คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : โดดีโอและเพื่อน
“ขอโทษที่มารบกวนในเวลาดึกดื่นแบบนี้นะค่ะ” ซินเวกล่าวให้เจ๊ลู่กับเจ๊แบคได้ยิน ตอนนี้พวกเขา(ซินเวและดีโอ)กำลังสอบปากคำพยานที่เห็นเหตุการณ์แรกอยู่ ทันทีที่พวกเขารู้ว่าผู้ตายไม่ได้สิ้นลมหายใจเพราะผูกคอตายก็รีบรุดมายังที่เกิดเหตุเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ในทันที และหลังจากที่เข้าไปสำรวจให้ห้องเกิดเหตุเสร็จแล้วพวกเขาก็รบกวนเวลานอนของเจ๊ลู่กับเจ๊แบคเพื่อสอบถามรายละเอียดและแจกแจงให้พวกเขาเช่นกัน ซินเวกล่าวต่อ
“ผู้ตายเป็นหญิงสาวอายุ23ปี เรียนอยู่มหาลัยปีที่สองเช่นเดียวกับลูกๆของพวกคุณค่ะ”
“ตายจริง...” เจ๊ลู่จับหน้าอกตัวเองด้วยความตกใจ เธอยังเด็กอยู่แท้ๆไม่น่ารีบตายเลย...
“ตายจริงๆค่ะ” ซินเวเล่าต่อ โดยที่มีดีโอนั่งมองพวกเจ๊ลู่กับเจ๊แบคอย่างพิจารณา “เธอชื่อบุษบาและเธอไม่ได้ขาดลมหายใจจากการผูกคอตาย เธอจมน้ำตายค่ะ คนร้ายได้ฆ่าเธอด้วยวิธีการบางอย่างที่ทำให้เธอจมน้ำ จากนั้นก็นำร่างของเธอไปผูกคอห้อยลงมาจากเพดานเพื่ออำพรางคดีแทนค่ะ ตอนนี้กองสืบสวนของเรากำลังเร่งค้นหาช่องทางเข้าออกในห้องนั้นเพื่อสืบหาเบาะแสของคนร้ายอยู่”
“แต่ผมมีเรื่องต้องสอบถามพวกคุณนิดหน่อย” ดีโอกล่าวขึ้นมาบ้าง เขาเรียกความสนใจจากเจ๊ลู่กับเจ๊แบคไปได้มากกว่าซินเวหลายเท่าเลยทีเดียว... “เมื่อวานพวกคุณมาถึงที่นี่เมื่อประมาณกี่โมงครับ?”
“สามสี่ทุ่มเห็นจะได้ค่ะคุณนักสืบ” เจ๊แบคตอบพลางทำหน้านึก “และพอถึงปุ๊บเราก็ขึ้นห้องและอยู่แต่ในนั้นไม่ออกไปไหนเลยจนกระทั่งได้ยินเสียงกรี๊ดของเจ๊ลู่ค่ะ”
“คุณหลับไปตั้งแต่ตอนไหนครับ...คุณลู่หาน?” ดีโอเรียกชื่อจริงของเขาทำเอาเจ๊แบคเกือบหลุดขำออกมา ก็ชื่อเจ๊ลู่โครตเท่เลยน่ะสิ...
“ประมาณตีหนึ่งได้กระมังค่ะ” เจ๊ลู่หน้าแดงด้วยความอาย “ตอนตื่นจากฝันและกรี๊ดครั้งนั้นก็ซักตีสี่กว่าๆค่ะ”
“คุณกรี๊ดทำไมค่ะ?” ซินเวสนใจประเด็นนอก
“เธอฝันร้ายค่ะ” เจ๊แบคตอบแทน “ฝันเห็นผีบุษบามาบอกว่าศพเธอผูกคอตายอยู่ห้องข้างๆค่ะคุณนักสืบ นั่นแหละว่าทำไมเธอถึงเป็นคนแรกที่เห็นเหตุการณ์นี้”
“ขอโทษนะครับ” ดีโอกล่าว “คำให้การแบบนั้นพวกผมไม่สามารถเอาไปเป็นหลักฐานได้เพราะมันไม่มีน้ำหนักพอและที่คำสัญมันเหมือนพวกคุณพยายามเบี่ยงเบนประเด็นบางอย่างโดยการกุเรื่องขึ้นมา...”
“ไม่ใช่นะค่ะคุณนักสืบ!” เจ๊ลู่รีบอธิบาย “ฉันเข้าใจค่ะว่าเรื่องผีสางนางไม้มันออกจะเหลือเชื่อไปหน่อยในยุคนี้ แต่ว่าฉันเจอจริงๆค่ะ ไม่ใช่แค่เจอด้วย ฉันเลี้ยงผีไว้ตัวนึงเลยค่ะ...ไม่ใช่ฉันสิ พวกเราค่ะ พวกเรามีผีตัวนึงที่ตามติดมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหาค่ะ”
ดีโอส่ายหน้าช้าๆและคิดว่าคนพวกนี้คงจะบ้าไปแล้ว...เจ๊แบคเห็นแบบนั้นก็รู้สึกขัดใจทันทีทั้งๆที่เธอพูดความจริงแต่ดันไม่มีคนเชื่อ
“ฮุนนี่!!” จู่ๆเจ๊แบคก็ตะโกนเรียกผีฮุน เจ๊ลู่ตกใจจนสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะมองซ้ายมองขวาทันที
“เรียกใครค่ะ?” ซินเวถามพลางมองเหมือนเจ๊ลู่
“เรียกผีค่ะ” เจ๊แบคตอบง่ายๆ “ฉันจะพิสูจน์ให้ดูว่าผีนั้นมันมีจริง ฮุนนี่! ฮุนนี่ออกมาหาเจ๊หน่อย! เจ๊ลู่แกก็ช่วยเรียกหน่อยสิยะ”
“อ่อ...ฮุนนี่!!” เจ๊ลู่ทำตามที่เพื่อนสั่ง “ฮุนนี่คนสวยจ๋า...นักสืบดีโอมาอีกแล้วนะเธอไม่ออกมาเสนอหน้าให้เขาเห็นหน่อยหรอ?”
ดีโอถึงกับมองเจ๊ลู่ตาขวางในขณะที่ซินเวกลั้นขำอยู่
“อีนี่เรียกดีๆละไม่เคยจะมา” เจ๊แบคยืนขึ้นและท้าวสะเอวด้วยความอารมณ์เสีย “ขอโทษน่ะค่ะคุณนักสืบแต่ฉันขอหยาบคายซักนิดนึง...” เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะรัว “อีฮุนนี่! อีผีตัวสูงยังกะเปรตถ้ามึงไม่โผล่มาให้กูเห็นหน้าตอนนี้นะกูจะรีบทำบุญไปให้มึงและส่งมึงไปผุดไปเกิดจากนั้นก็จะลงโทษด้วยการเซ่นไหว้หัวหมูแทนจะเซ่นไหว้ชาไข่มุกที่มึงชอบ!! มึงได้ยินกูมั้ยอีฮุน!! มึงออกมาหากูเดี๋ยวนี้นะ!! อีผีตุ๊ด!!! ไม่ได้ยินหรอไง!!!”
“ว้าย!!” เป็นเสียงเจ๊ลู่ที่ตอบกลับมา เธอทำหน้าตกอกตกใจมากด้วยเพราะแขนเธอเหมือนมีอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นดึงอยู่ แขนเจ๊ลู่ยืดออกไปข้างหน้าอย่างกะทันหันและทุกคนดูประหลาดใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้พอๆกัน
“เป็นเหี้ยอะไรเจ๊ลู่ เส้นเอ็นที่แขนกระตุกหรอไง?” เจ๊แบคถาม
“ไม่นะ!” เจ๊ลู่ส่ายหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ใคร...มีใครมาจับแขนฉันก็ไม่รู้! ว้าย!!!”
ไม่ใช่แค่จับแล้วนี่มันเรียกกระชากเลยต่างหาก ร่างของเจ๊ลู่ถูกฉุดให้ลุกขึ้นอย่างแรงจนหน้าสวยๆของเธอเกือบกระแทกกับผนังอีกด้าน ไม่พอแค่นั้นกระชากแล้วยังจะมีลากอีก อะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นกำลังลากแขนเจ๊ลู่ให้เดินไปตามแรงลากออกจากห้องไป
“อีเจ๊ลู่! มึงจะไปไหน!” เจ๊แบครีบวิ่งตามออกไป “อีนี่รอกูด้วยสิ!”
“พวกเราก็ตามไปเถอะ” ซินเวบอกดีโอและดีโอจับแขนเธอไว้
“คนพวกนี้...เป็นประสาทนะซินเว”
“บ้าหรอ” ซินเวตอบ “ถ้าเจ๊ลู่ไม่ใช่ดาราฮอลลีวูด ไม่มีทางแสดงได้เนียนขนาดนั้นแน่นอน”
“แต่ว่า...”
“มาเถอะหน่า ลองดูจะเป็นอะไรไป” ซินเวลากแขนดีโอออกมาจนได้
ดีโอทำหน้าไม่เห็นด้วยตลอดทางที่วิ่งตามร่างของเจ๊ที่มีแขนของเธอนำหน้า เจ๊ลู่ส่งเสียงกรีดร้องไปตามระเบียงเป็นพักๆเธอเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไรและถ้าเป็นผีฮุนนี่ยังไงๆมันก็ต้องส่งสัญญาณบอกให้พวกเธอรู้ก่อนว่าเป็นมันไม่ใช่จู่ๆก็ฉุดแบบนี้!
เจ๊ลู่โดนลากมาจนถึงสุดระเบียงทางเดินก่อนแขนของเธอจะเป็นอิสระ เธอหันมาทำหน้าสะพรึงใส่เพื่อนข้างหลัง “นี่มันเรื่องอะไร?...ใช่ผีฮุนนี่แน่หรอ?”
“ถามฉันฉันจะรู้มั้ย...” เจ๊แบคตอบ
“ดูนั่น!” จู่ๆซินเวก็เห็นอะไรบางอย่าง
ตรงบันไดทางช่องหนีไฟประตูเปิดอ้าและมีร่างคนสองคนนอนสลบอยู่ตรงนั้น!
“อีเจ๊หมิน อีเทา!” เจ๊แบครีบเข้าไปดูเพื่อนทันที “ว้ายตาย! อีเจ๊หมินหัวมึงโดนอะไรเนี่ย แตกเหลือดไหลซิบๆเลย!”
“อาเทา! อาเทา!” เจ๊ลู่เข้าไปเขย่าร่างของเพื่อน “นี่อย่าบอกนะว่าทั้งสองคน...โดนไอฆ่าตกรนั้นลอบทำร้ายน่ะ!!”
“ว้ายตาย!!” เจ๊แบคตกใจกับคำพูดเจ๊ลู่ “นี่อย่าบอกนะว่าพวกมันกำลังพยายามจะฆ่าปิดปากเราอยู่!!”
“ไม่ใช่หรอกครับ” ดีโอลงมาดูอาการของคนเจ็บเช่นกัน “เพราะพวกเขาสองคนยังไม่ตาย ถ้าจะปิดปากจริงๆมันคงไม่ปล่อยให้แค่สลบไปแน่ๆ เรารีบพาพวกเขาไปรักษาตัวก่อนแล้วค่อยสอบถามตอนพวกเขาฟื้นว่าเกิดอะไรขึ้นจะดีกว่าครับ”
เจ๊ลู่กับเจ๊แบคมองตากันแวบนึง ในขณะที่พวกเขากำลังวี๊ดว้ายกระตู้วู้อยู่นั้นดีโอกลับมีสติและคิดคำนวณถึงเหตุการณ์ความจริงได้อย่างชาญฉลาดและรวดเร็ว...และเพราะเป็นแบบนี้ไงพวกเขาถึงยิ่งหลงใหลในตัวดีโอเข้าไปอีก คนอะไร๊หล่อน่ารักแล้วยังฉลาดอีก
และเมื่อพวกเขาแบกร่างของเจ๊หมินกับเจ๊เทาไปยังห้องพยาบาลในหอพักแล้วระหว่างที่รอให้คนเจ็บฟื้นอยู่นั้นจู่ๆซินเวก็ได้รับโทรศัพท์จากทีมสืบสวนของเธอเอง พวกเขาบอกว่าพบทะเลสาบขนาดเล็กใกล้เคียงกับบริเวณหอพักและมีพยานเห็นหญิงสาวคนนึงมาเดินเล่นในช่วงเย็นของวันเกิดเหตุด้วย คาดเดาว่าเธอน่าจะขาดลมหายใจที่ทะเลสาบนั้น
ดีโอกับซินเวรีบรุดไปที่นั่นทันทีและพวกเขายังไม่ลืมที่จะบอกให้เจ๊ลู่กับเจ๊แบคโทรหาพวกเขาทันทีที่เจ๊เทากับเจ๊หมินฟื้นขึ้นมา
ย้อนไปเมื่อสี่สิบนาทีที่แล้ว...
ในห้องหลังหนึ่งที่อยู่บนยอดของหอพัก...
ภายในห้องโล่งกว้างมีเพียงหีบสมบัติเก่าๆวางอยู่ตรงมุมห้องมืดๆ หน้าต่างเปิดคาไว้ลมพัดเข้ามาทำให้ผ้าม่านบางๆสีขาวพลิ้วไหวเหมือนมีชีวิต มีเพียงแค่แสงจากดวงจันทร์เท่านั้นที่ทำให้ห้องนี้ดูสว่างถึงจะนิดเดียวก็ตาม...
“ช่วยด้วย...” จู่ๆเสียงเย็นเยือกลอยเข้ามาในห้องแน่นอนว่าไม่ใช่เสียงของคน(ที่มีชีวิต) “ช่วยด้วย...” เสียงยังคงลอยตามมาแต่กลับไม่เห็นเจ้าของร่าง... “ช่วยด้วย!” เสียงเริ่มชัดขึ้น “ช่วยฉันด้วย!”
“ฮุนนี่!!”
เสียงก้องกังวานดังในหัวของเธอ...
“อีเจ๊แบค!!” ผีฮุนนี่นั่นเอง เธอตะโกนตอบกลับไปแต่เธอไม่มีพลังมากพอที่จะหายตัวแม้กระทั่งพลังที่จะทำให้ร่างกายของเธอโผล่ออกมาให้เห็นยังทำไม่ได้ มีแค่เสียงเท่านั้นที่พอจะเปล่งออกมาได้อยู่ “เจ๊แบคช่วยฉันด้วย!! ฉันติดอยู่บนยอดหอคอย!! ช่วยด้วยเจ๊แบค!!”
“ฉันจะพิสูจน์ให้ดูว่าผีนั้นมันมีจริง ฮุนนี่! ฮุนนี่ออกมาหาเจ๊หน่อย! เจ๊ลู่แกก็ช่วยเรียกหน่อยสิยะ”
เสียงเจ๊แบคยังคงก้องกังวานในหัวของฮุนนี่
“ฉันออกไปไม่ได้!!” ฮุนนี่ตอบสุดเสียงแต่ยอดหอคอยกับห้องที่เจ๊แบคอยู่มันไกลเหลือเกิน “ใครก็ได้! คนก็ได้ผีก็ได้ช่วยฉันออกไปจากห้องนี้หน่อย! ฉันออกไม่ได้แต่เข้ามาได้ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ช่วยด้วย!! โอ๊ะ!” จู่ๆร่างของผีฮุนก็ปรากฏออกมาแล้วแต่มันจางมาก จางจนมองทะลุไปข้างหลัง เธอได้โอกาสแล้ว! เธอพุ่งไปที่ประตูทางเข้ากะจะทะลุผ่านออกไปข้างนอกแต่มันกลับชนเข้ากับประตูดังปึง!จนล้มลงไปกองกับพื้น... ฮุนนี่เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
นับตั้งแต่ตายมาก็ไม่เคยชนกับประตูอย่างจังแบบนี้มาก่อน!
ตัวของผีฮุนเริ่มจางลงอีกแล้ว “ไม่นะ อย่าเพิ่งไป...ฉันต้องการพลังมากกว่านี้...ฉันเป็นผีนะทำไมทะลุประตูไม่ได้! ว่าแต่ห้องนี่มันอะไร! มียันต์กันผีออกแปะไว้งั้นหรอ!” ฮุนนี่เงยหน้ามองสำรวจดูรอบๆประตูแต่มันก็ไม่กระดาษหรือข้อความอะไรแปะไว้เลย...
“อ่อ...ฮุนนี่!!” คราวนี้เป็นเสียงเจ๊ลู่ดังเข้ามาในหัว
“เจ๊ลู่!!” ฮุนนี่ตอบรับ “เจ๊ลู่ช่วยฉันด้วย! ฉันเผลอเข้ามาในห้องนี้แล้วออกไม่ได้! ช่วยด้วยค่ะเจ๊ลู่พลังงานฉันมันแทบไม่เหลือแล้ว ไปไหนไม่ได้เลย! เจ๊ลู่ได้ยินฉันมั้ย! เจ๊ค่ะช่วยฉันด้วย!!”
“ฮุนนี่คนสวยจ๋า...นักสืบดีโอมาอีกแล้วนะเธอไม่ออกมาเสนอหน้าให้เขาเห็นหน่อยหรอ?” เสียงเจ๊ลู่ดังมาอีก
“กรี๊ดดดดดด คุณดีโอมาหรอ!! อีเจ๊ลู่มึงรีบมาช่วยกูเดี๋ยวนี้!!” ฮุนนี่ถลาไปที่ประตูและทุบมันเสียงดังตึงตังด้วยความอยากจะออกไปเต็มที่ “ช่วยกูด้วย!! กูจะออกไปหาดีโอสุดหล่อ!! ช่วยด้วยใครก็ได้!! อีผีชะนีมึงอยู่ไหนมาช่วยกูก่อน!!”
“อีนี่เรียกดีๆละไม่เคยจะมา” เสียงเจ๊แบคดังเข้ามาอีกครั้ง
“อีเจ๊แบคมึงก็ไม่รู้หรอกว่ากูกำลังลำบากน่ะ!!!” ฮุนนี่สวนกลับไปทันที “กูอยากอออกไปใจจะขาด!! มึงมาช่วยกูสิ!! กูจะได้ไปหามึงได้น่ะ!!”
“อีฮุนนี่! อีผีตัวสูงยังกะเปรตถ้ามึงไม่โผล่มาให้กูเห็นหน้าตอนนี้นะกูจะรีบทำบุญไปให้มึงและส่งมึงไปผุดไปเกิดจากนั้นก็จะลงโทษด้วยการเซ่นไหว้หัวหมูแทนจะเซ่นไหว้ชาไข่มุกที่มึงชอบ!! มึงได้ยินกูมั้ยอีฮุน!! มึงออกมาหากูเดี๋ยวนี้นะ!! อีผีตุ๊ด!!! ไม่ได้ยินหรอไง!!!”
“ได้ยินโว้ยอีตุ๊ดมีชีวิต!!!” ฮุนนี่ทุบประตูเต็มแรงด้วยความอดกลั้น “มึงสิไม่ได้ยินกูอีห่า!! กูบอกว่ากูหลงเข้ามาแล้วกูดันออกไม่ได้น่ะไม่ได้ยินใช่มั้ยอีเห็ดสด!! แล้วอย่าให้กูออกไปได้นะมึงกูจะตามหลอกหลอนมึงจนชีวิตมึงหาไม่เลยคอยดู! ถึงกับสาปแช่งให้กูไปเกิดนี่โหดร้ายมากอีเจ๊แบค กูจะฟ้องเจ๊เทา!!!”
พบร่องรอยการลากร่างของศพบนพื้นริมทะเลสาบและมีรอยเท้าของคนสองคนอยู่ด้วย รอยเท้านึงเป็นของผู้ตายและอีกคู่นึงเป็นของฆ่าตกรแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัน พยานบอกว่าเห็นหญิงสาวหน้าตาเศร้าสร้อยเหมือนร้องไห้หนักมาสามวันสามคืนเดินอยู่แถวขอบทะเลสาบ พยานพยายามจะเข้ามาคุยกับเธอแต่โดนเธอไล่ให้ออกไป จากนั้นพยานก็ไม่ได้เห็นร่างเธออีกเลย...
และพยานยังบอกอีกว่าไม่พบร่างของคนอื่นนอกจากผู้ตายอีกแล้วด้วย...
กว่าทุกหน่วยงานจะจัดการกักเก็บหลักฐานและกักกันสถานที่ไม่ให้คนนอกเข้าออกเสร็จก็ปาไปเกือบเช้าแล้ว ซินเวค่อนข้างเพลีย นานๆครั้งจะมีคดีที่ต้องทำติดต่อกันนานถึงสองวันแบบนี้แถมทำท่าเหมือนจะลากยาวไปถึงจนวันที่สามด้วย...
ตอนนี้ตีสี่กว่าๆแล้ว ความง่วงและความเหนื่อยล้ารุมทั้งเธอและดีโอไม่เว้นแม้กระทั่งทีมงาน ดังนั้นมันช่วยไม่ได้ที่จะต้องกลับไปพักและตั้งหลักใหม่ ถ้าไม่พักงานที่ทำก็จะมีความผิดพลาดเพิ่มมากขึ้นเนื่องด้วยร่างกายของคนทำงานไม่พร้อม
ซินเวเลยสั่งให้ทีมงานแยกย้ายกันกลับไปออฟฟิคและไปพักผ่อนที่บ้านก่อน เมื่อทุกคนทยอยออกจากบริเวณทะเลสาบหมดแล้วเหลือไว้เพียงดีโอที่ยืนมองรอยบนพื้นคล้ายมีใครเคยนอนหงายตรงนั้น...
“คนร้ายลากร่างของศพมานอนพักไว้ไง” ซินเวเดินไปใกล้ๆเขา “พอเถอะดีโอ เราต้องกลับไปชาร์ตแบตให้ตัวเองนะ นายก็รู้ว่ายิ่งฝืนงานก็ยิ่งเละ...”
“อืม...” ดีโอตอบแต่สายตายังคงจ้องรอยนั้นไม่วาง “ฉันแค่สงสัย...ทำไมถึงมีรอยเหมือนคนคุกเข่าข้างศพด้วย”
“ตรงนั้นน่ะหรอ” ซินเวมองไปที่รอยกลมๆบนพื้น “เอาไว้เรามาพิจารณากันพรุ่งนี้ต่อละกันนะ ตอนนี้เรา...”
จู่ๆซินเวก็หน้ามืดและเซ ดีโอรีบเข้าไปพยุงเธอไว้
“ซินเว!” เขาเรียกเธอเพราะเหมือนเธอกำลังจะหมดสติไป “ซินเว! อย่าเพิ่งหลับตานะเธอเป็นอะไรน่ะ!”
“ฉะ-ฉัน...” ซินเวไม่มีเรี่ยวแรงจะยืนแล้ว ดีโอจึงอุ้มเธอขึ้นมาในอ้อมแขน “ฉัน...แค่...ง่วง...”
“ซินเว!” ดีโอเรียกอีก “แน่ใจนะว่าแค่ง่วง!”
“อะ-อื้อ...” ซินเวหลับตาลงแต่ความจริงก็คือเธอเหนื่อยมากต่างหาก เธอถึงได้หน้ามืดและเป็นลมไปแบบนั้น... เธอพยายามทำให้ดีโอสบายใจว่าเธอไม่เป็นอะไรมาก เธอแค่ง่วงเฉยๆ...
“พา..ฉันกลับ...ด้วย...นะ” แล้วเธอก็หลับไปในอ้อมแขนดีโอ...
และระหว่างที่ดีโอกำลังเดินออกจากทะเลสาบไปนั้นแทนที่เขาจะกลับออกไปเจอสวนสาธารณะเล็กๆข้างหน้าและเห็นที่จอดรถของหอพัก เขากลับไปโผล่ในป่าที่มองเห็นแสงสว่างจากสวนสาธารณะอยู่ไกลลิบๆแทน...
แถมทะเลสาบที่เขาเพิ่งเดิมจากออกมามันอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้งได้ยังไง?
นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เขาเดินผิดทางหรอ? เขาเดินอ้อมไปด้านหลังแล้ววนกลับมาที่เดิมงั้นหรอ?
“เมื่อยมั้ยพ่อหนุ่ม...” จู่ๆก็มีเสียงทุ้มต่ำของชายคนนึงดังขึ้นมาไกลๆจากข้างหลังดีโอ เขาหันขวับไปมองทันที
ดีโอเห็นผู้ชายร่างสูงคนนึงยืนยิ้มให้เขาอยู่ใต้เงาต้นไม้...
“นายเป็นใคร?” ความมืดของป่าทำให้มองเห็นไม่ชัดเท่าไหร่นัก
“ทุกคนเรียกฉันว่าคริส...” เขาตอบและค่อยๆเดินมาหาดีโอ เผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาที่หาได้ยากในโลกนี้ “ผู้หญิงที่นายอุ้มอยู่นั้นเธอชื่ออะไรหรอ?”
“....แล้วทำไมนายถึงอยากรู้จักเธอละ” ดีโอตอบอย่างระมัดระวัง
“โอะ” คริสร้อง “โทษที...ฉันไม่ใช่ฆ่าตกรที่ฆ่าบุษบาแน่นอน...นายไม่ต้องกลัว”
“นายรู้ได้ยังไง” ตาดีโอเบิกกว้าง “คดีนี้เรายังไม่ให้ลงข่าวที่ไหนทั้งนั้นเลยนะ...”
“ขอโทษทีบังเอิญว่าฉันไปได้ยินมาน่ะ...” เขาตอบ “ว่าแต่นายไม่แนะนำตัวเองหน่อยหรอพ่อหนุ่ม? ถึงฉันอยากจะรู้จักผู้หญิงคนนั้นมากกว่าก็เถอะ...”
“ฉันเป็นนักสืบคดีนี้...และเธอเป็นคู่หูของฉัน” ดีโอพูด “แล้วนายน่ะ มาทำอะไรดึกๆดื่นๆแถวนี้”
“ฉันก็ออกมาเดินเล่นน่ะ พอดีนอนไม่หลับ...” จู่ๆคริสก็หัวเราะโดยไร้สาเหตุ “ฉันพักอยู่ที่หอนั่นเหมือนกันนะ เผื่อนายอยากรู้จักฉันมากขึ้นมาที่ห้องฉันได้...”
“หมายความว่าไง? นายต้องการอะไรกันแน่...”
“คุณนักสืบนี่ฉลาดจังเลยนะ...ไม่ไว้ใจใครง่ายๆจริงๆด้วย”
“แล้วนายพักอยู่ห้องไหนงั้นหรอ...แล้วทำไมถึงอยากให้ฉันรู้จักนายด้วย...”
“แหม...ฉันอยู่คนเดียวมานานแล้วจู่ๆก็มีอารมณ์อยากจะหาเพื่อนน่ะ แปลกงั้นหรอ?...อ้อ ส่วนเรื่องห้อง ห้องฉันพิเศษหน่อยนะมันอยู่บนยอดหอคอยของหอพัก...” คริสยิ้มออกมาอีกครั้งและมันเป็นรอยยิ้มที่ดูเหือดแห้งเหมือนไม่ได้ใช้งานมาหลายปี...เป็นรอยยิ้มที่เห็นแล้วสื่อความรู้สึกออกมาไม่ได้ พูดอีกอย่างก็คือเหมือนตัวเขาไม่มีความรู้สึกที่แท้จริงหลงเหลืออยู่แล้ว...
“นายเป็นใครกันแน่?” ดีโอหรี่ตามองให้ชัดๆ ในขณะที่เขาเดินเข้ามาใกล้ดีโอเรื่อยๆนั้นตัวของเขากลับมองเลือนรางเรื่อยๆ...
“ถ้าเป็นคนปกติจะรู้เลยนะว่าฉันเป็นอะไรกันแน่” ในที่สุดคริสก็หยุดอยู่ตรงหน้าดีโอ “ฉันคงร่างไว้เหมือนคนได้เนียนอันนั้นฉันรู้ดี แต่ครั้งนี้ฉันพยายามทำให้มันดูเบลอๆเหมือนอยู่ในความฝันแล้วนะ...ทำไมนายถึงยังไม่เชื่อในสายตาตัวเองอีก?” คริสมองลงไปที่ร่างของซินเวในอ้อมแขนดีโอ “เธอหน้าซีดเหมือนคนกำลังจะตายแหนะ ทำไมนายถึงไม่ดูแลเพื่อนของนายให้มันดีกว่านี้บ้าง ร่างกายเธออ่อนแอและไม่ได้แข็งแรงเหมือนนายนะคุณนักสืบ ธาตุและออร่าที่ฉันเห็นจากร่างเธอมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก...” คริสมองดีโออีกครั้ง “ว่าแต่ฉันจะทำยังไงถึงนายจะยอมเชื่อว่าฉันเป็นผีซะที?”
เกิดความเงียบขึ้นพักใหญ่ๆ...ดีโอจ้องมองดวงตาเรียวโตที่อยู่บนใบหน้าอันหล่อเหลาของคริสและเพิ่งสังเกตว่ามันไร้แวว...
"อ้อ" คริสเหมือนนึกอะไรได้ "ไม่อยากรู้หรอว่าฉันรู้เรื่องบุษบาได้ยังไง? ไม่อยากรู้หรอว่าทำไมลู่หานถึงโดนกระชากมือไปแบบนั้น?" เขายิ้มภูมิภูมิใจ "ฉันเหมือนตัวร้ายในละครก็จริงแต่ความจริงฉันเป็นคนดีนะ...เอ้ยไม่ใช่สิ ฉันเป็นผีที่ดีมากนะ ฉันเห็นร่างผู้ชายสองคนที่ท่าทางไม่เหมือนผู้ชายนอนสลบอยู่ตรงบันได ฉันใจดีมากนะเนี่ยที่ไปลากแขนลู่หานให้มาพบร่างของเพื่อนๆเขาน่ะ และเหตุการณ์ครั้งนี้เองที่ทำให้ฉันเจอเธอ..." เขามองซินเวอีกครั้งก่อนจะเล่าต่อไป "เธอกับนายกำลังนั่งคุยกับคนที่ชื่อลู่หานและ...อีกคนชื่อไรนะ? แบคหรอ? ฉันถึงได้รู้เรื่องบุษบาไง สรุปแล้วคือฉันเป็นผีที่ไปกระชากแขนลู่หานและบังเอิญไปได้ยินเรื่องบุษบานั่นเอง"
"...แล้วจุดประสงค์จริงๆของนายคืออะไรกันแน่..."
"...อืม...ไม่รู้สิ" คริสทำหน้าครุ่นคิด "แต่จุดประสงค์ตอนนี้คืออยากให้นายเชื่อว่าฉันเป็นผีซักที...ฉันต้องทำยังไงถึงนายจะเชื่องั้นหรอ? กระชากแขนก็แล้ว ทำตัวจางๆก็แล้ว..."
“หายตัวไปสิ” ดีโอตอบ “ไม่ก็เดินทะลุตัวฉันไป”
“แต่ฉันทำอะไรได้เยอะกว่านั้นเพื่อน...” คริสยิ้มมุมปากก่อนจะดีดนิ้วตัวเองและหายลับไปพร้อมๆกับป่าทึบรอบๆกาย
ดีโอกระพริบตาปริบๆไล่ความสับสนงุนงงออกไปก่อนจะรู้ตัวว่ากำลังยืนอยู่ที่สวนสาธารณที่มีแสงไฟส่องสว่างจ้า... เขาเห็นลานจอดรถและเขาเห็นหอพักอยู่เบื้องหน้าเขาชัดเจนดี...ทั้งๆที่เมือกี้เขาเพิ่งคุยกับคริสในป่าที่ไกลกว่าทะเลสาบอีก...
หรือว่านี่เขา...โดนผีหลอกมางั้นหรอ...
ความคิดเห็น