คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เหตุผล
ฉันยื่นโทรศัพท์กลับไปให้ไมล์ที่ยืนอยู่ด้านหลังฉัน ไมล์รับโทรศัพท์ของเค้ากลับคืนไป แล้วเดินอ้อมมาหาฉันที่ยังด้านหน้า
"ฉันบอกแล้วว่ายัยนี้นะเหมือนปลิง"
"เค้าไม่น่ารักหรือยังไง ถึงไปเลิกกับเค้าน่ะ" ฉันถามในขณะเดินออกไปจากห้องครัว เชื่อเถอะตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยยืนอยู่ที่ห้องครัวนานขนาดนี้มาก่อน หากไม่นับตอนที่ฉันทำกับข้าว ล้างจาน หรือทำความสะอาดห้องครัว
"เปล่า เค้าก็น่ารักดี เอาใจใส่เค้ามากด้วย"
"แล้วเลิกทำไมล่ะ หรือว่ามีใหม่" ฉันถาม
"อืม"
อีกครั้งสำหรับคำตอบลักษณะนี้ ฉันได้เคยถามคำถามแบบนี้กับไมล์นับครั้งไม่ถ้วน และทุกครั้งฉันก็จะได้รับคำตอบแบบนี้กลับมาเสมอ ฉันเคยว่าเค้าเรื่องนี้มาหลายครั้ง แต่นิสัยแบบนี้ก็ยังคงมีอยู่ตลอดและดูท่าว่าจะแก้ไม่หายเสียด้วย สุดท้ายภาระก็จะตกหนักที่ฉันที่ต้องรับตำแหน่งหน้าที่ทางการงานเป็นโอเปอร์เรเตอร์ให้แก่เค้า และสาเหตุนี้แหละคือเหตุที่ฉันเรียกน้องชายสุดที่รักว่า "ปีศาจ" จะไม่ให้เรียกได้อย่างไรละ ในเมื่อน้องชายของฉันทำผู้หญิงเสียใจมานับไม่รู้กี่คนต่อกี่คน ทั้งๆ ที่พวกเธอไม่มีความผิดเลยซักนิด (ถึงแม้ว่าฉันจะมีส่วนร่วมในความผิดนี้ด้วยก็ตามที) แล้วยังจะเรื่องชกต่อยอีกละ บางวันไมล์จะกลับเข้าบ้านในสภาพที่เลือดท่วมตัว ตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั้งเสื้อนักเรียนตลอดจนกางเกงเต็มไปรอยเลือดและกลิ่นคาวของเลือด แต่เชื่อไหมว่า...เลือดพวกนั้นไม่ใช่ของไมล์ มันเป็นของคนอื่นที่มีเรื่องกับไมล์ต่างหากละ ฉันถึงขนาดต้องไปโรงเรียนของไมล์ในฐานะของผู้ปกครองมาแล้ว เนื่องจากพ่อไม่ว่างที่จะมา อาจารย์ที่ปรึกษาเรียกฉันไปคุยเรื่องที่พ่อแม่ของคนที่ไมล์ไปมีเรื่องชกต่อยด้วยนั้น เกิดเอาเรื่องขึ้นมา บอกว่าจะแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกายลูกชายของเค้า ฉันไม่รู้จะต้องทำอย่างไรแล้ว ในเมื่อคู่กรณีบอกว่าจะแจ้งความท่าเดียว ฉันจึงโทรศัพท์ตามทนายมา เมื่อทนายความของฉันมาถึงเรื่องทุกอย่างจึงยุติลงด้วยดี โดยฉันต้องจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด ค่าทำขวัญ และค่าอะไรต่อมิอะไรไปร่วมแสนบาท แต่ไม่เป็นไรหรอกเรื่องเงินน่ะเล็กน้อยสำหรับบ้านฉันอยู่แล้ว ขอแค่ประวัติของน้องชายฉันไม่ด่างพร้อยเป็นพอ
ฉันกับไมล์อยู่ที่บ้านหลังนี้กันเพียงลำพัง แต่ก่อนบ้านหลังนี้เคยครึกครื้นไปด้วยเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะของสมาชิกในบ้านที่อยู่ร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตา เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน แต่ความสุขที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นฉันยังไม่ลืมเลือนไปจากความทรงจำ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงอดีตแต่มันก็มีค่าสำหรับตัวฉัน แต่สำหรับไมล์มันกลับตรงกันข้าม ฉันรู้ว่าไมล์เสียใจมากที่แม่ทิ้งเราไปอยู่กับผู้ชายคนอื่น คนที่แม่บอกก่อนไปว่าแม่รักเค้า คนที่แม่รัก รักมากกว่าสามีที่อยู่กินกันมากว่าสิบปี มากกว่าลูกสาวและลูกชายที่ร้องไห้ออกมาแทบขาดใจในวันที่แม่เดินลากกระเป๋าออกไปจากบ้าน ถึงฉันไม่พูดฉันก็รู้ว่า..นี่น่าจะเป็นสาเหตุนึงที่ทำให้ไมล์ไม่เคยคบกับผู้หญิงคนไหนเกินหนึ่งเดือน น้องชายของฉันคงกลัวการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์แบบนั้นอีกครั้งในชีวิต จึงขอเลี่ยงที่จะไม่ยึดติดกับใคร ความคิดนี้คงจะฝังลึกอยู่ในความคิดของเค้าไปซะแล้ว และคงยากที่จะลบล้างมันออกไป แต่ฉันก็ยังคงหวัง หวังไว้ว่าซักวันจะต้องมีผู้หญิงที่น้องชายฉันรักและเธอคนนั้นก็รักน้องชายฉันอย่างจริงใจ
หลังจากที่แม่ทิ้งเราไป บ้านหลังนี้ก็เริ่มเงียบเหงา แต่มันยิ่งทวีความอ้างว้างมากขึ้น เมื่อผู้เป็นพ่อประกาศออกมาว่า พ่อขยายกิจการการค้าผ้าไหมที่ต่างประเทศ อันที่จริงฉันก็รู้เรื่องนี้นะแต่ไม่คิดว่าพ่อจะต้องไปอยู่บริหารกิจการที่ต่างประเทศ ฉันและไมล์ดื้อดึงไม่ยอมให้พ่อไป แต่สุดท้ายพ่อก็ขึ้นเครื่องบินไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ในวันนั้นฉันกอดไมล์ไว้แน่น ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีที่จะให้น้องชายของฉันหยุดร้องไห้ ไมล์ร้องไห้จนหลับไป หลังจากนั้นเราจึงต้องอยู่กันเองตามลำพัง ทำอย่างไรได้ละในเมื่อเรามีกันเพียงสองคนแค่นี้นี่ ไมล์ใช้เวลาเป็นเดือน กว่าเค้าจะกลับมาร่าเริงเหมือนเดิม นับตั้งแต่นั้นมาไมล์คือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับฉัน และฉันก็คงจะเป็นเช่นนั้นสำหรับเค้าเช่นกัน เราไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดไม่เคยห่าง พ่อกลับมาเยี่ยมเราบ้างเป็นครั้งคราวในกรณีที่พ่อกลับมาดูงานที่ประเทศไทย แต่พ่อก็จะอยู่กับเราได้แค่สองสามวันเท่านั้นและพ่อก็จะกลับไปสหรัฐอเมริกาเช่นเดิม ฉันและไมล์โตมาได้เพราะพ่อ ถึงแม้ท่านจะไม่ได้ดูแลเราแต่พ่อก็จะส่งเงินมาให้เราใช้ไม่เคยขาด ที่จริงออกจะมากไปด้วยซ้ำ ฉันและไมล์เรียนรู้การใช้บัตรเครดิตตั้งแต่เรียนชั้นประถม โดยใช้บัตรของพ่อ จนกระทั่งเราสองคนอายุถึงเกณฑ์ที่สามารถทำบัตรกันเองได้ เราจึงมีบัตรใช้เป็นของตนเอง
วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก ฉันตัดสินใจย้ายโรงเรียนมาอยู่โรงเรียนเดียวกับไมล์ ปกติฉันเคยเรียนโรงเรียนสตรีล้วน ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำ ฉันนอนค้างที่โรงเรียนในวันจันทร์ถึงศุกร์ ส่วนเสาร์-อาทิตย์ฉันจะกลับมานอนค้างที่บ้านกับไมล์ ในวันเกิดที่ผ่านมาของไมล์นั้นฉันถามว่าอยากได้อะไรเป็นของขวัญวันเกิด ไมล์ก็บอกฉันว่าเค้าอยากให้ฉันย้ายโรงเรียนมาอยู่ที่เดียวกับเค้า เค้าบอกว่าอยู่บ้านคนเดียวเหงามาก ฉันจึงย้ายโรงเรียนตามคำขอของเค้า ปีนี้ฉันเรียนอยู่ชั้นม. 5 แล้ว อันที่จริงโรงเรียนแห่งนี้จะรับนักเรียนเข้าศึกษาในช่วงชั้น ม. 1 และ ม.4 เท่านั้น แต่ฉันก็สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนแห่งนี้ได้ เพราะพ่อฉันแท้ๆ ถ้าบังเอิญพ่อฉันไม่ได้เป็นประธานกรรมการโรงเรียนและไม่ใช่ผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดของโรงเรียนแล้วละก็ ฉันอาจจะต้องเรียนอยู่ที่โรงเรียนสตรีที่เก่า
"พี่สาว คิดไรอยู่น่ะ พี่คงไม่อยากสายตั้งแต่วันแรกของการเรียนหรอกนะ" ไมล์กล่าวเตือนฉัน ฉันจึงเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายมาพาดบ่าแล้วเดินตามเค้าออกไปนอกบ้าน
ความคิดเห็น