ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    YONGSEO SHORT FICTION BY SHINLEMON

    ลำดับตอนที่ #17 : [SF] One Day

    • อัปเดตล่าสุด 31 ต.ค. 56



    One Day

     

     

     

     

    พี่ๆ พี่ดงยอง พี่ โธ่เว้ย ทำไมไม่ฟังกันเลยวะ ช่างมันแล้วกัน พี่ผมกลับแล้วนะ ไปล่ะ

    เฮ้ย ไอ้ยงฮวา กลับมาเดี๋ยวนี้นะเว้ย

     

    เด็กหนุ่มรีบชิ่งออกจากร้านของเพื่อนพี่ชายที่มาฝากตัวทำงานช่วงปิดเทอม แต่ดูเหมือนเขาจะช้าเกินไปเพราะตอนนี้มือหนึบของดงยองกระชากคอเสื้อแล้วลากเขากลับเข้าไปในร้านเรียบร้อยแล้ว

     

    อย่าชิ่งไอ้ยงฮวา วันนี้แกจะไปไหนไม่ได้ วันนี้วันสำคัญนะเว้ย

    พี่ก็ใช้ไอ้พวกนั้นทำสิ ผมอยากกลับแล้ว บ้านผมไกลนะพี่ ยงฮวาโอดโอยขึ้นมาอีกรอบทันที

    แกอย่ามาปอดแหกได้ไหมไอ้ยงฮวา ลูกค้ารอแกอยู่นะเว้ย

    ดงยองหยิบกองผ้าจากตู้ล็อคเกอร์มาโยนใส่ก่อนจะทิ้งคำประกาศิตสุดท้าย

     

    อีกสิบนาทีไม่ออกมา แกได้ไปอยู่กับผีที่แกกลัวนักหนาแน่

     

    โธ่เว้ย! คนมันกลัวผีแล้วผิดตรงไหนวะ

     

     

    สิบนาทีต่อมายงฮวาก็เตรียมพร้อมในชุดท่านเคาท์แดกคิวล่าสุดหล่อ แต่ดูเหมือนไอ้ชุดดำแดงที่ใส่คงยังไม่ถูกใจคุณเจ้าของร้านสุดเนี๊ยบพอ ตอนนี้ยงฮวาถึงได้โดนลากมาแต่งหน้าอะไรประหลาดๆเพิ่มด้วย

    จะทำอะไรน่ะพี่

    อยู่นิ่งๆ

    เฮ้ย พี่จะมาง้างปากผมทำไม คิดอะไรไม่ดีรึไงหะ

    ฉันจะติดเขี้ยวให้แก อยู่นิ่งๆสิวะ

    ทำไมต้องติดด้วยเล่า! แค่ใส่ไอ้ชุดบ้าๆนี่ก็พอแล้วไม่ใช่รึไง

    วันนี้ฮาโลวีนนะเว้ย ทำให้มันสมจริงหน่อย สาวๆหน้าร้านเขาพร้อมให้ท่านเคาท์สุดหล่ออย่างแกไปกัดคอแล้ว ฮ่าๆ

    เปลืองตัวมาก ผมมาเป็นบาร์เทนเดอร์นะ

    เออ ก็เซอร์วิสลูกค้าหน่อยไม่ได้รึไง

    ด้วยการกัดคอเนี่ยนะ งี่เง่ามาก

    ไม่ได้จะให้กัดจริงๆเว้ย ฉันแค่เปรียบเปรย แกอย่ามาลีลา เล่นให้มันสมบทบาทหน่อย ถ้าทำไม่ได้ก็เตรียมไปหาที่ฝึกงานที่อื่นเลย

     

    สุดท้ายยงฮวาก็ต้องจนหนทางเพราะคำขู่ ปกติก็มาช่วยที่ร้านตั้งแต่อยู่ม.ปลาย แต่พอถึงตอนที่น้องจำเป็นต้องใช้ใบรับรองงาน ดงยองก็ชอบเล่นแง่ขู่นั่นขู่นี่อยู่ได้

     

     

    ไปออกไปได้แล้ว อ้อ แล้วอย่าลืมเก็กหน้าหล่อวางมาดอย่างทุกทีด้วยล่ะ ท่านเคาท์น่ะต้องนิ่งๆหล่อๆ

    รู้แล้วน่า

     

    ยงฮวาออกมาที่หน้าเคาท์เตอร์บาร์ที่คุ้นชินเหมือนทุกที  ปกติแล้วเขาไม่ค่อยอยู่ช่วงกลางดึกแบบนี้หรอก เพราะมันค่อนข้างจะยากเวลากลับบ้าน และช่วงกลางดึกดงยองมักจะให้คนอื่นที่ฮอตกว่ามาทำหน้าที่แทน แต่วันนี้เป็นวันพิเศษที่ดงยองจึงสั่งนักสั่งหนาให้พนักงานทุกคนในร้านแต่งตัวให้เข้ากับบรรยากาศวันฮาโลวีน

     

    แต่ก็ไม่ใช่แค่พนักงานที่สร้างสีสัน ลูกค้าที่เข้ามาในร้านต่างก็แต่งตัวมาประชันกันสุดฤทธิ์ ความจริงยงฮวาเองก็คิดว่ามันก็น่าสนุกดีหรอก แต่ที่รีบชิ่งกลับบ้านก็เพราะวันนี้มันเป็นวันปล่อยผีนี่แหละ

     

    ยงฮวา! ไม่รู้เลยว่าเธอจะมา ฉันนึกว่าเธอไม่รับจ็อบช่วงเวลานี้ซะอีก

    วันนี้วันพิเศษน่ะครับ จะรับอะไรครับยงฮวาตอบกลับใบหน้ายิ้มแย้มนั่นไปด้วยสายตาแบบที่ดงยองสั่ง สอน และบังคับให้ทำจนดูเหมือนเธอจะอายม้วนไปแล้ว

    ไว้ก่อนนะ ฉันโทรตามเพื่อนมาเจอเธอก่อนดีกว่า

    ริมฝีปากคมส่งยิ้มมุมปากกลับไปให้ก่อนจะกลับมารับออเดอร์จากลูกค้าอีกด้าน

     

     

     

     “เลือดเสียงเรียบเย็นเรียกความสนใจให้ต้องหันหลังกลับมาฟัง

    อะไรนะครับ

     

    เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะครับ ยงฮวาถามซ้ำอีกครั้งพร้อมกับพยายามมองลอดฮู้ดสีดำที่ปิดบังใบหน้าของเธอ แต่ก็มองไม่เห็นอะไรเลย

    ข้าอยากดื่มเลือด มีรึเปล่า

    เอ่อ คุณคงหมายถึง Blood Mary ใช่ไหมครับ รอสักครู่นะครับ

     

    ไม่นานเครื่องดื่มสีแดงเมนูเด็ดของวันฮาโลวีนก็เสิร์ฟลงตรงหน้าผู้หญิงลึกลับ แต่เพียงชั่ววินาทีที่เธอยกมันขึ้นจรดริมปาก แก้วใสใบเล็กก็ถูกกระแทกลงที่พื้นเคาท์เตอร์

     

    นี่มันไม่ใช่เลือด

    คุณหมายความว่ายังไงครับ

    ข้าสั่งให้เจ้าเอาเลือดมาให้ข้า

    ก็นี่ไงครับ Blood Mary”

    แล้วไหนล่ะ กลิ่นคาวของมัน

    นี่คุณ คุณจะบ้ารึไง ผมเข้าใจนะว่าวันนี้ฮาโลวีน ใครๆก็อยากจะเล่นบทผีบ้าๆบอๆกันทั้งนั้น แต่ไม่มีใครเอาเลือดจริงๆมากินกันหรอกนะ

    ถ้าเจ้าไม่มีข้าก็ขอตัว

     

    ร่างเพรียวลุกและเดินออกไปทันที ทำให้บาร์เทนเดอร์อย่างยงฮวาต้องรีบร้อนวิ่งตามออกมา

    คุณ! ค่าเครื่องดื่มล่ะ คุณ! เฮ้ย .. ผู้หญิงอะไรวะเดินเร็วเป็นบ้าเลย

     

    นี่คุณ!”

     

    มือหนาคว้าต้นแขนเรียวไว้ได้ แรงกระชากของยงฮวาทำให้ฮู้ดคลุมศรีษะหลุดร่วงไป เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวประหลาดที่ยงฮวาแอบลุ่มหลงในน้ำเสียงตั้งแต่แรกฟัง

    เรียวหน้าเล็ก ผิวสีขาวซีด ตัดกับสายตาเฉียบคมที่จ้องมองกลับมา ตรึงให้ยงฮวาแน่นิ่งอยู่กับที่ เอื้อนเอ่ยอะไรไม่ได้เลยแม้แต่คำเดียว

     

    เจ้าเป็นแวมไพร์ เสียงเรียบเย็นเอ่ยขึ้นมาเรียกให้ยงฮวาหลุดออกจากภวังค์

     

    เอ๊ะ สายตาคมกวาดมองเครื่องแต่งกายของยงฮวาจนเจ้าตัวเองต้องมองตาม

    คุณเองก็แต่งเป็นแวมไพร์ แต่ความจริงผมว่า คุณไม่เหมาะเลยนะ

    อะไรนะ

     

    คุณเหมาะจะเป็นนางฟ้ามากกว่า ยงฮวาหยอดคำหวานอย่างที่ดงยองชอบสั่งให้ทำเวลาคุยกับลูกค้า แต่ดูท่าจะใช้ไม่ได้ผลกับผู้หญิงคนนี้ เพราะเธอออกอาการไม่พอใจทางสีหน้าอย่างชัดเจน

     

    นางฟ้า หึ เจ้าคิดอย่างนั้นรึ

    ถ้าไม่เชื่อคุณลองมองตัวเองในกระจกสิ ขนาดแต่งเป็นผีแบบนี้ ยังดูดีเลย

    ข้ามองไม่เห็นตัวเองในกระจก

     

    คุณนี่ตลกจังนะ สวมบทบาทเนียนเชียว

    ข้าต้องไปแล้ว เมื่อเจ้าไม่มีเลือดให้ข้า ข้าก็ต้องไปหาจากที่อื่น

    เดี๋ยวสิ .. คุณชื่ออะไร

    ข้าไม่มีชื่อ

    ไม่จริง ใครๆก็มีชื่อกันทั้งนั้น อย่าทำแบบนี้สิครับ ผมแค่อยากรู้จักชื่อคุณเท่านั้นเอง ถ้าวันนี้คุณไม่มีชื่อเพราะคุณเป็นแม่สาวแวมไพร์ แล้วพรุ่งนี้ล่ะครับ พอคุณกลับไปเป็นคนคุณใช้ชื่อว่าอะไร

     

    ยงฮวายังคงไม่ปล่อยมือจากแขนของเธอ แต่เขานึกเอาเองว่าคงเพราะเธอไม่สลัดเขาออกด้วยล่ะมั้ง เขาถึงสามารถจับเธอไว้แบบนี้ได้ เพราะดูๆแล้ว เธอคนนี้ดูเหมือนจะมีแรงมากมายขัดกับรูปร่างยังไงไม่รู้

     

     

    ซอฮยอน

     

    นั่นคือชื่อที่ข้าใช้ตอนที่ข้า .. เคยเป็นมนุษย์

     

    สิ้นคำพูดเรียวปากสวยก็ยกยิ้มตรึงให้ยงฮวาแน่นิ่งไปอีก และครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่เพราะความตะลึงงันจากความงดงามของรอยยิ้มและสายตาคมเหมือนครั้งที่แล้ว แต่มันดูเหมือนเขาขยับร่างกายไม่ได้จริงๆ ซอฮยอนที่เขาเพิ่งรู้จักบิดแขนออกจากการจับกุมของเขาได้ง่ายดาย และเดินลับหายไปจากสายตาในเวลาเพียงชั่ววินาที

     

     

    ไอ้ยงฮวา ยืนทำบ้าอะไรวะ เข้ามาข้างในเร็ว ลูกค้าถามหาแกใหญ่แล้ว

    ยงฮวากลับเข้ามาทำหน้าที่ของตัวเองแต่ในใจยังคงทิ้งผู้หญิงลึกลับคนนั้นไปไม่ได้ จนกระทั่งเลิกงาน ระหว่างทางกลับบ้านที่เขาเคยกลัวนักหนาในเวลายามวิกาลเช่นนี้ กลับดูธรรมดาเพราะจิตใจของเขามัวแต่จดจ่อกับเขี้ยวที่ดงยองบังคับติดให้ซึ่งมันเอาไม่ออกเพราะเดาว่ากาวคงจะแน่นเกินไป และจดจ่อถึงผู้หญิงที่เขาเพิ่งเจอ ไม่รู้ว่าจากนี้จะมีโอกาสเจอเธออีกไหม

     

     

     

     

    One Day

     

     

     

     

    เอี๊ยด !!!!

    เสียงล้อบดกับถนนดังมาจากเส้นทางที่ยงฮวากำลังจะเดินไป ร่างโปร่งรีบวิ่งตรงดิ่งไปยังทางข้างหน้า เพราะบ้านของเขาเป็นพื้นที่ที่อยู่ติดป่า เวลากลางคืนแบบนี้เขาเองก็กลัวจะเกิดอุบัติเหตุ

     

    ยังไม่ทันที่ยงฮวาจะวิ่งไปได้ไกล รถที่คาดว่าน่าจะเป็นต้นเหตุของเสียงดังก็พุ่งตรงดิ่งแล่นผ่านยงฮวาไปอย่างรีบร้อน แม้จะสงสัยปนตกใจอยู่บ้างแต่ยงฮวาก็ต้องรีบวิ่งต่อไปเพื่อดูให้แน่ใจว่ารถคันเมื่อกี้ไม่ได้ไปชนใครแล้วหนี เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นแถวนี้ เขานี่แหละจะลำบาก ก็เขากลัวผีจับใจเลยนี่ถ้ามีใครเป็นอะไรไป เขาต้องบ้าตายแน่ๆ

     

     

     

    สวบ .. สวบ

    ยงฮวาเดินลัดเลาะดูตามทางให้แน่ใจว่าไม่มีใครเป็นอะไร แต่เพียงชั่วครู่ก็เห็นรอยเปียกสีเข้มบนพื้นถนน ก้มดูใกล้ๆจนแน่ใจว่ามันไม่ใช่อะไรอื่นเลย รอยบนพื้นถนนที่ถูกลากเข้าไปในพงหญ้าข้างทางคือ .. เลือด

     

     

    ด้วยความเกลียดเลือดเป็นทุนเดิม ร่างโปร่งก็ถอยหลังกรูอัตโนมัติและยิ่งตกใจมากจนถึงขีดสุดเมื่อถอยหลังแล้วชนกับอะไรบางอย่างที่ยงฮวาแน่ใจว่าไม่ใช่ต้นไม้แน่ๆ

     

    เฮ้ยยย

     

     

    เจ้าดูแปลกตาไปนะ พอแต่งกายแบบนี้

    ค .. คุณ!”

    ใช่ ข้าเอง

     

    คุณมาทำอะไรแถวนี้ครับ มันเปลี่ยวมากนะ แล้ว .. คุณมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมผมไม่รู้เลย

    สัมผัสเจ้าคงเสื่อมไปเพราะเสียงเพลงดังๆนั่น

    เอ่อ ก็คงงั้นมั้งครับ แล้วตกลงคุณมาทำอะไรแถวนี้ครับ

    ดื่มเลือด

    อะไรนะครับ

    เจ้าเป็นแวมไพร์ที่ขี้สงสัยจังนะ ปกติแล้วพวกของข้าไม่มีใครใคร่รู้อย่างเจ้าหรอก

    นี่คุณยังคิดว่าตัวเองเป็นแวมไพร์อยู่เหรอเนี่ย

    หญิงสาวลึกลับที่ชื่อซอฮยอนหัวเราะออกมาเบาๆให้กับท่าทางของยงฮวา ก่อนจะเริ่มก้ามไปยังถนนมืดๆทิศทางเดียวกับทางกลับบ้านของคนขี้กลัว นั่นทำให้ยงฮวาต้องตามไป .. ทั้งที่เขาขายาวกว่าเธอ แต่กลับต้องเร่งฝีเท้าจนแทบหอบ ในขณะที่แต่ละย่างก้าวอันรวดเร็วของเธอ ดูราบเรียบนุ่มสบายราวกับเดินอยู่บนขนนก

     

    “คุณจะไปไหน ตรงนั้นมันไม่มีอะไรให้ไปหรอกนะ มันทั้งมืด ทั้งอันตราย” เสียงหอบของคนเริ่มเหนื่อยแทรกมาตามประโยคห่วงใย

     

    เจ้าเป็นเช่นนี้เสมอ

     

    “อะไรนะครับ เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ” ยงฮวาหันมาถามคนข้างๆที่ตอนนี้ยอมชะลอฝีเท้าให้เขาสามารถเดินข้างๆได้โดยไม่ต้องหอบ แต่คนถูกถามไม่ได้ตอบอะไร เธอเพียงแค่มองหน้าเขานิ่งๆด้วยสายตาลึกลับนั้น

     

    “อ้อ .. ผมคง .. หูฝาดไปเอง” ยงฮวาพูดเองตอบเอง ยิ้มแห้งๆให้เธอ ได้แต่หวังว่าเธอคงไม่คิดว่าเขาเพี้ยนหรือเป็นคนพูดจาไม่รู้เรื่อง แต่พักหลังๆมานี้เขามักได้ยินเสียงแปลกๆบ่อยขึ้น น้ำเสียงเย็นเฉียบ โทนเสียงสูงต่ำที่ไม่ได้ดังไปกว่าเสียงกระซิบ เหมือนลอยมาตามสายลม และมีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน

     

     

    “ตกลงว่าคุณจะไปไหนกันแน่ สุดถนนเส้นนี้ไปก็ไม่มีทางให้ไปต่อแล้วนะ มีแต่ป่า” ยงฮวายังคงตั้งหน้าตั้งตาเตือนเธอ ลืมเรื่องความกลัวผีไปจนหมดสิ้น แต่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม .. เรียวปากบางคู่นั้นยังคงไม่ไหวติง

     

    “บ้านคุณอยู่ไหน ถ้าหลงทางผมไปส่งก็ได้นะ”

    “ข้าไม่มีบ้าน” น้ำเสียงเย็นเฉียบเปล่งคำออกมาโดยแทบไม่ขยับริมฝีปาก ฉับพลันอุณหภูมิรอบกายก็ดูเหมือนจะลดต่ำลงจนเขาเผลอเอามือกอดอก

     

    “หมายความว่ายังไงครับที่ว่า ไม่มีบ้าน” เธอดูเหมือนครุ่นคิดไปชั่วขณะ

    “ข้าหมายถึง ไม่มีบ้านอยู่ละแวกนี้ ข้าแค่ .. มาพบบางอย่าง”

     

    หรือบางคน

     

    เสียงแผ่วเบากระซิบมาตามสายลมอีกครั้ง แต่ยงฮวาแน่ใจว่าไม่ใช่เธอ เพราะเขากำลังมองหน้าเธออยู่และเธอไม่ได้ขยับริมฝีปากแม้แต่น้อย จะมีก็เพียง .. แววตาลึกลับที่จ้องเขาไว้ราวกับอยากจะสะกด

     

     

    “เวลาอย่างนี้เนี่ยนะครับ นี่มัน .. จะเที่ยงคืนอยู่แล้ว”

    “เที่ยงคืน” เธอย้อนคำเขาเรียบๆ

     

    “ใช่ เที่ยงคืน ผมว่าคุณอย่าไปเลย”

    “งั้นถ้าข้าไม่ไป ข้าควรไปอยู่ที่ไหน .. ที่นั่นได้ไหม” สายตาของเธอมองไปยังสถานที่ไกลๆ เขาแอบสงสัยว่าเธอจะเคยยิ้มบ้างไหมนะ หรืออย่างน้อยก็ยกมือขึ้นชีมือชี้ไม้แบบที่ผู้หญิงคนอื่นทำกัน แต่ตลอดเวลาที่เดินมาด้วยกัน เธอไม่ได้ยื่นมือออกมานอกเสื้อคลุมเลย ที่จริงแทบไม่ขยับตัวเลยด้วยซ้ำ

    ยงฮวาหันไปมองตามสายตาเธอ แล้วก็ต้องประหลาดใจเพราะ ที่นั่น ที่เธอหมายถึง คือจุดมุ่งหมายที่เขากำลังจะไป หรือเรียกง่ายๆว่าบ้านของเขาเอง

     

    “นั่นบ้านผม”

     

    ข้ารู้ อีกแล้ว ยงฮวาคิด .. เสียงนี้อีกแล้ว

     

    “ข้าไปได้ไหม”

    “แล้วคุณไม่ได้จองโรงแรม หรือโทรบอกให้ใครมารอรับเหรอ ถ้าหากว่าคุณตั้งใจจะมาแถวนี้ตั้งแต่แรก”

    “ถ้าเจ้ารังเกียจ ข้ารับปากว่าพรุ่งนี้เช้าข้าจะจากไปก่อนเจ้ารู้สึกตัว” เสียงเรียบยังคงเอ่ยออกมาไร้โทนสูงต่ำเหมือนเดิม แต่น่าแปลกที่ยงฮวาจับความวูบไหวในน้ำเสียงนั้นได้ ทั้งที่ไม่น่าเป็นไปได้เลย

     

    “ผมไม่ได้รังเกียจ แค่หมายถึง คนที่บ้านจะเป็นห่วงคุณรึเปล่าถ้าอยู่ๆก็หายไปแบบนี้ อีกอย่างบ้านผมหลังนู้นน่ะอยู่ติดเขาเลยนะ มันไม่สะดวกสบาย แล้วรถผมก็เพิ่งเสีย ถ้าคุณขาดเหลืออะไรตอนกลางคืนมันจะลำบาก ไม่ได้รังเกียจที่จะให้คุณพักด้วย” ยงฮวารีบพูดออกไป พอพูดไปแล้วก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองจะอธิบายให้ยืดยาวไปทำไม ในเมื่อเธอแค่มาขอพักคืนเดียว และเขาก็ไม่ได้รู้จักเธอมาก่อน ไม่จำเป็นจะต้องกลัวเธอเสียความรู้สึก

     

    “ข้าไม่ต้องการอะไร”

    “งั้นก็ตามใจคุณ”

     

     

    ไม่นานนักเจ้าของบ้านกับแขกยามวิกาลก็มาถึงบ้านริมป่า .. ที่จริง เรียกว่าบ้านคงไม่ถูกนัก แต่ยงฮวาก็ไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไร มันใหญ่กว่าบ้านทั่วไปในละแวกนี้มาก แต่ก็ไม่ได้กว้างจนถึงขั้นเรียกว่าคฤหาสน์ เป็นสมบัติตกทอดมาไม่รู้กี่รุ่น เขาเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ มันถูกระบุตั้งแต่เกิดแล้วว่าบ้านหลังนี้เป็นของเขา

     

    “อาจจะไม่สะดวกสบายเท่าไหร่นะครับ ผมอยู่คนเดียว คุณรอตรงนี้ก่อนผมจะไปจัดห้องให้” ยงฮวาบอกแวมไพร์สาวในชุดคลุมสีดำสนิท เธอเพียงแค่สบตาเขา .. แล้วความรู้สึกบางอย่างก็ก่อตัวขึ้น

     

    ข้างในอกวูบไหวเหมือนดิ่งลงหน้าผา ว่างเปล่าเหมือนน้ำทะเลที่ลดลงไปจดสุดหาดเหลือแต่เม็ดทรายขาวละเอียด รอคอยให้น้ำทะเลก่อตัวเป็นคลื่นทะเลยักษ์ เหมือนทุกอย่างถูกดูดเข้าไปในห้วงรัตติกาลสีดำสนิทในแววตาคู่นั้น

     

    “เอ่อ .. ผมรีบไปดีกว่า ตามสบายนะครับ” ยงฮวามีสติอีกครั้ง ไล่ความรู้สึกประหลาดออกไปจากหัว แต่ทุกครั้งที่มองเธอ มันเหมือนคุ้นตาอย่างน่าประหลาด ทุกท่วงท่า ทุกอิริยาบถ เหมือนเขาเคยเห็นจนชินตาเพียงแต่เขาแค่ลืมมันไป

     

     

     

    และทั้งที่ห้องในบ้านหลังนี้มีมากมาย แต่เขากลับเลือกที่จะตรงดิ่งไปยังห้องกว้างสุดที่ตัวเองใช้ ความรู้สึกบอกว่าเธอควรอยู่ที่ห้องนี้ .. ทุกอย่างมีไว้เพื่อเธอ .. บานประตู เก้าอี้ เตียงกว้าง หรือแม้กระทั่งผืนผ้าม่าน ทุกอย่างมันไม่ใช่ของเขา แต่เป็นของเธอ เป็นของเธอเพียงผู้เดียว

     

    ฉับพลันเขาก็เห็นเธอยืนอยู่ตรงนั้น ริมหน้าต่างบานใหญ่ที่มองเห็นพระจันทร์เสมอ เธอละสายตาจากท้องฟ้ามืดมิดตรงหน้ามาหาเขา แต่จะเป็นไปได้ยังไงเมื่อกี้เธอนั่งอยู่ข้างนอก .. เมื่อลมพัดม่านที่หน้าต่างปลิวสะบัดเธอก็หายไป แต่ยงฮวารู้ .. เธอไม่ได้หายไป นั่นไม่ใช่เธอ สิ่งที่เขาเห็นเป็นเพียงจินตนาการ แต่เขาไม่เข้าใจทำไมมันเหมือนจริงได้ขนาดนั้น

     

     

    เขาเดินไปหยิบหมอนในตู้ออกมาเปลี่ยน แต่เพียงแค่หยิบหมอนใบขาวเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

     

    ข้าไม่ชอบสีขาว

     

    “แต่คุณเหมาะกับสีขาว” ยงฮวาหันกลับมาตอบพร้อมกับกอดหมอนสีที่เธอไม่ชอบ ยิ้มบางๆ .. แต่รอยยิ้มก็จางไปทันทีที่หันกลับมาพบห้องว่างเปล่า .. ไม่มีใครนอกจากเขา

     

    บางทีเขาอาจบ้า .. บางทีอาการกลัวผีคงกล่อมให้เขาประสาทกิน อาการแปลกๆเริ่มขึ้นตั้งแต่ใกล้วันฮาโลวีน ทั้งเสียงแปลกๆ ความรู้สึกเหมือนถูกจ้องมอง และความฝันซ้ำๆที่ตื่นมาก็ลืมสนิท .. เมื่อคิดมาถึงตอนนี้ ยงฮวาถึงได้นึกออก ความฝันที่มักจะหายไปเมื่อลืมตาตื่นในตอนเช้า แม้จะพยายามเท่าไหร่ก็จำไม่ได้ ตอนนี้มันกลับค่อยๆแจ่มชัดเหมือนเจอของที่เขาเผลอทำหล่นหาย ไม่รู้จนกระทั่งพบมันอีกครั้งถึงรู้ว่าเคยทำหายไป

     

    เสียงที่เขาได้ยิน ภาพจินตนาการที่แจ่มชัดเหมือนจริง ทั้งหมดคือเธอ .. ผู้หญิงลึกลับ ที่บังเอิญโผล่มาในวันที่เขาเกลียด .. ไม่สิ ไม่ใช่ ยงฮวาค้านตัวเอง มันไม่ใช่บังเอิญ เธอตั้งใจมาหาเขา และเขากำลังรอเธออยู่ .. รอมาเนิ่นนาน

     

     

    .. เสียงนาฬิกาเก่าแก่ ตีสิบสองครั้ง

     

    แล้วโลกทั้งโลกก็เหมือนถูกพลิกกลับ ไอลมเย็นเฉียบพัดเข้ามาถูกตัว แต่เขาไม่ได้รู้สึกหนาวเหน็บ ตรงกันข้าม ความเย็นเยือกนั้นพัดเอาสิ่งที่หายไปกลับมา .. ผิวกายเย็นเยือกทว่าหัวใจกลับร้อนระอุ สิ่งที่หลงลืมแจ่มชัดขึ้นในชั่วพริบตา .. เที่ยงคืนฮาโลวีน

     

     

    เขาจำได้แล้ว .. รู้แล้วว่าทำเธอหายไป

     

     

    ยงฮวาวางหมอนลงกับเตียงกว้าง เพียงแค่ปลายนิ้วไล้ลงบนผ้าคลุมเตียง กลิ่นอายของความคิดถึงก็บีบรัดเขาจนแทบหายใจไม่ออก .. เขาทิ้งห้องที่ยังจัดไม่เรียบร้อยเอาไว้อย่างนั้น วิ่งออกมาหาสิ่งที่เขาหลงลืม และเพียงแค่ก้าวพ้นประตูห้อง ก็มองเห็นเธอยืนคอยอยู่ที่สุดทางเดิน

     

    เธอยังคงเหมือนเดิม .. ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยังเหมือนเดิม

     

     

     

    เรียวปากบางเคลือบลิปสติกแดงสดยกยิ้มอ่อนหวานให้เขา ไม่รู้ว่าเขาเป็นฝ่ายวิ่งเข้าไปหาเธอ หรือเป็นเธอที่โผใส่อ้อมกอดของเขา แต่กว่าจะรู้ตัวริมฝีปากหยักคมก็กดจูบลงไปจนปากของเธอแทบช้ำ .. เขาไม่รู้ว่าแวมไพร์เจ็บเป็นไหม แต่เธอคงไม่เจ็บเพราะเธอเองก็บดเบียดริมฝีปากกลับมาไม่ต่างกัน เขารับรู้ถึงทุกๆสิ่ง ทุกสัมผัสที่มือกว้างปัดไปทาบทับ ทุกลมหายใจร้อนที่คลอเคลียกันอยู่ไม่ห่าง หรือแม้กระทั่งรสเลือดกร่อยที่ปากของเขาคงบังเอิญถูกเขี้ยวของเธอเข้า

     

    “ผมคิดถึงคุณ”

    “ข้ารู้”

     

     

    “ผมฝันถึงคุณทุกคืน”

    “ข้ารู้ และมันไม่ใช่เพียงความฝัน”

     

     

     

     

    “ทำไม .. ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ ทำไมผมต้องลืมคุณทุกครั้งที่ลืมตาตื่น ทำไมพวกเขาต้องพรากเราจากกัน” ยงฮวาถามซ้ำคำถามเดิมที่เขารู้ว่าตัวเองเคยถามไปแล้ว .. ถามซ้ำๆเป็นร้อยเป็นพันครั้งทุกครั้งที่เขาพบเธอ

     

    “เพราะทุกที่ในโลกมีกฎ เจ้าและข้าฝ่าฝืนจึงต้องได้รับโทษทัณฑ์”

    “นั่นไม่ยุติธรรม” เขาโวยวาย ซึ่งก็เหมือนเดิมทุกครั้ง

     

    โลกนี้ไม่มีอะไรยุติธรรม ทุกอย่างเป็นไปเพื่อถ่วงดุล เจ้าบอกข้าเองจำได้ไหม”

    “กฎของนักล่า”

     

     เขาจำได้แล้วว่าตัวเองเป็นใคร .. หรือเคยเป็นใคร เมื่อเธอที่เขาถวิลหาเป็นแวมไพร์ เป็นปีศาจที่ใครต่อใครต่างหวาดกลัว สาเหตุเดียวที่ทำให้เขาผูกพันกับเธอมากขนาดนี้มีเพียงความรัก.. หากไม่ใช่เพราะคนที่เธอรักคือเขา และหากเขาไม่รักเธอปีศาจอันตรายที่ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ การลงโทษคงไม่หนักหนาขนาดนี้ เมื่อชีวิตของเขาเกิดมาเพื่อไล่ล่าเธอ นักล่ากับแวมไพร์ไม่ควรลงเอยกันอย่างนี้ มันควรต้องมีใครตายไปข้าง แต่เขากลับเอาชีวิตทั้งชีวิตปกป้องเธอ อาจหาญใช้เวทย์มนต์โบราณ ผูกชีวิตเธอไว้ด้วยชีวิตของเขา .. ตราบใดที่จิตวิญญาณของเขายังคงอยู่เพื่อเธอ จะไม่มีใครทำอะไรเธอได้ และตราบใดที่เธอยังมีชีวิต เขาก็ไม่อาจจากไปตลอดกาลได้เช่นกัน .. ผูกติดกันและกันไว้ด้วยพันธนาการที่ไม่มีวันคลายออก อยู่คนละฝากฝั่งเหมือนถูกกระจกกั้น .. มองเห็นแต่จำไม่ได้ ใกล้แต่ไม่ได้สัมผัส

     

    มีเพียงแค่วันนี้ .. ที่เธอจะถูกปลดปล่อย วันเดียวที่เธอจะได้กลับมาหาเขา วันเดียวที่จะได้พบกันอีกครั้ง .. เพียงวันเดียว ที่โทษทัณฑ์ใดๆก็ไม่อาจกั้นขวาง

     

     

    One Day

     

     

    เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปแค่ไหน การได้อยู่กับเธอทำให้เขาลืมทุกอย่าง โลกทั้งโลกของเขามีเพียงแค่เธอ อยากยืดมันออกเป็นล้านวินาที อยากให้เวลาหยุดเดินตรงนี้ แต่มันเป็นไปไม่ได้ โลกไม่เคยหยุดหมุน และทุกชีวิตต้องก้าวต่อไป สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือตักตวงความสุขและเก็บมันเอาไว้ .. แม้จะรู้ดีว่าเมื่อวันพรุ่งนี้มาถึงเขาจะจดจำอะไรไม่ได้เลย

     

     

    เธอเอนตัวเข้าหาอ้อมแขน ผิวเย็นแนบชิดกับอกอุ่น ซบใบหน้าลงบนหัวใจที่ยืนยันว่าเขายังมีชีวิต สำหรับเธอ .. การอยู่ด้วยกันไม่ใช่เรื่องสำคัญ การได้เห็นเขามีชีวิตต่างหากสำคัญกว่า เธอเคยลิดรอนลมหายใจไปจากเขา สิ่งเดียวที่เธอจะคืนให้เขาได้ก็มีเพียงลมหายใจ .. เพียงแค่ได้เห็นเขาเติบโต ได้เห็นเขามีชีวิตในแบบที่ควรมี แก่ตัวลง และกำเนิดขึ้นใหม่ ไม่ว่าจะกี่ครั้งเธอก็ยังยินดีที่ได้เห็น และไม่เสียใจเลยที่ทำได้เพียงเฝ้ามอง

     

    “ผมรักคุณ รู้ใช่ไหม”

    “ข้ารู้”

     

     

    ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยคำใดออกจากปาก เพราะเธอรู้ว่าเขาได้ยินมันชัดเจน ถ้อยคำที่จะแจ่มชัดเสมอ ต่อให้เขาจำไม่ได้ ต่อให้นึกไม่ออกเมื่อถึงวันพรุ่งนี้ แต่เขาจะรู้ .. ลึกๆในหัวใจ เขาจะรับรู้มัน เพราะคำนั้นก็แจ่มชัดในใจเธอเช่นกัน

     

     

     

    ข้ารักเจ้าเสมอและตลอดไป

     

     

     

     

     

     

     

    One Day

     

     

     

     

    แดดอ่อนๆผ่านม่านพลิ้วไหวเข้ามาปลุกรับอรุณ แดดไม่ได้ร้อนจนเกินไปเพราะเตียงกว้างที่เขานอนอยู่เย็นสบายจนไม่ชวนให้ลุกไปไหน เขาพยายามจะหลับตาขังตัวเองในห้วงนิทราอีกครั้ง แต่นาฬิกาปลุกไม่ยอมให้ทำอย่างนั้น มันส่งเสียงร้องเรียกเมื่อเขาหลับตาลงได้เพียงเสี้ยวนาที ยงฮวากดปิดมันส่งๆแล้วลุกขึ้นนั่ง

     

    เขาไม่ได้ง่วง แต่ที่อยากนอนเพราะรู้สึกเหมือนมีอะไรเรียกร้อง .. คงเป็นความฝันละมั้งที่เรียกให้เขาอยากกลับไป แต่เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองฝันว่าอะไร ยงฮวาสะบัดความหงุดหงิดใจออกไป สักวันเขาคงชินที่ตื่นมาแล้วจำอะไรไม่ได้ แต่ถึงจะจำไม่ได้อย่างน้อยก็รู้ว่ามันเป็นฝันที่ทำให้รู้สึกดี

     

    ยงฮวาประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นว่าหน้าต่างถูกเปิดไว้ น้อยครั้งที่เขาจะเปิดหน้าต่าง .. เขากลัวผี แถมยังเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ในคืนวันปล่อยผี มันไม่น่าเป็นไปได้ .. หรือเขาไม่ได้เป็นคนเปิด .. บางที .. ไม่! ไม่ใช่แบบนั้น! เขาไล่ความคิดบ้าๆของตัวเองแล้วกระโดดพรวดไปปิดหน้าต่าง เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเตรียมตัวทำความสะอาดบ้านใหญ่ยักษ์ที่เขาต้องทำเมื่อมีเวลาว่าง เพราะไม่มีใครมาทำให้ หรือพูดให้ถูก เขาไม่เคยยอมให้ใครมาที่นี่ต่างหาก และทั้งที่ตัวเองกลัวผี กลัวเรื่องลึกลับจนขึ้นสมอง แต่ก็เลือกจะอาศัยอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ไม่รู้เพราะอะไร เหมือนเขากำลังรอ .. รอสิ่งที่ตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร รู้เพียงแต่ว่า .. มันคุ้มที่จะรอ

     

    สักวันเขาคงรู้ .. สักวันสิ่งนั้นคงมาหา

     

     

     .. สักวัน

     

     

     

    - END –

     

     

    เชื่อไหมคะว่าเรื่องนี้ไรท์เตอร์ใช้เวลาแต่งเกือบสามปี ^^
    (ฮาโลวีนปีแรก คิดพล็อตตอนต้นเรื่องไว้แต่ไม่ได้เขียน)
    (ฮาโลวีนปีที่สอง เขียนเรื่องตอนต้นที่มาเจอกัน แต่จบไม่ลง)

     

    ในที่สุด !!!!!! ฮาโลวีนปีนี้ ก็จบเรื่องได้แล้ว กรี๊ดๆๆ (*กรีดร้องอยู่คนเดียว*)

    แฮปปี้ฮาโลวีนนะคะ
    <3

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×