ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อลม่าน...วัยใสวุ่นรัก

    ลำดับตอนที่ #2 : เหตุผล

    • อัปเดตล่าสุด 6 ก.พ. 51


    ฉันยื่นโทรศัพท์กลับไปให้ไมล์ที่ยืนอยู่ด้านหลังฉัน  ไมล์รับโทรศัพท์ของเค้ากลับคืนไป  แล้วเดินอ้อมมาหาฉันที่ยังด้านหน้า
                    "ฉันบอกแล้วว่ายัยนี้นะเหมือนปลิง"
                    "เค้าไม่น่ารักหรือยังไง  ถึงไปเลิกกับเค้าน่ะ"  ฉันถามในขณะเดินออกไปจากห้องครัว  เชื่อเถอะตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยยืนอยู่ที่ห้องครัวนานขนาดนี้มาก่อน  หากไม่นับตอนที่ฉันทำกับข้าว  ล้างจาน  หรือทำความสะอาดห้องครัว
                    "เปล่า  เค้าก็น่ารักดี  เอาใจใส่เค้ามากด้วย"
                    "แล้วเลิกทำไมล่ะ  หรือว่ามีใหม่"  ฉันถาม
                    "อืม"
                    อีกครั้งสำหรับคำตอบลักษณะนี้  ฉันได้เคยถามคำถามแบบนี้กับไมล์นับครั้งไม่ถ้วน  และทุกครั้งฉันก็จะได้รับคำตอบแบบนี้กลับมาเสมอ  ฉันเคยว่าเค้าเรื่องนี้มาหลายครั้ง  แต่นิสัยแบบนี้ก็ยังคงมีอยู่ตลอดและดูท่าว่าจะแก้ไม่หายเสียด้วย  สุดท้ายภาระก็จะตกหนักที่ฉันที่ต้องรับตำแหน่งหน้าที่ทางการงานเป็นโอเปอร์เรเตอร์ให้แก่เค้า  และสาเหตุนี้แหละคือเหตุที่ฉันเรียกน้องชายสุดที่รักว่า  "ปีศาจ"  จะไม่ให้เรียกได้อย่างไรละ  ในเมื่อน้องชายของฉันทำผู้หญิงเสียใจมานับไม่รู้กี่คนต่อกี่คน  ทั้งๆ  ที่พวกเธอไม่มีความผิดเลยซักนิด  (ถึงแม้ว่าฉันจะมีส่วนร่วมในความผิดนี้ด้วยก็ตามที)  แล้วยังจะเรื่องชกต่อยอีกละ  บางวันไมล์จะกลับเข้าบ้านในสภาพที่เลือดท่วมตัว  ตั้งแต่หัวจรดเท้า  ทั้งเสื้อนักเรียนตลอดจนกางเกงเต็มไปรอยเลือดและกลิ่นคาวของเลือด  แต่เชื่อไหมว่า...เลือดพวกนั้นไม่ใช่ของไมล์  มันเป็นของคนอื่นที่มีเรื่องกับไมล์ต่างหากละ  ฉันถึงขนาดต้องไปโรงเรียนของไมล์ในฐานะของผู้ปกครองมาแล้ว  เนื่องจากพ่อไม่ว่างที่จะมา  อาจารย์ที่ปรึกษาเรียกฉันไปคุยเรื่องที่พ่อแม่ของคนที่ไมล์ไปมีเรื่องชกต่อยด้วยนั้น  เกิดเอาเรื่องขึ้นมา  บอกว่าจะแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกายลูกชายของเค้า  ฉันไม่รู้จะต้องทำอย่างไรแล้ว  ในเมื่อคู่กรณีบอกว่าจะแจ้งความท่าเดียว  ฉันจึงโทรศัพท์ตามทนายมา  เมื่อทนายความของฉันมาถึงเรื่องทุกอย่างจึงยุติลงด้วยดี  โดยฉันต้องจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด  ค่าทำขวัญ  และค่าอะไรต่อมิอะไรไปร่วมแสนบาท แต่ไม่เป็นไรหรอกเรื่องเงินน่ะเล็กน้อยสำหรับบ้านฉันอยู่แล้ว  ขอแค่ประวัติของน้องชายฉันไม่ด่างพร้อยเป็นพอ

                    ฉันกับไมล์อยู่ที่บ้านหลังนี้กันเพียงลำพัง  แต่ก่อนบ้านหลังนี้เคยครึกครื้นไปด้วยเสียงพูดคุย  เสียงหัวเราะของสมาชิกในบ้านที่อยู่ร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตา เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน  แต่ความสุขที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นฉันยังไม่ลืมเลือนไปจากความทรงจำ  ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงอดีตแต่มันก็มีค่าสำหรับตัวฉัน  แต่สำหรับไมล์มันกลับตรงกันข้าม ฉันรู้ว่าไมล์เสียใจมากที่แม่ทิ้งเราไปอยู่กับผู้ชายคนอื่น  คนที่แม่บอกก่อนไปว่าแม่รักเค้า  คนที่แม่รัก  รักมากกว่าสามีที่อยู่กินกันมากว่าสิบปี  มากกว่าลูกสาวและลูกชายที่ร้องไห้ออกมาแทบขาดใจในวันที่แม่เดินลากกระเป๋าออกไปจากบ้าน  ถึงฉันไม่พูดฉันก็รู้ว่า..นี่น่าจะเป็นสาเหตุนึงที่ทำให้ไมล์ไม่เคยคบกับผู้หญิงคนไหนเกินหนึ่งเดือน  น้องชายของฉันคงกลัวการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์แบบนั้นอีกครั้งในชีวิต  จึงขอเลี่ยงที่จะไม่ยึดติดกับใคร  ความคิดนี้คงจะฝังลึกอยู่ในความคิดของเค้าไปซะแล้ว และคงยากที่จะลบล้างมันออกไป  แต่ฉันก็ยังคงหวัง  หวังไว้ว่าซักวันจะต้องมีผู้หญิงที่น้องชายฉันรักและเธอคนนั้นก็รักน้องชายฉันอย่างจริงใจ

                    หลังจากที่แม่ทิ้งเราไป  บ้านหลังนี้ก็เริ่มเงียบเหงา  แต่มันยิ่งทวีความอ้างว้างมากขึ้น  เมื่อผู้เป็นพ่อประกาศออกมาว่า  พ่อขยายกิจการการค้าผ้าไหมที่ต่างประเทศ  อันที่จริงฉันก็รู้เรื่องนี้นะแต่ไม่คิดว่าพ่อจะต้องไปอยู่บริหารกิจการที่ต่างประเทศ  ฉันและไมล์ดื้อดึงไม่ยอมให้พ่อไป  แต่สุดท้ายพ่อก็ขึ้นเครื่องบินไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา  ในวันนั้นฉันกอดไมล์ไว้แน่น  ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีที่จะให้น้องชายของฉันหยุดร้องไห้  ไมล์ร้องไห้จนหลับไป  หลังจากนั้นเราจึงต้องอยู่กันเองตามลำพัง  ทำอย่างไรได้ละในเมื่อเรามีกันเพียงสองคนแค่นี้นี่  ไมล์ใช้เวลาเป็นเดือน  กว่าเค้าจะกลับมาร่าเริงเหมือนเดิม  นับตั้งแต่นั้นมาไมล์คือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับฉัน  และฉันก็คงจะเป็นเช่นนั้นสำหรับเค้าเช่นกัน  เราไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดไม่เคยห่าง  พ่อกลับมาเยี่ยมเราบ้างเป็นครั้งคราวในกรณีที่พ่อกลับมาดูงานที่ประเทศไทย  แต่พ่อก็จะอยู่กับเราได้แค่สองสามวันเท่านั้นและพ่อก็จะกลับไปสหรัฐอเมริกาเช่นเดิม  ฉันและไมล์โตมาได้เพราะพ่อ  ถึงแม้ท่านจะไม่ได้ดูแลเราแต่พ่อก็จะส่งเงินมาให้เราใช้ไม่เคยขาด  ที่จริงออกจะมากไปด้วยซ้ำ  ฉันและไมล์เรียนรู้การใช้บัตรเครดิตตั้งแต่เรียนชั้นประถม  โดยใช้บัตรของพ่อ  จนกระทั่งเราสองคนอายุถึงเกณฑ์ที่สามารถทำบัตรกันเองได้  เราจึงมีบัตรใช้เป็นของตนเอง  

                    วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก  ฉันตัดสินใจย้ายโรงเรียนมาอยู่โรงเรียนเดียวกับไมล์  ปกติฉันเคยเรียนโรงเรียนสตรีล้วน  ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำ  ฉันนอนค้างที่โรงเรียนในวันจันทร์ถึงศุกร์  ส่วนเสาร์-อาทิตย์ฉันจะกลับมานอนค้างที่บ้านกับไมล์  ในวันเกิดที่ผ่านมาของไมล์นั้นฉันถามว่าอยากได้อะไรเป็นของขวัญวันเกิด  ไมล์ก็บอกฉันว่าเค้าอยากให้ฉันย้ายโรงเรียนมาอยู่ที่เดียวกับเค้า  เค้าบอกว่าอยู่บ้านคนเดียวเหงามาก  ฉันจึงย้ายโรงเรียนตามคำขอของเค้า  ปีนี้ฉันเรียนอยู่ชั้นม. 5  แล้ว  อันที่จริงโรงเรียนแห่งนี้จะรับนักเรียนเข้าศึกษาในช่วงชั้น  ม. 1  และ  ม.4  เท่านั้น  แต่ฉันก็สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนแห่งนี้ได้  เพราะพ่อฉันแท้ๆ  ถ้าบังเอิญพ่อฉันไม่ได้เป็นประธานกรรมการโรงเรียนและไม่ใช่ผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดของโรงเรียนแล้วละก็  ฉันอาจจะต้องเรียนอยู่ที่โรงเรียนสตรีที่เก่า
                    "พี่สาว  คิดไรอยู่น่ะ  พี่คงไม่อยากสายตั้งแต่วันแรกของการเรียนหรอกนะ"  ไมล์กล่าวเตือนฉัน  ฉันจึงเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายมาพาดบ่าแล้วเดินตามเค้าออกไปนอกบ้าน

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×