คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2: ราชาปีศาจ กับ โพลเลน
วันนี้เป็นวันที่สองที่ฉันอยู่ที่นี่ เมื่อคืนหลังจากทานมื้อเย็นพร้อมกับทุกคนเสร็จฉันก็กลับเข้าห้องนอนที่ ท่านพีสทิล กับท่าน อันเทอร์ เตรียมไว้ให้ ห้องนอนของฉันดูธรรมคา ๆ มีเตียง ตู้เสื้อผ้า โต๊ะ และห้องน้ำ แค่นั้น แต่แค่นี้ก็ถือว่าสบายมากแล้วสำหรับฉัน
เมื่อคืนฉันใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการ ศึกษาประวัติของ เอเลน่า ที่ลุงคริสต์หามาให้ จนเมื่อคืนฉันแทบไม่ได้นอนเลย...
“ฮ้าว” ฉันนั่งหาวอยู่บริเวณศาลาริมน้ำ ในสวนหลังคฤหาสน์คาลอนลอส ฉันขอยืมหวีมาจากท่าน พีสทิล เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้จึงนั่งหวีผมของตัวเองอยู่
“มาอยู่ตรงนี้เอง เซเลน” เสียงชายหนุ่มคนหนึ่งร้องทัก ขณะเดินเข้ามาหาฉัน
“โพลเลน” ฉันเอ่ยชื่อคน ๆ นั้นออกมาเบา ๆ รู้สึกว่าฉันจะสนิทกับเขาคนนี้มากที่สุด ด้วยความที่ว่าเขาอายุมากกว่าฉัน 1 ปี และมีนิสัยขี้เล่น ไรเดียงสา ไม่เหมือน พี่สาว และ พี่ชาย ของเขาเลย
“มาหวีผมอะไรตรงนี้ล่ะ” เขาทำท่าจะนั่งลงข้าง ๆ ฉัน ฉันจึงต้องเขยิบเข้าไปด้านในเพื่อให้เขานั่งลงข้าง ๆ ได้ แต่เมื่อเขาทำท่าจะยื่นมือมาตัดผมสีเพลิงของฉัน ฉันก็ลุกขึ้นเดินหนีไปนั่งที่เก้าอี้อีกฝั่งทันที
“อย่ามาแตะต้องผมของข้านะ” ฉันพูดอย่างเคือง เริ่มรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่ลอยออกมาจากเส้นผม ฉันเม้มปากเป็นเส้นตรงอย่างเก็บซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้
เมื่อชาติที่แล้วฉันคือราชินีแห่งดินแดน แบดเดม่อน บาปหนาที่ฉันทำไว้ฉันจำได้ขึ้นใจ มันทำให้ฉันทรมานเป็นอย่างมากเมื่อนึกถึง รู้สึกอยากร้องไห้ทุกครั้งที่คิดถึงมัน โดยเฉพาะเมื่อเห็นหน้าคน ๆ นี้มันทำให้ฉันหลีกเลี่ยงไม่พูดถึง เพราะ เขาในชาติที่แล้วคือ ราชาปีศาจที่บอกให้ฉันฆ่าปีศาจตนอื่น ๆ ไงล่ะ
ฉันเพิ่งจะนึกออกก็เมื่อคืนตอนที่หลับไป ฉันฝันเห็นอดีตอันเลวร้ายที่หลอกหลอนฉันมานานถึง 15 ปี เขาในตอนนี้ กับในตอนนั้นดูไม่ต่างกันเท่าไหร่ น่าจะต่างตรงแววตาที่ชั่วร้าย เลวทราม และ โหดเหี้ยมในชาติก่อนซึ่งตรงกันข้ามกับแววตาใสซื่อในชาตินี้
“เซเลน” เขาเรียกชื่อฉันเขาคือคนหนึ่งที่เรียกฉันด้วยชื่อเล่นอย่างสนิทสนม แม้เราจะเพิ่งเจอกันในชาตินี้ก็เถอะ
ครั้งแรกที่นึกออกฉันตกใจทากว่าทำไมเขาดูเหมือนไม่ต้องชดใช้อะไรเลย ซึ่งต่างกับฉัน และฉันก็นึกขึ้นได้ว่า ปีศาจ ก็ขี้แกล้ง และโหดร้ายหมดแหล่ะ การที่เขาหลอกฉันในครั้งนั้นคงไม่ถือเป็นบาปหนา
“อะไร..” ฉันตอบน้ำเสียงเคือง ๆ เพราะ ไม่อยากให้เขาสัมผัสเส้นผมสีแดงเพลิงยาวลากพื้นนี้...ฉันนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม แล้วตั้งหน้าตั้งตาหวีผมของตัวเองต่อ
“ทำไมเธอถึงหวงเส้นผมของเธอจัง เมื่อคืนตอนขอจับเธอก็บอกว่าไม่ได้!แบบนี้” เขาทำท่าตอนที่ฉันลุกขึ้นแล้วพูดคำว่า ไม่ได้ แบบเมื่อคืน
“ไม่ได้หวง” ฉันตอบสียงเรียบเฉย ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ
“แล้วทำไมล่ะ” เขานั่งเท้าคางรอคำตอบ
“ถ้านายจับนายอาจจะตายได้”ฉันตอบไม่คิดอยากบอกเหตุผล เพราะ เขาคือราชาปีศาจในชาติที่แล้ว จริง ๆ เขาอาจจะแค่แกล้งลืมไม่อยากนึกถึงมันก็ได้ ฉันจึงไม่อยากรื้อฟื้นซักเท่าไหร่...ในตอนนี้ต่างคนก็ต่างเจ็บปวดกันมากพอแล้ว
“งั้นเหรอ...ลองจับหน่อยสิ” เขาเหยียดยิ้มอย่างนึกสนุก ฉวยเอาผมของฉันขึ้นมากำแน่น...ฉันหลับตาปี๋ไม่อยากให้เขาตายตรงหน้า เพราะ ถ้าเขาตาย ฉันอาจจะอดแก้แค้น เอเลน่า น่ะสิ
แต่...ทุกอย่างกลับเงียบสงัด ไม่มีเสียงร้องใดเล็ดลอดออกมาจากปากของ ราชาปีศาจในชาติที่แล้วเลย...จนฉันลืมตา ฉันเห็นเขายืนจับผมของฉันแน่น โดยที่ไม่มีเปลวไฟใด ๆ ลุกท่วมตัวเขาเลย เขาตูตกตะลึงกับเส้นผมสีเพลิงของฉันมากเลยทีเดียว
“ทำไมนายไม่ถูกเปลวไฟเผาไหม้ล่ะ” ฉันถามยกมือขึ้นปิดปาก เวลานี้คืเวลาที่ฉันตกใจมากที่สุด
“เพราะตัวฉันมีบาปหนายังไงล่ะ” เขาตอบเสียงสลด ลดตาต่ำลงมองเส้นผมสีเพลิงของฉัน “เธอก็เหมือนกันราชินีแห่งดินแดน แบดเดม่อน สินะ” เขายิ้มเศร้า ๆ ออกมา
“นายจำได้” ฉันกัดริมฝีปากแน่น ไม่คิดว่าเขาจะพูดขึ้นมา อยู่ ๆ หัวใจของหันก็เจ็บปวดราวกับถูกเปลวไฟเผาไหม้ และเหมือนกับว่ามันจะค่อย ๆ สลายหายไป “อึก” ฉันร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ตอนนี้ฉันเหมือนถูกเปลวไฟที่มองไม่เห็นเผาร่างกายอยู่
“เซเลน!” เขาตะโกน ไม่กลัวว่าจะมีใครมาได้ยินเพราะ ตอนนี้ไม่มีใครอยู่บ้านเลย น้ำตาของฉันไหลลงอาบแก้ม ความเจ็บปวดมันถลาโถมกันเข้ามาที่ร่างกายฉันเหมือนตอนที่ฉันอยู่ที่ขุมนรกเปลวเพลิง ความเจ็บปวดนี้มันซ้ำเติมรอยแผลเก่าในใจของฉัน ให้มันเปิดออกอีกครั้ง
อาจจะเป็นเพราะว่า พวกเราทั้งคู่ไปรื้อฟื้นความเจ็บปวด เมื่อชาติที่แล้ว
อาจจะเป็นเพราะว่า ฉันได้พบเจอคนที่ร่วมกันสร้างบาป เมื่อชาติที่แล้ว
หรืออย่างไรก็ตามฉันรู้เพียงแค่ ฉันไม่อาจทนความเปลวไฟที่มองไม่เห็นนี้ได้อีก ฉันจึงหมดสติไปทันที....
‘ถ้าหากเจ้าไม่อยากเกิดเป็นปีศาจเหมือนเช่น ตอนนี้ เจ้าจงไปทรมานกายของ ปีศาจ ตนอื่น ๆ ให้ครบ 1000 ตนซะเถิด!’ ราชาปีศาจพูดเสียงแข็ง ก่อนแสยะยิ้มชั่วร้ายออหมาจากใบหน้าขาวซีดนั้น
‘จริงอย่างที่ ท่านราชาปีศาจ พูดหรือคะ’ ราชินีแห่งอาณาจักร แบดเดม่อน ร้องถาม สิ่งเดียวที่เธอปรารถนา คือ การไม่ต้องเกิดเป็นปีศาจที่ชั่วร้ายแบบนี้อีกต่อไป
‘เจ้าคิดว่า ราชาปีศาจ อย่างข้าจะโกหกเจ้าหรืออย่างไร...หึหึหึ’ ราชาปีศาจยังคงพูด เท็จ ต่อไป ในหัวเขาตอนนี้ มีเพียงแต่เสียงหัวเราะ ที่แสดงถึงความสมเพชต่อราชินีแห่งอาณาจักร แบดเดม่อน ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา
‘ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าขอขอบคุณท่านมาก’ ทันทีที่ราชินีแห่ง อาณาจักรแบดเดม่อน เดินทางออกจาก ราชวังของ ราชาปีศาจอันชั่วร้าย โดยที่เธอไม่รู้เลยว่า เธอถูกหลอกเข้าเต็ม ๆ
“เฮือก!” เซเลเน่ร้องขึ้น เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันทีหลังจากนอนฝันเรื่องราวในอดีตที่ตามหลอกหลอนเธออีกครั้ง เธอหายใจหอบเสียงดังอยู่บนเดียงนอนของเธอเอง ไม่นานประตูห้องที่ทำจากไม้ ๆ ธรรมดา ๆ ที่ปราศจากลายแกะสลักที่งดงามเหมือนประตูบานอื่น ๆ ก็ถูกเปิดออก โดยคนที่อยู่ในความฝันเมื่อกี้ โพลเลน!
“ฟื้นแล้วสินะ...เซเลน” เขาพูดน้ำเสียงดูเป็นห่วงเป็นใยปีศาจสาวที่กึ่งนั่งกึ่งนอน อยู่บนเตียง
“อือ...ฟื้นแล้วล่ะ...” เซเลเน่เอามือกุมศีรษะของตัวเอง ด้วยอาการปวดหัวตุบ ๆ ก่อนจะจ้องเขม็งไปที่ โพลเลน ที่ยืนอยู่หน้าประตู...แต่สายตาของเธอนั้น ก็ยังไม่ได้ทำให้ โพลเลน โดนเปลวเพลิงลุกท่วมร่างกาย เธอยังมีอะไรที่ต้องรู้จากคนตรงหน้าอีกเยอะ
“อะ...อะไรหรอ” โพลเลนถามน้ำเสียงดูหวาด ๆ นิดหน่อย แล้วเดินตรงมานั่งที่ปลายเตียงของ เซเลเน่...จนเซเลเน่เพิ่งสั่งเกตว่า เขาใส่เสื้อแบบเดียวกับเมื่อวานเลยนี่นา...
“เปล่า...ตอนนี้กี่โมงแล้ว” เธอยังเก็บความสงสัยเอาไว้ก่อน ไว้ถึงเวลาเหมาะ ๆ แล้วเธอจะถามทีเดียวให้หมดไส้หมดพุงไปเลยล่ะ
“อืม...บ่ายสองแล้วล่ะ...เธอสลบไปหลายชั่วโมงเหมือนกันนะ” เขาตอบพลางทำถ้านับนิ้ว ว่ากี่ชั่วโมงที่ฉันสลบไป...นี่มันต้องนับนิ้วกันเลยเหรอ ฉันสลบไปตอน 8 โมง ฟื้นตอน บ่ายสอง...มันก็ต้อง 6 ชั่วโมงอย่างไม่ต้องสงสัยเลยล่ะ ในเมื่อเลข 8 กับ 2 มันอยู่ด้านตรงข้ามกันพอดีเป๊ะเลยนะ...
“ฉันจะไปข้างนอกเดี๋ยวนึง อยู่ที่นี่ก็ระวังตัวด้วยล่ะ...จากเหตุการณ์มีด ปริศนา เมื่อวานข้าคิดว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างแน่นอน!” ฉันเน้นย้ำเสียงแข็ง ระหว่างลุกขึ้นจากเตียงนอนมาเอาผ้าคลุมสีดำยาวตัวเดิมมาใส่ทับเสื้อแขนยาวสีขาว ปกเสื้อเป็นแบบปกกะลาสี สีน้ำเงิน ผูกโบว์ตรงคอเสื้อสีแดงสด ส่วนกระโปรงก็เป็นแบบเดียวกับเมื่อวานเพียงแต่เป็นสีน้ำเงิน
“ไปด้วยสิ...อยู่บ้านน่าเบื่อจะตาย!” โพลเลน โวยวายจะไปด้วย แถมด้วยการประท้วงโดย ดึงผ้าคลุมของฉันไปอีกด้วย “ถ้าไม่ให้ไปด้วยจะไม่ยอมคืนผ้าคลุมให้แน่...แบร่” โพลเลนแลบลิ้นล้อเลียนแบบเด็ก ๆ รวมกับแววตาสีดำที่ดูใสซื่อบริสุทธิ์นั้นแล้ว ทำให้ทำใจลงมือกับเขาไม่ลงจริง ๆ
“โอ้ย...ก็ได้ ๆ ไปก็ได้...แต่อย่ามายุ่งเรื่องของข้าให้มันมากนักล่ะ!เข้าใจไหม” ฉันสบถเสียงดัง แย่งผ้าคลุมมาจากมือเขา แล้วก้าวเท้าเดินออกจากคฤหาสน์ โดยมีเขาเดินตามหลังมาติด ๆ
“จะไปไหนเหรอ” โพลเลนเอียงคอถามระหว่างที่ฉันกำลังเรียกรถม้าที่อยู่ใกล้ ๆ ให้ขับเข้ามา
“หึ...ไม่บอก” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้น โดยไม่คิดอะไร...จะให้คิดอะไรล่ะ ในเมื่อที่ที่ฉันจะไปมันไม่ได้เกี่ยวกับเขาเลยซักนิดน่ะสิ
“หึ...เดี๋ยวฉันก็รู้” โพลเลนยิ้มหวานอย่างกวน ๆ ก่อนเดินนำขึ้นมานั่งบนรถม้า...ฉันเดินตามเขาเข้ามานั่งด้านตรงข้ามเขาพอดิบพอดี
“ไปบ้านเก่าทูวลูสค่ะ” ฉันบอกสถานที่ที่จะไปขับคนขับรถม้า ที่บอกแค่บ้านเก่า ทูวลูส เพราะว่า เมื่อก่อนเมือง ดาร์คแวมไพร์ เป็นเมืองเล็ก ๆ ไม่ค่อยมีผู้คนอาศัยอยู่ โดยส่วนใหญ่จะแยกย้ายกันไปอาศัยที่เมืองอื่นด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ที่เมืองนี้ไม่มีกลางวัน ที่เมืองนี้ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา
เพราะงั้นปีศาจที่ทนอยู่ที่เมืองนี้ได้จึงมีน้อย เวลาจะไปที่ไหนแค่บอกชื่อตระกูลเจ้าของบ้าน แค่นั้นคนก็รู้แล้ว โดยเฉพาะบ้านเก่าของฉัน ที่มีประวัติที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนั้น แค่จะเดินเข้าไปคงยังไม่ค่อยมีใครกล้าไปเลย
“หนูจะไปทำอะไรที่นั่นหรือ” ลุงขับรถม้าหันหลังมาถาม ขณะบังคับรถหน้าให้เคลื่อนไปด้านหน้า ฉันรอให้รถม้าเลี้ยวตรงหัวมุมที่สุดขอบถนนก่อน แล้วค่อยเปิดปากพูด
“ข้าไม่จำเป็นต้องตอบ” ฉันพูดเงียบ ๆ พลางนั่งสางผมไปเรื่อย ๆ ตามปกติ...อันที่จริงแล้วตอนนี้ที่ฉันกำลังนั่งอยู่บนรถม้ากับ โพลเลน ฉันรับรู้ได้ถึงจิตสังหารที่แผ่ซ่านมาจากทั่วทุกทิศทาง ตามที่ฉันคาดไว้ตอนแรก ฉันรู้ตัวดีว่า เอเลน่า คงจะคอยมองดูพวกเราอยู่ห่าง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังคงรับรู้ได้ถึงจิตสังหารนั้นอยู่ดี แต่ว่า...แต่ว่า...ตอนนี้มันมากเกินไปราวกับ...
ไม่ได้มีเพียง เอเลน่า ตนเดียวที่หมาย ชีวิตของบุตร ตระกูล คาลอนลอส อยู่!
ระหว่างทางจาก คฤหาสน์ คาลอนลอส มาจนถึงตอนนี้ ฉันนั่งครุ่นคิดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับ เอเลน่า ตามประวัติแล้ว เอเลน่ามีอายุมากกว่าฉัน 1 ปี ความสามารถที่โดดเด่นที่สุดคือ ความรวดเร็วในการสังหารเหยื่อ รวมถึงความเยือกเย็น ไม่มีใครสามารถระบุหน้าตาของเธอที่แน่นอนได้...ยกเว้นฉัน...
ที่บอกว่ายกเว้นก็เพราะ เหยื่อส่วนใหญ่ที่เอเลน่า คิดจะสังหารเธอจะเผยใบหน้าของเธอให้เห็น ผมยาวสีส้มคาราเมล กับนัยน์ตาสีน้ำเงินแวววาว น่ารักซุกซน ที่จะหลอกเหยื่อทุกคนด้วยหน้ากากที่ไร้เดียงสาจากนั้นเธอก็จะสังหารเหยื่ออย่างเลือดเย็นโดยที่ไม่ให้เหยื่อรู้ตัว...
ส่วนตอนที่ฉันเริ่มเป็นนักฆ่าใหม่ ๆ ตอน 5 ขวบ ตอนนั้นตัวของฉันเป็นที่โด่งดังมากทั้งในวงการ นักฆ่า หรือ วงการปีศาจธรรมดา ซึ่งรู้สึกว่า เอเลน่า จะไม่ค่อยชอบใจนัก ในตอนนั้นฉันยังจำได้ดี ถึงแม้จะดีได้ไม่เท่าบาปในใจฉัน...ตอนนั้น ฉันกำลังนั่งดูดอกไม้อยู่ข้าง ๆ ร้านของลุงคริสต์ อยู่ ๆ เธอก็เดินเข้ามาหาฉัน
‘นี่...เซเลเน่ สินะ’ เธอพูดกับฉัน ตอนแรกฉันงงนิดหน่อย เพราะเธอใส่ชุดกระโปรงสีขาวแขนยาว ดูเป็นคุณหนู แต่ในหน้าถูกปกปิดด้วยผ้าสีดำ ไม่ให้เห็นแม้แต่ดวงตา ที่ฉันรู้ตอนนั้นคือเธอคนนี้มีผมสีส้มคาราเมลเท่านั้น
‘...’ เมื่อเธอเห็นว่าฉันนั่งเงียบ มองเธออย่างระแวง เธอก็เหยียดยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก
‘ฉัน...เอเลน่า เซนฟิสจ้ะ...ยินดีที่ได้รู้จักนะ’ เธอพูดขณะถอดผ้าปิดหน้าออกอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นนัยน์ตาสีน้ำเงินแวววาวน่ารัก จนฉันถึงกับตะลึง และ ผมยาวประบ่าสีส้มคาราเมลตามที่ฉันคาดไว้...ตอนแรกฉันรู้สึกอิจฉาเธอ ผมสีคาราเมลที่ดูน่ารัก เข้ากับนัยน์ตาสีน้ำเงินดั่งหยดน้ำอันเยือกเย็นนั้น ได้เป็นอย่างดี มันดูตรงข้ามกับผมสีเพลิงที่พร้อมจะประทุออกมาได้ทุกเมื่อที่ฉันโมโห
‘ฉัน เซเลเน่ ทูวลูส’ ฉันตอบเงียบ ๆ พลางเหลือบมองผมสีแดงเพลิงที่ยาวถึงสะโพก...ฉันนี่มันน่าเกลียดจริง ๆ สู้ เอเลน่าก็ไม่ได้...
‘เธอกำลังเล่นกับต้นไม้อยู่หรอ’ เอเลน่าพูดขณะนั่งลงข้าง ๆ ฉัน ‘ฉันจะทำอะไรให้ดูนะ’ ทันทีที่เธอพูดจบ เธอก็เด็ดดอกไม้กอนั้นมาร้อยเป็นมงกุฎดอกไม้ ตอนที่เธอกำลังร้อยนั้นฉันจำได้ ฉันตื่นเต้นมาก ฉันจ้องมงกุฎอันนั้นตาเป็นประกายอย่างตื่นเต้น ตอนนั้นฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอ...
‘เอเลน่า...เราเป็นเพื่อนกันได้ไหม’ ฉันพูดความในใจออกไป หลังจากที่ฉันได้เกิดมาและรู้ตัวว่าได้พรากชีวิตผู้เป็นแม่ไปแล้ว ฉันไม่คิดอยากจะพูดหรือเป็นมิตรกับใครอีก เพราะ ฉันกลัวการสูญเสีย แต่ทันทีที่ฉันได้สบตาของเอเลน่า ฉันมีความรู้สึกว่าอยากจะพูดทุกอย่างในใจออกมา ราวกับว่า...อยากจะ สารภาพบาป
‘ได้สิจ้ะ’ เธอยิ้มหวาน ตอนนั้นฉันอยากจะพูดว่า ฉันอิจฉาเธอจัง... แต่ยังไงประโยคนี้ฉันยังไม่มีความกล้ามากพอที่จะพูดออกไป
‘ขะ...ขอบคุณ...นะ’ ฉันพูด ใบหน้าขาวซีดเริ่มขึ้นสีแดงจาง ๆ
‘หึ...ฉันรู้มาว่า ผมของเธอน่ะมีพลังซ่อนอยู่สินะ...ตอนแรกเกิดน่ะ เธอได้ฆ่าแม่ของตัวเองไปสินะ ช่างน่าเวทนาจริง ๆ ปีศาจที่ไม่สามารถบังคับตัวเองได้อย่างเธอ ฉันล่ะสงสารแม่เธอจริง ๆ ที่ต้องมีลูกสาวแบบเธอ ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่กล้าเข้าไกล้ปีศาจน่ารักเกียจแบบเธอหรอก...’ เอเลน่าเว้นช่วงเอาไว้พลางเหลือบมองฉันที่นั่งนิ่ง ใบหน้ายังคงสงบ แต่หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าในนัยน์ตาสีแดงเพลิงที่มักจะนิ่งสงบของฉันมันกำลังสั่นอยู่
‘ไม่น่าเลยนะ ปีศาจไร้ประโยชน์อย่างเธอไม่น่าเกิดมาจริง ๆ ได้ข่าวว่าลุงคริสต์ เจ้าของคาเฟ่ต์เก่า ๆ แห่งนี้เป็นคนรับเธอมาเลี้ยงสินะ โธ่...ทำไมไม่รู้จักคิดบ้างนะ เดี๋ยวจะตายไม่รู้ตัว แม่เธอนี่ก็โง่จริง ๆ เหมือนทุกคนที่เกี่ยวกับเธอจะ โง่ไร้สมอง!เหมือนกันหมดเลยนะ...’ ทันทีที่เอเลน่าพูดจบ นัยน์ตาสีเพลิงของฉันร้อนผ่าว แต่ไม่ได้จะร้องไห้ สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นตอนนี้ ไม่ใช่ฉากที่เด็กจะร้องไห้หลังจากถูกแกล้งหรอกนะ!
ฉันยืนขึ้น ลดสายตาลงมองใบหน้าขาวซีดที่ฉันเคยหลงใหลของ เอเลน่า นิ่ง ฉับพลันนัยน์ตาของฉันสะท้อนรูปเปลวเพลิงที่เผาไหม้ออกมา แล้วมันก็หายไปในทันที เมื่อมันหายไป ผมสีแดงเพลิงที่ยาวถึงสะโพกขอยาวลงมาเรื่อย ๆ จนถึงหัวเข่า
‘เริ่มแล้วสินะ...ยัยโง่’ เอเลน่าพูดเสียงเบา แล้วลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับฉัน
เอเลน่ายังไม่หยุดพ่นคำด่าที่ทำให้ฉันรู้สึกเสียใจจนอยากร้องไห้ออกมา จนเมื่อฉันทนไม่ไหว สิ่งที่ฉันไม่ค่อยอยากให้เกิดซักเท่าไหร่ก็เริ่มขึ้น
ปลายผมของฉันลุกเป็นไฟ นัยน์ตาสีแดงเพลิงสะท้อนรูปเปลวเพลิงออกมาเป็นระยะ สิ่งมีชีวิตอย่างแมลง เริ่มวิ่งหนี เพราะ รับรู้ได้ถึงความหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้น ต้นไม้ใบหญ้าเล็ก ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ตัวติดไฟโดยไม่มีสาเหตุ เสียงปีศาจที่ถูกสาปให้อยู่ในต้นไม้ร้องโหยหวนจากการโดนเปลวเพลิงนั้นเผาไหม้ ส่วนปีศาจที่ยังไม่ถูกเปลวเพลิงนั้นเผา ได้แต่ร้องไห้ภาวนาในใจให้คนที่สาปตนมาช่วยโดยเร็ว
ทันที่ฉันจะหยิบอาวุธคู่กายออกมา เอเลน่า ก็พุ่งตัวเข้ามาอย่างเร็วราวกับเงา ร่างของเธอประชิดร่างของฉันอย่างเร็ว แล้วแสยะยิ้มสยดสยองออกมา
ฉันกระโดดหลบอย่างเร็ว พอ ๆ กับเปลวเพลิงที่เริ่มลุกลาม ไปรอบ ๆ อาณาเขต คราวนี้ฉันคว้าดาบออกมา มันเป็นดาบที่มีขนาดใหญ่ไม่ค่อยพอดีกับร่างกาย แต่ฉันก็สามารถใช้มันได้อย่างคล่องมือ ไม่มีขากตกบกพร่อง
ฉันยืนจ้องหน้า เอเลน่า ด้วยความโกรธสุดขีด มองหาช่องโหว่ในร่างเล็กที่ยืนอยู่ตรงหน้า แต่...ไม่มีช่องโหว่ให้ฉันบุกเข้าไปได้เลย! เธอคนนี้ เก่งมาก!
เอเลน่ายังคงยิ้มหวานราวกับยังนั่งเล่นกันอยู่ ฉันไม่รีรอ รีบบุกเข้าไปโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายพร้อมรับมืออยู่แล้ว เมื่อร่างกายฉันขยับเข้าไปถึงร่างกายของ เอเลน่า ปากเธอขยับขึ้นลง พูดอะไรบางอย่างที่ฉันแปลความหมายไม่ออก เดาคร่าว ๆ ว่าน่าจะเป็นมนต์ดำปีศาจ ร่างกายฉันหยุดนิ่งทันทีที่เธอร่ายมนต์จบ
ฉันนิ่งค้างอยู่ในท่าที่กำลังเงื้อดาบขึ้น ในร่างกายของฉันสิ่งที่ยงขยับได้อยู่ มีแค่ ลูกตา กับ เส้นผมติดไฟ ที่ปลิวไสวตามแรงลมเท่านั้น เหงื่อเม็ดโตผุดจากใบหน้าขาวซีดของฉัน ตอนนี้ฉันมีความรู้สึกว่าฉันกำลังจะร้องไห้ ไม่รู้เพราะอะไร
ตอนนี้ในหัวของฉันมีอารมณ์หลากหลายปะปนอยู่ เมื่อสบตากับนัยน์ตาสีน้ำเงินไร้เดียงสานั้นฉันรู้สึกอิจฉา เมื่อเห็นรอยยิ้มที่มุมปากนั้น ฉันรู้สึกกลัว เมื่อเห็นร่างกายนั้น ฉันรู้สึกโมโห ความรู้สึกหลายอย่างมันอัดแน่นอยู่ที่อก จนไม่รู้จะระบายยังไง
‘ฉันไม่ค่อยชอบใจซักเท่าไหร่ที่เธอมาเป็นนักฆ่าที่คนเชื่อว่า เก่ง พอ ๆ กับฉัน’ เอเลน่าเริ่มพูดความจริงออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ‘ฉันทำงานโดยให้สมองเป็นเจ้านาย อยากฆ่าใครฉันก็ฆ่า...แต่เธอทำงานอย่างเปิดเผย...ทุกคนรู้จักเธอ’ เธอเริ่มหุบยิ้มบนไปหน้า...เมื่อจบประโยค ฉันเห็นเอเลน่าสะบัดปลายเท้าเล็กน้อย แล้วร่างกายของเธอก็มาปรากฏอีกทีข้างหลังฉัน
‘ลาก่อน...เซเลเน่ ทูวลูส’ เอเลน่าทำท่าจะฉุดดาบไปจากมือฉัน ทันทีที่มือของเธอสัมผัสมือของฉัน ภาพบางอย่างก็ไหลเวียนเข้ามาในสมอง
อันดับแรก เป็นภาพเอเลน่าดึงดาบไปจากมือฉันได้
ถัดมา เอเลน่าเอาดาบแทงทะลุร่างกายของฉัน
ถัดมา เป็นภาพฉันนอนจมกองเลือด อยู่บนพื้น
ฉันร้องไห้ออกมาทันทีที่ เอเลน่า ปล่อยมือออก เหมือนเธอจะรู้ว่า โดนอ่านใจซะแล้ว ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เพราะ อะไร ทำไมฉันถึงอ่านใจคนอื่นได้ แต่ตอนนี้ ฉันกำลังกลัวความตาย...
ฉันสะบัดร่างกายให้หลุดจากมนสะกดที่ เอลเลน่าร่ายเอาไว้ได้ ฉันรีบกระชับดาบในมือให้แน่น แล้วเหวี่ยงใส่ เอเลน่า ทันที เมื่อปลายดาบใกล้จะกระทบกับมือของ เอเลน่า ข้อมือฉันก็ปวดร้าว ราวกับกระดูกจะแตกเป็นผุยผง
แก๊ง!
ดาบของฉันร่วงลงจากมือ ตอนนี้ฉันไม่สามารถขยับมือตัวเองได้อีกแล้ว ไม่แม้แต่จะยกมือขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ...ฉันมอง เอเลน่า ด้วยสายตาเคียดแค้น น้ำตาไหลลงอาบแก้ม แต่ไม่ใช่น้ำตาแห่งความกลัว หรือ ความเศร้าโศกหรอกนะ แต่เป็นเพราะ ความโกรธต่างหาก
‘เอเลน่า...เซนฟิส...’ ฉันเรียกชื่อเธอด้วยเสียงขาด ๆ หาย ดวงตาเริ่มพร่ามัว สติเริ่มขาดหายเข้าเต็มที
‘จำชื่อฉันไว้ตลอดแล้วกันนะ...เซเลเน่ เพื่อนรัก’ เอเลน่าพูด ก่อนที่ฉันจะสลบไป...
เมื่อลืมตาขึ้นมาฉันพอกระดาษแผ่นเล็ก ๆ วางอยู่ตรงหน้า กระดาษที่มีรูปสัญลักษณ์ ดอกกุหลาบเลือดอาบแสงจันทร์ สัญลักษณ์ประจำตัวของ เอเลน่า เซนฟิส ศัตรูของฉัน ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป!
..........................................................................................................................................................................
สำหรับตอนนี้เพิ่มสาระแนววิทยาศาสตร์เข้าไปด้วยนะคะ 555 ชื่อของตัวละครบ้าน คาลอนลอส ทุกตัว! ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากชื่อส่วนประกอบของดอกไม้แบบเป็นภาษาอังกฤษค่ะ >w<
pistil(พีสทิล)=เกษรเพศเมีย
anther(อันเทอร์)=อับเรณู
fertil(เฟอร์ทิล)>>>คำนี้มาจากคำว่า fertilisation ซึ่งแปลว่า การปฏิสนธิ
fila(ฟิล่า)>>>คำนี้มาจากคำว่า filament ซึ่งแปลว่าก้านชูอับเรณู
pollen(โพลเลน)>>>คำนี้มาจากคำว่า pollen tube ซึ่งแปลว่า หลอดเรณู
เป็นไงละคะ รู้รึยังว่าเฟย์ตั้งใจเรียนในคาบขนาดไหน!! (คิดแต่แต่งนิยายสิไม่ว่า>>>คนอ่าน) 555 เอาเป็นว่าในเนื้อเรื่องตอนนี้เฟย์ได้สอดแทรกสาระความรู้ดี ๆ (แอบฮานิด ๆ) เอาไว้ด้วย หวังว่าคงเป็นประโยชน์กับหลาย ๆ คนนะคะ
ความคิดเห็น