล ดินแดนแห่งเหมันต์
รถหรูสีดำขลับเคลื่อนเข้าสู่คฤหาสน์กลางขุนเขา ทันทีเมื่อจอดเทียบประตูทางเข้าด้านในมีพ่อบ้านสูงวัยยืนรอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว ชายชราค้อมตัวอย่างเคารพเมื่อสองเท้าก้าวลงมาจากฝั่งคนขับ “อรุณสวัสดิ์ครับ คุณชายคิม” เสียงทักทายอย่างเป็นกันเองเรียกรอยยิ้มเบาบางจากอัลฟ่าหนุ่มร่างสูงใหญ่ “สวัสดีครับ” “คุณท่านอยู่ในสวนด้านหลังครับ” เขาพยักหน้ารับ มือข้างหนึ่งวางกุญแจรถลงบนฝ่ามือหยาบกระด้างตามช่วงวัยภายใต้ถุงมือสีขาวสะอาด ชายชราค้อมตัวส่งแขกสูงศักดิ์ของวันนี้แล้วจึงหมุนตัวช่วยนำรถไปจอดเก็บไว้ยังที่เหมาะสมแทน แอชลีย์ คิม ก้าวเข้าไปยังด้านใน ผ่านโถงรับแขกซึ่งถูกประดับตกแต่งอย่างเรียบง่ายทว่าให้กลิ่นอายของความสูงศักดิ์และหรูหราตามแบบฉบับตระกูลใหญ่อันเก่าแก่ผู้เรืองอำนาจ ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกในการมาเยือนทว่าคฤหาสน์มัวร์ในยามนี้กลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความมีชีวิตชีวาหาใช่ความเงียบเหงาดั่งกาลก่อน อัลฟ่าหนุ่มไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงรู้สึกแบบนั้น บางทีอาจจะเป็นเพราะเสียงหัวเราะสดใสที่ดังลอดมาจากสวนด้านหลังก็เป็นได้ สองเท้าก้าวอย่างมั่นคงมาจนถึงสวนด้านหลัง ครรลองสายตาปรากฏเป็นพื้นหญ้าเขียวขจีและต้นไม้น้อยใหญ่ถูกประดับประดาอย่างมีรสนิยม หากจะหาสิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุดก็คงเป็นแปลงดอกกุหลาบขาวช่อโตพวกนั้น แม้แต่ผู้ชายแข็งทื่ออย่างแอชลีย์เองก็ยังอดจะทิ้งสายตาไปยังพวกมันไม่ได้ ใกล้กันกับแปลงดอกกุหลาบมีโต๊ะเหล็กดัดสีขาวตั้งอยู่ ที่นั่งฝั่งหนึ่งถูกจับจองไปด้วยอัลฟ่ารูปร่างสูงสวมใส่เชิ้ตแขนสั้นสีอ่อนกับกางเกงผ้าสบายๆ สำหรับวันพักผ่อนกำลังนั่งจิบกาแฟอย่างสบายอารมณ์ ข้างกันคือโอเมก้าคู่ชีวิตเจ้าของดวงตาทับทิมงดงาม สายตาของทั้งคู่กำลังจับจ้องไปยังจุดเดียวกันใบหน้าประดับรอยยิ้มและเต็มไปด้วยความรักใคร่ นั่นก็คือที่มาของเสียงหัวเราะแสนสดใสที่เขาได้ยินนั่นเอง เด็กชายตัวน้อยกำลังโยนลูกบอลทรงกลมโต้ตอบไปมากับอีกหนึ่งอัลฟ่าที่แอชลีย์คุ้นตาดี เส้นผมสีบลอนด์เป็นประกายยามกระทบกับแสงแดดพลิ้วไสวไปมายามเจ้าตัวน้อยกระโดดโหยงเหยงส่งลูกบอลให้กับชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นคุณอา พออีกฝ่ายพลาดรับไม่ได้ก็ส่งเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจ “ครอบครัวสุขสันต์จังนะ” เสียงทุ้มเอ่ยทักเมื่อเดินเข้าไปใกล้ผู้ใหญ่ทั้งสองตรงโต๊ะน้ำชา คำพูดคล้ายหยอกเล่นหากแต่ใบหน้ายังคงความเรียบเฉย ราวกับแค่พูดประชดไปแบบนั้น “มาแล้วหรือ” คนที่นั่งดื่มกาแฟอยู่วางแก้วลงบนจานรอง คาร์ลิน ไล เชื้อเชิญให้แขกคนที่สองของวันนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพลางหันไปเรียกสาวใช้ให้นำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ “ชาหรือกาแฟดีล่ะ” “น้ำเปล่า” คนเป็นแขกกระตุกยิ้มมุมปาก เรียกการส่ายหน้าอย่างอ่อนใจจากเจ้าบ้าน บอกกล่าวให้สาวใช้เข้าไปนำน้ำเปล่าออกมา “แล้วจะเดินทางตอนไหน” “อีกสองชั่วโมง เลยแวะมาลาท่านผู้นำก่อน” คาร์ลินเลิกคิ้ว “นึกว่าอีกสามวันถึงออกเดินทางเสียอีก” “มีธุระระหว่างทางพอดีก็เลยจะไปก่อน” แม้แต่การเดินทางไปรับว่าที่เจ้าสาวก็ยังมีเรื่องงานมาเกี่ยวข้อง สมแล้วที่เป็นแอชลีย์ คิม ไม่เคยใช้เวลาให้สูญเปล่าเลยจริงๆ ผู้นำแห่งวินเทอร์ฟอลคิดในใจ “ไปรอรับขบวนตรงชายแดนใช่ไหม” คนที่มัวเล่นกับหลานเสียเพลินเดินมาทรุดตัวนั่ง ใบหน้าคมคายมีเหงื่อผุดตามไรผมเล็กน้อย การทำตัวเป็นพี่เลี้ยงเด็กช่างเผาผลาญพลังงานไปมากพอกับตอนฝึกเลยให้ตาย คุณชายแบล็ควู้ดยกชาขึ้นดื่มไปอึกใหญ่ดับกระหาย “คุณแม่~” คุณชายน้อยพอไม่มีใครเล่นด้วยแล้วจึงวิ่งเข้าหาอ้อมกอดของมารดา พอถูกยกตัวขึ้นนั่งตักก็ยกมือขึ้นกอดรอบเอวบางซบใบหน้าลงกับแผ่นอกแสนอบอุ่น ส่งเสียงออดอ้อนพึมพำกันอยู่สองคนไม่ได้รบกวนบทสนทนาของผู้ใหญ่เลยแม้แต่น้อย “อืม พวกเขาออกเดินทางมาเมื่อห้าวันก่อน เร่งเดินทางมาตอนนี้น่าจะเกินครึ่งทางแล้วคิดว่าคงต้องใช้เวลาอีกสองสามวันกว่าขบวนจะเดินทางเข้าเขตวินเทอร์ฟอล เลยจะล่วงหน้าไปรอก่อน” “ดีแล้ว ทางนั้นฐานะไม่ธรรมดา เตรียมการไว้ก่อนดีที่สุด” คาร์ลินเห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว แม้คำว่าล่วงหน้าไปก่อนของแอชลีย์จะหมายถึงไปทำงานก็ตาม “ไกลเหมือนกันนะ ดินแดนทางใต้น่ะแต่ถึงจะเป็นระยะทางประมาณนั้น ขับรถมาก็ไม่น่าจะเกินห้าวัน” โรเมโอ ออกความเห็น “ที่แห่งนั้นไม่มียานพาหนะเครื่องยนต์เหมือนกับพวกเราการเดินทางเลยอาจจะต้องใช้เวลานาน” คาร์ลินกล่าว “ครึ่งเดือนนับว่าเร็วมากถึงจะใช้ม้าเร็วพันธุ์ดีก็ตาม” “รถม้าเหรอ พิลึกชะมัด” โรเมโอลูบคางอย่างใช้ความคิด “ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ให้เจ้าบ่าวมันไปรับที่หน้าชายแดนของฝั่งนู้นแทนล่ะ น่าจะใช้เวลาน้อยกว่าแถมยังไม่ต้องทนเมื่อยนั่งรถม้าทั้งวันทั้งคืน “มันเป็นธรรมเนียมของพวกเขา ในการแต่งงานจะมีการจัดขบวนรถเจ้าสาวเดินทางไปยังบ้านฝั่งเจ้าบ่าว รถม้าในขบวนก็จะขนข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของเจ้าสาวตามมาด้วย” ในฐานะผู้นำแล้วคาร์ลินพอจะรู้ถึงวัฒนธรรมของทางแดนใต้อยู่บ้างจึงทำหน้าที่อธิบายให้เพื่อนสนิทเข้าใจ “อีกอย่างเส้นทางที่พวกเขาใช้ก็เป็นแนวป่ามุ่งขึ้นเหนือมา ใกล้กว่าผ่านเส้นทางไปอีสเทิร์นพอร์ตแต่แลกมากับหนทางทุรกันดาร” “โอ้ มีวัฒนธรรมยุ่งยากแบบนี้อยู่ด้วย” ฝ่ายแอชลีย์ผู้กำลังจะเป็นว่าที่เจ้าบ่าวเองก็ไม่ได้เอ่ยความเห็นอะไรเกี่ยวกับบทสนทนาเหล่านั้น เพราะกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เจ้าบ่าว... ใครต่างก็ไม่คาดคิดว่าหลังงานวิวาห์แสนหวานชื่นของผู้นำแดนเหนืออย่างคาร์ลิน ไลกับคุณชายตระกูลมัวร์จบลงไปแล้วผ่านไปไม่กี่ปีจะถึงคราวของที่ปรึกษาอย่างผู้นำตระกูลคิมคนใหม่ผู้นี้ หากจะย้อนคงต้องกล่าวไปถึงวันที่ทางวินเทอร์ฟอลได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่ง มันถูกส่งตรงมาจากผู้ได้รับการขนานนามว่าราชาดินแดนทางใต้ ในเนื้อความไม่ได้ลงรายละเอียดเชิงลึกถึงปัญหาภายในของราชวงศ์นัก กล่าวเพียงว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดการแย่งชิงอำนาจภายในซึ่งผู้นำคนปัจจุบันอย่างลิมเบิร์กบัดนี้กำลังและอำนาจอ่อนแอเกินไป หากวันหน้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ขอเพียงมีคนช่วยดูแลบุตรชายโอเมก้าคนเดียวคงจะดีไม่น้อย ดินแดนทางเหนือและใต้เป็นพันธมิตรกันมานาน แต่กล่าวถึงระยะทางแสนห่างไกลทำให้ในทางปฏิบัตินั้นไม่ได้ไปมาหาสู่หรือติดต่อกันนัก เรื่องราวในแต่ละดินแดนเองก็ไม่มีฝ่ายใดรับรู้ชีวิตการเป็นอยู่ของกันและกัน มีเพียงสัญญาระหว่างผู้นำทั้งสองฝ่ายเท่านั้นที่มีมานานว่าเราจะไม่ล่วงล้ำอาณาเขตกัน ในจดหมายลับฉบับนั้นยังกล่าวอีกว่าการแต่งงานครั้งนี้จะเป็นการให้ประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย ว่าด้วยเรื่องตระกูลวาเลนอันเป็นผู้นำของแดนใต้ก็เป็นหนึ่งในตระกูลเก่าแก่ที่ในอดีตเคยเรืองไปด้วยอำนาจไม่แตกต่างจากสี่ตระกูลหลักของทางวินเทอร์ฟอล นอกจากนี้ยังมีประวัติยาวนานกว่าเนื่องจากพวกเขาสืบทอดอำนาจการปกครองทางสายเลือด หนึ่งร้อยปีมานี้ผู้นำแดนใต้ล้วนเป็นวาเลน เพียงแต่บัดนี้ผู้นำคนปัจจุบันอ่อนแอเกินไปไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตามหนึ่งในนั้นว่ากันว่าเป็นเพราะผู้นำหรือที่คนแดนใต้เรียกขานว่าราชาสูญเสียคู่ชีวิตไป จิตใจอ่อนแอจนส่งผลกระทบถึงร่างกายและนั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่พวกเขากำลังจะถูกช่วงชิงอำนาจ ลิมเบิร์กที่คาดการณ์อนาคตเอาไว้แล้วไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นก็ตามบุตรชายคนเดียวของตนจะต้องปลอดภัยจึงคิดว่าการเชื่อมสัมพันธ์กับผู้นำของวินเทอร์ฟอลจะทำให้การคงอยู่เชื้อสายของตระกูลหลักเป็นไปได้ด้วยดี และการเชื่อมสัมพันธ์ที่ดีที่สุดจะมีอะไรนอกจากงานวิวาห์ระหว่างทั้งสองตระกูลกันล่ะ แน่นอนด้วยความสัมพันธ์อันลึกซึ้งอย่างคู่ชีวิต ซินเธียจะปลอดภัยภายใต้การคุ้มครองของตระกูลไล รวมถึงทางวินเทอร์ฟอลก็ถือว่ามีอำนาจในแดนใต้ส่วนหนึ่งเช่นเดียวกันเพราะทันทีที่พวกเขามีทายาทออกมาแล้วล่ะก็ เด็กคนนั้นมีสิทธิและอำนาจเต็มในแดนใต้อย่างไม่ต้องสงสัย น่าเสียดาย เมื่อคาร์ลิน ไล ผู้นำวินเทอร์ฟอลคนปัจจุบันนั้นมีคู่ชีวิตอยู่แล้ว ต่อให้การมีภรรยาหลายคนจะไม่ใช่เรื่องผิด แน่นอนว่าเขาปฏิเสธการรับทายาทเพียงคนเดียวของวาเลนมาเป็นคู่ชีวิตคนที่สอง แม้ทางวาเลนจะยื่นข้อเสนอใดมาก็ตาม ฝ่ายตระกูลที่เหลือนั้นก็มีท่าทางกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย การแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์นับเป็นเรื่องปกติ หากการแต่งงานที่ว่านั้นเกิดจากตระกูลภายในวินเทอร์ฟอลหรือดินแดนอื่นจากเขตใกล้เคียงอย่างเมืองทางตะวันออก พวกเขาต่างไปมาหาสู่และทำการค้าขายกันบ่อยครั้ง แตกต่างจากดินแดนทางใต้ ซึ่งเป็นดินแดนที่แสนห่างไกล มีเพียงเรื่องเล่าจากบรรพบุรุษในนิทานก่อนนอนเท่านั้นที่กล่าวถึงความเป็นอยู่ของพวกเขา ได้ยินมาว่าผู้มาจากดินแดนทางใต้ล่าสัตว์เลี้ยงชีพ พวกเขามักจะชอบนอนกลางดินกินกลางทรายมากกว่าการอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังโต อากาศที่นั่นทั้งร้อนและเต็มไปด้วยแสงแดดแผดเผา ผู้คนสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นเต็มไปด้วยเหงื่อไคล ผมเผ้ารุงรัง นิสัยดุดันและน่ากลัว แม้แต่โอเมก้าหรือหญิงสาวก็ยังมีพละกำลังรุนแรง ร่างกายบึกบึนไม่น่าคบหาราวกับคนเถื่อน เรื่องเล่าลือเหล่านั้นฝังเป็นภาพจำของชาวแดนเหนือเสียจนชายหนุ่มเจ้าสำราญอย่างโรเมโอ แบล็ควู้ดก็ยังโบกมือปฏิเสธ คำขอร้องนั้นเกือบจะถูกเมินเฉยไปแล้วทว่าผู้นำของตระกูลคิมคนใหม่อย่างแอชลีย์กลับยื่นมือคว้ามันเอาไว้โดยไม่ลังเล แม้จะถูกเพื่อนพ้องยับยั้งให้คิดซ้ำอีกกี่ครั้งก็ตาม จนสุดท้ายคาร์ลินก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจและตอบรับจดหมายฉบับนั้นกลับไปจนกำลังจะเกิดเป็นงานวิวาห์ระหว่างสองดินแดนขึ้นในอีกไม่ช้านี้ เป็นอย่างที่รู้กันดีว่าผู้ชายอย่างแอชลีย์ คิมไม่สนอะไรนอกจากอำนาจผลประโยชน์ ต่อให้การแต่งงานครั้งนี้จะเป็นการคลุมถุงชนเขากลับยินดีไขว่คว้าข้อเสนอนั้นด้วยความเต็มใจ ถ้าเพื่ออำนาจแล้ว ข้อนั้น คนที่เคยเกือบจะแตกหักฆ่ากันให้ตายไปข้างอย่างคาร์ลินรู้ดีเลยล่ะ ขบวนรถม้าขนาดเล็กเคลื่อนเข้าสู่อาณาเขตป่าสนในช่วงบ่ายของวัน หลายคนเริ่มมีรอยยิ้มหลังจากเร่งเดินทางกันมาสิบกว่าวันโดยแทบไม่หยุดพักเพราะกลัวจะเสียเวลา ถนนเล็กๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นสนสูงใหญ่ขนาบไปตลอดทางช่วยบดบังแสงจากดวงอาทิตย์ทำให้บรรยากาศโดยรอบเย็นลงกว่าเดิม ซินเธียแง้มผ้าม่านมองลอดออกไปยังภายนอกด้วยความรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมอันแปลกใหม่ เสียงกระทบจากกำไลเงินเส้นเล็กบนข้อมือทั้งสองข้างดังขึ้นยามเมื่อเจ้าของร่างขยับกาย “ตอนนี้เรากำลังเข้าสู่เขตของวินเทอร์ฟอลแล้วครับ เจ้าชาย” เสียงจากผู้ติดตามดังขึ้นใกล้ๆ กับหน้าต่างของรถม้า “อืม” ซินเธียตอบกลับในลำคอพลางลูบลำแขนทั้งสองข้างของตัวเองไปมา เดาจากอากาศเริ่มเย็นลงแบบนี้ก็พอจะรู้แล้วล่ะ ชายหนุ่มเอนกายพิงกับหมอนอิงใบโตแล้วหลับตาลง ขบวนเจ้าสาวนี้ไม่ได้ใหญ่โตเอิกเกริกเท่าไรนัก สำหรับดินแดนทางใต้อย่างธอร์นแล้วข่าวการวิวาห์ไม่ได้ถูกป่าวประกาศออกไปมากและเพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน รถม้าขนาดพอดีแต่ก็มีความสะดวกสบายเพียบพร้อม การประดับตกแต่งตัวรถรวมถึงม้าพันธุ์ดีนี้ก็ถูกจัดเตรียมมาอย่างสมฐานะ มีผู้ติดตามอารักขาขบวนฝีมือดีไว้ใจได้เพียงไม่กี่คนแค่นั้นก็พอแล้ว ขบวนเจ้าสาวครั้งนี้ไม่มีผู้ติดตามหรือสาวใช้ พวกเขาแค่ทำหน้าที่อารักขาขบวนเจ้าสาวเมื่อส่งถึงจุดหมายก็จะเดินทางกลับธอร์นทันที ด้วยเหตุผลและความสะดวกทางใจหลายๆ อย่าง เมื่องานวิวาห์ถูกจัดขึ้นซินเธียจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลคิมแห่งวินเทอร์ฟอล ต่อให้วาเลนจะล่มสลายลงแต่ซินเธียก็จะยังปลอดภัยภายใต้ปีกของผู้ชายคนนั้น แอชลีย์ คิม ยิ่งเข้าใกล้เขตแดนของวินเทอร์ฟอลเท่าไรจิตใจที่สงบนิ่งมาตลอดสิบกว่าวันนี้ก็เริ่มหวั่นวิตกขึ้นมา โอเมก้าหนุ่มนึกย้อนไปถึงเมื่อหลายวันก่อนตนจะออกเดินทาง ช่วงเช้ามืดภายในห้องนอนของตัวเอง เขานั่งอยู่หน้ากระจกบานโต ภาพของชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งดวงตาสีเงินสะท้อนอยู่ภายในนั้น เรือนผมยาวแดงระสะโพกกำลังถูกแคลร์สาวใช้คนสนิทช่วยสางให้อย่างทะนุถนอม “กังวลหรือคะ” หญิงสาวเอ่ยถามผู้เป็นนาย บนใบหน้าฉายรอยยิ้มบางเบา แม้คนที่กำลังนั่งให้ตนสางเส้นผมอยู่ตอนนี้จะส่ายหน้าไปมา แต่ลึกๆ แล้วเธอก็รู้ดีว่าเจ้าชายกำลังรู้สึกทั้งกังวลและอาวรณ์บ้านเกิดเพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนี้จะถึงเวลาออกเดินทางแล้ว เดินทางไปยังดินแดนแสนไกลเพียงลำพัง คิดถึงตรงนี้สองมือมันก็อดจะสั่นไม่ได้ แคลร์เองก็กังวลไม่แพ้กัน สำหรับโอเมก้าที่ทำหน้าที่ดูแลคนตรงหน้ามาตั้งแต่เยาว์วัยแล้วซินเธียเองก็ไม่แตกต่างจากน้องชายของเธอคนหนึ่ง “…แคลร์” “คะ?” “จะเป็นอย่างไรนะ ที่แห่งนั้นน่ะ” หญิงสาวเก็บซ่อนอารมณ์อ่อนไหวไว้ส่วนลึกของจิตใจแล้วระบายรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา วางแปรงผมลงบนโต๊ะแล้วเดินมาโน้มตัวจัดริบบิ้นเส้นเล็กตรงปกคอเสื้อให้เข้าที่โดยไม่ได้ตอบอะไรในทันที เธอหันไปหยิบเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มมาสวมให้เพื่อปกปิดผิวสีน้ำผึ้งเนียนละเอียดภายใต้เสื้อแขนกุด วุ่นอยู่กับการจัดนั่นจัดนี่อยู่นานแม้ว่าทุกอย่างมันจะดีอยู่แล้ว แค่อยากทำให้มั่นใจว่าผู้เป็นนายของตนนั้นงดงามไร้ที่ติ “ดิฉันเคยได้ยินแม่เล่าเมื่อตอนยังเด็ก” หญิงสาวสวมกำไลเงินให้ผู้เป็นนายทีละอันอย่างตั้งใจ “ดินแดนแห่งนั้นถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน โอบล้อมไปด้วยหุบเขาและป่าสนเขียวขจี” “หิมะหรือ” นัยน์ตาสีเงินเปล่งประกายขึ้นชั่วขณะ สำหรับธอร์น คำคำนั้นช่างดูแปลกใหม่ ในเมื่อบ้านเกิดของเขาไม่มีสิ่งเหล่านั้นเลย ไม่ว่าจะช่วงไหนของปีก็ตาม พวกเราเติบโตอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ถูกโอบล้อมไปด้วยสายลมและทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาล “ใช่ค่ะ ที่นั่นอากาศเย็นมากๆ เจ้าชายต้องใส่เสื้อตัวหนาๆ เข้าไว้นะคะอย่าปล่อยให้ร่างกายต้องลมนาน” “...” “ต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี ไปอยู่ที่นู่นคงมีอะไรหลากหลายอย่างไม่เหมือนกับที่นี่ อาหารอาจจะไม่ถูกปากไปบ้างแต่ท่านก็ต้องอดทน” แคลร์มองลึกเข้าไปภายในดวงตาสีเงินคู่นั้นซึ่งทอแววอาวรณ์ออกมาแม้จะบางเบาแต่มันก็ทำให้เธออดจะยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มของบุคคลผู้เปรียบเสมือนน้องชายคนนี้ไม่ได้ “และหากวันไหนคิดถึงก็ขอให้มั่นใจว่าท่านลิมเบิร์กและท่านเซรีน่าจะอยู่เคียงข้างท่านเสมอ” ชายหนุ่มยกมือขึ้นกุมจี้สร้อยคอทรงหยดน้ำแผ่วเบา อความารีนชิ้นนี้เป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวจากท่านแม่ที่มอบให้แก่ซินเธีย เขามักจะหยิบมันมาสวมทุกครั้งยามต้องออกเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นการล่าสัตว์ การออกลาดตระเวนหรือใดๆ ก็ตาม เพียงแต่ไม่มีครั้งไหนที่จะมีระยะทางห่างไกลจากดินแดนบ้านเกิดเท่าครั้งนี้ และคงเป็นการเดินทางที่แสนยาวนานจนไม่สามารถคาดเดาได้ว่าในชีวิตนี้จะสามารถกลับมาได้อีกหรือไม่ ชายหนุ่มขยับมือกุมอความารีนในมือแน่นขึ้น “เราจะดูแลตัวเอง” * “เจ้าชาย เรากำลังจะเข้าใกล้จุดนัดพบแล้วครับ” เสียงเตือนจากผู้ติดตามคนเดิมช่วยดึงสติที่ล่องลอยไปไกลของโอเมก้าหนุ่มให้กลับมา “ดูเหมือนพวกเขาจะมารออยู่แล้วครับ” หัวใจของซินเธียเต้นแรงขึ้น บีบมือของตัวเองแน่นเมื่อการเคลื่อนไหวของรถม้าลดความเร็วลงเรื่อยๆ จนกระทั่งมันหยุดลง กลิ่นไม่คุ้นเคยลอยเข้ามาแตะจมูกสัญชาตญาณการระแวดระวังของชนเผ่าผู้ล่าอย่างธอร์นถูกปลุกขึ้นมา และซินเธียรู้สึกว่าทั่วทั้งร่างของตนนั้นเกร็งขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังมาจากด้านนอก ทว่ามันใกล้... ใกล้เสียจนคล้ายกับเจ้าตัวกำลังยืนอยู่หน้าม่านทึบซึ่งเป็นทางออกของรถม้าคันนี้ “ไอ้ความรู้สึกราวกับว่ากำลังโดนแมวตั้งท่าจะขู่นี่มันอะไรกัน” เสียงนั้นพึมพำกับตัวเองถึงแม้ว่ามันจะเบาแต่สำหรับคนที่มีเพียงผ้าม่านกั้นเอาไว้ระหว่างกันอย่างซินเธียแล้วกลับได้ยินชัดเจน สำเนียงทางเหนืออาจจะฟังยากไปบ้างแต่เขาก็เข้าใจที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาทุกอย่าง แมวขู่? พูดบ้าอะไรของเขากัน “ออกมาได้แล้ว” ซินเธียดึงสติของตัวเองกลับมาอีกครั้งเมื่อน้ำเสียงจากคนตรงหน้าเริ่มเปลี่ยนไปราวกับไม่ต้องการเสียเวลาไปมากกว่านี้อีกแล้ว ชายหนุ่มเลิกผ้าม่านขึ้นด้วยหัวใจเต้นระรัว แวบแรกซินเธียแอบช้อนสายตามองขึ้นไปสบเข้ากับนัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นซึ่งกำลังเหลือบลงมองตนอยู่พอดิบพอดี ราวกับโลกทั้งใบกำลังหยุดลง ร่างกายสูงใหญ่ภายใต้เสื้อโค้ตสีเข้ม ผิวขาวซีดตัดกับกลุ่มผมสีดำสนิทสร้างความรู้สึกหลากหลายให้แก่โอเมก้าน้อยจากต่างแดน หนึ่งในนั้นคือความไม่คุ้นเคย ไม่ว่าจะทั้งบรรยากาศรอบตัวของผู้ชายคนนี้ กลิ่น หรือแม้กระทั่งความวูบไหวอันแปลกประหลาดภายในใจ หลังพาตัวเองลงมาจากรถม้าได้แล้วอัลฟ่าคนนั้นก็คลุมอะไรบางอย่างลงมาบนร่างให้จนซินเธียสะดุ้งตัวโยน “รีบเข้าเถอะ อีกไม่นานหิมะจะตกแล้ว” เขาคนนั้นกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก ใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ผินไปอีกด้านเพื่อสั่งให้ผู้ติดตามของตนเองจัดการบรรดาข้าวของของว่าที่เจ้าสาวให้เรียบร้อย ในระหว่างนั้นซินเธียก้มลงมองสิ่งที่อีกฝ่ายโยนมาบนร่าง มันคือเสื้อคลุมขนสัตว์ และมันมีขนาดใหญ่มากพอจะสามารถคลุมร่างของเขาได้ทั้งตัว พอรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นจากขนสัตว์พวกนี้แล้วซินเธียก็ตระหนักได้ว่าเนื้อตัวของเขาก่อนหน้ามันเย็นมาก อาจเพราะมัวแต่ตื่นเต้นรวมถึงความกังวลต่างๆ นานากำลังกัดกร่อนจิตใจจึงทำให้เขาลืมเลือนแม้กระทั่งว่าร่างกายของตนเองกำลังหนาวสั่น ชายหนุ่มเงยหน้ามองคนตัวโตกว่าที่กำลังยืนสั่งการผู้ติดตามของตนเองแวบหนึ่งแล้วกอดกระชับเสื้อคลุมบนร่างให้แน่นขึ้นอีกนิด ชายคนนี้คืออัลฟ่าผู้นำตระกูลคิมคนปัจจุบัน และกำลังจะเป็นคู่ชีวิตของเขาหลังจากนี้อีกไม่นาน ‘การครองคู่ที่ไม่ได้ก่อกำเนิดมาจากความรักตั้งแต่ต้นอาจจะทำให้ลูกรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมไปบ้าง แต่โปรดเชื่อพ่อเถอะนะว่าชายผู้นั้นจะปกป้องดูแลชีวิตที่เหลือจากนี้ไปของลูกพ่ออย่างดีที่สุด ลูกจะมีความสุขกับชีวิตใหม่ที่นั่นแน่นอน’ ในตอนนั้น ท่านพ่อเรียกซินเธียเข้าไปพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่ตนจะต้องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างดินแดน ครั้งแรกที่ได้ฟังเรื่องราวเขาไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่สำหรับโอเมก้าอย่างตนแล้วงานแต่งงานนี้ก็ถือเป็นการทำประโยชน์ให้กับตระกูลอย่างหนึ่ง ในใจอาจจะรู้สึกขัดแย้งไปบ้างแต่ในเมื่อเป็นความประสงค์ของท่านพ่อ... เขาเม้มปากแน่น ในใจคิดถึงชีวิตของตัวเองหลังจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป จะเป็นอย่างไรต่อกันนะ “เอาล่ะ ไปกันได้แล้ว” เพราะข้าวของของซินเธียมีไม่มากนักการขนย้ายจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาเดินตามชายผู้ชื่อว่าแอชลีย์ คิมไปโดยไม่ปริปากอะไรจนกระทั่งพวกเขาหยุดลงตรงหน้าบางสิ่งบางอย่างซึ่งซินเธียไม่รู้จะบรรยายลักษณะของมันออกมาแบบไหน มันเหมือนเครื่องยนต์อะไรสักอย่างสีดำขลับ และมีสี่ล้อ สำหรับคนที่อยู่บนหลังม้ามาทั้งชีวิตอย่างซินเธียแล้ว เจ้าสิ่งนี้มันช่าง... “เรา... กำลังจะนั่งสิ่งนี้ไปอย่างนั้นหรือครับ” เขาถามออกไปอย่างไม่แน่ใจนัก ในใจนึกหวาดระแวงกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่น้อย “ก็ใช่น่ะสิ” แอชลีย์เลิกคิ้วราวกับว่าคำถามของคนข้างตัวช่างโง่งมสิ้นดี “ที่นี่ไม่มีรถม้าหรืออะไรก็ตามอย่างที่พวกเธอใช้กันหรอกนะ เอาล่ะเข้าไปได้แล้ว” โอเมก้าหนุ่มถูกดันตัวให้เข้าไปด้านในของสิ่งนั้น ซินเธียนั่งบนเบาะด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดที่สุดในชีวิต ร่างกายก็เกร็งไปหมด มันยิ่งกว่าความรู้สึกของการฝึกขี่ม้าครั้งแรกเสียอีก ถึงแม้การขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังม้าครั้งแรกไปจนกระทั่งการฝึกทรงตัวขณะที่พวกมันวิ่งอย่างรวดเร็วจะดูอันตรายมากกว่าการนั่งอยู่ภายในเจ้าสิ่งนี้ แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าการขี่ม้านั้นดีกว่าเป็นไหนๆ ซินเธียมองตามคนตัวสูงเดินอ้อมเข้ามานั่งอีกฝั่งโดยไม่ปล่อยให้คลาดสายตา ชั่ววินาทีที่ถูกปล่อยให้อยู่ลำพังภายในห้องโดยสารก่อความกระวนกระวายมากมาย ทันทีเมื่อเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นก็ยิ่งเกร็งเข้าไปใหญ่ และมากขึ้นไปอีกเมื่อฝ่ายนั้นขยับตัวโน้มเข้ามาจนใบหน้าแทบจะชิดกัน “คาดเบลต์ด้วย มันจะอันตรายหากเธอไม่ยอมจัดการกับมัน” ถึงแม้จะเกร็งจนแทบเอนตัวแนบกับพนักพิงแน่นแต่ดวงตาสีเงินก็คอยจับจ้องการกระทำของคนตัวสูงทุกท่วงท่า ตั้งแต่การดึงเจ้าสายสีดำออกมาจากอีกฝั่งแล้วพาดผ่านบนตัวของซินเธียเอาไว้กระทั่งส่วนปลายของสายนั้นถูกกดเข้ากับอะไรบางอย่างจนส่งเสียงกริ๊กออกมา แบบนี้มันออกจะขยับตัวยากสักหน่อยนะ... ถึงจะไม่ค่อยชินแล้วก็อึดอัดเล็กน้อยทว่าโอเมก้าหนุ่มก็ไม่ได้ปริปากบ่นอะไรออกไป เขานึกถึงคำพูดของแคลร์ ไม่ว่าจะเจอกับอะไรก็ขอให้อดทนเอาไว้ มันอาจจะยากแต่ว่าถ้าเขาพยายามปรับตัวทุกอย่างมันก็จะดีขึ้นเอง “เธอ... ชื่ออะไรนะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นหลังปล่อยให้ความเงียบปกคลุมระหว่างเราสองคนมาพักใหญ่ ทิวทัศน์รอบด้านที่เคยเป็นป่าสนขนาบสองข้างทางเริ่มบางตาลงเปลี่ยนเป็นตัวเมือง คนถูกถามชื่อชะงักไปเล็กน้อยก่อนหันมาตอบ “ซินเธีย... ซินเธีย วาเลนเธีย” “อืม” ฝ่ายนั้นครางรับในลำคอ “ส่วนชื่อของฉันคงจะรู้แล้วสินะ” “อื้ม คุณคือแอชลีย์สินะครับ” แอชลีย์พยักหน้า ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมทั่วห้องโดยสารจนกระทั่งยานพาหนะนี้พาทั้งสองเคลื่อนเข้าสู่เขตป่าสนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากเดิม มีอะไรบางอย่างกำลังตกลงมาจากฟากฟ้า ซินเธียยกสองมือขึ้นทาบกับกระจกรถ ดวงตาสีเงินคู่สวยจับจ้องไปยังเกล็ดหิมะขาวบริสุทธิ์ด้านนอกอย่างสนอกสนใจลืมความเกร็งไปชั่วขณะ สวยมาก... สวยมากจริงๆ นี่สินะหิมะที่แคลร์พูดถึง “หิมะแรกตกลงมาแล้ว” คนทำหน้าที่เป็นสารถีเปรยออกมาเสียงเบา นัยน์ตาอำพันจับจ้องไปยังถนนเบื้องหน้าในขณะที่ความเร็วของรถก็เริ่มลดลง คนที่กำลังจับจ้องสิ่งมหัศจรรย์จากภายนอกผินกลับมามองเสี้ยวหน้าคมคายของคนข้างตัวเมื่อรู้สึกว่าฝ่ายนั้นกำลังจะเอ่ยอะไรออกมา อะไรบางอย่างที่ทำให้เขาระบายรอยยิ้มเป็นครั้งแรกหลังเดินทางออกจากบ้านเกิดมา “ยังไงก็... ยินดีต้อนรับสู่วินเทอร์ฟอล ซินเธีย วาเลนเธีย”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แดนเหนือรังเกียจซินเธียทั้งหมดแม้กระทั่งผู้ที่แต่งงานด้วย ขอให้อดทนและสู้ๆ ขอให้ชนะในทุกๆสิ่งน๊ะ