คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : ตอนที่ 12 แม่มด
ไคกอดลาพี่สาวตัวเองแน่นเขาหวังอย่างเดียวเท่านั้น ขอให้ปลอดภัยกลับมา เขาคงต้องเป็นบ้าแน่ๆถ้าพี่สาวเขาเป็นอะไรอีก นี่จะเป็นครั้งที่สองที่พี่เขาจะหายไปอีกครั้ง ส่วนเซฮุนครั้งนี้เขาไม่ได้ทำตัวเป็นเด็กงอแง เขาดูสุขุมและจริงจัง เขากระซิบบอกอะไรบางอย่างกับชานยอล
ไม่นาน เซมี คริส แบคคยอน ชานยอล และ ดีโอ ก็ออกเดินทางไปสนามบินเพื่อบินข้ามทวีปไปตามหาตัวซิ่วหมิน จากข้อมูลที่เซมีและคริสได้มา โดยที่เขาใช้นามของซูโฮในการค้นหานี้ ปรากฏว่าเขาเจอร่องรอยบางอย่างที่ทะเลทรายแทบอเมริกาเหนือ ที่รู้จักกันในชื่อ หุบเขามรณะ มีการค้นพบว่าแถวนี้มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นบ่อยครั้งและใครก็ตามที่เข้าไปจะต้องเจอกับเขาวงกตที่ซับซ้อนจนหาทางออกไม่เจอ แต่เรื่องน่าประหลาดนั่นก็คือ มีชาวบ้านหลายคนที่เคยหลงเข้าไปและเหมือนจะไม่มีทางกลับออกมาได้ จู่ๆก็พบชายคนนึงที่ท่าทางแปลกๆ ชายคนนี้จะชี้ทางที่ถูกต้องให้ชาวบ้านได้ออกจากเขาวงกตและเมื่อชาวบ้านปลอดภัยเขาก็จะหายตัวไปในทันที ชาวบ้านจะเรียกชายคนนี้ว่า ทูตแห่งมรณะ ชาวบ้านคิดว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ และนั่นคือสิ่งที่หน้าสงสัย มันอาจจะเป็นคนที่พวกเขากำลังตามหาอยู่ก็เป็นได้
“ฉันจะแปลงร่างถ้าจำเป็น” ชานยอลบอกกับทุกๆคน
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่หมายเมื่ออกจากสนามบินอากาศค่อนข้างร้อนถึงร้อนมาก อุนหภูมิต้องเกินกว่า35องศาหรืออาจจะมากถึง40องศา เซมี แบคคยอน และ ดีโอต้องไปหาเสื้อหมวกและผ้าคลุมหัวมาปกปิดร่างกายและใบหน้าให้ได้มากที่สุดไม่งั้นพวกเขาคงจะเป็นลมแน่ๆ ส่วนชานยอลกับคริส พวกเขาแค่หาหมวกกับแว่นกันแดดใส่เท่านั้น
“ฉันจะพยายามนึกเรื่องสำคัญๆของยัยแม่มดนั่นให้ออก” แบคคยอนกล่าว “วิธีกำจัดมัน หรืออะไรก็ตามที่มีประโยชน์”
“ส่วนฉัน” ดีโอเอ่ย “จะพยายามสกัดไม่ให้มันเข้ามาใกล้”
“ดีมาก” คริสพูด “แต่ตอนนี้เราต้องตามหาพี่ชายนายให้เจอก่อน”
ดีโอมองดูแผนที่และข้อมูลที่หอบมา “หุบเขามรณะห่างจากที่นี่ไม่ไกลเท่าไหร่ แค่ขึ้นแท็กซี่ก็ไปถึงแล้วละ”
พวกเขาไม่รีรอโบกแท็กซี่และตรงไปยังหุบเขานั่นทันที และเมื่อไปถึงอุนหภูมิก็เพิ่มขึ้นจนสัมผัสได้ เหงื่อของทุกคนผุดขึ้นมาเป็นระยะๆระหว่างที่จ้ำเข้าไปในพื้นที่ที่มีแต่ทะเลทราย ทะเลทราย และ ทะเลทราย จนกระทั่งมาเจอหมู่บ้านเล็กๆซึ่งมีผู้คนไม่ถึง20คนได้ เซมีเดินเข้าไปถามทางไปเขาวงกต ซึ่งทำให้ชาวบ้านแปลกใจ ไม่มีใครเขาอยากไปเขาวงกตกันหรอก แต่ชาวบ้านก็ชี้ทางให้พวกเขาและเตือนด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่ามันอันตรายทางที่ดีอย่าเข้าไปใกล้มันดีกว่า
“ฉันว่าตรงนี้ละ” ดีโอเริ่มมองแผนที่อีกครั้ง เขาลองตะแคงแผนที่กลับหัวกลับหางดูแล้วน่าจะที่นี่ “ฉันเห็นทะเลทรายมันวกวน พวกนายเห็นมั้ย ตรงนั้น...” เขาชี้ให้ทุกคนดู และมันแบบนั้นจริงๆด้วย ทะเลทรายวกวนจริงๆ มันดูเหมือนมีงูยาวยักษ์กำลังขดตัวไปมาท่ามกลางพื้นทรายเหล่านั้น
“ไปกันเถอะ” คริสบอกและเดินนำพวกเขาไปเข้าไป
“เหลือเชื่อเลยจริงๆ” แบคคยอนพูดขึ้นมาพลางเอาขยับหมวกให้บดบังใบหน้า “เข้ามาในนี้แล้วมองไม่เห็นทางข้างหน้าเลย...แล้วแบบนี้เราจะรู้ได้ยังไงว่าเรากำลังเดินไปทางไหน เราอาจจะเดินวนเป็นวงกลมอยู่ก็ได้นะ”
“นั่นก็ไม่เห็นเป็นไร” เซมีที่จ้ำอ้าวผ่านพื้นทรายอย่างยากลำบาก เธอต้องเกาะแขนชานยอลเพื่อช่วยให้เดินไปข้างหน้าได้ “จุดประสงค์เราคือมาหลงทางกันไม่ใช่หรอ”
“นั่นสินะ” แบคคยอนตอบ “เราต้องหลงทาง ฉันลืมไป”
แต่พวกเขาพลาดอะไรไปบางอย่าง นั่นก็คือพายุทะเลทราย ในข้อมูลไม่ได้มีเขียนไว้และชาวบ้านก็ไม่ได้บอก พายุเริ่มพัดกระหน่ำใส่พวกเขาจนมองไม่เห็นทางมันเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ เซมีเกาะแขนชานยอลแน่นกลัวตัวจะปลิวไปกับสายลม คริสตะโกนแหวกพายุมา
“หยุดก่อน!! หยุดเดินก่อน!! หมอบลง! ทุกคนหมอบลงและรอให้พายุสงบ!!”
เซมีกับชานยอลทำตามคำสั่ง ชานยอลกดหัวเซมีลงแนบในอกของเขาและทั้งสองก็ย่อตัวลงให้ต่ำที่สุด พายุพัดกระหน่ำอยู่นานจนในที่สุดก็หยุดซักที เซมีเงยหน้าขึ้นมองชานยอลและมองไปที่คริส พวกเขาปลอดภัย แต่เมื่อมองไปข้างหลัง
ดีโอ กับ แบคคยอน หายไปแล้ว!!
“ดีโอ!!” เซมีตะโกนก้อง “แบคคยอน! อยู่ไหนน่ะ”
เกิดความกระหนกตกใจขึ้น คริสเดินอ้อมไปดูตรงเนินตรงนั้นตรงนี้ก็หาพวกเขาไม่เจอ ชานยอลขึ้นไปดูที่เนินที่สูงที่สุดมองลงมาก็ไม่เห็นพวกเขา ทั้งสองคนนั่นพรากออกไปจากกลุ่มแล้ว
“ไม่เป็นไร” คริสบอกเซมีกับชานยอล “ก็เป็นไปตามแผน” ถึงเขาจะดูไม่ค่อยสบายใจนักก็ตาม “เราเดินต่อกันเถอะ”
ไม่มีใครพูดอะไร พวกเขาเดินมาได้พักนึงแล้วระหว่างที่เดินอยู่นั้นก็ตะโกนเรียกดีโอกับแบคคยอนไปด้วย มันทำให้เสียพลังงานไปเยอะเหมือนกัน แต่เซมี...เธอไม่เหนื่อยมากนัก ซึ่งมันเป็นเรื่องที่แปลก ทั้งคริสและชานยอลต่างก็หอบและฝีเท้าก็ช้าลงเรื่อยๆ แต่เซมียังเดินเกาะแขนชานยอลและก้าวเท้าต่อไปได้สบายๆ
พายุรอกที่สองมา พวกเขารวมกลุ่มกันไว้และหมอบลงต่ำเหมือนเดิม รอเวลาให้พายุสงบลงแต่ครั้งนี้รุนแรงกว่าเดิมเล็กน้อย พวกเขาต้องหลับตาปิดปากปิดจมูกแน่นเพื่อกันทรายที่พุ่งเข้ามา ไม่นานเมื่อพายุสงบ เซมีลืมตาขึ้นช้าๆและเธอก็ต้องตกใจเช่นเดียวกับที่คริสกับชานยอลตกใจ
พวกเขาไม่ได้อยู่ที่เดิม ไม่ได้อยู่ที่ทะเลทรายด้วย มันเป็นเหมือนบ้านไม้...ที่ดูสะอาดสะอ้านภายในทำด้วยไม้สีดำทั้งหมด มันก็ดูเรียบร้อยและสะอาดมาก เซมีลุกขึ้นยืนมองไปรอบๆ และเห็นหม้อใบใหญ่วางอยู่กลางห้อง ข้างในหม้อมีของเหลวสีเขียวเรืองแสงกำลังเดือดปุดๆอยู่ และเมื่อมองไปอีกทางเธอก็ต้องสะดุ้ง
ชายร่างค่อนข้างเล็ก (ประมาณดีโอ) ยืนมองพวกเขา...มองพวกเขาด้วยรอยยิ้มที่อาจจะเป็นมิตร แต่สิ่งที่ทำให้เซมีสะดุ้งนั่นก็คือตามตัวเขา มีรอยสักสีดำแปลกประหลาดหรืออาจจะไม่ใช่รอยสัก มันเหมือนงูเลี้อยไปเลื้อยมาเต็มแขน คอ และ ลามไปถึงใบหน้าครึ่งนึงของเขา ถึงเขาจะยิ้มแต่นั่นก็ดูขัดกับรอยสักงูนั่นมาก
ชานยอลลากเซมีให้ไปหลบข้างหลังเขาทันที คริสยืนมองอย่างระมัดระวัง พวกเขาเงียบต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรเลย แต่ชายคนนั้นก็ยังยิ้ม...
จู่ๆก็มีเสียงๆนึงดังขึ้นมาจากประตูอีกห้อง ทำให้ทุกคนต้องหันไปมองทันที
“เซมี” เสียงดีโอนั่นเอง เขาเปิดประตูเข้ามาในห้องและตามด้วยแบคคยอน พวกเขาดูปลอดภัยดี
“นั่น” แบคคยอนบอกพลางมองไปทางชายคนนั้น “พี่ชายฉันเอง พี่ซิ่วหมิน”
เซมีหันกลับไปมองชายร่างเล็ก...และหยุดสะพรึง รอยยิ้มที่ดูไม่แน่ใจนั้นกลับกลายเป็นรอยยิ้มที่สดในและอบอุ่นทันที ชานยอลโล่งจนเผลอถอนหายใจเสียงดัง เขาคงจะไม่ใช่อย่างที่พวกเขาคิดไว้
“ตกใจละสิ” ซิ่วหมินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฉันเองก็ตกใจเหมือนกัน นานๆครั้งจะมีคนมาเยี่ยมแบบนี้...ไม่ใช่สิ ครั้งแรกเลยที่มีคนมาเยี่ยมแบบนี้” เขายื่นมือไปให้ชานยอลตรงหน้า ชานยอลก็ยิ้มตอบและจับมือเขา “ฉันเป็นพ่อมด พวกนายรู้ใช่มั้ยละ”
“อือ” ชานยอลพยักหน้ารับ “พวกเรามาขอความช่วยเหลือจากนาย”
“อ๋อ” เขาไม่ได้ทำหน้าแปลกใจหรืออะไรเลย เขาทำเหมือนรู้อยู่แล้วด้วย “มีคนถูกสาปใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ” เซมีรีบต่อ “เราต้องรีบไปช่วยเขา ได้โปรดไปกับเราด้วย”
“ได้อยู่แล้ว” เขาตอบรับทันที “แต่ก่อนอื่นช่วยเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังก่อนได้หรือเปล่า” เขาหันไปสบตากับแบคคยอนแปปนึง “ฉันรู้แล้วละ ว่าใครทำ มีแม่มดที่ชั่วร้ายในโลกนี้แค่คนเดียวเท่านั้น”
แบคคยอนอาสาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง และเมื่อเล่าไปเรื่อยๆสีหน้าของซิ่วหมินก็เริ่มซีดและกลายเป็นตื่นตระหนกทันที เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรง
“มันต้องการตัวฉัน!” ซิ่วหมินโพล่งออกมา “แสดงว่ามันใกล้จะตายแล้ว”
ทุกคนหันไปจ้องซิ่วหมินกันเป็นตาเดียว เขาเล่าต่ออย่างรีบๆ
“มันต้องการคนสืบทอดสายเลือด” เขาหันสายตาที่ลุกลี้ลุกลนไปให้ทุกคน “ฉันออกไปข้างนอกนั่นไม่ได้แล้วละ ฉันเสียใจ”
“พี่” แบคคยอนเรียกซิ่วหมิน ซึ่งทำให้เขาแปลกใจอยุ่ไม่น้อยที่ได้ยินคนเรียกแบบนั้น “พวกเราจะปกป้องพี่เอง พี่ไปกับเรา พี่ไม่ต้อง--”
“ไม่มีใครต้านยัยแม่มดนั่นได้หรอก! นายก็รู้!” เขาหันมาพูดเสียงดังกับแบคคยอน “ฉันขอโทษที่ฉันเห็นแก่ตัวนะ แต่ที่พวกนายมาเจอฉันที่นี่มันก็เข้าตามแผนของยัยนั่นเลยไม่ใช่หรอ”
ใช่ทุกคนรู้ดี แต่ว่าซูโฮสำคัญกว่าแผนของแม่มดปีศาจนั่นหลายเท่า
“จะกลัวอะไร” จู่ๆคริสก็พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยมาก “นายคิดว่าพวกเราเป็นมนุษย์ธรรมดาๆหรือยังไง”
ซิ่วหมินเบิกตากว้าง เขาพูดตะกุกตะกัก “พวกนายเป็นพ่อมดแม่มดด้วยงั้นหรอ...”
“เฮ้ย ไม่ใช่” คริสรีบปฏิเสธ “เดี๋ยวนะ...” แล้วเขาก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ “พ่อมดแม่มดด้วยงั้นหรอ?...ยังมีพ่อมดที่นอกจากนายอยู่ด้วยหรอ?”
“ใช่สิ” เขารีบตอบ ทุกคนตกใจทันที “มีแม่มด พ่อมด มากมายบนโลกนี้แต่พวกเราล้วนอยู่ฝ่ายดีทั้งหมด นอกจากยัยนั่นคนเดียว”
“ไม่อยากจะเชื่อ...” คริสบ่นพึมพำ มันเหมือนในนิทานหลอกเด็กเกินไปแล้ว แต่พอมานึกดูดีๆ คริสเองก็ใช่คนปกติที่ไหน อยู่มาตั้งหลายปี...เขาเลย “นั่นสินะ โลกเราไม่ได้มีแต่มนุษย์ซักหน่อย”
“แล้วนายหมายความว่าไงที่บอกว่าไม่ธรรมดาน่ะ” ซิ่วหมินทวง
“อ๋อ” คริสเพิ่งนึกได้ “หมอนี่” เขาชี้ไปที่ดีโอ “เป็นมนุษย์พลังจิต สามารถสั่งให้อะไรก็ได้ลอยลิ่วข้ามหัวนายมา ส่วนหมอนี่ หรือ น้องชายนาย สามารถมองเห็นอดีตของคนอื่นได้ ส่วนเธอคนนี้ ไม่เคยได้นอนหลับร่างกายไม่เคยต้องการพักผ่อน สุดท้ายหมอนี่” เขาชี้ไปที่ชานยอล “เป็นมนุษย์หมาป่า”
คนสุดท้ายนี่ทำให้ซิ่วหมินถึงกับสะดุ้งโหยงจนเผลอถอยก้าวออกห่าง ทุกคนดูงุนงงกับท่าทีที่แปลกๆไปของซิ่วหมิน
“พะ-พวกนาย” ปากเขาสั่น “พวกนายเป็นอัศวินในตำนานงั้นหรอ!”
ทุกคนยิ่งงงเข้าไปอีก
“อะไรคืออัศวินในตำนาน?” คริสถาม อยู่มาร้อยกว่าปีเพิ่งจะเคยได้ยิน
“อัศวินไง!” เขายังคงตกตะลึง “อัศวินของจอมเวทย์!”
“เดี๋ยวๆ” คริสขัดและยกมือขึ้นมากลางอากาศ “เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้วนะ นี่มันอะไรกันน่ะ”
“ไม่แปลกหรอกที่ไม่รู้จัก” ซิ่วหมินพยายามเล่าให้ปกติ “มันเป็นตำนานของโลกพ่อมดแม่มด”
“ดี” คริสเอ่ย “ถ้างั้นช่วยเล่าตำนานนั้นให้เราได้รู้ด้วย ถึงเวลาจะมีไม่มากแต่ข้อมูลก็สำคัญเหมือนกัน”
“ได้...” เขาลังเล “เมื่อหลายร้อยปีก่อน...”
“เดี๋ยว” คริสขัดอีกครั้ง “ระบุได้มั้ยว่ากี่ปี”
“เอ่อ...” ซิ่วหมินไม่แน่ใจ “ประมาณ 400 ปีก่อน ถ้าจำไม่ผิด”
“อ๋อ โอเค” คริสทำท่าโบกมือให้เล่าต่อไป
“เรื่องมันมีอยู่ว่า นั่นแหละ...เมื่อ400ปีก่อน มีจอมเวทย์ที่ทรงพลังมากอยู่คนนึง จอมเวทย์คนนั้นได้ร่ายเวทย์มนต์ใส่หญิงสาวบริสุทธิ์ให้เธอกลายเป็นแม่มดเพราะหวังว่าหญิงสาวคนนั้นจะได้เป็นจอมเวทย์เหมือนเขา และจะได้อยู่ด้วยกัน แต่หญิงสาวคนนั้นโกรธมาก ความบริสุทธิ์ของเธอถูกจอมเวทย์ขโมยไปในที่สุด...เธอเก็บความเคียดแค้นเหล่านั้นไว้ในอกจนกระทั่งวันนึง เธอวางแผนที่ชั่วร้ายมาก เธอมอบดวงวิญญาณให้กับซาตาน เธอบูชายัญลูกๆทั้งหมดของเธอให้ซาตาน เธอดื่มเลือดลูกๆของเธอ เธอฆ่าเด็กสาวเด็กชายให้ตายและรีดเลือดของเด็กมาดื่มด่ำจนเลือดภายในร่างกายของเธอเป็นสีดำทมิฬ รวมไปถึงจิตใจด้วยเช่นกัน...เมื่อแม่มดมีพลังมากขึ้น เธอพยายามจะกำจัดจอมเวทย์ แต่จอมเวทย์รู้ตัวซะก่อนเขาจึงหนีไปและเขารู้ด้วยว่าเวลาของเขาใกล้จะหมดลงแล้ว เขาอยู่บนโลกมานานเกินพอ เขาจึงตัดสินใจสร้างพ่อมดอีกคนขึ้นมาเพื่อให้พ่อมดกำจัดแม่มดนั่นออกไป และเขายังตัดสินใจบันทึกเรื่องราวในกระดาษและส่งต่อไปให้คนพ่อมดคนนั้น แต่ก่อนที่จอมเวทย์จะสิ้นใจลงเขาได้สร้างกองทัพเล็กๆเพื่อปกป้องพ่อมดคนนั้นจากแม่มดปีศาจไว้อีกด้วย นั่นก็คือเหล่าอัศวิน อัศวินมีทั้งหมด 12คน และแต่ละคนจะมีพลังที่แตกต่างกันออกไป ฉันจำได้หนึ่งในนั้นคือมนุษย์หมาป่า และที่สำคัญที่สุด...คือพลังแห่งการล่วงรู้เรื่องราวในอดีต” ซิ่วหมินหันไปมองแบคคยอน ทุกๆคนก็เช่นกัน “พลังนี้จะทำให้เขาเข้าใจเรื่องราวในอดีตได้ชัดเจนยิ่งกว่าบันทึกไหนๆ แม่มดปีศาจนั่น” เขาหันมาพูดกับทุกคน “ถึงจะมีพลังมากแต่ใช่ว่าจะมีอายุยืนหรือเป็นอมตะ เธอแก่ชราลงและตายไปในที่สุด...แต่ก่อนตายเธอก็ได้มอบเลือดชั่วนั้นไปให้รุ่นต่อไปเรียบร้อยแล้ว...” เขาหยุดไปพักใหญ่ก่อนจะต่อ “ซึ่งมันก็สืบต่อกันมาถึงปัจจุบัน...จนมาถึงรุ่นฉัน เมื่อแม่มดปีศาจนั่นตาย...ฉันจะกลายเป็นพ่อมดร้ายแทนที่ทันที” ทุกคนตกใจ เซมีถึงกับเอามือปิดปาก “ฉันถึงต้องหนีมาอยู่ที่ไกลๆจากผู้คนแบบนี้ แต่ฉันโชคดี” เขาหันไปดูหม้อใบใหญ่ที่วางอยู่กลางห้อง “ฉันเป็นพวกอัจฉริยะ...ไม่ได้อยากชมตัวเองหรอกนะ แต่ใครๆเขาก็เรียกแบบนั้น และฉันยังโชคดีที่ไปเจอบันทึกของพ่อมดคนนึง เขาเป็นพ่อมดที่เก่งมากเขาเขียนขั้นตอนการปรุงยาแก้คำสาปจากยัยปีศาจได้และฉันก็ได้ปรับเปลี่ยนเล็กน้อยเพื่อให้มันได้ผลยิ่งขึ้น...แต่นั่นแหละฉันก็ยังไม่เคยลอง เพราะฉันต้องกลายเป็นพ่อมดปีศาจก่อน ถึงจะกินยานั่นได้” เขาหันไปสบตากับทุกๆคนต่อ “ฉันต้องอยู่ที่นี่ เพื่อจะได้กำจัดสายเลือดชั่วนี่ออกไป”
“พ่อมดคนนั้นที่ได้รับบันทึกตอนนี้เขาอยู่ไหน?” คริสถาม
“ฉันไม่รู้ เขาน่าจะตายได้แล้วละ แต่ที่ฉันรู้คือเขาเป็นคนทำให้อัศวินถือกำเนิดขึ้นมาจริงๆ จอมเวทย์แค่ร่ายมนต์แต่พ่อมดเป็นคนปลุกให้อัศวินตื่น”
“ปลุกยังไง? ” คริสยังคงถามต่อไป
“ฉันไม่รู้ ตำนานมันก็เล่ามาแค่นั้น...” ซิ่วหมินแปลกใจที่คริสถามเยอะแยะ
“พ่อมดคนนั้นมีลักษณะเป็นยังไงหรอ?”
“อันนี้ก็ไม่รู้...ทำไมถึงอยากรู้เกี่ยวกับพ่อมดคนนั้นละ”
“ก็จะได้ไปขอช่วยไง พ่อมดคนนั้นอาจจะช่วยกำจัดแม่มดปีศาจได้” เป็นความคิดที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว
“งั้นต้องถามพ่อมดเฒ่า” ซิ่วหมินเสนอ “ท่านอาจจะรู้”
เขาไม่รอให้ทุกคนตั้งตัว เขาเดินไปยังเตาผิงและท่องอะไรบางอย่างสองสามคำที่คนอื่นไม่ได้ยิน ไม่นานไฟที่เตาผิงก็ลุกพรึ่บ! เป็นเปลวไฟสีแดง และในนั้นไฟนั้นก็มีภาพชายชราแก่ๆคนนึงกำลังนั่งหลับบนเก้าอี้โยก
“ท่านผู้เฒ่า!” ซิ่วหมินตะโกนเรียก “ท่านครับ! ลืมตาขึ้นก่อน!!”
ชายชราในเปลวไฟท่าทางงุนงงและงัวเงียมาก เขาหันซ้ายหันขวาดูว่าใครเรียกเขาก่อนจะจ้องกลับมาในเปลวไฟ รอยยิ้มผุดขึ้นบนในหน้าทันทีที่เขาเห็นซิ่วหมิน
“ว่าไงพ่อมดน้อย” เขาทักทายเหมือนจะรู้จักซิ่วหมินดี
“ผมอยากให้ท่านผู้เฒ่าเล่าตำนานให้พวกเราฟังหน่อยครับ”
ชายชราเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะกวาดสายตามองทุกๆคนในห้อง และยิ้ม “มีเพื่อนมาหาแล้วสินะพ่อมดน้อย อยากให้ฉันเล่าตำนานไหนละ”
“พ่อมดคนแรกที่จอมเวทย์สร้างขึ้นมาครับ”
“อ่า...เขาคนนั้น” ผู้เฒ่าเริ่มนึกเรื่องราว “เขาเป็นพ่อมดที่ดีมาก...เขาพยายามตระเวนหาอัศวินไปทั่วเพื่อปลุกให้ตื่น ตอนนี้เขาอยู่ไกลแสนไกล...”
“หมายความว่าเขายังอยู่?” คริสกระโจนเข้ามาถาม สีหน้าดูพอใจมากที่ได้ยินประโยคนั้นจากชายชรา ชายชรามองใบหน้าของคริสอยู่นานกว่าเขาจะยิ้มและตอบกลับมา
“ใช่แล้วพ่อหนุ่ม” ชายชรายิ้ม “เขายังอยู่กับพวกเรา...ตราบใดที่แม่มดชั่วยังไม่ไปไหน”
“เขาอยู่ที่ไหนครับ” คริสถามต่อ
“ไกลเหลือเกินพ่อหนุ่ม...ไกลจนเราคิดไม่ถึง”
“ไกลแค่ไหนก็ไปได้ครับ พอบอกทิศทางให้พวกเราได้มั้ยครับ?”
“ไม่ได้หรอก...” ชายชรายิ้มให้คริส “พวกเธอไปไม่ถึงหรอก”
คริสถามใหม่ “งั้นเขามีลักษณะเป็นยังไง แบบไหน หน้าตา แบบว่า...”
ชายชราหัวเราะในลำคอเล็กน้อยก่อนตอบ “เขาช่างเป็นพ่อมดที่วิเศษ มีชีวิตที่ยืนนานกว่าใครๆ” น้ำเสียงเขาเริ่มดูเพ้อฝันผสมกับความปลื้มปิติ “เขารูปร่างสูงสง่า ใบหน้าที่สุดแสนจะงดงาม...”
“เขาชื่ออะไรครับ” คริสตั้งคำถามใหม่ “เอ่อ..เขามีชื่อมั้ยครับ”
“มีสิ” ชายชรายิ้ม “เขาชื่อพ่อมดเมอร์ลิน”
ทั้งห้องเงียบกริบแต่ว่าคริส
“อะไรนะ!!” จู่ๆเขาก็ตะคอกใส่ชายชราจนซิ่วหมินหันมาเหล่ “เมอร์ลิน?
ใช่เมอร์ลินเทพแห่งคาสิโนหรือเปล่า?”
ชายชราหัวเราะในลำคออีกครั้ง ทุกคนต่างงุนงงกับคำพูดของคริส
“มีอยู่ช่วงนึง ที่เป็นช่วงแห่งความสงบสุข” ชายชราเล่าต่อ “ช่วงนั้นเขาค่อนข้างปล่อยเนื้อปล่อยตัว” ชายชราหัวเราะ “ใช่แล้ว นั่นคือฉายานึงที่เขาได้มา มีฉายาอีกมากมายที่เขาได้รับไม่ว่าจะเป็น นักขุดทองมือฉมัง พ่อหนุ่มทำนายอนาคต เจ้าชายแห่งนักรบ หมอเทวดากำราบทุกโรค...”
“นักต้มตุ๋นใจบุญ ชายผู้ให้กำเนิดสุข เจ้าชายแห่งมายากล และ เทพคาสิโน ใช่มั้ย!” คริสท่องต่อจากชายชรา และ ชายชราพยักหน้าพร้อมฉีกยิ้ม
ทุกคนแทบจะหายใจได้ไม่ทั่วท้อง มีเรื่องให้ได้แปลกใจและตื่นเต้นอยู่ทุกๆวินาที จนตอนนี้แบคคยอนต้องนวดขมับเป็นเนืองๆ ดีโอที่ตาโตอยู่แล้วยิ่งโตเข้าไปอีกเมื่อได้ยินคริสพูดว่า
“นั่นมันฉายาพ่อของฉันนี่!!”
ความคิดเห็น