คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : สิ่งลึกลับและ...
คุณนายโฮซึ่งเป็นเจ้าของหอพักหลังนี้เพิ่งกลับมาจากปารีสได้ไม่ถึงวันก็ต้องประสบพบเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเข้า นั่นก็คือหอพักของคุณนายโฮตอนนี้ได้กลายเป็นสถานที่ที่มีคนผูกคอตายบนเพดานหรือโดนฆ่าไปซะแล้ว
ยังดีที่ตอนนี้ทางกองสืบสวนสอบสวนที่รับคดีนี้อยู่ยังไม่อนุญาตให้นักข่าวเข้ามาทำข่าวถึงที่เกิดเหตุ เพราะอาจจะทำให้ร่องรอยและเบาะแสของคนร้ายเสียหายได้
โด ดีโอ หรือนักสืบหลักของทีมสืบสวนสอบสวนพยายามหาตัวคนร้ายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะยิ่งสืบนานเท่าไหร่คนร้ายอาจจะหนีไปไกลได้เท่านั้น
ซินเว คู่หูฝีมือดีของดีโอเองก็ตั้งใจทำงานถึงแม้ร่างกายของเธอจะอ่อนแอกว่าเขามาก แต่งานชิ้นนี้ดูเหมือนไม่ได้ง่ายและซับซ้อนกว่าที่คิดเอาไว้
ถ้าเดาจาตาเห็นบอกได้ทันทีว่าการแขวนคอนั้นคือการฆ่าตัวตายแต่เมื่อได้ลองสัมผัสและค้นหาความจริงไปเรื่อยๆปรากฏว่าศพนั้นไม่ได้ตายเพราะโดนเชือกรัดจนหายใจไม่ออกแต่ตายเพราะจมน้ำแทน
ไม่ว่าสาเหตุของการตายจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจนั้นยังไม่ทราบ แต่ที่รู้แน่ชัดตอนนี้คือมีผู้ส่วมรู้ร่วมคิดแน่นอน...
คนตายไปแล้วไม่สามารถลากร่างตัวเองมาแขวนคออีกทีได้หรอกจริงไหม...
เจ๊แบคเดินนำคุณนายโฮและพรรคพวกขึ้นมายังชั้นที่เกิดเหตุ เธอก้าวยาวๆด้วยความรีบเร่งเพราะสีหน้าคุณนายโฮตอนนี้แทบจะปะทุเป็นวาลาจากภูเขาไฟอยู่แล้ว ระหว่างทางที่เดินมานั้นคุณนายโฮคอยส่งเสียงเร่งๆบอกให้ว่องๆจนเจ๊แบคแทบจะออกตัววิ่งอยู่แล้ว
“ถึงแล้วค่ะ!” ในที่สุดก็ถึงที่หมาย เจ๊แบคชี้ไปที่ห้องเกิดเหตุอย่างเหนื่อยอ่อน และในห้องตอนนี้มีเจ้าหน้าที่กำลังทำงานอยู่บางส่วน ตรงทางเข้ามีเทปเหลืองดำกั้นและสั่งห้ามไม่ให้คนนอกเข้า แต่นางหาสนใจไม่
คุณนายโฮก้มศรีษะลงและพาตัวเองเข้าไปในห้อง เจ้าหน้าที่ตรงเข้ามาเพื่อจะห้ามทันที
“ดิฉันเป็นเจ้าของหอพักนี้” เธอตอบกลับไปก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเอ่ยปากด้วยซ้ำ “ดังนั้นฉันมีสิทธิ์จะเดินไปไหนมาไหนก็ได้ในบ้านตัวเอง...จริงไหม?” เจ้าหน้าที่มองหาเพื่อนเพื่อช่วยออกความคิดเห็นและในที่สุดก็ยอมให้คุณนายโฮกับบอดี้การ์ด จงอิน จงแดของเธอเข้ามา
“ห้องนี้หรือที่คนชื่อบุษบาอะไรนั่นฆ่าตัวตาย?” คุณนายโฮทวนให้ตัวเองพลางมองขึ้นที่พัดลมติดเพดาน “นังคนที่ทำให้หอฉันเสื่อมเสียมันห้อยคอลงมาจากพัดลมนั่นน่ะนะ?” คุณนายโฮเริ่มโมโห “จะตายทำไมแกต้องตายที่นี่ยะ!” เธอกระทืบเท้าเปล่าๆของตัวเองลงพื้นตึงตัง “แล้วนั่นอะไร?!” เธอหมายถึงเตียงที่อยู่ผิดที่ผิดทาง
ก่อนหน้านี้นักสืบดีโอค้นพบว่ามีทางลับซ่อนอยู่ใต้เตียง จึงตัดสินใจยกเตียงออกและลงไปสำรวจข้างใต้นั่น
จงแดเดินไปดูประตูลับบนพื้นห้องนั่นและมันกำลังเปิดอ้าอยู่ จงแดเดินไปสำรวจอย่างไม่นึกกลัวอะไรในขณะที่จงอินยืนนิ่งอยู่ข้างหลังคุณนายคอยสังเกตการณ์เงียบๆ...
“มันเป็นทางลับครับท่าน” จงแดบอก
“บอกให้เรียกคุณนายไงอีอูฐ!” คุณนายโฮตวาดกลับไปจนเจ้าที่สองสามคนหันมามอง เธอกระแอมเสียงดังเชิงบอกว่าฉันจะตะโกนแล้วยังไง? “ทางลับไปไหนหรือ?” เธอถามต่อ
“สงสัยมันเชื่อมกับห้องเก็บของบนเพดานของห้องข้างล่างนี่ครับ...คุณนาย” จงแดบอกอย่างระมัดระวัง
“ตายจริง...” คุณนายโฮยิ่งหงุดหงิดขึ้นไปอีก “ทำไมฉันถึงไม่รู้ทางลับตรงนี้กันล่ะ? ไหนคุณทวดบอกว่าจะยกหอพักหลังนี้ให้และจะบอกทางลับที่ซ่อนอยู่ที่ทุกรูล่ะ! ถ้างั้นคุณทวดก็เป็นโกหก!” เธอบ่นกับตัวเองเหมือนเด็ก “แต่ช่างมันเถอะ เรื่องที่สำคัญตอนนี้คือพวกเธอ!”
คุณนายโฮหันไปเหวใส่กลุ่มเจ๊แบคและเจ๊ลู่ต่อ พวกนางยืนมองเหตุการณ์อยู่เงียบๆนอกห้อง เป็นไปไม่ได้ก็ไม่อยากเข้าไปสัมผัสหรือรับรู้อะไรอีกแล้ว...
“บอกฉันมาเดี๋ยวนี้ว่ามันอะไรขึ้นและเกิดขึ้นยังไง?” คุณนายโฮย่องไปใกล้ๆพวกเธอเหมือนพรานป่าจ้องจะยิงกวางน้อย “ทำไมพวกเธอถึงเจอเป็นกลุ่มแรกและทำไมถึงรู้ทั้งๆที่ห้องนี้มันปิดตาย...แถมฉันยังได้ข่าวมาว่าพี่ยามทำกุญแจห้องนี้หายอีกด้วย อธิบายมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
เจ๊เทากับเจ๊หมินแข่งกันสะกิดแขนว่าใครจะเล่าก่อน ส่วนเจ๊แบคก็มองหน้าเจ๊ลู่พลางถอนหายใจ
“ฉันจะเล่าเอง” เจ๊แบคกล่าวเหนื่อยๆพลางส่งสายตาที่บ่งบอกว่า .อีพวกไร้ประโยชน์. ไปให้เจ๊หมินกับเจ๊เทา “บังเอิญว่าเจ๊ลู่มันนอนข้างห้องนี้พอดี คืนนั้นมันหลับและฝันว่าเจอคนผูกคอตายในห้องนี้ ตื่นเช้ามาพวกเราเลยกะจะเข้าไปดู แต่มันดันล็อคและเคาะเท่าไหร่ก็ไม่มีใครออกมาเปิดประตู ตอนนั้นเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่ยามทำกุญแจสำรองหาย แต่ที่พวกเรารู้ว่ามีคนผูกคอตายในนั้นจริงๆก็เพราะเรามีผีน่ะ”
เล่าถึงตรงนี้ทุกคนอย่างกลั้นหายใจและจ้องคุณนายโฮเขม็ง ไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมายกเว้นเสียงจงแดที่พยายามกลั้นหัวเราะเพราะเขากำลังคิดว่าเรื่องนี้มันไร้สาระสิ้นดี... แต่คุณนายโฮกลับเชื่อและพยักหน้าบอกให้เจ๊แบคเล่าต่อ เจ๊หมินกับเจ๊เทาก็มองหน้ากันงงๆ ทำไมคุณนายโฮถึงเชื่อเรื่องผีสางนางไม้ได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ?
“คือผีตัวนี้” เจ๊แบคเล่าต่ออย่างไม่แน่ใจ “ทะลุเข้าไปในห้องและออกมาบอกเราว่ามีคนตายจริงๆ เราจึงรีบโทรศัพท์หาตำรวจและพังประตูเข้าไป จากนั้นก็เจอศพจริงๆ...”
จงแดที่พยายามกลั้นหัวเราะอยู่เงียบลงกะทันหันเพราะหน้าคุณนายโฮซีดเผือดไปแล้ว แถมเธอยังทำท่าเหมือนจะเป็นลมเป็นแล้งตัวอ่อนผิดปกติ จงอินเขยิบเข้ามาใกล้โดยอัตโนมัติ
ระหว่างนั้นเองเสียงกรีดร้องของหญิงสาวคนนึงก็ดึงขึ้นมาจากชั้นล่างและมันเป็นเสียงของซินเวนั่นเอง ระหว่างที่เธอกรีดร้องอยู่นั้นคนข้างล่างก็เหมือนจะวุ่นวายหาที่ซ่อนกันตุงตังหรือกำลังทำท่าที่พร้อมจะสู้กับอะไรบางอย่าง
ประตูลับที่เปิดอยู่ยิ่งทำให้เสียงของห้องชั้นล่างดังขึ้นมาจนชั้นบนได้ยินชัดเจน
“กล้าดียังไง!!” เป็นเสียงผีฮุนนี่กรีดร้องตามมา “กล้าดียังไงมากอดผีผู้ชายยะ!! คนก็อยู่ส่วนคนสิยะมายุ่งไรกับผี!!!”
ตึง!
เสียงคนล้มตึงไปต่อหน้าต่อตาเจ๊แบค
จงอินรับร่างของคุณนายโฮไม่ทันเพราะมัวแต่ตกใจกับเสียงกรีดร้องกับเสียงอันเย็นเยือกของอะไรบางอย่าง คุณนายโฮล้มลงพื้นและหัวกระแทกจนเลือดไหล เจ๊ลู่กรีดร้องเมื่อเห็นเลือด ส่วนเจ๊แบครีบถลาเข้าไปในห้องด้วยท่าทางที่อุจอาด เธอฉีกเทปที่กั้นทางเข้าออกไปเป็นชิ้นๆ ก่อนวิ่งไปและกระโดดลงตรงทางลับและคลานไปโผล่ที่ห้องชั้นล่าง
ที่ห้องชั้นล่างตอนนี้วุ่นวายจนเจ๊แบคไม่รู้จะมองตรงไหนก่อนดี แต่ที่รู้คือสาเหตุมันมาจากผีฮุนนี่ล้วนๆ มีเด็กสองคนนอนสลบคาพื้นห้อง เจ้าหน้าที่หลายคนหวาดผวาและพยายามหาที่ซ่อนตัวไม่ก็กอดกันกลมดิ๊ก
สภาพของผีฮุนนี่ตอนนี้ม่วงไปทั้งตัว ม่วงเหมือนทิงกี้วิงกี้ในเทเลทับบี้เลยก็ว่าได้
“อีฮุนหยุดนะ!” เจ๊แบคเข้าไปขวางฮุนนี่ไว้ มันกำลังจ้องซินเวด้วยความอาฆาตแค้นอย่างหนัก “มึงนี่สติไม่อยู่แล้วหรอ! อ่อ! ลืมไปว่ามึงตายแล้ว แต่เดี๋ยวก่อน! ตายแล้วสติก็ยังมีได้นี่หว่า อีฮุน สติโว้ยสติ!” เจ๊แบคกำลังจะตบหน้าฮุนนี่แต่นางกรีดร้องซะก่อน
กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ
เจ๊แบครีบดึงมือกลับมาอุดหูตัวเองไว้ เจ้าหน้าที่สองสามคนกรีดร้องตามๆกันมาบางคนก็หมดสติไป
“หยุดนะฮุนนี่!” เสียงเจ๊เทามาแต่ไกล นางเพิ่งหย่อนตัวลงมาจากเพดาน “ฮุนนี่นี่ไม่ใช่ตัวเธอเลยนะ! หยุดนะ!”
เจ๊เทาพยายามแหวกเสียงอันทรงพลังของฮุนนี่เข้าไป มันไม่ได้มาแค่เสียงนี่สิ มันมีลมแรงพัดมาจากไหนก็ไม่รู้ด้วย เจ๊เทาก้าวเท้าไปข้างหน้าด้วยความลำบากแต่ดีที่ได้เจ๊แบคยื่นมือมาช่วยดึงตัวไปได้
กร๊าซซซซซซซซซซซซ
ฮุนนี่ยังไม่หยุดกรีดร้อง แต่พอเจ๊เทาเข้าไปตบปาก
เพี๊ยะ!!
สติของฮุนนี่ก็กลับมาอีกครั้ง...ตัวสีม่วงจางหายไปกลับกลายเป็นสีคนธรรมดาๆ... ท่าทางเธอเองก็ตกใจกับเหตุการณ์ในครั้งนี้เช่นกัน
“ฉัน...” ฮุนนี่มองมือตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ “ฉันเป็นเวอร์ชั่นเฮี้ยนไปแล้ว...” น้ำตาเธอแทบไหล “ฉัน...ฉันไม่ได้ตั้งใจ” เธอมองไปทางร่างของหญิงสาวที่กำลังมองเธอย่างหวาดกลัว “ฉันขอโทษนะซินเว...คือมันไม่ใช่ตัวฉันเลยน่ะ...มันเหมือนโดนควบคุม...ฉัน...ฉันขอโทษ!!” แล้วเธอก็ร่อนเหมือนจรวดออกไปจากห้อง เจ๊เทากับเจ๊แบครีบวิ่งตามไปทันที...
“มันคงจะเป็นเพราะกล่องสมบัตินั่น” เสียงทุ้มต่ำของใครบางคนเข้ามาในหูของซินเวอีกแล้ว...และมันอยู่ใกล้เธอมาก “ที่แห่งนี้มีกล่องสมบัติในตำนานที่ซ่อนอยู่” เสียงนั่นว่าต่อ “มันจะส่งพลังงานมารบกวนผีละแวกนี้ บางตนก็พลังงานหมดจนปรากฏตัวออกมาเป็นรูปร่างไม่ได้ บางตัวก็เฮี้ยนหรือเพี้ยนเหมือนเมื่อกี้” เสียงนั่นหัวเราะเบาๆ “น่าสงสารผีฮุนนี่นะ เธอโดนทั้งสองแบบเลย... แต่มันไม่ได้ผลกับฉันหรอก ก็ฉันมันแกร่งกว่าใคร” เสียงที่ดูลุ่มหลงในตัวเองยังคงลอดผ่านเข้าหูของซินเว และเธอมั่นใจแล้วว่าไม่ใช่คน... ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นผีแต่เธอก็รู้สึกเหมือนไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดแถมยังรู้สึกคุ้นเคยอีกต่างหาก...
ดีโอพยายามอย่างมากที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้... เขากำมือแน่น...
เขาเห็นว่าคริสนั่นกอดซินเว เขาแทบจะเตะเขาให้กระเด็นไปเกิดใหม่แต่เขาไม่อยากจะเชื่อ... ยังไงก็ยังเชื่อไม่ลงที่ว่าคริสนั่นเป็นวิญญาณ...และยังเคยคุยกันมาแล้วด้วย ทุกคำพูดของคริสดีโอได้ยินหมด... ไม่ว่าจะก่อนหน้านี้หรือตอนนี้...
เขาไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้แต่ถ้ามันมาทำให้ซินเวเป็นอะไร เขาก็คงนิ่งเฉยแบบนี้ได้ไม่นานหรอก...
“ซินเว” ดีโอเดินไปจับข้อมือเธอไว้และทำเป็นมองไม่เห็นร่างของคริสที่ยืนชิดอยู่ข้างหลังเธอ เขาทำเหมือนคริสเป็นแค่อากาศ “ออกไปจากห้องนี้กันเถอะ ปล่อยให้เจ้าหน้าที่พาคนที่สลบไปรักษาให้หายก่อนแล้วค่อยกลับมาเก็บหลักฐานกันใหม่”
“เดี๋ยว...” แต่ซินเวยื้อไว้และเธอทำหน้าไม่แน่ใจ “คือ...นายไปก่อนได้มั้ย ฉัน...ยังอยากได้ยินอะไรบางอย่างอีก”
“อะไรนะ?” ดีโอต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อบังคับไม่ให้ส่งสายตาไม่พอใจไปทางคริสตรงนั้น “เธอได้ยินอะไร?”
“ไม่รู้สิ” ซินเวบอก “เหมือนมีคน...หรือมีอะไรพูดกับฉันอยู่...นายไม่ได้ยินหรอ?”
ไม่ใช่แค่ได้ยิน...แต่เห็นเลยต่างหาก ดีโอส่ายหน้าโกหกเธอไปและซินเวก็ทำหน้าผิดหวังเล็กน้อย
“ไปเถอะ เธอคงจะหูฝาดไปเอง” ดีโอลากแขนเธออีกครั้งแต่เธอก็ยื้อไว้อีกในขณะที่คริสแอบยิ้มน้อยๆอยู่ข้างหลัง
“นายไปเถอะฉันขออยู่ต่ออีกหน่อย”
“ไม่ได้!” จู่ๆดีโอก็ขึ้นเสียง ซึ่งทำให้ซินเวแปลกใจเล็กน้อยในขณะที่คริสหัวเราะออกมา
“นั่นไง!” ซินเวหันไปสนใจเสียงหัวเราะและหมุนตัวไปมองข้างหลังจากนั้นก็เอนไปข้างหน้านิดหน่อยในขณะที่ดีโอยังจับแขนเธอไว้ มันทำให้เธอกับคริสแทบจะแนบชิดกันอยู่แล้วถ้าไม่ได้มือดีโอดึงร่างเธอไว้...
คริสยิ้มพอใจและก้มมองร่างเล็กตรงหน้า...
“ทำอะไรของเธอ!” ดีโอรีบกระชากร่างเธอกลับมาและแรงด้วย ร่างเธอกระเด็นชนกับแผ่นอกของดีโอ และเขาใช้โอกาสนี้กอดเธอซะเลย
“อะไรเนี่ย” ซินเวยิ่งงงไปกันใหญ่ “ฉันไม่ได้จะเป็นลมซักหน่อย”
“ออกไปเถอะ...” ดีโอปล่อยเธอรีบๆก่อนจะดึงเธอให้เดินไปตามแรงลากเขาไป... แต่ก่อนจะออกไปจากห้องคริสก็พูดอีกครั้งว่า
“ดีโอนายไม่ต้องแสดงออกมากขนาดนั้นก็ได้ว่าหวงเธอน่ะ”
ดีโอชะงักและหน้าเจื่อนทันที เขารีบมองหน้าซินเวแต่ปรากฏว่าเธอเหมือนไม่ได้ยินที่เขาได้ยิน...
“ไม่ต้องห่วง” คริสยังแทรกต่อ “ฉันทำให้นายได้ยินคนเดียว...ใช่ตอนนี้ด้วย แต่เรื่องที่นายมองเห็นฉันนั้นฉันตั้งใจทำตั้งแต่ตอนแรกที่เข้ามาเลยล่ะ”
ดีโอไม่รอให้คริสพล่ามต่อเขาดึงร่างของซินเวออกไปจากห้องโดยที่ไม่ได้หันไปมองคริสเลยแม้แต่หางตา...
“อย่าหวงมากได้มั้ย” คริสบ่นพึมพำกับตัวเองพลางถอนหายใจไปด้วย “เธอเป็นคนสำคัญของฉันเหมือนกันนะ”
หลังจากที่จงอินแบกร่างของคุณนายโฮเพื่อออกไปโรงพยาบาลอย่างด่วนอยู่นั้น จงแดที่ตัดสินใจไม่ตามไปด้วยเพราะยังคิดข้อข้องใจหลายอย่างและเขามั่นใจว่าคุณนายโฮไม่ตายง่ายๆแน่นอน ขนาดพายุเข้าที่อเมริกาวันนั้นเจ้แกยังฝ่าไปช็อปปิ้งชุดชั้นในวิคตอเรียซีเคร็ดได้สบายๆ...
จงแดตัดสินใจยืนคุยกับเจ๊หมินและเจ๊เพื่อทำความเข้าใจและเรียบเรียงเหตุการณ์ต่างๆ ในขณะนั้นเองอี้ชิงก็สะกิดชานยอลให้เดินตามเขาลงไปชั้นล่าง...
ชานยอลเดินตามหลังเพื่อนไปเงียบๆพลางนึกสงสัยว่าอี้ชิงมีอะไรจะพูดกับเขา...
“เราต้องบอกให้แบมแบมกับแจ็คสันปิดปากเงียบเรื่องที่เราเล่นซ่อนหา” อี้ชิงพูดเมื่อทั้งสองมาถึงชั้นล่างที่ไร้ผู้คน “ไม่งั้นพวกเขาจะสงสัยเราได้นะชานยอล”
ชานยอลเบิกตากว้างด้วยความตกใจ... ทำไมจู่ๆอี้ขิงถึงพูดเหมือนว่าพวกเขาเป็นฆาตกรที่ฆ่าบุษบาซะงั้นล่ะ? ทำไมอี้ชิงถึงทำหน้าจริงจังจนเขาคิดไม่ออกเลยว่านี่คือการล้อเล่นจริงๆ...
“นายล้อเล่นใช่มั้ย?” ชานยอลยังไม่อยากเชื่อ “นาย...นายไม่ได้หมายความว่ายังงั้นจริงๆใช่มั้ย?”
“ไม่ได้ล้อเล่น” อี้ชิงตอบเสียงจริงจัง “ฉันบังเอิญไปเจอกุญแจห้องนั่นเข้า”
ชานยอลเริ่มกลัว...เขาไม่อยากได้ยินอะไรจากปากอี้ชิงแล้ว... เขาไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น แต่อี้ชิงก็เล่าต่อ
“ฉันได้มันหลังจากที่บุษบาถูกแขวนคอไม่กี่นาที”
ชานยอลเดินถอยหลังไปสองก้าวโดยอัตโนมัติ... “นาย...นายได้มายังไง...”
“ฉันบังเอิญเจอ!” อี้ชิงเขยิบเข้าไปใกล้เพื่อนและรู้ว่าเพื่อนกำลังอะไร “เมื่อกี้ตอนเราเดินผ่านชั้นก่อนเกิดเหตุฉันเห็นว่าแบมแบมกับแจ็คสันสลบไป ไม่รู้หรอกว่าเพราะอะไรกันแน่... บางทีพวกเขาอาจจะยังไม่พูดถึงเรื่องที่เราเล่นซ่อนหากันก็ได้นะ พวกเรายังมีโอกาสที่จะไปบอกพวกให้เงียบไว้ นายต้องไปกับฉัน...เราต้องไปเฝ้าแจ็คสันกับแบมแบมจนกว่าพวกเขาจะตื่น เราต้องกันไม่ให้พวกตำรวจเข้าถึงตัวพวกเขา นายเข้าใจมั้ย?” อี้ชิงเริ่มทำเสียงจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ หน้าตาเขาดูเกร็งและหวาดหวั่นอยู่ตลอดเวลา...
“อี้ชิง...นายคง...” ชานยอลอยากพูดเหลือเกิน... อยากถามเหลือเกิน... “นายไม่ใช่...”
“อะไร?” อี้ชิงสงสัยและขมวดคิ้วหนัก ”มีอะไรรีบๆพูดมา เดี๋ยวคนอื่นก็สงสัยกันหรอกว่าพวกเรามาทำลับๆล่อๆที่นี่ทำไม”
“คือนาย...นายไม่ใช่คนที่...ทำแบบนั้นจริงไหม?” ชานยอลถามอย่างระมัดระวัง
อี้ชิงหน้าซีดเผือดและนิ่งไปซักพักก่อนจะถอนหายใจและอธิบายด้วยความใจเย็น
“ฉันไม่ได้ทำ” อี้ชิงตอบ ชานยอลถึงกับจับหน้าอกตัวเองด้วยความตื่นตระหนกไม่หาย “แต่ที่ฉันทำตัวแบบนี้ก็เพราะมันเสี่ยงที่พวกเราสองคนจะโดนสงสัย...และถ้าโดนสงสัยพวกเราก็อาจจะโดนสอบสวนถ้าข้อมูลมันครุมเครือเราอาจจะเป็นผู้ต้องสงสัยและโดนกักตัวไม่ให้ออกไปไหนพ้นสายตาตำรวจ แย่ไปกว่านั้นเราอาจจะเข้าซังเตเลยก็ได้...นายคิดว่าไงล่ะ?”
“แต่นายไม่คิดหรอว่า...ยิ่งทำตัวแบบนี้มันก็ยิ่งน่าสงสัยนะ” ชานยอลว่า
อี้ชิงเงียบและมองหน้าชานยอลเหมือนค้นหาอะไรบางอย่าง “นายจำตอนที่พวกเราเจอศพครั้งแรกได้มั้ย?... ฉันอาจจะงอแงเมื่อเห็นร่างของศพก็เลยร้องไห้...และนั่นมันเป็นเพราะฉันกลัว...แต่นายน่ะชานยอล...นายร้องไห้ตอนเห็นศพทำไมกันหรอ?...นายไม่ใช่คนที่เห็นอะไรแบบนั้นแล้วจะร้องไห้หรอกนะ...ฉันรู้จักนายดี”
มาถึงตรงนี้ชานยอลเป็นคนหน้าซีดแทน...คอเขาแห้งผาก อี้ชิงพูดต่อ
“เราไม่ได้ทำตัวน่าสงสัยปราบใดที่เรายังไม่ทำให้ใครเห็น เพราะงั้นเชื่อฉันเถอะชานยอล วิธีนี้ดีกว่าวิธีที่นิ่งเฉยและรอให้นักสืบดีโอนั่นกักตัวเราเพราะพวกเรามันน่าสงสัยทั้งๆที่ไม่ใช่คนทำ...”
“ทะ-ทำไม...” ชานยอลอึกอักและไม่สบตาอี้ชิง “ทำไมพวกเขาต้องสงสัยเราด้วยล่ะ? คนในหอพักนี้ก็ออกจะเยอะแยะ...”
“อย่าโง่หน่อยเลย” นานๆครั้งอี้ชิงจะพูดคำหยาบออกมา “เราเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ได้ไม่กี่วันก็เกิดเรื่อง แถมคนที่ย้ายตามหลังเรามาก็คือแม่ๆของพวกเรา นายก็รู้ดีว่าพวกเธอเป็นสาวประเภทสองไม่มีทางจะทำอย่างนี้แน่นอน ไม่มีเหตุผลอะไรด้วย อีกอย่างเวลาตายกับเวลามาถึงของพวกเขาก็หักลบกันพอดี มีพยานยืนยันตัวพวกเขาได้ตั้งแต่พวกเขาย่างเข้ามาในหอพัก...พยานนั้นก็เรานี่แหละ...ดังนั้นพวกเขาจึงพ้นข้อสงสัยนี้ไป แล้วเหลือใครอีกล่ะ? ก็พวกเราสองคนไง...”
“นายคิดมากหน่า” ชานยอลพยายามทำท่าสบายๆ “คนอื่นๆในหอพักนี้ก็มีสิทธิ์ทำได้หมดนั้นแหละ ไม่ว่าจะอยู่มาก่อนนานแค่ไหน...ปีหรือสองปีก็ทำได้...”
“ฟังนะชาน--” ไม่ทันที่อี้จะได้อธิบายต่อ ชานยอลรีบอุดปากเขาไว้และลากเขาเข้าไปแอบตรงมุมผนัง...
ซินเวกับดีโอเดินลงบันไดมาและโต้เถียงกันเรื่องบางอย่าง...พวกเขาหยุดคุยกันอยู่ที่ชั้นเดียวกับชานยอลและอี้ชิง... ไม่นานพวกเขาก็เดินลงไปยังชั้นต่อไป...
ชานยอลโล่งอกมากเขาถอนหายใจละหายใจเข้าแรงๆเพราะเมื่อกี้แทบจะกลั้นหายใจ...
ในขณะที่อี้ชิงหายใจปกติแต่แค่สายของเขาที่มองชานยอลตอนนี้...มันไม่เหมือนเดิม...
ทางด้านฮุนนี่ เธอรับตัวเองไม่ได้ที่ไปก่อเรื่องร้ายแรงแบบนั้น เธอร่อนปรู๊ดลงไปชั้นล่างและลงไปนั่งร้องไห้ที่ล็อบบี้มุมมืดๆมุมนึง
นานมากว่าที่เจ๊เทากับเจ๊แบคจะวิ่งตามเธอมาทัน เธอเกือบร้องไห้และเสียใจเสร็จไปแล้วด้วยซ้ำ
“อีนี่” เจ๊แบคเปิดบทสนทนาด้วยความเหนื่อยล้าเหมือนเพิ่งวิ่งหนีเจ้าหนี้มา “มึงเป็นผีมึงก็ร่อนได้สิ! มึงไม่เหนื่อยนี่! มึงไม่ต้องใช้ขาเดินนี่!!” เจ๊แบคทำท่าจะตบหัวฮุนนี่แต่อ่อนแรงเหลือเกินยกมือแทบไม่ไหว แถมเจ๊เทาก็ส่งสายตาห้ามปรามด้วย ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาตีตัวหรือตบหน้าฮุนนี่ แต่เป็นเวลาที่ต้องปลอบใจเธอ...
เจ๊เทาเดินไปนั่งข้างๆฮุนนี่ “นี่...ฉันรู้นะว่ามันไม่ใช่ตัวเธอ” เจ๊เทาแตะไหล่ฮุนนี่เบาๆ “ตั้งแต่เธอตายและมาเป็นเพื่อนกับฉัน ฉันก็ไม่เคยคิดเลยว่าด้านนั้นของเธอจะเปิดเผยออกมาและไม่เคยคิดด้วยว่ามันมีวันนั้นด้วย วันที่เธอเฮี้ยนเหมือนผีตัวอื่นๆ เพราะงั้นมันถึงไม่ใช่ตัวเธอไงฮุนนี่ เธอไม่ผิดหรอก เธออาจจะยังไม่ชินกับหอพักหลังนี้...หรืออาจจะโดนอีผีบุษบานั่นแกล้งอะไรก็ได้...แต่ถึงเธอจะเฮี้ยนฉันก็ไม่กลัวหรอกนะ...”
เจ๊แบคส่งสายตาไม่แน่ใจไปให้เจ๊เทา จริงหรอที่เจ๊เทาไม่กลัวผีฮุนน่ะ? เจ๊แบคเดินไปนั่งอีกข้างของฮุนนี่และแตะไหล่เธอเบาๆเหมือนเจ๊เทา
“ความจริงแกก่อเรื่องแบบนี้ก็ดีนะ ฉันเลยหนีจากยัยคุณนายโฮชุดแดงนั่นพ้นซักที” เจ๊แบคพูดและฮุนนี่กับเจ๊เทาก็มองเธอแบบตำหนิทันที เธอกระแอมไล่ความผิดพลาดออกไปก่อนจะพูดใหม่ “ไหนลองเล่ามาสิว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่...มันต้องมีสาเหตุสิ จู่ๆจะเกิดเลยมันก็แปลกๆจริงไหม?”
“ใช่...” ฮุนนี่ก้อมมองพื้นอย่างเศร้าสร้อย ตอนนี้เธอดูเหมือนผีไร้ญาติ “ฉันแอบสะกดรอยตามคริส ฉันชอบเขาแต่ก็ไม่ถึงกับมากมายอะไร ฉันเห็นเขากอดกับผู้หญิงคนนั้น ซินเวน่ะ ฉันยอมรับว่าอิจฉาและรู้สึกอยากตบหน้าเธอ แต่ไม่ถึงกับอยากเปลี่ยนตัวเองเป็นผีเฮี้ยนจนตัวม่วงยังกะมังคุดแบบนั้นแถมยังไปทำร้ายคนอื่นๆมากมายขนาดนั้นด้วย!” เธอเอามือปิดหน้าตัวเองแล้วครางด้วยความผิดหวัง “เด็กหนุ่มที่หล่อๆสองคนนั้นถึงกับสลบไปเลย..” เธอร้อง “จำได้ว่าชื่อ แบมแบมกับแจ็คสัน...กะจะเก็บไว้กินอย่างช้าๆรอให้สุกก่อนแท้ๆ...ดันไปทำให้พวกเขากลัวซะแล้ว...ฉันนี่มันโง่จริงๆ...”
เจ๊แบคเหลือกตาไปมาอย่างเหลืออด ในขณะที่เศร้าอยู่นางก็ยังสามารถแรดได้อีก... “เอาหน่าฮุนนี่ เราค่อยไปขอโทษพวกเขาทีหลังได้นี่นา ตอนนี้เธอก็มีพลังเหลือพอจะปรากฏตัวให้คนอื่นเห็นแล้วจริงไหม?”
“มีที่ไหนเล่า!” ฮุนนี่โผล่หน้ามามองเจ๊แบค “ไม่เห็นหรอว่าตัวฉันเป็นสีขาวดำน่ะ...สีเทาๆเนี่ย แม้แต่น้ำตาก็ยังออกมาสีจางซะจนแทบมองไม่เห็น!”
เจ๊เทากับเจ๊แบคเพิ่งสังเกตว่าตัวของฮุนนี่ไม่มีสีจริงๆด้วย...เห็นแค่โทนสีเทาๆขาวๆหม่นๆ... คล้ายๆกับผีในหนังเรื่องแฮร์รี่พอตเตอร์...
“พลังของฉันคงจะหมดไปตอนที่เปลี่ยนเป็นเวอร์ชั่นเฮี้ยนนั้นแน่ๆ” เธอเอามือปิดหน้าอีกครั้ง “อุตส่าได้พลังอันอบอุ่นมาจากคริสแล้วแท้ๆ...แถมเขายังหล่ออีกต่างหาก..รู้ว่าความหล่อไม่เกี่ยวแต่ก็อยากพูดมีไรปะ?....เฮ้อ...ไม่น่าเลยฉัน”
“มาเอาใหม่ก็ได้นี่นา” จู่ๆเสียงทุ้มต่ำก็ลอยละล่องตามมา ก่อนที่ร่างสูงโปร่งและกว้างหนาจะค่อยๆปรากฏออกมาให้เห็นชัดๆตรงหน้าทั้งสามคน... คริสยืนยิ้มให้พวกเขา
เจ๊แบคอ้าปากกว้างและรีบกุมหน้าอกตัวเองเผื่อว่าใจจะกระโดดออกมาจากอก ส่วนเจ๊เทานี่ถึงกับเอามือป้องปากเลยทีเดียว... ความหล่อของเขาเป็นจริงอย่างที่ฮุนนี่ว่า อาจจะหล่อกว่าที่เล่าด้วยซ้ำ....
“มันเป็นเพราะกล่องสมบัติโบราณน่ะ” คริสยื่นมือออกมาให้ฮุนนี่ “อยู่ไปนานๆเธอก็จะชินไปเอง...”
ฮุนนี่ค่อยๆยืนมือไปจับเขาและกระแสไฟฟ้าอันอบอุ่นก็ไหลผ่านทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว ดวงตาของฮุนนี่ส่องประกายวาบออกมาซะเจ๊แบคกับเจ๊เทาต้องหลบเพราะสู้แสงนั่นไม่ไหว
“ฉันให้ไปมากกว่าคราวที่แล้ว” คริสบอกพลางดึงมือกลับ “เธอใช้มันระวังๆด้วยล่ะ แล้วก็เป็นไปได้ถ้ารู้สึกอารมณ์แปรปรวนขึ้นมาก็อย่าไปเข้าใกล้คนอื่นละกัน กันไว้ก่อน”
ฮุนนี่ร้องไห้...เธอร้องด้วยความปลาบปลื้มปิติ เจ๊แบคกับเจ๊เทาต้องรีบลูบหลังเธอเบาเชิงปลอบโยน ตอนนี้สีตัวเธอกลับมาเป็นปกติเหมือนมนุษย์ทั่วไปแล้ว ฮุนนี่เงยหน้าทั้งน้ำตามองร่างสูงของคริส
“ทำไมหล่อ...” ฮุนนี่พยายามขอบคุณ “หล่อแล้วยังจะใจดี...ทำไมนายถึงทำเพื่อฉันขนาดนี้? อุตส่าตามหาฉันด้วยนะ..แน่ใจหรือเปล่าว่านาย...นายไม่ได้คิดอะไรกับฉันจริงน่ะ?”
“ไม่รู้สิ” คริสยักไหล่และเจ๊เทากับเจ๊แบคถึงกับถลึงตามองด้วยความประหลาดใจปนริษยา หรือว่าคริสจะชอบไม้ป่าเดียวกันด้วย! “ฉันไม่เข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไรน่ะ” คริสบอกต่อและทำให้เจ๊แบคกับเจ๊เทาหายใจโล่งอกโล่งคอ แต่ฮุนนี่รู้สึกอยากตบกบาลเจ๊สองคนนี้มาก คริสพูดต่อ “แต่ฉันชอบช่วยเหลือคนอื่นน่ะ ถ้าคนๆนั้นไม่หนีฉันไปซะก่อนนะ... เออเรื่องบุษบา”
ทุกคนต่างหันไปสนใจ
“ฉันพยายามช่วยเธอแล้วนะ พยายามหาตัวเธอแล้วด้วยแต่เธอก็ไม่ยอมเผยตัวตนออกมาเอง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไอกล่องสมบัตินั้นหรืออะไรกันแน่...”
“ฉันเองก็ไม่เจอเธอเลยเหมือนกัน” ฮุนนี่เล่าบ้าง “แต่เจ๊เทาเจอนี่” เธอหันไปขอความคิดเห็นจากเพื่อน “เธอพูดว่าไงนะ? คืนนั้นน่ะ...”
“อ๋อ...” เจ๊เทากลืนน้ำลายเพื่อกลืนความสยองที่เจอเมื่อคืนนั้นลงคอไปก่อนเล่า “เธอ...เธอเหมือนจะบอกว่าไม่ได้ถูกฆ่าอะไรซักอย่าง...ฉันจับใจความไม่ได้ ฉันตกใจน่ะ...”
“หรอ..” คริสว่า “อาจจะเป็นเพราะไอกล่องนั่นก็ได้ แย่นะ ถ้าฉันหาตัวไม่เจอฉันก็ช่วยเธอไม่ได้เหมือนกัน”
“ว่าแต่” เจ๊แบคแทรกขึ้นมาบ้าง เพราะด้วยความเผือกจนอดถามไม่ได้ “ไอกล่องสมบัติที่พูดๆอยู่เนี่ย มันคืออะไรหรอ?”
“อ๋อ...คือ...ความจริงมันมีสองกล่องนะ” คริสอธิบาย “กล่องนึงอยู่ที่บนหอคอย ห้องที่ฉันอาศัยอยู่น่ะ...กล่องนั้นเป็นของฉันและมันไม่ได้ทำร้ายใคร แต่อีกกล่องนึงมันถูกผนึกไว้ไม่ให้พลังงานอย่างฉันหรือฮุนนี่เข้าไปถึง พูดง่ายๆคือผีและวิญญาณจะมองไม่เห็นว่ากล่องนั้นอยู่ไหน”
“ทำไมล่ะ?” ฮุนนี่สงสัย “แต่กล่องในห้องนายฉันเคยเห็น...”
“ใช่ กล่องในห้องฉันไม่มีอะไร แต่อีกกล่องนึงเหมือนจะเป็นตัวที่ปล่อยพลังงานมารบกวนพวกเราน่ะ ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้ว่าอยู่ไหน...”
“ถ้านายไม่รู้แล้วเราจะรู้หรอ” เจ๊แบคย้อนถาม “แล้วกล่องที่ห้องนายมันเกี่ยวอะไรด้วย? ที่สำคัญถ้านายมองไม่เห็นแล้วทำมนายรู้ว่ามันเป็นกล่อง?” เจ๊แบคฉลาด “อีกอย่าง ไอกล่องที่อยู่ในห้องนาย...ถ้านายไม่เกริ่นมามันก็ไม่เกี่ยวหรอกจริงไหม? ที่นายพูดถึงมันก็เพราะมันมีอะไรใช่มั้ยละ?...ตอนแรกนายทำท่าจะเล่าแล้วแต่เปลี่ยนใจไม่เล่าซะงั้น...ขอโทษนะฉันเป็นคนจับโกหกคนเก่งน่ะ เดาทางคนก็ได้ อ่อ..ไม่ใช่แค่คน กับผีก็ทำได้” เจ๊แบคยิ้ม...
“เข้าใจอะไรง่ายดีนี่” คริสยิ้มให้ “กล่องที่ห้องฉันรู้แค่ว่ามันเป็นของฉันก็พอ...และที่ฉันรู้ว่าไออีกกล่องนึงมันเป็น.กล่อง.เพราะฉันสัมผัสได้ว่ามันมีความรู้สึกคล้ายกับกล่องในห้องของฉัน...มันแผ่รังสีแบบเดียวกัน”
“รังสีอะไร?” เจ๊แบคถามต่อ “แล้วถ้ามันเลวร้ายกับนาย ทำไมนายไม่กำจัดมันออกไปล่ะ?”
“ฉันก็อยากทำนะ” คริสยักไหล่ “แต่ฉันทำไม่ได้...มันซับซ้อนน่ะฉันอธิบายไม่ค่อยจะเก่งด้วย” เขาเกาหัว “คือกล่องในห้องฉันมันไม่ได้ทำร้ายใครมัน...มันเป็นของฉันและมันไม่เกี่ยวแต่มันแค่ส่งรังสีเหมือนที่กล่องนั้นส่งรังสีออกมาทำลายพลังงานฮุนนี่น่ะ ฮุนนี่ไม่รุ้เพราะเธอไม่ได้เป็นเจ้าของกล่องในห้องของฉัน...เข้าใจมั้ยเนี่ย? มันเป็นของฉันน่ะ...ฉันเลยรู้ไงว่าอีกกล่องนึงก็เป็นกล่องเหมือนกัน...”
เหมือนทุกคนกำลังประมวนว่าคริสบอกอะไรมา... สรุปแล้วมีกล่องลึกลับในหอพักหลังนี้สองกล่อง กล่องนึงอยู่บนหอคอยของคริสและมันเป็นของเขา เขาสัมผัสรังสีกล่องนั้นได้คนเดียว แต่จู่ๆเขาก็สัมผัสรังสีแบบเดียวกันนั้นได้อีกที่หนึ่งแต่เขาไม่สามารถรู้ได้ว่ามันอยู่ไหนเพราะมันอาจจะถูกป้องกันไม่ให้พวกผีหรือวิญญาณเห็น เขาเลยเดาไปว่าไอที่แผ่รังสีออกมานั้นอาจจะเป็นลักษณะเป็นกล่องเหมือนที่ห้องของเขาก็ได้...
“ขอโทษนะ” เจ๊เทาดับความเงียบลง และเริ่มอยากร่วมวงบ้าง “ขอถามอะไรนอกประเด็นได้มั้ย? เรื่องเมื่อกี้ทำให้ฉันงงๆน่ะ...คือฉันอยากถามว่าทำไมนายถึงอยู่ที่นี่? ฉันรู้สึกเหมือนนายอยู่มานานมากแบบมากๆถึงได้รู้เรื่องราวมากมายขนาดนี้...ทำไมไม่คิดจะไปเกิดใหม่หรืออะไรทำนองนั้นบ้างหรอ? ดูนายเองก็มีส่วนบุญติดตัวเยอะดีนี่นา...”
คริสเงียบและเปลี่ยนจากใบหน้าอมยิ้มเป็นแน่นิ่งไร้ความรู้สึก....
ทุกคนมองหน้ากันสลับไปมาและรอลุ้นว่าเขาจะตอบกลับมาว่าไง...
“ฉัน” คริสเอ่ยและไม่สบตาใคร “ฉันก็เหมือนพวกนาย....”
ทุกคนตั้งใจฟังถึงแม้จะไม่เข้าใจเท่าไหร่...แต่ก็ไม่มีใครแทรก
คริสพูดต่อ “ฉันก็โดนคำสาปเหมือนพวกนาย...” ถึงตรงนี้คริสก็เงยหน้ามองทุกคนด้วยสายตาที่เปลี่ยนไห สายตาที่เหมือนเข้าใจหัวอกเดียวกัน... “เมื่อพวกนายตายไปพวกนายจะเกิดใหม่ไม่ได้ถ้ายังไม่ได้ถอนคำสาป...เหมือนที่ฉันและฮุนนี่เป็นอยู่ตอนนี้...”
คืนนั้นเอง...
เจ๊ลู่โดนผีอำกลางดึกเธอขยับไม่ได้เธอรู้เหมือนลืมตาได้อ้าปากได้แต่เปล่งเสียงออกมาไม่ได้ เธอรู้สึกเหมือนตากลอกไปมาได้แต่หันหน้าไปซ้ายขวาไม่ได้... เธอได้ยินเสียงเจ๊หมินกรนอยู่ข้างๆ เธอพยายามเบี่ยงตัวเองให้ไปโดนตัวเจ๊หมินเผื่อเขาจะตื่นแต่ทำไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว...
และสิ่งที่เจ๊ลุ่ไม่อยากเจอมากที่สุดก็มา...
หน้าต่างห้องค่อยๆเปิดออกและลมเย็นพัดเข้ามา ร่างอันขาวซีดของบุษบาปรากฏกายและกำลังนั่งหันหลังอยู่ตรงขอบหน้าตา เจ๊ลู่ไม่สามารถหันไปมองได้แต่ภาพกลับโผล่เข้ามาในห้อง เธอนอนนิ่งมองเพดานแต่เธอกลับเห็นฉากหน้าต่างได้อย่างชัดเจนยังกะมีตาที่สาม... เธอกลัวมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้...
บุษบาเริ่มร้องเพลงเบาๆ...เจ๊ลู่กลัวจนไม่รู้ว่าเธอร้องว่าอะไรหรือเพลงอะไร...
จู่ๆร่างของบุษบาก็กระโดดลงไปจากทางหน้าต่าง! เจ๊ลู่อยากกรีดร้องมากแต่เธอทำไม่ได้! ได้แค่เบิกตากว้าง!
และกว้างขึ้นไปอีกเมื่อเธอเห็นตัวอักษรที่เขียนด้วยน้ำใสๆบนเพดานที่เธอจ้องอยู่ตอนนี้...
ใช่มันเป็นน้ำ และมันเขียนบนเพดาน มันเหมือนมีใครเพิ่งเอาน้ำข้นๆมาเรียงต่อกันเป็นตัวอักษรที่อ่านแล้วจับใจความได้ว่า
ฉันฆ่าตัวเอง....
ความคิดเห็น