คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่3: พอลลี่ต้นไม้กินคน
“เซเลน...เซเลน” เสียงของปีศาจชายหนุ่มนาม โพลเลน ร้องเรียกปีศาจสาวผมสีเพลิงที่นั่งเหม่ออยู่ข้าง ๆ เธอดูเหมือนกำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่
“หือ...มีอะไร” ปีศาจสาวที่เพิ่งได้สติจากการนั่งครุ่นคิดเรื่องของ เอเลน่า เซนฟิส ศัตรูของเธอมานานหลายชั่วโมง ระหว่างการเดินทางจาก คฤหาสน์คาลอนลอส มาที่ชายป่า ค้างคาวเลือด
ป่าค้างคาวเลือดเป็นป่าที่กั้นระหว่างเมือง ดาร์ดแวมไพร์ กับ แบดเดม่อน ในป่านี้เต็มไปด้วยถ้ำค้างคาวที่จะออกหากินทั้งวัน เพียงแต่ ค้างคาวในป่านี้ กินเลือด เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“ถึงแล้ว...เขาบอกให้เราเดินเข้าไปเอง” คงกลัวโดนกินสินะ
“อือ ๆ...” ฉันพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แล้วเดินลงจากรถม้าตาม โพลเลน ไป เมื่อยัดเงินใส่มือคนขับรถม้าพร้อมกล่าวขอบคุณเรียบร้อย ฉันกับโพลเลน ก็เดินทางเข้าป่า ค้างคาวเลือด ไป
ระหว่างทาง ฉันกำลังสังเกตดูบรรยากาศรอบ ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อหลายปีก่อน ต้นไม่นั้นยังดูเหี่ยวเฉาเหมือนเดิม ไม่มีเปลี่ยนแปลง ใบไม้สีเทาดำเหี่ยวแห้งกองอยู่บนพื้น พื้นดินแห้งเนื่องจากไม่ได้รับการดูแล...แน่สิ ใครจะเอาชีวิตตัวเองมาเสียงเพื่อการดูแลป่าไม้
แต่...แปลกจัง เมื่อก่อน ต่อให้ใบไม้แห้งแค่ไหน หรือ ร่วงไปแล้วก็ตาม มันจะต้องมีสีแดงไม่ใช่หรอ
“เธอจะเดินไปถึงไหนเนี่ย...” โพลเลน...บ่น...หึ เป็นลูกคนรวยก็ไม่ถูกกับการเดินทางไกลแบบนี้แหล่ะ...เมื่อก่อนฉันต้องเดินเท้าเข้าออกที่นี่ทุกวันเลยนะ ขอบอก
“อีกนิดเดียวเอง...นั่นไง เจอแล้ว” ฉันร้องเสียงใส วิ่งตามทางเข้าไปในป่าลึกขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุด ฉันก็มาถึง ‘บ้านเก่าทูวลูส’ บ้านที่ฉันเกิดมานั่นเอง...พอฉันเห็นบ้านหลังเล็ก ๆ หลังนี้แล้ว ฉันมีความรู้สึกว่า ฉันอยากจะร้องไห้ขึ้นมาจริง ๆ
อดีตอันน่าหวาดกลัว กำลังจะประจักษ์อยู่ตรงหน้า ฉันอีกครั้ง....แล้ว...
“ที่นี่ที่ไหนหรอ เซเลน” โพลเลนที่เดินอยู่ข้างหลังฉัน โน้มตัวลงมาถาม ขณะที่พวกเราหยุดยืนอยู่หน้าบ้านของฉัน
บ้านขนาดไม่ใหญ่มาก ตัวบ้านทำจากซีเมนต์ทาสีขาวแต่ตอนนี้ ด้วยความเก่าและ ถูกทิ้งร้างมานาน มันจึงกลายเป็นสีเทาหม่น แถมยังมีเถาไม้เลื้อย เกาะ กำแพงบ้านแน่น ประตูทำจากไม้ธรรมดา ๆ ฉันจำได้เมื่อก่อนมันเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตรงเป๊ะ แถมยังเงาวับอีก...แต่ตอนนี้มันกลับผุเป็นรู แถมยังสากจนเมื่อจับ แทบจะมีเสี้ยนติดมือมาด้วย หลังคาเป็นสีน้ำตาล อ่อน ๆ ที่กระเบื้องบางแผ่นผุเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่...นี่หรือคือสิงที่เรียกว่า...บ้าน...
“เห็นว่านายคือ...ราชาปีศาจที่เคยมีความเกี่ยวข้องกับ ข้านะ ข้าจะเล่าให้ฟังก็ได้” ฉันพูดขณะที่เปิดประตูไม้ ผุ ๆ เข้าไปในบ้าน
“แค่ก ๆ...” ฉันสำลักฝุ่นทันทีที่เปิดประตูขึ้น...ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างผุเป็นรู บางชิ้น หักเป็นท่อน ๆ บางชิ้น...ถูกเผาเป็นขี้เถ้า...รอยไหม้ ปะปนกับ ลอยเลือดสีม่วงจาง ๆ อยู่บนพื้นและฝาผนัง ภาพตรงหน้าไม่ว่าใครมาเห็น ก็คงเป็นภาพที่น่าสยดสยองน่าดู
“โห...ที่นี่ที่ไหนเนี่ย...น่าสยดสยองเป็นบ้า...” โพลเลนยกมือขึ้นปิดจมูก ขณะเดินไปที่รอยเลือดจาง ๆ นั้น “กลิ่นเลือดพวกนี้เก่ามาก คงนานหลายสิบปี...ที่นี่ที่ไหนกันแน่ เซเลน” โพลเลนหันมาเลิกคิ้วให้ฉันอย่างต้องการตำจอบ
“บ้านเก่าข้าเองแหล่ะ” ฉันไหวไหล่นิดหน่อย พลางเดินไปที่หน้าต่างที่ถูกปิดตาย ฉันเพ่งมองไปที่ท่อนไม้ที่ถูกตอกตะปูทับกันเป็นรูปกากบาท ทันใดนั้น ไฟก็ลุกท่วมแผ่นไม้รูปกากบาท เมื่อไฟลามไปเรื่อย ๆ จนเกือบถึงสุด...ฉันหายใจออกเบา ๆ ไฟที่เผาไหม้อย่างรวดเร็วนั้นก็ดับลง
“นี่...รอยเลือดใครกัน” โพลเลนถาม เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นมายืนข้างฉันที่กำลังเปิดผ้าม่านสีเทาให้เปิดออก...อืม...ไม่ว่ามองยังไงที่นี่ก็ไม่มีแสงเลยแฮะ...
“เอ่อ...” ฉันเว้นจังหวะ คิดว่าจะตอบหรือไม่ตอบดี “แม่ข้า...เองแหล่ะ” เมื่อตอบฉันเบนสายตาหลบไปทางอื่น ความเศร้าเริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจ...รู้สึกเหมือนมีบางอย่างมาจุกอยู่ที่อก อยากจะระบาย...ระบายออกมาด้วยการร้องไห้...แต่...หากฉันร้องไห้ตอนนี้...ฉันต้องดูน่าสมเพชมากแน่ ๆ
“ฉัน...ไม่เข้าใจ” โพลเลนยังคงหาทางถามแบบอ้อม ๆ แต่นั่นฉันรู้ดีว่า เขาคงเดาเรื่องออกบ้างแล้ว
“อย่าถามข้าไปมากกว่านี้เลย...ข้าไม่อยากพูดอะไรอีก” ฉันพูดเบา ๆ จังหวะนี้ฉันรู้สึกว่ามีน้ำตามาคลอที่เบ้าตาพร้อมที่จะไหลออกมาได้ทุกเมื่อ
ฉันเป็นนักฆ่าอันดับ 2 ฉันเป็นนักฆ่าที่สังหารเหยื่อได้ภายในพริบตา ฉันน่าสะพรึงกลัว ฉันแข็งแกร่ง ทุกคนต่างยอมรับฉัน...เพราะฉะนั้น ฉันจะร้องไห้ไม่ได้ เด็ดขาด
“ฮึก...” แต่ถึงจะคิดแบบนั้น แต่ในเวลานี้ฉันได้สะอื้นออกมาแล้ว เมื่อรู้ตัวฉันรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาทีกำลังจะไหลลงมา...ไม่ว่าใครก็ให้เห็นน้ำตาของฉันไม่ได้เด็ดขาด...
“เซเลน..” โพลเลนพูด เขาเอามือยื่นมาโอบเอวฉันไว้ แล้วให้ฉันหมุนตัวมามองนัยน์ตานิลที่ตอนนี้มันกำลังสงบนิ่ง ไม่ฉายอารมณ์ใด เขายกมืออีกข้างขึ้นเชยคางฉันให้เงยหน้าขึ้นมองหน้าเขาตรง ๆ เขาเป็นคนเดี่ยวที่สามารถสัมผัสผมของฉันได้ เขาจึงกล้าที่จะเอามือโอบเอวฉัน
ฉันพยายามสะบัดร่างกายให้หลุดจากอ้อมแขนของเขา แต่ไม่รู้ทำไม ฉันถึงไม่สามารถขยับร่างกายได้ปกติตามใจมากนัก...หรือ...ฉันกำลังเขินอยู่
โพลเลนค่อย ๆ กดร่างกายของฉันให้แนบติดกับผนังบ้าน พร้อมกับค่อย ๆ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ฉันเรื่อย ๆ จนเราหายใจรดกัน ตอนนี้น้ำตาฉันกำลังจะไหล...ไม่รู้ทำไม ปกติแล้วคนอื่นคงลืมเรื่องที่เศร้าใจไปแล้ว แต่ฉันกลับมีความรู้สึกเหมือนว่า ตอนนี้ฉันยังคงยืนอยู่คนเดียว... ในบ้านที่มีแต่ความว่างเปล่า
“เซเลน...” เมื่อเขาเรียกชื่อฉัน เหมือนกับว่าฉันหยุดหายใจไปหลายวินาที รู้สึกว่า มีบางอย่างกำลังจะถูกปลดปล่อย “อย่าคิดว่าเธอเป็นนักฆ่าแล้วร้องไห้ไม่ได้สิ...น้ำตาน่ะ ต่อให้คนเราแก่จนจะตายแค่ไหน มันก็ยังอยู่กับเรา และพร้อมที่จะไหลออกมาเพื่อให้เราได้ระบายอารมณ์ได้ทุกเมื่อ...เพราะงั้น ร้องไห้ออกมาเถอะ” เขาพูด ฉันเม้มปากแน่น ปล่อยให้น้ำตาไหลลงอาบแก้ม ก้อนจะร้องตามมา
“ฮึก...ฮือ...ฮือ..ฮือ...มะ...แม่น่ะ...ฮึก...ฉันป็นคนฆ่าแม่เอง!...ฮือ...” ฉันร้องไห้สะอึกสะอื้น ร่างกายทรุดลงพื้น ทันที...
“ฮือ...ฮือ...เพราะผมนี่...เพราะผมสีเพลิงนี่!ฉันเกลียดตัวเอง!” ฉันกรีดร้องใช้เล็บจิกพื้นเพื่อเป็นการระบายความโกรธ...โพลเลนค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ ฉันอีกที เขายกมือขึ้นลูบผมที่ยาวลากพื้นของฉันเบา ๆ อย่างอ่อนโยน
“เซเลน...ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอกนะ...” เขาพูดปลอบใจฉัน...แต่ มันไม่ใช่ มันเป็นความผิดของฉันเอง...ฉันเป็นคนที่ทำให้แม่ฉันตาย...ฉันเป็นคนผิด!
“ไม่...ไม่ใช่ ฉันเป็นคนฆ่าแม่ของฉันเอง...ฮึก” ฉันที่เริ่มหยุดร้องไห้แล้ว ยกมือขึ้นปาดน้ำตาลวก ๆ แล้วเถียงกลับไป...ปต่ยังไม่ทันที่จะมีใครพูดต่อเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
อื้อ! อื้อ!
“เสียงอะไรน่ะ!” ฉันรีบยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้ไม่มีเวลาให้เสียใจอีกแล้ว...เอเลน่า อาจจะ เริ่มเคลื่อนไหวอีกแล้วก็ได้...ฉันคว้าปลายผ้าคลุมไหล่ของตัวเองขึ้นมาเช็ดหน้า เพื่อพยายามกลบรอยแดงที่ขอบตาหลังจากการร้องไห้
“เสียงมาจากทางห้องนั้น...” โพลเลนกระซิบเบา ๆ พลางชี้ไปที่ประตูไม้ตัวหนึ่งที่อยู่ในมุมมืดของบ้าน ห้องเก็บของ...
“ฉันก็ได้ยิน....แต่ห้องนั้นมันถูกปิดตายมาก่อนฉันเกิดอีกนะ...” ฉันพูดเสียงเบา...ฉันยังไม่เคยเปิดประตูห้องนั้นเลยซักครั้ง มันถูกปิดตายมาตั้งแต่ก่อนฉันเกิดอีก
“ถ้ามันถูกปิดตายมาก่อนหน้านั้น...ข้างในประตูบานนั้น อาจจะ กุมความลับของเธออยู่ก็ได้” โพลเลนเดามั่ว...คงเป็นไปไม่ได้หรอก มันยากนนะ ถ้าหากจะมีใครที่เกี่ยวข้องกับฉันในชาติที่แล้ว
“คงเป็นไป...”
อื้อ! อื้อ!
เสียงปริศนาดังขึ้นอีกครั้ง...มันฟังดูเหมือนกำลังเรียกใครซักคน หรือ เสียงนั้น กำลังเรียกฉัน
“เอาไงดี” โพลเลนลุกขึ้นปักฝุ่นที่เสื้อผ้า พลางพูดเสียงเบา
“ฉันตัดสินใจแล้ว” ฉันชักดาบคู่ใจออกมาจากซองเก็บดาบที่ข้องเอว ตอนนี้มันไม่ได้มีขนาดใหญ่จนเกินไปเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ถ้าหากมีอะไรโหล่มา ดาบนี้ก็สามารถฟาดฟันศัตรูได้อย่างไม่เกรงกลัว “ฉันจะเข้าไป!” ฉันกระแทกเสียง
ฉันขยับตัวเล็กน้อย ร่างกายของฉันก็ไปปรากฏอยู่หน้าประตูไม้ที่ถูกปิดตายแล้ว ฉันเงื้อดาบขึ้นเหนือหัว เว้นช่วงไปไม่กี่วินาที ก็ใช้ดาบฟันไปที่ประตูไม้นั้น...จังหวะแรกมันนิ่งไม่ขยับ ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน เมื่อฉันเก็บดาบเข้าฝัก ลำแสงสีขาวก็เกิดขึ้นตรงหน้า มันเป็นแนวทแยงพาดผ่านประตูพอดี
ฟู่...ฉันเป่าลมออกจากปากเหมือนตอนดับไฟ นั่นทำให้ประตูไม้พังลงพื้นทันที และที่สำคัญมันไม่ได้ขาดเป็นสองท่อนเหมือนตอนที่มีลำแสงสีขาวเกิดขึ้น มันพังทลายลงเป็นผุยผงกองอยู่ตรงหน้าฉัน
ฉันกวาดสายตาสีแดงเพลิงที่เรืองแสงในความมืด มองลึกเข้าไปในห้องเก็บของ ในห้องเก็บของมีหีบเก่าอยู่ใบหนึ่ง มีกลอนอันใหญ่พันธนาการมันเอาไว้ และโซ่เส้นใหญ่พูนไปรอบ ๆ และ ฉันสังเกตได้อีกอย่างว่า ที่แม่กุญแจ ไม่มีรูให้ไข แสดงว่ามันไม่สามารถเปิดได้ด้วยกุญแจ
เมื่อเบนสายตาไปมองทางอื่น ฉันเห็นเหมือนเป็นร่างกายใครบางคนนอนอยู่กับพื้น
“ใครน่ะ” ฉันตะโกนถาม ค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ร่างนั้นอย่างช้า ๆ
“อื้อ!” ร่างนั้นร้อง เดินดิ้นไปดิ้นมา เมื่อเห็นว่าเธอไม่สามารถพูดหรือขยับตัวได้ ฉันก็เข้าไปหาเธอทันที...เธอถูกลักพาตัวมาที่นี่...แต่ เข้ามาในห้องนี้ไปยังไงล่ะ
“รอเดี๋ยวนะ...เดี๋ยวข้าแก้มัดให้” ฉันพูด รีบก้มลงแกะผ้าที่ปิดปากเธออยู่ เมื่อผ้าที่ปิดปากเธอถูกแกะออกแล้ว เธอหายใจเข้าจนชุ่มปอด แต่ก็ต้องสำลักฝุ่นออกมาก่อน
“แค่กๆ ขอบ...ขอบคุณ” เธอพูด ระหว่างที่ฉันแก้มัดที่พันธนาการร่างกายเธอเอาไว้ เธอดูยังเด็กอยู่มาก เธอมีเรือนผมสีเขียวยาวเป็นหยักศก บนผมประดับดอกไม้ไว้เต็ม เสื้อผ้าของเธอเป็นชุดกระโปรงยาวสีขาวแบบเกาะอก รองเท้าเป็นรองเท้าแตะที่มีเชือกผูกไว้เหมือนคนประเทศกรีก...เธอคือปีศาจเผ่าพันธุ์อะไรนะ
“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก...เจ้าเป็นปีศาจเผ่าพันธุ์ใด” ฉันถามต่อไปด้วยเสียงเรียบ ๆ
“ตะ...ต้นไม้...ต้นไม้กินคน” เธอตอบเสียงสั่น...ฉันเดาว่าคงเพราะ ปีศาจต้นไม้กินคนเป็นปีศาจที่เพิ่งพัฒนาพลังจนแปลงร่างให้หน้าตามนุษย์ได้ไม่นาน และ พลังที่ใช้ในการต่อสู้ก็ไม่ค่อยมี เผ่าพันธุ์นี้เป็นเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอมาก
“เจ้า...หน้าตาคุ้นมาก” ฉันพูดเบา ๆ กับตัวเอง แต่เธอก็ดันได้ยินเข้า
“เรา...อาจจะเคยเจอกันที่ไหนก็ได้...แหะ ๆ” เธอหัวเราะแห้ง ๆ แล้วยิ้มกลบเกลื่อน “คือ...เผ่าพันธุ์ของข้ามีถิ่นฐานอยู่บนโลกมนุษย์ แต่ว่า ที่โลกมนุษย์หาอากาศบริสุทธิ์ไม่ค่อยได้ ควันก็เยอะ เวลาเดินตามถนนก็อันตราย ข้าเลยขอลากับบ้านเพื่อมาที่นี่ แต่ชีวิตข้าก็สงบสุขได้ไม่นาน อยู่ ๆ กลางดึกคืนหนึ่งก็มีหญิงสาวผมสีคาราเมล จับตัวข้ามาขังไว้ที่นี่” เธออธิบายทุกอย่างมาจนหมด...ผมสีคาราเมล เอเลน่า เซนฟิส...
“ข้าคิดว่า...ข้ามีเรื่องที่ต้องถามเจ้าอีกเยอะ ตามข้ามาได้ไหม” ฉันชวน ฉันคิดว่าถ้าเธอคนนี้เคยเจอกับ เอเลน่า ท่านอันเทอร์ กับ ท่านพีสทิล คงให้เธออยู่ที่คฤหาสน์คาลอนลอสก่อน แน่ ๆ “เจ้าชื่ออะไร” ฉันถามอีกครั้ง
“พอลลิเนต...พอลลิเนต ลิซาร์เนีย...เรียก พอลลี่ ก็ได้ค่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงปกติ...แตกต่างแค่ตอนนี้เธอกำลังยิ้มหวานอยู่
“ช่วงนี้รู้สึกว่า ข้าจะเจอปีศาจตระกูลดอกไม้เยอะเหลือเกิน” ฉันหัวเราะแห้ง ๆ เหลือบมองไปที่ โพลเลน ที่เดินเข้ามาสมทบ ทีหลัง
“เซเลน...เป็นอะไรหรือเปล่า” โพลเลนถามขณะเดินเข้ามาหาฉัน...ตอนนี้ฉันรู้สึกร้อน ๆ ในตัวอีกแล้ว แต่ครั้งนี้มันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้มันทุเลาลงมาก
ฉันส่ายหัวช้า ๆเป็นคำตอบให้ โพลเลน “เอาปีศาจตนนี้กลับไปที่คฤหาสน์ คาลอนลอส ด้วย ข้าคิดว่า นางคงช่วยงานข้าได้ ไม่มากก็น้อย” ฉันพูดต่อ...แต่ โพลเลนคงไม่รู้หรอกว่างานที่ว่าคืออะไร ท่านพีสทิล กับ ท่านอันเทอร์ คงไม่ได้บอกใครหรอก ยกเว้นฉัน
“เอางั้นก็ได้...แล้วแต่ เซเลน เถอะ” เขาไหวไหล่เล็กน้อย ก่อนเดินนำฉันออกไปหน้าบ้าน ทำไมฉันมีความรู้สึกว่า เขาดูอารมณ์ไม่ดีนะ
“พอลลี่ ไปกับพวกเราก่อนได้ไหม” ฉันถามเผื่อเธอออาจจะต้องกลับบ้าน ไปหาพ่อแม่ พี่น้อง พี่ป้าน้าอา ของเธอเพราะ เธอถูก เอเลน่าลักพาตัวมานี่ ถ้าญาติรู้ก็คงเป็นห่วงไม่ใช่น้อย
“ได้ค่ะ” เธอตอบ สีหน้าดูดีใจ แตกต่างจากปีศาจที่เพิ่งจะถูกจับตัวมา...ช่วงนี้เจอแต่อะไรแปลก ๆ
“ไปกันเถอะ...เย็นมากแล้ว” ถึงจะพูดว่าเย็นมากแต่ยังไงตอนนี้สิ่งที่ลอยอยู่บนฟ้าก็คือสิ่งที่เรียกว่า พระจันทร์ ไม่มีภาพพระอาทิตย์ตกดินเหมือนที่อื่น ๆ นี่แหล่ะ คือสิ่งที่เรียกว่า โลกของแวมไพร์
ฉันกับพอลลี่เดินออกมาที่หน้าบ้าน เวลานี้ใบป่า ค้างคาวเลือดแทบไม่มีแสงไฟปรากฏให้เห็นเลย สิ่งที่สามารถทำให้มองเห็นทางได้มีเพียงแสงจาก ดวงจันทร์ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฉันให้ โพลเลนเดินนำหน้า พอลลี่เดินตาม ส่วนฉันเดินทิ้งท้าย เพื่อป้องกันอันตราย
ไม่แน่ว่า เอเลน่า อาจจะเฝ้ามองเราอยู่ก็ได้ และก็เป็นอย่างที่ฉันคิด...อยู่ ๆ ก็มีเสียงบางอย่างพุ่งผ่านอากาศมา โพลเลน กับ พอลลี่ รีบก้มหัวหลบวัตถุปริศนาที่พุ่งเข้ามา
ขวับ!
ฉันตวัดนิ้วชี้ กับ นิ้วกลาง ขึ้นรับวัตถุบางอย่างที่พุ่งเข้ามา...มันเป็นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่ถูกวาดสัญลักษณ์ ดอกกุหลาบเลือดอาบแสงจันทร์ สัญลักษณ์ประจำตัวของ เอเลน่า!
“บินขึ้นฟ้า!” ฉันออกคำสั่ง โพลเลนกางปีกค้างคาวของตัวเองออกทันที มันมีสีดำเงางามดูแข็งแกร่ง กลืนไปกับความมืด มันช่างดูงดงามยิ่งนัก...เมื่อเขาขยับปีกของตัวเองบินขึ้นเหนือฟ้าเรียบร้อย ฉันก็คว้าข้อมือ พอลลี่มาจับไว้แน่น แล้วกางปีกของตัวเองบ้าง
ปีกของฉันเองก็เป็นปีกค้างคาวสีดำเช่นกัน เพียงแต่เพราะผมสีแดงเพลิงของฉัน เลยทำให้มันดูโดดเด่นในความมืดมากขึ้นเยอะ
“นะ...นี่...อยู่ตรงนี้มันน่ากลัวนะ” พอลลี่พูดเสียงสั่น นั่นทำให้ฉันเหลือบมองเธอในขณะนี้ ตัวของฉันกำลังบินในแนวนอนอยู่บนท้องฟ้ายามเย็น มือทั้งสองข้างของฉันจับข้อมือของ พอลลี่ เอาไว้แน่น เพียงแต่เพื่อความปลอดภัยของ พอลลี่ เอง หากฉันอุ้มเธอเอาไว้ เธออาจจะสัมผัสโดนเส้นผมของฉันได้ และเมื่อนั้นเธออาจตาย...ตอนนี้พอลลี่ จึงอยู่ในสภาพที่สามารถ ดิ่ง! ลงสู้พื้นได้ทุกเมื่อ หากฉันปล่อยมือ แต่แน่นอน ด้วยแรงแขนของฉันเธอไม่ร่วงลงไปหรอก
“งั้นก็...โพลเลน รับ พอลลี่ ไปที” ฉันตะโกนบอก โพลเลน โดยที่เขายังไม่ทันตั้งตัว ตอนที่เขากำลังมองฉันด้วยสายตาสงสัยประมาณว่า รับพอลลี่! รับยังไง! อะไรแบบนี้ ฉันก็เหวี่ยงแขนตัวเองขึ้นเหนือหัว แล้วออกแรงอีกนิดเพื่อโยนเธอไปหา โพลเลน ที่บินอยู่เหนือฉันนิดหน่อย
“กรี๊ดดดด! / เฮ้ยยยย!” เสียงกรีดร้องของ พอลลี่ กับเสียงอุทานของ โพลเลน ดังขึ้นพร้อมกัน ร่างเล็กผอมบางของ พอลลี่ ลอยหมุนเป็นวงกลมอยู่บนฟ้า ส่วน โพลเลน ที่ตกใจอยู่หลายวินาที ก็บินตรงมารับร่างของ พอลลี่ ไว้ทันที...โชคดีที่เขารับทัน พอลลี่เลยไม่ตกลงไปตายซะก่อน
ดูเป็นเกมที่สนุกดีนะ...ตอนแรกห้อยอยู่กลางอากาศ แล้วถูกเหวี่ยงเป็นวงกลม ถ้าอีกคนรับได้ก็รอด รับไม่ได้ก็ตาย...อยากลองเล่นดูไหมล่ะ
“เซเลน!ทำอะไรของเธอเนี่ย...ถ้าฉันรับไม่ได้ เรื่องใหญ่เลยนะ!” โพลเลน พูดเสียงดุนิด ๆ แต่มันไม่สามารถเรียกร้องความสนใจจากฉันได้เลย เพราะ ตอนนี้ฉันรับรู้ได้ถึง สิ่งที่เรียกว่า...
จิตสังหาร!...
ความคิดเห็น