คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : [SF] Excuse me .. [re-write]
Excuse me
Date : 07.11.2012
Re-Write : 05.03.2013
“เราเคยเจอกันมาก่อนไหมครับ”
เสียงนุ่มลึกเอ่ยทักทันทีที่ร่างบางก้าวพ้นจากตึกคณะ
“ไม่ค่ะ” ตากลมช้อนขึ้นมองคนตรงหน้าพร้อมเผยรอยยิ้มเป็นมิตร แต่ทว่า ..
“นี่เป็นครั้งแรกที่เราเจอกัน และฉันหวังว่ามันจะเป็นแค่ครั้งเดียว ขอตัวนะคะ”ฝากคำเด็ดขาดเอาไว้ก่อนที่ขาเรียวจะเร่งฝีเท้าเดินออกมาให้ห่าง จนไม่ทันได้สนใจบางคนที่กำลังรีบเร่งตรงมา
พลั่ก .. “โอ้ย!”
“ขอโทษครับ พอดีผมรีบ .. ไม่ได้ตั้งใจนะครับ คุณโอเคไหม” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาพร้อมอาการหอบเล็กๆ ประกอบคำให้การที่ว่าตัวเองกำลังรีบจริงๆ
“ไม่เป็นไร”
“ถ้าไม่เป็นไรงั้นผมไปก่อนนะ”
“เฮ้ เดี๋ยวสิ! จะไม่รับผิดชอบอะไรเลยรึไง” เสียงใสตะโกนไล่หลังคนที่กำลังวิ่ง ปกติเธอไม่ใช่คนขี้วีน แต่ความหงุดหงิดที่เจอก่อนหน้ามันทำให้อาการเหวี่ยงยังคงไม่ตกตะกอนไปยังก้นใจสักที
“โทษทีครับ ผมรีบจริงๆ ถ้าผมทำของอะไรของคุณเสียหายไว้ไปเช็คบิลผมที่ภาคแล้วกันนะ” สิ้นคำพูดชายนิรนามก็วิ่งหายลับไปจากสายตา
.. บ้าจริง แล้วนายชื่ออะไร อยู่ภาคไหน ฉันจะไปรู้ได้ยังไงเล่า!
เหมือนฟ้าส่งคำตอบที่เธอได้แต่ถามอยู่ในใจมาให้ เพราะเพียงชั่วพริบตา ชายหนุ่มนิรนามคนเดิมก็วิ่งกลับมาพร้อมอาการหอบหนักๆ
“ผมชื่อยงฮวา .. จองยงฮวา เอกดนตรี .. ลืมบอกไป”
นั่นคือครั้งแรกที่ฉันได้พบกับจองยงฮวา นั่นคือครั้งแรกที่ฉันถูกดึงดูดด้วยแรงมหาศาล และนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่าบนโลกนี้ .. ยังมีคนที่ทำให้หัวใจของฉันกลับมาเต้นได้อีกครั้ง
“เราเคยเจอกันมาก่อนไหม” ประโยคเบสิคคุ้นหูลอยมากระทบโสตประสาทฉันจนได้ ให้ตายเถอะ ฉันล่ะเกลียดประโยคนี้จริงๆ มันเป็นประโยคที่ผู้ชายส่วนใหญ่เอาไว้ทักผู้หญิงที่อยากจะจีบ ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดว่าไงนะ แต่สำหรับฉัน มันเป็นมุขจีบหญิงที่ห่วยและน่ารำคาญมาก
“ไม่เคยค่ะ” ฉันเดินสะบัดใส่จนนายคนนั้นหน้าหงาย ไม่ลืมที่จะลากเพื่อนที่เดินมาด้วยกันตามมาด้วย แม้ฉันจะทิ้งลายของผู้หญิงมั่นใจไปบ้างแต่กับเรื่องนี้ฉันทิ้งไม่ได้จริงๆ ฉันเคยลองประนีประนอมด้วยวิธีอื่น แต่มันกลายเป็นว่ายิ่งสาวให้เรื่องมันยืดยาวมากขึ้นไปอีก
“แกนี่นะ ก็เล่นๆตามน้ำไปหน่อยไม่ได้รึไง ไม่เห็นต้องขาดสะบั้นขนาดนี้เลย”
“ไม่ ฉันมีจุดยืนของตัวเอง”
“จ้ะๆ จุดยืนของแก บังเอิญว่ามีคนอื่นยืนบังอยู่เยอะเลยนะ” พูดจบนิ้วชี้ของเพื่อนก็ชี้ตรงไปยังกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆที่อยู่กลางสนามของคณะ แม้จะมองไม่เห็น ‘จุดยืน’ คนนั้นของฉัน แต่ฉันก็รู้ว่าเขาอยู่ตรงนั้น ท่ามกลางเพื่อนๆและสาวๆที่รายล้อม จองยงฮวา คือคนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยังคงป็อบปูล่าเสมอ
“ขนาดว่าผ่านมาตั้งสองปีกว่าแล้ว นายนั่นยังฮ็อตฮิตติดลมบนอยู่เลย”
“ก็เขาอัธยาศัยดี” พูดไปก็เจ็บแปลบเล็กๆในอก
ตอนนั้นที่เขารีบขนาดนั้น .. ก็เพราะต้องวิ่งไปให้ทันส่งใบสมัครเดือนคณะ .. การประกวดที่ฉันปฏิเสธที่จะลงแข่ง เพราะรำคาญผู้คนมาเกาะแกะ
“ถ้าแกสมัครนะซอฮยอน ป่านนี้แกคงได้อยู่ในสายตาเขาไปนานแล้ว ไม่ต้องมายืนชะเง้อมองอยู่ไกลๆแบบนี้หรอก”
“ฉันไม่อยากทำแบบนั้นนี่ ไม่อยากให้เขาชอบฉันที่หน้าตา”
“เหอะ สมัยนี้ใครๆก็มองกันที่หน้าตาทั้งนั้นแหละ ถ้าจะหาคนมองที่ใจ ชาตินี้ทั้งชาติคงไม่เจอ”
“ฉันนี่ไง” ฉันเถียงออกไปทันควัน
“เออ แกเป็นส่วนน้อยที่สุดในโลกไง”
ประโยคสุดท้ายที่เขาวิ่งกลับมาบอกในวันนั้น .. มันทำให้ฉันหลุดเข้าไปอยู่ในวังวนของเขาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ในตอนนั้น ฉันไม่ทันได้มองหน้าเขาด้วยซ้ำไป ไม่ได้สนใจว่าเขาหล่อเหลาขนาดไหน ความรับผิดชอบของเขาคือสิ่งที่ทำให้คนที่มองผู้ชายในแง่ร้ายอย่างฉันเปลี่ยนความคิดไป แต่ก็แค่ผู้ชายอย่างเขาคนเดียวนั่นแหละ
ฉันไม่ได้ไปเช็คบิลอะไรเขาที่คณะแม้ว่าเขาจะทำให้กระเป๋าสีขาวของฉันเปื้อน .. ตอนแรกตั้งใจว่าจะไป แต่เพราะติดงานหลายๆอย่างที่ภาค ฉันก็ไม่มีเวลา จนกระทั่งวันประกวดดาวเดือนคณะ ฉันได้เห็นเขาบนเวที ความรู้สึกอยากรู้จักมันก็ค่อยๆลดหายไป ฉันไม่อยากให้ใครเข้าใจไปว่าฉันเข้าหาเขา .. เพราะหน้าตา
“ให้ตายเถอะ ฉันเสียดายแทนแกจริงๆนะซอฮยอน อยากจะย้อนเวลาจัง”
“อย่าเว่อร์หน่อยเลยน่า ฉันไม่ได้เสียใจอะไรเลยนะ เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว”
คำโกหกคำโตหลุดออกจากปากเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ความจริงแล้วส่วนลึกที่สุดในใจฉัน มันคอยตะโกนประท้วงตัวฉันเองอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ เขาได้ตำแหน่งเดือนคณะ .. ห่างไกลฉันออกไปหนึ่งก้าว แล้วเขาก็คว้าตำแหน่งเดือนมหาลัยมาได้อีกหนึ่ง .. ซึ่งครั้งนี้ก้าวมันใหญ่และห่างไกลฉันออกไปเหลือเกิน
ฉันและเพื่อนตกลงที่จะเดินเลี่ยงมุมที่เขาอยู่ไปไม่มาก ถึงยังไงฉันก็อยากจะเห็นหน้าเขาสักนิด เราอยู่คณะเดียวกันแค่คนละเอก แต่กลับไม่เคยได้คุยกันเลยหลังจากวันนั้น อาจเป็นฉันเองที่ปิดกั้น ฉันเองที่เลือกจะถอยออกมาห่างๆเพื่อให้สายตาได้มองเห็นเขาชัดๆ เพราะการอยู่ใกล้เขามากๆมันยิ่งตอกย้ำและทำให้ฉันเกิดความรู้สึกอิจฉาและไม่พอใจอะไรมากมาย
‘ฉันรู้จักเขาก่อนนะ’ นั่นคือสิ่งที่ฉันพยายามไม่ให้มันเกิดขึ้นในใจตลอดมา
“ขอโทษค่ะ” ฉันบังเอิญเดินชนกับใครสักคน เพราะมัวแต่มองคนที่ถูกรายล้อม
“เป็นอะไรไหมครับ”
“ไม่ค่ะ ไม่เป็นไร” ตอบเสร็จก็รีบเดินเลี่ยงออกไปจากจุดเกิดเหตุ เพราะรู้ว่าใกล้ขนาดนั้น เขาคงได้ยิน และเขาคงหันมามอง เพราะฉันสัมผัสได้ถึงสายตาคมๆซึ่งฉันแพ้มันเหลือเกิน
“แกโอเคนะ”
“อื้อ”
“โลกนี้มันเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ คนอย่างแก .. คนอย่างแก”
“คนอย่างฉันทำไม”
“ก็แกคือซอฮยอน แกคือเพื่อนที่ฉันรู้จักจนหมดไส้หมดพุงว่าโคตรมั่นใจในตัวเอง โคตรเด็ดเดี่ยว และโคตรหยิ่งน่ะสิ แล้วตอนนี้แกก็ดันมาทำอะไรไม่ถูกแค่เพราะอยู่ใกล้ๆคนที่ชอบ นี่มันบ้าชัดๆ”
“ฉันไม่ได้หยิ่งนะ ที่ทำมารยาทแย่ๆใส่ก็แค่กับเฉพาะผู้ชายไม่ดีที่เข้ามาจีบต่างหาก”
“แกจะไม่ลองสู้ดูสักตั้งเหรอ เวลามันไม่คอยท่านะเว้ย”
“เขาอยู่ไกลไป”
“แต่แกหน้าตาดีนะ นิสัยก็โอเค ฉลาด มองโลกบวก อะไรที่แกสู้คนอื่นไม่ได้หะ”
“ฉันเงียบ ฉันหัวโบราณ ฉันแต่งตัวไม่เก่ง ไม่ป็อบปูล่า”
“แต่แกหน้าตาดีนะ!”
“แกก็หน้าตาดี .. ในภาคเราส่วนใหญ่ ก็หน้าตาดีกันทั้งนั้น”
ฉันถอนหายใจเบาๆให้กับความจริงข้อนี้ ฉันเรียนอยู่เอกการแสดง แน่นอนล่ะว่าแต่ละคนไม่มีใครยอมน้อยหน้าใคร เพราะงั้นถึงฉันจะเคยเป็นดาวโรงเรียนแต่พอมาอยู่ที่นี่ ดาวก็เกลื่อนเต็มภาคไปหมด ทุกคนดูดีกันจนความสวยกลายเป็นสิ่งธรรมดา
“เอาเหอะๆ ยังไงฉันก็เชียร์ให้แกสู้ ไม่งั้นก็ตัดใจแล้วชอบคนอื่นซะ อย่าเสียเวลากับคนที่แกทำได้แค่มองเลย” เพื่อนสนิทของฉันพูดทิ้งท้ายกับฉันก่อนจะเดินแยกไปหาอาจารย์เพราะโดนเรียกไปอบรมเรื่องที่โดดเรียนคาบเช้ามาสามครั้งติด ตอนนี้เก้าอี้ข้างๆฉันก็เลยว่าง
...
“ขอโทษนะครับ ขอนั่งตรงนี้ด้วยได้ไหม ผมไม่เคยขึ้นมาประชุมเลยไม่รู้ว่าเขาจัดที่นั่งกันยังไง” เสียงทุ้มค้นหูดังขึ้นทำให้ฉันต้องถอดหูฟัง ละสายตาจากบทละครตรงหน้าขึ้นมามอง .. และเพียงแค่นั้น หัวใจก็ทำงานหนักขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
เขาที่อยู่ตรงหน้าคือเจ้าของเสียงเพราะๆที่ฉันกำลังฟังอยู่ ..
“เอ่อ ..”
“นะครับ ที่อื่นดูเหมือนจะโดนจองไปหมดแล้ว ผมมาแทนเพื่อนน่ะ”
“.. ค่ะ” ฉันขยับมือเลื่อนของที่วางระเกะระกะบนโต๊ะออกไปจากตรงหน้าเขา แต่โชคไม่ดีที่ปลายกล่องซีดีแฉลบออกมาจากกองกระดาษจนเขาสังเกตเห็น
“ผมช่วยแล้วกัน เอ๊ะ คุณฟังเพลงแบบนี้ด้วยเหรอ” กล่องซีดีที่ว่าเป็นซีดีที่ภาคดนตรีทำขึ้นเมื่อต้นปี หาเงินไปสมทบทำอะไรสักอย่าง แม้ฉันจะไม่ชอบฟังเพลงร็อคแต่ฉันก็ซื้อมา เพียงเพราะว่ามันบังเอิญ .. มีเพลงของคนที่ฉันอยากฟังอยู่หนึ่งแทร็ก
“เอ่อ .. ก็ ช่วยสมทบทุนไงคะ”
“จริงๆเพลงแนวอื่นมีให้เลือกตั้งเยอะนะ อีกอย่างอัลบั้มเซตนี้ขายหมดไวมากเลย คุณเจ๋งจริงๆที่หามาได้” ฉันได้แต่ยิ้มแห้งๆตอบไป ทั้งที่ใจอยากจะบอกว่า ..
ก็เพลงแนวอื่นเธอไม่ไปร้องนี่นา แล้วกว่าจะซื้อมาได้ต้องอ้อนวอนจากรุ่นน้องโดยให้ค่าซีดีมากกว่าราคาจริงตั้งสามเท่า
“เอกละครนี่ความจำดีจังนะครับ จำบทได้เป็นเล่มเลย” .. ฉันมีแค่รอยยิ้มตอบกลับไป
ยงฮวาพยายามจะช่วยจัดระเบียบกองกระดาษย่อมๆที่ฉันรื้อมันออกจากเล่มมาวางไว้ แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่มือของเขาพาดผ่านนิ้วมือของฉันไป เขาอาจไม่รู้และไม่ได้สนใจแต่ฉัน .. ฉันตกใจจนหยุดชะงัก ปล่อยให้ของที่อยู่ในมือร่วงหล่นพื้นไป รวมถึงซีดีของเขาด้วย
ฉันก้มลงเก็บของใต้โต๊ะ พยายามเรียกสติตัวเองกลับมาแต่มันยากเหลือเกินเพราะเขาเกิดอยากช่วยเลยก้มลงมาเก็บของที่ใต้โต๊ะด้วยกัน
ใกล้ขนาดนี้ .. อยากให้เวลาหยุดนิ่งตรงนี้เหลือเกิน
“เอ๊ะ มันแตกซะแล้ว” เสียงเรียกจากเขาทำให้ฉันต้องสนใจของที่เขาชูไว้ในมือ
รอยร้าวที่กล่องซีดี .. แทนที่จะมองที่ของในมือ สายตาของฉันกลับเลื่อนไปมองใบหน้าของคนถือซะได้ และเขาเองก็รู้ถึงได้จ้องตอบกลับมา เขาอาจไม่สะทกสะท้านเพราะความเคยชินจากการเป็นเป้าสายตาใครต่อใคร แต่ฉันไม่เลย ฉันไม่ชิน และมันลำบากเหลือเกินที่สายตานั้น .. เป็นสายตาของจองยงฮวา
“เอ่อ .. ไม่เป็นไรค่ะ ช่างมันเถอะ” ฉันรีบคว้ากล่องซีดีจากมือเขามาถือไว้ เก็บกระดาษขึ้นมาลวกๆแล้วรีบกลับขึ้นมานั่งบนเก้าอี้
“ไว้ผมเอามาอันใหม่มาให้แล้วกัน”
“ไม่ต้อ .. เอ๊ะ ไหนคุณว่ามันหมดแล้วไง”
“ก็ .. สิทธิพิเศษของเด็กดนตรีไง ผมมีเก็บไว้แจก .. อีกนิดหน่อย”
เก็บไว้แจก .. เข้าใจแล้ว เขาต้องมีอยู่แล้ว มีคนให้แจกเยอะแยะเลยนี่นา ..
ฉันพาตัวเองกลับเข้ามาอยู่ในโลกส่วนตัว อยากจะปฏิเสธว่าตัวเองไม่รู้สึกอะไร แต่ความชาที่หน้ามันก็สัมผัสได้ ความถี่ของหัวใจที่เต้นช้าลงก็วัดได้ชัดเจน ฉันน้อยใจในเรื่องที่ไม่มีสิทธิ์เลย
ไม่ได้สนใจหรือรับรู้ว่าคนที่นั่งข้างๆจะกลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งการประชุมคร่าวๆของละครคณะจบลง ฉันถึงได้เห็นอะไรแปลกตาอยู่ที่เก้าอี้ข้างๆ อะไรบางอย่างคล้ายๆพลาสติกรูปสามเหลี่ยมสีดำ ซึ่งฉันแน่ใจว่ามันเป็นของใคร แม้ฉันจะรู้ว่ามันไม่จำเป็นต้องเอาไปคืน แต่เสียงของเพื่อนรักก็ดูเหมือนจะลอยมาจากที่ไกลๆ
‘แกจะไม่ลองสู้ดูสักตั้งเหรอ’ นั่นสินะ ฉันเองก็อยากถามคำถามนี้กับตัวเองเหมือนกัน แต่จริงๆแล้วก็คือ .. ฉันสู้นะ สู้มาตลอด .. เพียงแต่สู้โดยที่ไม่ได้ประกาศตัว ไม่ได้บอกใครว่าฉันกำลังทำอะไร สองปีกว่าๆที่ฉันพยายามผลักตัวเองให้เข้าไปอยู่ในสายตาของเขา
ฉันพยายามเดินเฉียด ..
พยายามเดินชน ..
แกล้งทำของตก ..
แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น ..
แล้วลงท้ายด้วยคำว่า ‘ขอโทษค่ะ’
แต่ฟ้าคงลงโทษคนปากว่าตาขยิบอย่างฉันล่ะมั้ง เพราะแม้จะทำแบบนั้น แต่เขาก็ไม่เคยจำฉันได้เลยสักนิดเดียว
ฉันเก็บปิ๊กสีดำเอาไว้ในมือ เตรียมเก็บข้าวของลงกระเป๋า ลงไปยังลานใต้คณะ เพียงแค่กวาดตามองฉันก็มองเห็นเขา แน่นอนว่ารายล้อมไปด้วยเพื่อน กระเป๋ากีตาร์ที่อยู่ข้างตัวยืนยันชัดว่าเขาคงจะกำลังกลับแล้ว
พลั่ก .. “ขอโทษค่ะ” ฉันเดินเฉียดกับเขาที่บันไดหน้าตึก แน่นอนว่า .. มันเป็นความตั้งใจ
“ครับ คุณไม่เป็นไรนะ” ตาคมมองมาที่ฉันอีกครั้ง และฉันหวังว่าเขาจะทัก หวังว่าคงจะพูดอะไรออกมาบ้างแต่ก็เปล่าเลย .. เขาจำฉันไม่ได้ ทั้งที่เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วเขาเพิ่งบอกว่าจะเอาซีดีมาให้
“ฉัน .. เอ่อ เมื่อกี้ข้างบนห้อง คุณลืมไอ้นี่ไว้” ยื่นปิ๊กสีดำไปตรงหน้า
“อ้อ คุณเอง ขอบคุณนะ จริงๆไม่ต้องลำบากก็ได้ ผมมีอีกหลายอันเลย”
ฉันได้แต่ยิ้มแห้งๆส่งไปอีกครั้ง เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นบทสนทนาต่อไปได้ยังไง ฉันชนเขาแล้วขอโทษมาสองปี แต่มันก็แค่นั้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามมา มีเพียงแค่คำว่าขอโทษเท่านั้นที่กลายเป็นคำติดปากของฉันไปแล้ว
“ผมต้องไปแล้ว ขอบคุณอีกครั้งนะครับ” เขาเดินจากไปอีกครั้ง ฉันรู้ว่าเขาจะรีบไปไหน เพราะที่ๆเขากำลังจะไป อีกไม่นานฉันก็จะไปเหมือนกัน
ฉันแปลงโฉมจากชุดที่ใส่ไปเรียนเป็นชุดเดรสสีหวานอย่างที่ชอบ ตรงดิ่งไปยังร้านอาหารที่ไปประจำ โดยไม่ลืมที่จะซื้อดอกไม้สีขาวหนึ่งดอกติดไม้ติดมือไปอย่างเคย
โต๊ะที่จองไว้มักจะเป็นโต๊ะที่อยู่ในมุมอับเสมอ เพื่อป้องกันฉันจากคนที่ฉันไม่อยากให้เขาเจอ เพียงไม่นาน เวทีเล็กๆตรงกลางร้านก็ปรากฏภาพเหมือนเช่นเคย
หนุ่มหล่อที่มาพร้อมกับกีตาร์คู่ใจ .. จองยงฮวาอยู่ตรงนั้นพร้อมกับกีตาร์โปร่ง บรรเลงเพลงอคูสติกนุ่มหูอย่างที่ฉันชอบฟัง แม้ตรงนี้จะมองไม่เห็นหน้าเขาเพราะมีสิ่งกีดขวางกั้นไว้ แต่เพียงแค่ได้ยินเสียงมันก็เพียงพอแล้ว .. ฉันคิดว่านะ
บริกรที่ปกติฉันจะวานให้เขาเอาดอกไม้ไปให้ วันนี้กลับไม่มาทำงาน คนอื่นๆฉันก็ไม่กล้าวางใจ กลัวยงฮวาจะจับได้ ดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆก็เลยยังอยู่ที่โต๊ะของฉัน
“วันนี้ไม่มีดอกไม้เหมือนทุกวันเลยนะครับ สงสัยผมคงเริ่มจะมือตกแล้ว” เสียงทุ้มของยงฮวาเรียกให้ฉันสะดุ้ง
เขารอดอกไม้อยู่ .. แม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นคนให้ก็เถอะ
ดีใจเล็กๆอยู่ได้ไม่นานก็ต้องรีบหาวิธีเอาดอกไม้ไปให้เขา ฉันตัดสินใจที่จะเอามันไปวางไว้ที่หน้ารถของเขา อีกเพลงเดียวเขาก็จะกลับแล้ว ถ้าไปตอนนี้ก็น่าจะทัน
...
ดอกไม้สีขาว ถูกบรรจงวางไว้ที่หน้ากระจก ไม่มีการ์ดหรือถ้อยคำแสดงตัวอะไร แต่ฉันเชื่อว่าเขาจะต้องรู้ .. ก็ฉันให้ดอกไม้เขามาหลายเดือนแล้วนี่
ตลกดีนะ ที่ฉันเป็นฝ่ายเริ่มทำอะไรๆก่อน ทั้งๆที่ความจริงมันควรจะเป็นสิ่งที่ผู้ชายควรทำ แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่เขาฮ็อตเกินไป อย่างเขาคงไม่ต้องทำอะไรแบบนี้
ฉันเดินถอยหลังออกมามองผลงานเล็กๆที่ความจริงมันก็ไม่ได้น่าภูมิใจอะไรเลย แต่ฉันก็ภูมิใจกับมัน เพราะนั่นเป็นสิ่งยืนยันว่าฉันไม่ใช่คนใจโลเล และยืนยันให้ฉันรู้ว่าบางที ความสุขของคนเรามันอาจไม่ได้หมายถึงการครอบครองหรืออยู่ในสายตา บางครั้งมันก็แค่นี้ .. แค่รู้ว่าเขารอ แค่รู้ว่ามีค่าต่อจิตใจเขาบ้าง แม้จะแค่นิดเดียว แต่มันก็เป็นสุขมากจริงๆ
พลั่ก ..
“ขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
อีกแล้ว ..
“คุณโอเคไหม”
“ค่ะ ฉันโอเค เอ่อ .. ขอตัวนะคะ”
ฉันบอกลาและจากมาก่อนที่เขาจะจำได้ ฉันดัดผมก่อนจะมาและเปลี่ยนการแต่งหน้าให้เข้ากับชุด เขาคงจำไม่ได้ล่ะมั้ง .. แต่มันก็ดีแล้วล่ะ เพราะไม่งั้นถ้าความแตก ฉันอาจดูเหมือนพวกโรคจิตชอบตามติดไปก็ได้
...
เวลาของการเตรียมงานของคณะหมดลงไปจนได้ ฉันที่รับหน้าที่เป็นตัวแสดงเด่นๆในบางฉากของละครของเรื่องนี้ แม้จะไม่ใช่นางเอก แต่ก็ต้องโหมงานหนักจนแทบไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น .. กว่าจะได้กลับมายังกระเป๋าของตัวเองฟ้าข้างนอกก็มืดจนมองเห็นดาวแล้ว
“ซอฮยอน ไหนว่าไอ้กล่องซีดีนี่มันแตกไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ซีดีอะไร”
“ก็ซีดีเพลงของยงฮวาที่กว่าแกจะหาซื้อมาได้โคตรยากนั่นไง”
“นี่! อย่าเสียงดังได้ไหมเล่า เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินหรอก”
ฉันคว้ากล่องซีดีมาจากมือเพื่อนมาดู งงๆอยู่ว่ามันออกมาอยู่นอกกระเป๋าได้ยังไง บางทีฉันอาจจะเหนื่อยจนลืมไปว่ายังไม่ได้เก็บ แต่ซีดีกล่องนี้ไม่ใช่แค่มันไม่มีรอยแตก แต่สภาพของมันดูใหม่จนเหมือนกับว่ายังไม่เคยแกะกล่องเลย
‘ไว้ผมเอามาอันใหม่มาให้แล้วกัน’
ไม่จริงหรอก .. ไม่จริงแน่ๆ
เขาต้องจำไม่ได้ .. มันไม่มีทางเป็นเรื่องจริง
“เอ๊ะ นั่นยงฮวานี่ ยังอยู่ทำอะไรมืดขนาดนี้แล้ว”
เพื่อนตัวดีชี้ไปทางแผ่นหลังของผู้ชายที่ฉันจำได้ขึ้นใจ เขากำลังเร่งฝีเท้าเดินออกไปจากห้องประชุมที่ใช้ซ้อมละคร และเพียงเท่านั้นก็ทำให้ใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด หัวใจเต้นรัวเหมือนเพิ่งผ่านการวิ่งมาหยกๆ
ไม่จริง .. นี่มันเรื่องโกหกชัดๆ
เขาแค่บังเอิญ .. แค่บังเอิญเพิ่งซ้อมดนตรีเสร็จล่ะมั้ง
ให้ตายสิ .. แม้ฉันจะบอกตัวเองว่ามันไม่จริง
แต่ฉันกลับดีใจจนเก็บรอยยิ้มไว้ไม่อยู่
และเมื่อเปิดกล่องซีดี แผ่นกระดาษเล็กๆก็ร่วงหล่นลงมา
ฉันก้มเก็บมันขึ้นมาช้าๆพร้อมกับบังคับให้หัวใจผ่อนช้าลง
แล้วความพยายามก็หมดความหมายลงเมื่อได้เห็นข้อความบนกระดาษเล็กๆแผ่นนั้น .. ประโยคเดิมที่แสนเกลียด แต่ตอนนี้ฟังแล้วเพราะจับขั้วหัวใจได้ยังไงก็ไม่รู้
ขอโทษนะครับ .. เราเคยเจอกันมาก่อนไหม?
รู้นะว่าคุณไม่ชอบประโยคนี้ แต่ผมว่า ..
ถึงเวลาแล้วมั้งที่เราควรทำความรู้จักกันสักที
ความคิดเห็น