แค่เธอ...ไม่อยู่ - แค่เธอ...ไม่อยู่ นิยาย แค่เธอ...ไม่อยู่ : Dek-D.com - Writer

    แค่เธอ...ไม่อยู่

    แค่เธอ...ไม่อยู่ ผมก็เป็นไปได้ตั้งเท่านี้แล้ว

    ผู้เข้าชมรวม

    231

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    231

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 ส.ค. 57 / 21:15 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      แค่เธอ...ไม่อยู่

      ผมลืมตาขึ้นมาบนเตียงภายในห้องพัดลมขนาดใหญ่ และมีเตียงแบบเดียวกับที่ผมกำลังนอนอยู่อีกเจ็ดแปดเตียงภายในห้องขนาดใหญ่ ที่มีพัดลมติดเพดานหน้าตาโบราณติดอยู่เพื่อลดความร้อน บางเตียงมีคนนอนอยู่บางเตียงก็เป็นเพียงเตียงว่าง แล้วผมก็ก้มมองชุดที่ผมใส่อยู่ ผมแน่ใจเลยว่าผมไม่เคยมีชุดอย่างนี้ มันเป็นชุดสีเขียวอ่อนแล้วมีลายที่เป็นชื่อโรงพยาบาลเต็มไปหมดทั้งเสื้อและกางเกง ที่สำคัญกระดุมไม่มี แต่กลายเป็นเชือกผูกแทน ผมรู้สึกเจ็บที่แขนแล้วมองไปที่ข้อมือ ทำไมมีเข็มคาอยู่พร้อมด้วยพร้อมสายระโยงรยางค์ มิน่าผมถึงรู้สึกเจ็บๆ ถึงผมจะอายุแค่สิบขวบแต่ผมก็ไม่ได้โง่นะ ผมมีชื่อจริงว่าปัญญา ชื่อก็บอกยี่ห้ออยู่แล้วว่าฉลาด มีหรือผมจะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แต่คำถามที่อยู่ในหัวของผมก็คือ ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เอ๊ะที่บริเวณศรีษะของผมดูเหมือนจะมีผ้าพันแผลพันอยู่ด้วย และมันก็รู้สึกเจ็บๆด้วยซิครับ

      ผมเหลือบผู้หญิงรูปร่างอ้วนแถมผิวคล้ำคนหนึ่งยืนหันหลังให้ผมกำลังคุยกับผู้ชายในชุดกาวน์สีขาว ที่บ่ามีชุดหูฟังคล้องอยู่ท่าทางน่าจะเป็นหมอด้วยเสียงที่ไม่น่าฟังเท่าไร

      “เด็กเป็นอย่างไรบ้างคะหมอ” น้ำเสียงของยัยป้าอ้วนดำนั้นแฝงไปด้วยความรำคาญ ถามหมอเหมือนเป็นเรื่องเสียมิได้อะไรทำนองนั้น สำหรับผมฟังแล้วทำให้ผมรู้สึกงุดหงิดเป็นที่สุด ผมแอบสงสัยทำไมผู้หญิงอีกคนถึงไม่อยู่ตรงนี้นะ ทั้งที่ทุกครั้งที่ผมมีเรื่องก็มีเธออยู่กับผมเสมอไม่เคยขาด เธอไปอยู่ที่ไหนเสียล่ะนี่ ผมคิดถึงเธอที่สุด พูดถึงแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาก ผมไม่ชอบยัยป้าอ้วนดำ ไม่รู้จักด้วยซ้ำไม่รู้ทำไมต้องมาถามหมอราวกับว่าเป็นผู้ปกครองผมอย่างนั้น

      “แกปลอดภัยดีครับ แค่มีแผลที่บริเวณศรีษะเล็กน้อยอย่างที่เห็น พอน้ำเกลือหมดขวดก็น่าจะกลับบ้านได้” คุณหมอตอบ แล้วยัยป้าอ้วนดำก็ถอนหายใจยาว อย่างโล่งอกเมื่อได้ยินความเห็นอย่า

      “ได้ฟังก็โล่งอกคะ แกเพิ่งย้ายมาอยู่กับมูลนิธิเพราะหนี้ออกจากบ้านมานะคะ แล้วยังมามีเรื่องกับเด็กชายร่วมบ้านที่โตกว่าอีก คือแกไปหาเรื่องรุ่นพี่ก่อนก็เลยโดนรุมซ้อม” ยัยผู้หญิงอ้วนเล่าสาเหตุที่ผมบาดเจ็บให้หมอฟังด้วยน้ำเสียงที่ไม่ใคร่พอใจนัก ส่วนผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวผมนี่นะหนีออกจากบ้านมาอยู่บ้านเด็กกำพร้า มันจะเป็นไปได้ยังไง อยู่บ้านถึงผมจะไม่ใช่ราชาแต่ผมก็เป็นประหนึ่งเจ้าชาย ถึงไม่ใช้เจ้าชายที่สำคัญเท่าไรแต่ก็ได้รับการดูแลเอาใส่ใจใส่เป็นอย่างดีจากผู้หญิงอีกคน เธอรักผมจะตายไป ถึงแม้ผมจะรู้สึกว่าเธอรักไอ้ตัวแสบมากกว่าผม แต่ผมเชื่อว่าผมไม่มีทางหนีเธอมาแน่นอน ยัยป้าอ้วนดำต้องโกหกหมอแน่ๆเลย รูปร่างน่าตาก็ไม่ต้องตาต้องใจแล้วยังมีนิสัยโกหกอีก ป้านี่มีอะไรดีให้อวดชาวบ้านเขาบ้างไหมนี่

      “อ่าว ฟื้นแล้วหรือครับ เป็นอย่างไรเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า ขอหมอตรวจหน่อยซิ” คุณหมอหนุ่มหันมาเห็นผมนอนลืมตาและกำลังเอามือจับผ้าพันแผลรอบศรีษะ แล้วเดินเข้ามายืนข้างเตียง เอาหูฟังแนบกับอกผมเพื่อฟังเสียงปอด เสียงหัวใจเต้น ผมหายใจเข้ายาว หายใจออกยาวตามที่หมอบอกให้ทำ

      “ผมเจ็บตรงนี้ครับ และก็ตรงนี้ด้วยครับคุณหมอ” ผมเอามือชี้ที่ศรีษะและที่แขนที่มีสายน้ำเกลือ คุณหมอยิ้มแล้วบอกอย่างใจดีว่า

      “ไม่เป็นไร อีกวันสองวันก็หายแล้ว วิ่งเล่นได้สบายเหมือนเดิม” ผมรู้สึกสบายใจขึ้นที่ได้ฟังคำยืนยันจากปากหมอ เพราะตอนที่ตื่นขึ้นมาเห็นว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาลคนเดียวก็รู้สึกเป็นกังวล คนดีๆที่ไหนจะชอบมาอยู่โรงพยาบาลกันเหล่าถ้าเลือกได้ขอไม่มาเลยจะดีกว่า คุณหมอเอามือลูบศรีษะผมเบาแล้วเดินไปเยี่ยมคนไข้เตียงที่อยู่ถัดไป

      “นี่โชคดีนะที่ไม่เป็นอะไร ก็หาเรื่องทำให้ตัวเองเจ็บเองแท้ๆ” ยัยป้าอ้วนบ่นด้วยเสียงไม่ดังพอให้แค่ผมและเธอได้ยินกันสองคน พร้อมทั้งทำหน้าเอือมระอากับพฤติกรรมของผม

      “แล้วนี่ป้าเป็นใคร ทำไมทำตัวราวกับว่าเป็นผู้ปกครองผม” คำถามของผมทำให้ยัยป้าอ้วนดำแปลงร่างเป็นนางยักษ์ทันที

      “ก็ฉันเป็นผู้ปกครองของเธอนะซิ เด็กทุกคนที่อยู่ที่มูลนิธิมีฉันเป็นผู้ปกครองทั้งนั้น อย่าบอกนะว่าจำไม่ได้” คำยืนยันจากปากนางยักษ์ทำให้ผม สวนกลับทันที

      “ไม่จริง ผมมีบ้านทำไมต้องมาอยู่มูลนิธิกับป้า โกหก!”

      “ฉันจะโกหกเธอทำไมล่ะ ไอ้เด็กบ้า” นางยักษ์เริ่มควบคุมเสียงไม่ได้ ผู้ป่วยที่อยู่เตียงข้างๆเริ่มหันมาสนใจว่านางยักษ์คุยอะไรกับเด็กสิบขวบอย่างผม ถึงต้องเสียงดังขนาดนั้น

      “ไม่จริง” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเบาหวิว นางยักษ์เห็นผมกำลังเพี้ยงพล้ำก็เลยจัดการย้ำเ

      “จริง จริงที่สุด” ยัยป้าอ้วนดำยังตะโกนใส่หน้าผม ในขณะที่ผมเอามือปิดหน้าเพื่อซ่อนสายตาที่ปวดร้าว ในใจคิดถึงผู้หญิงอีกคนที่เธอคอยอยู่ข้างๆผมเสมอ แต่วันนี้เธอไปไหนกัน ทำไมเธอไม่อยู่ข้างผมเหมือนเช่นเคย เธอไม่มีทางใช้กริยาอย่างนางยักษ์ให้ผมต้องตกอกตกใจเป็นแน่แท้ เพราะเธอจะคอยถามคอยเอาใจใส่ดูแลผม ไม่ใช่ใช้กริยาดุจนางยักอ้วนดำตนนี้ แล้วผมจะทำอย่างไรดีถึงจะได้เจอเธอ

      ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

      “พี่คิล พี่คิล” เสียงเด็กชายอายุห้าขวบเรียกผม แล้วเอามือมาสะกิดแขนผมที่ยกปิดหน้าเอาไว้ เพื่อกันสายตาจากนางยักษ์อ้วนดำ อ่าว! แล้วยัยป้านั่นหายไปไหนเสียแล้วล่ะ แต่ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ ผมบอกกับตัวเองอย่างนั้น ที่น่าแปลกก็คือผมอยู่ในชุดที่แปลกออกไปเป็นชุดที่ผมมักจะใส่อยู่บ้านเป็นประจำ บนศรีษะก็ไม่มีผ้าพันแผล ที่ข้อมือก็ไม่ได้มีเข็มน้ำเกลือปักอยู่อีกแล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันนี่ ก่อนที่ผมจะคิดอะไรไปมากกว่านี้ก็มีเสียงเรียกผมดังขึ้นอีก

      “พี่คิล” เจ้าเด็กคนเดิมยังคงเรียกผมพร้อมเขย่าแขนแล้วชี้ไปที่โน๊ตบุ๊คบนเตียง เด็กคนนี้ผมรู้จักดีเขาก็คือเจ้าเด็กแสบที่ผมเคยเล่าให้ฟัง ผมไม่ชอบเจ้าเด็กคนนี้เอาเสียเลย ทำไมหรือครับ ก็เขาคือน้องชายคนพิเศษของผมอย่างไรล่ะครับ แปลกจังที่วันนี้ผมกับเจ้านี่อยู่ด้วยกันแค่สองคนในห้องนอนภายในคอนโดมิเนียมที่ผมอาศัยอยู่ เพราะปกติเธอคนนั้นจะอยู่ด้วยกันกับเราสองคนตลอดเวลา แล้วเธอไปไหนล่ะนี่ ปล่อยให้ผมอยู่กับไอ้แสบนี่แค่สองคน

      จำที่ผมเคยเล่าให้ฟังได้ใช่ไหมว่า ชีวิตผมเหมือนเจ้าชายถึงไม่ใช่เจ้าชายที่สำคัญเท่าไรก็ตาม ที่ผมไม่สำคัญก็เพราะเจ้าน้องชายของผมมันเป็นเจ้าชายคนสำคัญของบ้านนะซิครับ มันเกิดหลังผมห้าปีแล้วก็เข้ามายึดตำแหน่งเจ้าชายคนสำคัญจากผมไป

      “พี่คิล ช่วยเปิดโทมัสให้หน่อยครับ” ไอจังยังคงเรียกแล้วเขย่าแขนผมแล้วชี้ไปที่โน๊ตบุ๊คที่วางอยู่ใกล้ๆ เป็นสัญญาณบอกให้ช่วยเปิดวิดีโอในยูทูปที่ชอบให้ดูหน่อย ผมหันมองซ้ายมองขวาเห็นว่าเธอไม่อยู่ ได้เวลาเอาคืนแล้วเจ้าไอจังแล้ว เรื่องอะไรผมจะช่วย แต่เดี๋ยวก่อนถ้าผมไม่ยอมทำตามที่ไอจังขอ เจ้าน้องชายตัวแสบของผมต้องฟ้องเธออีกแน่ๆเลย แล้วผมก็ต้องซวยอีก ผมไม่อยากได้ยินเธอถามผมด้วยเสียงอันเย็นเยือกว่าพร้อมสายตาดุๆ

      คิล ไอจังเป็นใครครับ ทุกครั้งที่เธอถามคำถามนี้ก็เพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือน ผมนั้นฟังคำเตือนนี้ด้วยความรู้สึกเซ็งเป็นที่สุด แต่ก็ตอบเธอกลับไปทุกครั้งว่า

      ไอจังเป็นวี.ไอ.พีของผม ถึงผมไม่ชอบให้เจ้าน้องชายเป็นวี.ไอ.พี เพราะผมไม่ชอบให้บริการ(รับใช้)มันก็เถอะ เธอก็รู้ว่าผมแสนเบื่อที่ต้องช่วยเจ้าไอจังอาบน้ำ แต่งตัว เปิดคอมพิวเตอร์ให้ดู  และที่สำคัญต้องเสียสละไอแพดที่มีเพียงเครื่องเดียวให้ไอจังได้ใช้ก่อน หรือถ้าไปกินแมคโดนัลด้วยกัน ผมต้องให้ไอจังได้กินเฟรนฟายก่อน ทั้งที่ผมก็ชอบเหมือนกัน พอไอจังกินเหลือผมถึงจะได้กินต่อ ไหนจะตอนนอนอีกไอจังได้นอนกอดเธอทุกคืนเลย พอผมจะกอดเธอบ้าง ไอจังก็มาแทรกกลางตลอด ผมก็อยากให้เธอกอดเหมือนกันนะ มันไม่ยุติธรรมเลยสำหรับผม แต่เธอปลอบผมเสมอว่า น้องยังเล็กไม่รู้เรื่องอะไร คิลเป็นพี่ต้องช่วยน้อง คิลกับไอจังมีกันอยู่เพียงสองคนพี่น้องต้องช่วยกัน น้องโตขึ้นก็ต้องช่วยคิลเหมือนกัน  แล้วก็เริ่มเล่าในสิ่งที่ผมจำไม่ได้ว่า สมัยผมอายุเท่าไอจังนะ ผมก็เป็นวี.ไอ.พีเหมือนไอจังนี่ล่ะ อยากได้อะไรเธอก็หามาให้ทุกอย่าง สมัยนั้นไม่มีใครมาแย่งผมเลย ไม่เหมือนไอจังที่ผมชอบไปแย่งของด้วย เธอมักจะสรุปว่าผมนั้นสบายกว่าน้องในช่วงที่ผมอายุเท่ากับไอจัง ผมก็เข้าใจอยู่หรอกแต่เรื่องมันนานแล้วผมจำไม่ได้นี่ ผมรู้แต่ว่าตอนนี้ผมต้องทำตัวเป็นพี่ที่ดีและยอมน้องตามที่เธอว่า สรุปก็คือผมตัดสินใจเปิดยูทูปแล้วหาวิดีโอหัวรถไฟโทมัสที่เจ้าน้องชายชอบแล้วเลื่อนโน๊ตบุ๊คพร้อมเม้าส์ให้ไอจังเลือกตอนของวิดีโอตามชอบใจ 

      เมื่อน้องชายจอมแสบได้ดูวิดีโออย่างที่ต้องการก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรอีก ผมเริ่มส่งสายตาได้หาเธอเผื่อว่าเธอไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ  แต่รอแล้วรออีกเธอก็ไม่กลับมาสักที จนผมปวดฉี่ก็เลยเดินเข้าห้องน้ำเพื่อไปปลดทุกข์

      --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

       เมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำ แทนที่ผมจะอยู่ที่ห้องในคอนโดมิเนียมแต่ปรากฏว่าผมมายืนอยู่หน้าห้องเรียน แถมยังอยู่ในชุดนักเรียนที่โรงเรียนที่ผมกำลังเรียนชั้น ป. 4 อยู่ ทำไมวันนี้ผมไปหลายที่จัง ขณะที่ผมกำลังจะใช้สมาธิหาเหตุผลอยู่นั้น ก็มีเสียงเรียกเข้ามาทำลายความคิดของผมอีกครั้ง

      “ปัญญา ปัญญาเข้ามาในห้องซิคะ จะยืนอยู่ทำไมหน้าห้องนะ” คุณครูวิชาอังกฤษเรียกผมให้เข้าห้อง ผมก็เลยเดินเกาหัวแกร๊กๆด้วยความงงๆเข้าไปนั่งที่ประจำ วันนี้ต้องเป็นวันแห่งความซวยเป็นแน่แท้เพราะหลังจากที่ผมนั่งลงเสร็จ คุณครูก็บอกว่าจะสอบเขียนตามคำบอกสิบคำตามที่สั่งให้ไปท่องตามที่เขียนในสมุดจดการบ้านเมื่ออาทิตย์ก่อน

      ตายล่ะหว้า เอาไงดีล่ะ ยังไม่ได้เตรียมมาเลย ปกติเธอต้องมาติวเขียนตามคำบอกให้ผมก่อนสอบทุกครั้ง แล้วครั้งนี้ทำไมเธอลืมหรืออย่างไร ผมนั้นรู้สึกไม่มั่นใจเป็นอย่างมากเพราะปกติต้องซ้อมเขียนตามคำบอกหลายครั้งกับเธอก่อน ไม่อย่างนั้นทุกครั้งที่ผมสอบผมคงไม่ได้คะแนนเต็มหรอกครับ สงสัยครั้งนี้นอกจากไม่เต็มแล้ว ผมอาจจะไม่ได้สักคะแนนเลยก็ได้ อยู่ๆผมก็นึกถึงสิ่งที่เธอมักพูดกับผมเวลาผมไม่ตั้งใจอ่านหนังสือ หรือถ่องศัพท์ เธอมักถามผมว่าถ้าเธอตายไป แล้วผมจะทำอย่างไร เพราะผมขี้เกียจขนาดนี้ สงสัยต้องไปเก็บขยะมาขายเพื่อเลี้ยงตัวเอง หรือไม่ก็ต้องรอให้ไอจังมาเลี้ยงผมผมไม่ชอบให้เธอพูดเรื่องตายเลยให้ตายซิ พอได้ยินเธอพูดอย่างนั้นที่ไรผมรู้สึกใจคอไม่ดีเอาเสียเลย ผมไม่อยากให้เธอตายผมรู้สึกว่าตัวเองจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีเธอคอยดูแล ความขี้เกียจถูกฆ่าตายลงทันที สิ่งที่ผมทำได้ก็คือพยายามท่องหน้งสือทันที ที่ผมทำนั้นเพราะไม่อยากให้เธอพูดเรื่องตายอีก และมันก็ได้ผมเมื่อผมตั้งใจอ่านหนังสือ เธอก็ไม่พูดถึงความตายที่จะมาพรากเราจากกันอีกเลย ถ้าเป็นไปผมอยากบออยู่กับเธอไปนานๆ

      ไม่น่าเชื่อว่าผมสามารถเขียนตามคำบอกได้ประมาณห้าคำจากสิบคำ นี่ขนาดไม่ท่องนะนี่ แต่ผมรู้ถ้าผมรายงานเธอว่าผมได้แค่ห้าเธอต้องทำหน้าเศร้าอีกแน่ๆ ถึงแม้จะไม่อยากเห็นหน้าเธอตอนเศร้า แต่ทำไงได้ก็ผมพลาดไปแล้วเอาไว้ครั้งหน้าผมจะแก้ตัวใหม่ให้เธอภูมิใจ ผมสัญญา แค่คิดว่าจะทำให้เธอภูมิใจก็รู้สึกดีแล้ว ผมเคยบอกกับเธอนะว่า ผมอยากเป็นสุภาพบุรุษพรมแดง งงล่ะซิ อะไรคือสุภาพบุรุษพรมแดงนะหรือครับ มันเป็นตำแหน่งสำหรับนักเรียนที่เรียนดี ประพฤติดี แล้วได้รับการคัดเลือกจากครูประจำชั้นในแต่ละปี   สุภาพบุรุษพรมแดงจะได้ประกาศเกียรติคุณแล้วได้ถ่ายรูปลงหนังสือของโรงเรียนอีกด้วย ผมเคยเห็นเพื่อนๆที่ได้รับตำแหน่งนี้แล้วพ่อแม่ของเขาก็ปราบปลื้มใจกับลูกของตัวเอง จนน้ำตาไหลออกมา ผมอยากเห็นเธอน้ำตาไหลเพราะผมได้รับตำแหน่งนี้บ้าง ไม่ใช่เพื่อตัวผมเองหรอกนะแต่เพื่อให้เธอได้น้ำตาไหลเหมือนกับพ่อแม่เพื่อนคนอื่นที่ผมเคยเห็นมาแล้วแค่นั้นเอง

      หลังเรียนคาบภาษาอังกฤษเสร็จ ก็ได้เวลาเลิกเรียน แต่ผมยังไม่ได้กลับบ้านหรอกเพราะผมต้องเรียนพิเศษภาษาอังกฤษกับคุณครูชาวต่างชาติอีกหนึ่งชั่วโมง จริงๆมันเป็นกิจกรรมที่ผมชอบนะ เพราะไม่มีอะไรที่ต้องคิดมากเลยอีกอย่างภาษาอังกฤษนะเป็นภาษาแม่ของผมเลยก็ว่าได้ กิจกรรมในคาบนี้ส่วนใหญ่เป็นการเล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลงเป็นภาษาอังกฤษ สำหรับผมนี่คือช่วงเวลาพักผ่อนประจำวันก็ว่าได้ แน่นอนครับเวลาพักผ่อนมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็เป็นเวลาเรียนพิเศษจริงๆก็เรียนต่อจากคาบพักผ่อนนั่นล่ะ ที่ผมต้องเรียนคาบนี้ก็เพราะเธอไม่อยากให้ผมมีเวลาเล่นเกมเยอะที่บ้าน เธอถึงพยายามหากิจกรรมอะไรให้ผมทำเพื่อไม่ให้ผมหันหน้าเข้าหาจอคอมพิวเตอร์เมื่อกลับถึงบ้าน วันนี้ผมต้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นวิชาที่ผมอ่อน ก็จะให้ผมจำทุกอย่างได้ยังไง อาณาจักรโคตรบูรณ์ อาณาจักรศรีวิชัย ชื่อแต่ละชื่อแปลกๆทั้งนั้น เขียนก็ยากอีก ไหนต้องจำว่าอยู่จังหวัดไหนอีก มีสอบวิชานี้ทีไรผมต้องโดนเธอบังคับให้ท่องอะไรก็ไม่รู้ตั้งมากมาย มันเป็นวิชาที่แสนจะกินพื้นที่ในสมองของผมเหลือเกิน ไม่น่าแปลกใจที่เธอให้ผมเรียนพิเศษวิชานี้เพิ่ม

      ได้เวลาที่ผมต้องกลับบ้านแล้ว ผมเดินลงจากชั้นเรียนมาที่ตึกหน้าโรงเรียนที่ผู้ปกครองจะนำรถมาจอดรับนักเรียนกัน ผมผ่านกระดานดำใหญ่ที่ใช้ประกาศเรื่องต่างๆของโรงเรียน เอ๊ะ วันนี้มีประกาศผลสอบแข่งขันทุนไปต่างประเทศที่ผมก็ไปสอบกับเขาเหมือนกันด้วย ไปดูดีกว่าเพื่อได้วันนี้จะได้มีเรื่องน่ายินดีไปเล่าให้เธอฟังบ้าง นอกจากเรื่องที่เขียนตามคำบอกได้ห้าคะแนนนั่น  ประกาศผลแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นรายชื่อของคนที่สอบได้ในแต่ละระดับชั้น ส่วนที่สองเป็นส่วนของรายชื่อตัวสำรองในแต่ละระดับชั้นเหมือนกัน ผมเริ่มดูจากรายชื่อตัวสำรองก่อนในระดับชั้นป. 4 รายชื่อตัวสำรองมียี่สิบคนปรากฏว่าไม่มีชื่อผมอยู่ในนั้น นั่นเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับผม แล้วผมก็เริ่มดูรายชื่อผู้ได้รับทุนในระดับชั้นของผมต่อ ผมไล่รายชื่อตั้งแต่คนที่ได้ที่หนึ่งลงมาถึงที่สิบก็ยังไม่มีชื่อผม แต่พอคนที่สิบเอ็ด เด็กชายปัญญา เลขที่ 40 ห้อง 8 นั่นมันผมนี่นา โอ้ มาย ก๊อด! ผมสอบได้ทุนด้วย ผมกระโดดตัวลอยด้วยความยินดี แถวนั้นไม่มีใครอยู่แล้วเพราะเวลาหกโมงกว่านักเรียนส่วนใหญ่กลับบ้านกันหมดแล้ว ในที่สุดผมก็มีเรื่องดีๆไปบอกให้เธอรู้ ผมอยากให้เธอรู้เรื่องนี้เป็นคนแรกเพราะเธอเป็นคนบอกให้ผมไปสอบ แถมยังช่วยกรอกใบสมัครให้ด้วยซิครับ ผมเริ่มเพ้อไม่แน่ปีนี้ผมอาจจะได้คัดเลือกเป็นสุภาพบุรุษพรมแดงของห้องก็ได้ ผมรีบเดินกลับไปที่จุดนัดพบประจำเพื่อรอพ่อมารับ

      “พี่คิล พี่คิล” เสียงน้องชายวี.ไอ.พีเรียกชื่อผมดังมาจากรถยนต์สีเงินที่พ่อเป็นคนขับ ผมหันไปตามเสียงเรียกแล้วเดินขึ้นไปนั่งหลังรถตามปกติ เพราะที่นั่งด้านหน้าเป็นที่วางกระเป๋าของพ่อ ส่วนเธอ ผมและไอจังก็นั่งข้างหลุงตามระเบียบปฏิบัติของที่บ้านผม แต่วันนี้เธอไม่ได้นั่งอยู่ที่เธอเคยนั่ง มีเพียงไอจังนั่งเล่นไอแพดอยู่ที่เบาะหลัง

      “นี่หมูปิ้งกับข้าวเหนียวของคิล ป๊าซื้อมาให้” แล้วปะป๊าของผมชี้ไปที่ถุงพลาสติกที่ห้อยอยู่ที่ข้างเบาะ มีหมูปิ้งแปดไม้แต่มันมันหมูปิ้งที่ไม่มีมันเลยสักนิด ปกติเธอจะเป็นคนซื้อหมูปิ้งมาให้ผม เธอรู้ว่าผมชอบกินหมูปิ้งแบบไหนซึ่งแน่นอนปะป๊าผมไม่เคยใส่ใจจะรู้ ผมมองดูหมูปิ้งด้วยความเซ็งแต่ก็กินเข้าไปเพราะความหิว ผมยังเก็บเรื่องที่สอบได้ทุนไว้ไม่บอกแม้กระทั่งปะป๊า เพราะอยากให้เธอรู้เป็นคนแรก คิดว่าเธอคงไปธุระ เมื่อถึงคอนโดมิเนียมคงได้พบเธอ แล้วเล่าข่าวดีให้เธอฟังไปเป็นคนแรก

      กลับมาถึงห้องพักในคอนโดมิเนียมก็รีบเปิดประตูเข้าไปหาเธอ แต่ก็ไม่พบ ไอจังเดินเข้ามาแล้วเล่นรถไฟโทมัสอยู่ที่ห้องรับแขก เจ้าน้องชายตัวแสบไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกตินี้แต่ผมรู้สึก แล้วผมก็รู้สึกใจคอไม่ดีเป็นที่สุด

      “ถ้าฉันตายไป เธอจะอยู่ยังไง” อยู่ๆประโยคที่เธอชอบพูดเวลาผมขี้เกียจก็ดังเข้ามาในหูอีก ผมเดินไปนั่งในห้องนอนแล้วนอนลงที่เตียงที่เคยนอนกับเธอทุกคืน แล้วหลับตาน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว ผมคิดถึงเธอจัง คิดถึงมากที่สุด เธอไปไหนนะ แล้วผมก็หลับไปทั้งชุดนักเรียนนั่นแหละ

      ผมฝันว่าเห็นเธอมายืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ แล้วลูบศรีษะผมเบาๆ แล้วเดินเข้ามากอดผม ผมดีใจมากที่ในที่สุดก็เจอเธอ

      “ผมสอบได้ทุนด้วยนะครับ ได้ที่สิบเอ็ดแต่ไม่รู้จะได้ประเทศอะไร” เธอยิ้มยินดีให้เมื่อได้ฟังข่าวดีจากผม

      “ลาก่อน” นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยินเธอพูด แล้วเธอเดินจากไป ผมเรียกเธอเท่าไรเธอก็ไม่ได้ยิน แต่ผมไม่ยอมแพ้ผมเดินตามเธอไปเรื่อยๆ แต่เธอเดินเร็วมากจนกระทั่งผมต้องวิ่งตาม

      “อย่าไปนะ หยุดนะ” เสียงของผมเธอคงไม่ได้ยิน ในที่สุดผมก็สะดุดล้มลงแล้วผมก็ตามเธอไม่ทัน เธอหายไปพร้อมคำลา ไม่จริง มันต้องไม่ใช่เรื่องจริง ผมบอกกับตัวเองเธอต้องอยู่กับผมเป็นกำลังใจให้ผม ต้องเลี้ยงผมจนโตซิจะมาทิ้งกันไปอย่างนี้ได้ไง ผมยังอายุแค่สิบขวบอยู่เลยนะ  ผมจำได้ว่าในฝันผมตะโกนออกไปว่า

      “ผมจะเป็นเด็กดีเชื่อฟังเธอทุกอย่าง เธอต้องภูมิใจที่ผมจะได้เป็นสุภาพบุรุษพรมแดงซิ ผมจะทำให้เธอภูมิใจยิ่งกว่านั้นอีกในทุกๆวันที่ผมเติบโตขึ้น ภูมิใจในทุกๆเรื่อง ผมสัญญา”  ขนาดผมสัญญาแล้วทำไมเธอไม่กลับมา เธอหายไปไหนนะ ผมก้มลงมองพื้นแล้วนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้นโดยไม่สนใจว่า หัวเข่าจะมีเลือดไหลซิบๆ แล้วผมก็บอกกับตัวเองว่านี่มันแค่ฝัน แต่มาก็จะได้เจอเธอ ผมพยายามบังคับตัวเองให้ลืมตาตื่น

      ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

      “ไม่มีอะไรได้ดังใจหรอกนะ คนเราต้องผลัดพรากจากสิ่งที่รัก นี่เป็นธรรมดาของโลก” เสียงพระสงฆ์รูปหนึ่งนั่งเทศน์อยู่ในศาลาวัดที่เธอมักพาผมไปนั่งสมาธิในวันอาทิตย์ดังขึ้น ส่วนตัวผมนั้นดีใจมากแสดงว่าผมตื่นแล้วใช่ไหมนี่ ผมรีบกราบหลวงพ่อแล้วก้มมองตัวเองอีกครั้ง คราวนี้ผมอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวและกางเกงยีนสีเข้ม ชุดที่เธอมักจัดให้ผมใส่เมื่อมาวัดนั่นล่ะ

      “การผลัดพรากจากคนที่รัก นี่เป็นธรรมดาของโลก เข้าใจไหมเจ้าหนู” เสียงพระสงฆ์รูปเดิมยังคงดังซ้ำ ผมส่ายหน้าไม่เห็นด้วยทันที

      “แต่ผมยังไม่พร้อมจะพรากจากเธอนะครับ ผมขอโอกาสได้ไหม” น้ำเสียงผมเริ่มสั่น ความสึกกลัวที่จะไม่ได้เจอเธอเริ่มเกาะกินใจว่า ความเศร้าเริ่มเกิดขึ้นในหัวใจ พระสงฆ์รูปเดิมยิ้มอย่างเมตตามาให้ผม

      “แล้วแน่ใจหรือว่า ถ้าได้โอกาสจะไม่ทิ้งมันไปอีก เคยทิ้งโอกาสมากี่ครั้งแล้วล่ะ เรานะ” คำพูดของท่านกระแทกใจผมอย่างจัง ผมทิ้งโอกาสที่จะทำให้เธอดีใจมากี่ครั้งแล้วนี่ กี่ครั้งที่เธอต้องเสียแรงสั่งสอนเด็กดื้อคนหนึ่ง ทุกครั้งพอผมลืมเธอก็ต้องเริ่มสั่งสอนผมใหม่เหมือนไม่เคยสั่งสอนผมมาอย่างนั้นล่ะ แต่ถ้าให้ผมเลือกระหว่างเป็นเด็กดีเชื่อฟังเธอ ไม่ทำให้เธอหนักใจ แล้วผมได้เจอเธอ กับทำตัวอย่างเดิมแล้วไม่เจอเธออีกเลย ผมขอเลือกอย่างแรก

      “ผมแน่ใจครับ หลวงพ่อช่วยผมหน่อยได้ไหม” ผมขอร้องท่าน เพราะตอนนี้ไม่มีใครให้ผมพึ่งได้อีกแล้ว หลวงพ่อหลับตาแล้วสวดมนต์บทหนึ่งที่ผมฟังไม่เข้าใจ แล้วลมก็พัดมาจากทิศไหนก็ไม่รู้พัดเอาใบไม้มาจำนวนมากจนทำให้ผมไม่สามารถมองเห็นหน้าหลวงพ่อได้ อยู่ๆผมก็รู้สึกเจ็บที่ก้นเหมือนโดนใครตี แล้วเสียงที่แสนคุ้นก็ดังขึ้น

      “คิลไปอาบน้ำได้แล้ว” นั่นมันเสียงเธอนี่นา ผมพยายามสงบจิตสงบใจเผื่อหูฝาด คราวนี้มือเรียวก็ยกแล้วฟาดไปที่ก้นผมอีกครั้ง พร้อมเสียงที่ส่งมา

      “ไปอาบน้ำ เดี๋ยวต้องไปโรงเรียน” ผมหันไปทางต้นเสียง เห็นเธอนอนอยู่บนเตียง แล้วผมนอนอยู่ข้างขวา ส่วนเจ้าไอจังนอนอยู่ด้านซ้าย ผมดีใจเป็นที่สุดในที่สุดผมก็ได้พบเธอ ผมรีบลุกไปอาบน้ำโดยไม่ต้องให้เธอเรียกซ้ำเพราะไม่อยากเสียโอกาสตามที่หลวงพ่อให้โอกาสมา ผมคิดว่างั้นนะ

      ขณะที่เดินไปที่ห้องน้ำ ผมก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อดังมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ “โอกาสที่ขอนะให้แล้ว อย่าให้เสียของล่ะ” ผมขนลุกซู่ขึ้นมาทั้งตัว สงบจิตสงบใจด้วยการหายใจเข้ายาว หายใจออกยาวอยู่สามครั้ง ก่อนจะตอบท่านกลับไปในใจว่าด้วยความตั้งใจว่า เสมือนสัญญาที่ให้กับพระท่านว่า

      “ครับ ผมจะไม่พลาดอีกแล้ว” แล้วรีบไปอาบน้ำเพื่อไปโรงเรียนตามปกติ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×