ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    YONGSEO SHORT FICTION BY SHINLEMON

    ลำดับตอนที่ #10 : [SF] Have we met before? [re-write]

    • อัปเดตล่าสุด 3 พ.ค. 56


     

     

    Have we met before

     

    Date : 08.11.2012
    Re-Write : 05.03.2013

     

     

    เช้านี้เป็นเช้าวันแรกของการก้าวเข้าสู่รั้วมหาลัย ผมและเพื่อนสนิทโชคดีที่เราติดคณะเดียวกัน และด้วยความที่เรามาจากโรงเรียนชายล้วน แน่นอนว่าการเข้ามหาวิทยาลัยย่อมเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นที่สุด เพราะเราจะได้เจออะไรใหม่ๆ ยกตัวอย่างเช่น สาวๆ

    ไอ้ยงฮวา มึงจำผู้หญิงที่เราเจอตอนวันสมัครได้ไหมวะ” เพื่อนผมที่มาถึงมหาลัยก่อนวิ่งเข้ามาถามแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

    คนไหน เราเจอผู้หญิงเยอะมากเลยนะวันนั้น” ผมพยายามนึกย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน ผมเจอคนมากหน้าหลายตาก็จริงๆ แต่ดูเหมือนว่าคนที่เพื่อนพูดถึง คงจะเป็นคนๆเดียวกับคนที่ผมนึกได้เป็นคนแรกแน่ๆ เพราะเธอช่าง .. แตกต่าง และมีบางอย่างดึงดูดใจผมอย่างบอกไม่ถูก

    ผู้หญิงคนนั้นที่หักอกผู้ชายกลางโรงอาหารอ่ะ
    ทำไมวะ

    อยู่คณะเดียวกับเราด้วยเว้ย
    แล้วไง

    อย่ามาทำไก๋ กูรู้ว่ามึงสนใจ วันนั้นมึงมองตาไม่กระพริบ” มือหนักๆตบที่บ่าผม พร้อมกับหลิ่วตาเหมือนรู้ทัน

    มั่วล่ะๆ” ผมปัดมือเพื่อนออกจากบ่า ก่อนจะเดินไปนั่งที่ม้านั่งของภาค

    อาจเพราะที่ประจำของภาคดนตรีอยู่ใกล้กับทางขึ้นตึกคณะ ผมเลยได้มองเพื่อนๆและรุ่นพี่ที่เดินผ่านไปมา ถือโอกาสจดจำหน้าตาไปด้วย แล้วไม่นานผมก็เห็นเธอ ..

    ใบหน้าเรียวที่เดินเชิดคางด้วยความมั่นใจ ..
    แม้มันจะดูหยิ่ง แต่ไม่รู้สิ .. บางอย่างบอกผมว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น

    เธอที่แต่งหน้าอ่อนๆ แต่กลับดูสวย ..
    ผิดจากเพื่อนคนอื่นที่แข่งกันแต่งแต้มสีสันมากมายเต็มใบหน้า

    คนนั้นเรียนอยู่ภาคไหนวะ” ผมสะกิดเพื่อนที่มัวแต่คุยให้หันมาตอบคำถาม
    ไหนมึงว่าไม่สน” น้ำเสียงรู้ทันดังขึ้นมาทันที
    ก็แค่ถาม

    อ้อ ก็แค่ถาม .. งั้นกูควรบอกดีไหมน๊า” ผมหันไปมองหน้ามันด้วยความไม่สบอารมณ์ วันนี้มันกวนประสาทผมหลายรอบแล้วนะ

    แค่นี้ต้องมองอย่างกับจะกินหัว ล้อนิดๆหน่อยๆทำเป็นอาย .. เธออยู่เอกการแสดงเว้ย ดาวเด่นซะด้วย เห็นรุ่นพี่ที่ภาคนั้นบอกมาว่าน่าจะเป็นตัวเก็งดาวคณะเรา

    มึงรู้เยอะไปไหม แค่มาเรียนวันแรกก็รู้จักไปทั่วคณะเลยรึไง
    คนมันอัธยาศัยดีเว้ย แถมมีเพื่อนหน้าตาดีก็เข้าหาสาวๆง่าย

    หมายความว่าไง” ผมเริ่มเอะใจกับคำพูดแปลกๆของมัน

    มึงอย่าโกรธกูนะ คิดซะว่าช่วยสงเคราะห์เพื่อนนิดนึง
    อย่าอ้อมโลก พูดมาดีๆ

    ผมลุกจากม้านั่ง สาวเท้าเข้าไปใกล้ๆมัน เวลาเดียวกันไอ้เพื่อนตัวดีก็ค่อยๆถอยหนี แบบนี้มันต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ

    ก็สาวๆบางคนที่กูอยากรู้จัก เขาดันอยากรู้จักมึง กูก็เลย ..
    ก็เลย?”

    ก็เลยบอกว่าไว้ถ้าสนิทกับกูเยอะๆ กูจะแนะนำมึงให้อ่ะ
    ไอ้เวรเอ้ย!!”

    แล้วจากเพื่อนรักที่ความจริงผมก็ไม่อยากจะยอมรับมันเท่าไหร่ ตอนนี้ผมก็ต้องมาวิ่งไล่เตะมันแต่เช้า โทษฐานที่มันชอบเอาผมไปเป็นเครื่องต่อรองกับใครต่อใครที่มันอยากได้ผลประโยชน์ ผมก็เข้าใจนะว่ามันไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แต่บางทีผมก็รำคาญและขี้เกียจปฏิเสธใครทีหลังนี่

     ผมไล่เตะมันจนสะใจ จนตอนนี้ผมเปลี่ยนเป็นฝ่ายถูกไล่แทน ไม่แปลกหรอกครับเพราะเราเพิ่งข้ามพ้นวัยเด็กมาได้หมาดๆมันก็ต้องมีบ้างที่ทำอะไรแบบนี้ .. ผมถอยหลังหลบเพื่อนตัวดีจนไม่ทันได้มองว่ามีใครยืนอยู่ทางด้านหลัง

    พลั่ก ..
    ขอโทษครับ!”
    โอ้ย ..

    ผมช่วยนะครับ” ผมรีบเก็บกระเป๋าของเธอคนที่ถูกชนขึ้นมา ไม่กล้าเข้าไปช่วยพยุงตัวเดี๋ยวจะถูกด่ากลับมา

    ขอบคุณค่ะ” เธอยื่นมือมารับกระเป๋า แล้วตอนนั้นเองผมถึงได้เห็นว่าเธอที่ผมชน คือเธอที่มีแรงดึงดูดสายตาคนนั้น

    เอ่อ ..”  ผมไม่รู้หรอกว่าผมพยายามจะพูดอะไร ..

    เสร็จแล้ว ไปกัน .. พี่เขาบอกให้ส่งใบสมัครภายในสิ้นเดือน” ใครอีกคนเดินออกมาจากห้องกิจกรรม ชูกระดาษสีขาวแผ่นบางเรียกให้เธอตรงหน้าผมต้องหันไปมอง

    ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจสักหน่อยว่าจะลงประกวด
    ไม่รู้ล่ะ ก็ฉันหยิบมาแล้ว
    ถ้างั้นทำไมไม่ลงประกวดเองล่ะ

    ผมยืนไร้ตัวตัวอยู่ตรงนั้น มองดูเธอกับเพื่อนเถียงกันไปตลอดทาง เมื่อกี้เธอยังไม่ได้เงยหน้ามองผมสักนิดเลยนะ แต่ช่างเถอะ มันเพิ่งวันแรกของการมาเรียนเอง ต่อไปคงมีโอกาสได้เจอมากกว่านี้ เอ๊ะ แล้วทำไมอยู่ๆผมถึงอยากได้โอกาสเจอเธอล่ะเนี่ย

    ผมคงเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ

    ...

    ครึ่งเดือนของการมาเรียนเต็มไปด้วยความสนุก ผมได้พบเจอใครใหม่ๆ ได้ทำอะไรใหม่ๆตั้งมากมาย แล้วตอนนี้ก็คิดว่าตัวเองเริ่มปรับตัวให้เข้ากับที่เรียนใหม่ได้แล้ว รวมถึงเรื่องของเธอคนนั้น .. แม้ผมจะไม่เคยได้มีโอกาสพูดคุยกับเธอมากไปกว่าคำว่าขอโทษในวันนั้น แต่ผมก็เห็นเธอบ่อยขึ้น ผมสังเกตเอาเองว่าไม่ใช่เธอหรอกครับที่เข้ามาในวงจรชีวิตของผมมากขึ้น แต่เป็นผมเองที่วิ่งเข้าไปอยู่ในวงโคจรของเธอ บางวิชาพื้นฐานเราเรียนเซ็คเดียวกัน ผมก็มักจะทิ้งไอ้เพื่อนตัวดีแล้วไปแทรกตัวเนียนๆอยู่แถวสุดท้ายของเอกละครเสมอ

    นั่งมองตาละห้อยเป็นหมาหงอยไปได้
    เปรียบได้วอนโดนเตะมาก
    หึหึ สนใจก็เข้าไปจีบสิวะ เดี๋ยวก็โดนคาบไปหรอก

    จะให้เข้าไปยังไง มึงก็เห็น ทุกรายที่เข้าไปจีบ โดนตอกหน้ากลับมาทั้งนั้น
    แต่มึงหล่อ เหนือกว่าไอ้พวกนั้นตั้งเยอะ
    แต่กูไม่มีอะไรเลย
    แล้วมึงควรต้องมีอะไรวะ

    ผมครุ่นคิดกับคำถามของเพื่อน ผมเองก็ไม่รู้หรอกครับว่าผมควรจะต้องมีอะไรให้มากกว่านี้บางทีมันอาจเป็นแค่ข้ออ้างที่ผมใช้บอกตัวเอง เฮ้อ ผมก็ขี้ขลาดอย่างนี้แหละครับ

    ยงฮวา สนใจลงประกวดเดือนคณะไหม” รุ่นพี่เสียงใสคนหนึ่งถามผมขณะที่ผมเดินออกมาเกือบจะถึงรั้วมหาลัยอยู่แล้ว

    ไม่ล่ะครับ” ผมโดนถามแบบนี้มาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วนู่น และคำตอบมันก็เหมือนเดิม คือผมไม่สนใจจริงๆ

    ลองดูหน่อยน่า ภาคเรายังหาใครลงไม่ได้เลย
    ผมไม่ถนัดหรอกครับพี่

    แต่นายมีพรสวรรค์นะ แถมนายก็หน้าตาดี ไม่ลองดูหน่อยเหรอ ถือซะว่าเป็นใบเบิกทางในอนาคตไง เริ่มสร้างชื่อให้ตัวเองตั้งแต่ตอนนี้ คิดดูนะ ถ้าคนรู้จักนายเยอะๆ มันก็ย่อมมีโอกาสไปได้ไกลใช่ไหมล่ะ รุ่นพี่หว่านล้อมผมจนผมชักเริ่มจะคล้อยตาม ผมอยากเป็นศิลปิน มันก็ถูกอย่างที่รุ่นพี่ว่า ผมควรจะต้องเริ่มสร้างฐานของตัวเองได้แล้ว เวลามันไม่คอยท่า

    ยังไงซะภาคเราก็ต้องชวดตำแหน่งดาวคณะแน่ๆ เพราะเด็กเอกการแสดงปีนี้สวยๆทั้งนั้น มีแต่เดือนนี่แหละที่ยังพอหวังได้ นายลงเถอะนะ หูของผมมันปิดกั้นการรับฟังไปตั้งแต่ได้ยินคำว่า ‘เด็กเอกการแสดง’ แล้ว .. ใบสมัครวันนั้นที่เพื่อนของเธอถือ มันต้องเป็นใบสมัครดาวคณะแน่ๆ ผมรีบไตร่ตรองหาความเป็นไปได้ของมันแล้วก็พบว่ามันมากจนเกือบเต็มร้อย เพราะงั้นผมก็เลย ..

    ถ้าผมสนใจต้องทำไงบ้างครับ

    รีบไปเขียนใบสมัครที่ห้องกิจกรรม ส่งอาจารย์ก่อนห้าโมงเย็น วันนี้วันสุดท้ายแล้วผมก้มลงมองเวลาที่ข้อมือ และให้ตายเถอะ .. นี่มันสี่โมงครึ่งแล้ว!

    ผมบอกลารุ่นพี่ที่แสดงอาการดีใจอย่างถึงที่สุดแล้วหมุนตัวกลับไปยังทางเดิม เร่งฝีเท้าให้ไวจนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ผมไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าตัวเองกำลังจะทำอะไร ผมรู้เพียงแต่ว่า ในการประกวดมันจะต้องมีการซักซ้อมตกลงอะไรบ้าง และนั่นอาจเป็นโอกาสที่ผมจะได้ขยับตัวเข้าไปใกล้กับจุดศูนย์กลางของวงโคจรอีกนิด อย่างน้อยก็ตัดคู่แข่งออกไปได้ในบางช่วงเวลา

    พลั่ก .. โอ้ย!”

    ขอโทษครับ พอดีผมรีบ .. ไม่ได้ตั้งใจนะครับ คุณโอเคไหม” ผมถามไปส่งๆ พร้อมกับช่วยพยุงคนที่ผมวิ่งชนให้ลุกขึ้นมา ไม่ได้สนใจจะมองหน้า หรือใส่ใจอะไรเลย

    ไม่เป็นไร
    ถ้าไม่เป็นไรงั้นผมไปก่อนนะ

    พูดทิ้งไว้แค่นั้นผมก็รีบวิ่งออกมา ปกติผมไม่ใช่คนไร้มารยาทขนาดนี้หรอกนะครับ แต่วันนี้มันเร่งด่วนจริงๆ อีกไม่ถึงยี่สิบนาทีก็จะหมดเวลารับใบสมัครแล้ว

    เฮ้ เดี๋ยวสิจะไม่รับผิดชอบอะไรเลยรึไง” เสียงใสๆตะโกนไล่หลังผมมา ผมไม่รู้จะทำไงดูเหมือนเธอจะไม่พอใจเลยต้องตะโกนกลับไป

    โทษทีครับ ผมรีบจริงๆ ถ้าผมทำของอะไรของคุณเสียหายไว้ไปเช็คบิลผมที่ภาคแล้วกันนะ” ผมยังคงวิ่งต่อไป แต่เพียงไม่กี่วินาทีผมก็ต้องหยุดชะงัก

    เธอไม่รู้จักผมนี่นะ ..
    ผมชื่อยงฮวา .. จองยงฮวา เอกดนตรี  .. ลืมบอกไป

    หลังจากเอ่ยประโยคนี้ออกไปพร้อมกับอาการหอบหนักๆ ผมถึงได้หยุดความคิดที่เร่งรีบของตัวเองแล้วมองเธอที่ยืนอยู่ตรงหน้า

    เธอ .. เธออีกแล้ว

    ผมแนะนำตัวกับเธอไปแล้ว แม้มันจะมาจากความไม่ตั้งใจก็เถอะ อยู่ๆผมก็รู้สึกร้อนหน้าขึ้นมาแปลกๆ ..  บางทีมันอาจเป็นผลมาจากการวิ่งย้อนไปย้อนมาล่ะมั้ง

    ผมดึงตัวเองออกจากภวังค์แล้วตัดใจวิ่งจากตรงนั้นมา จะมัวยืนอึ้งนานๆไม่ได้หรอก เดี๋ยวพลาดส่งใบสมัคร .. หลังจากที่ส่งใบสมัครเรียบร้อยแล้ว ผมก็ได้แต่ก่นด่าตัวเองอยู่ในใจ ให้กับความบ้าของตัวเอง

    ไอ้บ้ายงฮวา ลงแข่งทั้งๆที่ขี้อายแบบนี้เนี่ยนะ!

    ...

    การประกวดเดือนดาวของคณะผ่านพ้นไปอย่างไม่สบอารมณ์ผมเลย ไม่มีวี่แววของเธอคนที่ผมคิดว่าจะลงประกวด แม้กระทั่งวันประกวดเธอยังไม่มาดูเลยด้วยซ้ำ และโชคร้ายเหลือเกินที่ผมดันได้ตำแหน่งนั้นมา เพื่อนๆและรุ่นพี่ดีใจกันใหญ่ แต่แน่นอนว่าความรู้สึกของผมมันหดหู่อย่างถึงที่สุด .. ความโชคร้ายยังเล่นงานผมไม่หมดสิ้น อาจเป็นเพราะฟ้าคงอยากลงโทษคนนิสัยไม่ดีอย่างผมล่ะมั้งที่อยากจะกระโดดข้ามเส้นด้วยการใช้ทางด่วนแบบนี้ หนึ่งเดือนต่อมาผมได้ตำแหน่งเดือนมหาลัย นั่นทำให้ผมค่อยๆหลุดออกจากวงโคจรของเธออย่างสิ้นเชิง

    ไม่สนุกเลยกับการเป็นคนดัง .. มีคนมากมายมาห้อมล้อมสนใจ
    แต่เธอที่ผมต้องการไม่เคยมองเห็นผมแม้แต่น้อย

    ทุกครั้งที่เห็นเธอผ่านไป .. ผมก็ทำได้แค่มอง
    ไม่สามารถจะลุกไปทำความรู้จัก ท่ามกลางสายตาของใครต่อใคร

    ผมไม่อยากให้เธอคิดว่าผมเป็นผู้ชายที่เข้าไปจีบเธอ
    เพียงเพราะ .. ตัวเองเป็นเดือนและหน้าตาดี

    ...

    ผมปล่อยให้เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า โดยที่ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่า นั่งมองเธอไกลๆเหมือนวันแรกที่ได้เจอ และไม่รู้ว่าโชคชะตากลั่นแกล้งอะไรผมนักหนา ทุกครั้งที่ผมถูกคนมากมายห้อมล้อม เธอจะต้องโผล่เข้ามาใกล้ๆ

    อยากจะมองเต็มๆสายตา .. ก็ทำไม่ได้

    การที่ผมเป็นที่รู้จัก ยิ่งทำให้ผมเข้าใจความต้องการของตัวเองได้มากขึ้น สาวๆมากหน้าหลายตาเข้าหาผมเยอะขึ้นกว่าแต่ก่อน และมันทำให้ผมตัดสินใจที่จะไม่สนใจใครทั้งนั้น ผมรู้ว่าทุกคนมองเห็นว่าผมมีดีเพียงแค่หน้าตา เพราะฉะนั้นเธอคนนั้นที่ไม่เคยมีผมอยู่ในสายตา ยิ่งทำให้ผมชอบเธอมากขึ้นไปอีก ชอบทั้งๆที่เราไม่เคยแม้แต่จะรู้จัก ไม่เคยแม้แต่จะพูดคุย มีเพียงคำขอโทษให้กันและกันในบางครั้งที่เรา ‘บังเอิญ’ เดินชนกันเท่านั้น

    วันนี้ก็เช่นกัน เธอกับเพื่อนคนเดิมเดินเข้ามาใกล้ๆกับโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ มันยิ่งทำให้ผมวางตัวไม่ถูก ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับเธอ ไม่รู้ว่าเพราะความบังเอิญหรือรังเกียจ เธอสะบัดหน้าไปอีกทางทันที และเมื่อทำแบบนั้นเธอก็ชนเข้ากับใครบางคนอีกจนได้

    ขอโทษค่ะ” เสียงใสๆที่แม้ไม่ได้ยินบ่อยๆแต่ผมก็จำได้ รีบบอกอีกคนออกไป
    เป็นอะไรไหมครับ

    ไม่ค่ะ ไม่เป็นไร” แม้เธอจะตอบว่าไม่เป็นไรแล้วรีบเดินไป แต่ผมก็อดห่วงไม่ได้ เธอบอบบาง เธอดูควรค่าแก่การถูกปกป้อง และเธอมักจะชนนั่นนี่ประจำทั้งที่ก็ดูไม่น่าเป็นคนซุ่มซ่ามอะไร

    หลังจากที่เธอจากไปผมก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา บางทีมันอาจเป็นการกระทำที่งี่เง่าและเปิดเผยตัวเองอย่างถึงที่สุด แต่ผมว่าถึงเวลาที่ผมต้องทำ ผมไม่อยากนั่งมองดูเธออยู่อย่างนี้อีกแล้ว ในเมื่อสองปีกว่าแล้วเธอก็ยังไม่มีใคร ผมก็ควรจะลองดู

    วันนี้กูไปประชุมแทนมึงนะ
    เฮ้ย เรื่องอะไรวะ ฝันไปเหอะ ประชุมกับเด็กการแสดง อาหารตาทั้งนั้น
    เออน่า วันนี้ให้กูไปเหอะ
    ทำไมวะ มึงไม่ได้มีส่วนเรื่องละครสักหน่อย ทำไมอยู่ๆถึงอยากไป

    มึงไม่ต้องมีคำถามได้ไหมวะ เอาเป็นว่าตกลงตามนี้แหละ เดี๋ยวเย็นกูพาไปเลี้ยง ผมทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้น แล้วรีบผละออกมาจากกลางวง ตรงขึ้นไปยังห้องแลคเชอร์ของภาคการแสดง กวาดตามองได้ไม่นานก็เจอเธอ เอาวะ!

    ขอโทษนะครับ ขอนั่งตรงนี้ด้วยได้ไหม ผมไม่เคยขึ้นมาประชุมเลยไม่รู้ว่าเขาจัดที่นั่งกันยังไง” ผมปล่อยประโยคแรกออกไปด้วยเสียงที่คิดว่านิ่งที่สุด

    เธอถอดหูฟังและละสายตาจากบทละครตรงหน้าขึ้นมามองผม .. เพียงแค่นั้น หัวใจของผมก็ทำงานหนักขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

    เอ่อ ..
    นะครับ ที่อื่นดูเหมือนจะโดนจองไปหมดแล้ว ผมมาแทนเพื่อนน่ะ

    คำโกหกของผมถูกส่งออกไปง่ายดายเมื่อเห็นว่าเธอลังเล ผมไม่รู้หรอกว่าใครจะจองที่อะไรกันไว้บ้าง แต่ผมรู้แน่นอนว่าผมจะนั่งตรงนี้ ข้างๆเธอนับตั้งแต่นี้ไป

    .. ค่ะ”  เธอขยับมือเลื่อนของที่วางระเกะระกะบนโต๊ะออกไป ผมเห็นว่าของมันเยอะเลยอาสาช่วย และบังเอิญผมก็ได้เห็นกล่องสี่เหลี่ยมที่คุ้นตา

     “ผมช่วยแล้วกัน เอ๊ะ คุณฟังเพลงแบบนี้ด้วยเหรอมันเป็นซีดีของภาคดนตรีที่ช่วยกันทำขึ้นมาหาเงินสมทบทุน ก็ดีใจนะที่เธอฟังเพลงของภาคเรา แต่ที่ดีใจยิ่งกว่าคืออัลบั้มนั้นมีเพลงที่ผมร้องอยู่ด้วย .. เธอจะฟังมันรึเปล่านะ

    เอ่อ .. ก็ ช่วยสมทบทุนไงคะ” เธอตอบ

    จริงๆเพลงแนวอื่นมีให้เลือกตั้งเยอะนะ อีกอย่างอัลบั้มเซตนี้ขายหมดไวมากเลย คุณเจ๋งจริงๆที่หามาได้

    เรื่องจริงก็คือที่อัลบั้มนี้ขายหมดไวส่วนหนึ่งเป็นเพราะผม ผมไม่ได้หลงตัวเองแต่อย่างใดนะครับ อย่าเพิ่งมองผมผิดไป แต่เพราะผมดันโชคร้ายไปมีชื่ออยู่ในเว็บจำพวกเน็ตไอดอลอะไรนั่น คนจากภายนอกก็เลยแห่มาซื้อไปฟัง คงอยากเช็คมั้งครับว่าผมมีดีอย่างอื่นบ้างรึเปล่า .. แต่กลับเข้าเรื่องกันครับ เพราะมันหาค่อนข้างยากผมเลยใช้สิทธิพิเศษเก็บเอาไว้สี่ห้าแผ่น ส่วนหนึ่งก็เอาไว้ให้พ่อแม่ ญาติพี่น้อง แล้วก็เพื่อนเก่า ส่วนอีกแผ่น .. ผมตั้งใจเก็บเอาไว้ให้เธอฟัง สักวันถ้ามีโอกาส เธอไม่พูดอะไรกลับมาอีก เพียงแค่ยิ้มบางๆให้ผม .. แค่นั้นหัวใจก็กระตุกได้ครับ

    เอกละครนี่ความจำดีจังนะครับ จำบทได้เป็นเล่มเลย ผมบังคับให้ตัวเองชวนเธอคุยอีกครั้ง แล้วมันก็ลงเอยเหมือนเดิม เธอเพียงแค่ยิ้มกลับมา .. หรือเธอไม่อยากคุยกับผม .. ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ เฮ้อ

     ผมเลิกชวนเธอคุยแต่เปลี่ยนมาช่วยจัดกระดาษที่กองไม่เป็นระเบียบตรงหน้า และบังเอิญเหลือเกินที่มือของผมไปถูกมือของเธอ ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ กลัวว่าเธอจะคิดว่าผมทำไม่ดีเลยปล่อยให้มันเหมือนไม่ได้เกิดขึ้น แต่เธอกลับหยุดชะงัก และปล่อยทุกอย่างให้ร่วงหล่นไปที่พื้น .. รังเกียจผมสินะ

    ไม่ปล่อยให้ตัวเองคิดบั่นทอนกำลังใจได้นาน ผมก็ลงไปช่วยเธอเก็บของใต้โต๊ะอีกครั้ง เอาเถอะครับ จะรังเกียจก็รังเกียจ ผมตัดสินใจแล้วนี่ว่าจะไม่นั่งรออยู่เฉยๆอีกแล้ว

     “เอ๊ะ มันแตกซะแล้ว

    ผมชูกล่องซีดีที่มีรอยร้าวให้เธอดู แทนที่เธอจะมองมันเธอกลับมาจ้องหน้าผมแทน ผมไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่แต่สำหรับผม การสบตากับเธอในระยะประชิดแบบนั้นมันทำให้ผมละสายตาไปจากเธอไม่ได้ .. ทำไม่ได้แม้แต่การกระพริบตา

    เอ่อ .. ไม่เป็นไรค่ะ ช่างมันเถอะ”  เธอรีบคว้ากล่องซีดีจากมือผมไป เก็บกระดาษขึ้นมาลวกๆแล้วรีบกลับขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ เฮ้อ .. ผมได้แต่ถอนหายใจเบาๆกับตัวเอง ทำไมการทำความรู้จักมันยากขนาดนี้นะ

    ไว้ผมเอามาอันใหม่มาให้แล้วกัน”  ผมลองเสี่ยงชวนเธอคุยอีกสักครั้ง

    ไม่ต้อ .. เอ๊ะ ไหนคุณว่ามันหมดแล้วไง
    ก็ .. สิทธิพิเศษของเด็กดนตรีไง ผมมีเก็บไว้แจก .. อีกนิดหน่อย

    อยากจะตบปากตัวเองจริงๆ ผมพูดไปแบบไม่ได้คิดอะไร แต่พอมานึกดูดีๆ เธอต้องคิดว่าผมเอาไว้แจกสาวๆแน่ๆ แล้วบทสนทนาทั้งหมดก็ดูเหมือนจะจบสิ้นลง เธอหันหน้าไปอีกทาง ไม่มีทีท่าว่าอยากคุยกับผมอีก .. บางทีเธอคงไม่ชอบผู้ชายอย่างผม

    ผมไปก่อนนะครับ ต้องไปธุระต่อ ไว้เจอกันนะผมลุกขึ้นยืน รอให้เธอพูดอะไรกลับมา แต่เธอก็ไม่พูดอะไรเลย ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้สนใจคำพูดของผมเลยด้วยซ้ำ

    ผมหยิบกระเป๋ากีตาร์คู่ใจมาไว้ข้างกาย บอกลากับเพื่อนๆเพื่อจะเตรียมไปทำงานต่อ แต่ก่อนจะได้เดินออกไปพ้นตึกคณะ เหตุการณ์เดิมๆก็เกิดขึ้นซ้ำอีก

    พลั่ก .. ขอโทษค่ะ
    ครับ คุณไม่เป็นไรนะ

     เธอ .. อีกแล้ว

    ตลกดีที่คำขอโทษกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมได้เจอเธอเสมอ ทั้งที่ปกติ ผมไม่ชอบเลย คนที่ใช้คำว่าขอโทษพร่ำเพื่อ แต่ช่วงเวลาแบบนี้ ผมกลับรู้สึกว่าคำขอโทษจากน้ำเสียงใสๆชวนฟัง มันเป็นถ้อยคำที่หวานหูได้จริงๆ

    ฉัน .. เอ่อ เมื่อกี้ข้างบนห้อง คุณลืมไอ้นี่ไว้” เธอยื่นปิ๊กสีดำออกมาตรงหน้า
    อ้อ คุณเอง ขอบคุณนะ จริงๆไม่ต้องลำบากก็ได้ ผมมีอีกหลายอันเลย

    ผมแกล้งทำเป็นความจำช้า แกล้งทำเป็นพูดว่าไม่เป็นไร ทั้งที่ความจริง ผมจงใจทิ้งมันเอาไว้บนเก้าอี้นั้นเอง และช่างดีเหลือเกินที่เธอมีน้ำใจเอามันมาคืน อย่างน้อยก็ทำให้ผมได้คุยกับเธอมากขึ้นอีกนิด .. นิดเดียวจริงๆ

    ผมต้องไปแล้ว ขอบคุณอีกครั้งนะครับ

    ไม่ลืมที่จะส่งยิ้มให้เธอบางๆ ผมจำเป็นต้องไปแม้จะไม่อยากเลยก็ตาม แต่วันนี้ผมมาทำงานด้วยความรู้สึกเป็นสุขมากกว่าหลายๆวันที่ผ่านมา ผมถึงขนาดเอ่ยแซวเจ้าของดอกไม้ที่มักจะแอบเอามาให้ผมเป็นประจำ

    วันนี้แม้จะไม่มีดอกไม้ขาวเหมือนทุกวันแต่ก็ไม่ได้ทำให้กำลังใจของผมลดลงเลย วันนี้ผมได้คุยกับเธอ ได้ใกล้เธอ แค่นั้นก็ต่อความอิ่มเอมในใจไปได้อีกหลายวัน

    หลังจากเสร็จงานผมมักจะกลับบ้านทันที ไม่โอ้เอ้รอช้าอยู่ที่ร้านมากนัก และในขณะที่ผมเดินออกมาด้านนอก ผมก็บังเอิญได้เห็น ใครบางคนในชุดสีหวานกำลังบรรจงวางดอกไม้สีขาวบนหน้ารถของผม ผมยืนมองเธออยู่อย่างนั้น หวังจะแกล้งทำให้เธอตกใจ อยากจะขอบคุณที่เธอคอยเป็นกำลังใจให้ เธอค่อยๆเดินถอยหลังเหมือนอยากจะมองผลงานของตัวเอง แต่ก็ไม่ทันระวัง

    พลั่ก .. ขอโทษค่ะ
    ไม่เป็นไรครับ

    คุณโอเคไหม ผมถามกลับไปแทบจะทันทีที่เธอพูดขอโทษ เจ้าของเสียงใสที่ผมมั่นใจว่าจำได้ก็หันกลับมามองผม เธอตกใจจนผมเห็นได้ชัด ผมเองก็ตกใจ .. ปนเปไปกับความดีใจและอะไรหลายๆอย่างจนไม่ทันได้คว้าตัวเธอเอาไว้ เมื่อเธอบอกลาแล้วรีบวิ่งหนีไป .. หญิงสาวในชุดเดรสหวาน ผมดัดลอนกับการแต่งหน้าหวานๆ เธอคือคนที่เอาดอกไม้มาให้ผม .. นี่มันหมายความว่ายังไง

    ...

    เวลายังคงทำหน้าที่ของมันได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ผมไม่ได้จ้องมองเธอผ่านผู้คนที่เข้ามารายล้อมผมอีกต่อไปแล้ว เพราะผมรู้ว่าผมสามารถเจอเธอได้ที่ไหน ที่ๆผมจะไม่ต้องหลบสายตาใคร มองเธอได้เท่าที่ผมอยากจะมอง

    ทุกเย็นวันศุกร์ มุมอับเล็กๆในร้านที่ผมไปทำงาน
    แม้จะไม่ได้เห็นหน้า แต่ผมก็รู้ว่าเธออยู่ตรงนั้น แค่นั้นก็พอแล้ว .. ผมคิดว่านะ

    เธอวุ่นกับการซ้อมละครหนักขึ้นทุกวัน ส่วนผมก็โดดซ้อมดนตรีบ่อยๆในวันที่ตารางซ้อมเราชนกัน เพราะเมื่อเพื่อนๆของผมซ้อมดนตรี และคนอื่นๆนอกคณะรู้ว่าเวลานี้ผมมีซ้อม พวกเขาก็จะไม่มาเกาะแกะแถวบริเวณคณะ และการซ้อมละครของเอกการแสดงก็ทำในห้องปิดที่ไม่อนุญาตให้คณะอื่นเข้าได้ พอเป็นแบบนั้น มันก็ง่ายเหลือเกินที่ผมจะมองดูเธอ

    แค่หามุมดีๆสักมุม อาจเป็นหลังฉากใหญ่สักอัน ..
    แล้วผมก็จะได้มีความสุขกับการได้เห็นเธอ
     

    วันนี้เองก็เช่นกันที่ผมโดดซ้อมมาดูเธออีกแล้ว แต่ผมมีข้ออ้างให้ตัวเองเสมอ ซีดีที่อยู่ในมือเป็นตัวแปรสำคัญในการตัดสินใจของผมครั้งนี้ .. ผมวางซีดีไว้บนกระเป๋าของเธอ คิดแล้วคิดอีกว่าควรไหมนะ มันคงไม่ลำบากหรอกถ้ามันเป็นแค่ซีดีเพลงธรรมดา มันคงไม่ตัดสินใจยากถ้าผมไม่ได้ตั้งใจใส่กระดาษใบเล็กๆเอาไว้ในนั้น .. กระดาษที่จะเปิดเผยทุกสิ่งในใจผม

    เสียงการซ้อมละครสิ้นสุดลง นั่นทำให้ผมต้องรีบเดินออกไปจากตรงนั้นทันที และตอนนี้เองที่ผมเพิ่งรู้สึกว่าหอประชุมใหญ่ของคณะมันช่างใหญ่เหลือเกิน จะวิ่งก็ไม่ได้ มันจะดูเป็นที่สนใจเกินไป ป่านนี้เธอคงเห็นมันแล้ว .. หัวใจผมยิ่งเต้นรัวจนแทบยั้งไม่อยู่

    คุณคะ

    เสียงเรียกดังขึ้นข้างหลังผม แต่ผมไม่ได้หยุดฝีเท้ายังเดินต่อไปจนกระทั่งออกมาจากห้องประชุม เจ้าของเสียงนั้นยังคงวิ่งตามผมมา และรั้งผมไว้ด้วยประโยคธรรมดาแต่ทว่า .. ทำให้หัวใจผมแทบกระดอนออกมาจากอก

    ฉันชื่อซอฮยอน เอกการแสดง .. ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ

    ผมหันขวับโดยไม่ต้องคิดไตร่ตรองอะไร .. ใบหน้าแดงระเรื่องของคนที่อยู่ตรงหน้าตอบคำถามที่ผมอยากรู้ได้ทั้งหมด ผมไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป .. ผมรู้ว่าตอนนี้ผมเองก็คงจะหน้าแดงไม่ต่างจากเธอ

    ผมยงฮวา ..
    ฉันรู้ค่ะ .. ฉันรู้ รู้จักคุณดีมากกว่าที่คุณจะนึกถึงซะอีก

    ผมก็รู้จักคุณดีกว่าที่คุณจะคิดได้เหมือนกัน

    ผมยิ้มให้เธอ .. และให้ตายเถอะ อยากจะยกยิ้มมุมปากด้วยท่าทางหล่อๆก็ทำไม่ได้ เธอคนนี้ทำให้ผมได้แต่ยิ้มอายๆจนแก้มแทบปริ ผมอยากจะเล่าทุกอย่างให้เธอฟัง ตั้งแต่วันแรกที่ผมได้รู้จัก ทุกวันที่ผมได้แต่เฝ้ามองเธอ แต่นาทีนี้ .. ผมรู้ .. มันไม่สำคัญเลย เอาไว้ทีหลังก็ได้ ผมแน่ใจว่าเราจะมีเวลาคุยกันอีกมาก

    ทุกๆวันนับจากนี้ไป เราจะไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อกันอีกแล้ว
    เพราะฉะนั้น เวลานี้ มีเพียงประโยคเดียวที่ผมอยากบอก .. อยากพูดมาตลอดหมดเวลารอ .. หมดเวลาหาเหตุผลมายืดมันออกไปแล้ว

    ผมชอบคุณ

    เธอดูตกใจเล็กน้อยที่ได้ยินแบบนั้น แต่เพียงชั่วพริบตาก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มหวานที่ผมสาบานได้ว่ามันหวานกว่ายิ้มใครๆในโลก เธอสูดหายใจเบาๆอย่างมั่นใจแล้วยิ้มกว้างให้กับผม เปล่งคำหวานหูที่ฟังแล้วชวนให้หัวใจหยุดเต้น

    ฉันชอบคุณ

    ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง หรือว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ รู้แต่ว่าตอนนี้ ..
    ผมกำลังสวมกอดเธอ ..

    และแม้ว่าเธอจะดูตกใจไปบ้างในตอนแรก แต่ท่าทีที่เธอไม่ได้ผลักออก ก็ทำให้ผมเข้าข้างตัวเองได้ว่า .. กอดนี้  ถือเป็นการตกลงยอมรับ .. การคบกันของเรา

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×