ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Mutasia มิติเเห่งพลัง

    ลำดับตอนที่ #1 : ลางร้ายเริ่มปรากฎ

    • อัปเดตล่าสุด 25 เม.ย. 48






            ในคืนที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเเสงดาวจากดวงดาวนับล้านๆดวงบนฟากฟ้า เเสงจันทร์จากดวงจันทร์สีเหลืองนวลที่ส่องเเสงลงมากระทบกับยอดหญ้าที่พริ้วไหวจากสายลมอ่อนๆ เป็นภาพที่ช่วยจรรโลงใจเป็นอย่างมาก มันเป็นจิตรกรรมที่สร้างสรรค์จากธรรมชาติอย่างลงตัว

            

              เหล่าสัตว์น้อยใหญ่กำลังอยู่ในนิทราอันยาวนาน บ้างก็ออกไปหากินยามค่ำคืนที่มันทำเป็นประจำ สัตว์ที่อ่อนเเอกว่ากลายเป็นเหยื่อของสัตว์ที่เเข็งเเรง สัตว์ที่เเข็งเเรงกว่าเป็นผู้ล่ามันอีกที มันเป็นห่วงโซ่ของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระบบนิเวศน์เดียวกันที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันเพื่อให้มีชีวิตรอด

            

                  เเต่อะไรบางอย่างถ้ามันเกิดขึ้นมากเกินไปมันก็ไม่ดี

            

                   ฟ้าวววว…..ตูมมมมม….ครื้นนนนน….

            

                    เสียงของวัตถุอะไรบางอย่างตกลงมาจากฟากฟ้าด้วยความเร็วสูง เนื่องจากความเร็วของมันทำให้อากาสที่ถูกมันเเหวกออกลุกเป็นไฟเป็นทางยาวจากที่ที่มันตกลงมา ไฟลามไปติดกับต้นไม้จากต้นหนึ่งสู่อีกต้นหนึ่ง เเละไม่นาน ผืนป่ารอบก็กลายเป็นทะเลเพลิง

              

                      มันตกลงไปกระทบกันภูเขาลูกหนึ่งที่สูงตระหง่านบัดนี้ล้อมรอบไปด้วยทะเลเพลิง พังทลายลงมาในพริบตา เเรงจากการพังทลายลง  ส่งผลให้ฝุ่นจากพื้นดินลอยสูงขึ้นไปเป็นอย่างมาก ควันของมันหนาทำให้ยังไม่สามารถมองเห็นอะไรที่อยู่เบื้องหน้าได้

              

                     สัตว์ป่าทั้งหลาย ทั้งที่กำลังหลับอยู่หรือหาอาหารอยู่ ต่างตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้ามัน เเต่สัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตที่ต้องการมีชีวิตรอด สั่งให้มันวิ่งหนีอย่างสุดเเรงเกิด เนื่องจากภาพของเปลวเพลิงที่กำลังลามเลียเข้าหาพวกมัน

              

                     เเต่ส่วนมากพวกมันไม่ได้ตายเพราะถูกไฟคลอกหรือ ที่ตายเพราะถูกไฟคลอกก็จะมีเเต่พวกที่อยู่ใกล้ๆกับต้นเพลิงที่พวกมันไม่มีโอกาสหนีได้ทัน เเต่มันตายเพราะเหยียบกันตาย เพราะมันต้องการที่จะมีชีวิตรอดจึงหนีสุดเเรงเกิด มันไม่มีเวลาที่จะมาสนใจว่าเหยียบอะไรลงไป การหนีตายของเหล่าสัตว์จึงเกิดขึ้นทั่วทุกผืนป่า



                    ในขณะที่อีกฟาก ควันเเละฝุ่นละอองจากวัตถุอะไรบางอย่างที่ตกลงมาจากฟากฟ้าเริ่มจางลง   เเต่ก็ยังหนาอยู่ บางเเห่งมีไฟไหม้เป็นหย่อมๆ  เเต่บางสิ่งบางอย่างก็หันเหความสนใจกับภาพที่เกิดเบื้องหน้าออกไป เพราะมันมีอะไรบางอย่างอยู่ในกลุ่มฝุ่นละออง

                 .

                   ในที่สุดฝุ่นละอองก็หมดไป พลันปรากฎร่าง 2 ร่างที่ยืนอยุ่ในนั้น มันเป็นร่างของสิ่งมีชีวิต 2 ร่างที่ยืนอยู่ ในนั้น ถ้าสามารถเรียกมันได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิต ก็คงจะไม่มีใครหน้าไหนอยากเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวกับมันหรอก

              

                       ร่างที่ยืนด้วยขาของมัน 2 ขา เป็นร่างที่สูงเกือบๆจะ4 เมตร มันเป็นร่างที่ใหญ่โตเเละหนาเป็นอย่างมาก กล้ามเนื้อของมันขึ้นเป็นมัดๆตามลำเเขน ขา หน้าท้อง ฟันของมันเเหลมคมสีเหลืองมีเมือกไหลย้อยมาตามมุมปากของมัน ขนดำเเข็งเรียงลงมาเป็นทางยาวตามสันหลัง

                  

                          ส่วนร่างที่ยืน4 ขาลำตัวของมันผอมเพรียว เเต่เรียกว่าเเห้งคงจะดีกว่า เพราะผิวหนังของมันติดกับกระดูกจนเห็นได้ชัด มันมีกรงเล็บที่ยาวชวนน่ากลัวทั้งขาคู่หน้า-หลัง เขี้ยวคู่หน้าของมันยาวเหมือนงาช้างเเต่เเหลมคมกว่า ร่างของมันสูงจากพื้นเพียงเเค่2เมตรกว่าๆ ลำตัวของมันก็สามเมตร เเต่หางของมันยาวเกือบ5เมตร ซึ่งตลอดความยาวของหางเต็มไปด้วยกระดูกอันเเหลมคมที่ทะลุออกมาจากภายใน

                

                        เเต่ร่างทั้งคู่เหมือนมันมาจากที่เดียวกันมันก็จะมีสิ่งที่มันเหมือนกัน

                

                        ผิวหนังของมันทั้งคู่เหมือนถูกไฟคลอกมาใหม่ๆ เลือดไหลออกมา ผิวหนังบางเเห่งไหม้เกรียมเป็นสีดำ เเละทั่งคู่ก็สร้างความสยดสยองให้กับผู้ที่เเค่มองมัน

                

                    \" เฮ้ย เย็นดีโว้ย ” เสียงของตัวที่ยืนด้วยสี่ขาพูดออกมา ถึงเเม้จะมีลมที่พัดเอาไอร้อนจากไฟไหม้มาสัมผัสกับผิวพวกมัน

                

                    “โอ้ย เจ็บโว้ย ไอ้บ้าเเบลซ มันงี่เง่าไรงี้ว่ะ ส่งเรามาดีๆไม่ได้หรือยังไง กลับไปเมื่อไหร่ เม่งอย่าคิดว่ามันจะตายดี จมตีนข้าเเน่ ” อีกร่างหนึ่งพูดขึ้นขณะที่กำลังลูบท้ายทอยของมัน

              

                         “เอ็งจะบ่นให้มันได้อะไรขึ้นมาว่ะคัซซ่า ก้อน่ะจะรุ้นี่หว่า ว่าพวกเรานะส่งข้ามมิติมาได้ก็ดีเเค่ไหนเเล้ว ลำบากจะตาย ต้องให้พวกที่มิวเทเซียรู้อีก รอดมาได้ก็บุญเเล้ว ถึงเอ็งกับข้าจะไม่เคยทำบุญไรกับเขาก็เหอะ ฮ่าๆๆ ” เจ้าตัวสี่ขา พูดกับร่างที่มากับมัน

            

                            “ เหอะๆ ทำเป็นพูดดีไปไอ้ กลูสตัฟ ตลอดทางมานี่ ข้าเห็นเเต่เอ็งร้องหาเเม่ตูดใหญ่ของเอ็งตลอดทางไม่ใช่หรือไงว่ะ ปอดเเหกจริงๆน่ะเอ็งนะ ‘โอ้ย เเม่จ้า ไม่ไหวเเล้ว ข้าตายเเน่ๆ เเม่จ้า ช่วยลูกด้วยจ้า ม่ายยยยย..’ ฮ่าๆๆๆ ไอ้ป๊อด ”  คัซซ่าบอกกับตัวที่ชื่อ กลูสตัฟ

              

                         “ เอ็งว่าใครปอดเเหกว่ะ จะเจอกันหน่อยซักตั้งไหมล่ะ นึกว่าข้ากลัวเอ็งหรือไงว่ะ เเค่ตัวใหญ่กว่าเฉยๆหรอกนะ ” มันว่าพร้อมกับคำรามต่ำๆเป็นเชิงขู่

              

                    “ เข้ามาซิว่ะไอ้เตี้ยสวะ อย่าดีเเต่มัวเห่า เห็นเเต่เเกเห่าเเล้วเดินไปรอบๆข้านะน่ะ เข้ามาซะทีซิว่ะ ไอ้ปอดเเหก ” คัซซ่าตะคอกใส่ร่างที่มันเรียกว่าไอ้เตี้ย ถึงขนาดของมันจะสูงกว่าคนทั่วๆไปเเล้วก็เหอะ มันกะชากดาบลักษณะที่ไม่เหมือนดาบที่ทำจากฝีมือห่วยๆของพวกมันออกมา เเละดูจากลักษณะดาบของมันเเล้ว มันคงใช้ได้เเค่เอามาฟันกันเฉยๆ ไม่อาจมีพลังศักดิ์สิทธิ์อย่าง Excaliber  เป็นเเน่

              

                     “ พอได้เเล้วพวกเอ็งทั้งคู่ จะกัดกันทำห่าอะไรว่ะ เรามาเพื่อทำงานกันน่ะโว้ย ” เสียงของบุคคลที่สามดังขึ้น เสียงนั่นออกมาจากลูกเเก้วลูกนึงที่กำลังลอยลงมาจากเบื้องบนอย่างช้าๆ เเล้วหยุดอยู่ตรงระหว่างร่างทั้งสอง

              

                        ลูกเเก้วที่เป็นเเหล่งกำเนิดเสียงมีสีนิลเข้ม มันเป็นสีดำคล้ำ ภายในมีดวงตาเป็นเปลวเพลิงลามเลียอยู่ ตาดำของมันเป็นเพียงขีดดำๆ เหมือนดวงตาของสัตว์ร้ายที่กระหายเลือด เเต่ดวงตาของมันไม่ได้บ่งบอกว่ามีความเจ็บปวดจากไฟรอบๆดวงตาไม่

            

                      “ เเต่ท่านลูซิเฟียสขอรับ เจ้าคัซซ่ามันเป็นฝ่ายเริ่มก่อนน่ะขอรับ ”

            

                       “ หนอย.. ไอ้สวะ กลูสตัฟ เอ็งเป็นฝ่ายท้าข้าน่ะโว้ย ถ้าเอ็งไม่เริ่ม ท่านลูซิเฟียสคงไม่ต้องมาเป็นธุระอย่างนี้หรอก ”

              

                         “ ข้าบอกให้พวกเเกเงียบยังไงล่ะ ” เสียงจากลูกเเก้วพูดออกมาอย่างหมดความอดทน



                         ทันทีที่สิ้นเสียง ร่างของคัซซ่าเเละกลูสตัฟ ก้อเหมือนกันโดนพลังลึกลับอะไรบางอย่าง มันทั้งคู่ลงไปนอนหมอบกับพื้น ดิ้นอย่างทุรนทุราย น้ำลายที่เป็นเหมือกไหลออกมานองกับพื้นจนเปียกเป็นบริเวณกว้าง  กรูสตัฟตะกายขาทั้งสี่ที่มีเเต่กรงเล็บไปในอากาศอย่างทรมาน

              

                 ลูซิเฟอร์ไม่ต้องการให้ผู้ที่อยู่ใต้บัญชาของมันตายเพราะมีงานสำคัญรออยู่ จึงหยุดการทรมานมันทั้งคู่

              

                       “ ทีนี้พวกเอ็งทั้งคู่จะหยุดกัดกันได้ซะทีหรือยังว่ะ ห๊า…”

              

                       “ ได้ขอรับ ท่านลูซิเฟียส เป็นความกรุณาของท่านที่มีต่อบ่าวผู้ต่ำต้อยทั้งสองเป็นอย่างมาก ” คัซซ่ากล่าวกับเจ้านายของมันอย่างประจบ

              

                     “ เเล้วท่านให้พวกเรามาถึงที่นี่ทำไมละขอรับนายท่าน ”  กลูสตัฟเอ่ยถามนายของมัน

            

                       “ มาทำงานสำคัญยังไง เรามากำจัดเสี้ยนหนามที่อาจเป็นภัยกับเรา ” ลูซิเฟียสกล่าวกับบ่าวของมันด้วยเสียงเรียบๆ

            

                           “ กำจัดใครหรอขอรับนายท่าน ” คัชช่าเป็นฝ่ายเอ่ยถามด้วยความสงสัย

              

                           “ เอ้า ดูซะ นี่คือเป้าหมายของเรา ” ผู้เป็นนายกล่าว พร้อมกับมีลำเเสงออกมาจากลูกเเก้วพร้อมกับปรากฏเป็นร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ผมของเขาเป็นสีดำ ตั้งขึ้นชี้เเหลมๆ ร่างซึ่งมีความสูง180กว่าๆ หน้าตาหล่อเหลา<จริงง่ะ> ปรากฏขึ้นตรงหน้าของสัตว์ประหลาดทั้งสอง

              

                          “เอ่อ ท่านลูซิเฟียสขอรับ ไอ้เนี้ย มันก็เเค่เด็กคนนึงไม่ใช่หรอคับ เเค่กำจัดเเค่นี้ทำไมท่านต้องลำบากมาถึงที่นี่ด้วย ท่านถึงขนาดต้องใช้ ‘ไฟร์สไปรัล สโตน’ ด้วย ” คัซซ่ากล่าวอย่างสงสัยที่เห็นเป้าหมายที่มันต้องกำจัดเป็นเเค่เพียงเด็กหนุ่มคนนึงธรรมดาคนนึง ถ้าเด็กคนนี้ธรรมดาจริงๆน่ะนะ

            

                          “เจ้าเคยได้ยินตำนานที่เกิดขึ้นกับเเมกมาเนียนของเราหรือเปล่าล่ะ คัซซ่า ” ลูซิเฟียสตอบลูกน้องของมัน “ทำไมเผ่าเเมกมาเนียนของเราถึงเกือบล่มสลาย เเล้วต้องไปอยู่ในมิติเน่าๆเพราะไอ้ดาบบ้าๆเล่มนึงล่ะ เเล้วไอ้บ้าที่ไหนที่มันมีพลังซะขนาดทำให้ท่านจ้าวของเราร่างเเละวิญญาณสลาย เเละทำให้ข้าเหลือเพียงร่างเเห่งวิญญาณอย่างนี้ล่ะ ” มันขึ้นเสียงอย่างโมโห

            

                         “ท่านหมายถึง….มันหรอคับ”

            

                         “เเล้วจะมีไอ้บ้าที่ไหนอีกล่ะ ที่มาขัดขวางเรา ทั้งที่เราพวกเรา เเมกมาเนียน เกือบจะได้ครองทั้ง3มิติ ต้องล่มสลายเเล้วไปอยู่ในอีกมิตินึงล่ะ ”

          

                        “เเต่ท่านลูซิเฟียสขอรับ เรื่องมันผ่านมาตั้งพันกว่าปีเเล้วน่ะขอรับ มันจะอยู่ถึงนี่ได้ยังไงล่ะขอรับ ”   กลูสตัฟกล่าวอย่างสงสัย ถ้าไอ้เด็กนี่มันเป็นคนเดียวกับตำนานของเผ่ามันเเล้วทำไม อายุมันถึงไม่เปลี่ยนเเปลงไปเลยล่ะ

          

                            “เเล้วพวกเอ็งว่าข้าอยู่อย่างทุกข์ทรมานมากี่พันปีเเล้วล่ะ”

          

                            “เเต่…”

            

                          “ไม่ต้องมาเเต่”

          

                            “เเต่ว่า….เอ่อ”

          

                           “เอ็งจะสงสัยอะไรนักหนาว่ะ ไอ้ กลูสตัฟ” ลูซิเฟียสกล่าวอย่างเหลืออด

          

                           “เเล้วเราจะหาไอ้เด็กนี่ได้จากที่ไหนละขอรับ” มันถามอีกอย่างสงสัย เเต่คำถามของมันเป็นตัวจุดชนวนความโกรธของนายของมันออกมา ฉับพลันร่างทั้งสองก็ลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายกับพื้นอีกรอบ

            



                        “นั้นเป็นหน้าที่ของพวกเอ็งที่ต้องไปหามันเเล้วกำจัดมันทิ้งซะ” ลูซิเฟียสกล่างอย่างเหลืออด “เออ เเล้วข้ารำคาญสีเขียวๆของพวกต้นไม้พวกนี้เหลือเกินว่ะ ข้าชอบเเต่สีเเดงของเพลิงไหม้ ชอบกลิ่นของเถ้าถ่าน”

          

                        “เเล้วเราต้องทำอย่างไรดีล่ะขอรับนายท่าน”

            

                         “ทำให้มันหายไปซะคัซซ่า ทำให้เหมือนกับบ้านของเรา ชาว เเมกมาเนียน”

          

                            “รับทราบ ขอรับ”

          

                          “เออ เเล้วไอ้เด็กคนนี้นะน่ะ มันมีชื่อว่า บีเซนซ์….บีเซนซ์ เเอนเดอร์สัน จำใว้ดีๆ เเล้วกัน ตามหามัน เเล้วกำจัดมัน ให้สิ้นซาก”







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×