คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ:เซเลเน่ ทูวลูส
ณ ตึกสูงเสียดฟ้าแห่งหนึ่ง ใน โลกของปีศาจ
บนยอดตึกนั้นมีร่างบางของ ปีศาจเพศเมียยืนอยู่ คนที่เดินผ่านไปมามักจะเห็นร่างนี้ ยืนอยู่ทุกวัน ด้วยผมยาวสีแดงเข้มดุจดั่งเปลวเพลิง เหมือนจะเผาไหม้ทุกสิ่งที่สัมผัสโดน ผมของร่างนี้มีความยาวลากพื้น ซึ่งน่าแปลก เพราะ ในโลกที่มีแต่อันตราย และ ความโหดร้าย แต่การต่อสู้เช่นนี้ หากผู้ในที่ไว้ผมยาวอาจจะทำให้เสียเปรียบในการต่อสู้ได้ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือการต่อสู้ของโลกนี้ไม่มีกฎตายตัว หากชนะคือรอด หากแพ้คือตาย นี่คือสิ่งที่ทุกคนในดินแดนที่มืดมนแห่งนี้เข้าใจ
ร่างบางนั้นค่อย ๆ ย่อตัวลงนั่งบนยอดตึก ผมสีเพลิงของเธอตอนนี้ลากไปกับพื้นซีเมนต์ที่ยอดตึก เธอใช้นัยน์ตาสีแดงเพลิงเช่นเดียวกับสีผมมองลงไปยังผู้คนเบื้องล่าง ไม่ใช่สิ! ปีศาจเบื้องล่างต่างหาก ทันทีที่เธอทอดสายตาลงไปยังถนนที่มีผู้คนเดินกับพลุกพล่าน ประตูดาดฟ้านั้นก็เปิดออกเสียงดัง ปัง!
“แกเป็นใครกันแน่!!!” ปีศาจหนุ่มตนหนึ่งในชุดเครื่องแบบของยามตะโกนขึ้น พลางสาดแสงจากไฟฉายไปยังจุดที่ร่างบางนั่งอยู่
“...” ร่างบางไม่ตอบ ยังคงนั่งแกว่งขาอย่างสบายอารมณ์
“ตอบมา ไม่งั้นแกโดนจับแน่!!!” ยามปีศาจอีกคนตะโกน ก่อนจะคว้าปืนออกมาจากกระเป๋าที่เอวทั้ง 2 ข้าง “ให้เวลาแก 5 วินาที!!” ชายถือปืนตะโกน พลางกระชับปืนในมือให้แน่นขึ้น
“5” เสียงยามคนที่ถือไฟฉายกระซิบอย่างแผ่วเบา...ร่างบางยังคงนั่งแกว่งขาอย่างไม่สนใจราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่ปีศาจหนุ่มพูด
“4” ยามที่ถือปืนพูเสียงชัดถ้อยชัดคำหวังให้ร่างบางรู้สึกกลัว แต่เธอยังคงนั่งแกว่งขาไปมา
“3” ยามอีกคนพูดอย่างไม่สบอารมณ์คิ้วยามทั้ง 3 เริ่มขมวดเข้าหากันอย่างงงงัน เพราะ ร่างบางนั้นยังคงไม่สนใจหนำซ้ำยังจับผมตัวเองมนั่งสางเล่นอีก
“2” ยามทุกคนพูดพร้อมกันเสียงดังพร้อมกระชับอาวุธในมือแน่น ทันทีที่พูดจบร่างบางก็เลิกสางผมสีเพลิงของตน แล้วใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีหันมาหายามทั้งสามคน
“1” เสียงหวานดังออกมาจากร่างบาง
พรึ่บ! ร่างนั้นกางปีกออกมาทันที ปีกของเธอนั้นมีลักษณะเหมือนปีกค้างคาวขนาดใหญ่สีดำทมิฬ ผมสีเพลิงของเธอนั้นยังยาวคลอเคลียอยู่ที่ปีก ร่างบายยิ้มพร้อมโบกมือลา
“หยุด!!”ยามทั้งหมดตะโกนพร้อมกันหลังจากที่นิ่งเงียบไปเพราะ ตะลึงกับใบหน้ารูปไข่สีขาวนวลนั้น แต่ไม่ทันที่ยามจะคว้าตัวเธอเอาไว้ ร่างนั้นก็ทิ้งตัวปล่อยให้ร่างกายดิ่งลงสู่พื้นโดยไม่คิดจะกระพือปีกสีดำเงางามนั้นเลย
“เสร็จล่ะ” ยามปีศาจคนหนึ่งพูดขณะที่มือเอื้อมลงไปคว้าผมยาวสีเพลิงของปีศาจเพศเมียตนนั้นได้ แต่ทันทีที่มือหยาบกร้านของปีศาจยาม สัมผัสโดนปลายผมของเธอนั้น มือของเขาก็ลุกเป็นไฟ และ มอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านโดยไม่เหลือโครงเค้าของมือไว้เลย
“อ้ากกกก!!! มือข้า!!!!” ปีศาจตนนั้นร้องหลังจากมือขวาของเขาเหลือแต่เพียงเถ้าถ่าน ใช่ เหตุการณ์เมื่อกี้มันเกิดขึ้นเร็วมากจนปีศาจอย่างเรา ๆ มองไม่ทันกันเลยทีเดียว
“โอ๊ะ...โทษที ลืมบอกไปว่าผมของฉันน่ะมันกำลังเคืองพวกเจ้าอยู่” ร่างบางพูดขณะกระพือปีกขึ้นลงอย่างชำนาญ ร่างบางหุบยิ้มหวานของเธอลงก่อน สบถออกมา “ชิ!ฉันไม่ถนัดยิ้มเลยแฮะ”ร่างนั้นยังคงพูด ๆๆ โดยไม่สนใจสายตาตกตะลึงของยามปีศาจแต่ละตนเลยแม้แต่น้อย เธอหันมาสบตายามทั้ง 3 อีกครั้งเมื่อยามคนที่โดนผมของเธอเผาตั้งท่าจะยิงปืน
“เอาให้จบ ๆ ไปซะดีกว่า” ร่างบางกระพือปีกแรงขึ้น เพื่อสร้างกระแสลม ผมสีแดงเพลิงของเธอปลิวไปตามลมที่เธอสร้างขึ้น แล้วใช้นัยน์ตาสีเพลิงที่น่าหวาดกลัวนั้นเพ่งมองไปยังร่างของยามทั้ง 3 คน เปลวเพลิงลุกท่วมร่างของยามปีศาจ ร่างกายของพวกเขาค่อย ๆ บิดเบี้ยวเพราะถูกหลอมจากเปลวเพลิงอันร้อนแรงนั้น ทันทีที่ร่างบางละสายตาจากปีศาจหนุ่มไฟที่ลุกท่วมตัวของพวกเขานั้นก็แรงขึ้น
“อ้ากกกก!!” ยามทั้ง 3 ร้อง น้ำตาไหลอาบแก้มแต่ก็ไม่เพียงพอที่จะดับไฟที่ลุกท่วมนั้นได้ ร่างบางกระพือปีกอีกครั้งปรากฏว่า เปลวเพลิงสีแดงสดนั้นดับลงในทันที ร่างของยามปีศาจไม่เหลือแม้แต่เศษเนื้อหรือเค้าโครง มันสลายเหลือเพียงเถ้าถ่านสีเทาหม่นกองอยู่ 3 กอง หลังจากนั้นเมื่อลมวูบหนึ่งพัดมาเศษเถ้านั้นก็ปลิวหายไปกับสายลม พร้อมกับร่างของปีศาจผมสีเพลิงที่บินหายเข้ากลีบเมฆไป...
สิ่งที่น่าแปลกคือ ปีศาจมีที่ร่างกายแข็งแกร่งกว่ามนุษย์นั้นยากที่จะหาเปลวเพลิงที่ร้อนจนสามารถทำให้ร่างของปีศาจพวกนั้นกลายเป็นเถ้าถ่านได้ในเวลาอันรวดเร็ว แล้วถ้าหากเปลวเพลิงมีความร้อนรุนแรงขนาดนั้นเหตุใดลมที่เกิดจากการกระพือปีกของปีศาจร่างเล็กจึงดับไฟพวกนั้นได้ และที่สำคัญเหตุใดไปพวกนั้นจึงไม่ลุกลาม แถม ไม่เหลือแม้แต่รอยไหม้บนพื้นซีเมนต์เลยซักนิด...
“เฮ้อ” ร่างบางเจ้าของผมสีแดงเพลิงถอนหายใจ ขณะที่กำลังกระพือปีกบินผ่านก้อนเมฆหลายก้อน ใบหน้าของเธอบึ้งตึงราวกับเบื่อโลกใบนี้อย่างมาก ตอนนี้เธอกำลังทอดสายตามองปีศาจเบื้องล่างที่กำลังใช้ชีวิตกันอย่างเป็นสุข ต่างจากเธอ...
ตั้งแต่เมื่อภพชาติที่แล้วตัวตนของเธอนั้นมีบาปหนาที่ไม่อาจลบล้างออกไปจากจิตใต้สำนึกของเธอได้ ไม่ใช่ปีศาจทุกตนจะระลึกชาติได้ มีแต่ปีศาจที่ทำความชั่ว เลวร้าย ต่ำทรามกว่าปีศาจทั่วไป ถึงจะสามารถระลึกชาติได้ ตัวเธอก็เป็นหนึ่งในนั้น ความเจ็บปวดกับความทุกข์ทรมาน ของคนที่ถูเธอทำร้ายมาชาติปางก่อน ตอนนี้เธอเข้าใจมันดี
เมื่อชาติที่แล้วเธอหลงผิด เชื่อคำพูดของราชาปีศาจอันโหดเหี้ยม ตนหนึ่ง เขาบอกว่าถ้าไม่อยากเกิดเป็นปีศาจอีก เราจะต้องฆ่าผู้อื่น ฆ่าโดยวิธีที่โหดเหี้ยมทารุณ ให้ครบ 1000 ตน เมื่อนั้นเราจะไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมานในโลกของปีศาจที่มืดมนแบบนี้อีก
แล้ววิธีที่เธอเลือกใช้คือเผาปีศาจทั้งเป็น โดยเริ่มเผาจากที่ศีรษะ ในชาติที่แล้วเธอมียศเป็นถึงราชินีแห่งเมือง แบดเดม่อน ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ปีศาจเลวร้ายที่สุด การที่เธอจะล่อให้ปีศาจซักตนเดินเป็นตัวหมากเข้ามาติดกับ ให้เธอทารุณเล่นไม่ใช่เรื่องยาก
จนเมื่อเธอได้พรากชีวิตของปีศาจจนครบ 1000 ตน...เธอก็เสียชีวิตตามปีศาจเคราะห์ร้ายเหล่านั้นทันที...
เธอต้องทนทุกข์ทรมานในขุมนรกที่ชื่อว่า เปลวเพลิง ทำอะไรไปเธอต้อง ชดใช้ มากกว่านั้น 2 เท่า เธออดทนรับความเจ็บปวดที่ถลาโถม เข้าใส่เป็นเวลาหลายหมื่นปี ในขุมนรกเปลวเพลิงแห่งนี้ นับไม่ได้ว่ากี่ครั้งที่ร่างกายของเธอต้องสลายหายไปพร้อม ๆ กับเปลวเพลิงที่มอดไหม้ นับไม่ได้ว่ามีเลือดมากเท่าไหร่ ไหลออกมาจากร่างกายเธอกี่ครั้ง และ นับไม่ได้ว่าน้ำตาแห่งความโศกเศร้า สำนึกผิดไหลลงมาอาบแก้มเธอกี่ครั้ง...
และในที่สุดวันที่เธอรอคอยก็มาถึง...
แต่ ความผิดที่ฉันต้องชดใช้ยังไม่หมดไป ฉันเกิดมาพร้อมกับผมสีเพลิง และ นัยน์ตาสีเพลิง ดูเผิน ๆ นั้นไม่แปลกหรอกที่ปีศาจจะมีสีผมสีประหลาดแบบนี้ แต่ผมของฉันนั้น มันมีพลังที่ซ่อนอยู่ หากเมื่อไหร่ที่ตัวฉันบันดาลโทสะออกมา ผมของฉันจะยาวขึ้นมาอย่างรวดเร็วและลุกเป็นไฟที่ร้อนแรงเสียจนสามารถเผาทุกอย่างตรงหน้าให้เหลือแต่เถ้าถ่านได้ รายแรกที่ผมของฉันคร่าชีวิตเธอไป คือ แม่และพ่อ ฉันรู้สึกตัวตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของแม่ ฉันอึดอัด และเมื่อฉันโมโหผมของฉันก็ยาวออกมาและลุกเป็นไฟ เมื่อนั้นคนที่ตายไปคือ พ่อ และ แม่ ที่ตั้งหน้าตั้งตารอวันที่ฉันจะลืมตาดูโลก
วินาทีแรกที่ฉันได้ลืมตาดูโลก ฉันรู้สึกถึงความผิดร้ายแรงที่ฉันได้กระทำลงไป ตราบาปนั้นยังคงประทับติดอยู่ในใจไม่เคยลืมเลือน
บางอย่างที่เราอยากจะจดจำ...เรากลับลืมมันได้อย่างง่ายดาย...แต่บางสิ่งที่เราอยากจะลืม...มันกลับตราตรึงอยู่ในจิตใต้สำนึกของเรา โดยที่ไม่มีวันจางหายไป...
เมื่อร่างบางใช้ปีกค้างคาวสีดำเงางามของตนเองบินผ่านบ้านเรือนมากมายมาจนถึงที่หมายได้ เธอร่อนลงมาให้ใกล้กับพื้นดินมาที่สุด ก่อนที่จะหุบปีกค้างคาวของเธอแล้วกระโดดลงมายืนบนพื้นดินแห้งไร้ซึ่งพืชพันธุ์ใด ๆ ทั้งสิ้น
เธอเหยียดขายืนตัวตรงขึ้นอีกครั้ง ปัดเศษฝุ่นดินที่ติดกระโปรงสั้นสีดำของเธอเล็กน้อย แล้ว เดินเข้าไปยังตึกที่อยู่ข้างหน้าเธอโดยไม่รอช้า...ตึก ๆ นี้มีสภาพเหมือนตึกร้างเก่า ๆ เพียงแต่มีกลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายเหมือนปีศาจ แทรกอยู่ทุกอณูของอากาศ ร่างบางก้าวเท้าเดินเข้าไป โดยไม่เกรงกลัวคนที่อยู่ภายในนั้น
ทุกสายตาจ้องมองมาทางเธอไม่กระพริบ เธอเสยผมสีเพลิง ที่ยาวลากพื้นอย่างเฉยชาไม่สนใจสายตารอบข้าง เพราะ การเสยผมหรือนั่งเล่นผม เป็นกิจวัตรของเธออยู่แล้ว
“ท่านเดธฟรายน์ กลับมาแล้ว!!!” คนภายในตึกร้องขึ้นอย่างยินดี หลายสิบคนที่นั่งกินอาหารอยู่ยังลุกขึ้นมาปรบมือให้กับการกลับมาของเธอ แต่กลับกัน เธอกลับเบือนหน้าหนีอย่างรำคาญ ก่อนสบถออกมาเสียงดัง “ชิ!น่ารำคาญ!”
เมื่อได้ยินเสียงบ่นออกมาจากของผู้ที่ทุกคนเรียกว่า ท่านเดธฟรายน์ ทุกคนก็เงียบเสียง และนั่งลงเงียบ ๆ ทันที ทุกคนในที่นี้รวมถึงเจ้าตัวเองรู้ดีว่าคนที่รำคาญนั้นไม่ใช่ตัวเธอหรอก แต่ดันเป็นผมสีเพลิงที่ยาวลากพื้นนั้นต่างหากที่เริ่มรำคาญเสียงโห่ร้องของเหล่าปีศาจทั้งหลายต่างหาก
เมื่อเห็นว่าทุกคนเงียบแล้ว และผมสีเพลิงของเธอเริ่มสงบอารมณ์ลงแล้วเธอก็ก้าวเท้าเดินไปยังเก้าอี้ประจำหน้าเคาท์เตอร์ไม้เก่า ๆ ที่อยู่ในร้าน
“ลุงคริสต์” เธอเคาะโต๊ะเบา ๆ สามครั้งแล้วเรียกชื่อชายคนนึงซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของเธอ
“อ่อ...เซเลเน่ เองรึ โทษทีพอดีข้าหาของอยู่ใต้เคาท์เตอร์น่ะ” ลุงคริสต์พูดพลางหัวเราะกับตัวเองก่อนเบนสายตามามอง หญิงสาวร่างบางผมสีแดงเพลิงยาวลากพื้น ประกอบกับนัยน์ตาสีเพลิงที่โหดร้าย สองสิ่งที่อยู่บนใบหน้าเธอนี้ทำให้เธอดูมีเสน่ห์ แต่หากได้ลองสัมผัสมันอย่างใกล้ชิดแล้วก็จะพบกับความน่าสะพรึงกลัวที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากนี้...เพราะ ตัวเขาเองก็เคยเกือบโดนเปลวเพลิงนี้ทำลายร่างมาแล้ว
“ถ้าสิ่งที่คุณตามหาคือ แว่นตา มันอยู่บนหัวของคุณเอง” เซเลเน่พูดด้วยแววตานิ่งสงบ...ชื่อจริงของเธอคือ เซเลเน่ ทูวลูส เรียกชื่อเธอสั้น ๆ ได้ว่า เซเลน...เดธฟรายน์ เป็นเพียงฉายาที่แปลว่า เปลวไฟแห่งความตายเท่านั้น
“ฮ่ะ ๆๆลุงต้องขอบใจ หนูเซเลเน่ อีกแล้วนะ...อ้ะ...นี่ของตอบแทนจ้ะ” ลุงคริสต์หยิบแว่นจากหัวของตัวเองพลางยืนแก้วน้ำที่ข้างในบรรจุของเหลวสีแดงข้นอยู่เต็มแก้ว นั่นทำให้ เซเลเน่ รีบคว้าไปกินอย่างหิวกระหาย ฉับพลันผมสีเพลิงของเธอดูเข้มขึ้นจนกลายเป็นสีเลือด แต่ในไม่กี่วินาทีถัดมามันก็อ่อนลงถนัดตา
“ใจเย็น ๆ เซเลเน่ ลุงเข้าใจ ช่วงนี้หนูไม่ค่อยได้ดื่มเลือด แต่ดื่มเร็ว ๆ มีผลเสียต่อร่างกายที่เปรียบเหมือนเปลวเพลิงของหนูเองนะ...เอาเข้าไป...เขี้ยวงอกออกมาแล้วน่ะ” ลุงคริสต์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ยกมือไปลูบผมสีเพลิงของ เซเลเน่ เป็นเชิงปลอบโยน จนร่างบางต้องรีบตั้งสติหดเขี้ยวของเธอกลับไปเป็นเหมือนปกติ
“ข้าไม่ต้องการใช้ใครมาห่วง” เซเลเน่ พูดแต่น้ำเสียงหนักแน่น มือข้างที่ไม่ได้ถือแก้วเลือดปัดมือหนาของลุงคริสต์ออกจากผมของตนเอง...จริง ๆ แล้วไม่ใช่ว่าเธอรำคาญแต่เธอกลัวว่าผมของเธอจะเริ่มรำคาญจึงต้องปักมือเขาออกก่อนที่ผมของเธอจะเริ่มร้อนอีก
เหตุใด...จึงต้องบอกว่าผมรำคาญ แต่ตัวเธอเองกลับไม่รำคาญนั่นเป็นเพราะ พักหลัง เซเลเน่ เริ่มที่จะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้แล้ว ไม่โกรธ ไม่โมโห ไม่รำคาญ ใครง่าย ๆ ผมของเธอจึงเริ่มที่จะแผลงฤทธิ์ ออกมาบ้าง โดยเมื่อผมของเธอเริ่มรู้สึกรำคาญ ผมของเธอจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นจนทำให้ผู้สัมผัสถูกเปลวไฟครอก จนกลายเป็นว่า ผมเหมือนจะเป็นสิ่งที่ควบคุมตัวเธอซะมากกว่า
“ลุงขอโทษ ลุงลืมๆ...เออ ใช่ งานล่าสุดที่ให้ไปสังหารยาม 3 คนนั้นเรียบร้อยแล้วสินะ” ลุงคริสต์เว้นช่วงให้หญิงสาวตอบ
“ใช่แล้ว” เซเลเน่ตอบระหว่างนั่งสางผมเล่น
“มีคนจ้างเจ้า...เงินดีด้วยสนไหม” ลุงคริสต์หยิบจดหมายจ้างวานขึ้นมาโบกเล่น ก่อนที่จะยื่นให้ร่างบางที่นั่งจ้องอย่างเริ่มหงุดหงิด เมื่อเซเลเน่ได้จดหมายมา เธอเปิดอ่านทันทีเนื้อความในจดหมายระบุไว้อย่างชัดเจนว่า
‘ถึง เซเลเน่ ทูวลูส นักฆ่าอันดับ 2 แห่งดินแดนของปีศาจ
ข้ามีนามว่า พีสทิล คาลอนลอส ภรรยาของเจ้าเมือง ดาร์คแวมไพร์ ตอนนี้ครอบครัวของเรากำลังมีปัญหาร้ายแรง ที่ไม่สามารถบอกเล่าทางจดหมายได้ ข้าต้องการให้นักฆ่าที่มีฝีมือดีเยี่ยมอย่างเจ้ามาช่วยคอยคุ้มครองดูแลบุตรทั้ง 3 ของข้า และข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะยอมรับภารกิจนี้ สิ่งที่เจ้าจะได้รับตอบแทนคือ เงินตรามูลค่า 100,000,000,000 เดม่อน ซึ่งเงินมากขนาดนี้ท่านอาจจะใช้ได้ไปตลอดชีวิต และตลอดเวลาที่เจ้าอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลคาลอนลอส เจ้าจะมีทั้ง ที่พัก และ อาหารพร้อม และรวมถึงความเป็นส่วนตัวเหมือนเจ้าเป็นเจ้าของคฤหาสน์นี้คนหนึ่ง และเมื่อสามีข้าเสียชีวิตคนที่จะขึ้นเป็นเจ้าเมืองดาร์คแวมไพร์แห่งนี้ หวังว่าเท่านี้คงจะมากพอสำหรับภารกิจครั้งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะมาหาข้าในเร็ววัน
จาก พีสทิล คาลอนลอส’
เมื่ออ่านจบหญิงสาวร่างบางก็เหยียดยิ้มอย่างนึกสนุกขึ้นมา นางยัดจดหมายใส่กระเป๋าเสื้อทันที พร้อมลุกขึ้นจากเก้าอี้เตรียมตัวเดินเข้าไปยังหลังร้าน
“เซเลเน่ เจ้าจะรับภารกิจนี้งั้นหรือ” ลุงคริสต์ถาม ใจคอเขาไม่ดีเลยที่สำคัญ ลางสังหรณ์ของคนแก่มักแม่นเสมอ
“รับสิ...ค่าตอบแทนเยอะขนาดนี้...แถมข้าก็เป็นแวมไพร์เหมือนนางด้วยนี่” เซเลเน่หันมายืนเชิดหน้าแยกเขี้ยวสีขาวบริสุทธิ์สะท้อนกับแสงไฟในร้านให้เห็นเป็นเครื่องยืนยันว่าเธอเป็น แวมไพร์ มีปีศาจในร้านหลายตนที่หันมาจ้องมองเขี้ยวเล็กนั่นอย่างตื่นเต้นเพราะไม่ค่อยมีใครได้เห็นเขี้ยวงามคู่นั้นเลย
“บาย...ไว้เสร็จภารกิจแล้วเจอกันนะคะ...ลุงคริสต์” เธอโบกมือลา คว้ากระเป๋าผ้าสีน้ำเงินใบเล็กที่วางไว้หน้าประตูที่เชื่อมกับหลังร้าน ไม่ลืมที่จะคว้าดาบด้ามยาว กับ ปืนสองกระบอกติดตัวเธอไปเผื่อภารกิจนี้จะไม่ง่ายกว่าที่คิด
“เดี๋ยวก่อน เซเลเน่” ลุงคริสต์เรียก ก่อนที่เธอจะเดินออกจากร้าน
“ว่ามา...” เธอเร่ง เพราะ จะรีบไปยังคฤหาสน์คาลอนลอส ตามที่จดหมายเขียนไว้
“เอานี่ไป...ลุงพอรู้ว่าภารกิจครั้งนี้เกี่ยวกับอะไร” ลุงคริสต์โยนแฟ้มเอกสารสีดำสนิทให้หญิงสาว “แล้วนี้เอาติดไปด้วย” ลุงโยนขวดเลือดเล็ก ๆ สองขวดให้เธออีกเพราะรู้ว่าภารกิจนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
“ขอบคุณนะ...ลุงคริสต์” เธอกอดแฟ้มเอกสารบางอย่างแน่น อีกมือเปิดขวดเลือดแล้วกรอกมันเข้าปาก 2 อึก พร้อมชูขวดเลือดนั้นขึ้นเหนือหัว
“ท่าน เดธฟรายน์ จะออกไปทำภารกิจอีกแล้ว!!” ปีศาจตนเดิมตะโกนลั่น โดยมีปีศาจตนอื่นโห่ร้องตามหลังมาเสียงดัง ผมสีเพลิงของ เซเลเน่ ชอบให้คนอื่นตะโกนตอนจะออกไปทำภารกิจมากกว่า ตอนนี้มันจึงไม่ร้อนขึ้นแบบปกติ
“หึ” เซเลเน่ เหยียดยิ้มเป็นเส้นตรง ขวดเลือดในมือนั้นเธอเอาลงมาปิดฝากลัวมันจะหก เพราะมันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเธอ “แล้วข้าจะกลับมา” เซเลเน่พูดเสียงแผ่วเบา ดันประตูไม้หน้าร้านเบา ๆ เพื่อให้มันเปิดออกแล้วเดินออกไปอย่างไม่รอช้า...
รอข้าก่อนเถอะ นครแห่งแวมไพร์ นครแห่งเลือด...นครซึ่งเป็นบ้านเกิดของข้า...
ความคิดเห็น