ก็พี่..เป็นพี่ของผมนี่ครับ (สุดยอด) ฮุนได&ซํมซุง‏ - ก็พี่..เป็นพี่ของผมนี่ครับ (สุดยอด) ฮุนได&ซํมซุง‏ นิยาย ก็พี่..เป็นพี่ของผมนี่ครับ (สุดยอด) ฮุนได&ซํมซุง‏ : Dek-D.com - Writer

    ก็พี่..เป็นพี่ของผมนี่ครับ (สุดยอด) ฮุนได&ซํมซุง‏

    ซึ้งมากค่ะ อ่านแล้วรักพี่มาก

    ผู้เข้าชมรวม

    380

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    380

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  22 พ.ย. 50 / 18:48 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      เรื่องเก่า เล่ากี่ทีไม่มีเบื่อ





      **********************************************************************
       

      ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน
      แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
      ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

      วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ


      ของฉันมีกัน


      จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง


      พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง


      โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน


      "
      ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด

      ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน


      พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า


      "
      ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"

      พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น


      ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า


      "
      ผมขโมยเองครับ"

      ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง


      พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด


      จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย


      พ่อนั่งลงบนเก้าอี้


      และด่าว่าน้องชายของฉัน


      "
      ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแ กจะทำชั่วอะไรอีก

      แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย
      "

      คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้


      หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด


      แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย


      กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก


      น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า


      "
      พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"

      ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้


      ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ




      หลายปีผ่านไป


      แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง


      ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย


      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ
      8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...

      เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น


      เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน


      ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย


      ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน


      คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน


      ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า


      "
      ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ"

      แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า


      "
      แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"

      ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า


      "
      ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"

      พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่


      "
      ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้

      ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน


      พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้
      "

      คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ


      ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน


      ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ


      ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า


      "
      ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"

      แต่ในขณะเดียวกัน


      ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้


      ใครจะรู้ได้
      .......


      วันต่อมาในตอนเช้ามืด


      น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น


      และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว


      ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน


      ขณะฉันกำลังหลับ


      "
      พี่ครับ การจะเข้ามหาวิท ยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....

      ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่
      "

      ฉันนั่งอยู่บนเตียง


      อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า
      .......

      ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป


      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ
      17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....

      ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน


      รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น


      กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ
      .......

      ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี
      3

      วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก


      เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า


      "
      มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ"

      ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ
      ???

      ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่


      ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง

      ...


      ฉันถามเขาว่า


      "
      ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"

      น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า


      "
      ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ

      ก้อได้หัวเร าะเยาะพี่กันพอดี
      "

      ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง


      และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ


      "
      พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง

      เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม
      "

      จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง


      เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ
      . เขาติดกิ๊บให้ฉัน

      แล้วพูดว่า


      "
      ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"

      ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด


      ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน


      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ
      20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .

      วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก


      ฉันสังเกตเห็นว่า


      หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว


      เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก


      หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า


      "
      แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก

      เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ
      "

      แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า


      "
      แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก

      วันนี้เค้าขอเลิกงา นเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน


      ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ


      น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ
      "

      ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา


      ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ


      ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด
      "เจ็บมากไหม"

      ฉันถาม


      "
      ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ

      มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด


      แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ


      และ...
      "

      น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด


      เพราะฉันหันหน้าหนีเขา


      น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง


      "
      เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ"

      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ
      23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

      หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง


      หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...


      แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ


      ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง


      แต่เมื่อออกไปแล้ว


      ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี


      จึงได้ย้า ยกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม


      น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป
      ...

      เขาบอกกับฉันว่า


      "
      พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"

      สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว


      เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท

      ...

      แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้


      เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา


      วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล


      และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด


      เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล


      ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล


      น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา


      ...
      ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

      "
      ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!

      ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้


      ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง
      "

      คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด


      ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา


      "
      พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขย เพิ่งจะได้เป็นประธาน

      ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ


      คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด
      "

      น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย
      .....

      ฉันบอกกับน้องว่า


      "
      แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."

      "
      ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"

      น้องชายของฉันจับมือฉันไว้


      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ
       26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...



      เมื่อน้องชายของฉันอายุได้
      30 ปี

      เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน


      ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า


      "
      ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"

      น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล
      "พี่สาวของผมครับ" .....

      และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้


      "
      ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง

      เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง
      2ชม.

      เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน


      วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง


      พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง


      และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้าง เดียวเดินเป็นระยะทางไกล


      เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว


      เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ
      .......นับจากวันนั้น

      ผมสาบานกับตัวเอง


      ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี


      และจะทำดีกับเธอ
      "

      เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว


      สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน


      คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก
      .......

      "
      ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"

      ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้


      น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...


      จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ


      วันในชีวิตของคุณและเขา


      คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ


      แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง


      ..
      ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ

      พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน


      หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม



      จบบริบูรณ์....



      ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ
      86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท

      ส่วนน้องชายอายุ
      83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ   ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า

      "
      ซัมซุง"

      และเรื่องราวของท่านทั้ง
      2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์ โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว และ ลี ดอง ฮุคครับ

      บู มิง ฮอง


      เล่าเรื่อง
       

      *******************************************************


                              
                              ความดีไม่มีขาย...อยากได้ทำเอาเอง 
      - -
      + +
      + +
      - -
      l2u$ tY snoo py

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×