คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : [SF] ของขวัญ [re-write]
ของขวัญ
Date : 22.06.2011
Re-Write : 05.03.2013
แกร๊ก . .
ประตูไม้สีอ่อนถูกเปิดออกอีกครั้งก็เลยเช้าวันใหม่ไปเกือบชั่วโมงแล้ว หลังจากที่เจ้าของห้องปิดล็อคเอาไว้เมื่อตอนสาย แต่ก่อนจะได้เข้ามาในห้องเพื่อพักผ่อนให้หายจากความเหนื่อยล้าเพราะการทำงานที่มากมายมาทั้งวัน ก็ถูกน้องชายเรียกไว้ซะก่อน
“พี่ยงฮวาเดี๋ยวฮะ”
“อืม” ผมตอบรับเสียงเบาเป็นเชิงถามว่า ‘ทำไม’ ในตอนนี้ผมแทบไม่มีแรงจะพูดแล้วด้วยซ้ำ ตารางงานที่อัดแน่นจนแทบไม่มีเวลาหายใจ บั่นทอนแรงกายที่มีอยู่ไปหมดสิ้น
มินฮยอกเปิดกระเป๋าที่สะพายอยู่แล้วหยิบกล่องเล็กๆออกมายื่นให้ผม พอสังเกตดูดีๆรูปทรงของมันดูคล้ายกับกล่องของขวัญไม่มีผิด แต่ก่อนที่ผมจะได้คิดต่อว่าเขาเอามาให้ผมทำไม เจ้าตัวก็เฉลยออกมา
“สุขสันต์วันเกิดปีที่ 23 ครับพี่” น้องเล็กที่ผมเอ็นดูมากๆคนนี้ยิ้มตาปิดให้ผมอย่างจริงใจเหมือนที่ทำเป็นประจำ ผมถึงได้หันไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง
ถึงวันเกิดฉันแล้วนี่นะ
ผมขอบคุณมินฮยอกแล้วเข้ามาในห้อง วางสัมภาระ(ผมขอเรียกมันแบบนี้ล่ะนะ เพราะมันเยอะมากจริงๆ)มากมายที่หอบมาไปไว้ในที่ของมัน แล้วค่อยแกะกล่องของขวัญจากมินฮยอกออกมาดู มันเป็นสร้อยคอเส้นใหม่ที่ผมเคยพูดเปรยๆเอาไว้เมื่อเดือนที่แล้วว่าสวยและราคาก็พอรับได้ เลยคิดว่าถ้ามีเวลาจะไปซื้อมาเก็บไว้ในคอลเล็คชั่นสักเส้น
หลังจากชื่นชมความงามของมันได้ชั่วครู่ก็จัดการเอามันไปเก็บไว้ในชั้นเล็กๆสำหรับเก็บเครื่องประดับของผม แน่นอนว่าของในนั้นมันมีเยอะแยะเต็มไปหมด เพราะผมชอบเครื่องประดับเป็นที่สองรองจากการเล่นดนตรีเลยล่ะ และเพราะการนำสร้อยไปเก็บครั้งนี้มันก็ทำให้สายตาของผมเจอเข้ากับสิ่งของอย่างหนึ่งซึ่งชวนให้ผมรู้สึกโหวงเหวงใจอย่างบอกไม่ถูก สิ่งที่ก่อนหน้านี้มันเคยอยู่กับผมไม่เคยห่าง
แหวนแต่งงาน .. ยิ่งเห็นมันก็ยิ่งทำให้นึกไปถึงคนที่ให้มา ป่านนี้เจ้าของแหวนจะทำอะไรอยู่นะ ยังเก็บรักษามันไว้อย่างดีเหมือนที่ผมทำรึเปล่า และที่สำคัญยังจำได้ไหมว่าวันนี้วันอะไร
“หนึ่งปีแล้วสินะตั้งแต่วันนั้นที่เธอโทรมาหลอกถามพี่ว่าใส่แหวนเบอร์อะไร”
กล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มถูกมือหนาเปิดออกเบาๆ สิ่งที่ถูกรักษาอยู่ในนั้นยังคงแวววาวเหมือนวันแรกที่ได้รับมาไม่มีผิดเพี้ยน นั่นเพราะมันถูกสร้างมาจากเงินแท้ที่จะทอแสงเป็นประกายชัดเจนเมื่อยามต้องแสงไฟ ความทรงจำครั้งเก่าหวนกลับมาให้ได้คิดถึง ย้ำชัดเหมือนภาพนั้นเพิ่งผ่านพ้นไปเพียงไม่กี่วัน
[ย้งโอปป้า~]
“ทำไมวันนี้ถึงโทรหาพี่ได้ล่ะ” ผมถามออกไปเหมือนแซวๆเพราะส่วนใหญ่แล้วผู้หญิงคนนี้ไม่เคยเลยจริงๆที่จะเป็นฝ่ายโทรหาผมก่อน ซึ่งผมก็เข้าใจล่ะนะว่าทำไม อยู่ๆวันนี้โทรมาผมก็เลยสงสัย
[ฉันก็ .. ฉัน เอ่อ ..]
“โอเคๆ งั้นช่างมันเถอะ แล้วโทรมานี่มีธุระใช่ไหมล่ะ”
[ฉันอยากรู้น่ะค่ะว่าพี่ .. เอ่อ อันนี้แค่อยากรู้เฉยๆนะคะ]
“อืม ถามมาสิ”
[คือ .. ฉัน .. ไม่ถามแล้วดีกว่า]
“อ้าว ทำไมเป็นงั้นอ่ะ ถามมาเถอะน่า”
[ฉันได้ยินมาว่าพี่ชอบเครื่องประดับมาก ก็เลยแค่จะมาถามว่าพี่ชอบสไตล์แบบไหนยังไงน่ะคะ’
“หืม แปลกแฮะ แค่โทรมาถามเรื่องนี้จริงๆอ่ะ”
[เอ่อ ก็.. ]
“เรื่องแค่นี้ไว้ค่อยไปคุยตอนเราเจอกันก็ได้นี่”
[ไม่ได้หรอกค่ะเดี๋ยวไม่ทัน]
“ไม่ทันอะไร”
[ไม่ค่ะ ไม่มีอะไร]
ซอฮยอนอึกอักวนไปวนมาจนผมชักสงสัย และด้วยเซ้นส์ของผม ซึ่งถ้าว่ากันตามจริงผมค่อนค้างคิดว่าตัวเองดูออกในระดับหนึ่งว่าเธอกำลังจะทำอะไร ก็เลยคิดว่าจะขัดใจเธอดีกว่า
[พี่ชอบอะไรมากที่สุดคะ]
“อืม ... มากสุดเหรอ น่าจะเป็นแหวนมั้ง”
[ถ้างั้นพี่ใส่แหวนเบอร์อะไรคะ]
“จะซื้อให้เหรอ”
[อ๊ะ เปล่านะคะ! ทำไมฉันจะต้องซื้อให้พี่ด้วยล่ะ ก็แค่อยากรู้แค่นั้นเอง]
“พี่ใส่เบอร์ .. เอ๊ะ พี่ต้องวางแล้วล่ะ ต้องไปทำงานแล้ว ไว้คุยกันใหม่นะ บาย”
หลังจากที่ผมตัดสายไปวันนั้นเราก็ไม่ได้คุยกันนานเลยเพราะว่าก็ยุ่งๆกันทั้งสองคน จนกระทั่งเธอเอามันออกมาเซอร์ไพรส์ผมในวันที่เราถ่ายทำรายการด้วยกัน
พอได้ย้อนคิดถึงเรื่องราวเหล่านั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นมาได้ไม่ยากบนใบหน้า ผมยิ้มให้กับความรู้สึกดีๆที่เกิดขึ้นมา ปิดฝาแหวนที่ถูกเก็บอยู่ในกล่องมาสามเดือนกว่าก่อนจะเก็บมันไว้ที่เดิม
กรอบรูปเล็กๆที่จองชินเคยเตรียมมาแฉผมในรายการว่าผมแอบเก็บรูปคู่เอาไว้ในห้องนอน ในตอนนี้มันก็ได้กลับมาอยู่ที่ข้างเตียงผมอีกครั้ง หลังจากที่ผมเอามันไปติดไว้ในรถในวันสุดท้ายที่ผมเช่ารถสีแดงเพื่อไปส่งเธอ นั่นเพราะผมรู้มาตลอดว่าเธออยากให้ผมไปส่ง ไม่ใช่เดินไปส่งหรือนั่งรถโดยสารไปกันท่ามกลางผู้คนและทีมงานเป็นขบวน แต่เธออยากจะอยู่ในรถคันเล็กๆที่ถึงแม้จะมีกล้องติดอยู่ตลอดแต่มันก็มีแค่เราสองคน ผมถึงได้ตั้งใจและพยายามอย่างมากที่จะทำใบขับขี่ให้ได้ เพราะนี่มันอาจเป็นโอกาสเดียวที่ผมมี และเมื่อเผลอคิดไปถึงเรื่องนั้นผมก็นึกขึ้นมาได้ถึงอีกสิ่งที่ชวนให้โหวงเหวงในใจ .. จากวันนั้นจนถึงวันนี้มันครบหนึ่งร้อยวันพอดีที่เราสองคนยุติสถานะของการแต่งงาน
“ตกลงว่าวันเกิดปีนี้มันควรจะดีใจหรือเสียใจดีวะ”
...
สิ่งแรกที่ผมทำในตอนเช้าที่ลืมตาคือการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูโดยที่คาดหวังเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะได้รับข้อความ ซึ่งผมก็ยิ้มออกมาได้เมื่อตัวอักษรบนหน้าจอนั้นเรียงขึ้นมาเป็นคำว่า
[You have 1 message]
[เบิร์ดเดย์ยงฮวา มีความสุขมากๆ : ฮงกี]
ผมควรจะดีใจที่เพื่อนอวยพรวันเกิดให้ แต่ไม่รู้ทำไมรอยยิ้มที่มีเมื่อครู่อยู่ๆมันก็หายไปทันทีที่อ่านข้อความจบ ผมไม่ควรจะผิดหวัง ผมไม่ควรจะรู้สึกแบบนี้
“อย่าคิดมากยงฮวาวันนี้ยังเหลืออีกตั้งหลายชั่วโมง” ผมบอกตัวเองอย่างนั้นแล้วค่อยลุกขึ้นมาเตรียมตัวออกไปทำงานตามตารางงานที่แน่นเอียด
“ยงฮวาวันนี้เราเป็นอะไรไป ทำไมดูไม่มีสติเลย”
“ผม ... ก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยแหละครับ”
เสียงพี่ผู้จัดการเตือนเพราะผมเอาแต่ก้มมองโรศัพท์ในมือจนแทบไม่เป็นอันทำอะไร บทละครที่ต้องท่องก็ไม่ยอมเข้าหัวเลยสักนิด ทั้งที่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเริ่มถ่ายแล้ว
“คัทๆ ไปพักสงบสติอารมณ์ก่อนไปทุกคน จำบทให้แม่นกว่านี้ก่อนค่อยมาถ่ายใหม่” คราวนี้เป็นเสียงของผู้กำกับที่เป็นคนเลือกผมมารับบทบาทนี้ด้วยตัวเอง ซึ่งเมื่อได้ยินแบบนั้นแล้วผมถึงได้สติขึ้นมาว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ผมหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ในเป้ไปให้พี่ผู้จัดการที่มองกลับมาอย่างไม่เข้าใจ
“ผมฝากนี่ไว้กับพี่นะ ไว้หมดตารางงานพี่ค่อยเอามาให้ผม” ถ้าผมไม่ทำแบบนี้ วันนี้ทั้งวันก็คงทำงานไม่รู้เรื่อง ทุกอย่างมันจะไม่เป็นอย่างนี้เลยหากว่าคนที่ผมรอคอย จะติดต่อหรือแสดงอะไรก็ได้ให้ผมรู้สึกว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม
ทั้งที่ผมแสดงออกชัดเจนทั้งการกระทำและคำพูดว่าผมเป็นยังไง รู้สึกยังไง และเธอสำคัญกับผมมากแค่ไหน แต่จากวันนั้นวันสุดท้ายที่ผมไปส่งเธอ ทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไป เรายังคงเจอกันบ้างตามงานต่างๆแต่บางอย่างมันกลับให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป เธอยังยิ้มและทักทายผมเหมือนเดิมแต่ในความเหมือนเดิมนั้นมันเหมือนถอยออกไปอีกก้าว ระยะห่างที่เราเคยมีมันดูกว้างมากขึ้น เธอไม่ยกมือขึ้นมาไฮไฟว์ผมเหมือนเมื่อก่อน ไม่จ้องผมด้วยตาแป๋วๆของเธออีกแล้ว แต่ทั้งหมดนั่นผมก็บอกตัวเองอยู่เสมอว่าบางทีแล้ว ..
ผมอาจยังคงแสดงออกไม่เพียงพอ ..
ซอฮยอนไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น ..
เธออาจจะอยากมั่นใจมากกว่านี้ ..
หลายเหตุผลที่ผมยกมันขึ้นมาบอกตัวเอง ผมยังคงทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เหมือนเดิม แต่เพราะการโปรโมทอัลบั้มทำให้ผมไม่มีเวลาที่จะโทรหาเธอเลยจริงๆ และในตอนนั้นเธอก็บินไปอยู่ที่ญี่ปุ่นเพื่อโปรโมทเหมือนกัน ทำให้ระยะห่างมันยิ่งห่างออกไปจนกลายเป็นช่องโหว่ ที่ในตอนนี้เธอไม่ได้โทรมาหาผมอีกแล้ว และตัวผมเอง .. ผมอยากจะโทรไปหาใจจะขาดเพียงแต่ลึกๆแล้วผมก็แอบกลัว กลัวว่าเธอจะพูดว่าอย่าโทรไปอีก อย่าติดต่อกันอีก .. กลัวว่าเธอจะลืมไปแล้วว่าวันนี้เป็นวันสำคัญของผม
ผมฉลองวันเกิดที่กองถ่ายเพราะทีมงานยกเค้กก้อนใหญ่มาให้ ได้รับของขวัญมากมายจากแฟนๆที่มารอ หรือกระทั่งกลับไปถึงบ้านก็มีกล่องของขวัญมากมายวางอยู่หน้าห้องเต็มไปหมด ขอบคุณนะ .. ขอบคุณจริงๆ เพียงแต่ว่าผมยังอยากจะรอ รออีกสักนิด .. มันยังคงพูดออกไปไม่ได้ว่ากำลังมีความสุข
“พี่ยงฮวา! สุขสันต์วันเกิด!!!”
ปัง ปัง ปัง! เสียงพลุประดาษดังขึ้นมาทันทีที่ผมก้าวเข้าไปในบ้าน น้องชายตัวแสบสามคนยืนเรียงกันหน้าสลอน ใส่หมวกกระดาษแหลมๆแบบที่เรียกว่าไม่ได้เข้ากันกับตัวโข่งๆเลยสักนิด โต๊ะกลางห้องมีเค้กเล็กๆวางเอาไว้ มันเป็นแค่เค้กเล็กๆที่มีขนาดเพียงแค่ปอนด์เดียวเองด้วยซ้ำ แต่กลับเรียกความสนใจของผมได้มากที่สุดในบรรดาของขวัญทั้งหมดในวันนี้ .. หน้าเค้กรูปยงซอ
“แหนะๆๆ อึ้งไปเลยล่ะสิ” จองชินเอามือขึ้นมาตบบ่าผมเป็นเชิงหยอกเล่น ถ้าเป็นปกติผมคงไล่เตะมันโทษฐานลามปามไปแล้ว แต่ตอนนี้ผมลืมเรื่องนั้นไปสนิท ยิ้มออกมาได้เพียงแค่เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
“ทีนี้พี่ก็นั่งลงตรงนี้ พวกเรายังมีของขวัญอีกอย่าง“ มินฮยอกลากผมมานั่งที่เก้าอี้แล้วรีบเข้าไปในห้องของตัวเอง ซึ่งผมเพิ่งจะเห็นว่าเก้าอี้มันมีแค่สองตัวแต่พวกเราทั้งหมดมีกันสี่คน
“ทีนี้ก็ถึงเวลาบรรเลงเพลง” จงฮยอนเปิดเพลงคลอเบาๆ ซึ่งน่าแปลกมากถึงมากที่สุดเพราะมันเป็นเพลงคลาสสิคซึ้งๆแบบที่พวกเราไม่ค่อยชอบฟัง ก่อนไอ้ตัวดีจองชินจะปิดไฟพรึบให้ผมตกใจ แต่ไม่ใช่ตกใจเพราะมันมืด แต่ตกใจเพราะแสงไฟสีส้มจากหลอดไฟเล็กๆหลายสิบดวงที่เรียงกันอยู่ด้านหลังของผม และเมื่อหันกลับมาตรงหน้าหัวใจผมก็แทบสะดุดเมื่อเห็นว่าอะไรอยู่ตรงหน้า แต่เพียงแค่ชั่วครู่ก็ตระหนักได้ว่าจริงๆแล้วมันไม่ใช่สิ่งที่ผมหวังไว้
ตุ๊กตากบที่อยู่ในห้องนอนถูกหน้ากากรูปซอฮยอนแปะเอาไว้ และในตอนนี้ก็ถูกวางเอาไว้ตรงเก้าอี้อีกตัวตรงข้าม
“ขอให้มีความสุขกับดินเนอร์ที่แสนหวานนะครับคุณผู้ชาย” จองชินทำเสียงเข้มพูดออกมา แล้วทั้งสามคนก็หายเข้าไปอีกห้องทันที ทิ้งให้ผมอยู่กับ ‘ของขวัญ’ ที่ทั้งสามคนตั้งใจทำเอาไว้ให้ ผมมองทุกๆอย่างรอบตัว ซึมซับความรู้สึกที่ทั้งสามคนอยากจะบอกกับผม ผมรู้ว่ามันคืออะไรและผมตื้นตันกับมันจริงๆ แม้มันจะไม่เหมือนกับสิ่งที่ผมหวังไว้แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดี
น้องชายของผมรู้ว่าผมเป็นยังไง .. ถึงได้สนับสนุน
น้องชายของผมรู้ว่าผมแต่งเพลงแต่ละเพลงขึ้นมาเพื่ออะไร
.. จึงยินดีที่จะให้ผมใส่มันไว้ในอัลบั้ม
น้องชายของผมรู้ดีว่าตอนนี้ผมกำลังรู้สึกอะไร
.. ถึงได้ทำแบบนี้เพื่อปลอบใจ
“ขอบคุณจริงๆ”
อีกไม่ถึงชั่วโมงก็จะผ่านพ้นวันนี้ไปแล้ว แต่ผมยังคงนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น มองดูไอ้เด็กสามคนเอาลูกโป่งตีหัวกันบ้าง เถียงกันบ้าง ถึงแม้ว่าเราจะทำงานกันหนักเหมือนผู้ใหญ่แล้วแต่ในความเป็นจริงเด็กพวกนี้เพิ่งจะพ้นวัยมาได้ไม่เท่าไหร่เอง ผมถึงได้ต้องทำตัวเป็นพี่ที่เข้มแข็งเพื่อที่จะดูแลทุกคนได้ ทั้งที่ความจริงแล้วในตอนนี้ผมกังวลมากกว่าใคร รู้สึกโดดเดี่ยวมากกว่าใคร
“ผมว่าพี่ไปนอนดีกว่าไหม พรุ่งนี้มีงานนะ” มินฮยอกขยับมานั่งที่โซฟาข้างๆผม ในช่วงที่จงฮยอนกับจองชินทะเลาะกันเรื่องอะไรอีกแล้วก็ไม่รู้
“อีกแปบ ฉันยังไม่ค่อยง่วง”
“ผมรู้นะว่าพี่กำลังรออะไร”
“ฉันกลัวว่ะ”
“ไม่เห็นมีอะไรจะต้องกลัวเลยนี่ฮะ พี่ก็แค่เป็นตัวของพี่เองแบบที่เคยทำ”
“แล้วถ้าเธอรำคาญหรืออาจจะไม่พอใจ หรืออาจจะ...”
“นี่พี่ใช่จองยงฮวาจริงรึเปล่าเนี่ย เอาพี่ชายคนที่มุ่งมั่นและซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองของผมกลับมาเลยนะ”
มินฮยอกเคยบอกผมในวันที่ผมสับสนว่าควรจะทำยังไงว่า อย่าไปกังวล ใครจะคิดหรือจะมองยังไงก็ช่าง ถ้าผมจริงจังและจริงใจกับเธอก็ให้แสดงออกไปตรงๆ ไม่ต้องสนว่าเธอจะรับรู้ไหม ขอแค่ผมได้พูดได้แสดงออกไปให้หมด สุดท้ายแล้วเธอจะตัดสินใจยังไงนั่นมันก็อีกเรื่องหนึ่ง
“พี่ก็รู้ ... เรื่องของผมน่ะ” อยู่ๆมินฮยอกก็พูดถึงอดีตของตัวเองขึ้นมา ผมรู้เรื่องนั้นดีและไม่อยากจะปล่อยให้น้องตอกย้ำตัวเอง
“แต่มันต่างกัน สำหรับแกมันคือการจบหลังจากที่คบเป็นแฟน แต่สำหรับฉัน เราสองคน .. ไม่ได้เป็นอะไรกัน” เสียงของผมแหบแห้งไปทันทีที่พูดประโยคสุดท้าย ความจริงที่กรีดหัวใจได้มากที่สุด
“ผมไม่เห็นว่ามันจะต่างกันตรงไหน ผมเลิกแต่ความรู้สึกดีๆยังคงมีอยู่ ตอนนี้เธอคนนั้นอาจจะมีแฟนใหม่ไปแล้ว หรือบางทีอาจจะลืมผมไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ผมไม่สนหรอกเพราะผมไม่ได้ขอร้องให้เธอกลับมา ไม่ได้หวังจะเปลี่ยนแปลงอะไร ผมเพียงแค่แสดงออกให้เธอรู้ว่าครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นคนสำคัญ”
ผมมองหน้ามินฮยอกด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย ผมรู้ว่ามินฮยอกฝังใจกับรักครั้งเก่าแค่ไหน มันเป็นรักครั้งแรกและครั้งเดียวที่มีและมันก็จบลงแบบไม่ค่อยสวยงามเท่าที่คาดไว้ ผมสัมผัสได้ว่าตอนนี้มินฮยอกก็ยังคงรู้สึกเจ็บปวดอยู่ลึกๆเมื่อนึกถึงมัน
“สำหรับพี่ ผมว่าพี่ก็ไม่เห็นต้องแคร์ ทำเหมือนที่พี่ทำมาตลอด บอกรักเธอ แสดงให้เธอเห็น ส่วนเธอจะรับมันมาไหมนั่นมันก็เรื่องของเธอ”
“พี่ยงฮวา ถ้าพี่อยากได้ยินก็โทรไปหาเธอเถอะ อย่ารอเลย” มินฮยอกพูดทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นก่อนจะขอตัวไปนอน และเพียงไม่กี่นาทีอีกสองคนที่เหลือก็ทำแบบนั้นบ้างเหมือนกัน จนในที่สุดตอนนี้ก็เหลือแค่ผมคนเดียวที่นั่งอยู่ในความมืด
เอาวะ!
หลังจากตัดสินใจอยู่นานในที่สุดผมก็จัดการต่อสายตรงไปหาอีกคนที่ทำให้ผมวุ่นวายใจมาตลอดทั้งวัน ผมคิดว่าการรอคอยให้อีกคนรับโทรศัพท์มันคงเป็นเรื่องที่ยากมากที่สุด เพราะระหว่างนั้นผมอาจจะกลัวจนตัดสายทิ้งเองก็ได้ แต่มันก็น่าตกใจเพราะเพียงแค่ผมกดโทรออก ไม่กี่วินาทีเธอก็รับสาย
[ค่ะ]
“หวัดดีซอฮยอน”
[ค่ะ]
“เอ่อ .. พี่โทรมารบกวนรึเปล่า”
[ไม่ๆ ไม่เลยค่ะ]
“แล้ว .. เป็นยังไงบ้าง งานที่ญี่ปุ่นเหนื่อยไหม”
[ฉันสบายดีค่ะ งานก็ราบรื่นดี แล้วพี่ล่ะคะ ตอนนี้พี่กำลังทำอะไรอยู่]
“พี่ก็ถ่ายละครน่ะ”
[กับพี่ชินเฮใช่ไหมคะ ฉันจะรอดูนะคะ]
“อื้อ”
[ฉันได้ดูรายการที่พี่ไปออกหลายๆอันเลยค่ะ แล้วส่วนใหญ่ก็ .. ชอบเอาเรื่องที่เราถ่ายรายการด้วยกันไปถาม พี่ไม่ต้องตอบอะไรเพื่อรักษาหน้าฉันแล้วก็ได้ค่ะ มันดูเหมือนยิ่งตอบออกไปแบบนั้น ทุกคนก็จะถามมันซ้ำเรื่อยๆ]
“ซอฮยอน .. ในรายการสตรองฮาร์ท”
[อ้อ รายการนั้น ฉันเห็นข่าวเรื่องที่พี่ถูกบังคับแล้วล่ะค่ะ ฉันถึงได้บอกไงคะว่าพี่ไม่ต้อง..]
“ที่พูดออกไปตอนนั้น...”
[คะ?]
“พี่หมายความแบบนั้นจริงๆ”
เงียบ .. มีเพียงความเงียบเข้ามาแทรกกลางระหว่างคำพูดของทั้งสองคน
“วันนี้จริงๆแล้วพี่โทรมาก็เพราะ .. เอ่อ ช่างเถอะ พี่ว่าพี่วางสายแล้วดีกว่า” จนแล้วจนรอดผมก็ไม่กล้าขอให้เธออวยพรวันเกิดให้ผม ยิ่งเธอเงียบไปแบบนี้มันยิ่งทำให้หัวใจผมดิ่งวูบ ผมกลัว .. กลัวว่าทุกอย่างมันจะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
“งั้นแค่นี้แล้วกันนะซอฮยอน ฝันดีนะ”
[เดี๋ยวคะ!]
“ว่าไง”
[ย้งโอปปา ... สุขสันต์วันเกิดนะคะ]
ตลกดีนะ แค่เพียงคำสั้นๆ แค่เพียงได้ยินเสียงของผู้หญิงคนเดียว มันกลับทำให้หัวใจของผมกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง รอยยิ้มที่วันนี้ดูเหมือนจะยิ้มออกมาไม่เป็น ก็ยิ้มกว้างได้ง่ายๆ หากใครจะว่าผมว่าเป็นไอดอลที่น่าหมั่นไส้ และยิ้มได้หน้าบานมากที่สุด ผมว่าผมก็คงไม่โกรธหรอก เพราะตอนนี้มันอาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆก็ได้
คำอวยพรที่ได้รับจากพ่อแม่ พี่ชาย เพื่อนๆและไอ้สามแสบ กำลังเป็นจริงแล้ว
‘มีความสุขมากๆนะยงฮวา’
ผมมีครอบครัวที่แสนรัก
มีคนรอบข้างที่ใจดีและเป็นมิตร
มีแฟนๆที่รักผมมาก
มีหน้าที่การงานที่ผมใฝ่ฝัน
และในตอนนี้ ..
ผมก็ได้แสดงออกในสิ่งที่อยากบอกให้คนสำคัญอีกคนได้รับรู้แล้ว
ครืด .. ครืด
[You have 1 message]
รอยยิ้มที่กว้างอยู่แล้วยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้นไปอีก เมื่อได้รับข้อความมัลติมีเดียเป็นเสียงสั้นๆ มันสั้นมากจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำเอาคนได้รับกระโดดตัวลอย
มันไม่ใช่ท่อนสั้นๆในเพลงที่เธอตัดแล้วส่งมาแต่มันคือเสียงร้องของเธอเอง ..
ประโยคสั้นๆแต่ทว่ามันช่างแสนมีความหมาย ..
คำร้องที่ไม่ว่าใครก็คงคุ้นหู ..
โดยเฉพาะสำหรับผม เพราะจากนี้มันจะดังก้องอยู่ในหัวใจของผมตลอดไป ..
เพลงที่เพราะที่สุดสำหรับผม ..
‘Oh Oh Oh โอปปารึล ซารังเฮ~’
ผมล่ะอยากจะรู้จริงๆ ว่าในวันนี้ ตอนนี้ และบนโลกใบนี้
จะมีใครมีความสุขไปมากกว่าผมอีกไหม!
ก็ผมได้รับ ‘ของขวัญ’ ที่อยากได้มากที่สุดมาแล้วนี่ !
ความคิดเห็น