ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Hero Wings

    ลำดับตอนที่ #2 : Page. 1 The Land Fall ( 1/5 )

    • อัปเดตล่าสุด 22 มี.ค. 50


    Page 1 The Land Fall

    คลื่นสมุทรม้วนกระหน่ำลำเรือจนโคลงไหวไปมา ฟองคลื่นแตกกระจายก่อนจะถูกดูดหายลงไปเบื้องล่าง กระแสอากาศปั่นป่วนและทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น อณูน้ำเบาบางคละคลุ้งไปทั่ว ท้องฟ้าดำมืดเหมือนถูกระบายด้วยกลุ่มเมฆปิศาจ ในระยะไกลลิบเห็นสายฟ้าพุ่งดิ่งลงมาเป็นกลุ่มก้อน คำรามออกมาอย่างน่าเกรงขาม ข้ายกแขนขึ้นป้องหน้า หยีตามองบรรยากาศที่แทบจะเป็นฝันร้าย รอบข้างกำลังจ้าละหวั่น แผ่นไม้ด้านล่างกระเทือนไม่ยอมหยุด ชายที่มีผ้าโพกศีรษะไต่ขึ้นไปบนเสากระโดงเรือ ง่วนอยู่กับการแกะเชือกพับใบเรือเก็บ พวกที่ตัวใหญ่หน่อยกำลังยึดจับหางเสือ พากันกัดกรามแน่นยื้อกันสุดชีวิตเพื่อพยายามประคองเรือให้นิ่งไว้ คลื่นลูกโตขยับเข้ามาทางด้านหน้า พุ่งสูงตระหง่านเงื้อม ข้าเริ่มควานหาที่เกาะให้มั่นมือ คนอื่นๆก็เช่นกัน เด็กหนุ่มคนหนึ่งรัดเสากระโดงไว้แน่น เหมือนเรือกำลังหงายท้อง ลุ้นระทึกแทบจะทุกวินาทีขณะก้าวผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากที่สุด

    สายน้ำแผ่ทะลักเข้ามาเหมือนเรือกำลังพุ่งดิ่งลงไป ลูกเรือข้างหน้าถูกกลืนไปทีละคนอย่างรวดเร็ว เรือแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หลังกลั้นหายใจและหลับตาลง ไม่เพียงแต่ความเย็นเฉียบจะทิ่มแทงผิวหนังในจังหวะฉับพลันแต่มันยังพยายามเลาะนิ้วของข้าออก เสียงน้ำดูดทำลายประสาทหู ฟองอากาศผุดออกทั้งทางปากและรูจมูก ปลายเท้าหลุดจากพื้นเรือ ถูกกระชากจนร่างกระเด้งขึ้นกระเด้งลง มือที่ยึดไว้พลอยถูกสะลัดให้จวนหลุด เกือบกลายเป็นวาระสุดท้ายแล้วแต่ยังดีที่ข้าพ้นกำแพงน้ำออกมาก่อน

    ข้าได้กลืนน้ำเข้าไปอีกอึกใหญ่ ม่านกำแพงของมันกระเซ็นสาดขึ้นมาตรงหน้า ม้วนพับลงกาบเรือเสียงดังสนั่น ไหลครูดไปตามพื้นขณะเรือทำท่าจะพลิกลง สองสามคนเกือบร่วงตกทะเล ดีที่หนึ่งในนั้นข้าจับมันไว้ทัน ตรงหางเสือเคยเป็นเช่นไรก็ยังอยู่เช่นนั้น จะต่างจากเดิมก็ตรงที่ทุกร่างมีสภาพเปียกโชกอีกทั้งยังมีเศษสาหร่ายมาประดับใบหน้าอันบิดเบี้ยว คลื่นยังคงโจมตีด้านข้างเรือไม่มีหยุด ละอองน้ำโปรยปรายลงมาจนบางทีข้าเข้าใจผิดนึกว่าฝนพรำ

    "ความบ้าคลั่งของเจ้าไม่มีทางหยุดพวกเราได้" มันดังก้องขึ้นตรงหัวเรือด้านหน้าซึ่งตอนนี้น้ำกำลังกระแทกขึ้นมา "บททดสอบของเจ้าก็แค่หินหนึ่งก้อนซึ่งเราสามารถก้าวข้ามมันไปได้อย่างไม่ยากเลย" ถ้าจำไม่ผิดคงเป็นเอปทรีซิส เขาพูดขึ้นอีกครั้งหลังเห็นศีรษะโผล่พ้นผิวน้ำ

    "อย่ายอมแพ้ ลุยมันเข้าไป" พวกที่มีแรงเหลือเฮรับเสียงคำราม ดังยิ่งกว่าความเกรี้ยวกราดของลมมรสุม ทุกเสียงเปล่งออกมาเพื่อให้แผ่นฟ้าได้รับรู้ จู่ๆรู้สึกเหมือนมีพลังมหาศาลไหลไปทั่วร่างกาย ถึงกับท้าทายคลื่นสมุทรได้อย่างไม่หวั่นเกรง

    "ยึดไว้" มันตอบรับเราอย่างหนักหน่วง รุนแรงยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า ท้องเรือถูกดันขึ้น พวกที่อยู่ข้างหน้าหงายหลังล้มลง ท้ายเรือฟาดกับพื้นน้ำจนลอยลิ่ว ร่างของลูกเรือเซผงะไปตามๆกัน ข้ากระแทกกับขอบเรือหลายที ระบมไปหมดทั้งสีข้างและแผ่นหลัง ตัวเรือดิ่งลงปกคลุมอยู่ใต้น้ำ แรงดันของมันล้นเหลือ อึดอัดทรมานแทบขาดใจกว่าจะได้ผงกหัวขึ้นสูดอากาศเหนือผิวน้ำอีกครั้ง หอบหายใจอยู่หลายทีก่อนจะถูกกดลงไปอีกอย่างไม่ทันตั้งตัว

    ด้วยสภาพแบบนี้ถึงสองวันเต็มที่เราผ่านมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เสียงโอดครวญแทรกขึ้นให้ได้ยินไม่ขาดสาย กลุ่มลูกเรือนอนราบลงกับพื้น สลบล้มพับกันปางตาย เจ้ายักษ์หลับเหมือดคาหางเสือ ความคิดในหัวโหรงเหรงไปหมด ตอนนี้เสียงคลื่นแทบจะติดอยู่กับหู ลมพายุสาปส่งลงมาจนขวัญกระเจิงหนี เอปทรีซิสพาช่างประจำเรือตรวจหาความเสียหาย ก้าวฉับๆผ่านข้าไป ใบเรือฉีกขาดเป็นแนวยาว รู้สึกขอบคุณที่เสากระโดงไม่หักพับลงมาไม่งั้นพวกเราต้องลอยคว้างกลางทะเลอย่างหมดหวังแน่ บางคนดูน่าชื่นชมเพราะยังคงทำงานกันตามปกติเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น เจ้าคนที่ชื่อรอยด์คาดผ้าโพกอยู่รอบศีรษะ กำลังใช้มีดพับแงะใบเรืออยู่ แบลงค์ ชายร่างโตกำยำไปทุกส่วนขัดไม้ตอกฝาเรือตรงส่วนที่แหว่งหาย ฮาล์ม ที่ถึงแม้จะตัวเล็กแต่เรี่ยวแรงมากมายเหมือนกระทิงกำลังใช้ถังวิดน้ำออกจากร่องเรือ

    "แดดอ่อนตอนสายเป็นรางวัลที่เราสมควรได้รับ" ข้าหันไปพูดกับ การ์เซีย ประสบการณ์ที่เทียบได้กับเด็กฝึกงานเติบโตขึ้นอีกหลายขั้นหลังผ่านวันคืนอันโหดร้าย เด็กหนุ่มคนนั้นฝืนยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อน อายุน้อยสุดบนเรือแต่ภายในแกร่งกร้าวเทียบได้กับทุกคน "มันมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ไม่มีใครกำหนดมันได้ ยามผันผวนก็โมโหอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ต้องยอมรับว่าเราทุกคนบนนี้ยังต้องพึ่งมันอยู่"

    "เซ็นซอร์เรียธ น้ำจืดที่เราตุนไว้เหลือเพียบ สองวันก่อนข้าได้กินน้ำเค็มซะจนอิ่มท้องเลย" เพลซ เจ้าคนอารมณ์ดีป้องปากตะโกนมายังข้า ร่างตรงบันไดบอบบางเกินกว่าจะมาล่องทะเลด้วยกัน แต่เพลซหูตาไวเกินคาดและยังฉลาดพอที่จะหลบหนีหาทางรอดยามเผชิญกับอันตรายได้ เอปทรีซิสจึงดึงมาร่วมเดินทางด้วยจนดูเหมือนว่าภายหลังทั้งสองจะเข้ากันได้อย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย

    "เพลซ งั้นต่อไปนี้แกควรจะกินน้ำเค็มแทนได้แล้วสินะ ฮ่าๆ" ใบหน้านั้นแลบลิ้นออกมาอย่างพะอืดพะอมก่อนจะตบมือลงกลางหน้าผากเสียงดัง

    เสียงปรบมือเป็นจังหวะดึงความสนใจของทุกคนให้หันไปมอง "อย่าไว้ใจทะเลแถบฟิลคัส อย่างที่เห็นว่ามันต้อนรับเราอย่างอบอุ่นหลังเรือเข้าไปเฉียดเขตมัน เป็นไปได้ที่มันจะอำลาเราด้วยความรู้สึกสุดซึ้งในแบบที่เราไม่ต้องการ" เหล่าลูกเรือหู่ใส่เอปทรีซิส เขาเพิ่งขึ้นมาโดยไม่มีใครทันสังเกตเห็น "เรียกขวัญของพวกเจ้ากลับมาได้แล้ว พยายามรักษามันไว้ ต่อหน้าทะเลคลั่ง อาศัยมือหนึบตีนหนึบ สติมั่นคงก็รอดแล้ว"

    "อย่างงั้นรึ อันหลังอย่างเดียวก็น่าจะพอแล้ว ที่เจ้าพูดอาจใช้ได้กับลูกคลื่นแต่ต่อหน้าฝูงฉลามกับปลาหมึกยักษ์ข้าพึ่งฉมวกแหลมมากกว่านะ" ข้ายิ้มขึ้นที่มุมปาก เอปทรีซิสมีนัยน์ตาสีชาอันแสดงถึงความเยือกเย็นซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเอาออกมาใช้สักเท่าไรนัก ร่างใหญ่โตนั้นไม่แพ้มันสมองที่บรรจุอยู่ภายในศีรษะทรงไข่นั้นเลย เขาวางจุดรุกรับได้อย่างแม่นยำราวกับเดินหมากบนกระดาน ทหารที่รบกับเดนิกซ์ไฟร์สูญเสียน้อยที่สุดจนข้ายังรู้สึกดีใจแทน ตอนนี้คงไม่มีใครเชื่อแน่ว่าเขาในอดีตนั้นทรงอำนาจเพียงไร ผมที่ดูยุ่งเหยิงกับริมฝีปากหยาบเลี่ยนไม่รับกับภาพขุนศึกเจ้าปัญญาเลยสักนิดเดียว

    "ฉมวก? ของแบบนั้นข้าว่าแย่ยิ่งกว่าเศษไม้จิ้มฟันซะอีกหากเทียบกับดาบที่ขัดอยู่บนหลังเจ้า เซ็นซอร์เรียธ" ทรีมอร์ดาบเกรทซอร์ดที่ตีขึ้นจากช่างเหล็กเลื่องชื่อของเฮนกรีฟ น้ำหนักเอาเรื่องอยู่แต่เมื่อเทียบกับพลังทำลายของมันแล้วก็นับว่าคุ้มค่าทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นหินโสโครกที่ตั้งขวางเรือหรือปลาวาฬในระหว่างคลุ้มคลั่งก็แทบไม่ครณามือให้กับดาบเล่มนี้เลย

    "ก็ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ฉมวกเบาแขนกว่ากันเยอะ แล้วมันเรื่องอะไรล่ะที่ข้าต้องทนปวดแขนไปหลายวันกับเรื่องขี้ปะติ๋ว"

    "อยากจะหัวเราะ ปวดแขน? งั้นเมื่อคราวบั่นหัวเจ้าเดนิกซ์ไฟร์เจ้ามิแขนขาดไปแล้วรึไง โบกดาบแค่ครั้งเดียวเจ้าพวกนั้นหัวหลุดไปหลายสิบ ไม่ใช่รึไงท่าน..." ถึงกับต้องรีบปิดปากลงเมื่อเห็นข้ายกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปาก อดีตของข้าฆ่าคนมามากพอๆกับฆ่าปิศาจ ศาลสูงเกือบเอาขึ้นกิโยตินแล้วถ้าเจ้าพวกเดนิกซ์ไฟร์ไม่โผล่มาซะก่อน ด้วยว่าครั้งสงครามเทพข้าคือหนึ่งในกำลังหลัก ข้อเสนอของสหายเก่าฟังดูเหมือนการฆ่าตัวตาย แต่โอกาสที่มาถึงข้าก็คว้าไว้อย่างไร้เสียงปฏิเสธ พวกทหารพากันหวาดกลัวถึงกับอดตาหลับขับตานอนเพราะไม่ต้องการถูกหลอกหลอนภายใต้ความฝันอันน่าพรั่นพรึง ตำแหน่งจอมทัพว่างลงจนมีนักโทษประหารเข้ามาแทนที่ หลังส่งคืนเจ้าพวกโสมมกลับลงขุมนรก บาปทั้งหมดก็ถูกไถ่ออก หยาดเหงื่อทุกหยดนับว่ามีค่า เหมือนฟ้าหลังฝนที่ข้าจะได้กลับตัวเป็นคนดี

    เอปทรีซิสเปลี่ยนเรื่องคุยลากยาวมาถึงเรื่องลมฟ้าอากาศ บ้างก็หยอกล้อกับพวกลูกเรือกันอย่างเป็นที่สนุกสนาน พวกเดนิกซ์ไฟร์ในตอนนี้ถูกซุกอยู่ในมุมมืดของประวัติศาสตร์ เราทำสงครามกับมันมาแต่ครั้งบรรพกาล เบื้องหลังชัยชนะอะไรหลายอย่างในชีวิตพลิกเปลี่ยนเหมือนเกิดใหม่ ผู้คนสรรเสริญจนลบภาพอดีตอันเลวร้ายออกไปไม่มีเหลือ ฟังดูเหมือนดีแต่แล้วมันก็คือความจำเจ พวกเราสบายกันเกินไป ผ่านไปเกือบร้อยปี หลายคนคิดว่าข้าจากโลกใบนี้ไปแล้ว มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องน้ำอมตะ ข้าและเอปทรีซิสจึงตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ในเงามืดจนกระทั่งทุกคนลืมเลือน

    "ฮาล์ม เดี๋ยวแกลงไปช่วยพวกช่างข้างล่างหน่อยสิ พวกนั้นเชี่ยวชาญเรื่องตอกตะปูแต่ดำน้ำไม่อึดเลย" ชายหนุ่มพยักหน้ารับเอปทรีซิส ความสูงเพียงร้อยหกสิบอาจกลายเป็นจุดด้อยแต่ในหมู่พวกเรานับได้ว่าเป็นจุดเด่น ใต้ท้องเรือแคบๆเขาก็ลงไปได้ ปอดใหญ่อย่างกับช้างดำน้ำทีหนึ่งหายลงไปจนน่าเป็นห่วงเลยทีเดียว

    "เราจะขึ้นแผ่นดินกันอีกทีบนเกาะฟิลคัส เติมเสบียงเหล้ายาให้พร้อม ล่องขึ้นเหนืออีกสักสิบวันก็คงพบคานิสต์ เมืองท่าที่นั่นพอจะเสาะหาสินค้าต้องห้ามได้ ดินปืนร่อยหรอลงไปกว่าครึ่งตอนหนีพวกโจรสลัด" เอปทรีซิสเปิดขวดกระดกเหล้าลงคอก่อนจะนั่งบนถังไม้ที่นอนกลิ้ง "คิดเห็นว่าอย่างไร เซ็นซอร์เรียธ สหายข้า"

    "มันก็ไม่ใช่แค่ดินปืนหรอกนะที่เราต้องการ อาวุธปืนพอโดนน้ำเข้าหน่อยก็สึกเอาๆจนน่าเป็นห่วง ควรหากล่องเก็บสักใบที่มันมิดชิด" ข้านั่งนับนิ้วเล่นบนขอบเรือ เห็นนกทะเลสองตัวเกาะอยู่ตรงหน้า "เชือกเก่าก็ควรโละทิ้งหรือเอาไปทำเป็นอย่างอื่น แล้วค่อยซื้อเอาใหม่หลายๆม้วน น่าเสียดายนักที่อู่เรือบนเกาะแถบนี้มีเครื่องมือไม่ครบ"

    "สมบัติส่วนกลางกองพูนเป็นภูเขา ข้ากะจะวักทองพวกนั้นใส่กระสอบแล้วเอาไปแจกให้ขอทานที่ฟิลคัส พวกนั้นคงดีใจไม่น้อย" หลังดื่มเข้าไปอึกใหญ่ก็ปาดน้ำใสที่ไหลย้อยลงมาตามมุมปาก ข้าก็แค่พยักหน้าเห็นด้วย พวกลูกเรือบางส่วนเริ่มฟื้นแรงกลับมาทำงานได้แล้ว งานบนดาดฟ้าเลยเริ่มกระเตื้องขึ้นมาบ้าง

    "กลิ่นอะไรน่ะ" เอปทรีซิสสูดจมูกฟุดฟิดเมื่อเห็นข้าร้องทัก คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันด้วยอารมณ์สงสัย เจ้านกทะเลต่างพากันร้องเสียงดังก่อนจะกระพือปีกบินหนีไป

    "เหมือนซากอะไรสักอย่าง" ดวงตาสีชาหรี่ลงอย่างพยายามใช้ความคิด อากัปกริยาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ในหัวของเอปทรีซิสอาจมีอะไรหลายอย่างที่ข้าไม่เข้าใจ แต่คำพูดที่ส่อออกมาทางสีหน้าและแววตาก็ไม่เคยรอดพ้นจากการตรวจจับไปได้ ดวงตาอันคุ้นเคยแต่ในอดีตกำลังทอดต่ำลง ข้าจะไม่รู้สึกแปลกใจเลยหากว่าตรงหน้าปรากฏกระดานหมากที่เกลื่อนไปด้วยตัวเบี้ย กลิ่นพิลึกนั่นเริ่มแรงขึ้นอย่างพยายามกระตุ้นคำถามที่วิ่งอยู่ภายในหัว เหล่าลูกเรือเริ่มจับกลุ่มวิพากวิจารณ์ สีหน้าเหยเก บ้างยกมือขึ้นบีบจมูก สัญญาณแห่งลางร้ายอาจอยู่ใกล้แค่เอื้อมเพียงแต่ข้าอาจมองไม่เห็นมันเท่านั้น

    เมื่อมองลงไปยังทะเลด้านหลังก็ไม่เห็นวี่แววหรือสัญญาณผิดปกติอะไรเลย รอยหยักของแผ่นน้ำเคลื่อนไหวไปมาราวกับกำลังเต้นระบำ ประกายใสทอระริกเป็นจังหวะต้อนรับแสงแดดที่ส่องลงมาเป็นเส้น เมฆแผ่นบางน่าจับไม่ต่างอะไรกับปุยนุ่น ภาพตรงหน้าเหมาะที่จะเก็บไว้บนแผ่นกระดาษในประเภทงานสีน้ำมัน กระแสลมตีปกเสื้อให้ตั้งขึ้นและในบางครั้งก็เหมือนหอบเอาความเย็นจากยอดเขาแผ่กระจายทั่วขุมขน นกทะเลฝูงหนึ่งบินขนาบมาพร้อมเรา เจ้าจ่าฝูงร่อนลงแฉลบพื้นน้ำก่อนที่ตัวด้านหลังจะทำตาม รอยด์ไต่ลงมาจากด้านบน มือเท้าปีนป่ายลงมาเหมือนลิงลงต้นไม้ หากว่ากลิ่นปริศนานี้ถูกฝากมาพร้อมกับลมทะเล ดูท่าเจ้ารอยด์จะโดนเข้าไปเต็มปอดอย่างไม่ต้องสงสัย

    "คุณเซ็นซอร์เรียธครับ ผมพบอะไรบางอย่างลอยอยู่ทางด้านหน้า เห็นไม่ถนัดเลย" ผ้าคาดศีรษะตอนนี้เลื่อนลงมาปิดจมูกแทน ลอนผมสีแดงดูยุ่งเหยิงไปหมด เสื้อแขนกุดตัวบางเห็นมันใส่อยู่เป็นประจำด้วยอ้างว่าสบายตัวดี รอยสักที่ต้นแขนพยายามเขียนไว้ให้คล้ายสมอแต่พอมองดูดีๆกลับกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ เอปทรีซิสย้ายร่างออกไปจากถังไม้ เดินดิ่งไปที่หัวเรือพร้อมกับยกกรอกจนหมดขวด ลูกเรือเริ่มตีวงกลุ้มรุมสหายข้า เห็นขยับปากงุบงิบแต่ฟังไม่ออกว่าพูดอะไรอยู่ ข้าก้าวเนิบๆตามไปและคอยแหงนดูทะเลด้านล่างควานหาอะไรก็ตามที่พอจะส่งกลิ่นเหม็นออกมาได้ แบบนี้คงไม่พ้นศพใครสักคนลอยมาแน่ น่าแปลกจริงๆที่ข้าต้องมาเจอเรื่องน่าหวาดเสียวในเขตทะเลฟิลคัส

    "เซ็นซอร์เรียธ สงสัยผลงานของพวกโจรสลัดอีกแน่" จุดเล็กๆด้านหน้าถึงดูไม่ออกว่าเป็นอะไรแต่ก็พอจะเดาได้"น่าเสียใจในชะตากรรมที่ถูกฝากกับท้องทะเล" เอปทรีซิสย่อตัวลงนั่งอย่างเป็นเชิงบอกว่าต้องการรอดูศพมนุษย์เบื้องหน้า "ถ้าจะมองให้เป็นเรื่องดีก็ยังมีอยู่"เจ้าคนนั่งแหงนมองขึ้นมา "อย่างน้อยฉลามแถวนี้ก็ไม่ชุมหรือบางทีอาจจะใจดีก็เป็นได้" ข้าพูดติดตลก

    ในเวลาไม่นานนัก สิ่งที่ปรากฎขึ้นในสายตาก็กลายเป็นที่โจษจันแก่คนบนเรือ ตัวศพเหมือนถูกลากเข้ามาด้วยแรงดึงดูดอันน่าพิศวง ร่างที่ลอยคว่ำหน้าสวมชุดผ้าแพรชิ้นบางและเป็นสตรีผิวขาวเหมือนคนมีตระกูล มือที่ไร้ชีวิตแนบลงข้างลำตัวดูๆไปก็เหมือนศพคนจมน้ำทั่วไป เพลซส่งไม้พายที่จัดการต่อกันเป็นด้ามยาวให้ข้า จิ้มให้ห่างออกจากตัวเรือเพราะเกิดเข้ามากระแทกจนเละเทะเดี๋ยวมันจะยุ่ง ด้วยความไม่ตั้งใจมือเจ้ากรรมดันเผลองัดร่างนั้นให้หงายขึ้น ใบหน้าของศพเห็นแล้วรู้สึกสยองเกล้า ฟองน้ำลายไหลออกปาก ลูกตาเหลือกโปนจนน่ากลัวว่ามันจะทะลักออกมา

    "แหวะ นี่แกจงใจรึเปล่าเนี่ย เห็นใจมื้อเช้าของข้าบ้างสิ ยังไม่รู้ว่าจะกินอะไรลงไปเลย สงสัยคงต้องเลี่ยงอะไรที่มันขาวๆหน่อยแล้ว" เพื่อนตัวดีบ่นอุบที่ข้างหู มื้อเช้าข้าเองก็พลอยแย่ลงไปด้วยจนพาลหงุดหงิดใส่ไอ้ไม้บ้านี่ที่จู่ๆเผลอกระดกขึ้น แบลงค์กระะซิบถามว่าควรเอาขึ้นมาดีไหม อยากเขกหัวมันสักที ศพที่ลอยผ่านไปเล่นน้ำมาหลายวันแล้ว ข้าอยากจัดการอยู่เหมือนกันแต่นึกกลัวว่าจะกลับกลายทำให้มันแย่ลงไปกว่าเดิม

    เสียงอะไรบางอย่างกระแทกเข้ากับหัวเรือด้านหน้า เอปทรีซิสชะเง้อลงไปดูก่อนจะโพล่งออกมาด้วยความตกใจ "คะ คุณเซ็นซอร์เรียธ มีอีกศพลอยมาชนเรือครับ" แบลงค์พูดขึ้น ดูเหมือนจะยังไม่มีใครสังเกตเห็นก่อนหน้าเพราะมัวแต่จ้องสตรีนางนั้น ตวัดหางตามองแวบเดียวเหมือนเห็นเป็นชายสูงอายุเพราะผมบนหัวขาวโพลน เนื้อตัวแข็งโดกเดก หน้าตาเหี่ยวซีด ในมืออันผอมเกร็งมีลูกกุญแจกำแน่น ตัวศพลอยออกไปทางด้านข้างโดยไม่จำเป็นต้องเขี่ยออก

    ข้าชักรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี กลิ่นเหม็นรุนแรงจนชวนให้เป็นลม ต้องพยายามบีบบังคับท้องไส้ไม่ให้กระอักกระอ่วนอยู่หลายครั้ง ในเวลาใกล้ๆกันเห็นอีกสองศพลอยห่างอยู่ทางด้านซ้ายและอีกสามศพขึ้นอืดมาทางด้านขวา ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร ศพเหล่านั้นเริ่มเกาะกลุ่มมาให้เห็นมากขึ้น เอปทรีซิสวิ่งโครมครามลงไปข้างล่าง หอบไม้ถ่อด้ามยาวมาหลายอันก่อนจะทิ้งลงพื้นแจกจ่ายให้พวกลูกเรือ

    "ท่าจะไม่ดีซะแล้ว สงสัยด้านหน้ามีเรือสินค้าอับปางลง พายุที่เราเจอเมื่อวานอาจเป็นสาเหตุ แต่..."ข้าครุ่นคิดอย่างหนัก ชำเลืองมองไปที่ศพอยู่หลายที"ไม่สิดูจากศพแล้วมันน่าจะก่อนหน้านั้นหลายอาทิตย์ นี่มันเรื่องอะไรกันเอปทรีซิส เจ้าพอจะรู้ไหมว่าอะไรฆ่าพวกเขา"

    "อาจเป็นโจรสลัดที่โหดเหี้ยมที่สุด หรือไม่ก็คงเป็นเรือสินค้า เรือบรรทุก หรือเรืออะไรสักอย่างจมลง" เพื่อนข้าใช้ไม้ดันศพผู้ชายร่างเล็กที่แล่นเข้ามาตรงหน้า "เซ็นซอร์เรียธ เราควรแจ้งไปยังฟิลคัส คนที่นั่นจะได้ไม่ตื่นตกใจตอนเจอศพมาเกยริมฝั่ง"

    ขณะง่วนอยู่กับการระวังศพไม่ให้ชนเรือ ลองนับดูดีๆเท่าที่ผ่านตามาก็เกือบครึ่งร้อยแล้ว กระแสน้ำแรงขึ้นอีกทั้งยังปั่นป่วน บางร่างหมุนวนอยู่กับที่อย่างน่าฉงน ข้าวาดไม้ไปตามขอบเรือ บางทีก็แตะโดนหัวศพอย่างไม่ได้ตั้งใจ เหล่าลูกเรือทำงานกันอย่างแข็งขัน เข็มนาฬิกาเลื่อนมาเกือบเที่ยงวันแล้ว แดดร้อนเปรี้ยงระอุทั้งแผ่นหลัง ผืนทะเลยิ่งทอประกายริบระยับจนข้าเริ่มแยกไม่ออกแล้วว่าจุดขาวตรงหน้าเป็นศพรึว่าเป็นแค่แสงสะท้อน แต่เหมือนจะมีบางอย่างที่ทำให้ทุกร่างบนเรือหยุดชะงักลง ข้าเองก็เช่นกัน เอปทรีซิสค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองขณะกำลังใช้ไม้เบี่ยงศพตรงกาบเรือ แววตาของสหายค่อยๆเบิกโตขึ้น ริมฝีปากของเพลซถึงกับสั่นระริก รอยด์ละงานตรงหน้าก่อนจะหยุดการทำงานส่วนอื่นๆลงไปด้วย ความเงียบที่ชวนขนลุกและน่าหวาดหวั่นในเวลาเดียวกันกำลังปกคลุมไปทั้งลำเรือ บางคนอ้าปากค้างเข่าอ่อนหมดแรงไปซะเฉยๆ มือที่กำด้ามไม้เย็นเฉียบเหมือนแช่น้ำแข็ง ภาพเบื้องหน้าแทบจะทำให้หัวใจของทุกคนบนนี้หยุดเต้นไปในวินาทีนั้น

    ทุกหย่อมเบื้องหน้าถูกแทนที่ด้วยร่างอืดเฟะ ลอยเกลื่อนเหมือนปลาตาย เห็นเป็นสีขาวระกับผ้าหลากสีกระจัดกระจายกลายเป็นทุ่งทะเลสยองขวัญ เหยี่ยวตัวดำนับร้อยลงทึ้งซากศพ จะงอยแหลมดึงเนื้อเปื่อยขาวขึ้นมา มีทุกเพศทุกวัยให้เลือกมอง บางศพจมลงไปเพียงครึ่งท่อน แข็งตรงเป็นตุ๊กตาไร้ชีวิต ภาพตรงหน้าชวนพะอืดพะอมจนหลายคนวิ่งไปอาเจียน โครงหน้าบางรายบวมเป่งอย่างน่ากลัว ดูเหมือนเป็นฝันร้ายแต่ข้าก็รู้ว่ากำลังอยู่ในความจริง ลำเรือแล่นตรงเข้าไปอย่างช้าๆ ตอนนี้ลมราวกับถูกกักเอาไว้ยังที่ใดสักแห่ง แว่วเสียงครืนครางของแผ่นไม้ด้านล่างขณะเบียดซากศพที่ลอยเกลื่อน พวกเราทุกคนทำได้แค่เขี่ยออกไปบางส่วน มันมากมายเกินกว่าจะกวาดไหว ผืนน้ำสีครามรอบข้างถูกสีขาวกลืนกินจนหมด ปลากินเนื้อบางตัวงับศพลงไปด้านล่างหรือไม่บางทีหางของมันก็ฟาดกับผิวน้ำจนเกิดเสียง เพลซหน้าซีดเหมือนจับไข้ มือตรงด้ามจับสั่นราวกับคนเป็นโรค การ์เซียโวยวายออกมาอย่างเสียสติ ล้มลงนั่งกับพื้นฟูมฟายออกมา แบลงค์ยังคงทำหน้าที่ของตนต่อไป ริมฝีปากบิดเบี้ยวขยะแขยงขณะอยู่กลางดงศพ จะว่าไปเกิดมาข้าก็เพิ่งเคยเห็น สุสานที่พื้นดินแปรเปลี่ยนเป็นพื้นน้ำ

    "เอปทรีซิส ดูเหมือนที่เจ้าเดามาจะผิดทั้งหมด" ข้าพูดขึ้นเบาๆแต่ด้วยความเงียบในตอนนี้ก็ดังพอที่จะคุยกันได้รู้เรื่อง "เห็นทีที่ฟิลคัสคงจะรู้เรื่องก่อนเราซะอีก สภาพแบบนี้ไม่ช้าก็เร็วคงกลายเป็นเขตหวงห้าม พักใหญ่เลยละกว่าจะฟื้นทะเลแถบนี้ขึ้นมาได้"

    "เร่งมือหน่อยเถอะน่า อย่างน้อยข้าก็ไม่อยากคิดหรอกนะว่า ถ้าคืนนี้เรายังไม่พ้นทะเลศพออกไป มีหวังได้ตาแข็งกันทั้งคืนแน่" เอปทรีซิสส่งผ่านความเครียดและแรงกดดันออกมา ใบหน้าศพที่เขี่ยอยู่ซีกหนึ่งเหลือแต่กระดูกและช่องตากลวงโบ๋ เศษเนื้อห้อยแปะตามรอยแหว่ง จะงอยปากฉีกเนื้อขึ้นมาเป็นพรวน เจ้าเหยี่ยวตัวใหญ่จัดการกลืนลงไปอย่างไม่รับรส

    "การ์เซีย แข็งใจหน่อย" เด็กหนุ่มคนนั้นเจอเข้ากับบททดสอบสุดหฤโหด ดวงตาคู่นั้นส่อแววขลาดเขลาออกมาอย่างเห็นได้ชัด เขากัดริมฝีปากจนเลือดออก ยังไงข้าก็ต้องพาเขาออกไปที่นี่ให้ได้ในสภาพที่ไม่กลายเป็นคนบ้าสติแตก ข้ารู้สึกได้เลยว่ามันแย่กว่าคลื่นสมุทรลูกโตเป็นไหนๆกับเหตุการณ์ที่สั่นประสาทหลอนจิตได้ขนาดนี้

    "เพลซ หน้าแกดูไม่ดีเลย ไหวรึเปล่าเนี่ย" ผู้ถูกถามสั่นหัวงั่กๆฝืนทำงานต่อไปโดยไม่ยอมปริปากบ่น "แบลงค์ ชูอกให้เลยว่าแกเด็ดมากที่ใจแข็งทนกับภาพเหล่านี้ได้ ไว้ข้าจะเลี้ยงเหล้าแกบนฟิลคัสนะ" มันยิ้มให้ข้าหน่อยหนึ่ง ผิวสีทองแดงมันวาวไปด้วยเหงื่อไคล แขนข้างโตกำลังขยับควบคุมไม้ถ่ออย่างชินมือ

    ดินแดนแห่งความตายคงใกล้ๆกับสิ่งที่ข้าพบอยู่ แทบจะลบภาพของโลกภายนอกออกไปได้เลยในยามนี้ สิ่งที่สะท้อนอยู่ภายในลูกนัยน์ตาของทุกคนมันมีมากกว่าความขลาดกลัว ประสาทเริ่มตึงเปรี๊ยะขึ้นเรื่อยๆด้วยว่าผ่านไปหลายชั่วโมงก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหลุดออกไปจากขุมนรกนี้เลย ดั่งวนเวียนในเขาวงกตที่หาทางออกไม่เจอ หลายคนเริ่มทนไม่ไหว ก็แน่ละ ในสภาพที่ไม่อาจคาดเดาหนทางข้างหน้าได้จิตใต้สำนึกย่อมจินตนาการสร้างความมืดมัวขึ้นมาเอง อันตัวข้าเคยผ่านสงครามมาหลายครั้งยังรู้สึกร้อนๆหนาวๆแล้วนับประสาอะไรกับคนกลุ่มนี้ที่แม้แต่กองศพสูงเท่าภูเขาก็ยังไม่เคยเห็น อดรู้สึกสงสารไปไม่ได้กับบางคนที่นั่งกุมหัวมุดหน้า กับดักที่ถูกวางไว้ในหลืบลึกของจิตใจกำลังเล่นงานพวกเขาอยู่ บ้างร้องไห้ออกมาเหมือนนักโทษที่ข้าเคยเห็นก่อนที่มันจะถูกตัดหัว ถึงกับถามตัวเองอยู่หลายครั้งว่าเรือลำนี้หลงเข้ามาในภาพมายาของพ่อมดปิศาจตนใดหรือเปล่า แต่ก็ต้องส่ายหัวไล่ความคิดนี้ออกไป ไม่ใช่เวลามานั่งพะวงโน่นนี่ กับอำนาจที่พยายามดึงจิตใจของข้าออกไปทีละน้อย สติเท่านั้นคืออาวุธชิ้นเดียวที่จะต่อกรกับมันได้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×