คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 5: เอลทิสค้างคาวเลือด
ฉันตื่นมาอีกครั้งในช่วงเช้าตรู่ของอีกวัน ฉันนอนอยู่บนเตียงนอนของฉัน ในคฤหาสน์คาลอนลอส เสื่อผ้าก็ยังคงใส่ชุดเดิม เพียงแต่ผ้าคลุมถูกถอดไปแขวนไว้ ตามปกติ... ฉันกวาดสายตามองรอบ ๆ ห้องด้วยอาการมึนงง เล็กน้อย ไม่นานประตูห้องของฉันก็ถูกเปิดออกโดยปีศาจสาวร่างเล็ก เจ้าของเรือนผมสีเขียวธรรมชาติ
“คุณเซเลเน่ ฟื้นแล้วสินะคะ!” เมื่อเธอเข้ามาเห็นฉันนั่งกุมศีรษะอยู่บนเตียง เธอก็รีบวิ่งเข้มาหาฉันหันที “คุณเซเลเน่ถูกค้างคาวเลือดกัดค่ะ...แต่รู้สึกว่า บรรยากาศโดยรอบบริเวณป่าจะถูกพ่นไปด้วยยาพิษอะไรซักอย่าง เมื่อร่างกายเกิดบาดแผล จึงทำให้พิษแทรกซึมผ่านสายเลือดเข้าสู่ร่างกายค่ะ!” พอลลี่อธิบายยาวเหยียดราวกับเธอเป็นหมอที่มาช่วยรักษาฉัน...อ่า...ไม่สิ...เธอช่วยรักษาฉันไปบ้างแล้ว
“ขอบคุณนะ...พอลลี่” ฉันกล่าวขอบคุณด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย ไม่แสดงถึงอารมณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น “แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ โพลเลน แล้ว ท่านพีสทิลว่ายังไงเรื่องเธอบ้าง” ฉันวางมือประสานลงบนหน้าตัก แล้วเอ่ยถามเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ถ้าเป็นท่านพีสทิล...บอกว่าให้หนูพักอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้ค่ะ แต่ว่าช่วยรอให้คุณเซเลเน่ฟื้นก่อน แล้วช่วยไปอธิบายเหตุผลด้วยค่ะ” เธอพูดด้วยใบหน้าใสซื่อ “ส่วนคุณโพลเลนตอนนี้ยังหลับอยู่เลยค่ะ...เห็นว่าเมื่อคืนคุยกับท่านอันเทอร์จนดึก” เธอตอบพลางช่วยพยุงฉันให้ยืนขึ้น
“อืม...เดี๋ยวฉันขออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนซักหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวจะลงไปคุยกับท่านพีสทิล...ฝากบอกท่านด้วยนะพอลลี่” ฉันบอก ขณะหมุนตัวจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะคว้าผ้าขนหนูเข้าไปซักผืน
“ค่ะ...พอลลี่ลงไปนั่งรอที่ห้องทานอาหารนะคะ...เกือบทุกคนอยู่ที่นั่น” เธอพูดก่อนจะเดินออกไปห้องนอนของฉันอย่างเงียบ ๆ
“...” หลังจากพอลลี่เดินลงไปฉันก็ได้แต่ยืนเหม่อลอยในห้องอยู่คนเดียวเป็นเวลากว่าสิบนาที กล่าจะรู้ตัวก็ทำท่าเหมือนคนบ้าไปซะแล้ว...แต่ฉันคิดว่า เวลาคุย หรือ อยู่ใกล้ ๆ พอลลี่ ฉันรู้สึกเหมือนว่ามีอะไรที่ทำให้รู้สึกสบายใจ แปลก ๆ
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ...ท่านพีสทิล” ฉันกล่าวทักทายตอนเช้า ก่อนนั่งลงตรงเก้าอี้ตรงข้ามกับท่านพีสทิลพอดิบพอดี เมื่อนั่งลงแก้วก้มดูบนโต๊ะอาหารที่วางอยู่ดูเหมือนเนื้อบางอย่างที่ปรุงจนสุกดีแล้ว รอบจานประดับตกแต่งด้วยผักหลากสี(ตรงนี้ขอเน้นว่าหลากสีแบบสีรุ้งเลยที่เดียว>>>เฟย์) ดูน่าทาน ส่วนข้าง ๆ จานก็มีมีดกับส้อมเตรียมไว้ ที่สำคัญแบบขาดไม่ได้คือ เลือดที่ถูกรินไว้ในแก้วไวน์ข้าง ๆ
“เชิญเลยจ้ะเซเลเน่” ท่านพีสทิลผายมือไปยังจานอาหารข้างหน้าฉัน ก่อนเริ่มลงมือจัดการกับสิ่งที่ฉันขอเรียกว่า สเต็ก ของตัวเอง
เมื่อท่านพีสทิลเริ่มลงมือทานอาหาร ฉันเลือกที่จะยกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบเลือดก่อน เพราะ ช่วงวันนี้ฉันยังไม่ได้ดื่มเลือดเลยแม้แค่นิดเดียว...ฉันเลือกที่จะจิบเลือดเข้าไปทีละนิด เพราะ หากดื่มเร็วเหมือนครั้งล่าสุด มันจะส่งผลเสียต่อร่างกายที่เป็นเสมือนเปลวเพลิงของฉันจริง ๆ
“วันนี้แต่งตัวแปลกไปนะเซเลเน่” ท่านพีสทิลเลิกคิ้วอย่างนึกสนุก เมื่อท่านพีสทิลพูด ท่านอันเทอร์กับพอลลี่ หรือแม้แต่ ฟิล่ากับเฟอร์ทิล ก็ยังหันมามองชุดที่ฉันใส่อยู่ตอนนี้เลย
“เฮะ” ฉันส่งเสียงอุทานออกมาเบา ๆ ก่อนก้มลงมองชุดที่ตัวเองใส่ วันที่ชุดที่ฉันเลือกใส่เป็นชุดกระโปรงวันพีชสีเทาแขนยาว ปกกะลาสี ที่ปกผูกโบว์สีชมพูประดับ ส่วนตัวชุดก็เต็มไปด้วยลายลูกไม้สีดำ แถมด้วยตอนนี้ฉันใส่ถุงเท้าลายทางสีขาวดำที่เข้ากันได้กับชุด...ที่ฉันเลือกใส่ชุดนี้เป็นเพราะว่า ฉันอยากจะปิดรอยแผลที่แพ้จากการต่อสู้มาไม่ใช่เพราะจะแต่งโชว์หรืออะไร
“หุหุ จริง ๆ เซเลเน่ก็เหมาะกับชุดหวาน ๆ ดีเหมือนกันนะ ไม่สองแต่งตั้งสไตล์โกธิคโลลิ หรืออะไรที่คล้าย ๆ แบบนี้ดูบ้างล่ะจ้ะ”ท่านพีสทิลพูด ใบหน้าเห็นได้ชัดว่ากำลังจินตนาการฉันใช่ชุดกระปรงฟูฟ่องสีขาวดำอะไรประมาณนี้
“ไม่หรอกค่ะ มันขยับตัวลำบาก” นี่แค่ใส่ชุดนี้ยังเดินลำบาก ดาบที่เหน็บอยู่ข้างเอวจะหยิบซักทีก็แย่กว่าปกติอยู่แล้ว ขืนให้ไปใส่ชุดฟูฟ่องแบบนั้นมีหวังฉันหกล้มหน้าคว่ำแน่ “แต่ก็เคยใส่ชุดแบบนั้นอยู่ครั้งหนึ่งนะคะ” ฉันพูดขณะเอาส้อมจิ้มสเต็กขึ้นมากิน
“งั้นแสดงว่าก็ไม่ได้รังเกียจสินะ” ท่านพีสทิลถามขึ้นอีกครั้ง
“อืม...ก็คงอย่างนั้นล่ะมั้งคะ...ถ้าให้ใส่ก็ได้...แค่ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ค่อยอยากใส่” ฉันตอบเสียงเบา ที่บอกว่าจำเป็นเพราะว่า มี่ใส่ไปครั้งหนึ่งนั้นเป็นการทำงาน ซึ่งมีปีศาจตนหนึ่งว่าจ้างฉันให้ลอบเข้าไปในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง จากนั้นก็ลอบสังหารเจ้าของงานซะ...ฉันจึงจำเป็นต้องใส่ชุดแบบนั้นเข้าไปในงาน
“...ใส่แต่กระโปรงสั้น ๆ ไม่อายบางหรือไง...ช่างน่ารังเกียจเป็นที่สุด...” เสียงกระซิบนินทาแผ่วเบาดังมาจากใครซักคนที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารอยู่ด้วยกันตอนนี้ ซึ่งถ้าให้เดาก็เดาได้ง่าย ๆ ว่าคงจะเป็น ฟีล่า หญิงสาวใบหน้างดงามเจ้าของเรือนผมสีฟ้าอ่อนตนนี้แน่ ๆ
“มันขยับตัวสะดวกดี” ถึงผู้พูดจะไม่ประสงค์ออกนาม แต่ฉันก็ตอบคำถามของเธอออกไป
“เชอะ...หูดีจริงเชียว...ใส่กระโปรงสั้น ๆ กระโดดตัวลอยขนาดนั้น ไม่กลัวกระโปรงของเจ้าจะเปิดหรือไงล่ะ!” ฟีล่ากระแทกเสียงแล้วใช้มือทุบโต๊ะอย่างอารมณ์เสีย ฉันล่ะสงสัยนานแล้ว ตั้งแต่ฉันเข้ามาในคฤหาสน์หลังนี้ รู้สึกฟีล่า กับ เฟอร์ทิลจะไม่ชอบขี้หน้าฉันเท่าไหร่
“ข้าใส่กางเกงไว้ข้างใน” อือ...ฉันงงตัวเองเหมือนกันแฮะ บางที่ก็เรียกแทนตัวเองว่า ข้า บางทีก็เรียก ฉัน (มันเป็นความผิดของไรต์เองค่ะที่พิมพ์ผิดบ่อย โฮๆๆ ToT >>> เฟย์)
“เถียงข้า!” ฟีล่าตะโกนสุดเสียง แล้วลุกขึ้นชี้หน้าฉันอย่างไม่เกรงใจ ผมของฉันเริ่มร้อนขึ้นมาแล้วสิ...ฉันยกมือขึ้นลูบผมก่อนที่มันจะเกิดติดไฟขึ้นมา
“...” ฉันเงียบไม่พูดอะไร เพียงแต่มองไปทาง ฟีล่า ด้วยสายตาเหลืออด ก่อนจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“กริยาเช่นนั้น...เจ้ากล้าทำต่อหน้าข้าอย่างนั้นรึ!” ฟีล่าตะโกน กรีดร้อง แล้วกระทืบเท้า เหมือนคนบ้า จนใครหลายคนเริ่มทนไม่ไหว...โดยเฉพาะ เส้นผมของฉันที่เริ่มร้อนจนเหมือนจะเดือด
“ฟีล่า! เจ้าลูกไม่มีมารยาท นี่...ขนาดข้าตั้งใจเลี้ยงดูเจ้ามาอย่างดี! เจ้ายังกล้าแสดงกริยาไร้ยางอายต่อหน้าข้าที่เป็นพ่อของเจ้าเลยหรือ!” ท่านอันเทอร์ตะโกนขึ้นมา ฉันเองก็เห็นว่าเขานั่งเงียบเหมือนพยายามคุมอารมณ์อยู่นานแล้วแหล่ะ จนสุดท้ายคนเจ้าระเบียบอย่างท่านอันเทอร์ ก็คงเก็บไว้ไม่อยู่สินะ
“ก็ท่านพ่อคะ! ท่านไม่เห็นที่ ยัยเซเลเน่ ทำเมื่อกี้หรอคะ!” ฟีล่าตะโกนเถียงกับท่านอันเทอร์ไปมา โดยมีท่านพีสทิล กับ เฟอร์ทิล คอยห้ามปรามไม่ให้เกิดเป็นการทะเลาะกัน
“เฮ้อ” ฉันถอนหายใจเสียงเบา ถ้าบรรยากาศในห้องนี้เป็นเหมือนตอนแรกก็คงได้ยินเสียงถอนหายใจยาวครั้งนี้ไปแล้ว แต่เพราะตอนนี้มันถูกกลบไปด้วยเสียงกรีดร้องของ ฟีล่า ที่กำลังถกเถียงกับ ท่านอันเทอร์
“ท่านอันเทอร์คะ...ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันช้อนสายตาขึ้นมองร่างของปีศาจสองตนที่ยังถกเถียงกันอยู่ ด้วยกริยาที่ดูสง่างามเป็นที่สุดเพื่อจะประชดฟีล่า จากฉันฉันหยิบผ้าที่ถูกพับเตรียมไว้ขึ้นเช็บริมฝีปากของฉัน ก่อนจะเงายหน้าขึ้นสบตาฟีล่า “ข้าไม่ถือหรอกค่ะ เรื่องแค่นี้เอง...ข้าทานอิ่มแล้วขอตัวก่อนนะคะ” ฉันเลื่อนเก้าอี้ออกเล็กน้อยเพื่อให้สามารถลุกออกไปได้
สิ่งที่คิดตอนนี้ก็แค่ ออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดแค่นั้นล่ะนะ
แล้วรู้สึกเหมือนจะคิดน้อยจนลืมเรื่องสำคัญบางอย่างไป
“อ๊ะ...เดี๋ยวจ้ะ เซเลเน่ เดี๋ยวไปที่ห้องหนังสือทีนะ ยังไม่ได้คุยเรื่องสำคัญกันเลย” ท่านพีสทิลตะโกน ซึ่งฉันก็ได้แต่ก้มหัวรับคำอย่างเฉยชา เพราะ ตอนนี้เส้นผมสีเพลิงของฉันมันชักจะเริ่มมีอาการแปลก ๆ แล้ว ก่อนที่ที่นี่จะไหม้เป็นจุล ฉันคงต้องขอตัวซักพัก
ฉันออกมานั่งที่ศาลาตรงสวนหลังบ้านเหมือนเช้าเมื่อวาน และยังคงนั่งหวีผมตัวเองตามปกติอีกด้วย ที่แปลกคือ ฉันนั่งหวีผมมาได้ซักพักแล้ว แต่ยังรู้สึกเหมือนเส้นผมของฉันยังร้อนระอุ อยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญจิตสังหารที่เคยแผ่ซ่านอยู่ทุกอณูของอากาศในวันนี้ก็ไม่มีของแบบนั้นอยู่ด้วย
“คุณเชเลเน่คะ” เสียงใสของปีศาจสาวตนหนึ่งเรียกฉันจากด้านหลัง ขณะที่ฉันกำลังคิดว่าจะหลับซักหน่อยก่อนไปพบกับ ท่านพีสทิล...เมื่อฉันหันไปก็พบกับ ร่างบางของปีศาจสาวเจ้าของเรือนผมสีเขียว หยักศกที่คุ้นเคย กำลังวิ่งมาพร้อมกับห่อผ้าสีขาวในมือ
“พอลลี่...ห่อผ้านั่นมันคืออะไรน่ะ” ฉันเอ่ยถามเธออย่างสงสัยพลางวางหวีลงบนโต๊ะ ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนมีลมเย็น ๆ พัดอยู่ในตัว ทำให้เส้นผมของฉันมันเริ่มเย็นลงอย่างน่าแปลกประหลาด
“คือ...นี่...ค้างคาวตัวที่...คุณ เซเลเน่ ช่วยไว้น่ะค่ะ” พอลลี่วางห่อผ้าสีขาวนั้นลงบนโต๊ะ ก่อนค่อย ๆ เปิดมันออกราวกับเปิดผ้าที่ห่อกล่องข้าวกล่องญี่ปุ่น...ข้างในห่อผ้านั้นมีร่างของ ค้างคาวต่อหนึ่งที่ลำตัวเต็มไปด้วยแผลเหวอะหวะ ส่วนที่ปีกก็มีแต่โครงกระดูกที่มีรอยไหม้เป็นสีดำ จนถึงตอนนี้ ค้างคาวตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่ คาดว่าคงมาจากการที่ พอลลี่ ช่วยรักษาไว้เบื้องต้น แต่ที่น่าสงสารมากกว่านั้นเป็นเพราะ น้ำตาที่ยังคงไหลรินลงมาจากดวงตากลมโตไม่หยุด
ฉันยื่นมือออกไปข้างหน้า และสัมผัสกับศีรษะของมันเบา ๆ แล้วขยับขึ้นลง แวบหนึ่ง มันหลับตาลง และเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกทีแววตาของมันดูเปี่ยมไปด้วยความหวัง แต่มันก็แค่แวบแรกเพียงเท่านั้น จากนั้นน้ำตาของมันก็ยังคงไหลต่อไป และ แววตาของมันก็ยังคงเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
“พอลลี่...ขอบใจนะ ที่ช่วยดูแลเจ้าค้างคาวตัวนี้ให้...” ฉันปริปากพูดออกมาเบา ๆ พอลลี่นั้นไม่ตอบออกมาเป็นคำพูด แต่กลับยิ้มด้วยสีหน้าที่มีความสุขมากกว่าปกติ
ฉันใช้มือช้อนร่างเล็กนั้นขึ้นมาโอบกอดเบา ๆ อย่างอบอุ่น โชคดีที่ตอนนี้มีลมแรงพัดมาผมของฉันจึงปลิวไปอยู่ด้านหลัง ไม่อย่างนั้นจากหายไปแค่ปีก ได้หายไปทั้งตัวแน่
ฉันอุ้มร่างของเจ้าค้างคาวเดินเข้าในคฤหาสน์ คาลอนลอส ตั้งใจจะเดินตรงเข้าไปในห้องของตัวเองอย่างเงียบ ๆ...ในบรรดาเอกสารที่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับนักฆ่าคน ที่ลุงคริสต์ หามาให้ฉันในช่วง สอง สามใบสุดท้าย นั้นเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการร่ายเวทย์ต่าง ๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ฉันร่ายเวทมนต์พวกนั้นเป็นอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้บอกลุงคริสต์ แต่เท่าที่นั่งดูผ่าน ๆ มีอีกเล็กน้อยที่ฉันยังไม่ได้ฝึก
ทำไมแวมไพร์ที่ดูไม่เกี่ยวข้องกับการใช้เวทมนต์อย่างฉันถึงต้องมานั่งฝึก ร่ายเวทย์น่ะ เป็นเพราะ ฉันมีศัตรูอย่าง เอเลน่า เซนฟิส น่ะสิ ที่ในอดีตฉันแพ้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ เอเลน่า ใช้เวทย์มนต์ในการต่อสู้ ฉันจึงต้องฝึกใช้เวทย์มนต์บ้างยังไงล่ะ
แต่นี่ขนาดคิดไว้ว่าจะรีบเดินขึ้นห้องอย่างเงียบ ๆ แล้วนะ...ทำไมฉันต้องเดินสวนกับ ฟิล่า ในคฤหาสน์ที่ออกใหญ่แบบนี้ด้วยนะ
“ยี๊!!...ยัยเซเลเน่ นี่เธอเอาศพเข้าบ้านทำไมกันยะ” ฟิล่ากรีดร้อง พลางก้าวถอยหลังไปทีละนิดอย่างหวาดกลัวสิ่งที่อยู่ในมือของฉัน...ฉันแหงนหน้าขึ้นมองเธอด้วยสีหน้านิ่งเฉยไม่แสดงถึงอารมณ์ ใด ๆ
“นี่...ไม่ใช่ศพนะ...ค้างคาวตัวนี้...ยังมีชีวิตอยู่!” ฉันรู้สึกโมโหนิด ๆ ที่ ฟิล่า มาพูดว่า เจ้าค้างคาวในมือของฉัน เป็นเพียงแค่ศพค้างคาว ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย เพราะ ฉันรู้สึกว่าเส้นผมของฉันมันเริ่มมีอุณภูมิที่สูงขึ้นอีกแล้ว
เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเริ่มโมโห ฉันจึงรีบหลีกทางเดินมุ่งหน้าไปยังห้องของตัวเองทันที...
เมื่อฉันเข้ามาอยู่ในห้องเรียบร้อย ตรงบริเวณกลางห้องมีพื้นที่ว่างอยู่พอสมควร ฉันวางร่างของ เจ้าค้างคาวลงตรงกลางพลางเดินไปหยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าของฉัน...มันมีลักษณะเป็นขวดแก้วขนาดเล็กที่ข้างในบรรจุของเหลวสีแดงเข้ม แต่ละขวดน่าจะมีขนาดให้ดื่มได้สามอึก ซึ่งขวดนึง ฉันดื่มมันไปแล้ว
ฉันคว้ากระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งวางอยู่บนโต๊ะลงมา ขณะที่กำลังนั่งลงข้าง ๆ ร่างของเจ้าค้างคาว ฉันหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมามองคร่าว ๆหาส่วนที่ฉันต้องการ และเมื่อสังเกตดี ๆ มันอยู่ที่บรรทัดล่างสุด มันคือ เวทมนต์ที่ทำให้ สัตว์ในโลกปีศาจ เปลี่ยนร่างกายเป็นแบบที่มีความคล้ายคลึงกับมนุษย์ โดยแลกกับสัตว์ตัวนั้นจะต้องมาเป็น ปีศาจรับใช้ของผู้ที่เปลี่ยนร่างให้กับตน
แวบหนึ่งขณะทบทวนคาถาในใจ ฉันเหลือบไปมองร่างของเจ้าค้างคาว ที่ยังนอนอยู่ที่เดิมเพราะ ขยับตัวไม่ได้ ฉันเห็น มันมองฉันด้วยสายตาคาดหวัง น้ำตาที่เลยไหล ก็เหลือเพียงคราบน้ำตาแห้งกรังที่ติดตามใบหน้ากับลำตัว
ฉันเผลอยื่นมือเข้าไปลูบหัวมันอีกแล้ว...
เมื่อรู้ตัวฉันหันมาตั้งใจมองคาถาอีกครั้ง ฉันคิดว่าถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ไม่นานเจ้าค้าคาวคงตายแน่ ๆ แต่หากมันมีร่างกายแบบพวกเรา ก็จะทำให้สามารถรักษาได้ง่ายขึ้นซึ่งมันอาจจะรอด แต่มันต้องกลายมาเป็นปีศาจรับใช้ฉันไปจนกว่าใครตนใดซักตนจะตายไป...ฉันคิดว่ามันคงไม่ยอมตาย แต่ไม่ว่าอย่างไรฉันก็คิดว่าจะปลดพันธสัญญาทันทีที่เจ้าค้างคาวตัวนี้หายดีแล้ว
“เอาล่ะ” ฉันหายใจเข้าเต็มปอด รวบรวมสมาธิ ปล่อยจิตให้ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ตอนนี้ถึงแม้ฉันจะหลับตาอยู่ แต่ฉันสามารถสัมผัสได้ว่า ใครกำลังทำอะไรอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ ฉันท่องคาถาในใจซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบตามที่เคยฝึกร่ายเวทย์นี้ไว้ตอนเด็ก ๆ
ฉันเริ่มท่องอีกคาถาที่แปลกออกไป และท่องคาถานั้นซ้ำกันหลายรอบ และจนสุดท้ายฉันก็ลืมตาในที่สุด...พิธีกรรมนี้ ได้จบลงแล้ว
ฉันจ้องมองร่างของเจ้าค้างคาวที่สลบอยู่บนผ้าสีขาว ไม่นานมันจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับร่างกายที่มีความคล้ายคลึงกับมนุษย์ ......ฉันหยิบขวดเลือดขวดหนึ่งขึ้นมา แล้ว จัดการหยดใส่ปากของค้างคาวตัวนั้นประมาณ 3 หยด เลือดที่ลุงคริสต์ให้มานี้เป็นเลือดของปีศาจซาตานที่มีค่า มีสรรพคุณมากมาย ในสถานการณ์ตอนนี้ มันสามารถเร่งให้การเปลี่ยนร่างเกิดขึ้นได้ทันที
แต่ยกเว้นกับฉัน เลือดเป็นของเหลว ซึ่ง มันตรงกันข้ามกับร่างกายที่เปรียบเสมือนไฟของฉัน
ไม่นานหลังจากที่ฉันหยดเลือดลงไปในปากของเจ้าค้างคาว แสงสีขาวก็แผ่ครอบคลุมร่างของเจ้าค้างคาวเอาไว้ ทีแรกแสงนั้นเป็นแสงสีขาวบาง ๆ แต่มันจะค่อย ๆ สว่างขึ้นจนฉันต้องยกมือขึ้นปิดตา ร่างของเจ้าค้างคาวค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น และเปลี่ยนจากปีกเป็นแขน ลำตัวกลม ๆ เป็นลำตัวยาวผิวหนังขาวซีด ขาสั้น ๆ ยืดออกจนยาว ใบหน้าเป็นเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้างดงาม
เจ้าค้างคาวนี่...เป็นตัว เมีย สินะ...
_________________________________________________________________________________________________
อัพแล้วค่าา ๆ 2 ตอนรวดเลย อ่านแล้วเม้นบอกคำผิดกันทีนะ เรามั่นใจว่า 2 ตอนนี้คำผิดคงเยอะมาก เพราะเฟย์ไม่ได้ตรวจคำผิดก่อน =w=;; บางประโยคอาจจะผิดจนเพี้ยนไปเลยก็ได้...ถ้าเจอเม้นบอกเฟย์กันทีนะ ขอบคุณล่วงหน้าจ้าา
ความคิดเห็น