ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC Exo x You] มาอยู่ด้วยกันนะ (เลือกพระเอกได้)

    ลำดับตอนที่ #11 : ตอนที่ 10 Who came from another star

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.47K
      24
      25 มี.ค. 57

    ตอนที่ 10 

    ชายหนุ่มหน้าตานิ่งๆและเปลือกตาที่ลงมากลบดวงซะครึ่งนึงกำลังเดินตรงมายังประตูใหญ่ของปราสาทอย่างสบายอารมณ์ เขาหยุดสำรวจดูความสูงและความอลังของประตูใหญ่อยู่พักนึงก่อนจะทำท่าเหมือนจะกระโดดข้ามไป แต่เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเห็นเขาจึงทักและทำให้ชายหนุ่มหยุดการกระทำนั้นทันที

    “มีอะไรให้ผมช่วยมั้ยครับท่าน?” เจ้าหน้าที่ถามขึ้นและมองเขาอย่างพิจารณา

    “อ๋อ” เขาทำท่าไม่ถูกเล็กน้อยก่อนจะยิ้มจนเผยให้เห็นลักยิ้มสองข้าง ทำให้สีหน้าที่เคยนิ่งจนตายด้านนั้นกลับดูน่ามองทันที “ผมเอ่อ..ผมมาขออาศัยอยู่ด้วยซักพักน่ะครับ”

    “ไม่ทราบว่าได้ติดต่อกับใครไว้หรือเปล่าครับ?” เจ้าหน้าที่ถามต่อทันที

    “เอ่อ ผมไม่ได้ติดต่อใครครับ ผมไม่รู้จักใครเลย...เอ่อ..ความจริงผมไม่รู้จักมนุษย์เลยซักคน ผมถามทางกับนกแถวนี้น่ะครับ แล้วเธอก็บอกว่าที่นี่ยินดีต้อนรับสำหรับคนอย่างผม” เขายิ้มอีกครั้ง

    “ถ้าเช่นนั้น” เจ้าหน้าที่ดูเหมือนจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเอ่ยขึ้นต่อ “เข้ามารอพบกันเจ้าของปราสาทข้างในก่อนได้เลยครับ แล้วท่านก็ตกลงกับเขาเองนะครับ”

    จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เปิดประตูให้ชายหนุ่มเข้ามาและพาเขาเข้าไปในตัวปราสาทอย่างง่ายดาย ทำไมถึงให้เข้าปราสาทง่ายๆอย่างนั้นละ? นั่นก็เพราะเจ้าหน้าที่ก็รับรู้ได้ถึงความแปลกประหลาดจากชายคนนี้จนเขาไม่แน่ใจว่าเป็นแขกของซูโฮหรือเปล่า (แขกของซูโฮแต่ละคนปกติดีที่ไหน) ชายคนนี้เขาสวมเสื้อยืดคอกลมสีดำข้างในและสวมแจ็คเก็ตสีเขียวใบไม้ทับอีกที นั่นไม่แปลก แต่ที่แปลกคือรองเท้ากับหมวกที่อยู่บนหัวของเขา มันแลดูเหมือนรองเท้าอลาดินในการ์ตูนเปี๊ยบแต่มันเป็นสีเขียวอ่อนสดใส ส่วนหมวกของเขาก็ดูคล้ายหมวกโจรสลัดแต่เล็กกว่ามากและมันก็เป็นสีเขียวเช่นกัน

    เมื่อทั้งสองเดินเข้าในตัวปราสาทชายหนุ่มถึงกับยิ้มอย่างพออกพอใจและแฝงความตื่นเต้นเล็กๆไว้ภายในดวงตาที่เหลืออยู่ครึ่งนึงนั่น

    “รอสักครู่นะครับ ผมจะไปตามท่านซูโฮเจ้าของปราสาทหลังนี้มาให้”

    ว่าเสร็จเจ้าหน้าที่ก็เดินขึ้นบันไดไปทันที ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังรอเจ้าหน้าที่กลับมาเขาก็เดินสำรวจรอบๆแถวๆนั้นอย่างตื่นตาตื่นใจเหมือนเขาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน มีแม่บ้านคนนึงกำลังทำความสะอาดและใช้เครื่องดูดฝุ่นอยู่ ชายหนุ่มตกใจเมื่อได้ยินเสียงหึ่งๆจากเครื่องดูดฝุ่นและเขาก็ยิ้มออกมาอย่างตื่นเต้นอีกครั้งเหมือนไม่เคยเจอมาก่อน

     

    ระหว่างนั้นในห้องของเซมี

    “พี่จะไม่ทำอีก พี่สัญญา” ลู่หานที่ยืนจ้องเซมีเขม็งพร้อมกับทำหน้าจริงจังที่สุดเท่าที่ใบหน้าหล่อๆของเขาจะอำนวยได้ เขากำลังขอโทษและขอให้เซมีอภัยกับเรื่องที่เขาทำเมื่อคืนก่อน ซึ่งตอนนี้เซมีก็ให้อภัยแล้วแต่เธอก็ใส่อารมณ์ลงไปที่ลู่หานเยอะเหมือนกัน ก่อนหน้านี้เซมีทำเสียงดังจนชานยอลที่อยู่ห้องข้างๆต้องเข้ามาดูสถานการณ์

    “พี่ต้องไม่ทำกับผู้หญิงคนอื่นด้วยสิ” เซมียืนกอดอกและจ้องลู่หานกลับไป

    “เอ่อ...” เขาลังเลเล็กน้อย แต่พอเห็นสายตาอันดุดันที่พร้อมจะพุ่งเข้ามาจากเซมีนั้น “ครับๆ พี่จะไม่ทำกับใครเลย พี่จะ..พี่จะเป็นคนปกติ และจะไม่ใช้เสน่หรือคารมไดๆกับผู้หญิงคนไหนเลย พี่สัญญา”

    “ดีมากค่ะ” เซมีพอใจแต่เธอยังทำหน้าบึ้งอยู่

    “ยังโกรธอีกหรอ?” ลู่หานผ่อนคลายลง เขาส่งยิ้มดุจดั่งเทพและเทวดาวผสมกันให้เซมี ซึ่งเขาไม่ได้ตั้งใจจะหว่านเสน่หรือใช้หน้าตาเพิ่มคะแนนเลย แต่มันเป็นไปโดยธรรมชาติ เซมีขัดใจตัวเล็กน้อยที่มันยอมสริโรราบกับรอยยิ้มนั่น จนสุดท้ายเธอก็ยิ้มและหัวเราะออกมาด้วย

    “ว่าแต่...” เซมีเริ่มเปลี่ยนประเด็นและปรับโหมดเข้าสู่ปกติ “พี่ลู่จะอยู่ที่นี่เลยหรือเปล่าค่ะ? หรือจะอยู่ที่บ้าน?”

    “ไม่รู้สิ” ลู่หานทำหน้าไม่แน่ใจ “พี่ก็เบื่อๆ ช่วงนี้อาจจะอยู่ที่นี่ก่อน จะได้รู้จักเพื่อนๆด้วย แต่ว่าตอนนี้พี่หิวมากเลย พอโล่งเรื่องเซมีท้องไส้มันก็เริ่มทำงานทันทีอ่ะ ก่อนหน้านี้กินไรแทบไม่ลงเลยนะ”

    “เว่อหน่าพี่” เธอยิ้มอายๆ “เดี๋ยวเซมีพาพี่ลงไปหาอะไรกินให้ค่ะ”

    “ดีเลย”

    แล้วทั้งสองก็เดินลงไปชั้นล่างเพื่อตรงไปยังห้องครัว แต่พอลงบันไดถึงปุ๊ปพวกเขาก็พบกับชายหนุ่มคนนั้นที่กำลังเคาะเครื่องดูดฝุ่นอยากสนอกสนใจโดยที่มีแม่บ้านยืนหัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆ เซมีกับลู่หานเดินไปตรงที่พวกเขา

    “ใครค่ะ?” เซมีกระซิบถามแม่บ้านที่ยืนอยู่เบาๆ “เขากำลังทำอะไร?”

    แม่บ้านหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะตอบ “เขาบอกอยากความรู้จักกับเพื่อนตัวอ้วนคนนี้น่ะค่ะ คือ...” เธอหัวเราะ “คือ เขาหมายถึง...เขาอยากจะพูดคุยกับเครื่องดูดฝุ่น ดิฉันก็เลย...” เธอหัวเราะอีก

    เซมีหันไปมองหน้าลู่หานแต่ไม่ได้หัวเราะแต่อย่างได ลู่หานก็เช่นกัน เซมีกำลังคิดถึงใครบางคนที่คล้ายๆแบบนี้ (แต่ก็ไม่ได้ลงไปเคาะๆและพูดกับเครื่องดูดฝุ่นเหมือนเขา)

    “สวัสดี” ลู่หานทักโดยที่เพิ่มระดับเสียงเล็กน้อยทั้งๆที่เขาก็อยู่ไม่ไกลมาก ลู่หานทำยั่งกะเขาจะหูตึงไปด้วย

    ชายหนุ่มเงยขึ้นมายิ้มเผยลักยิ้มของเขาให้ลู่หานและลุกขึ้นยืน

    “สวัสดี” เขายื่นมือออกมา “ฉันชื่อเลย์ มาจากดาวเนเวอร์แลนด์”

    เซมีทำตาโตก่อนจะหันไปมองลู่หาน เหมือนลู่หานจะคิดเหมือนเซมี แต่เขาก็ยื่นมือไปจับเลย์แล้วเขย่า

    “ฉันชื่อลู่หาน มาจากดาวโลก”

    เขาเกือบทำให้ทั้งเซมีและแม่บ้านที่ยืนฟังอยู่หลุดหัวเราะพรืดออกมา แต่เซมีสะกิดแม่บ้านให้กลั้นไว้ สงสัยเธอกลั้นไม่ไหวจึงขอตัวและลากเครื่องดูดฝุ่นไปทำงานที่อื่นที่มันไกลๆแทน เลย์มองตามเครื่องดูดฝุ่นไปอย่างเศร้าใจเล็กน้อย เซมีแอบได้ยินแม่บ้านระเบิดหัวเราะออกมาจากระยะหลายเมตร

    คนนี้...ท่าจะรุนแรงกว่าเซฮุน

    “รู้จักกันหรอเซมี ลู่หาน” เสียงดังมาจากบันได เป็นเสียงซูโฮนั่นเองโดยที่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าประตูเดินตามมาด้วย ซูโฮเดินลงมาสมทบกับพวกเขา

    “เปล่าค่ะ เราไม่เคยรู้จักเขามาก่อน” เซมีตอบ

     ซูโฮยิ้มทักทายให้แขกอย่างใจดีก่อนจะแนะนำตัวและถามไถ่เรื่องอาหาร

    “ผมเพิ่งกินมาเมื่อกี้ครับ” เลย์ยิ้มตอบกลับไปเมื่อได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเจ้าของบ้าน “ไอที่เป็นแท่งยาวๆแล้วมีอะไรนุ่มๆแปะข้างๆน่ะครับ”

    “นั่นคงจะเป็นฮ็อทด็อก” ซูโฮแก้ไขให้ถูกต้องอย่างไม่ระแคะระคายอะไรเลย ทั้งๆที่เซมีกับลู่หานหยิกตัวเองแทบเป็นรอยแล้วตอนนี้ ซูโฮกล่าวต่อไป

    “จะมาพักที่นี่หรือ?”

    “ครับ แต่แค่ชั่วคราวเท่านั้นแหละ ผมไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ผมเดินทางมาโลกได้สองวันแล้วละครับ แต่ยังหาที่อยู่ที่เป็นหลักเป็นแหล่งไม่ได้เลยซักที แต่ผมว่าที่นี่น่าจะเป็นซักที่ที่ผมต้องการ” เขายิ้มให้ซูโฮและทุกๆคนอย่างดีใจ

    “ใครมาส่งครับ? หรือมีโน้ตอะไรให้ผมมั้ย?” ซูโฮถามอย่างชาญฉลาด เขาคงกำลังคิดว่าคนแบบนี้จะต้องถูกส่งมาโดยบางคนที่รู้ว่าเขาทำอะไรอยู่ คนๆนี้อาจจะไม่ใช่คนปกติทั่วไป อาจจะเป็นพวกพิสดารเหมือนคนที่อยู่ในปราสาทหลังนี้

    “ผมมาคนเดียวครับ” เลย์ตอบชัดเจน “ผมบินข้ามกาแล็คซี่มาที่โลกคนเดียวครับ”

    คราวนี้ซูโฮยิ้มแต่เป็นรอยยิ้มที่ดูไม่ชัดเจนเท่าไหร่เพราะเขากำลังใช้สมองคิดอย่างรวดเร็ว ว่าใครจะเป็นคนส่งคนแบบนี้มาให้เขากันแน่

    “มีใครกำลังพูดถึงกาแล็คซี่หรือเปล่า?” เสียงคริสดังมาจากข้างหลัง เขาเพิ่งเดินเข้าประตูมาและตรงมาที่พวกยืนสนทนากันอยู่ “แล้วนี่ไม่มีใครเฝ้าประตูหน้าปราสาทเลยหรอไง ทำไมฉันไม่เห็น อ้อ นายอยู่นี่เอง”

    “ครับ ผมกำลังจะไปครับท่าน” เจ้าหน้าที่โค้งให้และรีบเดินอ้อมไปที่จุดทำงานของตน

    คริสหันมาถามทุกๆคนต่อ  “ใครกำลังพูดถึงกาแล็คซี่หรอ” พร้อมกวาดตามองไปรอบๆจนสังเกตเห็นเลย์ “แล้วนี่ใคร? คนใหม่? แหม่...ช่วงนี้เด็กเข้าใหม่เยอะจังเลยนะซูโฮ ดังใหญ่แล้วนาย”

    “ไม่ใช่ของนายหรอคริส?” ซูโฮกลับปฏิเสธและเขาทำให้คริสที่งงอยู่แล้วงงขึ้นไปอีก

    “หมายความว่าไง?”

    “ฉันนึกไม่ออกเลยว่าใครส่งเด็กคนนี้มา”

    คริสมองไปที่เลย์อย่างพิจารณาเล็กน้อยก่อนส่ายหัว “ฉันไม่คุ้นหน้าเลย”

    “ผมมาคนเดียวจริงๆครับ” เลย์ยืนยัน “ผมบินมาคนเดียวจริงๆ ถึงก่อนหน้านั้นจะมีวิ้งกี้มาคอยส่งผมและบินตามอยู่พักนึงก็ตาม แต่สุดท้ายเธอก็กลับไปที่ดาว”

    เซมีเบิกตากว้างพอๆกับไข่นกกระจอกเทศ

    จะ-จะอาการหนักเกินไปแล้ว แบบนี้คุยไม่รู้เรื่องแน่

    “นายกำลังจะบอกว่านายคือ คนที่มาจากดาวดวงอื่น?” ลู่หานกำลังทบทวน เซมีหันขวับไปมองลู่หาน เขากำลังจะทำอะไร  

    “ใช่สิ” เลย์ทำหน้าเหมือนอย่างนั้นจริงๆ “ผมมาจากดาวเนเวอร์แลนด์ บอกไปแล้วไง”

    “ที่..ที่ๆมี...” ลู่หานเริ่มไม่แน่ใจ “ที่มีปีเตอร์แพนอยู่น่ะนะ?”

    “ใช่สิ ก็ผมนี่ไงปีเตอร์แพน” เลย์ทำหน้าเหมือน ให้ตายเถอะ นี่โง่หรือยังไงถึงคิดไม่ได้

    “เอ่อ..แล้ว” ลู่หานยังจะต่อ “วิ้งกี้คือ...”

    “ทิงเกอร์เบลไง” เลย์ตอบแทบจะทันที

    เกิดความเงียบอยู่ประมาณจะเกือบๆหนึ่งนาที ก่อนที่คริสจะดับมัน

    “นายบินข้ามกาแล็คซี่มาจริงๆดิ?”

    “ครับ” เลย์หันไปตอบ “ผมใช้เวลาบินจากดาวข้ามกาแล็คซี่ได้สามชั่วโมง แต่นั่นแหละ ผมเหนื่อยมาก ผมเลยหยุดที่ดาวนาแม็ก และคนที่นั่นก็ช่วยเปิดช่องมิติพาผมมาที่โลกภายในหนึ่งนาที ผมโชคดีมากเลยนะครับ ไม่งั้นผมต้องบินเต็มๆเจ็ดชั่วโมงเลย” เลย์ทำหน้าเหมือนเหนื่อยมากจริงๆ

    “งั้นนายบินให้ดูหน่อยสิ” คริสต่อ ซึ่งดูเหมือนทุกคนก็กำลังลุ้นอยู่ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดละ

    “ได้เลย” เลย์บอกพลางถีบตัวเองขึ้นไปล่องลอยในอากาศก่อนจะฉวัดเฉวียนโฉบไปโฉบมาบนหัวทุกคนเพื่อแสดงให้ดู

    เขาบินได้จริงๆ!!

    เซมีถึงกับขยี้ตาตัวเองแรงๆและจ้องดูอีกที เลย์บินได้จริงๆ

    ชานยอลกับแบคคยอนที่เพิ่งออกมาจากห้องครัวพร้อมกับเสียงสำราญใจในความอิ่มก็หยุดกึกและมองร่างของเลย์ที่กำลังเหยียดตัวนอนตะแคงกลางอากาศ เขาส่งยิ้มและโบกมือให้ชานยอลที่กำลังอ้าปากข้างในมือยังถือป็อปคอนกล่องใหญ่สำหรับกินทั้งครอบครัว แบคคยอนดูท่าทางหวาดผวานิดๆ

    เลย์บินลงมาข้างๆเซมีโดยที่มีทุกสายตาจับจ้อง

    “อยากลองบินกับฉันมั้ย ฉันรู้ว่ามนุษย์โลกบินไม่ได้” เขาฉีกยิ้มให้เธอ ก่อนจะจับมือดึงเธอเข้ามาและอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขน เซมียังไม่ทันได้ตอบ สมองยังไม่ทันได้รับรู้ว่ากำลังจะทำอะไร รู้ตัวอีกทีเมื่อลอยละล่องอยู่เหนือหัวทุกคนแล้ว เซมีเกาะเลย์แน่นเธอทั้งตกใจและตื่นเต้นพร้อมๆกันจนแสดงออกมาเป็นเสียงหัวเราะหึหึแปลกๆ เลย์เห็นเธอเกร็งจึงยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะพาเธอบินออกไปนอกปราสาทและพุ่งขึ้นฟ้าด้วยความเร็วสูง เซมีกรีดร้องด้วยความตื่นเต้นและตื่นตกใจ จากนั้นเลย์ก็ปล่อยตัวทิ้งดิ่งลงมาด้วยความเร็วที่ทำให้น้ำตาเซมีไหล ก่อนจะบินกลับเข้าไปในปราสาทและวางเธอลงที่เดิม ทุกๆคนต่างมองด้วยท่าทางที่ตกตะลึง เซมีหอบหายใจจนตัวโยน

    “ส-สุดยอด!!” เธอโพล่งออกมาในที่สุด “พี่ลู่หาน! น่าจะลองนะค่ะ”

    “ดะ-ได้หรอ?” ลุ่หานตกใจและหันไปจ้องเลย์ เลย์ไม่พูดอะไรออกมาแต่กลับดึงแขนลู่หานเข้ามาหาและอุ้มเขาเหมือนที่อุ้มเซมีก่อนจะบินพาออกไปเจอเรื่องหวาดเสียวข้างนอกนั่น

    พวกเขาได้สมาชิกเพิ่มมาอีกหนึ่งคน และเป็นคนที่มาจากดาวดวงอื่นอีกด้วย!

     

    เมื่อทุกคนทานอาหารเย็นเสร็จโดยหัวข้อสนทนาคือเรื่องของเลย์ เลย์เล่าเรื่องบนดาวของเขาให้ทุกๆคนฟังและทุกคนก็ดูสนใจอยากรู้อยากเห็นมาก เพราะมันทำให้ความฝันในช่วงวัยเด็กของเขาเป็นจริงขึ้นมา เซฮุนชอบเลย์มากจนเขาต้องขอแลกที่นั่งกับเฉินเพื่อจะได้นั่งข้างๆเลย์

    และเมื่อทุกคนแยกย้ายไปตามห้องตัวเองแล้ว แบคคยอน เฉินก็เข้ามาเสวนากันต่อที่ห้องของชานยอล

    “นึกว่าจะเป็นคนสมองเลื่อนลงไปในไส้ติ่งเหมือนเซฮุนซะอีก” แบคคยอนกล่าวพลางยิ้มขำ แต่เขาก็ชอบเลย์เพราะเลย์ใจดียอมให้พาเขาบินเป็นรอบที่สาม

    “ฉันว่าเขาเป็นนะ” ชานยอลเอ่ย สีหน้าดูไม่พอใจนัก

    “เป็นอะไร” เฉินถาม “เป็นปีเตอร์แพนหรอ?” แบคกับเฉินระเบิดหัวเราะพร้อมกันแต่ชานยอลได้แค่ยิ้มบางๆ

    “โอ๊ะๆ” แบคคยอนเหล่ตามองชานยอล “หรือว่าจะเป็น...เป็นคนที่อุ้มเซมีบินข้ามกาแล็คซี่ไปกันละ?” และแบคกับเฉินก็ระเบิดหัวเราะอีกครั้งอย่างน่าเกลียด หูชานยอลเริ่มเปลี่ยนสี เขาอมยิ้มนิดๆ

    “อะไรของพวกนาย” ชานยอลพยายามทำสีหน้าให้ดูปกติที่สุด

    “อย่าๆ” เฉินรีบแทรก “อย่ามาทำ อะไรของพวกนาย ฉันมองตานายก็รู้แล้วชานยอล”

    “นั่นสิ” แบคคยอนเสริม “พอเริ่มพูดฉันก็เริ่มสังเกตและมันก็จริงๆด้วย”

    “ฉันไม่รู้ว่าพวกนายกำลังพูดเรื่องอะไร” ตอนนี้เขาชักจะไม่แน่ใจแล้วจริงๆ

    “ก็ที่นายแอบชอบเซมีไง!” เฉินตอบชัดๆเน้นๆ จนชานยอลสะดุ้งและเริ่มหน้าแดงเขาส่ายหน้ารัว เหมือนตกใจกับคำพูดของเฉินมาก

    “บ้าหรอ!” เขารีบปฏิเสธ “ฉันไม่ได้-

    “แล้วนายจะหึงจะหวงเธอทำไม” แบคคยอนย้อนทันที

    “ก็...” เขาเริ่มคิด “ก็เธอเป็นผู้หญิง แล้วก็เป็นเพื่อนฉันด้วย!

    “แค่นั้นจริงๆหรอ?” แบคคยอนจ้องเข้าไปในตาชานยอล ชานยอลจ้องกลับไปแบบไม่หลบสายตา และตอนนี้หน้าเขาก็หายแดงเขินมาเป็นแดงจริงจังจนจะกลายเป็นโมโห

    “ฉันก็หวงเพื่อนของฉันเป็นธรรมดา” เขาบอก “ฉันอาจจะรู้สึกกับเซมีมากไปหน่อย...แต่ไม่ได้หมายถึงแบบนั้นนะ!” เขารีบพูดเมื่อเห็นสายตาของเฉินที่เหล่มา “ฉันหมายถึงฉันรู้สึกกับเซมีเหมือนที่รู้สึกกับดีโอน่ะ”

    แบคคยอนอ้าปากกว้าง “นี่นาย...เป็นเกย์หรอ”

    ชานยอลขว้างหมอนใส่หน้าแบคเต็มแรง

    “ไปกันใหญ่ละ” ชานยอลว่า “ทำไม? นายกลัวจะไม่มีเพื่อนเป็นเกย์เหมือนนายหรือไง?”

    เฉินระเบิดหัวเราะทันที แบคถลึงตาใส่ชานยอลก่อนจะโต้กลับไป “ที่ฉันถามเพราะอยากรู้เฉยๆเว้ย” เฉินหัวเราะเสียงดังขึ้นไปอีก แบคคยอนต่อ “แล้วไอความรู้สึกที่มีให้ดีโอนี่มันไม่แปลกๆหรอไง!” เฉินยังคงหัวเราะเสียงดัง แบคยังคงพูดต่อไป “พูดออกมาได้นะ ไอความรู้สึกกับดีโอเนี่ย มันเป็นผู้ชายนะนั่น แล้วแกจะหยุดหัวเราะได้หรือยังไอโหนกอูฐเดินได้”

    เฉินหยุดแต่ชานยอลหัวเราะต่อทันที “แกว่าใครเป็นโหนกเดินได้”

    “เปล่า” แบคปฏิเสธ “ฉันว่าเป็น โหนกของอูฐ เดินได้ต่างหาก”

    แล้วทั้งสองก็เริ่มปาหมอนใส่กันโดยที่มีชานยอลหัวเราะจนท้องแข็ง

     

     

    ในเวลาต่อมา ที่นอกปราสาท

    เซฮุนกำลังเดินชมดอกไม้ใบหญ้าอย่างมีความสุข ก่อนจะหยุดกึกและหลับตาลงเหมือนโดนอะไรทิ่มตา  เพราะจู่ๆก็มีแสงสว่างวาบผ่านเข้ามาในสมองจนมันสั่งให้ตาหลับลงทันทีทั้งๆที่ความจริงแล้วไม่ได้มีแสงวาบแบบนั้นเลย เซฮุนหลับตาปี๋รอคอยเวลาที่แสงหายไปจะได้ลืมตาเสียที แต่...เมื่อแสงนั่นวูบจางลงไปกลับเห็นภาพบางอย่างที่เลือนลางจนมองแทบไม่ออกว่าคืออะไร เซฮุนพยายามจะมองและเมื่อภาพมันชัดขึ้นเขาก็ต้องสะดุ้งเฮือกจนเผลอลืมตาขึ้นมา เขาเซจนเกือบจะล้มลงไปกองบนพื้น หายใจหอบเหงื่อผุดบนหน้าผากเขาเต็มไปหมด ไม่ผิดแน่ นั่นมัน...

    “มาทำอะไรดึกๆดื่นๆป่านนี้”

    เซฮุนหันขวับไปมองต้นเสียง คริสนั่นเอง เขาเดินทอดน่องอย่างสบายใจตรงมาที่เซฮุนและเมื่อเห็นอาการตื่นตระหนกของลูกชายตัวเอง

    “เป็นอะไรน่ะ” คริสรีบถามด้วยสีน้ำเสียงที่เจือความเป็นห่วงเล็กน้อยที่แทบจะสัมผัสไม่ได้เลย นื่คือครั้งแรกในรอบหลายปีที่พวกเขาสองคน เจอหน้ากันจะๆแค่สองคน

    “เอ่อ..ผม” เซฮุนไม่รู้จะบอกเขาดีมั้ย เขาเห็นอะไรที่น่ากลัวเข้าซะแล้ว “ผม...ผมมาเดินดูดอกไม้ แล้วก็...ก็” เขามองไปที่คริสและเห็นว่าคริสกำลังตั้งใจฟังเขาอยู่ทำให้เขายิ่งไม่อยากพูดออกไปเพราะว่ามันกดดันและทำให้เกร็งมาก “ผม...ตกใจเสียง...เอ่อ เสียง...”

    “เสียงของฉันหรอ?” คริสทำหน้าเข้าใจและยิ้มทันที “ขวัญอ่อนนะนายเนี่ย ฉันเองก็ออกมาเดินเล่นเหมือนกัน แต่ฉันไม่ได้มองพื้น ฉันชอบมองท้องฟ้า” เขาแหงนหน้าขึ้นมองดวงดาวที่ส่องระยิบระยับบนนั้น “ฝันว่าซักวันไปจะเที่ยวไปทั่วกาแล็คซี่เลย กาแล็คซี่น่ะ น่าทึ่งออก ว่ามั้ย?”

    “เอ่อ...ครับ” เซฮุนพยายามปัดเหงื่อออกไป “ผมว่า...สะ-สวยดี”

    “ใช่มั้ยละ” คริสเห็นด้วย “ฉันละอิจฉาเลย์จริงๆ บินข้ามกาแล็คซี่ได้ด้วย ถ้าฉันเป็นเขานะ ฉันก็คงเที่ยวไปดาวนู้นดาวนี้จนไม่ได้กลับบ้านแน่ๆ” และเขาก็หัวเราะในลำคออย่างพอใจกับความคิดของตัวเอง

    “มาเดินเล่นนานหรือยัง?” คริสหันมาถามเซฮุน

    “เอ่อ...สักพักแล้วครับ”

    “งั้นหรอ” เขาหรี่ตามองเซฮุนก่อนจะตั้งคำถาม “นายอยากจะมีพี่น้องกับเขามั้ยเซฮุน?”

    “ครับ?” เซฮุนไม่แน่ใจว่าคริสพยายาจะบอกอะไรเขา “เอ่อ...”

    “นายชอบเซมีมั้ย?” คริสเปิดคำถามใหม่แทน

    “ก็...ชอบครับ” เซฮุนก็ยังไม่เข้าใจว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร

    “นั่นสินะ...” แล้วคริสก็พึมพำอะไรไม่รู้กับตัวเองซึ่งเซฮุนจับใจความไม่ได้ ไม่นานเขาก็แหงนหน้ามองขึ้นฟ้าแล้วพูดลอยๆ “สวยจริงๆ...กาแล็คซี่...”

    เซฮุนที่กำลังมองดูพ่อตัวเองอย่างไม่เข้าใจอยู่นั้นไม่ได้สังเกตเลยว่ามีผู้หญิงคนนึงเดินเข้ามาพวกขาจนกระทั่ง

    “ขอโทษนะค่ะ” เธอกล่าวเรียกทั้งสองคนให้หันมาทางเธอ เธอเป็นผู้หญิงที่อยู่ในช่วงรุ่นราวประมาณสามสิบ เธอสวมแจ็คเก็ตหนังสีดำเสื้อข้างในก็สีดำและเอวลอยนิดๆโชว์พุงอันเรียบแบน ใส่กางเกงขายาวรัดรูปสีดำอีก รองเท้าส้นสูงที่ค่อนข้างจะมีแฟชั่นนั้นก็สีดำเช่นกัน แล้วเธอก็ยังสวมแว่นดำอีกต่างหาก ดูไม่ออกเลยว่าหน้าตาเป็นยังไงแต่ที่รู้ๆกันอยู่จะๆคือหุ่นเธอดีมาก เหมือนจะเห็นกล้ามเนื้อน้อยๆตรงหน้าท้องด้วย

    “ที่นี่ใช่ปราสาทของคุณซูโฮหรือเปล่าคะ?” เธอถามพลางหันไปมองทั้งสองคนสลับไปมา คริสกำลังจะตอบแต่เขาก็ต้องหยุดดูเซฮุน เมื่อเซฮุนนั้นมีอาการแปลกๆคือทำหน้าตกใจกลัวเมื่อเห็นผู้หญิงคนนี้ ตาเบิกกว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ และไม่นานเขาก็วิ่งตรงไปยังปราสาทด้วยความเร็วที่ไม่ธรรมดา คริสหันไปมองผู้หญิงเสื้อดำที่กำลังงุนงงแต่เก็บอาการได้อย่างดีตรงหน้า เธอรอให้คริสอธิบายอย่างรู้ดี

    “ลูกผม...” คริสเริ่มจะระวังตัว เขารู้สึกได้เลยว่าเธอคนนี้ไม่ใช่เล่นๆ “ลูกผมเป็นประสาทน่ะ อย่าใส่ใจเลยครับ แล้วก็...ใช่ครับ ที่นี่เป็นปราสาทของซูโฮและ...ปราสาทของคริสด้วยครับ”

    “อย่างนั้นหรือค่ะ แสดงว่าฉันมาถูกที่แล้ว” เธอยิ้มแต่ก็ดูเหมือนเป็นแค่การยิ้มตามมารยาท

    “แล้วคุณเป็นใครครับ?”

    “ฉันหรอ...” เธอทำเหมือนนึกขึ้นได้ว่าลืมแนะนำตัวก่อนจะถอดแว่นเผยให้เห็นดวงตาที่แหลมคมและเหมือนถ้าสบตาเพียงครั้งเดียวแล้วจะทะลุถึงข้างในได้ ยอมรับเลยว่าเธอค่อนข้างจะสวยและอ่อนกว่าวัยมากถึงแม้จะมีรอยย่นบนในหน้าให้เห็นจางๆแล้วก็ตาม “ฉันคือ...”

     

    เซฮุนวิ่งหน้าตั้งชนกับใครต่อใครโครมครามโดยที่ไม่ได้ขอโทษหรือหันไปมองเลย เขาวิ่งขึ้นชั้นบน ผ่านชั้นสอง ตรงไปทางห้องเซมี และ ผ่านห้องเซมีกระโจนเข้าห้องชานยอลแทน เขาหยุดวิ่งและมองคนข้างในด้วยสีหน้าที่ตกใจและเหนื่อยล้าสุดๆ

    “ผีหรืออะไรอีกละคราวนี้” แบคคยอนเอ่ยขึ้นเมื่อเขาเห็นเซฮุน “หรือผีเสื้อ?”

    ชานยอล แบคคยอน และ เฉินหัวเราะอย่างสนุกสนาน เซฮุนไม่ร่วมด้วยเขาบอกทุกคนด้วยเสียงอันสั่นเทา

     “พี่แบค...แม่พี่มา...”

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×